X
    Categories: คู่นิรันดร์พันภพทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน คู่นิรันดร์พันภพ บทที่ 9 – บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่ 9

เพราะเหตุนี้นางจึงเปิดประตูอีกครั้ง เดินกลับไปด้านหน้า เก็บจานชามตะเกียบบนโต๊ะไปล้างให้เรียบร้อย ถึงขั้นเอาหม้อดินเผาที่ใช้ต้มน้ำแกงไก่ใส่ผักกาดขาวบนเตาฝังพื้นไปล้างด้วย

น้ำในตุ่มเย็นมาก แต่นางไม่สนใจ

ยิ่งเยียบเย็นและเจ็บปวด ยิ่งทำให้นางจดจำได้ว่าเหตุใดตัวเองจึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้

เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมาเมื่อนางถูกไล่ล่าจับกิน ทุกครั้งเวลาถูกฉีกทึ้งเป็นอาหาร นางจะจดจำความเจ็บตอนปากใหญ่งับลงมาบนร่าง จำความปวดตอนฟันแหลมสกปรกแต่ละซี่ฝังลงมาในเนื้อ จำความรู้สึกตอนที่เลือดเนื้อถูกฉีกกระชาก กัดเคี้ยว และกลืนกิน

นางจดจำได้แม่นยำว่าชายผู้นั้น หญิงผู้นั้น ยังมีผู้คนในเมืองแห่งนั้นทรยศหักหลังนางอย่างไรบ้าง ก็เพราะนางโง่ถึงขั้นหลงเชื่อ ถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

นางจะจำไว้ จะจำไว้ตลอด

อยากลืมก็ลืมไม่ลง

นางไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกขังอยู่ที่นี่หรอก ไม่มีทาง

ต่อให้ต้องประจบเจ้าคนแซ่ซ่งผู้นั้นให้เขาไว้ใจนาง นางก็ทำได้

เมื่อครู่ตอนอยู่ท่ามกลางหิมะนางขบคิดจนกระจ่างแจ้งแล้ว เขาบอกว่าค่ายกลนี้ท่านตาของเขาได้มาด้วยการแลกเปลี่ยนกับยมทูต ก่อนหน้านี้นางคิดว่าเขาแค่พูดเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่หลายวันมานี้นางทดลองหลายวิธี ทว่าทำอย่างไรก็มิอาจก้าวออกไปได้ ถึงได้ตระหนักว่าค่ายกลนี้มิใช่ของธรรมดาจริงๆ ยาลูกกลอนของเขาก็หาใช่ของธรรมดา นางกินไปเพียงเม็ดเดียวร่างกายก็ฟื้นฟูกว่าครึ่ง หากนางได้ตำรับยามาหรือสามารถขโมยวิชาค่ายกลคาถา รวมไปถึงเครื่องมือเวทและยันต์ที่ใช้รับมือกับมารปีศาจพวกนั้นจากเขาได้ ย่อมทำให้นางสบายขึ้นมาก

โลกนี้มีคนแอบอ้างว่ารู้วิชาอาคมไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกหลอกลวง หายากที่จะเจอบุคคลเช่นนี้ ไม่แน่นี่อาจเป็นลาภมิใช่เคราะห์

ท่านตาของเขาเป็นหมอปีศาจ อาจารย์ปู่เป็นผู้มีวิชาสูงส่งที่เจนจัดเรื่องหยินหยางและวิชาแปลกๆ พ่อแม่เป็นเหมือนเทวดาบนโลกที่คอยช่วยเหลือผู้คนในแถบต้งถิง อาจารย์ลุงเป็นแม่ทัพที่เกษียณแล้ว อาจารย์อาเป็นเจ้าของหอหงส์ สามีของอาจารย์อาสี่ยังเป็นถึงประมุขเขาเหยี่ยวดำแห่งดินแดนทะเลทราย อีกทั้งเขายังมีหญิงโง่ไป๋ลู่คอยช่วยดูแลโรงยา

ชายผู้นี้เป็นคุณชายผู้โชคดีที่เป็นศูนย์รวมความรักความเอาใจใส่ของผู้คนมากมาย

เรียกเขาว่าคุณชาย ไม่นับว่าเกินไปเลยจริงๆ

เกรงว่ารัชทายาทองค์ปัจจุบันยังไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายเช่นเขาด้วยซ้ำ

นางรู้ว่าหากเขาอยากได้สาวงามสามพันคนมาปรนนิบัติ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

แต่เขาไม่ต้องการ เขาชอบทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำอย่างอิสระ อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ไม่เคยมีใครห้ามเขา แค่ถือป้ายคำสั่งหรูอี้ลายหงส์ที่เจ้าของหอหงส์มอบให้เขาอันนั้น เขาก็สามารถวางโตได้ตั้งแต่ต้นแม่น้ำฉางเจียงไปจนถึงปลายแม่น้ำฉางเจียง ต่อให้เขาอยากไปเดินเส้นทางสายไหมสักรอบ ก็สามารถอ้างชื่อเขาเหยี่ยวดำแห่งดินแดนทะเลทรายมุ่งหน้าไปได้อย่างราบรื่นตลอดทาง

แต่นางไม่ลืมว่าวันนั้นตอนเขาสังหารงูน้ำปุ่มโลหิต ในมือถือกระบี่ดำเล่มหนึ่ง

กระบี่เล่มนั้นไร้ฝัก ตอนเขาเก็บมัน แค่สะบัดมือเท่านั้น กระบี่ก็พันรอบวงแขนเขาและจมหายไป

ก้อนเนื้อบนหัวของงูน้ำปุ่มโลหิตแม้จะเป็นจุดอ่อน แต่กลับแข็งแกร่งมาก ทว่ากระบี่เล่มนั้นของเขาเหมือนเหล็กตัดดิน แทงลงไปครั้งเดียวก็ทำให้งูปีศาจตัวนั้นถอยไป

คนที่รู้จุดอ่อนของงูน้ำปุ่มโลหิตมีไม่มาก เขาใช้กระบวนท่าเดียวจู่โจมไปยังจุดนั้น ต้องไม่ใช่เพราะความโชคดีแน่ แต่เป็นเพราะรู้แต่แรกแล้วว่าจุดอ่อนของมันอยู่ที่ใด คิดว่าเรื่องที่เขาบอกว่าอาจารย์ปู่ของเขาสามารถปราบมารสังหารปีศาจได้คงมิใช่เรื่องเหลวไหล ประคำปราบมารนี้สามารถควบคุมนางได้ ย่อมสามารถควบคุมปีศาจตนอื่นได้ ไม่แน่แม้แต่มารพวกนั้นยังมิอาจต้านทานของสิ่งนี้ ไม่แน่แม้กระทั่งเยี่ยอิ่งยังต้องยอมจำนน

การฆ่าซ่งอิ้งเทียนไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อนาง

หากได้รับความไว้ใจจากเขา ทำให้เขายอมถอดประคำปราบมารให้นางด้วยความเต็มใจ จากนั้นนำของวิเศษพวกนั้นออกมาและสอนวิธีปราบมารปีศาจให้นาง เช่นนั้นการเสียเวลาอยู่ที่นี่กับเขาสักพัก เหตุใดจะไม่ได้เล่า

คนผู้นั้นเพิ่งกลับมาเกิดใหม่ได้ไม่กี่ปี ชาตินี้ยังมีเวลาอยู่

อาหลิงใช้ที่คีบถ่านคีบก้อนถ่านในเตาฝังพื้นที่ถูกเผาจนแดงลงในเตาดินเผาสีแดงใบเล็ก ใช้ทรายดับไฟที่เหลือในเตาฝังพื้นอย่างระวัง ก่อนจะถือเตาดินเผาสีแดงออกจากห้อง

ในลานโล่งนอกประตู ลมหิมะพัดไม่หยุด ทำให้บนชานเรือนมีหิมะทับถมอยู่เล็กน้อย

นางเห็นไฟในห้องเขาดับไปแล้ว

ยังมีเวลา

อาหลิงคิดพลางคลี่ยิ้มเย็นชา

นางถือเตาดินเผาสีแดง หันหลังเดินกลับห้องตัวเองทีละก้าว เลื่อนเปิดประตู ก้าวเข้าไปในห้องและปิดประตูลง

ครานี้นางไม่รู้สึกโมโหฟูกผ้าห่มที่พับไว้อย่างเป็นระเบียบอีก เพียงย้ายก้อนถ่านในเตาดินเผาสีแดงไปวางในเตาฝังพื้น ให้มันสร้างความอบอุ่นในห้อง

จากนั้นนางก็ต้มน้ำให้ตัวเองหนึ่งกา ใช้ผ้านุ่มชุบน้ำร้อนเช็ดทำความสะอาดมือเท้า ก่อนจะมุดตัวเข้าไปในผ้าห่ม

คืนนี้ข้างนอกหิมะโปรยปรายลงมาอย่างหนัก

นางจ้องไฟที่ลุกไหม้ในเตาฝังพื้น นานครู่ใหญ่จึงหลับตาลง

สักวัน…นางจะต้องออกไป นางรู้

ลมหิมะพัดอยู่ข้างนอก

ซ่งอิ้งเทียนปิดตาหลับสนิทอยู่บนเตียง แต่กลับตื่นขึ้นมาตอนยามสี่*

ในเตาฝังพื้นยังเหลือถ่านที่เผาไหม้ช้าๆ ลมหิมะนอกห้องยังไม่หยุดพัด แต่ค่ายกลยังคงเดิม หาได้เสียหายเพราะลมฝนหรือหิมะ

ไม่ต้องออกไปดูข้างนอกเขาก็รู้ว่าฟ้ายังไม่สว่าง แต่เขายังคงเลิกผ้าห่มลุกขึ้นและสวมเสื้อคลุม

เขาไม่ได้สะดุ้งตื่นเพราะลมหิมะ และไม่ได้ดื่มน้ำก่อนนอนมากไปจนอยากตื่นมาเข้าห้องส้วม

หมู่นี้เขามักตื่นขึ้นมาเวลานี้ จะตื่นขึ้นมาเวลานี้เสมอ เพียงเพราะความเคยชิน

ซ่งอิ้งเทียนเปิดประตู ประตูไม้เลื่อนไปด้านข้างอย่างเงียบเชียบ บนชานเรือนมีหิมะทับถมอยู่ หิมะสีขาวในลานตรงกลางยิ่งทับถมจนหนาเชียะกว่า เขาไม่เสียเวลาสวมรองเท้าหุ้มข้อ แต่เดินไปตามชานเรือน อ้อมลานมาถึงหน้าห้องของอาหลิงและเปิดประตู

หญิงสาวในห้องขดตัวอยู่ในผ้าห่มตัวสั่น ไม่ใช่เพราะร้อนและไม่ใช่เพราะหนาว

เขาปิดประตู กันลมหิมะไว้ข้างนอก ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างกายนาง

เขาไม่ได้จุดไฟ แต่อาศัยแสงริบหรี่จากถ่านไฟที่เหลืออยู่ในเตาฝังพื้นจ้องมองนาง

แม้อากาศจะหนาวเหน็บ แต่นางยังคงเหงื่อออกท่วมตัว ดวงหน้าเล็กยับย่นเหมือนผักดองตากแห้งเพราะความโกรธแค้น น้ำตาไหลรินออกมาจากหางตาครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาหยิบยาห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วโรยลงในเตาฝังพื้นเบาๆ

ผงยาเผาไหม้ทันที ทำให้ในห้องหอมอบอวล

กลิ่นหอมนี้ไม่เข้มข้น เจือจางมากแต่กลับหอมยิ่ง สามารถทำให้จิตใจสงบลงได้

ไม่นานหัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของนางก็คลายออกเล็กน้อย ทว่าน้ำตายังคงไหลริน

ความจริงเขาอยากขอให้ไป๋ลู่แอบใส่กำยานสงบใจนี้ลงในเตาฝังพื้นของนางเสียเลย แต่หญิงผู้นี้ขี้ระแวง หากนางรู้เข้าจะต้องระแวงเขามากกว่านี้แน่ ไม่แน่แม้แต่ข้าวยังไม่ยอมกินด้วยซ้ำ

เขางอเข่าข้างหนึ่ง นั่งลงข้างกายนาง หลุบตามองหญิงสาวตรงหน้า

ช่วงแรกที่เก็บนางได้ เขาใส่ใจแต่บาดแผลบนร่างกายนางและความเร็วในการฟื้นฟูร่างกาย แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาสังเกตเห็นว่าทุกวันเมื่อถึงเวลานี้ ในช่วงเวลาที่ราตรีมืดดำที่สุด นางมักจะฝันร้าย

ดูเหมือนนางเองก็รู้ ดังนั้นทุกวันเมื่อถึงเวลานี้นางมักไม่ยอมนอน

หากเป็นคนอื่นคงต้องล้มป่วยเพราะถูกฝันร้ายก่อกวนทุกคืนจนร่างกายและจิตใจอ่อนแอ แต่นางมีความสามารถในการผลาญพลังของตัวเอง ดังนั้นจึงฝืนทนเช่นนี้ได้ทุกวันจวบจนรุ่งสาง

แต่มีบางครั้งนางจะเหนื่อยจนหลับไป ฝันร้ายที่น่ากลัวยามค่ำคืนมักจะทำให้นางติดอยู่ในนั้น ความโกรธแค้นและความหวาดผวา ความกลัวและความโมโหล้วนฉายชัดอยู่บนใบหน้า เห็นแล้วน่าตกใจ

ความฝันเช่นไรถึงทำให้นางตระหนกได้เช่นนี้ เกลียดแค้นได้เช่นนี้?

นางไม่เคยส่งเสียงละเมอออกมา มักจะกัดฟันแน่น บางครั้งกัดจนเลือดไหลออกมาด้วยซ้ำ แต่นางกลับหยุดอาการสั่นเทาของตัวเองไม่ได้ หยุดอาการเกร็งกระตุกของตัวเองไม่ได้ เขามักถูกนางปลุกตื่นขึ้นมาเพราะเหตุนี้เสมอ

ด้วยทนเห็นนางเป็นเช่นนี้ทุกคืนไม่ได้เขาจึงวางยา ทำให้นางออกห่างจากฝันร้ายเหล่านั้น อย่างน้อยก็ได้พักผ่อนสักนิด

เขานั่งรถคันเดียวกับนางและนอนเตียงเดียวกับนาง จึงบ่มเพาะจนกลายเป็นความเคยชินโดยไม่รู้ตัว มักจะตื่นขึ้นมาเวลานี้ ตื่นมาช่วยนางสงบจิตใจ

ซ่งอิ้งเทียนกุมมือเล็กขาวซีดของนางเบาๆ คิดถึงรวงข้าวสีทองในฤดูเก็บเกี่ยว คิดถึงดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิและต้นหลิว คิดถึงถังหูลู่* ที่อาจารย์ปู่มอบให้เขา คิดถึงมือของท่านพ่อที่จับมือเขา สอนเขาว่าต้องฝังเข็มและถอนเข็มอย่างไร คิดถึงท่านแม่ที่ร้องเพลงกล่อมเขาอยู่ข้างเตียง

หัวคิ้วของนางคลายออกมากกว่าเดิม คลายออกช้าๆ ในที่สุดก็ไม่อัปลักษณ์เหมือนผักดองตากแห้งอีก

ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมา หัวคิ้วนางก็มุ่นเข้าด้วยกันน้อยๆ ทำให้เขายกมุมปากขึ้น

เฮ้อ ช่างน่ารักเสียจริง เขาคิด

ใบหน้านางฉายแววกระอักกระอ่วนและขุ่นเคือง ทำให้เขายิ้มอีก

นี่เป็นความฝัน เจ้ายังจะโมโหข้าอีกหรือ

หัวคิ้วนางขมวดแน่นกว่าเดิม แต่เมื่อเห็นนางเหงื่อออกเต็มศีรษะ เขาก็หยิบผ้าด้านข้างมาซับเหงื่อให้ ทางหนึ่งเปลี่ยนความคิดตัวเองเป็นเต้าหู้ราดน้ำผึ้งเมื่อคืน

ข้าอุตส่าห์ยกเต้าหู้ราดน้ำผึ้งชามสุดท้ายให้เจ้าแล้วไม่ใช่หรือไร

เขามองดวงหน้าเล็กของนาง อมยิ้มพลางคิด

อย่าโมโหเลย แค่ความฝันน่ะ รีบกินอีกชามเถอะ

ดวงหน้าเล็กต่อสู้อยู่พักหนึ่ง หัวคิ้วคลายออกอีกครั้ง กระทั่งปากเนียนนุ่มจิ้มลิ้มยังเผยอออกนิดๆ

แปดส่วนคงกำลังกินเต้าหู้ราดน้ำผึ้งอยู่กระมัง

ให้เจ้าเป็นชามที่สองแล้ว พรุ่งนี้อย่าลืมดีกับข้าหน่อยล่ะ

อาหลิงย่นจมูกและแค่นเสียงเบาๆ ทีหนึ่ง ทำเอาเขาหัวเราะออกมา ปล่อยให้ตัวเองคิดถึงวันเวลาที่แสนดี คิดถึงตำราที่ท่านพ่ออ่านให้เขาฟัง คิดถึงเวลาที่ท่านแม่สอนเขาแยกแยะสมุนไพร

โดยไม่รู้ตัว ร่างกายที่แข็งเกร็ง ลมหายใจที่ถี่กระชั้นของนางบรรเทาลง

ซ่งอิ้งเทียนกุมมือเล็กของนางไว้ ฟังลมหายใจแผ่วช้าของนาง มองดวงหน้าเล็กที่สงบลงในที่สุด เขาปล่อยให้ตัวเองอยู่ที่นี่อีกสักพัก จวบจนราตรีสิ้นสุดลงจึงปล่อยมือนาง

ก่อนจากไปเขาดึงผ้าห่มมาคลุมร่างนางให้ดี เพิ่มถ่านอีกหลายก้อนลงไปในเตาฝังพื้นก่อนจะลุกขึ้นเปิดประตู

นอกประตูฟ้ายังไม่สว่าง แต่ลมหิมะหยุดพัดแล้ว

เขาเลื่อนประตูให้ปิดลงอีกครั้งอย่างระมัดระวัง ก้าวไปบนชานเรือนและเดินกลับห้องของตัวเอง

ซ่งอิ้งเทียนนั่งลงบนฟูก ถอดเสื้อคลุมออก หยิบผ้าแห้งมาเช็ดเท้า หางตากลับเหลือบเห็นตำราเล่มนั้น

เขาไม่ได้ยื่นมือไปหยิบมาพลิกดู เขาจดจำทุกถ้อยทุกคำที่เขียนอยู่ในนั้นได้แล้ว ตำราเล่มนี้เขาตั้งใจขอให้อาจารย์อาส่งมาให้ เป็น ‘บันทึกเรื่องพิสดารมารปีศาจ’ ที่อาจารย์ปู่เขียนขึ้นเอง และเป็นหนึ่งในตำราที่เขาชอบเปิดอ่านมากที่สุดในวัยเยาว์

ใต้หล้ากว้างใหญ่ ที่แท้กว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น

เขายังจำได้ถึงความตื่นตะลึงของตัวเองยามเปิดอ่านตำราเล่มนี้เป็นครั้งแรก จำได้ถึงความดีใจของตัวเองเมื่อได้เจอบุคคลและสิ่งของที่บันทึกอยู่ในตำรากับตาตัวเองเป็นครั้งแรก

จนกระทั่งมาพบนาง

…หลิง

เขาคิดไม่ถึงว่านางจะบอกชื่อจริงของนางกับเขา

วันนั้นตอนเขาได้รับตำราที่อาจารย์อาส่งมาให้เล่มนี้และพลิกไปดูหน้านั้นอีกครั้ง เขาก็รู้ว่าบุคคลที่ตำราบรรยายถึงคือนาง

 

‘แม่มดหอคอยขาวแห่งดินแดนโบราณทางตะวันตกเฉียงใต้ นางหายไปจากดินแดนแห่งนั้นโดยไม่พบร่องรอย

รู้ภาษาโบราณและมีความสามารถในการบังคับควบคุมสัตว์

เล่าลือว่าเหตุเพราะมีสายเลือดแห่งเทพ จึงถูกปีศาจสาปแช่งเพื่อแบ่งปันเป็นอาหาร ทำให้มีร่างเป็นอมตะนิรันดร์

ว่ากันว่านางมีอายุกว่าพันปีแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดเคยพบตัว

แม้เติบโตขึ้นมาแล้ว เขาจะพบว่าเรื่องที่อาจารย์ปู่บันทึกไว้ค่อนข้างสะเปะสะปะ แต่เรื่องที่บันทึกไว้หาใช่เรื่องเหลวไหลที่แต่งขึ้นเองอย่างแน่นอน

นางอ่านใจได้ ทั้งยังพูดคุยกับสัตว์ได้กระมัง เหมือนเช่นวันนั้นที่นางตำหนิเขาในหัว ลาตัวนั้นถึงได้เชื่อฟังนางถึงเพียงนั้น พริบตาเดียวก็เหยียดขาทั้งสี่วิ่งทะยานออกไป

นางมีสายเลือดแห่งเทพ ดังนั้นจึงถูกมารปีศาจไล่ล่า

บ้านเมืองของนางอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แต่กลับไม่พบร่องรอยแล้ว ที่ว่าพันปีเกรงว่าคงมิใช่เพียงตำนาน นางถูกมารปีศาจกัดกินเช่นนั้นยังรอดชีวิตมาได้ เกรงว่าคงจะไม่แก่และไม่ตายจริงๆ

เดิมทียังอยากเอ่ยถามว่าเรื่องใดที่สามารถทำให้นางฝันร้ายอย่างต่อเนื่อง จดจำความแค้นและความกลัว ไม่ไว้ใจคนได้ถึงเพียงนั้น

แต่หากพันปีที่ผ่านมานางถูกไล่ล่ากัดกินเหมือนเหยื่อมาตลอด ก็ไม่แปลกที่นางจะเป็นเช่นวันนี้ที่พูดโกหกได้หน้าตาเฉย ถูกคนเห็นเรือนร่างอันเปลือยเปล่าก็ไม่เขินอาย ไม่ว่ากับคนหรือปีศาจล้วนไม่ปรานีแม้แต่น้อย นัยน์ตาแดงก่ำมักฉายแววโกรธเกรี้ยวเคียดแค้น

หลายวันมานี้เขามักอดคิดไม่ได้ว่านางผ่านวันเวลาเหล่านั้นมาได้อย่างไร

คิดว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่

จวบจนบัดนี้เขายังจดจำวันที่อยู่ในโรงเตี๊ยมสุนทรีเยือนได้ จดจำความตื่นตระหนกหวาดหวั่นในดวงตานางหลังจากถูกเขาฝังเข็มเงินจำกัดการเคลื่อนไหวให้อยู่แต่บนเตียงได้

นัยน์ตาแดงก่ำที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสุดขีดประทับแน่นอยู่ในหัวสมองเขา ปัดอย่างไรก็ไม่ออก

เขารู้ดี นางต้องเคยถูกมารปีศาจกักขังไว้ กินเนื้อนาง ดื่มเลือดนางมาก่อนแน่ๆ ถึงได้ตระหนกกลัวถึงเพียงนั้น

มีชีวิตอยู่เช่นนาง มิสู้ตายไปยังดีเสียกว่า

แต่นางตายไม่ได้กระมัง

ซ่งอิ้งเทียนหยิบขวดแก้วใสใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ มองของเหลวสีแดงสดที่บรรจุอยู่ในนั้น เลือดคนทั่วไปเมื่อออกจากร่างกายแล้วจะจับตัวแข็งและเปลี่ยนสี กลายเป็นสีแดงที่เข้มขึ้นจนเกือบดำ แต่เลือดนี้กลับยังคงแดงสด ทั้งยังไม่จับตัวแข็ง ดูเหมือนเลือดที่เพิ่งไหลออกมาอย่างไรอย่างนั้น

สายเลือดแห่งเทพเช่นนั้นหรือ

ของสิ่งนี้เก็บไว้ไม่ได้กระมัง

เขายื่นมือออกไปหมายจะโยนมันลงในเตาฝังพื้นและเผาทิ้งเสีย แต่ในชั่วเวลาสุดท้ายกลับหดมือกลับมา

ถูกปีศาจสาปแช่งเพื่อแบ่งปันเป็นอาหาร…ถ้อยคำที่อาจารย์ปู่เขียนไว้ผุดขึ้นในหัวอีกครั้ง

ร่างกายนางมีคำสาปร้ายอยู่หรือ อยู่ในโลหิตอย่างนั้นหรือ

เขาคิดพลางวางมันลงบนพื้น ยกมือขึ้นวาดมือไม้สร้างข่ายอาคมเล็กๆ ขึ้นกลางอากาศคลุมขวดแก้วไว้

ทันใดนั้นโลหิตในขวดแก้วก็เปล่งประกายประหลาด แสงและเงาสะท้อนอยู่กลางอากาศ

อักขระโบราณเปล่งแสงอ่อนจาง ซ้อนกันเป็นวงแหวนหลายชั้นตัดสลับกันไปมา บางวงเล็กมาก บางวงค่อนข้างใหญ่ วงแหวนถี่แน่นซ้อนทับกันจนกลายเป็นลูกแสง ทั้งยังหมุนไม่หยุด

ซ่งอิ้งเทียนมองคำสาปตรงหน้าอย่างนิ่งงัน ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

คาถาทั่วไปมีสามชั้นก็นับว่าเก่งแล้ว หากร้ายกาจกว่านั้นหน่อย บางทีอาจสร้างขึ้นมาถึงเจ็ดแปดชั้น แต่เจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มองดูแล้วไม่ใช่ร้อยชั้นก็ต้องมีถึงแปดสิบเก้าสิบ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

เขามองดูครู่หนึ่งอย่างพูดไม่ออก ก่อนจะโบกมือเก็บข่ายอาคมของตน ลูกแสงที่ประกอบขึ้นจากคาถาตรงหน้าพลันหายวับไป

หลังขบคิดดูแล้ว เขายังคงลุกขึ้นหยิบกล่องไม้ใบเล็กมาเก็บขวดแก้วลงไปในนั้น ยกมือขึ้นวาดวงกลมบนผนัง ก่อนจะยัดกล่องไม้เข้าไปในวงกลมและทำให้ผนังกลับสู่สภาพเดิม จากนั้นค่อยเอนกายลง ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม

แม่มดอายุพันปี…

บางทีเขาควรปล่อยนางจากไป นี่ไม่ใช่แค่ความยุ่งยาก แต่เป็นเผือกร้อนก้อนหนึ่ง

ทว่าหลับตาลงแล้ว เขากลับเห็นนัยน์ตาแดงก่ำที่หลั่งน้ำตาสีเลือดของนางคู่นั้น มองเห็นความตระหนกหวาดหวั่นที่นางเก็บซ่อนอย่างไรก็ไม่มิด รู้สึกเพียงนางสั่นระริกอยู่ในอ้อมกอดเขาไม่หยุด รู้สึกถึงน้ำตาร้อนระอุของนางที่หยดลงบนไหล่เขา

ดังนั้นเขาจึงพานางกลับมา

ถึงได้พานางกลับมา

ใครจะไปคิดว่านางจะเป็นแม่มดพันปีแห่งหอคอยขาวใน ‘บันทึกเรื่องพิสดารมารปีศาจ’

ต่อจากนี้ควรทำอย่างไร บอกตามตรง เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้เพียงว่าตนมิอาจปล่อยนางไปเช่นนี้ได้ มิอาจปล่อยให้นางใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญผวาท่ามกลางการไล่ล่าของมารปีศาจ

เรื่องนี้หากเกี่ยวพันกับนางคนเดียวก็ช่างเถอะ แต่จากเหตุการณ์ในหมู่บ้านวันนั้น เวลามารปีศาจเหล่านั้นไล่ล่านาง พวกมันไม่สนใจว่าจะเปิดเผยร่องรอยแม้แต่น้อย หลายปีมานี้ผู้บริสุทธิ์ที่พลอยเดือดร้อนเพราะนางไปด้วยเกรงว่าคงนับไม่หมดแน่ๆ

ขบคิดใคร่ครวญดูแล้ว เขายังคงได้แต่รั้งนางให้อยู่เป็นแขกบนเกาะปีศาจต่อไป

 

ฤดูหนาวผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน นกอพยพบินจากไปและบินกลับมา

ดอกไม้ผลิบานและร่วงโรย สี่ฤดูหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน ฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่า

วันเวลาผ่านพ้นไปทีละวัน อาหลิงอดทนรับมือกับชายผู้นั้น นานวันเข้าก็รู้ว่าขีดจำกัดของเขาอยู่ตรงที่ใด

เขาไม่ให้นางออกจากเกาะ ไม่ให้นางทำร้ายคน ถ้านางไม่ทำร้ายคน เขาก็จะไม่ใช้เข็มเงินกับนาง ถ้านางอยากอ่านตำราของเขา เขาไม่เคยห้าม ถ้านางอยากกินอะไร เพียงบอกกับไป๋ลู่ ไม่กี่วันอาหารและของหวานพวกนั้นจะปรากฏบนโต๊ะ

อาหาร เสื้อผ้า และเครื่องใช้ของเขาล้วนได้ไป๋ลู่เป็นคนจัดการ ทั้งหมดล้วนเป็นของชั้นดี ไม่ว่าเขาจะใช้อะไรล้วนบอกให้ไป๋ลู่มอบของแบบเดียวกันให้นางอีกชุด

บนเกาะไม่ค่อยมีคนมาเยือน เขาเองก็ไม่ค่อยได้ออกไป แต่ละวันหากไม่อ่านตำราเขียนจดหมายก็จะนอน บางครั้งจะชงชาและเดินหมากกับซูเสี่ยวเม่ยที่มาที่เกาะ

นางเดินหมากกับเขาหลายครั้ง แต่แทบไม่เคยชนะจริงๆ เลยสักครา ทุกครั้งที่นางชนะล้วนเป็นเพราะเขาอ่อนเพลียเกินไป ทำให้นางอดโกงไม่ได้ เขาจับได้ก็ไม่เปิดโปง เพียงยิ้มและเดินหมากกับนางต่อ สิบครั้งมีแปดครั้งที่เขายังสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายชนะได้

ซูเสี่ยวเม่ยยิ่งน่ารังเกียจ มักจะโจมตีนางจนพ่ายแพ้ราบคาบ ทำเอานางต้องคว่ำโต๊ะใส่อีกฝ่ายทุกครั้งไป

ชีวิตบนเกาะน่าเบื่อยิ่ง ทำให้นางหงุดหงิดอย่างไร้สาเหตุ

ชั้นหนังสือในห้องเขาเต็มไปด้วยตำราเรียงราย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตำราแพทย์ ยังมีคัมภีร์อี้จิงและปากว้า ตลอดจนตำราพิสดารเกี่ยวกับฉีเหมินตุ้นจย่าด้วย เขาไม่เคยห้ามไม่ให้นางหยิบมาอ่าน แต่ตำราพวกนั้นนางอ่านมาหมดแล้ว กลับไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร

ส่วนกระบี่ปราบปีศาจเล่มนั้นของเขา นางแทบจะไม่เคยเห็นเขาใช้มันอีก หากไม่เพราะละโมบคิดว่าจะสามารถขโมยวิชาปราบปีศาจมาจากเขาได้บ้าง นางคงฉวยโอกาสตอนเขาหลับฆ่าเขาให้ตายไปนานแล้ว

เหมือนเช่นวันนี้ เขาเดินหมากกับนางอยู่ แต่แล้วกลับเท้าคางหลับไปเสียอย่างนั้น

ไม่ต้องดูถูกข้าถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง

อาหลิงจ้องกระดานหมากที่ถึงทางตันบนโต๊ะอย่างขุ่นแค้น ถลึงตาใส่บุรุษที่หลับเป็นตายคนนั้นอย่างโมโห ขโมยหมากมาหนึ่งตัว ขยับอีกสองตัว เปลี่ยนทางตันให้เป็นทางรอด แต่ก็ยังคงหงุดหงิดอยู่ดี

เห็นเขาหลับสบายเพียงนี้ นางก็อดใจไม่อยู่ยื่นมือออกไปหมายจะบีบคอเขาให้รู้แล้วรู้รอด

ทว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาสอนอะไรนางไม่น้อยจริงๆ

ไม่พูดถึงเรื่องที่ว่าตั้งแต่มาอยู่บนเกาะนางไม่เคยถูกปีศาจพวกนั้นรบกวนอีก แต่เขายังรู้จุดอ่อนจุดตายของปีศาจชนิดต่างๆ อย่างละเอียด ปีศาจอะไรชอบอยู่ที่ใด ชอบอะไร กลัวอะไร จะรับมืออย่างไร เขาล้วนกระจ่างแจ้งเป็นอย่างดี

หลายปีมานี้ใช่ว่านางไม่เคยรวบรวมจุดอ่อนของศัตรู แต่ใต้หล้านี้มีปีศาจมากมายเพียงใด ปีศาจพวกนั้นซุกซ่อนจุดอ่อนของตัวเองยังแทบไม่ทัน แล้วจะเปิดเผยจุดตายของตัวเองออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร นางรู้บางส่วน แต่ยังมีอีกมากที่รู้แค่งูๆ ปลาๆ ที่มากกว่านั้นคือสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย

นางเคยพยายามศึกษาบุคคลและเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง ถึงขั้นปล้นยันต์คาถามาจากภิกษุและนักพรตบางคน แต่ไม่เคยเห็นวิชาของใครมีประโยชน์เท่าเขามาก่อน

ถ้านางเอาชนะเขาบนกระดานหมากได้ เขาจะวาดภาพแผ่นหนึ่งให้นาง บนนั้นไม่เพียงมีภาพรูปลักษณ์ภายนอกของปีศาจ ยังบันทึกข้อมูลของปีศาจตนนั้นไว้อย่างละเอียด

นางเคยคิดที่จะอ่านใจเขาตรงๆ แต่ชายผู้นี้ความรู้กว้างขวาง ปณิธานแน่วแน่แข็งแกร่ง เวลาที่เขาไม่อยากให้นางเห็น ยังสามารถสร้างเขาวงกตในหัวของตัวเองได้จริงๆ ทำให้นางเหมือนจะมองเห็นทุกอย่าง แต่กลับไม่เห็นสิ่งที่อยากจะเห็น

จะว่าไปแล้วนั่นล้วนเป็นช่วงที่เขาตื่นอยู่ จิตใจมีการระวังป้องกัน แต่ตอนนี้เขาหลับไปแล้ว

ความตระหนักรู้นี้ทำให้อาหลิงสะดุ้งในใจ

ก่อนหน้านี้เขาระวังนางมาก นางไม่เคยมีโอกาสลองอ่านใจตอนเขาหลับเลย

เวลานี้มิใช่โอกาสอันดีหรอกหรือ

มองใบหน้าของชายหนุ่มที่เท้าคางหลับสนิท อาหลิงยื่นมือเล็กออกไปข้ามโต๊ะ ก่อนจะทาบลงบนมือขวาของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะ

บทที่ 10

ลมโชยพัดอย่างแผ่วเบา กระดิ่งที่แขวนอยู่ใต้ชายคาส่งเสียงเบาๆ

นางแอบเข้าไปในห้วงความรับรู้ของเขา ก่อนหน้านี้ยังได้ยินเสียงกระดิ่งลมอยู่ ทว่าอึดใจต่อมากลับพบว่าตัวเองอยู่บนทุ่งหญ้าเขียวขจี

ภูเขาสูงไกลออกไปมีหิมะ ทุ่งหญ้าที่อยู่ใกล้เหมือนคลื่นที่โถมซัด ยังมีแกะก้มหน้ากินหญ้าอยู่ด้วย

ใต้ท้องฟ้าสีน้ำเงินไร้เมฆที่ทอดยาวออกไปนับหมื่นลี้มีสายน้ำคดเคี้ยวไปมาอยู่บนผืนหญ้า ทอประกายระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์สีทอง

ผีเสื้อสีขาวคู่หนึ่งโบยบินมาเกาะอยู่บนดอกไม้ดอกเล็กข้างเท้า

ดอกไม้สีเหลืองกระจายอยู่บนผืนหญ้าสีเขียว จากปลายเท้านางแผ่ขยายออกไปจนไกลโพ้น ดอกไม้แต่ละดอกพลิ้วไหวตามสายลม เหมือนกำลังโบกมือยิ้มน้อยๆ ให้นาง

ทิวทัศน์ตรงหน้าโปร่งโล่งถึงเพียงนี้ ทั้งยังงดงามถึงเพียงนี้ เต็มไปด้วยสีสันสดใส ไม่เหมือนสิ่งที่นางเคยพบเห็นมา

ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินถึงเพียงนั้น ทุ่งหญ้าเป็นสีเขียวถึงเพียงนี้ นางถึงขั้นได้กลิ่นของต้นหญ้า ได้กลิ่นของดอกไม้ ได้กลิ่นของสายน้ำ

ชั่วขณะนั้นนางมิอาจขยับกาย รู้สึกตื่นตระหนกยิ่ง

ทันใดนั้นมือใหญ่อุ่นร้อนก็พลิกกลับและเป็นฝ่ายกุมมือนางไว้

อาหลิงอึ้งไป หันกลับไปเห็นเพียงชายผู้นั้นยืนอยู่ในทุ่งหญ้ากับนาง เขากุมมือนาง หลุบตายิ้มให้

รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนเกินบรรยาย สายตาคู่นั้นจดจ่อถึงเพียงนั้น

หัวใจนางเต้นระรัวทันใด

นางรีบหดมือกลับมา ทะเลดอกไม้และทุ่งหญ้าพลันเลือนหาย มีเพียงเขาที่ยังอยู่ตรงหน้า หลับตานอนโดยมีโต๊ะและกระดานหมากขวางกั้น

หัวใจนางยังคงเต้นถี่ราวกับจะกระดอนออกมาจากโพรงอกอย่างไรอย่างนั้น

โดยไม่ต้องคิด นางลุกขึ้นทิ้งกระดานหมากที่ตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ หมุนตัวและเดินออกไป ตรงเข้าไปในป่า แต่ไม่ว่าจะเดินออกไปไกลเพียงใดก็ยังคงรู้สึกเหมือนมือของตัวเองถูกมือใหญ่กุมไว้เบาๆ ห่อหุ้มไว้ด้วยความอ่อนโยน ยังคงมองเห็นดวงตาเขาที่จับจ้องนาง ราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

อาหลิงเดินสะเปะสะปะอยู่ในป่าและหลงอยู่ในค่ายกล ไม่รู้ไฉนจึงรู้สึกทั้งโกรธและโมโห ขณะที่นางกำลังหงุดหงิดหัวเสียนั้นเอง พลันเห็นเด็กหญิงสกุลเหลยคนนั้นอยู่กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นางไม่เคยพบเจอมาก่อน

เหลยตงตง

นางจำเด็กคนนี้ได้ ตงตงหูไม่ได้ยินเสียง

เด็กคนนี้มักจะตามบิดามาส่งเต้าหู้ทุกครั้ง คนที่ขึ้นมาบนเกาะปีศาจได้มีไม่มาก พ่อลูกสกุลเหลยเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยเหล่านั้น ซ่งอิ้งเทียนเคยบอกนางว่าเป็นเพราะสมัยเป็นเด็กตงตงถูกลมหนาวจนป่วยหนักเป็นไข้ทำให้หูได้รับความกระทบกระเทือน เขาช่วยชีวิตไว้ ดังนั้นเหลยเฟิงจึงส่งเต้าหู้มาเป็นค่ายาให้เขานับแต่นั้นมา

เวลาเหลยเฟิงมาที่เกาะมักจะพาตงตงบุตรสาวมาด้วยเสมอ และสนทนากับซ่งอิ้งเทียนอยู่ในห้องเป็นเวลานาน

นางไม่เคยยุ่งกับชายแซ่เหลยผู้นั้น เขาไม่สนใจนาง แทบไม่เคยมองมาที่นางสักนิด นางไม่ล่วงเกินอีกฝ่ายเป็นเพราะดูออกว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ดูจากท่าเดินของเขาก็รู้ว่าวรยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าซูเสี่ยวเม่ยเลย

หากไม่ถูกสร้อยประคำบนคอควบคุมอยู่ คนผู้นี้สำหรับนางแล้วไม่นับเป็นตัวอะไร แต่บัดนี้ขอเพียงเป็นยอดฝีมือที่วรยุทธ์ดีหน่อยก็สามารถกำราบนางจนล้มลงบนพื้นได้แล้ว

ที่ทำให้นางระมัดระวังยิ่งขึ้นคือบางครั้งตอนชายแซ่เหลยผู้นั้นสบตานาง ดวงตาคู่นั้นไม่เพียงไม่มีความสนใจแม้แต่นิด ยังเจือแววเย็นชาอำมหิตอยู่จางๆ อีกด้วย

เพียงแวบเดียวนางก็รู้ว่าถ้าคนผู้นี้ลงมือจะต้องไม่ปรานีแน่

ประกอบกับความจริงที่ว่าซ่งอิ้งเทียนป้องกันนางอย่างรัดกุม ถ้ามีคนอื่นมาที่เกาะ เขามักไม่ปล่อยให้นางอยู่คนเดียว เหตุการณ์ของเช้าวันนี้ยังเป็นเพราะเขาหลับไป นางถึงได้หนีออกมา

เห็นเด็กน้อยคนนั้นอยู่กับเด็กหนุ่มที่ไม่รู้มาจากที่ใด รอบด้านไม่พบเหลยเฟิง นางจึงหลอกล่อเด็กหญิงเข้ามา พยายามอ่านใจอีกฝ่ายและหาวิธีออกไปจากเกาะ คิดไม่ถึงว่าตงตงจะไม่ยอมมา นางโมโหจึงเข้าไปคว้ามือเด็กหญิงและพยายามใช้กำลังอ่านใจ หากสามารถสะกดจิตเด็กคนนี้ให้ช่วยถอดสร้อยประคำได้ก็ยิ่งดี

คิดไม่ถึงว่าพอคว้าจับอีกฝ่าย ภาพที่ทะลักเข้ามาในหัวสมองจะทำเอานางตระหนกไม่น้อย

“เป็นไปได้อย่างไร!? เจ้า…”

ตอนนางคว้ามือของตงตง เด็กหนุ่มที่น่ารังเกียจข้างกายพลันผลักนางออก

เพราะภาพที่เห็นจากการอ่านใจทำให้นางตกใจเกินไป พอเด็กหนุ่มผู้นั้นยื่นมือมาผลักจึงทำเอานางเกือบหงายล้มไปข้างหลัง นางเพิ่งจะประคองตัวเองได้ด้วยความโกรธเกรี้ยว กำลังจะเอื้อมมือไปบีบคอเขาก็ได้ยินเสียงซ่งอิ้งเทียนดังขึ้นข้างหลัง

“อาหลิง”

ได้ยินเสียงเขา นางก็สะดุ้ง รีบหยุดการกระทำทันที แต่ยังอดไม่ได้ที่จะลอบด่าในใจ บังคับให้ตัวเองหดมือกลับมา ข่มโทสะไว้และหันกลับไป

 

ทุ่งหญ้ากับภูเขาสูง ท้องฟ้าสีน้ำเงินกับสายน้ำคดเคี้ยวที่เหมือนแถบผ้าสีเงิน

นั่นเป็นทิวทัศน์ที่เขาเห็นในอดีต ตอนออกจากบ้านไปท่องเที่ยวกับอาจารย์ปู่

ซ่งอิ้งเทียนจดจำฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลไร้จุดสิ้นสุดได้ชัดเจน จดจำสายลมเย็นสบาย จดจำความรู้สึกอิสระเบิกบานยามควบม้าห้อตะบึงได้

ยังคิดว่าตนอยากไปอีกครั้งเมื่อไรก็ไปได้ ใครจะไปคิดว่าต้องถูกกักขังอยู่เช่นนี้

เขายืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดินกว้างใหญ่ สูดหายใจลึก ข่มความหงุดหงิดในใจ ชั่วอึดใจต่อมาเขาก็รับรู้ถึงตัวตนของนาง

ชั่วขณะสั้นๆ เขารู้สึกโมโห แทบอยากจะใช้กำลังขับไล่นางออกไป

นี่เป็นความทรงจำของเขา เป็นความคิดของเขา หญิงผู้นี้ออกจะ…

เพิ่งจะคิด นางก็ปรากฏกายยืนอยู่ข้างเขา มองทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้าอย่างตกตะลึง

ความประหลาดใจของนาง ความตื่นตะลึงของนางถูกถ่ายทอดเข้ามาอย่างไร้การปกปิด โถมทะลักเข้ามาในใจ

ทันใดนั้นเขาตระหนักว่านางเคยมาสถานที่เดียวกันนี้ ยืนอยู่บนทุ่งหญ้าที่แทบจะเหมือนกัน นางจำภูเขาลูกนั้นได้ จำแม่น้ำสายนั้นได้ แต่นางไม่เคยรู้สึกว่าที่นี่งดงาม ไม่เคยสังเกตว่าสีสันของท้องฟ้าและพื้นดินสดใสงดงามถึงเพียงนั้น

แทบจะในเวลาเดียวกัน เขามองเห็นสิ่งที่นางเห็นในอดีต ฟ้าดินเดียวกัน แต่กลับมืดมนถึงเพียงนั้น

ตอนนางมาที่นี่มีปีศาจไล่ตามนางอยู่ มีมารกำลังเสาะหานาง นางไม่มีเวลาสนใจภูเขาและสายน้ำ ไม่มีอารมณ์เช่นนั้น

ในสายตานางทุกอย่างล้วนเป็นสีเทาและสีดำ แฝงไว้ด้วยกลิ่นคาวเลือด แม้แต่ทุ่งหญ้าที่เหมือนเกลียวคลื่นยังดูเหมือนจะมีสัตว์ประหลาดกระโจนออกมาได้ทุกเมื่อ

นางต้องหลบหนีอยู่เสมอ ดังนั้นมองอะไรล้วนไม่ได้เข้าไปถึงดวงตาอย่างแท้จริง มีเพียงภาพเลือนรางพร่ามัว

แต่เวลานี้ ชั่วขณะนี้ เขารู้สึกได้ถึงความประทับใจที่บรรยายไม่ถูกของนาง รู้สึกได้ถึงความตื่นตะลึงของนางเหมือนเช่นที่เขาเป็นในอดีต

ลมพัดผมนางจนปลิวขึ้น พาให้ทุ่งหญ้าดูคล้ายเกลียวคลื่นที่ม้วนตัว เขาเห็นนางมองผีเสื้อสีขาวคู่นั้น มองต้นหญ้าสีเขียวกับดอกไม้สีเหลือง มองภูเขาหิมะและสายน้ำกว้างใหญ่ คิดในใจว่าที่แท้สถานที่แห่งนี้เป็นเช่นนี้หรือ

ความประทับใจอันบริสุทธิ์ของนางห่อหุ้มหัวใจเขา

หญิงผู้นี้ถึงขั้นลืมไปว่าเหตุใดนางถึงมาที่นี่ เอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้นมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าปรารถนา อิจฉา และไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น เหมือนเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

เขาห้ามใจไม่อยู่ ยื่นมือไปกุมมือเล็กของนางไว้

อาหลิงตกใจสะดุ้ง หันมาและเงยหน้ามองเขา นัยน์ตาดำสนิทคู่นั้นมีประกายน้ำตา

เขาจ้องมองนางและยิ้มให้

นางมองเขานิ่งไม่ขยับ ราวกับเพิ่งเคยเห็นเขาเป็นครั้งแรก จากนั้นก็ชักมือกลับไปโดยเร็ว หายไปโดยไม่เห็นแม้แต่เงา

แต่เขามองเห็นแล้ว รู้สึกได้ถึงหัวใจที่นางลืมปกปิดไว้

หัวใจดวงนั้นมีเลือดมีเนื้อ รู้จักร้องไห้และหัวเราะ เป็นหัวใจที่สามารถเกิดความประทับใจต่อสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ได้

เขาลืมตาอีกครั้งนางก็หนีหายไปแล้ว มีเพียงกระดานหมากที่ยังเดินไม่จบวางทิ้งไว้บนโต๊ะ

เขาไม่ได้ไปตามหานาง เพียงหลุบตามองฝ่ามือข้างขวาที่ว่างเปล่า ยังคงรู้สึกได้ว่ามือเล็กของนางสั่นระริกอยู่กลางฝ่ามือ

ความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นในใจอย่างไร้สาเหตุถูกขจัดไปสิ้น

เขารู้ว่านางรู้ นั่นเป็นทิวทัศน์ที่เขาเห็น ภูเขาและสายน้ำแบบเดียวกัน แต่กลับเป็นฟ้าดินที่แตกต่างห่างไกลจากนางถึงสิบหมื่นแปดพันลี้

นี่เพิ่งผ่านมาเท่าไรเอง สองปีกระมัง

เขาเพิ่งถูกขังอยู่ที่นี่แค่สองปีก็คิดถึงฟ้าดินเช่นนั้นถึงเพียงนี้แล้ว แต่นางต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แค่สองปีที่ใดเล่า

ฤดูหนาวปีนั้นเขายังคิดว่าตัวเองจะสามารถหาวิธีคลี่คลายเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว คิดไม่ถึงว่าเมื่อสืบเสาะลงไปถึงรู้ว่าเผือกร้อนก้อนนี้ไม่เพียงลวกมือเท่านั้น และไม่ได้เป็นเพียงเผือกร้อนก้อนหนึ่ง แต่ยังเป็นยาบำรุงชั้นดีตลอดพันปีที่ผ่านมาในโลกปีศาจ แค่สืบข้อมูลเรื่องนี้ก็ต้องถูกปีศาจเป็นพรวนตามไล่ล่า

เขาจึงจำต้องรั้งนางให้อยู่เป็นแขกที่นี่

การรั้งตัวนางครั้งนี้กินเวลาถึงเจ็ดร้อยกว่าวัน ไม่เพียงกักขังนางไว้ ยังกักขังตัวเขาเองด้วย

คนเขาเป็นฝ่ายพามา หากเขาทิ้งนางไว้ที่นี่เช่นนี้แล้วตัวเองหนีไปท่องเที่ยว ใครจะไปรู้ว่าวันใดถ้านางหนีออกจากเกาะปีศาจได้จริงๆ จะพานโกรธคนที่อยู่ละแวกนี้ไปด้วยหรือไม่

ความชั่วร้ายมีแต่จะก่อให้เกิดความชั่วร้าย

อาจารย์ปู่พร่ำสอนเขาหลายต่อหลายครั้ง

ในอดีตเพราะกลัวเขาจะอาศัยสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้มาทำอะไรตามอำเภอใจ ตอนมอบประคำปราบมารให้เขา อาจารย์ปู่ถึงให้เขาสวมมันและใช้ศาสตร์มืด ต้องการให้เขารู้ว่าหากจะใช้ของสิ่งนี้ก็ต้องรู้ด้วยว่าจะก่อให้เกิดความเกลียดชังเช่นไร

ในเมื่อเขาจะกักขังนาง ย่อมต้องยอมถูกกักขังไปพร้อมกับนางด้วย

เขาลองคิดหาหนทางแก้ปัญหาให้นางแล้ว ลองแก้คำสาปโลหิตที่อยู่ในตัวนาง ทว่าคำสาปโลหิตนั่นเป็นคำสาปโบราณที่สลับซับซ้อนยิ่ง เขาลองแก้ดูแล้ว แต่คาถายังคงเกี่ยวซ้อนกันเป็นวงๆ แก้ได้อันหนึ่งก็เพิ่มขึ้นมาอีกอันหนึ่ง ยากที่จะขจัดไป

ตอนแรกๆ การพยายามคลี่คลายปริศนาน่าสนุกทีเดียว แต่หลังจากผ่านมาเจ็ดร้อยกว่าวัน แม้แต่เขาเองยังโมโห ยังหงุดหงิด

นี่เพิ่งจะเจ็ดร้อยกว่าวันเท่านั้น แค่สองปีกว่าๆ แต่นางกลับถูกจองจำมาพันปีแล้ว ดีไม่ดีไม่ใช่แค่พันปีด้วยซ้ำ

หากเป็นคนอื่นจะต้องคลุ้มคลั่งแน่ ไม่แปลกที่สิ่งที่นางพบเห็นล้วนเป็นสีเทาหม่น สิ่งที่คิดล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดแค้นถึงเพียงนั้น

ทว่านางยังคงมีหัวใจ

หัวใจที่ยังรู้สึกประทับใจได้

ทันใดนั้นเขาพลันอยากรู้เหลือเกินว่าเหตุใดนางจึงตกอยู่ในสภาพนี้

เวลานี้เองอากาศปั่นป่วน ซ่งอิ้งเทียนยกมือขึ้นโบกนำควัน เห็นควันกำยานรวมตัวกันเป็นอักษรสองตัว ‘ตงตง’ ยังมีเด็กหนุ่มที่ฐานะไม่แน่ชัดอีกคน พวกเขาอยู่กับอาหลิงในป่า

ซ่งอิ้งเทียนลุกขึ้น เดินตรงไปยังสถานที่ที่ทั้งสามคนอยู่

พอถึงที่นั่น นางรีบร้อนหันมา ครั้นเห็นว่าเป็นเขา ใบหน้าก็ปั้นยิ้มเสแสร้งในชั่วพริบตา ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับไม่มองสบเขา

“เจ้าทำอะไรน่ะ” เขาถาม

“ทำอะไรน่ะรึ ข้าหลงทางก็ต้องกำลังถามทางอยู่น่ะสิ” นางตอบ

“ถามทางรึ” เขาเลิกคิ้ว

อาหลิงตอบโดยไม่กะพริบตา ท่าทางว่าง่ายและเชื่อฟัง “ใช่สิ เดิมข้าคิดจะไปตักน้ำข้างทะเลสาบให้ไป๋ลู่ ใครจะนึกว่าไม่ระวังเดินผิดทางเข้า”

เขายิ้มเอามือไพล่หลัง “เช่นนั้นคราวหน้าคราวหลังเจ้าต้องคอยตามให้ดีๆ ล่ะ”

“นั่นสิ คราวหน้าอาหลิงจะตามติดทุกฝีก้าวเลยล่ะ” นางพูดเสียดสี

“นั่นก็ต้องตามให้ถูกคนล่ะนะ” เขาเดินมาตรงหน้านาง หลุบตาจ้องนางและเตือนด้วยความหวังดี “นอกเสียจากว่าเดินตามข้า หาไม่เจ้าก็ออกไปไม่ได้หรอก”

ดวงตาคู่งามของนางกระตุก รอยยิ้มยังคงแขวนอยู่บนใบหน้า ริมฝีปากแดงเผยอออกเล็กน้อย “หากข้าเดินตามท่านจริงๆ ท่านจะนำทางข้าออกไปหรือไม่เล่า”

“นั่นมันก็ต้องลองดู” เขาพูดพลางยื่นมือให้นาง ยิ้มมองนางและพูดเสียงอ่อนโยน “แต่เจ้าต้องให้ข้าจูงถึงจะใช้ได้”

ชั่วขณะนั้นนางเงยหน้าสบตากับเขา

ทันใดนั้นเหมือนเขาได้กลับไปอยู่ในทุ่งหญ้าอีกครั้ง เห็นสายลมโชยมาอีกครา

เขารู้ว่านางเป็นเหมือนเขา คิดถึงช่วงเวลาเมื่อครู่นี้

ชั่วขณะหนึ่งที่นัยน์ตาดำเย็นเยียบของนางอ่อนโยนลง ทว่าอึดใจต่อมานางกลับนึกขึ้นได้ว่าต้องโมโห อาหลิงสะบัดแขนเสื้อยาว เก็บรอยยิ้มและตอบเสียงเย็น

“งั้นก็อย่าดีกว่า”

ซ่งอิ้งเทียนมองมือที่ค้างอยู่กลางอากาศของตัวเองพลางยิ้มหยัน คิดดูก็น่าจะรู้ว่าเรื่องราวไม่ง่ายดายปานนั้นหรอก

เขาหดมือกลับมาและไม่มองนางอีก เพียงเดินตรงไปหาตงตงกับเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ชื่อคนนั้น

เด็กหนุ่มเป็นคุณชายโรงกระดาษสกุลอี้ ชื่อว่าอี้หย่วน ไม่ระวังหลงขึ้นมาบนเกาะจึงถูกขังอยู่ในค่ายกลลวงวิญญาณ เขารู้ว่าอาหลิงเฝ้ามองอยู่ตลอด เขาจูงมืออี้หย่วนกับตงตงกำลังจะเดินออกจากป่า อี้หย่วนกลับดึงมือเขาและถามถึงนาง

“นี่ แม่นางคนนั้นล่ะจะทำอย่างไร”

ซ่งอิ้งเทียนหยุดฝีเท้า หันกลับไปมองอี้หย่วนกับตงตง แต่กลับไม่เหลือบแลนางสักนิด เพียงยิ้มตอบว่า “นางอารมณ์ร้าย ต้องหิวถึงจะยอม อีกประเดี๋ยวข้าจะมาพานางไปอีกที”

นางฟังแล้วโมโหจนกระทืบเท้า หันหลังเดินจากไป พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงา หายลับไปในป่าอีกครั้ง

เขาไม่ได้ไปตามหานาง เพียงพาตงตงกับคุณชายสกุลอี้ออกจากเกาะ ส่งทั้งสองขึ้นเรือ

 

ค่ำคืนอันเลวร้ายไร้จุดสิ้นสุด

อาหลิงดิ้นรนอยู่ท่ามกลางเลือดและเหงื่อ มารปีศาจเป็นพันเป็นหมื่นล้อมรอบนางใต้แสงจันทร์

นางอยากหนี อยากวิ่ง แต่กลับหนีไม่ได้ วิ่งไม่ได้ มือของนางถูกล่ามไว้ เท้าถูกตีตรวน มีเพียงดวงจันทร์สีขาวเงินอยู่เบื้องบน

นางได้กลิ่นเหม็นสาบของมารปีศาจพวกนั้นอย่างชัดเจน รู้สึกได้ถึงความกระเหี้ยนกระหือรือของพวกมัน

นางรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น นั่นทำให้ความหวาดกลัวเกาะเต็มหัวใจ อัดแน่นไปทั่วแขนขาทั้งสี่ พาให้เหงื่อเย็นไหลโชก หัวใจเต้นถี่

ไม่ ข้าไม่กลัว ไม่กลัวหรอก

อาหลิงจ้องจันทร์เต็มดวงตรงหน้าเขม็ง คิดอย่างโกรธแค้น

ข้าไม่กลัวสักหน่อย!

เงาดำกรูกันเข้ามาในอึดใจต่อมา ทันใดนั้นความเจ็บปวดของการถูกฉีกทึ้งก็ทำให้นางอ้าปากกรีดร้อง เลือดและเนื้อสาดกระเซ็นใต้แสงจันทร์ อาบย้อมดวงจันทร์สีขาวเงินจนกลายเป็นสีแดง

นางกรีดร้องและกรีดร้อง กรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ปากที่มีเขี้ยวปากแล้วปากเล่ายังคงพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง…

อาหลิงดิ้นรน ร้องเสียงแหลมออกแรงขัดขืน หลังจากนั้นนางก็ตกลงจากแท่นสูง การตกลงมาครั้งนี้ไม่รู้เหตุใดจึงทำให้มารที่คลุ้มคลั่งพวกนั้นหายวับไป

นางลืมตาในสภาพเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เห็นร่างกายท่อนล่างของตัวเองพันกับผ้าห่มจนเป็นก้อน ร่างกายท่อนบนกลับกลิ้งตกลงไปในเตาฝังพื้น

ถ่านไฟที่ยังหลงเหลืออยู่ในเตาเผาลวกมือนาง พริบตาเดียวก็ไหม้แขนเสื้อทำให้เกิดเปลวไฟขึ้น กลืนกินเนื้อผ้า

ชั่วขณะหนึ่งนางไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่สนใจแผลไฟลวกบนมือ แต่คว้าถ่านไม้ที่ยังติดไฟแล้วหันกลับไปพยายามต่อสู้กับมารปีศาจที่กลืนกินนางเหล่านั้น ทว่าเงยหน้ากลับไม่เห็นมารปีศาจใดๆ ตัวนางก็ไม่ได้อยู่ในถ้ำที่มีช่องหลังคา

นางอยู่ในเรือนที่สร้างจากไม้หลังหนึ่ง นอกจากนางแล้วก็ไม่มีคนอื่น

ภายในห้องเงียบสนิท มีเพียงแขนเสื้อข้างซ้ายของนางที่ยังคงลุกไหม้

อาหลิงหอบหายใจ ก่อนจะตระหนักว่าเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน

แค่ฝัน

นางโยนถ่านไม้ทิ้ง ดึงผ้าห่มที่พันร่างกายท่อนล่างออก ปีนขึ้นมาจากเตาฝังพื้น ฉีกแขนเสื้อที่ไหม้ทิ้งและโยนกลับเข้าไปในเตา แต่มือซ้ายของนางถูกไฟลวกแล้ว แม้แต่ใบหน้ายังปวดแสบ

มองแขนเสื้อที่ลุกไหม้อยู่ในเตาฝังพื้นตลอดจนเนื้อบนแขนที่ไหม้จนเละ หัวใจนางยังคงเต้นรัวไม่หยุด

ผ้าห่มข้างเท้าเปียกเหงื่อจนชุ่มไปนานแล้ว ชุ่มเหมือนจะย่ำเอาน้ำออกมาได้

ห้องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความหวาดหวั่น

อาหลิงหมุนตัวโดยไม่เหลียวหลัง ดันประตูบานเลื่อนและเดินออกไป

ในลานโล่งกลางเรือน แสงจันทร์สาดส่องลงมาอย่างแผ่วเบา นางเงยหน้า เห็นเพียงดวงจันทร์ประดุจถาดเงินแขวนตัวอยู่บนท้องฟ้า

นางมองจันทร์เต็มดวง อาการสั่นเทากลับมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดเหมือนยังปกคลุมอยู่ทั่วกาย ร่างกายเหมือนยังมีเขี้ยวคมฝังอยู่ เปรียบเทียบกันแล้วความเจ็บจากแผลไฟลวกที่มือและหน้าไม่นับเป็นอะไรเลย

นางหลุบตาไม่มองจันทร์เพ็ญดวงนั้น เอาแต่ก้าวเร็วๆ ผ่านลานกลางแจ้ง เปิดประตูห้องของคนแซ่ซ่ง

ในห้องว่างเปล่าไร้คน ยังคงเป็นเหมือนเมื่อสิบวันก่อน แม้แต่ผ้าห่มยังถูกพับเก็บไว้ด้านข้างอย่างเรียบร้อย

สิบวันก่อนคนผู้นั้นทิ้งกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ในโถงด้านหน้า บอกว่าเขามีธุระต้องออกไปข้างนอกสามวัน หลังจากนั้นนางก็ไม่เห็นเขาอีก

แม้ซูเสี่ยวเม่ยจะขึ้นเกาะมากับไป๋ลู่นำอาหารมาส่งให้นาง แต่นางยังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่ง

นางค้นกล่องรื้อตู้ในห้องเขา หายารักษาแผลไฟไหม้ กัดฟันถอดเสื้อผ้าที่เหนียวติดร่างกายเพราะแผลไฟไหม้ แม้นางจะพยายามระมัดระวังแล้ว แต่ยังคงฉีกแผลที่เกือบจะสมานเข้าด้วยกันจนปริออก หนังหลุดมาชิ้นหนึ่ง ทำเอาใบหน้านางกระตุกอีกครั้ง อดทนกับความเจ็บทายาโดยเร็ว

เนื้อยาเย็นเฉียบที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้งบรรเทาความเจ็บปวดได้แทบจะในพริบตา

อาหลิงคุกเข่ากับพื้น พรูลมหายใจ หลับตาปล่อยให้ตัวยาซึมเข้าสู่ผิวกาย ทว่าพอหลับตาลง เงาดำพวกนั้นกลับวูบไหวอยู่ใต้เปลือกตาอีกครั้ง ทำให้หัวใจเต้นรัวด้วยความตระหนก

ทั้งที่รู้ดีว่าเป็นความฝัน แต่นางก็ยังคงตกใจ

นางลืมตาอย่างรีบร้อน ถึงได้เห็นว่าประตูที่หันออกข้างนอกเปิดอยู่ เงาดำพวกนั้นคือเงาไม้นอกห้องของเขา

ภายใต้แสงจันทร์ พอลมพัด เงาไม้ก็ส่ายไหว ดูเหมือนมารปีศาจที่แยกเขี้ยวกางเล็บอย่างไรอย่างนั้น

ความโง่เขลาของตัวเองตลอดจนความตระหนกกลัวที่มิอาจควบคุมได้ทำให้นางรู้สึกโมโห เสื้อผ้าเปียกชื้นบนร่างกายยิ่งสะท้อนถึงความหวาดกลัวของนางอย่างชัดเจน อาหลิงยกมือขึ้นถอดเสื้อผ้าชื้นเหงื่ออย่างไม่สบอารมณ์แล้วโยนทิ้งไปด้านข้างส่งๆ

ประตูบานนั้นนางเป็นคนเปิดไว้เองเมื่อหลายวันก่อนตอนฝนตก เดิมทีเพราะโมโหที่เขาทิ้งนางไว้ที่นี่ จงใจอยากให้ลมฝนพัดใส่ห้องเขาจนเปียก แต่ฝนตกไม่นานก็หยุด ไม่ได้ทำให้ห้องเขาเปียก เวลานี้กลับทำให้นางตกใจเสียเอง

อาหลิงเดินไปข้างหน้าอย่างขุ่นใจ กระแทกปิดประตูดังปัง ปิดกั้นจันทร์เพ็ญกับเงาไม้ไว้ข้างนอก

ด้วยไม่อยากกลับไปนอนบนที่นอนและผ้าห่มเปียกชื้นของตัวเอง นางจึงหันหลังเอาฟูกผ้าห่มที่พับเก็บอยู่ด้านข้างของเขามาปูข้างเตาฝังพื้น คว้าผ้าแห้งที่แขวนอยู่ด้านข้างมาเช็ดตัว ก่อนจะมุดเข้าไปขดตัวในผ้าห่มแห้งสบาย ก่นด่าสารเลวผู้นั้นในใจด้วยความโมโห

ไหนว่าจะออกไปข้างนอกสามวัน นี่มันสิบวันแล้ว ถ้าไป๋ลู่กับซูเสี่ยวเม่ยไม่เอาอาหารมาส่ง นางมิต้องทนหิวเป็นสิบวันหรือ

ถ้าเจ้านั่นไม่ระวังตายอยู่ข้างนอก เช่นนั้นนางมิต้องถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ

สองปีมานี้ชายผู้นั้นอยู่บนเกาะทุกวัน ต่อให้ออกไปก็กลับมาในวันเดียวกัน แม้จะล่าช้า อย่างมากก็แค่ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น ไม่เคยเป็นเหมือนครั้งนี้มาก่อน

นางไม่ได้ซักถามไป๋ลู่กับซูเสี่ยวเม่ยว่าเขาหายไปที่ใด สองคนนั้นเองก็ไม่ได้พูดมาก สองวันมานี้แม้แต่ไป๋ลู่ก็ไม่มาที่เกาะแล้ว มีเพียงซูเสี่ยวเม่ยมาคนเดียว

นางรู้ว่าคนแซ่ซูระแวดระวังนางมาก ดูออกว่านางหงุดหงิดมากขึ้นทุกที เกรงว่านางจะลงมือกับไป๋ลู่จึงไม่ให้ไป๋ลู่มา

ทางที่ดีสารเลวผู้นั้นอย่าได้ตายเชียว

ถ้าเขากล้าตายอยู่ข้างนอก ปล่อยให้นางถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดกาล นางจะไม่ละเว้นเขาแน่!

อาหลิงกำหมัดแน่น จ้องผนังไม้ตรงหน้าพลางคิดอย่างขุ่นแค้น

ต้องไม่ละเว้นเขาแน่นอน!

ลมพัดอยู่นอกประตู เงาไม้ยังคงส่ายไหว นางจ้องเงาไม้เหล่านั้น เหมือนยังคงเห็นมารปีศาจตนแล้วตนเล่า เห็นปากที่อ้ากว้างและเต็มไปด้วยโลหิต

นางจ้องมองตาไม่กะพริบ จ้องเขม็งไม่ละสายตาและบอกตัวเอง

ไม่เป็นไร ที่นี่คือเกาะปีศาจ มารปีศาจพวกนั้นเข้ามาไม่ได้

ข้าออกไปไม่ได้ มารปีศาจพวกนั้นก็เข้ามาไม่ได้เหมือนกัน

เข้ามาไม่ได้หรอก…

หัวใจเต้นรัวอยู่ในโพรงอก อาหลิงขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เบิกตาโตจ้องไปที่ประตู เดิมทีคิดว่าคืนนี้คงยากจะข่มตาหลับ ตั้งแต่เขาจากไป ไม่รู้เหตุใดสิบวันมานี้นางจึงไม่ได้หลับสนิทเลยสักวัน เป็นเพราะเหนื่อยเกินไป นางฟังเสียงลมแล้วหนังตาก็ค่อยๆ หนักอึ้ง ปิดลงแล้วลืมขึ้น จากนั้นปิดลงอีกครั้งและลืมขึ้นอีก ในที่สุดก็ต้านทานไม่ไหว ปิดตาลงโดยสมบูรณ์

 

กลางดึกไร้เสียงผู้คน สรรพสิ่งเงียบสงัด

ซ่งอิ้งเทียนย่ำเท้าไปบนใบไม้ร่วงใต้ผืนฟ้าที่มีดวงดาวอย่างเงียบๆ เดินตัดป่าทึบ กลับถึงเรือนที่อาศัยอยู่มาสองปีแล้ว

เรือนบนเกาะปีศาจเป็นสิ่งที่ท่านตาทิ้งไว้ให้เขา ในอดีตเขาจะมาเฉพาะตอนกลางวันเวลาต้องฝึกวิชา กลางคืนกลับไปกินข้าวที่บ้าน ใครจะไปคิดว่าบัดนี้เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาสองปีกว่าแล้ว

บริเวณหน้าชานของเรือนไม้มีไฟสว่าง ไฟไป๋ลู่เป็นคนจุด แม้จะออกเรือนไปแล้ว ไป๋ลู่ก็ยังคงดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ของเขาอย่างเป็นระเบียบ เขารู้ว่าซูเสี่ยวเม่ยติดใจเรื่องนี้มาก แต่เขากลับไม่ได้ห้ามปราม

เขาเป็นคนช่วยชีวิตไป๋ลู่ไว้ ชั่วชีวิตนี้ซูเสี่ยวเม่ยถูกกำหนดแล้วว่าต้องติดค้างเขา

ดังนั้นการถูกคนอื่นติดหนี้บุญคุณ ย่อมดีกว่าติดหนี้บุญคุณคนอื่น

อีกอย่างเขาถูกขังอยู่บนเกาะทั้งวัน ได้เห็นเจ้านั่นหึงหวงเป็นบางครั้ง ชีวิตย่อมมีรสชาติมากยิ่งขึ้น

จะว่าไปเขาไม่ได้ออกจากบ้านมานาน หายากที่จะได้ออกไปสักหน แต่ข้างนอกกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก

ความปลอดภัยคือความสุข

หลังเข้าไปในเรือนแล้วเขาก็ถอดรองเท้าถุงเท้าไว้ข้างประตู วางของที่หิ้วอยู่ในมือลงบนโต๊ะแล้วค่อยเดินเข้าไปข้างใน

พอถึงลานกลางเรือน เขามองไปยังบานประตูที่ปิดสนิทอีกฝั่งหนึ่ง

เขาใคร่ครวญว่าจะเข้าไปตรวจดูดีหรือไม่ แต่ที่นั่นเงียบสนิทไร้เสียง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งนั้น

สองสามเดือนมานี้อาการฝันร้ายของนางดีขึ้นมาก คืนนี้แม้จะเป็นคืนวันเพ็ญ แต่นางไม่ได้จุดไฟ เห็นชัดว่าหลับไปแล้ว

อาหลิงไม่ชอบคืนวันเพ็ญ ทุกครั้งเมื่อถึงวันที่สิบห้านางมักจะฉุนเฉียวเป็นพิเศษ ไม่ว่าเรื่องเล็กอะไรก็สามารถทำให้นางโมโหได้

เดิมทีเขายังเป็นกังวลเล็กน้อย เกรงว่าอาการของนางจะย่ำแย่ถึงได้รีบกลับมาในคืนนี้ แต่บัดนี้ดูแล้วเขาคงกังวลเกินกว่าเหตุ

ไม่เป็นไรย่อมดีที่สุด แสดงว่านางมีความก้าวหน้า

ซ่งอิ้งเทียนหัวเราะอย่างไร้เสียง เดินตรงเข้าไปในห้องตัวเองต่อ เลื่อนประตูให้เปิดออกและปิดประตูลง ถอดเสื้อผ้าบนร่างกาย ดึงปิ่นบนศีรษะออก ปล่อยผมสยาย ถือโอกาสนี้บิดขี้เกียจด้วย

แสงจันทร์ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เขามองเห็นฟูกผ้าห่มที่ปูไว้เรียบร้อยได้รางๆ

ชั่วแวบหนึ่งที่รู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ แต่เขาไม่ได้คิดมาก เพียงเลิกผ้าห่มและเอนกายลงไป

ทว่าจังหวะที่เอนกายลงไปในผ้าห่ม เขาก็รู้ทันทีว่าปัญหาอยู่ที่ใด

ก่อนจากไปเขาพับฟูกผ้าห่มไว้เรียบร้อย ต่อให้เขาไม่ได้พับ ไป๋ลู่ก็ต้องพับเก็บให้เขา แต่บัดนี้ฟูกผ้าห่มกลับปูอยู่บนพื้น ไม่เพียงเท่านี้ ในผ้าห่มยังอุ่น ใต้ผ้าห่มอุ่นร้อนมีเรือนร่างเรียบลื่นนอนอยู่ ทั้งยังพ่นลมหายใจอุ่นร้อนออกมา เขาตะลึงงัน ใช้ข้อศอกยันร่างกายท่อนบนขึ้น เลิกผ้าห่มออกอีกครั้ง ครานี้ดึงให้สูงขึ้น จากนั้นอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง มองเห็นคนที่ขดตัวอยู่ในผ้าห่มได้อย่างชัดเจน

ตอนแรกเขาเห็นเพียงศีรษะนางและเรือนผมยาวสยาย จากนั้นจึงเห็นเรือนร่างเปลือยเปล่าของนาง

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน มกราคม 63)

 

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: