X
    Categories: คู่นิรันดร์พันภพทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน คู่นิรันดร์พันภพ บทที่ 7 – บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 7

ฉับพลันนั้นเขารู้ว่านางกำลังทำอะไร นางกำลังอ่านใจ อ่านใจของเขา

ซ่งอิ้งเทียนไม่หลบเลี่ยง ทั้งที่รู้ดีว่านางทำอะไรได้บ้าง เขากลับไม่ชักมือกลับมา ไม่พยายามที่จะต่อต้าน

เขาปล่อยให้นางดูอดีตของเขา ปล่อยให้นางพลิกดูความทรงจำของเขาตามใจชอบเหมือนพลิกหน้าหนังสือ

นางจับมือเขาไว้แน่น ออกแรงมากถึงเพียงนั้น เล็บฝังลงไปบนผิวของเขาแล้ว แต่นางไม่ได้ใช้ศาสตร์มืดพวกนั้น

นางสามารถอ่านใจได้

ประคำปราบมารไม่มีท่าทีตอบสนอง เขาเดาว่านี่คงเป็นความสามารถที่ติดตัวนางมาแต่กำเนิด

ความรู้สึกของการถูกคนเปิดดูความทรงจำไม่น่ารื่นรมย์ถึงเพียงนั้น แต่เขารู้ว่านางจำเป็นต้องดู

นางหวาดกลัวมาก

‘ผายลมน่ะสิ!’

เสียงตวาดอย่างกราดเกรี้ยวโพล่งออกมาดื้อๆ สะท้อนอยู่ในหัวสมอง แทบจะในเวลาเดียวกันนางก็หดมือกลับไปกะทันหันเหมือนตอนคว้าจับมือเขา ดวงหน้าเล็กซีดขาวกว่าก่อนหน้านี้

“เห็นสิ่งที่เจ้าอยากเห็นหรือไม่”

เขามองนาง เอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ

นางจ้องชายตรงหน้าด้วยใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากสั่นน้อยๆ เอ่ยคำพูดออกมาเพียง “ไสหัวไป!” จากนั้นก็เอนกายลง พลิกตัวกลับไปไม่มองเขาอีก

ซ่งอิ้งเทียนได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้ลุกขึ้น ยังคงอยู่ข้างกายนาง ทำงานของเขาต่อไป

นางทั้งโมโหและตระหนกกลัว แต่กลับทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะนางได้เห็นสิ่งที่อยากเห็นจริงๆ

อาจารย์ปู่ที่แซ่ฉีของเขา ประคำปราบมาร ยังมีเหตุการณ์ตอนเขาได้รับประคำเส้นนี้มา

ฝ่ามือยังคงร้อนนิดๆ เจ็บปวดเหมือนถูกอะไรทิ่มแทง ความเจ็บปวดแสบร้อนยังคงอยู่ในหัว ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ทำให้นางตกใจเล็กน้อย

เดิมทีนางแค่อยากหาวิธีทำลายอาคมของประคำเส้นนี้ คิดไม่ถึงว่ากลับเห็นเหตุการณ์ตอนอาจารย์ปู่มอบประคำให้เขา สั่งให้เขาสวมใส่มันและใช้ศาสตร์มืด

‘หากจะใช้ประคำนี้ฆ่ามารปราบปีศาจ เจ้าต้องรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ รู้ว่าทำเช่นนี้จะสร้างความเจ็บปวดอย่างไรบ้าง’

เขาทำตามคำสั่ง

นางไม่อยากเชื่อว่าชายผู้นี้จะโง่งมถึงเพียงนี้ แต่เขาเคยสัมผัสกับความเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกฉีกทึ้งราวกับมีเพลิงเผากายด้วยตัวเองมาแล้วจริงๆ เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ร่างกายไม่มีคำสาปโลหิต ประคำปราบมารเผาคอเขาจนเกิดรอยแผลที่น่ากลัววงหนึ่ง เกือบจะเอาชีวิตเขา

นางคิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้วิชามารในตำรามนตร์ดำ แม้จะไม่มาก แต่เขารู้จริงๆ

เขารู้ตัวว่าเขาทำอะไรกับนาง เขาเคยสัมผัสมันมาก่อน ทว่าเขายังคงทำเช่นนั้น อีกทั้งถ้าเริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้งเขาก็ยังคงจะทำเช่นเดิม

‘เจ้าจับตัวไป๋ลู่ไว้ ทั้งยังทำร้ายนาง คนที่พาเจ้ากลับมาคือข้า หากข้าปล่อยให้เจ้าเที่ยวทำร้ายคนอื่น นั่นย่อมเป็นความผิดของข้า’

เขาพูดเช่นนี้ ทั้งยังจริงจังยิ่ง

หลายวันที่อยู่ร่วมกันมา นางรู้นานแล้วว่าชายผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา และอาจารย์ปู่ของเขาก็ยิ่งไม่ธรรมดา กำราบปีศาจปราบมารสำหรับคนผู้นั้นแล้วเป็นเรื่องปกติ เขาถึงขั้นบงการมารปีศาจได้ด้วยซ้ำ สั่งให้เจ้าพวกนั้นทำงานให้เขา

และประคำปราบมารบัดซบนี่มีเพียงคนอื่นเท่านั้นที่ถอดออกได้ ผู้ที่สวมใส่ไม่สามารถถอดได้เอง

น่าโมโหนัก

ชายหนุ่มตำยาอยู่ข้างหลัง นางมองเห็นเงาร่างเขาถูกแสงไฟทอทาบลงบนผนังห้อง

แม้จะสัมผัสเขาเพียงชั่วครู่ แต่ชั่วครู่นั้นนางก็มองเห็นมากเกินไปแล้ว

เขารู้อะไรมากมาย มากมายเกินไป

เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ อีกทั้งยังไม่ใส่ใจว่าคนอื่นจะมองเขาอย่างไร เขาถึงได้ให้นางอ่านความคิดในหัวเขาอย่างอิสระ

นางรู้ว่าคนอย่างเขาน่ากลัวที่สุด

ชั่วขณะนี้เองที่นางตระหนักว่าการจะพาตัวเองออกไปจากที่นี่ เกรงว่าคงไม่ง่ายดายถึงเพียงนั้น

 

เหมือนแค่ชั่วพริบตา หลายวันคืนก็ผ่านพ้นไป

หลายวันนี้หญิงสาวสงบเสงี่ยมลง ไม่ทำอะไรส่งเดชอีก ถึงขั้นไม่ได้พยายามอ่านใจเขา ไม่ได้พลิกดูความคิดในหัวสมองเขาอีก

หญิงสาวที่เดิมทีมักขึงตาใส่เขาด้วยความโมโหอยู่เสมอเหมือนหมดความสนใจในตัวเขาไปโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าเขาทำอะไร นางล้วนไม่ต่อต้าน ราวกับเขาไม่มีตัวตน

ด้วยเหตุนี้กระดูกซี่โครงที่หักของนางจึงประสานเข้าด้วยกันอีกครั้งในที่สุด ร่างกายก็ไม่ได้มีแผลใหม่เพิ่มเติม

ซ่งอิ้งเทียนอุทานด้วยความตกใจกับความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของหญิงผู้นี้อีกครั้ง

ก่อนหน้านี้เขารู้อยู่แล้วว่ามารปีศาจและมนุษย์กึ่งสัตว์มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งยิ่ง แต่ไม่เคยเห็นใครที่ฟื้นฟูตัวเองได้เร็วเช่นนางมาก่อน ทำให้เขาได้เปิดโลกครั้งใหญ่

นางไม่สนใจเขา เขาก็ไม่ถือสา คนป่วยล้วนหงุดหงิดง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้างนอกยังมีปีศาจตามล่านางอยู่ นางถูกเขาบังคับพาขึ้นมาบนเกาะ เขาสามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดนางมักจะไม่พอใจถึงเพียงนี้

ดังนั้นเขาจึงทำงานของตัวเองไป

เขาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงอาจารย์อาผู้ที่แม้จะอายุมากกว่าท่านพ่อซึ่งอยู่ลำดับสาม แต่กลับยืนกรานให้พวกเด็กๆ อย่างเขาเรียกว่าอาจารย์อา ขอยืมตำราที่อาจารย์ปู่เป็นคนเขียนขึ้นและถือโอกาสนี้แสดงความยินดีกับศิษย์น้องหญิงที่ประสบความสำเร็จในการแต่งงานเป็นภรรยาผู้อื่นแล้ว ทั้งยังเขียนจดหมายอีกฉบับไปขอขมาอาจารย์ลุง บอกว่าตนติดธุระจึงมิอาจเดินทางขึ้นเหนือไปเยี่ยมคารวะ หลังจากนั้นเขียนจดหมายอีกฉบับถึงอาจารย์อาสี่และอาจารย์อาห้า ขอยาสมุนไพรล้ำค่าที่เจริญเติบโตได้เฉพาะในเขตร้อนจัดอย่างเขาเหยี่ยวดำเท่านั้น

ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว อากาศเริ่มเย็น ค่อยๆ หนาวเหน็บ

เขาเห็นนกอพยพบินลงใต้ รู้สึกว่าลมหนาวเริ่มบาดกระดูก

ขณะกำลังครุ่นคิดว่าจะแจ้งไป๋ลู่ให้บอกป้าสามให้ส่งถ่านมาเพิ่มดีหรือไม่ เผื่อไว้ใช้ยามจำเป็น หญิงสาวคนนั้นก็ลุกขึ้นมา

หายากที่จะเห็นนางเคลื่อนไหว เขาไม่รีบเงยหน้ามองนาง เพียงหลุบคิ้วหลุบตาเขียนจดหมายต่อไป

ผ่านไปครู่ใหญ่หญิงสาวที่หลายวันมานี้ไม่สนใจเขาก็กระแอมกระไอสองทีในที่สุด

ซ่งอิ้งเทียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

“นี่”

เขาก้มหน้าตวัดพู่กันอย่างรวดเร็วต่อ

“คนแซ่ซ่ง!”

ครานี้นางขึ้นเสียง น้ำเสียงเจือแววโมโหอยู่ด้วยเล็กน้อย เขาใคร่ครวญดูแล้ว รู้ว่านางไม่มีความอดทนพอที่จะเรียกเขาเป็นครั้งที่สามแน่จึงเงยหน้าขึ้น

“หืม? แม่นาง เจ้าเรียกข้าหรือ”

นางเชิดหน้าขาวซีด จ้องเขาด้วยดวงตาดำสนิทคู่นั้น ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ใช่ ข้าเรียกเจ้า”

เขามองนางและยิ้มน้อยๆ “เจ้ารู้นี่ว่าข้าชื่อซ่งอิ้งเทียน เจ้าเรียกข้าว่าอิ้งเทียนได้”

หางตานางกระตุกทีหนึ่ง เพียงเม้มริมฝีปาก ข่มความรู้สึกอยากสวนกลับเอาไว้ แต่ดวงตายังคงสะท้อนแววไม่พอใจ

เขายิ้มอีก ถามว่า “แม่นางเรียกข้ามีอะไรหรือ”

ได้ยินดังนั้นสีหน้าเย็นชาของนางจึงดีขึ้นหน่อย ชี้สองขาของตัวเองที่ขยับไม่ได้ “ข้าหาใช่คนโง่ ข้าไม่มีทางทำร้ายหญิงผู้นั้นอีกแล้ว ในเมื่อเจ้าให้ข้าสวมประคำบัดซบนี่ไว้ เจ้าถอนเข็มเงินออกไปได้หรือไม่ มันทำให้ข้าไม่สบายตัวมาก”

หลายวันมานี้เขายังคงใช้เข็มเงินควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างของนาง

“หญิงผู้นั้นชื่อไป๋ลู่”

นางจ้องเขา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเอ่ยว่า “ข้าจะไม่ทำร้ายไป๋ลู่อีก ข้ารู้ว่าของกินของใช้ที่นี่ล้วนต้องพึ่งนางนำมาส่งให้ ข้าไม่ได้โง่ถึงเพียงนั้น”

ซ่งอิ้งเทียนฟังแล้วยิ้มน้อยๆ “เจ้าพูดก็ถูก จะให้ข้าถอนเข็มออกใช่ว่าจะไม่ได้ แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้าข้อหนึ่งก่อน”

นางหรี่ตา ข่มโทสะเอ่ยว่า “ข้าตอบแล้วเจ้าจะถอนเข็ม?”

“ข้าสาบานด้วยหลุมศพของอาจารย์ปู่ข้าเลย” เขาชูมือขวาขึ้นพลางยิ้มตอบ

นางฟังแล้วจึงเอ่ยปากเสียงเย็น “ถามมาสิ”

เขาถือพู่กันจ้องมองนาง เอ่ยปากถามว่า “เจ้าชื่ออะไร”

ถ่านในเตาฝังพื้นค่อยๆ กระจายความร้อนออกมา

นางมองเขาอย่างเย็นชา ริมฝีปากแดงปิดสนิท ไม่เผยอออกแม้แต่น้อย

เขาอมยิ้ม จ้องนางตาไม่กะพริบ

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เหมือนตระหนักว่าถ้านางไม่ตอบ เขาจะไม่ถอนเข็มให้ นางจึงเป็นฝ่ายถอยในที่สุดและเอ่ยปาก

“อาหลิง” นางจ้องเขาเขม็ง “ข้าชื่ออาหลิง”

“เขียนอย่างไร”

“สามหยดน้ำ สายฝน และคำสั่ง”

ซ่งอิ้งเทียนไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือคำโกหก ทว่าเวลานี้เท่านี้ก็พอแล้ว เขาวางพู่กัน ลุกขึ้นเดินมานั่งยองข้างกายนาง ช่วยถอนเข็มเงินที่จำกัดการเคลื่อนไหวของนางไว้

ชั่วขณะหนึ่งเขาคิดจริงๆ ว่านางจะฉวยโอกาสนี้โจมตีเขา ซ่งอิ้งเทียนกลั้นหายใจเตรียมพร้อมไว้แล้ว

ทว่านางไม่ได้ทำเช่นนั้น นางเพียงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง

เขาไม่ห่วงว่านางจะหนีไป บริเวณรอบนอกเกาะมีค่ายกลลวงวิญญาณอยู่ และเขารู้ว่านางรีบร้อนถึงเพียงนี้จะไปที่ใด

เป็นดังที่คิด ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงประตูห้องส้วมถูกลากเปิด ก่อนจะกระแทกปิดอย่างแรง

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนรถหรือในโรงเตี๊ยม หากนางอยากปลดทุกข์ล้วนจำเป็นต้องใช้ถังถ่าย หรือไม่ก็เป็นเขาที่อุ้มนางไปห้องส้วมเพื่อทำธุระ พอกลับมาบนเกาะ นางถูกจำกัดการเคลื่อนไหวของขาทั้งสองข้างจึงต้องพึ่งพาไป๋ลู่

วันนี้ไป๋ลู่ติดธุระมาไม่ได้ มิอาจช่วยเหลือนาง นางอดทนจนถึงตอนนี้น่าจะถึงขีดจำกัดแล้ว

คิดดูก็รู้ว่าหญิงผู้นี้ต่อให้ต้องตายก็ไม่อยากพึ่งความช่วยเหลือจากเขาอีก

ซ่งอิ้งเทียนคลี่ยิ้มน้อยๆ กลับไปนั่งข้างโต๊ะเตี้ย หยิบที่หยดน้ำรูปร่างอวบกลมขึ้นมา เติมน้ำลงในแท่นฝนหมึก จากนั้นก็หยิบแท่งหมึกขึ้นมาฝนหมึกสีดำเพิ่ม จับพู่กันเขียนจดหมายต่อ

เขาเดาว่าต่อให้ออกมาจากห้องส้วมแล้ว นางคงยังไม่กลับมาในชั่วเวลาสั้นๆ แน่

เรื่องบางอย่างหากไม่ลองดูด้วยตัวเองย่อมไม่มีทางถอดใจ

 

หิมะโปรยปราย

นอกประตูบานเลื่อนที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง เกล็ดหิมะสีขาวเกล็ดแล้วเกล็ดเล่าโปรยปรายลงมาอย่างแผ่วเบา

หิมะตกๆ หยุดๆ มาหลายวันแล้ว ทำให้พื้นดินเหมือนถูกคลุมด้วยผ้าขาวชั้นหนึ่ง

อาหลิงตื่นขึ้นมาท่ามกลางความพร่าเลือน มองทิวทัศน์สงบเงียบตรงหน้า เป็นเวลาครู่ใหญ่ที่นางนอนอยู่เช่นนี้ มองเกล็ดหิมะนอกประตูหน้าต่างปลิวว่อนช้าๆ อย่างไร้เสียง

พริบตาเดียวก็มาอยู่ที่นี่ได้เดือนกว่าแล้ว

นางได้ยินเสียงขุนนางสุนัขผู้นั้นพูดคุยกับคนแซ่ซ่งอย่างแผ่วเบา

ความโมโหผุดขึ้นในใจอย่างไร้สาเหตุ ทำให้นางขมวดคิ้ว ไม่อยากอยู่ในห้องอีก จึงเลิกผ้าห่มลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก

พอออกจากประตู พ้นจากความอบอุ่นที่ส่งมาจากเตาฝังพื้น ไอเย็นก็ปะทะใบหน้า อากาศนอกห้องหนาวยิ่งนัก หิมะสีขาวทับถมอยู่เต็มพื้น

นางไม่สนใจ

เท้าเปล่าเหยียบย่ำไปบนพื้นหิมะเย็นเฉียบบาดกระดูก พริบตาเดียวก็เข้าไปในป่า

ไม่มีคนมาขวางนาง ไม่มีคนมาห้ามนาง

นางรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ทว่ายังคงอดลองดูไม่ได้

ป่าไผ่ลึกมาก ออกจากป่าไม้ก็เป็นป่าไม้ แม้แต่บริเวณนี้ยังมีหิมะทับถมอยู่เต็ม นางเดินหน้าไปโดยไม่เหลียวหลัง เดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งตรงหน้าโปร่งโล่งอีกครั้ง นางเดินออกจากป่า เห็นพื้นที่โล่งที่เต็มไปด้วยหิมะสีขาว ตรงกลางพื้นหิมะมีเรือนหลังหนึ่งตั้งอยู่

ทั้งที่นางเดินตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวโดยไม่หันหลังกลับ แต่กลับมาโผล่ที่เดิม แม้จะมิใช่ประตูห้องที่เพิ่งก้าวออกมาเมื่อครู่นี้ แต่นี่กลับเป็นอีกด้านของเรือนหลังเดียวกัน

ประตูบานเลื่อนเปิดกว้าง บุรุษสองคนนั่งอยู่ในห้องโดยมีโต๊ะเตี้ยคั่นกลาง พวกเขากำลังเดินหมาก

ห้องทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเรือนมีควันไฟจากการหุงหาอาหาร กลิ่นหอมของอาหารลอยมา หลังบานหน้าต่างที่ถูกไม้ค้ำยันไว้หญิงโง่คนนั้นกำลังล้างมือต้มน้ำแกงอยู่ในห้องครัว

อาหลิงขึงตามองชายสองคนที่กำลังพูดคุยหัวเราะและเดินหมากกัน รู้สึกแต่ว่าโมโห

มือปราบที่ขัดขวางการหลบหนีของนางแซ่ซู ชื่อเสี่ยวเม่ย เขาบอกว่าเขามาจับผู้ร้ายฆ่าคน เขาคิดว่าซ่งอิ้งเทียนเป็นฆาตกร แต่ไป๋ลู่กลับบอกว่าตนเป็นคนฆ่าเอง

หญิงผู้นั้นโกหก ทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี

เดิมทีซูเสี่ยวเม่ยจากไปแล้ว ถูกไป๋ลู่ยั่วโมโหจนจากไป แต่สองวันก่อนเขากลับมาอีกครั้ง คนแซ่ซ่งไม่ขัดขวางเขา ทั้งยังให้เขาพักที่นี่

วันนั้นตอนซูเสี่ยวเม่ยบุกเข้ามา หลังความวุ่นวายโกลาหล สารเลวแซ่ซ่งใช้เข็มเงินจิ้มนางอีกครั้ง ทำให้นางหมดสติไป พอนางฟื้นมาถึงพบว่าเขาสวมประคำหยกที่สลักคาถาเส้นหนึ่งให้กับนาง

ประคำปราบมารกดพลังมารในตัวนางไว้ ทำให้นางมิอาจใช้พลังมืดในตำรามนตร์ดำได้

แค่นางพยายามที่จะใช้วิชามารที่เรียนรู้มาจากตำรามนตร์ดำของมารปีศาจพวกนั้น คาถาในประคำหยกบนคอก็จะแผดเผานาง

คาถานั้นเหมือนค่ายกลลวงวิญญาณนอกเรือนหลังนี้ ล้วนไม่ใช่สิ่งที่นางคุ้นเคย

หลังจากนั้นอาหลิงก็ไม่ใช้วิชาในตำรามนตร์ดำอีก

คืนวันนั้นนางแค่ขาดสติไปชั่วครู่ ถึงได้ทำอะไรตามอารมณ์

นางหาใช่คนโง่ หลังจากอ่านใจเขาแล้วก็รู้ดีว่าการใช้ไม้แข็งกับชายผู้นี้ไม่มีประโยชน์ เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แต่ที่นางสามารถรับมือกับเหล่ามารปีศาจที่อยากจะกินนางมาได้เป็นพันปีก็ไม่ได้อาศัยความเจ้าอารมณ์ของตัวเองเหมือนกัน

ผู้รู้จังหวะและโอกาสจึงจะเป็นคนฉลาด ศักดิ์ศรีหน้าตาไม่มีราคาแม้แต่ครึ่งอีแปะ*

ครั้นตระหนักว่าตัวเองไม่มีทางไปจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย อาหลิงจึงเก็บความหงุดหงิดและความโมโหลงไป มีให้กินก็กิน มีให้ใช้ก็ใช้ ถ้าเขาจะตรวจดูร่างกายก็ให้เขาตรวจ เขาจะจับชีพจรให้ นางก็ไม่ขัดขืน

เพื่อให้เขาคลายความระแวดระวัง นางถึงขั้นพยายามปั้นยิ้มประจบ แต่ไม่รู้เหตุใดชายผู้นี้ถึงมักทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเสียดสีเหน็บแนม

ยากเย็นทีเดียว หลังจากอดทนและเป็นฝ่ายถอยหลายครั้ง เขาก็ไม่ใช้เข็มเงินจำกัดการเคลื่อนไหวของนางอีก

นางรู้ว่าเขาตระหนักดีว่าลำพังตัวนางเองไม่มีทางเดินออกไปจากค่ายกลลวงวิญญาณได้ ดังนั้นจึงกล้าปล่อยให้นางเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ

เพียงแต่ตอนนั้นนางคิดว่าตัวเองทำได้จริงๆ

ใครจะไปคิดว่าผ่านไปเดือนกว่าแล้ว นางกลับยังถูกขังอยู่ที่นี่

นางเคยสะกดรอยตามไป๋ลู่กับซูเสี่ยวเม่ยที่เข้าออกที่นี่บ่อยๆ ทว่าทุกครั้งล้วนเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หลงทิศ

นางเคยแอบอ่านใจของไป๋ลู่กับซูเสี่ยวเม่ย แต่ค่ายกลนี้น่าโมโหตรงที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละบุคคล นางลองเดินตามวิธีที่ซ่งอิ้งเทียนสอนไป๋ลู่กับซูเสี่ยวเม่ย แต่กลับไม่ได้ผล

ภายหลังนางพยายามหลอกใช้ไป๋ลู่ ทั้งยังเคยล่อลวงซูเสี่ยวเม่ย คิดจะให้พวกเขาพานางออกไป แต่ไป๋ลู่จงรักภักดีต่อคนแซ่ซ่งเป็นที่สุด คนแซ่ซูผู้นั้นก็หาใช่คนธรรมดา เขารู้ว่านางสะกดจิตคนได้ มักจะเปิดโปงเจตนาของนางได้อย่างง่ายดายเสมอ

สารเลวซ่งอิ้งเทียนรู้ว่านางอ่านใจได้ ล่อลวงคนได้ จึงเคยเตือนซูเสี่ยวเม่ยกับไป๋ลู่ บอกพวกเขาสองคนว่าอย่าสบตากับนาง ทำให้นางใช้วิธีนี้ได้ยากขึ้น

การใช้วาจาล่อลวงใจคนไม่จำเป็นต้องใช้ศาสตร์มืดในตำรามนตร์ดำ หากสามารถสบตากับอีกฝ่าย นางจะทำได้ง่ายยิ่งขึ้น

ชายผู้นั้นพูดไม่ผิด นางอ่านใจได้

มนุษย์โง่มาก ละโมบอย่างยิ่ง มักมีความต้องการอยู่เสมอ

การอ่านใจเป็นความสามารถที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เกิด พึงรู้ว่าเรื่องที่ผู้คนใฝ่ฝันปรารถนา สำหรับนางล้วนจัดการได้ง่ายดายเหลือเกิน

อันที่จริงนางเกลียดความสามารถนี้ยิ่งนัก หากไม่จำเป็นจริงๆ นางไม่เคยคิดอยากจะไปสัมผัสตัวใครเลย

นางไม่อยากเข้าใจเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของผู้คน รู้สึกเพียงว่านั่นเป็นสิ่งสกปรก

…สกปรกอย่างยิ่ง

อดีตอันมืดมิดห่างไกลออกไปจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง ทำเอาอาหลิงโมโหและเดือดดาลกว่าเดิม นางปัดมันทิ้งอย่างขุ่นใจ หันหลังออกเดินอีกครั้ง ทั้งที่รู้ดีว่าออกไปจากที่นี่ไม่ได้ แต่ยังคงอดไม่ได้ที่จะทดลองดู

ค่ายกลเปลี่ยนแปลงได้ ทว่าต่อให้ค่ายกลนี้เปลี่ยนรูปแบบได้เป็นพันเป็นหมื่น นางทดลองดูทั้งหมด ในที่สุดย่อมต้องได้คำตอบ

ฟ้าดินเฉียนคุน หยินหยางไร้จุดสิ้นสุด

ไร้จุดสิ้นสุด? ผายลมน่ะสิ!

นางไม่มีอะไร สิ่งที่มีมากที่สุดกลับเป็นเวลา

แค่มนุษย์คนหนึ่ง คิดจะกักขังนางเอาไว้หรือ

เขาน่ะรึ?

ถุย! เขาคิดว่าตัวเองเป็นตัวอะไร!

อาหลิงเดินตรงไปข้างหน้าตลอด เดินตรงต่อไป ครานี้ใช้ก้าวย่างเจ็ดดาราแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวทิวทัศน์ของป่าข้างหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง กว่านางจะเดินออกมาจากป่าได้อย่างยากเย็นถึงพบว่าตัวเองกลับมาที่เดิมอีกแล้ว

เพียงแต่ครานี้นางอยู่นอกประตูใหญ่หน้าเรือน

นางพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า ลองแล้วลองอีก เดินจนขาแทบหัก ทั่วทั้งป่าเต็มไปด้วยรอยเท้าของนาง แต่ก็ยังเดินออกไปจากที่นี่ไม่ได้

จวบจนฟ้ามืด แสงไฟสว่างขึ้น

เมื่อมองเห็นเรือนหลังเดิมอีกครั้ง อาหลิงก็โมโหจนแทบอยากจุดไฟเผาป่านี้ทิ้งเสียเลย แต่ความจริงเมื่อหนึ่งเดือนก่อนนางลองใช้วิธีวางเพลิงแล้ว

หลังจากวางเพลิง อากาศภายในค่ายกลก็กลับปรวนแปรทันที เกิดฝนตกหนัก ไม่เพียงดับไฟไปได้ ยังทำให้นางกลายเป็นลูกหมาตกน้ำอีกด้วย

คิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้วนางยิ่งโมโห

ครั้นรู้ว่านางวางเพลิง เขาก็ใช้เข็มเงินควบคุมนางอีกครั้ง

การถูกผู้อื่นจำกัด ควบคุมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ทำให้นางโมโหมากจริงๆ แต่เขาดันมีวิชายุทธ์แข็งแกร่ง นางพยายามโจมตีเขาหลายครั้งล้วนเป็นฝ่ายถูกควบคุมเสมอ สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือเข็มเงินบัดซบของเขา

แค่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวก็แล้วไปเถอะ ชายผู้นั้นยังจะปั้นยิ้มเต็มหน้า แสดงท่าทางมีความสุขบนความทุกข์ของนางอยู่ข้างๆ

‘บอกตามตรง ข้าทำเช่นนี้ก็เพราะหวังดีกับเจ้านะ’

เขานอนตะแคงอยู่ข้างฟูกนุ่มของนาง มือหนึ่งยันศีรษะ มือหนึ่งพลิกตำราด้วยท่าทีเบื่อหน่ายและบ่นนาง

‘ข้ายังคิดว่าเจ้าเฉลียวฉลาดทีเดียว น่าจะรู้ว่าต่อให้วางเพลิงเผาป่าก็มิอาจทำลายค่ายกลได้ แต่ในเมื่อเจ้าไม่รู้ ข้าย่อมได้แต่ชี้แจงให้เจ้าฟังด้วยความหวังดี เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเกาะนี้จึงมีชื่อว่าเกาะปีศาจ’

นางไม่สนใจ ขอร้องเถอะ ไม่ต้องมาอธิบายให้ฟังตั้งแต่ต้นหรอก

แต่สารเลวผู้นี้ไม่ได้ตระหนักแม้แต่น้อยว่านางไม่อยากฟัง เพียงอ่านตำราอย่างเกียจคร้านและพูดไปด้วย ‘นั่นเป็นเพราะว่าในอดีตเกาะนี้เป็นของท่านตาข้า ท่านตาข้าอยู่ในยุทธภพมีฉายาด้วยนะ ผู้คนเรียกขานเขาว่าหมอปีศาจ ผู้คนต่างว่าพญายมต้องการให้คนตายยามสาม หมอปีศาจยื้อวิญญาณไว้ได้จวบจนเช้า ใต้หล้านี้มีเพียงหมอปีศาจที่สามารถทำให้คนฟื้นคืนชีพได้แม้จะอยู่ในเงื้อมมือพญายมแล้ว แน่นอน ข่าวลือส่วนใหญ่ล้วนกล่าวเกินจริง แต่ท่านตาข้าแม้มิอาจแย่งชีวิตคนกับพญายมได้ ทว่าเขาคบค้าสมาคมอยู่กับผีปีศาจจริงๆ’ พูดพลางเงยหน้ามองนาง ยกมุมปากขึ้น ‘ค่ายกลลวงวิญญาณบนเกาะปีศาจแห่งนี้เป็นสิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนมาจากยมทูต อย่าว่าแต่ผีปีศาจทั่วไปเลย ต่อให้เป็นเทวดาหรือเซียนก็เดินออกไปไม่ได้อยู่ดี อีกอย่าง ออกจากเกาะนี้แล้วมารปีศาจเหล่านั้นย่อมต้องมาหาเจ้า อยู่ที่นี่กับข้ามีกินมีใช้ เจ้ายังถือโอกาสนี้พักฟื้นได้ด้วย มิใช่เรื่องดีหรอกหรือ’

อาหลิงถลึงตาใส่เขาด้วยความโมโห ชายผู้นั้นกลับหลุบตาลง พลิกตำราในมือตัวเองและพูดต่อ

‘แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดปีศาจเหล่านั้นต้องตามล่าเจ้า แต่ต่อสู้กันทั้งวี่ทั้งวันเจ้าไม่เหนื่อยบ้างหรือ จะว่าไปเจ้าคงมิใช่มนุษย์กึ่งสัตว์กระมัง ถ้าเป็นมนุษย์กึ่งสัตว์ แล้วเจ้าเป็นมนุษย์กึ่งสัตว์ประเภทใด จิ้งจอก? แมว? กวาง? หมูป่า? คงไม่ใช่หมาป่ากระมัง ได้ยินว่าหมาป่าเพศเมียดุร้ายมาก หา! หรือว่าเจ้าจะเป็นเสือ?’

พูดพลางเงยหน้ามองนางอย่างประหลาดใจ เห็นนางเอาแต่ถลึงตาไม่พูดจา จึงเลิกคิ้วถามหยั่งเชิงอีกครั้ง

‘หรือว่าเสือดาว? แมวป่า? ไม่ใช่กระมัง หรือจะเป็น…’ เขาทำสีหน้าตื่นตะลึง ขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม รูม่านตาสีดำเปล่งประกายขณะถาม ‘หมีหรือ’

อาหลิงโมโหจนควันออกเจ็ดทวาร ซ่งอิ้งเทียนกลับดีดนิ้ว ทำท่าเหมือนเข้าใจ พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

‘ช้าก่อน ข้ารู้แล้ว เป็นหมีแมว!’ พูดพลางวาดวงกลมสองข้างรอบตาตัวเอง เอ่ยว่า ‘เจ้ารู้จักหรือไม่ สัตว์ที่มีเฉพาะแถบซื่อชวนน่ะ สองตามีวงกลมสีดำ ตัวอ้วนขนขาว มือเท้าล้วนเป็นสีดำ ขาทั้งสี่สั้นป้อม ตัวที่ชอบกินไม้ไผ่’

หมีแมว? หมีแมว?!

บอกว่านางเป็นหมูป่า หมี หมาป่า หรือเสือก็แล้วไปเถอะ แต่กลับบอกว่านางเป็นหมีแมว?!

ทั้งยังตัวอ้วนขนขาว? ขาทั้งสี่สั้นป้อม?

นางตัวอ้วนขนขาวตรงที่ใด ขาทั้งสี่สั้นป้อมตรงที่ใด

ตั้งแต่หัวจรดเท้านางมีส่วนใดที่เหมือนกับเจ้าสัตว์อ้วนนิ่มเกียจคร้านเช่นนั้นบ้าง

เหมือนตรงที่ใดบ้าง?!

อาหลิงโมโหจนเหลือกตาไม่หยุด อยากจะคำรามใส่เขาเหลือเกิน ถ้าสายตาสามารถฆ่าคนได้ เขาคงตายไปแปดร้อยรอบแล้ว จากนั้นคนโง่งมผู้นี้ถึงได้ตระหนัก

‘อา ขออภัย ลืมไปว่าข้าผนึกจุดใบ้ของเจ้าไว้ เจ้าพูดไม่ได้ ข้าก็ว่าอยู่ไยเจ้าถึงไม่ตอบ’ พูดพลางยื่นนิ้วมือออกไปหานาง

นางมองเขา ร้อนใจจะเอ่ยปาก สองนิ้วของเขาสัมผัสผิวกายนางทว่ากลับชะงักทันใด ก่อนจะหดมือกลับไป

‘เฮ้อ ช่างเถอะ’ เขามองนางและยิ้มพูด ‘ถ้าข้าคลายจุดชีพจรให้เจ้า แปดส่วนเจ้าคงส่งเสียงจนลำคอบาดเจ็บ เจ้าวางเพลิงเผาป่าจนสำลักควันดำเข้าไป เสียงยังแหบอยู่เลย ข้าให้เจ้าพักผ่อนอีกสองสามวันค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า’

เขาจงใจชัดๆ!

ชั่วขณะนั้นถ้านางขยับได้ คงยื่นมือไปบีบคอสารเลวผู้นี้ให้ตายไปแล้ว! แต่นางทำไม่ได้ นางขยับไม่ได้ ได้แต่นอนอยู่ตรงนั้นฟังเขาบ่นต่อ

‘ว่าก็ว่าเถอะ เจ้าคงไม่บอกข้าว่าเหตุใดปีศาจเหล่านั้นถึงมาก่อกวนเจ้ากระมัง ถ้าเจ้ายอมพูด หากช่วยได้ข้าต้องช่วยแน่ เป็นอย่างไร เจ้าอยากคุยเรื่องนี้หรือไม่’

อาหลิงจ้องเจ้าคนที่ยิ้มหน้าบานเขม็ง จากนั้นตัดสินใจหลับตาทั้งสองข้างลง

‘ข้าว่าอยู่แล้ว’ เขาไม่โกรธไม่โมโห และไม่ซักไซ้อีก เพียงพูดอย่างเกียจคร้าน ‘ดีเหมือนกัน ย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว ออกเดินทางเวลานี้เหนื่อยทีเดียว รอให้พ้นฤดูหนาวนี้ไปก่อนเถอะ พูดถึงฤดูหนาว ใกล้ถึงเทศกาลทำเนื้อตากแห้งรมควันแล้ว หมู่นี้โรงยาของพวกเรากำลังยุ่งกับการเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วง รอให้เก็บเกี่ยวเสร็จ ไป๋ลู่น่าจะเอาเนื้อตากแห้งรมควันที่พวกป้าสามทำมาให้หลายชิ้น พูดถึงเนื้อตากแห้งรมควันแล้วข้าก็น้ำลายสอ เนื้อตากแห้งรมควันลวกเอาเกลือทิ้ง เติมต้นอ่อนกระเทียมลงไปหน่อย เหยาะสุราที่หมักจากข้าวเล็กน้อย ผัดด้วยไฟแรง กินกับข้าวสวยที่หุงจากข้าวใหม่ที่เพิ่งเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง แค่คิดก็ทำเอาคนน้ำลายยืดไปสามเชียะ…’

ยืนอยู่กลางพื้นหิมะ นางปัดความคิดเหลวไหลถึงอาหารของสารเลวผู้นั้นออกไป แต่ยังคงได้กลิ่นหอมของเนื้อตากแห้งรมควัน

วันนี้ไป๋ลู่เอาเนื้อตากแห้งรมควันกับกุนเชียงมาด้วยจริงๆ

ควันไฟจากการทำอาหารม้วนตัวขึ้นข้างบน กลิ่นเค็มปนหอมของเนื้อตากแห้งรมควันคละเคล้ากับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของข้าวสวย แน่นอนต้นอ่อนกระเทียมกับสุราที่หมักจากข้าวยิ่งขาดไปไม่ได้ ทำให้นางได้กลิ่นแล้วน้ำลายสอจริงๆ

น่าโมโหนัก!

อาหลิงกำหมัดแน่น เม้มริมฝีปาก ใจรู้ดีว่าชายผู้นั้นมั่นใจว่านางเดินออกไปไม่ได้ก็จะกลับมาเอง

คิดได้เช่นนี้นางก็หมุนตัวด้วยความโมโห ออกห่างจากเรือนหลังใหญ่ที่ดูอบอุ่นยิ่งกว่าที่ใดๆ ท่ามกลางค่ำคืนที่หิมะตกเช่นนี้ ยังคงได้ยินเสียงตะกละของเขาดังสะท้อนอยู่ในหัว

‘อา ถ้าได้น้ำแกงไก่ใส่ผักกาดขาวตุ๋นเต้าหู้อีกสักชาม ต้องเยี่ยมยอดกว่านี้แน่…’

 

ฟ้ามืด ดึกมากแล้ว

ซูเสี่ยวเม่ยกับไป๋ลู่กินข้าวมื้อเย็นเสร็จก็จากไปพร้อมกัน เดินทางกลับสำนักสนองฟ้า

หิมะตกแล้วหยุด หยุดแล้วตกอีก กลบรอยเท้าบนพื้นหิมะไปจนไม่เหลือร่องรอย แต่หญิงสาวที่ดื้อรั้นคนนั้นยังคงเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอกไม่ยอมกลับมา

บอกตามตรง เดิมทีเขาคิดจริงๆ ว่านางหิวแล้วย่อมกลับมาเอง

ข้าวอบเนื้อตากแห้งรมควันหอมถึงเพียงนี้ น้ำแกงไก่ใส่ผักกาดขาวตุ๋นเต้าหู้ยิ่งหอมละมุนลิ้น เขายังอดใจไม่ไหวกินเพิ่มอีกตั้งหลายชาม ถ้าไม่เพราะนึกขึ้นได้ว่านางยังไม่ได้กิน เขาคงกวาดพวกมันลงท้องไปให้หมด

ยิ่งดึก หิมะยิ่งตกหนักกว่าเดิม

หากเป็นวันอื่นเขาคงปล่อยให้นางนอนอยู่ข้างนอก แต่ดูท่าลมหิมะคงไม่หยุดง่ายๆ ไม่แน่อาจจะตกลงมาทั้งคืน เขาไม่อยากเจอนางนอนแข็งตายอยู่ในป่าวันถัดไป ด้วยนิสัยดื้อรั้นหัวแข็งของนาง เป็นไปได้จริงๆ ที่จะยินดีอยู่ท่ามกลางหิมะไม่ยอมกลับมา

ซ่งอิ้งเทียนยื่นมือออกไป เขียนอักษรตัวหนึ่งกลางอากาศ

ควันจากกำยานที่เดิมทีลอยวนอยู่เหนือโต๊ะเตี้ยพลันลอยมารวมตัวกันตรงหน้า กลายเป็นภาพพื้นที่บนเกาะ ในนั้นมีพื้นที่จุดหนึ่งที่เด่นชัดเป็นพิเศษ รวมตัวกันเป็นตัวอักษรที่เขาเพิ่งเขียนไป

 

‘หลิง’

บทที่ 8

นางไม่ขยับ แต่อยู่ที่เดิมนิ่งๆ แปดส่วนคงเหนื่อยแล้ว

ว่าก็ว่าเถอะ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหญิงผู้นี้ค่อนข้างฉลาด แต่ไม่รู้เหตุใดจึงชอบหาเรื่องใส่ตัวนัก

เขายื่นมือออกไปปัดเบาๆ ให้ควันสลายไป ปิดตำราที่อาจารย์อาให้คนส่งมาให้ ก่อนจะลุกขึ้นสวมเสื้อคลุม สวมรองเท้าหุ้มข้อที่ข้างประตู ถือร่มและเปิดประตูเดินออกไป

ข้างนอกไม่มีลมสักเท่าไร แต่หิมะตกไม่เบาเลย เขากางร่ม ถือโคมไฟที่อยู่นอกประตูก้าวลงจากบันได ย่ำพื้นหิมะมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่หญิงสาวผู้นั้นอยู่

หิมะสีขาวโปรยปรายลงมาเงียบๆ

ตั้งแต่ก่อนที่หิมะจะตกลงมา ต้นไม้ในป่าก็ทิ้งใบจนหมด เหลือเพียงกิ่งไม้โล้นๆ ตัดกันไปมากลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ยามนี้กิ่งไม้เหล่านั้นมีหิมะสีขาวทับถม บางส่วนถึงขั้นมีแท่งน้ำแข็งย้อยลงมา

นี่ยังไม่ถึงช่วงที่หนาวที่สุดด้วยซ้ำ ปกติที่นี่ไม่หนาวถึงเพียงนี้ เห็นทีปีนี้จะเป็นปีที่หนาวเหน็บยิ่ง

ในคืนหิมะตก แสงไฟส่องพื้นหิมะและป่าไม้ข้างหน้า

หิมะสีขาวสะท้อนแสงไฟ ทำให้รอบด้านสว่างกว่าเดิม ซ่งอิ้งเทียนย่ำเท้าไปบนพื้นหิมะทีละก้าว ไม่นานก็เห็นเงาร่างที่ขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่

นางงอขาข้างหนึ่ง วางมือบนหัวเข่า ดวงหน้าเล็กหนุนอยู่บนท่อนแขนขาวเนียนดุจหิมะ

แขนและมือขวาของนางที่ถูกกัดขาดงอกใหม่สมบูรณ์แล้ว มองไม่เห็นรอยแผลแม้แต่น้อย แต่เส้นผมและร่างกายนางมีหิมะเกาะเต็มเพราะอยู่นิ่งๆ ที่เดิมมาพักหนึ่ง

อาหลิงรู้สึกได้ว่าเขามา นางเงยหน้าลืมตา หิมะที่ทับถมอยู่บนร่างกายร่วงหล่น เผยให้เห็นเสื้อบางๆ ตัวนั้น

เห็นเขาแล้ว ดวงตานางก็ฉายแววโมโห

พลันสายลมพัดมาวูบหนึ่ง พาให้ผมยาวกับแขนเสื้อนางปลิวสะบัดท่ามกลางลมหิมะ

ทั้งที่หิมะกำลังตก หญิงผู้นี้กลับสวมเพียงเสื้อตัวนั้น ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่ถุงเท้านางยังไม่สวม รองเท้าก็ไม่ใส่ วิ่งออกมาข้างนอกทั้งที่สองเท้าเปล่าเปลือยเช่นนี้

เขารู้ว่านางใช้สองเท้าที่เปลือยเปล่าคู่นี้เดินอยู่กลางพื้นหิมะเย็นเฉียบมาทั้งวัน

ร่างกายนางฟื้นฟูเร็วยิ่ง หากเป็นแค่แผลเล็กๆ พริบตาเดียวก็หายแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่านางไม่เจ็บ ทั้งยังไม่ได้หมายความว่านางไม่เหนื่อย ประสบการณ์หลายครั้งที่ผ่านมาทำให้เขารู้ว่าหลังจากร่างกายนางซ่อมแซมตัวเองแล้ว กลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งกว่าเดิม จนกระทั่งได้กินอาหารเข้าไปจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

วันนี้นางเดินเท้าเปล่าทั้งวัน เท้าได้รับบาดเจ็บและฟื้นฟูกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นมีแต่จะยิ่งสูบพลังนางให้หมดไปมากยิ่งขึ้น

ซ่งอิ้งเทียนกางร่มถือตะเกียงเดินไปตรงหน้าอาหลิง หลุบตามองนาง ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “ถามจริง เจ้าไม่หนาวหรือ”

นางแหงนหน้ามองเขา จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา ย้อนถาม “เจ้าอยากรู้หรือ”

“อยากสิ” เขาตอบโดยไม่กะพริบตา

นางอ้าปากกำลังจะพูด เขากลับไม่เปิดโอกาส เพียงจ้องนางและอมยิ้มเอ่ยว่า “ตามหลักแล้วเจ้าไม่มีขน ไม่มีเกล็ด น่าจะกลัวหนาว แต่อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ เจ้าสวมใส่เสื้อผ้าแค่นี้และวิ่งออกมา เจ้าอยากทรมานตัวเองหรือทรมานข้ากันแน่”

ได้ยินดังนั้นดวงตานางก็พลันเย็นเยียบ เขาแทบจะเห็นเปลวไฟพุ่งออกมาจากนัยน์ตาดำสนิทของนาง แต่ครานี้ไม่รู้เป็นเพราะโมโหเกินไปหรือมีแผนการอะไร นางไม่บันดาลโทสะ กลับลุกขึ้นปัดหิมะที่หลงเหลืออยู่บนร่างกายออก ยิ้มตอบว่า “อาหลิงไหนเลยจะกล้าทรมานคุณชาย หากเกิดอะไรขึ้นให้พี่ไป๋ลู่พบเห็นเข้า จะไม่สั่งให้ท่านซูจัดการข้าจนตายหรือ”

“ท่านซูเป็นคนมีความสามารถ แต่เขาก็แยกแยะผิดชอบชั่วดี เจ้าไม่ต้องห่วงหรอกว่าเขาจะเห็นแก่เรื่องส่วนตัวและจัดการเจ้า” เขาขยับร่มมาเหนือศีรษะนาง ช่วยบังหิมะสีขาวที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ถามว่า “ไป๋ลู่อายุมากกว่าเจ้าหรือ”

คนผู้นี้เรื่องใดไม่ถาม กลับมาถามเรื่องนี้

นางชะงักไปเล็กน้อย โทสะพวยพุ่งขึ้นมาอีก ไม่ง่ายเลยกว่าจะกดข่มลงไปได้และคลี่ยิ้มหวาน

“พี่ไป๋ลู่ก็เป็นคนที่คุณชายท่านเก็บกลับมาเมื่อหลายปีก่อนมิใช่หรือ ข้าเรียกนางว่าพี่สาวย่อมไม่เกินไปกระมัง”

“นั่นสินะ” เขายิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะ ถือโอกาสนี้ยื่นตะเกียงให้นาง

อาหลิงลังเลครู่หนึ่ง ทว่ายังคงรับไว้

พอมือเขาว่างก็ช่วยนางปัดหิมะที่ยังหลงเหลืออยู่บนศีรษะออก

“ตรงนี้ยังมีหิมะอยู่” เขาพูด จากนั้นค่อยเอ่ยถาม “ว่าแต่ร่างกายของเจ้าเป็นไข้หวัดได้หรือไม่”

นางอึ้งไป ยังไม่ทันตอบ เขาก็เป็นฝ่ายตอบเสียเอง

“ข้าว่าน่าจะได้นะ” เขายิ้มมองนาง “จุดไป่ฮุ่ยบนกระหม่อมเป็นจุดชีพจรหลักของธาตุหยาง ถ้าจุดไป่ฮุ่ยได้รับความเย็นย่อมเป็นไข้หวัดได้ง่าย เจ้าระวังหน่อยดีกว่า”

นางจ้องเขา โทสะพุ่งขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ซ่งอิ้งเทียนคว้ามือนางไว้ก่อนที่นางจะสะบัดหน้าจากไป

มือใหญ่ของเขาร้อนระอุ ดวงตาทอยิ้มยามอยู่ใต้แสงไฟดูอบอุ่นและอ่อนโยนยิ่งกว่าเดิม

เดิมทีนางอยากสะบัดมือเขาออก แต่ในหัวของชายผู้นี้เต็มไปด้วยข้าวอบเนื้อตากแห้งรมควันหอมกรุ่น น้ำแกงไก่ใส่ผักกาดขาวตุ๋นเต้าหู้ควันฉุย ยังมีเตาฝังพื้นกับผ้าห่มอุ่นฟู ทำเอานางที่เดิมทีหิวจนหน้าอกแนบติดแผ่นหลังน้ำลายสอจนแทบจะหยดออกมา

“อากาศหนาวมาก พวกเรารีบกลับเรือนไปดื่มน้ำแกงร้อนๆ ขับไล่ไอเย็นกันเถอะ”

เขาพูดพลางกางร่ม จูงมือนางและหันหลังเดินกลับตามทางเดิม

ในใจนางต่อต้านอยู่ครู่หนึ่ง แต่รสชาติของข้าวอบเนื้อตากแห้งรมควันกับน้ำแกงไก่ตุ๋นเต้าหู้ผุดขึ้นในหัวอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้นางแค่ได้กลิ่นเท่านั้น ยังสามารถโน้มน้าวตัวเองว่าดมกลิ่นแล้วน่ากิน ไม่ได้หมายความว่ากินแล้วจะอร่อย แต่ชายผู้นี้ลองชิมดูแล้ว ทั้งยังกินหมดไปกว่าครึ่งหม้อ ถึงขั้นย้อนนึกถึงรสชาตินั้นในหัวไม่หยุด รสชาตินั้นดีจริงๆ เนื้อตากแห้งรมควันหอมเค็ม ข้าวสวยหอมหวาน ผักกาดขาวกับเต้าหู้อ่อนนุ่มละมุนลิ้น ทำเอานางอยากจะตักข้าวกินสักสามชามใหญ่ๆ เหลือเกิน

น่าโมโหนัก ทว่าช่างเถอะ สถานที่แห่งนี้หนาวเย็นเป็นน้ำแข็ง ต่อให้นางไม่พอใจคนผู้นี้ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ตัวเองทนหิว

ความคิดเปลี่ยนไปทันใด นางไม่สะบัดมือเขาออก แต่ให้เขาจับจูง ถือตะเกียงและก้าวเดินตามไป

หลายครั้งก่อนหน้านี้ทำให้นางรู้ว่าถ้าตนจะออกไปจากค่ายกลแห่งนี้ต้องให้เขาจูงมือเท่านั้นจึงจะออกไปได้ หากแค่เดินตาม ไม่ถึงสองก้าวก็พลัดหลง

แม้ว่าเดินไปเดินมาเดี๋ยวนางก็กลับไปที่เรือนหลังนั้นได้เอง เพียงแต่ต้องเดินมากหน่อยเท่านั้น ทว่าวันนี้เดินมาทั้งวัน นางหิวจนหมดแรงแล้ว ยังคงให้เขานำทาง รีบกลับไปกินข้าวดื่มน้ำแกงจะดีกว่า

อา ประเดี๋ยวราดน้ำแกงไก่ใส่ผักกาดขาวลงบนข้าวอบเนื้อตากแห้งรมควัน ตุ๋นสักเล็กน้อย ทำเป็นโจ๊กเนื้อตากแห้งรมควัน รสชาติน่าจะไม่เลวกระมัง

ความคิดนี้พลันผุดขึ้นในห้วงสมองของเขา ทั้งยังมีภาพ แม้จะเป็นสิ่งที่เขาจินตนาการขึ้นเอง แต่ยังคงทำให้ท้องนางส่งเสียงร้องออกมา เท้าอดเดินเร็วขึ้นไม่ได้

สุดท้ายโรยต้นหอมลงไปหน่อยจะอร่อยขึ้นหรือไม่นะ เขาคิดต่อ กินข้าวเสร็จต่อด้วยสาลี่ต้มน้ำตาลกรวดล้างปากก็คงดี โชคดีวันนี้ไป๋ลู่ต้มมาเยอะ น่าจะยังพอสองคนกิน…

“เจ้าอย่าเอาแต่คิดถึงเรื่องอาหารได้หรือไม่”

ซ่งอิ้งเทียนอึ้งไป หันมามองนาง เห็นนางถลึงตาใส่ตนด้วยความโมโห

อา ลืมไปว่านางอ่านใจได้

“ขออภัย” เขายิ้ม “รบกวนเจ้าหรือ ใกล้ถึงแล้วล่ะ น้ำแกงเต้าหู้ยังอุ่นอยู่บนเตา เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว”

เขาพูด ในหัวผุดภาพน้ำแกงเต้าหู้ที่กำลังเดือดพล่านหม้อนั้น ที่ทำให้นางพูดไม่ออกยิ่งกว่าเดิมคือเขายังคิดว่าด้านข้างยังเหลือเต้าหู้นิ่มอีกถาดสามารถใส่ลงไปต้มได้

เต้าหู้สกุลเหลยอร่อยเป็นที่สุด เอามาราดน้ำผึ้งป่าเล็กน้อย นับเป็นของหวานชั้นดีจานหนึ่ง

นางอดเหลือกตาไม่ได้ แต่ยังคงไม่ปล่อยมือเขา ฮึ ก็แค่เต้าหู้ก้อนหนึ่ง จะอร่อยสักเท่าไรกันเชียว

 

ในหม้อดินเผา โจ๊กร้อนๆ ถูกกินจนเห็นก้นหม้อแล้ว

นอกเรือนหิมะยังคงโปรยปราย ยิ่งดึกลมก็ยิ่งแรง ทว่าเรือนหลังนี้สร้างอย่างแข็งแรงมั่นคง ไม่สั่นแม้แต่น้อย

นั่งอยู่ข้างเตาฝังพื้นที่แผ่ความอบอุ่นออกมา ฟังเสียงลมหิมะนอกหน้าต่าง นางไม่เพียงกินข้าวอบเนื้อตากแห้งรมควันไปสามถ้วยใหญ่ ยังกินน้ำแกงไก่ใส่ผักกาดขาวตุ๋นเต้าหู้ไปเกือบครึ่งหม้อ ตอนนางกินสาลี่ต้มน้ำตาลกรวด ซ่งอิ้งเทียนเอาข้าวอบเนื้อตากแห้งรมควันส่วนสุดท้ายไปทำเป็นโจ๊ก ทำเอานางกินของคาวเสร็จกินของหวาน กินของหวานเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะกินโจ๊กเนื้อตากแห้งต่ออีก กินจนร่างกายอุ่นร้อนไปทั้งตัว ไม่รู้สึกถึงความหนาวอีกแม้แต่นิดเดียว

ระหว่างที่นางกินโจ๊กหอมนุ่มที่ตุ๋นจากน้ำแกงไก่ใส่ผักกาดขาว เขาก็ทำเต้าหู้ราดน้ำผึ้งป่าออกมาอีกชามจริงๆ น้ำผึ้งป่าสีเหลืองทองยามราดอยู่บนเต้าหู้ขาวเนียนนุ่ม ใช่แค่คำว่าเย้ายวนจะบรรยายได้

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเต้าหู้นั่นนางเพิ่งกินแบบตุ๋นไป นางรู้ว่าคนทำมีฝีมืออันเยี่ยมยอด ตั้งใจอย่างยิ่ง ถั่วกับน้ำล้วนคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน จึงสามารถรังสรรค์รสชาติที่บริสุทธิ์เช่นนี้ออกมาได้

ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปรับเมื่อเขายื่นให้

นางใช้ช้อนไม้ไผ่ตักเต้าหู้ขึ้นมาคำหนึ่งพร้อมน้ำผึ้งป่า ก่อนจะใส่ลงในปาก

เต้าหู้อ่อนที่ไม่ได้ต้มเย็นเฉียบ นุ่มละมุนยิ่งนัก ยามละลายอยู่ในปากพร้อมกับน้ำผึ้งป่าที่เข้มข้นดุจอำพัน รสชาติหวานนุ่มเช่นนั้นอร่อยเป็นพิเศษ ทำให้นางกินคำหนึ่งแล้วอดกินต่ออีกคำไม่ได้

“เป็นอย่างไร” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะเตี้ยยิ้มน้อยๆ เอ่ยถาม “อร่อยล่ะสิ?”

นางแค่นเสียงโดยไม่ตอบอะไร

“ถ้าไม่อร่อยเจ้าก็ไม่ต้องฝืนใจ” พูดพลางยื่นมือมาหานาง

อาหลิงหมุนตัวป้องชามใบนั้นไว้อย่างรวดเร็ว ไม่ให้เขาคว้าไป เพียงถลึงตาใส่เขา

“ข้าบอกหรือว่าไม่อร่อย”

“เปล่า แต่ข้าเห็นเจ้าดูเหมือนไม่ได้ชอบนัก” เขาอมยิ้ม มือใหญ่ยังคงแบอยู่ตรงหน้านาง ทวงเต้าหู้คืน “ใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล รสชาติแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ ของที่คนทางใต้ชอบ ไม่แน่ว่าคนทางเหนือจะชอบ หากเจ้าไม่ชอบสามารถคืนให้ข้าได้ อย่าเปลืองของเลย ท้องข้ายังมีที่ว่างเหลืออยู่”

ดูเขาสิ เจ้านี่เป็นผีตะกละชัดๆ

นางเห็นแล้วยิ้มหวาน “วางใจเถอะ เต้าหู้ทางเหนือก็มีเช่นกัน ข้าเองก็ชอบกิน ไม่มีปัญหาเรื่องรสชาติหรอก” พูดพลางตักเต้าหู้ราดน้ำผึ้งขึ้นมาอีกคำ ยื่นใส่ปากเล็กต่อหน้าเขา กินให้เขาดู

“ทางเหนือแม้จะมี แต่ไม่นุ่มลื่นเหมือนของต้งถิง ปกติแล้วจะแข็งกว่าหน่อย” เขามองนาง มือใหญ่ยังคงแบอยู่บนโต๊ะ ยิ้มน้อยๆ เอ่ยอีกว่า “ข้าพูดจริงๆ ถ้าเจ้ากินไม่ลง ไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกน่า”

“ไม่ฝืนแม้แต่น้อย” นางยิ้มมองเขา ตักอีกคำใส่ปาก “ของอร่อยถึงเพียงนี้ จะฝืนใจได้อย่างไร”

ได้ยินดังนั้นเขาถึงหดมือกลับมาด้วยความเสียดาย

“เต้าหู้นี้เพิ่งทำเมื่อเช้า พี่เหลยเป็นคนที่จริงจังมาก แม้แต่น้ำที่ใช้ทำเต้าหู้ยังตั้งใจขึ้นไปขนลงมาจากบนภูเขา” เขามองนาง ใช้มือเท้าคางเล่าต่อ “เขามีบุตรสาวคนหนึ่งชื่อตงตง สองปีก่อนตงตงป่วยเพราะถูกลมหนาวทำให้หูไม่ได้ยินเสียง แต่นางเป็นเด็กดีและกตัญญูมาก อายุน้อยๆ ก็รู้จักช่วยคัดถั่วทำเต้าหู้แล้ว”

อาหลิงข่มความรู้สึกอยากเหลือกตาใส่เขา เพียงเบนสายตาออกไป ก้มหน้าหลุบตากินเต้าหู้อีกคำ หาไม่แล้วเขาจะเข้าใจผิดคิดว่านางสนใจอยากฟังเรื่องพวกนี้ แต่ชายผู้นั้นยังคงเล่าต่อ

“แม่ของตงตงก็ทำเต้าหู้เก่งมาก นางแยกแยะคุณภาพของน้ำเก่งเป็นพิเศษ ข้ายังจำได้ว่าในอดีตนางกับพี่เหลยเดินทางไปทั่วภูเขาละแวกนี้ ชิมน้ำแร่บนภูเขาทั้งน้อยใหญ่กว่าจะเจอน้ำแร่ภูเขาที่เหมาะสำหรับทำเต้าหู้มากที่สุด พี่เหลยกับนางรักใคร่ลึกซึ้ง ดังนั้นแม้แม่ของตงตงจะจากไปสองปีกว่าแล้ว จวบจนบัดนี้พี่เหลยก็ยังไม่แต่งงานใหม่”

นางไม่สนใจชีวิตของคนทำเต้าหู้ผู้นี้เลยจริงๆ แต่ชายผู้นั้นก็ยังคงพล่ามต่อ

“มีแม่สื่อมาที่บ้านอยู่เหมือนกัน ถึงอย่างไรพี่เหลยแม้จะไม่มั่งคั่งร่ำรวย นิสัยก็เงียบขรึมไปหน่อย แต่เขาเป็นคนซื่อ ทั้งยังมีฝีมือ มีคนไม่น้อยมาเจรจาหาภรรยาให้เขา จะให้เขาแต่งงานใหม่ หาแม่ศรีเรือนมาช่วยดูแลเด็ก ถือโอกาสตอนยังหนุ่มมีลูกอีกสองสามคน ยังช่วยทำมาค้าขายได้อีกด้วย…”

นางทนไม่ไหวอีกต่อไป ค้อนปะหลับปะเหลือกและโพล่งออกมา “ตกลงจะหาภรรยาหรือหาคนรับใช้กันแน่”

เขาฟังแล้วหัวเราะ “คนผู้นั้นก็หวังดี ถึงอย่างไรหูของตงตงก็ไม่ได้ยินเสียง ไม่ใช่เด็กธรรมดาทั่วไป ชายตัวโตที่หยาบกระด้างคนหนึ่งต้องดูแลเด็กที่เป็นเช่นนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ อีกทั้งพี่เหลยยังหนุ่มยังแน่น ร่างกายแข็งแรง เพียงเพราะสูญเสียภรรยาไปจึงต้องอยู่ตัวคนเดียวไปชั่วชีวิต นั่นย่อมไม่จำเป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าก่อนตายแม่ของตงตงกำชับนักหนา หวังว่าพี่เหลยจะแต่งงานใหม่ นั่นก็เพราะกลัวเขาจะอยู่คนเดียวไปจนแก่ ไม่มีคนดูแล แต่แม่สื่อมาทาบทามอยู่หลายครั้ง ล้วนถูกเขาปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่ายังคงไว้ทุกข์…”

“ถามจริงเถอะ ไป๋ลู่รู้หรือไม่ว่าเจ้าพูดมากถึงเพียงนี้”

“ต้องรู้อยู่แล้ว” เขาเท้าคาง ยิ้มมองนางและเล่าว่า “ตอนข้าเก็บนางได้ ร่างกายนางมีแต่บาดแผล กระดูกซี่โครงหักไปสองท่อน กระดูกที่หักแทงทะลุเนื้อออกมาด้วยซ้ำ ไม่เหมือนเจ้า แผลนางหายช้ามาก นอนอยู่บนเตียงหลายเดือนกว่าจะลงมาเดินได้”

“หลายเดือน? ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง ข้ายังคิดว่านางโง่ ที่แท้ไม่โง่นี่นา”

“หมายความว่าอย่างไร” เขาเลิกคิ้ว

อาหลิงตักเต้าหู้ราดน้ำผึ้งคำสุดท้ายใส่ปาก ก่อนตอบอย่างใจเย็น

“นับแต่โบราณมา บุญคุณที่ช่วยชีวิตมิใช่ต้องตอบแทนด้วยร่างกายหรือ ข้ายังอยากถามอยู่ว่านางปักใจกับเจ้าถึงเพียงนี้ ไฉนจึงไม่แต่งให้เจ้าเสียเลย สุดท้ายยังปล่อยให้คนแซ่ซูได้ประโยชน์ไป ที่แท้เป็นเพราะนางรู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นพวกภายนอกไม่ตรงกับภายใน ปากยื่นปากยาวยิ่งกว่าพวกหญิงในตลาด ขืนแต่งให้เจ้าจริง ชั่วชีวิตนี้หูนางคงไม่มีวันได้สงบกระมัง”

“แม่นางอาหลิงช่างชอบพูดเล่นเสียจริง” ได้ยินคำพูดเสียดสีของนางแล้ว เขาไม่โกรธ แต่ยิ้มพูด “หากบุญคุณที่ช่วยชีวิตล้วนต้องตอบแทนด้วยร่างกาย เช่นนั้นวันนี้เจ้ามิต้องมอบกายให้ข้าแล้วหรือ”

นางหน้าบึ้ง เงยหน้าถลึงตาใส่เขา กลับเห็นชายผู้นั้นบิดขี้เกียจ จากนั้นเหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงพูดต่อ

“อา จะว่าไป ในอดีตพี่เหลยดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บและถูกแม่ของตงตงช่วยไว้โดยบังเอิญ ตอนนั้นเขาก็ตอบแทนด้วยร่างกายจริงๆ” เขายิ้มพลางม้วนแขนเสื้อ เงยหน้าแต่ไม่ได้มองนาง เพียงหยิบที่คีบถ่านขึ้นมา เพิ่มถ่านลงไปในเตาฝังพื้น “เหลยเฟิงเป็นคนปักใจในความรัก อย่าว่าแต่สองปีเลย ข้าว่าจนกระทั่งแก่ตายเขาก็ไม่มีทางแต่งงานใหม่หรอก”

อาหลิงเหลือกตาอีกครั้ง ในที่สุดก็อดโพล่งออกมาไม่ได้

“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่สนใจว่าเจ้าคนทำเต้าหู้ผู้นี้คิดจะแต่งงานใหม่หรือไม่ ไม่สนใจแม้แต่น้อย”

เขาตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น เพียงเกลี่ยก้อนถ่านให้เสมอกัน “อืม ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สนใจ”

“แล้วเหตุใดเจ้าถึงพล่ามไม่หยุด”

“เพราะข้าอยากพูดอย่างไรเล่า”

นางเบิกตามองคนผู้นี้ เห็นเขายิ้มพลางวางที่คีบถ่าน ลุกขึ้นปัดก้นและเอ่ยว่า “มืดแล้ว ข้ากลับห้องไปนอนก่อน กับข้าวข้าเป็นคนทำ จานชามรบกวนเจ้าล้างด้วยแล้วกัน”

ว่าอย่างไรนะ?!

อาหลิงประคองชามเปล่าในมือ ยังไม่ทันได้ตอบอะไร ชายผู้นั้นก็เลื่อนเปิดประตูที่เชื่อมไปยังลานโล่งกลางเรือน ก่อนจะปิดประตูดังฉับ

“กับข้าวใช่เจ้าทำเสียที่ใด ไป๋ลู่เป็นคนทำชัดๆ!”

นางโพล่งออกมาอย่างช้าเกินไป ชายหน้าไม่อายคนนั้นกลับตอบนางเสียงดังผ่านบานประตู

“โจ๊กเนื้อตากแห้งรมควันข้าเป็นคนทำ เต้าหู้ราดน้ำผึ้งก็ด้วย เจ้ากินทั้งสองอย่าง อย่าได้ปฏิเสธเชียว…”

คำพูดนี้เขายังมีหน้าพูดออกมาอีก ก็แค่เทของรวมกัน นับว่าทำอาหารได้ด้วยหรือ คนผู้นี้ยังมียางอายอยู่หรือไม่

อีกเพียงนิดเดียวนางจะเขวี้ยงชามเปล่าในมือออกไปแล้ว แต่ครั้งก่อนที่นางปาชามใส่เขา เขาถึงขั้นเก็บชิ้นส่วนของชามที่แตกกลับมาจนครบ ใช้ดินเหนียวติดเข้าด้วยกันใหม่ ระหว่างนั้นยังบรรยาย ‘ประวัติการเรียนเผาชามดินเผาของข้า’ ให้นางฟังด้วย แน่นอนเขาใช้เข็มเงินควบคุมนาง ทำให้นางหนีไปที่ใดไม่ได้

พอคิดว่าหากเขวี้ยงชามออกไปก็ต้องถูกบังคับให้นั่งฟังเขาบรรยายเรื่องเดิมใหม่อีกรอบ ฟังวิธีการผลิตและซ่อมแซมชามดินเผา แค่นี้นางก็ปวดหัวตุบๆ แล้ว

นางจะไม่ล้าง เขาจะทำอะไรได้

อาหลิงกระแทกชามสีขาวกับช้อนไม้ไผ่ลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นเปิดประตูบานเลื่อนและเดินกลับห้องของตัวเอง

บริเวณลานโล่งกลางเรือน หิมะปลิวว่อน ประตูห้องเขาปิดไปแล้ว ภายในห้องจุดไฟ แสงไฟสะท้อนเงาที่เคลื่อนไหวของเขาลงบนประตูหน้าต่าง

นางไม่ได้มองอีกแม้แต่แวบเดียว กลับห้องและปิดประตู

เตาฝังพื้นในห้องนางดับมอดไปแล้ว แต่หญิงที่ชื่อไป๋ลู่เอาถ่านใหม่มาวางไว้ด้านข้าง ทั้งยังพับฟูกผ้าห่มให้นางใหม่ด้วยก่อนจะจากไป

หญิงผู้นี้เห็นแล้วช่างน่าโมโหจริงๆ

ถ้าไป๋ลู่โง่งมจริงๆ ก็แล้วไปเถอะ แต่นางเคยอ่านใจของอีกฝ่าย รู้ว่าหญิงคนนั้นไม่โง่ เฉลียวฉลาดทีเดียว แต่กลับโง่ถึงขั้นยอมเชื่อซูเสี่ยวเม่ยอีกครั้งทั้งที่เคยถูกบุรุษทำร้ายมาอย่างนั้น

ใบหน้าของใครอีกคนในอดีตผุดขึ้นในหัว ซ้อนทับกับใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวของไป๋ลู่

คาถาที่นางร่ายเอง ใช้โลหิตของนาง ใช้ปากของนาง ใช้มือของนางร่ายขึ้นมาเอง

รอยยิ้มเย็นผุดขึ้นบนริมฝีปาก

หญิงผู้นั้นได้แต่ผ่านพ้นค่ำคืนที่มีแสงจันทร์ซ้ำๆ นางต้องการให้อีกฝ่ายทรยศหักหลังชายผู้นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนที่เคยหักหลังนางในอดีต และนางจะคอยตรวจสอบให้แน่ใจตลอดไปว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น

นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกขังอยู่ที่นี่

ไม่มีทาง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 13 .. 64

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: