บทที่ 1
จ่างซุนเสินหรงฝันว่านางกลิ้งตลบไปพร้อมกับคนผู้หนึ่ง…
‘แควก’ เกิดเสียงดังขึ้น เสื้อผ้าร่วงลงสู่พื้น แขนของคนผู้นั้นยื่นเข้ามาโอบรัดเอวของนางเอาไว้อย่างแข็งแกร่งทรงพลัง ท่ามกลางแสงเทียนที่หรุบหรู่ ไหล่บ่ากว้างหนาของบุรุษเหยียดขยายออกต่อหน้าต่อตา หัวไหล่ขยับยก เหงื่อบางๆ ถูกเขย่าโยกจนไหลหยดท่ามกลางรัศมีอันเรืองรอง
นางยากจะทนไหว จึงคิดจะคว้าอะไรก็ได้ตามสัญชาตญาณ พอยื่นมือออกไปก็คว้าได้เสื้อผ้าที่เพิ่งถูกฉีกร่วงลงพื้นตัวนั้น นางเพ่งมองไป นั่นคือชุดเจ้าสาว ชุดเจ้าสาวที่นางสวมใส่ตอนแต่งงาน นางพลันหันกลับไปมองใบหน้าของบุรุษผู้นั้น…ทันใดนั้นก็ตกใจจนลุกขึ้นนั่ง
แสงเรื่อเรืองจากท้องฟ้าสาดกระทบกรอบหน้าต่างทอดเป็นเงายาวเฉียงๆ สายหนึ่ง ยืดยาวมาจนถึงที่เตียง จ่างซุนเสินหรงกอดผ้าห่มผืนบางที่ห่มอยู่บนร่างเอาไว้แน่น แผ่นหลังเปียกชื้นเหงื่อจนเสื้อผ้าหนักอึ้ง นางหอบหายใจอย่างเร่งร้อน สูดลมหายใจเข้าไปทีละเฮือก ยังคงไม่ออกมาจากภาพในห้วงฝันนั้น
“ประมุขน้อย?” จื่อรุ่ยสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยจึงเอ่ยถาม “ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ พอดีเลย คุณชายมีคำสั่งให้เตรียมตัวออกเดินทางแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม” จ่างซุนเสินหรงขานตอบอย่างแช่มช้าคำหนึ่ง ลำคอรู้สึกแห้งผากอย่างน่าประหลาดอยู่บ้าง
จื่อรุ่ยผลักประตูเข้ามาปรนนิบัตินางลุกจากเตียง พอยื่นมือมาแตะโดนร่างของนางก็ต้องตกใจ “เหตุใดประมุขน้อยถึงเหงื่อออกมากถึงเพียงนี้ล่ะเจ้าคะ”
ดวงตาจ่างซุนเสินหรงครึ่งหลับครึ่งลืม พูดอย่างขอไปทีว่า “เพียงฝันไปเท่านั้น”
จื่อรุ่ยรู้สึกประหลาดใจยิ่งขึ้น “เช่นนั้นก็ประหลาดแล้ว ประมุขน้อยไม่เคยฝันร้ายมาก่อนเลยนะเจ้าคะ”
ที่พูดก็ไม่ผิด จ่างซุนเสินหรงลูบๆ ใบหน้าที่ร้อนจัด
“ต้องเป็นเพราะที่นี่เป็นภูเขาสูงหนทางห่างไกล เลยทำให้ท่านที่มาจากแถบที่ราบลุ่มอึดอัดไม่ค่อยสบายตัวเป็นแน่” จื่อรุ่ยพึมพำพลางหันหน้าไปยกน้ำสะอาด
ที่นี่เป็นอารามเต๋าแห่งหนึ่ง อยู่ห่างไกลความเจริญจริงๆ คณะของพวกนางที่เดินทางมาจากฉางอันต้องเดินทางเกินกว่าครึ่งเดือนถึงได้มาถึง หนำซ้ำระหว่างทางยังไม่มีการหยุดแวะพักใดๆ สักครั้ง
จ่างซุนเสินหรงไม่พูดอะไร ในที่สุดดวงตาก็ลืมขึ้นอย่างเต็มตาแล้ว ทว่าคนกลับดูเหมือนยังไม่ตื่น นางยกมือขึ้นไปลูบลำคอของตนเอง เหงื่อเหนียวเต็มไปทั้งฝ่ามือ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งร่างก็เหมือนกับเพิ่งถูกช้อนขึ้นมาจากน้ำ นางถูๆ ฝ่ามือ ยังคงคิดถึงฝันนั่นอยู่…
เวลาที่เสียงระฆังบอกในอารามดังมาแว่วๆ ดวงอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นพวกนักพรตก็เคลื่อนไหวกันหมดแล้ว ต่างพากันมารอคอยอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของอารามอย่างเคารพนบนอบ แม้แต่เด็กน้อยสองคนที่กวาดพื้นก็มาด้วยไม่มีตกหล่น กอดไม้กวาดที่สูงกว่าตนเองเอาไว้ยืนอยู่ที่ปลายแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
คนของสกุลจ่างซุนซึ่งเป็นตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ในเมืองหลวงฉางอันมาทุกยุคสมัย และเป็นทายาทของผู้มีคุณูปการในการก่อตั้งบ้านเมือง…อยู่ๆ ก็พลันดั้นด้นเดินทางไกลมาอย่างกะทันหัน เหยียบย่างเท้าอันสูงศักดิ์ลงบนอารามเล็กๆ บนภูเขาเปลี่ยวร้างแห่งนี้ นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ทุกคนรับมือกันไม่ทันเลยทีเดียว
เมื่อวานตอนที่คณะเดินทางมาถึง แม้แต่เจ้าอารามที่กักตัวบำเพ็ญเพียรอดอาหารอยู่ ก็ยังต้องละเมิดกฎออกมาต้อนรับอย่างนอบน้อม วันนี้บรรดาแขกผู้สูงศักดิ์จะไปแล้ว ทุกคนย่อมต้องน้อมส่งอย่างระมัดระวัง
คณะเดินทางของสกุลจ่างซุนกลุ่มนี้แต่งกายเรียบง่ายธรรมดา แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็มีคนมากถึงสิบกว่าคน แทบจะทำให้อารามเต๋าแห่งนี้เบียดเสียดแออัด ซึ่งคนในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้ไม่เคยพบเห็นการดำเนินชีวิตของคนในตระกูลใหญ่มาก่อน
เหล่านักพรตทั้งหมดวางมือข้างตัวยืนนิ่ง ลอบเหลือบมองอย่างเลื่อมใสไปยังบรรดาองครักษ์ผู้ติดตามที่เข้าๆ ออกๆ จัดการสัมภาระให้เรียบร้อย เทียมม้าเข้ากับตัวรถ แล้วก็ได้แต่ใช้สายตามองตามพลางทอดถอนใจในความรุ่งเรืองของตระกูลเก่าแก่ในใต้หล้าที่เปี่ยมด้วยธุลีแดง* นี้
เบื้องหน้ารถม้ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ สวมชุดตัวยาวคอกลม รูปโฉมหล่อเหลาสะอาดสะอ้าน ยามยกมือวาดเท้าทั่วทั้งร่างล้วนเปี่ยมกลิ่นอายผู้สูงศักดิ์ เขาก็คือจ่างซุนซิ่นผู้นำของขบวนนี้
เจ้าอารามซึ่งพาดแส้ปัดเอาไว้ที่แขนยืนอยู่ด้านข้าง กำลังโค้งกายคำนับเขาอยู่ “คุณชายโปรดอภัยด้วย อารามเล็กๆ เปลี่ยววิเวกห่างไกลความเจริญ ถือว่าดูแลต้อนรับได้ไม่ทั่วถึงจริงๆ”
จ่างซุนซิ่นยิ้มพลางพูดว่า “ข้าไม่เป็นไรแม้แต่น้อย ขอเพียงบรรพชนที่อยู่ข้างในผู้นั้นไม่พูดว่า ‘ไม่ดี’ เช่นนั้นก็ดีแล้ว” พูดแล้วเขาก็หันไปทางด้านหลัง ยกมือกวักเรียกคน
ประเดี๋ยวเดียวก็มีคนรับใช้ก้าวออกมาข้างหน้า สองมือประคองเงินตอบแทนน้ำใจยื่นให้
ตอนที่เจ้าอารามน้อมรับมาอย่างเคารพนบนอบก็นึกถึง ‘บรรพชน’ ผู้นั้นที่จ่างซุนซิ่นพูดถึง จะต้องเป็นสมาชิกสตรีผู้นั้นที่มาพร้อมกับเขาแน่นอน ตอนที่มาตนไม่กล้ามองให้มากนัก เพียงรู้สึกว่าเมื่ออีกฝ่ายลงมาจากรถม้านั้นทุกคนล้วนอ่อนน้อมถ่อมตน ถึงขั้นที่คุณชายซึ่งอยู่ตรงหน้านี้ก็ยังเดินตามหลังนางเข้าประตู แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าไม่เหมาะสมสักนิด ราวกับว่าตามเหตุผลก็ควรเป็นเช่นนั้น
ภายหลังเจ้าอารามลองสอบถามดู ว่ากันว่าสตรีนางนั้นเป็นน้องสาวของคุณชายผู้นี้ แต่ก็ได้ยินมาด้วยเช่นกันว่าท่านจ่างซุนผู้นี้มีตำแหน่งในราชสำนักเป็นรองเสนาบดีของกรมโยธา อายุน้อยก็ได้ขึ้นเป็นขุนนางในเมืองหลวงแล้ว ซ้ำยังเป็นทายาทสกุลจ่างซุนอีกด้วย กระนั้นก็ยังวางท่าโอหังเทียบกับน้องสาวแท้ๆ ของตนเองไม่ได้ พอได้ยินวาจาที่เขาเพิ่งกล่าวออกมาอย่างตามอกตามใจประโยคนั้น ก็ชัดเจนแล้วว่ากับน้องสาวของเขาผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย
ทางนี้จ่างซุนซิ่นมองไปทางประตูทางเข้าอารามอยู่หลายครั้งแล้ว ยังไม่เห็นคนออกมา จึงถามคนที่อยู่ด้านข้างอย่างอดไม่อยู่ “คนเล่า”
คนรับใช้ที่ทำหน้าที่มอบเงินให้ผู้นั้นบังเอิญเห็นจื่อรุ่ยตอนที่ออกมาพอดี จึงเร่งให้ไปเชื้อเชิญรอบหนึ่งแล้ว เพราะว่ารู้ถึงสาเหตุจึงรีบพูดเบาๆ ที่ข้างหูของจ่างซุนซิ่นอยู่หลายคำ
จ่างซุนซิ่นได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “ก่อนจะไป กลับทำให้นางนอนหลับสบายไม่ได้”
เจ้าอารามได้ยินก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง นึกไปว่าเป็นเพราะทางอารามละเลย ‘บรรพชน’ ผู้นั้นของบ้านเขาเข้าเสียแล้ว จึงเอ่ยปากหันเหความสนใจทันที “ขอบังอาจเรียนถามคุณชาย จากนี้ต้องการจะไปที่ใดต่อหรือ”
จ่างซุนซิ่นกำลังจ้องมองประตูใหญ่อยู่ ได้ยินคำพูดนี้ก็เหมือนกับถูกเตือนสติขึ้นมา จึงหันมาตอบ “ท่านนักพรตรู้จักเส้นทางลัดที่เร็วที่สุดที่จะไปโยวโจวบ้างหรือไม่”
เจ้าอารามครุ่นคิดอย่างละเอียด แล้วผงกศีรษะ “หากจะไปโยวโจวเส้นทางนี้ก็สั้นที่สุดพอดี ห่างไปอีกไม่ไกลแล้ว เพียงแต่โยวโจวยามนี้น่าจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไรนักหรอก”
จ่างซุนซิ่นเอามือไพล่หลัง ไม่เก็บมาใส่ใจ…ไม่ใช่สถานที่ที่ดีแล้วอย่างไร ภายใต้ท้องฟ้านี้ยังมีสถานที่ใดที่สกุลจ่างซุนของเขาไปไม่ได้บ้าง
และในเวลานี้ คนที่เขาเฝ้ารอคอยอยู่นานก็ออกมาแล้ว…
จ่างซุนเสินหรงที่หวีผมล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เสร็จสิ้น ทั้งยังกินอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วก็เดินนำจื่อรุ่ยก้าวย่างไม่เร็วไม่ช้าออกจากประตูอาราม
ช่วงเวลานี้ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงพอดี นางสวมเสื้อคลุมกันลมตัวใหญ่สีแดงเข้มสว่างกระจ่างตาอย่างมาก โดดเด่นจนแม้แต่บรรดานักพรตที่ดูทึ่มทื่อเหมือนท่อนไม้ในที่นี้ ก็ยังพากันแอบปรายตามองไปตามๆ กันอย่างอดไม่อยู่ แต่ก็เห็นเพียงเงาร่างสูงตรงสายหนึ่ง…
นางหันข้างให้กับทุกคน มองไปทางจ่างซุนซิ่นแวบหนึ่งแล้วก็เดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่พูดไม่จา ทั้งไม่ขออนุญาตใดๆ ขณะย่างก้าว แขนที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมกันลมเหมือนกอดอะไรบางอย่างอยู่ประเดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่ ของที่เห็นคลับคล้ายจะเป็นกล่องไม้รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า
เจ้าอารามก็ลอบมองนางแวบหนึ่งเช่นกัน เพราะจำได้ว่าตอนที่ ‘บรรพชน’ ผู้นี้มาดูเหมือนจะกอดสิ่งนี้ไว้ แต่กลับไม่รู้ว่าของที่ใส่อยู่ในนั้นคือสิ่งใด คนในตระกูลยิ่งใหญ่พวกนี้ช่างดูไม่ออกเลยจริงๆ
จ่างซุนซิ่นสาวเท้าเร็วๆ ไล่ตามไป ไม่ลืมที่จะโบกไม้โบกมือไปด้านข้าง ชั่วครู่ก็มีบ่าวรับใช้ที่แคล่วคล่องว่องไวชิงวิ่งไปที่ข้างรถม้าจัดวางที่วางเท้าลงไป
“เรียบร้อยแล้วกระมัง ทางนี้กำลังรอเจ้าอยู่พอดี” เขาเดินไปทันจ่างซุนเสินหรง ฉวยโอกาสพินิจดูสีหน้านางแล้วพูดเสียงค่อย “ท่าทางไม่ค่อยแจ่มใสเลย ได้ยินว่าเจ้าฝันร้าย ฝันถึงเรื่องใดหรือ”
ฝีเท้าจ่างซุนเสินหรงหยุดชะงักไปทันที แววตาเหม่อลอยไปชั่ววูบ “ช่างเถอะ ข้าไม่อยากพูดถึง พี่ก็อย่าได้ถามอีกเลย”
จ่างซุนซิ่นกลับสงสัยขึ้นมาแล้ว “เจ้าฝันถึงเรื่องใดกันแน่ ข้าจะไม่ถามก็ไม่ได้เสียด้วย ข้าเพียงหวังว่าตลอดการเดินทางนี้ของเจ้าจะราบรื่นสะดวกสบาย อย่าได้มีความไม่สมดังใจแม้แต่น้อยนิดถึงจะดี”
ระหว่างพูดคุยกันเบาๆ ทั้งสองคนก็ไปถึงข้างรถม้าแล้ว จ่างซุนซิ่นพูดจริงทำจริง เนื่องจากตลอดการเดินทางนี้จ่างซุนเสินหรงนั่งแต่รถม้า จึงกลัวว่านางจะไม่สบายตัว เขาจึงพยายามเลือกเฟ้นสถานที่พักที่ใหญ่ที่สุด สะดวกสบายที่สุดให้กับนาง ระหว่างทางนางหลุดปากพูดว่าอยากชมดูทิวทัศน์ข้างทางสักหน่อย เขาก็ไม่พูดพล่ามอันใดไปหาคนมาทำหน้าต่างรถม้าให้เปิดกว้างขึ้นระหว่างทางนั้นเลย แล้วก็นึกกลัวว่าพวกแมลงจะบินเข้ามา จึงต้องปิดคลุมด้วยผ้าโปร่งเนื้อนุ่มอีกชั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจิปาถะใหญ่น้อยทั้งหลาย เขาเฝ้าดูแลปกป้องนางราวกับเป็นนัยน์ตาของตนเองก็ไม่ปาน
เท้าข้างหนึ่งของจ่างซุนเสินหรงเหยียบไปบนที่วางเท้าพลางเก็บสิ่งที่ได้ยินกลับมาครุ่นคิดอีกหน สีหน้านางดูแปลกพิกล ถึงกับมีสีแดงระเรื่อผิดคาด “กลัวแต่ว่าข้าพูดไปแล้วท่านจะรู้สึกว่าข้าไม่ควรพูด”
จ่างซุนซิ่นตบอกรับรอง “จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า ข้าเป็นพี่ชายของเจ้านะ ยามอยู่ต่อหน้าข้า เจ้าวางใจได้!”
“บุรุษ”
สองคำที่ออกมากะทันหันนี้ทำให้จ่างซุนซิ่นนิ่งอึ้งไปทันที รีบหันมองรอบๆ โชคยังดีที่จื่อรุ่ยมีไหวพริบ เห็นพวกเจ้านายสนทนากันก็พาบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ถอยออกไปอยู่ไกลๆ นานแล้ว แต่เขาก็ยังตั้งแง่ว่าไม่พอ จึงหันไปทางประตูใหญ่ของอารามแล้วโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณว่าพวกนักพรตก็ล้วนต้องกลับไปให้หมด อย่าได้มาห้อมล้อมคอยดูตรงนี้ เมื่อหันหน้ามาอีกครั้งเขาก็พูดเบาๆ “กลางวันแสกๆ เจ้าพูดอันใดออกมากัน คนมาได้ยินเข้าจะไม่ดี!”
จ่างซุนเสินหรงเหลือบตามองท้องฟ้า ข้าพูดไว้ก่อนนี้ว่าอย่างไร เขาหมายถามให้ได้คำตอบเองต่างหาก
จ่างซุนซิ่นรีบโน้มร่างเข้าไปใกล้อีกครั้ง “บุรุษอะไรกัน?” เดิมทีเขาไม่ใช่คนหัวโบราณคร่ำครึพวกนั้นอยู่แล้ว เพียงต้องการปกป้องหน้าตาของน้องสาวที่เป็นกุลสตรีตระกูลสูงศักดิ์จากผู้คนเบื้องนอกเท่านั้นเอง
ไม่รู้ว่ารู้สึกเข้าใจผิดไปหรือไม่ สีหน้าของจ่างซุนเสินหรงตอนนี้จึงดูเหมือนเข้มขึ้นเล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็จางคลายลงไปราวหมอกควันอย่างไรอย่างนั้น
“จำไม่ได้แล้วล่ะ” นางกระชับเสื้อคลุมคราหนึ่ง ก่อนกอดกล่องไม้และก้าวขึ้นไปบนรถม้า
จ่างซุนซิ่นยิ่งอยากรู้เต็มที นางจะสามารถฝันถึงบุรุษใดนอกไปจากบิดากับพี่ชายได้เล่า นางเติบโตมาจนบัดนี้ก็ใกล้ชิดกับบุรุษเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แล้วจะมีบุรุษคนใดที่สามารถเข้าไปในความฝันของนางได้? หรือว่าจะเป็น…
เขามองไปทางด้านหลัง เห็นนักพรตกลุ่มนั้นยังคงยืนแข็งทื่อเป็นสากไม้ด้วยท่าทางประหนึ่งว่าแขกผู้สูงศักดิ์ยังไม่ไปพวกเขาก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนอย่างไรอย่างนั้น วาจาที่เหลืออยู่เขาจึงไม่พูดแล้ว โบกมือออกคำสั่งในทันที “ออกเดินทาง!”
รถม้าเคลื่อนลงจากเขาอย่างโอ่อ่าโอฬาร บรรดานักพรตถึงค่อยเหมือนมีชีวิตขึ้นมาแล้ว ภายใต้การนำของเจ้าอารามก็จัดแถวเป็นขบวน โค้งกายก้มศีรษะน้อมส่ง
ภายในรถจ่างซุนเสินหรงพิงร่างไปทางด้านหลังพลางหลับตาลง งีบหลับพักผ่อนชั่วคราว
ครั้งก่อนที่นั่งรถม้าคันสูงใหญ่ราวราชรถนี้เดินทางออกจากฉางอันก็เป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อนแล้ว แต่ว่าระยะทางในตอนนั้นไกลกว่าตอนนี้ร้อยเท่า เพราะตอนนั้นนางไปเพื่อแต่งงาน
ในฐานะบุตรสาวคนเล็กที่ได้รับความรักความโปรดปรานที่สุดของสกุลจ่างซุน การแต่งงานของนางก็คือเรื่องใหญ่ของสกุลจ่างซุนทั้งตระกูล สามียิ่งเป็นชายหนุ่มที่เปี่ยมด้วยความสามารถซึ่งผ่านการเลือกเฟ้นอย่างพิถีพิถันที่สุดของบิดามารดา ทั้งเป็นการคัดเลือกมาเองกับมือ…คนผู้นั้นก็คือ ‘ซานจง’ บุตรชายคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของสกุลซานแห่งลั่วหยาง
สกุลจ่างซุนที่เป็นทายาทของผู้มีคุณูปการแก่บ้านเมืองแห่งฉางอัน กับสกุลซานที่เป็นตระกูลเก่าแก่ฝ่ายทหารแห่งลั่วหยาง นี่คือการเกี่ยวดองด้วยการแต่งงานของตระกูลเก่าแก่ที่ยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่ง ทุกคนต่างกล่าวขวัญด้วยความอิจฉา ในเวลานั้นผู้ที่คอยมุงดูตามถนนในแต่ละตรอกมีนับไม่ถ้วน แม้แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนซึ่งในเวลานั้นยังไม่สวรรคตก็ยังพระราชทานของกำนัลให้ ปีนั้นนางอายุสิบหกปี เดินทางจากฉางอันอย่างยิ่งใหญ่แต่งงานไปที่ลั่วหยาง
ทว่ารัศมีความโอฬารอันไร้ที่เปรียบรักษาให้คงอยู่ได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น ในช่วงครึ่งปีสามีของนางผู้นั้นแทบจะนำทัพอยู่ที่เบื้องนอกตลอดเวลา ในที่สุดรอจนเขากลับมา ก็ไม่มีความหวานชื่นของคู่แต่งงานใหม่ที่แยกจากกันแล้วได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีก กลับกลายเป็นจุดจบฉากหนึ่ง
วันนั้นบ่าวรับใช้คนสนิทที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาคุกเข่าอยู่นอกห้องของนาง สองมือประคองหนังสือขอแยกทางยกสูงเหนือศีรษะ กล่าวรายงานโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาว่า ‘ตัวคุณชายนับจากแต่งงานกับฮูหยินเป็นต้นมาก็ไม่เคยมีความรู้สึกฉันสามีภรรยาแม้แต่น้อยนิด บางครั้งที่พบหน้ากันก็รู้สึกเพียงฝืนใจ เวลานี้หวังให้ฮู…สตรีสูงศักดิ์จ่างซุนรับหนังสือ ถือเป็นการตัดขาด ต่างฝ่ายต่างไปอย่างสงบ’
จ่างซุนเสินหรงนึกว่าฟังผิดไปแล้ว จวบจนกระทั่งวาจาเหล่านี้ถูกถ่ายทอดซ้ำอีกหนหนึ่ง นางถึงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า ‘เขาเพิ่งจะแต่งงานกับข้าแท้ๆ ก็ไม่พอใจข้าถึงปานนี้เชียว?’
บ่าวรับใช้ผู้นั้นคุกเข่าคำนับ ยังคงชูหนังสือขอแยกทางฉบับนั้นเอาไว้อย่างมั่นคงจนถึงเวลานี้ ‘คุณชายกล่าวว่าเขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าชีวิตนี้ไม่มีวาสนาอยู่ร่วมกับท่านสตรีผู้สูงศักดิ์ เป็นการจับคู่ที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง ตลอดชีวิตที่เหลือไม่ต้องเผชิญหน้ากันอีก’
จ่างซุนเสินหรงเป็นคนระดับใด นางคือผู้ที่เติบโตมาอย่างที่คนสกุลจ่างซุนทะนุถนอมไว้ในฝ่ามือ ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อนเลย บอกว่าเป็นการแยกทาง ในสายตาของนางกลับไม่ต่างอะไรกับถูกหย่า นางจึงออกไปตามหาซานจงด้วยความโกรธสุดระงับ จนกระทั่งไปถึงหน้าประตูใหญ่ของสกุลซาน ยังไม่ทันได้เห็นคนแม้แต่น้อย กลับเห็นรถม้าที่จะไปส่งนางถูกตระเตรียมไว้พร้อมแล้ว ถึงขั้นมีทหารที่ดูเข้มงวดเคร่งครัดขบวนหนึ่งคอยคุ้มกันอยู่เสร็จสรรพ
บ่าวรับใช้ผู้นั้นไล่ตามออกมาคำนับอีกหน ‘ฮู…ท่านสตรีผู้สูงศักดิ์ไม่ต้องมองหาคนหรอกขอรับ คุณชายไปจากบ้านสกุลซานแล้ว จากนี้ไปจะไม่กลับมาอีก’
จ่างซุนเสินหรงมองดูเขาอย่างเยียบเย็น แล้วก็มองไปทางทหารที่แสนเย็นชาขบวนนั้นพลางขบฟันแน่น…
วันนั้นนางก็ไม่แยแสคำห้ามปราบและการรบเร้าให้รั้งอยู่ของคนสกุลซานทั้งเบื้องบนเบื้องล่างเช่นเดียวกัน มุ่งกลับฉางอันทันทีโดยไม่หันหน้ากลับไปอีก
บ้านสกุลจ่างซุนแตกตื่นตกใจกันถ้วนหน้า พี่ชายของนางจ่างซุนซิ่นวิ่งมาอย่างเร็วที่สุด รีบดึงตัวนางที่อยู่เบื้องหน้าของคนทั้งหมดเอาไว้แล้วถามอย่างสงสัยว่า ‘เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร! สามีของเจ้าเล่า’
นิ้วมือของจ่างซุนเสินหรงที่อยู่ในแขนเสื้อกำหนังสือขอแยกทางฉบับนั้นเอาไว้แน่น เชิดหน้าขึ้น ตอบอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ ‘สามีอันใดกัน ตายไปแล้วล่ะ!’
บุตรสาวสกุลจ่างซุนหาได้แยกทางแต่อย่างใด นางเพียงแค่สูญเสียสามี โดยถือว่าสามีของนางตายไปแล้วเท่านั้น!
ความทรงจำย้อนมาถึงตรงนี้ก็หยุดลง ภาพในห้วงฝันพลันผุดขึ้นมาเบื้องหน้า จ่างซุนเสินหรงลืมตาขึ้น มือข้างหนึ่งกุมแก้มเอาไว้ ครุ่นคิดอยู่ว่า ไฉนข้าถึงได้ฝันถึงเรื่องเช่นนั้นได้…เข้าหอ?
ในความเป็นจริงตอนนั้นเนื่องจากคำสั่งเคลื่อนกำลังพลมาอย่างกะทันหัน หลังเสร็จพิธีแต่งงานในวันนั้นบุรุษผู้นั้นก็ไปแล้ว หลังจากนั้นครึ่งปีได้อยู่ร่วมกันน้อยจากกันเป็นส่วนมาก จนถึงตอนที่แยกทางกันนางก็ยังไม่เคยได้ร่วมสัมพันธ์เป็นสามีภรรยาที่แท้จริงแม้แต่วันเดียว ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยฝันถึงแม้แต่ครั้งเดียวแท้ๆ
รถม้าพลันเคลื่อนช้าลง เสียงของจ่างซุนซิ่นดังมาจากด้านนอก “อาหรง ข้าเพิ่งจะคิดแล้วคิดอีก นี่เป็นฝันที่ดีเชียวนะ”
ความคิดของจ่างซุนเสินหรงถูกขัด ถึงได้พบว่าแก้มที่ตนเองเอามือกุมอยู่นั้นกำลังร้อนผ่าว จึงสลัดศีรษะเรียกสติแล้วเงยหน้าขึ้น “ท่านว่าอันใดนะ”
ใบหน้าของจ่างซุนซิ่นปรากฏขึ้นตรงหน้าต่างรถม้าที่มีม่านโปร่งกั้นไว้ พูดเสียงค่อย “น่าจะถึงเวลาแล้วกระมัง เจ้าก็กลับมาบ้านตั้งสามปีแล้ว เรื่องนั้นก็ผ่านไปตั้งนานเพียงนั้น ตามความเห็นของข้า ความหมายของความฝันนั้นก็คือเจ้ากำลังจะพบกับช่วงวสันต์อีกแล้วน่ะสิ”
จ่างซุนเสินหรงคิดในใจว่า นี่มันวาจาใดกัน จะบอกว่าข้าปลงตกมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่สำเร็จอย่างนั้นหรือ “ไม่เคยรู้เลยว่าท่านทำนายฝันเป็นด้วย”
นางเบือนหน้าไปอีกทาง ลอบครุ่นคิดถึงใบหน้าของบุรุษในฝันผู้นั้นอยู่เล็กน้อย
อันที่จริงก็เห็นหน้าไม่ชัดนัก ในฝันนั่นชั่วขณะที่นางหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นเพียงรูปร่างที่แข็งแกร่งเปี่ยมพลังของเขาเท่านั้น อย่างอื่นล้วนถูกขวางกั้นด้วยหมอกชั้นหนึ่งตลอดเวลา สติของนางเริ่มลอยไปไกลอีกหนหนึ่งแล้ว กำลังคิดว่าคนผู้นั้นจะใช่เขาหรือไม่…
“ไม่ อาหรง” จ่างซุนซิ่นอยากให้นางคิดแต่ในทางที่ดีเท่านั้น จึงพูดอย่างจริงจัง “เชื่อพี่เถอะ ไม่ว่าเจ้าจะฝันถึงผู้ใดก็ไม่ต้องไปคิดให้มาก นี่ถือเป็นลางดี!” พูดจบเขาก็ชะงักไป แล้วเอ่ยเพิ่มอีกประโยค “ภารกิจเร่งด่วนคือต้องจัดการกับเรื่องสำคัญในตอนนี้ให้เรียบร้อยก่อน”
จ่างซุนเสินหรงได้ยินประโยคช่วงท้ายแล้วถึงได้หันหน้ากลับมามองกล่องที่อยู่ในอ้อมแขน “เข้าใจแล้ว”
บทที่ 2
บ้านเมืองในช่วงเวลานี้เพิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้า
ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตไปเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว รัชทายาทที่พระองค์แต่งตั้งไว้สืบทอดตำแหน่งแทน หลังจากโอรสสวรรค์องค์ใหม่นี้ครองราชย์ได้ไม่นาน ก็ไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับขุนนางคนสำคัญที่เคยอยู่ภายใต้การควบคุมของฮ่องเต้องค์ก่อนอีก ถึงขั้นที่มีบางคนในนั้นถูกจับกุมและถูกลงโทษไปทีละคนๆ
ผู้สืบทอดสกุลจ่างซุนที่อยู่ในตำแหน่งจ้าวกั๋วกง* ย่อมต้องอยู่ในกลุ่ม ‘ขุนนางคนสำคัญ’ เหล่านี้ด้วยเช่นกัน ที่ถึงกับต้องคอขาดบาดตายก็เพราะขณะฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีพระชนม์ชีพอยู่ ตระกูลนี้ยังเคยเข้าร่วมในการช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทอย่างลับๆ และคนที่พวกเขาสนับสนุนก็คือผู้อื่น
เรื่องนี้ได้รับการอภัยโทษไปแล้วในตอนนั้น แต่หากถูกขุดคุ้ยขึ้นมาในเวลานี้ นั่นก็คือการตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเจ้าชีวิตองค์ใหม่แล้ว ในฐานะที่เป็นตระกูลใหญ่เก่าแก่อันทรงอำนาจ ยามสงบให้ระวังภัยถือเป็นรากฐานในการยืนหยัด สกุลจ่างซุนไม่อาจนั่งรอจนถึงช่วงเวลาคิดบัญชีหลังฤดูสารท* ได้ จำเป็นต้องเป็นฝ่ายพลิกสถานการณ์เสียเอง ภายในเวลาอันรวดเร็วทางตระกูลก็เห็นชอบให้ถวายฎีกาฉบับหนึ่งไปทางราชสำนักว่า…
รองเสนาบดีกรมโยธาจ่างซุนซิ่นขอมีส่วนช่วยแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท ด้วยต้องการช่วยบรรเทาหนี้สินของท้องพระคลังเพื่อบ้านเมืองซึ่งเกิดจากกิจการด้านทหารที่ชายแดนในช่วงหลายปีนี้ ใคร่ขอพระบรมราชานุญาตให้ออกไปข้างนอกเป็นกรณีพิเศษ เพื่อเปิดภูเขาขุดหาแร่ให้กับบ้านเมือง
วันถัดมาก็มีพระราชโองการลงมา อนุญาตให้ดำเนินการได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าวสกุลจ่างซุนจึงเริ่มการเดินทางไกลเที่ยวนี้ และนี่ก็คือเรื่องสำคัญที่จ่างซุนซิ่นพูดถึง
ตอนที่จ่างซุนเสินหรงมองออกไปข้างนอก ก็พบว่านางออกจากอารามแห่งนั้นมาได้สองวันแล้ว รถม้ากำลังแล่นอยู่บนเส้นทางที่ตรงไปเบื้องหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งข้างหน้าข้างหลังล้วนไม่เห็นวี่แววว่าจะมีผู้คนอยู่อาศัย มีเพียงคณะเดินทางของพวกเขาเท่านั้นที่เดินทางผ่านมาพร้อมกับลากฝุ่นละอองเป็นทางยาวที่ท้ายขบวน ก่อนจะถูกลมฤดูใบไม้ร่วงพัดกระจายไปในที่สุด
นางเบือนหน้าไปถาม “ถึงที่ใดแล้ว”
จื่อรุ่ยที่นั่งเฝ้าอยู่นอกประตูรถม้าตอบว่า “เรียนประมุขน้อย เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนได้ยินคุณชายบอกว่าเข้าเขตพื้นที่โยวโจวแล้วเจ้าค่ะ”
ขณะจื่อรุ่ยพูดอยู่จ่างซุนซิ่นก็ควบม้าเข้ามาจากทางด้านหลังแล้ว “นักพรตผู้นั้นพูดได้ไม่ผิด ระยะทางไม่ไกลจริงๆ ตอนนี้ก็มาถึงแล้ว” เขาพูดพลางยกมือชี้ไปเบื้องหน้าคราหนึ่ง
จ่างซุนเสินหรงมองตามไป ในที่ไกลออกไปมีประตูเมืองตั้งตระหง่านขวางอยู่ เชื่อมต่อกับกำแพงเมืองอันคดเคี้ยวที่ยึดครองพื้นที่เอาไว้ ประหนึ่งฉากกั้นแถบหนึ่งที่ตัดแยกฟ้าดินออกจากกัน
ทางด้านนั้นมีองครักษ์คนหนึ่งไปที่เชิงกำแพงเมืองเพื่อสอบถามก่อนแล้ว และเขาเพิ่งกลับมากุมหมัดประสานมือกล่าวรายงานต่อจ่างซุนซิ่น แจ้งว่าขณะนี้ประตูเมืองไม่เปิด สาเหตุเพราะทันทีที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวโยวโจวก็จะเข้มงวดกับกฎข้อบังคับที่ห้ามคนออกนอกบ้านมากยิ่งขึ้น ทุกๆ วันล้วนเปิดประตูเมืองเพียงไม่กี่ชั่วยาม* เท่านั้น พวกเขาเร่งรุดเดินทางตลอดทั้งวันมาอย่างรวดเร็วมาก เวลานี้จึงมาถึงเช้าเกินไป อยากให้ประตูเมืองเปิดยังต้องรออีกครึ่งชั่วยาม
จ่างซุนซิ่นได้ยินแล้วก็อดพึมพำไม่ได้ “นักพรตผู้นั้นพูดถูกต้องอีกแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดีจริงๆ ช่างมากเรื่องเหลือเกิน” เขาคิดๆ แล้วก็หันไปร้องเรียกคนในรถม้า “อาหรง ไม่ต้องรอเข้าเมืองแล้ว พวกเราก็เริ่มต้นตรงนี้เลยแล้วกัน”
จ่างซุนเสินหรงมองไปทางเขา “เร่งด่วนเพียงนี้?”
เขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เร่งด่วนเสียที่ใดกัน ข้าแค่กลัวว่าเจ้ารีบเดินทางจนเหนื่อยแล้ว เริ่มต้นเร็วหน่อย หลังจากนี้จะได้ให้เจ้าพักผ่อนให้สบายอย่างเต็มที่…ไม่ดีหรือ”
จ่างซุนเสินหรงได้ยินวาจาหวังดีเช่นนี้มาตลอดทางจนคุ้นชินแล้ว จึงไม่ออกความเห็นอะไร
จ่างซุนซิ่นขี่ม้าอย่างเชื่องช้าพลางจ้องมองนางผ่านหน้าต่าง ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายเสนอความคิด แต่คล้ายว่าต้องรอนางเป็นผู้เอ่ยปากตัดสินใจอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดนางก็ผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็เริ่มต้นเลยแล้วกัน”
จ่างซุนซิ่นรีบรั้งบังเหียนม้าทันที ก่อนโบกมือ ทุกคนก็หยุดลงตามเขา
“อัญเชิญม้วนหนังสือ” จ่างซุนเสินหรงขานเรียกคราหนึ่ง ขบวนแถวก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที
จ่างซุนซิ่นลงจากม้าไปยืนอยู่ที่ข้างประตูรถม้าแล้วกวักมือคราหนึ่ง องครักษ์สิบกว่าคนก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ ล้อมป้องกันรถม้าเอาไว้ตรงกลาง
ที่ด้านหลังขบวนรถ บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งหยิบถุงหนังใส่น้ำออกมาแล้วสาดพรมใส่ผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่ง สองมือประคองส่งขึ้นมา
จื่อรุ่ยรับผ้าเช็ดหน้ามาบิดให้หมาด แล้วก้มตัวเข้าไปในรถม้า คุกเข่ายื่นส่งให้
จ่างซุนเสินหรงถกแขนเสื้อขึ้น รับผ้าเช็ดหน้ามา ผ้าเช็ดหน้าสีขาวเนื้อนุ่มคลุมที่มือของนาง หุ้มนิ้วเรียวยาวเอาไว้ คราแรกมือซ้ายแล้วค่อยมือขวา นางเช็ดนิ้วทั้งสิบอย่างละเอียดรอบหนึ่งจนสะอาด จากนั้นค่อยทิ้งผ้าไป ดึงช่องลับที่อยู่ข้างๆ เบาะนั่งออกมาช่องหนึ่ง แล้วเปิดผ้าแพรบางเบาผืนหนึ่งออก เผยให้เห็นกล่องไม้จันทน์แดงที่แกะสลักลวดลายง่ายๆ ใบหนึ่ง ซึ่งก็คือกล่องไม้ที่นางกอดไว้แนบอกตลอดเวลาก่อนหน้านี้นั่นเอง
จ่างซุนเสินหรงนั่งคุกเข่าตัวตรง สองมือวางเสมอระดับอกเบื้องซ้าย มือขวากดไว้บนมือซ้าย ก้มศีรษะลง กราบคารวะกล่องไม้อย่างเต็มพิธีการ
จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านข้างหมอบตัวก้มศีรษะไปก่อนแล้ว ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
เมื่อเสร็จพิธีจ่างซุนเสินหรงก็นั่งตัวตรง ถือกล่องไม้วางไว้บนหัวเข่าแล้วเปิดออก ข้างในคือหนังสือม้วนหนาม้วนหนึ่ง เขียนอยู่บนผ้าไหมสีเหลืองเนื้อบาง ผูกมัดเอาไว้อย่างเรียบร้อย นางคลี่ออกอย่างระมัดระวัง หาจุดที่ต้องการนั้นจนพบก็หยุด แล้ววางแผ่เอาไว้ที่หัวเข่าอ่านอย่างระมัดระวัง
ไม่มีใครรบกวนนาง นางเพียงอ่านหนังสือม้วนนั้นอยู่ในรถม้าอย่างสงบเงียบ อ่านไปพลางครุ่นคิดไปด้วย
ทุกคนที่ด้านนอกล้อมวงคอยป้องกันอย่างเงียบเชียบ
จวบจนผ่านไปได้สองเค่อ* ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูงเหนือศีรษะแล้ว นางถึงได้หยุด ม้วนหนังสือเก็บกลับวางลงไปและปิดฝากล่อง จากนั้นพูดว่า “แผนที่”
จื่อรุ่ยรีบหยิบกระดาษที่ทำจากใยปอพับทบเอาไว้แผ่นหนึ่งออกมา กางออกแล้วส่งไปตรงหน้าจ่างซุนเสินหรง
เป็นแผนที่โยวโจวฉบับคัดลอกแผ่นหนึ่ง จ่างซุนเสินหรงรับมาดูอยู่รอบหนึ่ง โดยเฉพาะตรงส่วนที่เป็นมุมของแผนที่นั้นดูแล้วก็ดูอีก ในที่สุดก็ยื่นนิ้วมือออกจิ้มลงไปเบาๆ สองตำแหน่ง และเงยหน้าขึ้นถาม “ตงไหลเล่า”
จื่อรุ่ยหันหน้าไปเลิกม่านขึ้นแล้วออกไปจากรถม้า “ประมุขน้อยเรียกหาตงไหล”
ในหมู่องครักษ์ที่นอกรถม้ามีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งแข็งแรงผู้หนึ่งเดินออกมาทันที และก้าวอย่างรวดเร็วมาสองก้าว คุกเข่าลงข้างรถม้า “ประมุขน้อย”
ตงไหลก็เหมือนกับจื่อรุ่ย ต่างเป็นบ่าวรับใช้ที่ติดตามจ่างซุนเสินหรงมาหลายปีแล้ว รับหน้าที่คอยอารักขานาง
จ่างซุนเสินหรงสั่งการจากในรถม้าโดยมีผ้าม่านกั้น “พาคนไปด้วยสักหลายๆ คน ไปสำรวจบริเวณที่ข้าชี้ไว้ในแผนที่ดูสักหน่อยว่าพบภูเขากับแม่น้ำหรือไม่ จดจำทิศทางการไหลแล้วรีบกลับมา”
ตงไหลรับคำสั่ง รับแผนที่แผ่นนั้นที่จื่อรุ่ยยื่นส่งให้ ตรวจสอบสถานที่เพื่อยืนยันตำแหน่งอย่างจริงจัง แล้วจึงค่อยคารวะไปทางจ่างซุนซิ่นที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นเรียกคนมาหลายคน แล้วออกจากขบวนไป
จ่างซุนซิ่นยืนอยู่ข้างๆ รถม้าจนถึงตอนนี้ถึงได้เลิกผ้าม่านขึ้นแล้วมองเข้าไป “ลำบากเจ้าแล้วอาหรง”
จ่างซุนเสินหรงเพิ่งจะเก็บกล่องไม้เรียบร้อยอย่างระมัดระวัง และหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมืออีกรอบหนึ่ง “ลำบากนั้นไม่เท่าไร เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่สักหน่อย”
เขาพูดว่า “นั่นจะเทียบได้อย่างไรกัน ก่อนหน้านี้ก็แค่ขนาดเล็กๆ ในที่ดินศักดินาของบ้านเราเท่านั้น ตอนนี้สิที่กำลังจะได้เจอของจริง”
จ่างซุนเสินหรงถอนหายใจ “แล้วไม่ใช่หรอกหรือ นี่เพิ่งจะสำรวจภูมิลักษณ์ ข้าก็ระมัดระวังถึงเพียงนี้แล้ว”
จ่างซุนซิ่นได้ยินก็ยิ้มขึ้นมา ที่กำลังจัดการกันอยู่นี้เรียกว่า ‘การสำรวจภูมิลักษณ์’
ถ้าหากต้องการขุดหาแร่…นี่ก็คือขั้นตอนแรก
ก่อนหน้านี้ที่ดินศักดินาภายใต้ชื่อของสกุลจ่างซุนก็ค้นพบแร่เช่นกัน และทั้งหมดเป็นแร่ทองแดงกับแร่เหล็กซึ่งเป็นที่ต้องการของบ้านเมืองอย่างเร่งด่วน ต่อมาจ้าวกั๋วกงบิดาของพวกเขาถวายฎีกาเรื่องเหมืองแร่ต่อราชสำนัก และเป็นฝ่ายมอบให้กับราชสำนักเอง
แม้จะบอกว่าตามกฎหมายของบ้านเมืองกำหนดว่าแร่ที่พบทั้งหมดมีเพียงทางการเท่านั้นที่ครอบครองได้ แต่ก็กำหนดไว้ด้วยว่ากั๋วกงซึ่งมีบรรดาศักดิ์สูงมีอำนาจพิเศษ พวกแร่ที่อยู่ในที่ดินศักดินาทั้งหมดสามารถขุดเองได้สองปีเพื่อใช้เติมใส่คลังสมบัติ แต่สกุลจ่างซุนกลับยกมอบให้ราชสำนักโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว อีกทั้งที่มอบให้ยังไม่ใช่แค่เพียงแห่งเดียว
ด้วยเหตุที่กล่าวมานี้เอง ตระกูลของพวกเขาถึงได้กลายเป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่อันยิ่งใหญ่ไม่กี่ตระกูลที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพึ่งพาอาศัยค่อนข้างมาก ต่อมาจ่างซุนซิ่นก็ได้รับการผลักดันให้เข้ากรมโยธาทั้งที่อายุยังน้อย เวลานั้นยามที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยกย่องชมเชยสกุลจ่างซุน แม้แต่เด็กสามขวบในฉางอันต่างก็ร้องเพลงนี้ได้ ‘บุตรชายสกุลจ่างซุนเขย่าขุนเขาแม่น้ำ พบภูเขาทองคำนำมาถวายองค์กษัตริย์…’
ทุกคนล้วนกล่าวว่านี่เป็นเพราะสกุลจ่างซุนของพวกเขาโชคดี ทว่ามีเพียงคนสกุลจ่างซุนเท่านั้นที่รู้ดีว่านั่นต้องอาศัยความสามารถของพวกเขาเอง เรื่องนี้พูดแล้วก็น่าอัศจรรย์ สกุลจ่างซุนถึงแม้จะเป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์ แต่กลับมีความสามารถที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น นั่นก็คือความชำนาญรอบรู้เกี่ยวกับพื้นที่ภูเขา แม่น้ำ และหนองบึงทั้งหลาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีความรู้ด้านนี้ ก็คงไม่มีฎีกาเสนอตัวทำหน้าที่หาแร่ฉบับนั้นแล้ว
แต่ทั้งที่การเดินทางครั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญเพียงนั้น จ่างซุนซิ่นกลับไม่พาผู้อื่นมาด้วย เพียงนำจ่างซุนเสินหรงมาคนเดียวเท่านั้น เพราะว่าจ่างซุนเสินหรงเท่านั้นถึงจะเป็นคนที่มีระดับภูมิความรู้สูงที่สุดในสกุลจ่างซุนของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นหนังสือในกล่องที่นางเพิ่งจะเปิดดูม้วนนั้น แท้จริงคือความลับสำคัญที่ตกทอดสืบต่อกันมาของสกุลจ่างซุนของเขา ตอนนี้ก็ตกทอดมาถึงมือของนางแล้ว การเดินทางครานี้ไม่ปกติ จึงต้องเป็นนางเท่านั้น
ดังนั้นตลอดการเดินทางนี้จ่างซุนซิ่นจึงไม่นับว่ากระทำมากเกินไปสักนิด คนที่เป็นพี่ชายอย่างเขาผู้นี้ถูกบ่าวรับใช้เบื้องล่างเรียกขานว่า ‘คุณชาย’ ขณะที่นางกลับสามารถถูกเรียกขานว่า ‘ประมุขน้อย’ สถานะก็เป็นที่ประจักษ์ได้แล้ว นางก็ประหนึ่งบรรพชน…บรรพชนอันล้ำค่าของสกุลจ่างซุนทุกคน
องครักษ์อีกคนหนึ่งที่ไปสำรวจเส้นทางตรงเชิงกำแพงเมืองกลับมารายงานว่าได้เวลาแล้ว ประตูเมืองเปิดแล้ว
จ่างซุนซิ่นสั่งให้ทุกคนกลับเข้าประจำที่ตำแหน่งเดิม แล้วหันหน้าไปพูดยิ้มๆ กับน้องสาวต่อ “จะว่าไปก็นานแล้วที่ไม่ได้เห็นเจ้าเชิญม้วนหนังสือออกมาต่อหน้าทุกคน ข้าลืมไปแล้วว่าครั้งก่อนที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้คือเมื่อใด”
จ่างซุนเสินหรงเอนกายพิงไปด้านหลัง “ย่อมเป็นเช่นนั้น เพราะหนังสือม้วนนี้ข้าเองก็ผนึกเก็บไปนานแล้ว”
จ่างซุนซิ่นไม่รู้เลยว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น จึงถามอย่างใคร่รู้ “ผนึกเก็บไปตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
“ตอนแต่งงาน” สำหรับสตรีนางหนึ่งแล้ว ระดับความรู้ของจ่างซุนเสินหรงไม่มีพื้นที่จะให้ใช้ความสามารถได้เลย ตอนที่แต่งงานจึงย่อมต้องผนึกเก็บไป เพียงแต่ในเวลานี้จำเป็นต้องใช้นางถึงได้นำออกมาใช้ก็เท่านั้น
จ่างซุนซิ่นพอได้ฟังก็นิ่งเงียบไป พูดในใจว่า ปากพาซวยแล้ว เหตุใดถึงได้ขุดเรื่องเดิมนี้ขึ้นมาอีก จึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ให้ตงไหลไปสำรวจก่อน พวกเราเข้าไปรอในเมือง”
พูดจบเขาก็เห็นจ่างซุนเสินหรงเหมือนเอนร่างไม่สะดวก จึงสั่งจื่อรุ่ยให้รีบหยิบเบาะรองนุ่มๆ มาอีกสองใบทันที จะได้ให้นางเข้าเมืองไปอย่างสะดวกสบาย
จ่างซุนเสินหรงไม่พูดอะไรออกมาอีก
ดังนั้นถึงแม้ท่านบรรพชนน้อยจะไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดเองก่อนสักครั้ง แต่ขอเพียงมีความสามารถกระทำได้ ทุกคนก็ล้วนเต็มใจจะปรนนิบัตินาง
โยวโจวเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นสถานที่เริ่มต้นของแม่น้ำอันทรงพลัง แม้ไม่อาจเทียบกับตะวันออกตะวันตกสองเมืองหลวง* ที่เจริญรุ่งเรืองได้ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลความเจริญเหมือนกับหัวเมืองใหญ่ของชายแดนทุกเมืองพวกนั้น เนื่องจากที่นี่เป็นจุดรวมของเส้นทางมาแต่โบราณ และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกันเส้นทางสายหลักของหัวเมืองโดยรอบ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นศูนย์กลางการค้าแห่งหนึ่งทางตอนเหนืออีกด้วย
เมื่อเทียบกับความเปลี่ยวร้างที่นอกกำแพงเมือง ในเมืองกลับค่อนข้างอึกทึก ภายในจุดพักม้า** หัวหน้าจุดพักม้ากำลังยุ่งง่วนอยู่ ครั้นได้ยินเสียงรถม้าดังวุ่นวายอยู่บนถนนข้างนอกจึงยื่นหน้าออกไปดู ก็เห็นชาวบ้านจำนวนไม่น้อยหลีกไปอยู่ข้างทาง ยืดคอไปทางถนนใหญ่มองเป็นตาเดียวกัน
ตรงจุดที่มองไปนั้น ขบวนองครักษ์ที่ขี่ม้าสูงใหญ่นำหน้ารถม้าหรูหราคันใหญ่ค่อยๆ เคลื่อนมา คนที่ขี่ม้านำอยู่หน้าสุดเป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่ยังหนุ่มแน่นผู้หนึ่ง สวมชุดแพรท่วงท่านุ่มนวลสง่างาม เขากำลังครุ่นคิดอยู่ว่า นี่เป็นผู้สูงศักดิ์จากที่ใดกันหรือ ก็ได้ยินใครไม่รู้รายงาน “รองเสนาบดีกรมโยธามาถึงแล้ว”
เขาตกใจจนรีบวิ่งออกไปข้างนอกทันที
รถม้าเพิ่งจะหยุดลง หัวหน้าจุดพักม้ารีบพุ่งตัวเข้าไปด้านหน้าแล้วคารวะต้อนรับ เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ทราบข่าวก็เคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน สถานการณ์โดยรอบสับสนวุ่นวายไปหมด เพียงเพราะกลัวจะละเลยขุนนางคนสำคัญที่มาจากเมืองหลวง
จ่างซุนซิ่นเผชิญกับสถานการณ์อย่างสงบนิ่ง เขาลงจากม้าก้าวเข้าไปในที่ทำการจุดพักม้า หลังจากมองซ้ายมองขวาแล้วรอบหนึ่งก็พูดว่า “พวกเราจะพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวแค่ไม่กี่วัน พวกท่านไม่ต้องวุ่นวายไป ขอเพียงให้น้องสาวข้าพักผ่อนที่นี่ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ถูกรบกวนเป็นพอ”
หัวหน้าจุดพักม้าโค้งกายขานรับทันทีพลางโบกไม้โบกมือไปที่ด้านหลังอย่างกระตือรือร้น สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปช่วยขนสัมภาระลงจากรถและไปดูแลม้า
อันที่จริงไยต้องให้พวกเขาทำอะไรกันอีก เนื่องจากคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังจ่างซุนซิ่นแต่ละคนต่างกำลังเคลื่อนไหวทำหน้าที่อยู่ก่อนแล้ว ถึงขั้นมีบางคนเข้าไปข้างในและควบคุมดูแลห้องครัวในจุดพักม้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำไป
ข้าวของเครื่องใช้และอาหารการกินทั้งหมดล้วนต้องให้คนของสกุลจ่างซุนจัดการดูแลด้วยตนเองทั้งสิ้น นี่เป็นการเดินทางออกจากบ้านด้วยระยะทางที่ไกลแสนไกลของบุตรสาวสุดที่รักของท่านจ้าวกั๋วกงสองสามีภรรยา ด้วยกลัวว่านางจะไม่คุ้นชินจึงจัดเตรียมมาเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าจ่างซุนซิ่นย่อมต้องกระทำตามด้วย ดังนั้นตลอดทางมานี้จึงจัดการเช่นนี้มาตลอด พยายามทำให้การเดินทางครั้งนี้ถึงแม้ตัวจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ แต่ก็เหมือนว่ายังอยู่ในเมืองหลวงดังเช่นที่เคยเป็นมา ถึงเวลาตอนที่กลับไปจะให้น้องสาวของเขาผ่ายผอมลงแม้แต่เพียงนิดไม่ได้
ท่ามกลางความเร่งรีบวุ่นวายจ่างซุนเสินหรงลงมาจากรถม้าแล้ว จ่างซุนซิ่นก้าวไปข้างหน้าและเข้าไปข้างในพร้อมกับนาง
หัวหน้าจุดพักม้าเพียงชำเลืองมองเงาร่างสตรีที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมกันลมเดินเยื้องย่างไปอย่างแช่มช้าภายใต้การคุ้มกัน เขาก็รู้แล้วว่ารองเสนาบดีกรมโยธาผู้นี้ไม่ได้กล่าวโอ้อวดเกินจริงแต่อย่างใด ตนเองจึงไม่กล้าเกียจคร้านละเลยแม้แต่นิด จากนั้นก็พลันนึกขึ้นได้ว่าในเรือนพักยังมีคนอื่นๆ อยู่อีก จึงรีบเข้าไปจัดการอย่างเร่งด่วน เพื่อจะได้ให้บริเวณโดยรอบของที่พักสตรีผู้สูงศักดิ์ท่านนี้มีเพียงความเงียบสงบ
หลังจากยุ่งวุ่นวายกับเรื่องเข้าพักจนเสร็จเรียบร้อยก็เป็นช่วงบ่ายแล้ว
จ่างซุนเสินหรงที่เร่งรีบเดินทางมารู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ นางกินอาหารอันประณีตอยู่ภายในห้องพัก มีน้ำแกงข้นกับชาหอมๆ พอรู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้าเต็มทีจึงนอนลงไปทั้งเสื้อผ้าเช่นนี้ พักผ่อนสักครู่หนึ่ง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงไร ด้านนอกมีเสียงดังเอะอะ นางพลิกตัวตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงแหบห้าวของบุรุษพูดว่า “เป็นผู้สูงศักดิ์บ้าคนใดกัน ช่างเกะกะเสียจริง แล้วยังจะให้พวกเรายกพื้นที่ให้พวกเขาอีก?!”
“โอย สวรรค์โปรด ระวังๆ หน่อยสิ นั่นมาจากฉางอันเชียวนะ!” นี่เป็นเสียงของหัวหน้าจุดพักม้า
“ประหลาดแท้ บนพื้นที่โยวโจวนี่ พวกข้าทั้งหลายเพียงยอมรับท่านผู้บัญชาการเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนไสหัวไปหิ้วรองเท้าที่ชายแดนให้หมด!”
“พอแล้วๆ เร็วเข้า อย่าได้มัวมาอยู่ที่นี่เลย!”
จ่างซุนเสินหรงลุกขึ้นแล้วลงจากเตียงไปผลักหน้าต่างเปิดออกทันที เห็นที่มุมลานสวนมีเงาร่างหลายสายหายวูบไป
นับว่าพวกเขาหนีได้เร็ว นางหยุดวิพากษ์วิจารณ์ในใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีเมฆบางๆ ดวงอาทิตย์ถึงกับคล้อยต่ำแล้ว
ตงไหลไปคราวนี้หลายชั่วยามแล้วกลับยังไม่กลับมาอีก จ่างซุนเสินหรงคิดในใจว่า ไม่น่าจะเป็นเช่นนี้ เขาขี่ม้าดีไปด้วย แล้วก็เพียงไปสำรวจล่วงหน้าเท่านั้น ไยถึงเสียเวลานานปานนี้ได้
ประตูพลันถูกเคาะ จื่อรุ่ยที่อยู่ข้างนอกร้องเรียกอย่างร้อนใจ “ประมุขน้อยเจ้าคะ”
จ่างซุนเสินหรงหันกลับไป “เข้ามา”
จื่อรุ่ยผลักประตูเข้ามา คำนับทีหนึ่งแล้วกล่าว “ตงไหลเกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ!”
จื่อรุ่ยรีบเล่าเรื่องราวออกมาว่าเห็นตงไหลยังไม่กลับมาสักที นางจึงส่งคนออกไปช่วยเหลือเหมือนเช่นที่เคยทำมาตามปกติ ถึงได้รู้ว่าเขาถูกทหารกองหนึ่งจับตัวเอาไว้ พูดมาถึงตรงนี้นางก็มีท่าทางลังเล “คนที่จับตัวเขาเอาไว้อยากให้ผู้เป็นเจ้านายไปไถ่ตัวคน แต่คุณชายจัดการที่นี่เสร็จเรียบร้อยก็ไปที่จวนว่าการในเมืองแล้ว เกรงว่าในเวลาอันสั้นนี้คงจะยังกลับมาไม่ได้เจ้าค่ะ”
ในเมื่อจ่างซุนซิ่นถือพระราชโองการมาที่นี่ ก็ย่อมต้องไปแจ้งต่อขุนนางของท้องถิ่น นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มือข้างหนึ่งของจ่างซุนเสินหรงดึงหน้าต่างปิดลง เดิมก็ไม่คิดจะรอเขาไปจัดการอยู่แล้ว “ข้าจะไปสักเที่ยวหนึ่ง”
เชิงอรรถ
* กั๋วกง เป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณของขุนนางจีน แต่งตั้งให้เชื้อพระวงศ์หรือผู้มีคุณงามความชอบ โดยบรรดาศักดิ์ห้าขั้นรองจากชั้นอ๋องคือกง โหว ป๋อ จื่อ หนาน แต่ละสมัยจะมีคำเรียกและลำดับแยกย่อยต่างกัน กั๋วกงถือเป็นขั้นสูงสุดในลำดับกง
* คิดบัญชีหลังฤดูสารท หมายถึงรอคอยจังหวะที่เหมาะสมเพื่อตีโต้กลับคืนไป หรือเพื่อแก้แค้นเอาคืน
* ชั่วยาม หมายถึงการนับเวลาของจีน 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมง
* เค่อ เป็นหน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
* ตะวันออกตะวันตกสองเมืองหลวง หมายถึงเมืองฉางอันที่อยู่ทางตะวันตก และเมืองลั่วหยางที่อยู่ทางตะวันออก
** จุดพักม้า คือสถานที่พักของคนส่งสาร ขุนนางที่เดินทางไปต่างถิ่นใช้เปลี่ยนม้าและให้หญ้าสำหรับม้า เพื่อให้ม้าพร้อมเดินทางต่อ ทำให้การสื่อสารระหว่างชายแดนและเมืองต่างๆ ส่งไปถึงเมืองหลวงได้อย่างรวดเร็ว นอกจากจุดพักม้าจะมีห้องพักและอาหารสำหรับรับรองคนส่งสารหรือขุนนาง ชนชั้นสูงที่มาเข้าพักข้างแรมในระหว่างการเดินทาง โดยจุดพักม้าจะมีการสร้างทุกระยะห่างตามที่แต่ละยุคแต่ละสมัยกำหนดทอดตัวยาวห่างๆ กันไปเรื่อย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 ส.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.