บทที่ 11
ซานจงผู้นี้ไม่เพียงนิสัยเลวร้าย บางครั้งการกระทำของเขาก็ยังทำให้ผู้คนคาดเดาทิศทางไม่ออกด้วย ขณะเขายิ้มจู่ๆ ก็ชี้ไปบนท้องฟ้าแล้วพูดว่า “ขอแนะนำพวกเจ้ากลับให้เร็วหน่อย ค่ำแล้วในภูเขาจะไม่ค่อยสงบนัก”
จ่างซุนเสินหรงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย มองไปทางพวกตงไหลที่กำลังยุ่งง่วนอยู่กับงาน
การขุดหาแร่ปกติใช้เพียงการตรวจสอบภูมิลักษณ์ก็เพียงพอแล้ว การเจาะภูมิลักษณ์ไม่ค่อยได้ใช้กันบ่อยนัก แต่เมื่อใช้แล้วอย่างน้อยก็ต้องกินเวลาหลายวัน ทว่าอย่างไรก็ไม่ใช่การขุดเจาะพื้นดินเป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ต้องระวังมากมาย วันนี้คนของพวกตนมาแล้วก็ยังเตรียมตัวพร้อมที่จะค้างอยู่ในภูเขานี้ได้อีกหลายวัน
จ่างซุนเสินหรงครุ่นคิดขึ้นมา เขารู้อย่างกระจ่างแจ้งถึงขั้นนี้จะต้องดูอยู่นานแล้วแน่ๆ แต่พอนางหันกลับมาก็เห็นเพียงม้าตะกุยเท้าออกไป บุรุษผู้นั้นควบม้าศึกประหนึ่งสายลม ตัดผ่านภูเขาราวสายฟ้า บอกว่าไปก็ไปเลย
นางหันไปมองทางสองคนที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนั้น
หูสืออีกับจางเวยก็มองเห็นซานจงควบม้าจากไปแล้วเช่นกัน คนทั้งสองยังรู้สึกใจหายอยู่เล็กน้อย วันนี้หัวหน้าของพวกตนอยู่ที่นี่นานพอดูเชียวล่ะ ทว่าเพียงชั่วพริบตาจ่างซุนเสินหรงก็มาถึงตรงหน้าทั้งสองเสียแล้ว
นางถาม “ในภูเขานี้ตอนกลางคืนจะไม่สงบหรือ”
หูสืออีจับต้นชนปลายไม่ถูก “อันใดคือไม่สงบขอรับ”
จ่างซุนเสินหรงรู้ว่าจางเวยตอบมาตามจริงกว่า จึงถามเขา “เจ้าพูด”
จางเวยตอบ “มีเพียงพวกนอกด่านที่แอบลอบเข้ามา แต่พวกเราป้องกันอย่างเข้มงวด มาแล้วก็ไม่กลัว”
จ่างซุนเสินหรงได้รับรู้ความจริงอย่างที่คาดไว้ รู้แล้วว่าคนแซ่ซานนั่นจงใจ!
นางเมินหน้าแล้วก็เดินจากไป
หูสืออีกับจางเวยหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก งุนงงไปหมด
เมื่อเริ่มเจาะภูมิลักษณ์ถึงอย่างไรก็ได้แต่ต้องรอ ทว่าจ่างซุนซิ่นก็ไม่อาจรีบร้อนได้ จึงเร่งกลับไปก่อนประตูเมืองจะปิด เขามอบอำนาจให้ตงไหลจัดการงานในภูเขาแล้วก็คุ้มกันจ่างซุนเสินหรงกลับเข้าเมือง
เนื่องจากจ้าวกั๋วกงมีจดหมายมา จ้าวจิ้นเหลียนจึงทุ่มเททำงานนอกเหนือจากหน้าที่ ไม่เพียงคอยเอาอกเอาใจผู้อื่นเป็นพิเศษ มิหนำซ้ำยังร่วมเดินทางกลับมาพร้อมกับทั้งคู่ตลอดทางจนมาถึงจวนพักขุนนาง
ตอนที่แยกจากกันที่หน้าประตูใหญ่เขายังพูดถึงคำพูดที่เคยคุยกันบนภูเขา “พรุ่งนี้ที่จวนจัดงานเลี้ยง ข้าได้เชิญผู้บัญชาการซานแล้วเช่นกัน ท่านรองเสนาบดีเป็นคนสุภาพ น่าจะไม่ถือสา โปรดเห็นแก่หน้าของข้าไปร่วมงานเลี้ยงให้ได้เล่า”
จ่างซุนเสินหรงเพิ่งจะเดินเข้าประตูจวนมา ครั้นได้ยินคำพูดนี้ก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมามอง
จ่างซุนซิ่นกำลังมองไปทางนางพอดี แต่ภาพที่เห็นออกจะประหลาดพิกลอยู่สักหน่อย
นางคิดครู่เดียวแล้วก็ผงกศีรษะให้พี่ชาย นี่จะมีปัญหาอันใด สถานที่ของเขาก็อยู่มาแล้ว แค่งานเลี้ยงงานหนึ่งเท่านั้น มีอะไรให้ต้องเหนียมอายกันล่ะ
จ่างซุนซิ่นไอแห้งๆ ทีหนึ่ง แล้วตอบตกลงไป “ท่านผู้ว่าการเกรงใจไปแล้ว”
จ้าวจิ้นเหลียนโล่งใจ ราวกับมองเห็นแสงสว่างของการเปลี่ยนความชิงชังเป็นมิตรภาพอยู่รำไร กล่าวลาด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที
ภายในจวนบัญชาการทหาร ตอนซานจงเข้าห้องปลดดาบออกท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว
ตอนกลางวันที่อยู่ในภูเขาเสียเวลาไปมาก เป็นเหตุให้เขายุ่งวุ่นวายอยู่จนบัดนี้ถึงได้กลับมา ตอนที่ถอดเกราะช่วงเอวออกเขาก็นึกไปถึงเหตุการณ์ในภูเขาตอนนั้นขึ้นมาอีก ตนเองยังรู้สึกว่าไม่สมควรทำเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน
ยามไม่มีเรื่องอะไรจะไปหยอกเย้าจ่างซุนเสินหรงเพื่ออันใด เขาช่างว่างมากเกินไปจริงๆ น่าจะเป็นเพราะถูกวาจาของนางเล่นงานเอา ระยะนี้นางเองก็ดูผิดปกติอย่างมาก
“กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว จ่างซุนเสินหรง” เขาลูบไปตามแนวสันกรามพลางหัวเราะกับตนเอง คำพูดของเขาถือว่าพูดไปอย่างเสียเปล่าแล้ว ถึงออกคำสั่งให้นางเชื่อฟัง นางก็จะทำเหมือนลมพัดผ่านหู
“ท่านหัวหน้า” ด้านนอกมีเสียงทหารขอเข้าพบ
“เข้ามา”
พลทหารเข้าประตูมา เอาหนังสือรายงานฉบับหนึ่งวางไว้บนโต๊ะแล้วถอยออกไป
ซานจงหยิบมาพลิกดูแวบหนึ่ง หลังจากวางลงไปเกราะแขนเกราะขาที่เพิ่งถอดออกก็ถูกสวมใส่กลับเข้าไปใหม่ เขาหยิบดาบแล้วออกไป
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นลำ บนโต๊ะตัวเล็กมีกระดาษใยสีเหลืองแผ่นหนึ่งวางแผ่อยู่
จ่างซุนเสินหรงจับพู่กันจรดอยู่บนกระดาษ ตวัดร่างภาพเทือกเขาวั่งจี้ออกมาทีละขีดๆ เมื่อได้ยินจื่อรุ่ยที่อยู่ข้างกายสูดลมหายใจตั้งท่าจะพูดแล้วก็ไม่พูด พลันนึกขึ้นได้ว่าพู่กันจิ้มอยู่ในผงสีดำที่ใช้ทาคิ้วไปเสียแล้ว เพราะเดิมทีนางกำลังจะวาดคิ้วอยู่
จ้าวจิ้นเหลียนช่างรอบคอบเหลือเกิน วันนี้ก็ส่งเทียบเชิญมาอีกครั้งตั้งแต่เช้า เหอซื่อยังส่งคนนำกำยานที่นางเคยเลือกเอาไว้ในร้านขายกำยานเมื่อวันนั้นมาส่งให้ เดิมนางเตรียมจะแต่งตัวให้งดงามสักหน่อยค่อยไปร่วมงานเลี้ยง ทว่าเมื่อครู่นี้กลับคิดถึงเรื่องขุดหาแร่จนใจลอยไปแล้ว
“ช่างเถอะ ไม่วาดแล้ว” นางทิ้งพู่กันไปเสียอย่างนั้น
จื่อรุ่ยพูดว่า “ประมุขน้อยงดงามเลิศล้ำมาตั้งแต่กำเนิด ไม่ต้องไปใช้การวาดเติมเสริมแต่งอีกหรอกเจ้าค่ะ อย่างไรท่านก็คือธิดาของท่านเจ้าบ้านอยู่แล้ว”
นับแต่เล็กจนโตที่จ่างซุนเสินหรงได้ยินจนเต็มหูล้วนเป็นวาจาไพเราะเอาอกเอาใจ แต่พอฟังมากเข้าก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว และไม่เคยเห็นเป็นเรื่องจริงจังอะไรอีก ที่นางจริงจังที่สุดยังคงเป็นม้วนหนังสือในถุงผ้าปักลายนั้น ตอนที่ลุกขึ้นมานางก็เก็บเอาไว้ในอกเสื้ออย่างดี ถึงแม้จะไปร่วมงานเลี้ยงก็ไม่อาจปล่อยให้ม้วนหนังสือห่างจากตัวได้
จ่างซุนซิ่นรอนางอยู่ที่ข้างนอกเรียบร้อยแล้ว
จ่างซุนเสินหรงเดินออกมาจากเรือนชั้นในก็เจอเข้ากับก่วงหยวน เขาก็เหมือนกับเมื่อก่อนนี้ ถอยไปอยู่ที่ด้านข้างเปิดทางให้นางอย่างเคารพนอบน้อม นางเดินผ่านไปแล้วจู่ๆ ก็หยุดลง
“ก่วงหยวน” นางชายตามองแล้วถามว่า “นานๆ ครั้งเจ้าถึงจะได้พบกับเจ้านายของเจ้าสักครั้งใช่หรือไม่”
ก่วงหยวนลังเลไปชั่วขณะก่อนจะตอบ “ขอรับ”
ทุกครั้งที่ได้พบกับซานจง ก่วงหยวนมักทำท่าเหมือนไม่เคยเห็นคนมาแปดร้อยปี จ่างซุนเสินหรงพบเห็นเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้วนางจึงพูดว่า “เช่นนั้นวันนี้เจ้าก็ไปกับข้า บางทีอาจจะได้เห็นเขามากขึ้นอีกหน่อย”
ก่วงหยวนเงยหน้ามองอย่างผิดคาดนางก็เดินออกไปข้างนอกแล้ว เขารีบวิ่งตามไปจนทัน เหลือบมองด้านหลังของนางพลางถามเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ “เรื่องในอดีต…ท่านผู้สูงศักดิ์ไม่ตำหนิโทษข้าแล้วใช่หรือไม่”
จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านข้างถลึงตาใส่เขาทันที ตำหนิเขาว่าปากไม่มีหูรูด ช่างกล้าแตะต้องจุดอ่อนของผู้อื่นจริงๆ!
จ่างซุนเสินหรงได้ยินอย่างถนัดชัดเจน หน้านางไม่หัน เท้าก็ไม่หยุดด้วย “ไม่มีเจ้าแล้วจะไม่มีหนังสือขอแยกทางฉบับนั้นหรือ ผู้ใดทำผู้นั้นก็รับไป เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยล่ะ…เจ้านายของบ้านเจ้ารู้จักที่จะแบกความรับผิดชอบเอาไว้เพียงผู้เดียวหรอก”
นั่นเป็นเรื่องระหว่างนางกับบุรุษผู้นั้นแท้ๆ เมื่อต้องเห็นก่วงหยวนมักก้มหน้าคอตกคอยหลีกทางให้อยู่เสมอถึงได้ทำให้นางอึดอัดใจ เหมือนว่าเขากำลังตอกย้ำนางถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นอยู่เสมอ
ก่วงหยวนวางใจได้แล้ว ก่อนหน้านี้ที่อยู่บ้านสกุลซานเขาก็ดูออกแล้ว ถึงแม้ฮูหยินจะดูเย่อหยิ่งภูมิใจในสายเลือดอันสูงส่ง แต่ก็ไม่เคยดื้อด้านไร้เหตุผลมาก่อน ขอเพียงไม่ยั่วยุนางทุกเรื่องล้วนเจรจากันได้
“แต่ว่าเจ้าก็อย่าได้ยินดีเร็วจนเกินไปนัก” จ่างซุนเสินหรงพูดอีก “ไม่แน่ว่าวันนี้เจ้าอาจจะไม่ได้เจอเขาเลยก็ได้” นางก็ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นจะมาหรือไม่
ในจวนว่าการจัดเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมพรักแล้ว จ้าวจิ้นเหลียนกับเหอซื่อกำลังรอให้ผู้มีเกียรติมาเยือนถึงจวน
ไม่นานนักด้านนอกจวนก็มีรถม้าแล่นเข้ามา สองสามีภรรยาออกมาจากโถงเพื่อต้อนรับ เห็นสองพี่น้องสกุลจ่างซุนเดินมาตามทางโดยการนำของพ่อบ้านเข้ามาในจวนด้วยท่วงท่าสง่างาม
จ้าวจิ้นเหลียนไปต้อนรับจ่างซุนซิ่น ส่วนเหอซื่อเป็นฝ่ายไปสนทนากับจ่างซุนเสินหรงก่อน แย้มยิ้มอยู่ตลอดในขณะที่เชื้อเชิญนางเข้าไปในห้องโถง
เหล่าบ่าวรับใช้ยกน้ำชาร้อนๆ ที่เพิ่งชงเสร็จเข้ามา จ่างซุนเสินหรงยกถ้วยชาขึ้นแตะๆ กับริมฝีปากแล้วก็วางลงไป เข้มเกินไป…ขมเกินไปแล้ว นางดื่มแต่ชาอ่อนๆ ล้วนพูดกันว่าพื้นที่แถบเหอซั่ว* ผู้คนจะมุทะลุและห้าวหาญ ย่อมไม่มีรสนิยมในการเลือกเฟ้นของอย่างพิถีพิถันเหมือนฉางอัน แต่ว่านางก็ไม่ได้ใส่ใจ มาโยวโจวเดิมทีก็ไม่ใช่มาเพื่อใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายอยู่แล้ว
นางอาศัยช่วงเวลาที่ดื่มน้ำชามองไปแวบหนึ่ง ไม่เห็นร่องรอยของบุรุษผู้นั้นเลย
จ้าวจิ้นเหลียนนั่งสรวลเสเฮฮาอยู่กับจ่างซุนซิ่นที่ด้านข้าง เห็นว่าเวลาผ่านไปทีละนิดเขาก็เริ่มมีอาการนั่งไม่ติดที่ขึ้นมาแล้ว “ผู้บัญชาการซานมีกิจธุระคงจะมาสายแล้ว” เขายิ้มอย่างฝืดฝืนเต็มที “ข้าได้ส่งคนไปเชิญแล้ว คาดว่าคงจะมาได้เร็วๆ นี้ละ”
จ่างซุนซิ่นแสร้งยิ้มอย่างขอไปทีพลางปรายตาไปทางน้องสาว
จ่างซุนเสินหรงขยับถ้วยชาเล่นเป็นระยะๆ ราวกับไม่ได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน
เหอซื่อเห็นว่าสถานการณ์ออกจะกระอักกระอ่วนจนเงียบไปแล้ว จึงส่งสายตาให้สามี “พวกท่านเริ่มงานเลี้ยงกันไปก่อนก็ได้ ผู้บัญชาการซานไม่ติดใจหรอก เขาก็คงไม่อยากจะละเลยแขกผู้สูงศักดิ์เหมือนกันแน่นอน”
จ้าวจิ้นเหลียนเห็นด้วย จึงมีคำสั่งให้เริ่มงานเลี้ยงได้
อาหารในงานเลี้ยงถูกคนยกเข้ามาเป็นแถวจากทางประตู
จ่างซุนเสินหรงถูกเชิญไปนั่งที่ข้างๆ จ่างซุนซิ่น จ้าวจิ้นเหลียนสองสามีภรรยานั่งคู่กันอีกที่หนึ่ง ทั้งหมดนั่งหันหน้าเข้าหากัน ขณะนี้เอาแต่พูดเรื่องการขุดหาแร่อย่างกระตือรือร้นไปแล้ว
น่าเสียดายที่จ่างซุนซิ่นรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องนี้อยู่พอดี รอยยิ้มจอมปลอมบนใบหน้ายิ่งปั้นจนเข้มข้น ได้แต่พูดคุยพอให้ผ่านไปเท่านั้น
จื่อรุ่ยกำลังจัดวางอาหารให้จ่างซุนเสินหรงอยู่ นางก็โบกมือปฏิเสธ พลันได้ยินเสียงก่วงหยวนดังแว่วมา “คุณชาย”
จ้าวจิ้นเหลียนรีบลุกออกไปทันที
จ่างซุนเสินหรงมองไปที่ประตู ได้ยินเพียงเสียงพูดคุยเบาๆ…
“บอกให้ท่านต้องมาวันนี้ให้ได้ไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมาเอาป่านนี้”
เสียงของซานจงค่อนข้างเกียจคร้าน “คืนนี้ในเมืองหลวงมีนักโทษถูกส่งตัวมา เคาะประตูเมืองทั้งยามราตรีข้าก็วุ่นอยู่ตลอดจนถึงตอนนี้แหละ ระหว่างทางยังถูกคนของท่านขวางเอาไว้ เชิญให้มาที่นี่”
“มาก็ดีแล้ว เข้ามาข้างในเร็ว”
เงาร่างสูงตรงของบุรุษผู้นั้นเดินผ่านประตูเข้ามา แล้วจู่ๆ ก็หยุดนิ่ง
สายตาซานจงกวาดผ่านสองพี่น้องที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยง มองจ้าวจิ้นเหลียนแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่พูดอะไรกับการจัดการเช่นนี้
แต่จ้าวจิ้นเหลียนดันเขาให้ไปยังที่นั่งแล้ว
จ่างซุนเสินหรงนั่งประจันหน้ากับซานจงพอดี นางมองเขาวางดาบลงไปก่อนนั่งลงที่ตรงนั้น แล้วก็รับผ้าที่คนยื่นส่งมาให้เช็ดมือทั้งสองอย่างไม่เร็วไม่ช้า สายตาเขาทอดลง ดูเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
ตอนนี้เองจ้าวจิ้นเหลียนถึงยิ้มพลางพูดอย่างสบายใจ เทียบกับก่อนหน้านี้แล้วดูผ่อนคลายขึ้นมาก “ฉงจวิน ท่านมาสายแล้ว ต้องคารวะสุราท่านรองเสนาบดีจ่างซุนจอกหนึ่ง”
จ่างซุนซิ่นแสร้งยกมือขึ้นโบกปัด “ไม่ต้องหรอก นั่นจะรับไหวได้อย่างไร”
“ท่านรองเสนาบดีไม่ต้องเกรงใจไป” จ้าวจิ้นเหลียนส่งสัญญาณไปทางซานจงซ้ำอีก
ซานจงกวาดตามองคนที่อยู่ตรงข้ามอีกแวบหนึ่ง มือหนึ่งก็ถือกาสุรารินจนเต็มจอก ยกจอกสุราขึ้นมาหันไปทางจ่างซุนซิ่นแล้วชูขึ้น
คนที่ตอบรับเขากลับไม่ใช่จ่างซุนซิ่น ปลายแขนเสื้อของหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ พลันขยับไหว จ่างซุนเสินหรงยกจอกสุราหันไปทางเขาแล้วชูขึ้น ดวงตาของนางเป็นประกายแพรวพราว ตอนที่ก้มหน้าใช้ปากแตะขอบจอกสุรา สายตายังคงอยู่ที่ร่างของเขา
นิ้วมือของซานจงลูบไล้จอกสุรา ยังไม่ขยับเขยื้อน
จ้าวจิ้นเหลียนจับจ้องเขาอยู่ หันมาเห็นจ่างซุนเสินหรงเพิ่งวางจอกสุราลงไปถึงกับผิดคาด “คุณหนูช่างรวบรัดเด็ดขาด”
จ่างซุนซิ่นยิ้มพลางกล่าวว่า “อาหรงสงสารข้าน่ะ เลยดื่มแทนข้า”
นี่ถือเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศที่แสนอึดอัดเนื่องจากการมาสายของซานจง
เหอซื่อรู้สึกอยู่ตลอดว่าต้องขอบคุณวาจาอันอบอุ่นเปี่ยมด้วยไมตรีของจ่างซุนซิ่น งานเลี้ยงครานี้ถึงได้ดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น การคารวะสุราผ่านไปสามรอบ การพูดคุยกำลังเข้มข้นจริงจัง นางก็พูดยิ้มๆ ว่า “ท่านรองเสนาบดีช่างเป็นสุภาพชนที่ถ่อมตัว ถ้าหากในบ้านข้ามีพี่สาวน้องสาวที่อายุพอๆ กันละก็ จะต้องแย่งกันขอปีนป่ายร่วมเป็นครอบครัวเดียวกับท่านแน่นอน น่าเสียดายที่ไม่มีวาสนาเช่นนั้นแล้ว”
จ่างซุนซิ่นกล่าวอย่างนุ่มนวล “ฮูหยินยกย่องข้าเกินไปแล้ว วันใดที่พวกข้าขุดหาแร่พบค่อยคิดถึงเรื่องดีๆ เช่นนี้ก็แล้วกัน”
เหอซื่อประหลาดใจ เดิมแค่จะยกย่องเขาเท่านั้น ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน
อันที่จริงจ่างซุนซิ่นควรจะแต่งงานไปตั้งนานแล้ว แต่น่าเสียดายที่คู่หมั้นด่วนจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ที่บ้านยังไม่ได้เลือกคนที่เขาถูกใจเป็นการชั่วคราว หลังถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ สามปีก่อนกลับให้จ่างซุนเสินหรงที่เป็นน้องสาวผู้นี้ชิงแต่งงานไปเสียก่อน
คนข้างนอกไหนเลยจะรู้เรื่องนี้ได้ เหอซื่อมองไปทางจ่างซุนเสินหรงอย่างรวดเร็ว “ดูท่าคุณหนูเองก็คงยังไม่ได้แต่งงานกระมัง ถ้าอย่างนั้นข้ายิ่งอยากให้ที่บ้านมีพี่ชายน้องชายที่อายุพอๆ กับท่านสักคนเหลือเกิน” พูดจบตนเองก็หัวเราะขึ้นมา
จ่างซุนเสินหรงมองไปฝั่งตรงข้ามอย่างไม่รู้ตัว ซานจงถึงกับมองมาด้วยเช่นกัน สายตาของคนทั้งคู่สบกันอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วต่างคนต่างก็เบนสายตาหลบไป
งานเลี้ยงจบลง เหอซื่อก็เชิญจ่างซุนเสินหรงไปนั่งพักที่ศาลาชมดอกไม้ จะได้ให้พวกเขาที่เป็นบุรุษหลายคนนั้นได้พูดคุยกัน
จ่างซุนเสินหรงนั่งพักพอแล้ว อ้างว่าอยากจะเดินเล่นในสวนสักหน่อย จึงพาจื่อรุ่ยไปด้วยเพียงคนเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เหอซื่อมาคอยอยู่เป็นเพื่อน
รอจนนางเดินไปครบหนึ่งรอบ ก็เห็นเงาร่างของจ้าวจิ้นเหลียนปรากฏอยู่แต่ไกลๆ เหมือนกำลังตามหาผู้ใดอยู่ นางเดินไปที่ใต้ระเบียง ก็เห็นก่วงหยวนเฝ้าอยู่นอกประตูสวนแห่งหนึ่ง “เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ก่วงหยวนตอบเสียงเบา “คุณชายอยู่ขอรับ”
จ่างซุนเสินหรงมองไปข้างในสวน ทิ้งจื่อรุ่ยเอาไว้แล้วเดินเข้าไปข้างในเพียงลำพัง
ก่วงหยวนไม่ได้ขัดขวาง
ไม่แปลกที่จ้าวจิ้นเหลียนกำลังตามหาคน ในศาลาที่สวนด้านข้างซานจงนั่งพิงกับราวกั้นอยู่ สองแขนกอดดาบเอาไว้ หลับตาเหมือนกับหลับไปแล้ว
จ่างซุนเสินหรงเดินอย่างเบามือเบาเท้าเข้าไปหา มองไปรอบๆ แล้วก็นั่งลงข้างๆ เขา
ขาข้างหนึ่งของเขายังคงยันอยู่ที่ราวกั้นศาลา ดูเพรียวยาวและแข็งแรง ชายเสื้อของนางถูกลมพัดค่อยๆ ปัดทับไปบนรองเท้าขี่ม้าของเขาทีละน้อย
จ่างซุนเสินหรงเห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะตื่น คิดในใจว่า หลับไปแล้วจริงๆ หรือ ดวงตามองไปที่แขนขวาของเขาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากกอดดาบอยู่แขนเสื้อตรงข้อมือจึงร่นขึ้น เผยให้เห็นข้อมือที่แข็งแรง บนนั้นมีลวดลายสีเขียวๆ ดำๆ
นางเข้าไปใกล้อย่างอดไม่อยู่ ยื่นนิ้วออกไปคิดจะดึงแขนเสื้อเขาออกจะได้เห็นข้อมือได้ชัดขึ้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียง “มือของเจ้าจะยื่นมาตรงใดกัน” พอช้อนตาขึ้นก็ปะทะเข้ากับสายตาของเขาพอดี
ซานจงลืมตาอยู่ กำลังจ้องนาง ดวงตาดูแจ่มใสราวกับไม่เคยนอนหลับมาก่อน ชุดชาวหูบนร่างของเขารัดเอวเอาไว้แน่น ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่ปกเสื้อครึ่งหนึ่งกลับเปิดอ้าอยู่อย่างไม่เรียบร้อยนัก
จ่างซุนเสินหรงกำลังเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ มือยังคงยื่นค้างอยู่ นิ้วมือดูแล้วยิ่งเหมือนกำลังจะสำรวจเข้าไปในอกเสื้อของเขา นางชักมือกลับมาลูบๆ เส้นผมที่ข้างหูพลางเบิ่งตามองเขา “ท่านถึงกับกล้าสักลาย?”
ถึงแม้จะเห็นไม่ชัด แต่นางเดาว่าลายนั่นก็คือการสักลาย
นางไม่เคยเห็นบุรุษเช่นนี้มาก่อนเลย เป็นทายาทตระกูลขุนนางสูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นหัวหน้าฝ่ายทหารที่สะท้านไปทั่วทั้งเมือง กลับมีท่าทางอันธพาลชั่วร้าย แม้แต่การสักลายที่ไม่เหมาะสมกับธรรมเนียมของชนชั้นสูงก็ยังกล้าสัก
นางสวมกระโปรงหรูฉวิน* เอวสูง คนยังคงเคลื่อนร่างเข้ามาใกล้ตัวเขาอยู่ ซานจงหลุบตาลงก็เห็นลำคอที่ขาวปานหิมะของนางแล้ว ห่างกันเพียงนิดเดียว กลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ บนร่างนางแทรกซึมเข้าสู่จมูกของเขา เขาแหงนหน้าไปทางด้านหลัง มือหนึ่งก็ดึงแขนเสื้อลงปกปิดเอาไว้ “เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร”
จ่างซุนเสินหรงมองดูใบหน้าที่เชิดขึ้นของเขา ช่างโอหังเหมือนกับในวันนั้นที่เขาบอกว่าตัวเขาก็คือกฎหมายของโยวโจวเสียจริง นางพลันพูดเสียงเบาว่า “ยามนั้นก็มีแล้วหรือ”
ซานจงมองนาง “ยามใด”
นิ้วของนางวางอยู่บนแขนเสื้อของเขาแล้วดึงลงไป ยื่นตัวเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม “ตอนที่ข้าแต่งงานกับท่าน”
ในดวงตาของซานจงค่อยๆ ลึกล้ำดำมืดขึ้นทุกที นางเหมือนกับกำลังจงใจเตือนถึงความทรงจำในอดีตช่วงนั้น “ใครจะไปจำได้ ข้าลืมไปนานแล้ว”
จ่างซุนเสินหรงไม่พูดอะไรอีก
เขาขยับขาเล็กน้อย ยิ้มพลางกล่าวว่า “ผู้อื่นนึกว่าเจ้ายังไม่ได้แต่งงาน เจ้าทำเช่นนี้ไม่กลัวต่อไปจะแต่งไม่ออกหรือ”
สายตาจ่างซุนเสินหรงเปลี่ยนเป็นเย็นชา กลับมานั่งตัวตรง สะบัดแขนเสื้อดึงมือคืนจากร่างของเขา “นี่ทำให้ท่านวิตกกังวลหรือไร” นางทิ้งท้ายไว้อย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นเดินจากไป
ซานจงมองดูเงาหลังของนางที่จากไป คิดในใจว่า ช่างกำเริบเสิบสานมากขึ้นเสียแล้ว
บทที่ 12
นับแต่กลับมาจากจวนว่าการก่วงหยวนก็นึกสงสัยว่าตนเองใช่ทำเรื่องอะไรผิดไปหรือไม่ มักจะรู้สึกถึงท่านผู้สูงศักดิ์ได้อยู่ตลอด ทว่าตอนอยู่ในจวนว่าการ หลังจากที่ท่านผู้สูงศักดิ์เข้าไปในสวนที่มีคุณชายอยู่เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว พอกลับมาสีหน้าก็เย็นชามาตลอด
แต่เขายื่นศีรษะเข้าไปดูในสวน ก็ดูไม่ออกว่ามีความเคลื่อนไหวอะไร คิดๆ ดูอีกทีสภาพของคุณชายตอนที่กลับไปเมื่อวันนั้นก็เหมือนกับไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม
จ่างซุนเสินหรงจ้องดูตัวอักษรที่ตรงหน้า
ม้วนหนังสือหยุดอยู่ที่หน้าชื่อหนังสือ ‘หลักสตรี’ นางนั่งพิงอยู่บนตั่งหันหน้าไปทางหน้าต่าง เอาสองคำนี้มาดูแล้วดูอีก ดูซ้ำไปซ้ำมา แล้วเงยหน้าขึ้นถาม “ตงไหลอยู่ที่ภูเขาตั้งนานแล้ว ยังไม่มีข่าวส่งมาอีกหรือ”
จื่อรุ่ยที่อยู่ด้านข้างตอบ “ไม่มีเจ้าค่ะ”
นางถามอีก “พี่ชายข้าเล่า”
“วันนี้คุณชายไปที่ภูเขาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ เขากำลังร้อนใจ ทั้งกลัวผู้ว่าการจ้าวจะเชิญเขาไปร่วมงานเลี้ยงอีก บอกว่าวางท่าเป็นขุนนางเหนื่อยแล้ว ยังต้องมาเผชิญหน้ากับ…” จื่อรุ่ยหยุดคำพูดไว้ได้ทันท่วงที
นึกถึงการเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นั้น จ่างซุนเสินหรงแค่นเสียงเฮอะเบาๆ อย่างเสียดสีคำหนึ่ง แล้วก็คิดถึงสีหน้าอวดดีของเขาในวันนั้นขึ้นมาอีกแล้ว นางเก็บม้วนหนังสือทันที ไม่อยากจะไปคิดถึงเงาร่างนั้นอีก จึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เปลี่ยนเสื้อให้ข้า ข้าจะเข้าไปดูในภูเขาสักหน่อยเหมือนกัน”
จื่อรุ่ยรีบไปจัดการเตรียมตัว
วันนี้อากาศไม่ค่อยดีนัก แสงแดดอ่อนจาง ลมหนาวเย็นพัดมาเป็นระลอกๆ
จ่างซุนเสินหรงสวมชุดชาวหู สวมหมวกป่านเพื่อป้องกันลม หยิบแส้ม้าด้ามหุ้มผ้าไหมมาถือไว้ตั้งใจว่าจะขี่ม้าไป
ขณะกำลังจะออกจากประตูใหญ่ ก่วงหยวนที่ตามออกมาด้วยก็ถามว่า “ท่านผู้สูงศักดิ์แต่งกายเช่นนี้จะเข้าไปในภูเขาใช่หรือไม่ ต้องการให้ข้าส่งคนไปแจ้งที่จวนบัญชาการหรือไม่ขอรับ”
จื่อรุ่ยตอนนี้ถึงนึกได้ว่าทหารในหน่วยของจางเวยตามไปที่ภูเขากับคุณชายแล้ว เวลานี้พวกนางได้แต่พาพวกองครักษ์ของตระกูลไปด้วยเท่านั้น แต่วันนี้ประมุขน้อยถึงกับไม่ออกปากว่าอะไร
จ่างซุนเสินหรงจูงม้าที่องครักษ์เตรียมมาให้ ดีดตัวขึ้นไปนั่ง “ข้าไปก็พอแล้ว”
จื่อรุ่ยจึงหันไปทางก่วงหยวนแล้วส่ายหน้า ก่อนขึ้นขี่ม้าเตี้ยๆ ตัวหนึ่งตามไป นำขบวนองครักษ์ออกเดินทาง
ในเมืองวันนี้ก็มีบางอย่างพิเศษอยู่เหมือนกัน บนจุดที่สูงๆ ของบ้านเรือนร้านค้าสองข้างทางจำนวนไม่น้อยต่างเสียบดอกไม้ต้นไม้เอาไว้ เหมือนกับเป็นวันเทศกาลอะไรสักอย่าง
ตอนที่เกือบจะถึงประตูเมืองอยู่แล้วนั้น จื่อรุ่ยมองไปที่ไกลมากๆ ก็เห็นทหารขบวนหนึ่งหยุดอยู่ที่เชิงกำแพง ทหารแต่ละนายสวมเกราะอย่างเรียบร้อย ม้าล้วนดูแข็งแรง โกลนส่องประกายวาว นางขี่ม้าขึ้นไปข้างหน้าติดตามผู้เป็นนายให้ชิดขึ้น เอ่ยเตือนเสียงเบา “ประมุขน้อย นั่นคือทหารของจวนบัญชาการเจ้าค่ะ”
ผ้าป่านที่คลุมหน้าของจ่างซุนเสินหรงถูกยกขึ้นมาเพียงครึ่งเดียวเสมอขอบหมวก นางต้องเพ่งมองไปถึงได้เห็นกองทหารกลุ่มนั้น ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ พอมองไปทางด้านหลังของแถวทหารก็เห็นบุรุษในชุดสีดำเหมือนนายพรานเดินออกมา นางกลอกตาแล้วพูดว่า “ตรงไปต่อ ตอนนี้ข้าไม่อยากเห็นเขา”
จื่อรุ่ยขานรับ ไม่กล้าพูดอะไรให้มาก
จ่างซุนเสินหรงเบือนหน้าไปมองอีกด้านหนึ่ง จนใกล้จะถึงเชิงกำแพงเมืองอยู่แล้ว จู่ๆ ก็ร้องว่าหยุด และพูดว่า “เดี๋ยวก่อน”
จื่อรุ่ยรีบสั่งให้พวกองครักษ์หยุดลงทันที
จ่างซุนเสินหรงดึงบังเหียนบังคับม้าให้หันหัวกลับแล้วขี่ม้าตรงไปที่ริมถนน ที่นั่นมีร้านขายสมุนไพรเปิดหน้าต่างกว้าง ข้างในมีชั้นวางสมุนไพรเรียงเป็นแถวแน่นไปหมด
ที่นางดูอยู่กลับเป็นเสาต้นหนึ่งที่ตั้งอยู่หน้าประตู บนเสาติดป้ายชื่อร้านเอาไว้ นี่ไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด ที่น่าแปลกก็คือยอดบนสุดกลับมีต้นหญ้ามัดรวมเป็นกระจุกๆ เหมือนต้นหอมเอาไว้
จ่างซุนเสินหรงลงจากม้า เดินเข้าไปหยุดตรงประตูร้านนั้น แล้วแหงนเงยหน้าขึ้นดูต่อ
เถ้าแก่ที่อยู่ในร้านวิ่งออกมา “แขกท่านนี้อยากจะดูสมุนไพรอะไรขอรับ”
จ่างซุนเสินหรงยกแส้ม้าชี้ไปที่ยอดเสา “นั่นก็เป็นสมุนไพรในร้านของพวกเจ้าด้วยเหมือนกันหรือ”
เถ้าแก่ร้านประสานมือ ตอบรับว่า “ใช่ขอรับ”
“เอาลงมาให้ข้าดูหน่อย”
เถ้าแก่ร้านยิ้มเจื่อน “แขกผู้สูงศักดิ์คงจะต้องมาจากที่อื่นเป็นแน่ นั่นไม่ได้มีไว้ขาย วันนี้เป็นเวลาพิเศษ แต่ละบ้านในโยวโจวจะแขวนดอกไม้แขวนใบหญ้าเพื่อเป็นลางดีขอให้พ้นไปจากภัยสงคราม”
จ่างซุนเสินหรงมองไปทางจื่อรุ่ยแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังเข้าใจความหมายรีบควักเงินออกมาทันที
“ไม่ๆ” เจ้าของร้านพอเห็นดังนั้นก็ปฏิเสธทันที “สมุนไพรนี้ขายไม่ได้จริงๆ นี่เป็นของที่พวกเราเก็บมาได้เป็นกำสุดท้ายก่อนมีประกาศปิดภูเขา แขวนขึ้นไปแล้วเอาลงมาก็จะไม่เป็นมงคล”
จ่างซุนเสินหรงเดิมทียังสงสัยว่าสมุนไพรขนส่งมาจากที่อื่น พอได้ยินว่าเก็บมาได้ก่อนภูเขาจะปิดนางถึงกับเดินเข้าไปใกล้เสานั้นอีกก้าว “เอาลงมา ถ้าไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าจะแขวนกลับขึ้นไปให้ใหม่ก็ได้”
“นี่…” เถ้าแก่ร้านรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ดีเลย แต่เมื่อมองเห็นองครักษ์กลุ่มใหญ่ที่ด้านหลังนาง ก็ไม่กล้าพูดว่า ‘ไม่’ อย่างที่อยากจะพูดแล้ว
จ่างซุนเสินหรงใกล้จะหมดความอดทนอยู่รอมร่อ เงยหน้ามองดูอยู่ตลอดจนรู้สึกเมื่อยคอแล้ว จู่ๆ จากทางหางตาก็พลันเห็นที่ด้านข้างมีทหารปรากฏตัวขึ้นหลายนาย ทันทีที่หันไปข้างกายนางก็มีคนมาเพิ่มขึ้นอีกหลายคนแล้ว
เถ้าแก่ร้านตกใจจนสะดุ้ง รีบโค้งกายคารวะทันที “ท่านผู้บัญชาการซาน”
สายตาจ่างซุนเสินหรงกวาดมองจากน่องที่หุ้มด้วยรองเท้าขี่ม้าขึ้นไป ผ่านเอวที่กระชับแน่นตึงขึ้นไปจนเห็นคางของเขา นางแหงนหน้าอยู่พลันรู้สึกถูกกดที่ศีรษะคราหนึ่ง ใบหน้าขยับไม่ได้ จึงเลิกผ้าป่านขึ้นทันที
ซานจงเพิ่งมองเห็นนาง ตัวของนางเพียงยืนอยู่ที่หน้าร้านของผู้อื่นเช่นนี้ก็สะดุดตาอยู่แล้ว ยิ่งทำท่าทางเหมือนอยากจะสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นก็ยิ่งดูโดดเด่น เมื่อเห็นการกระทำของนางในขณะนี้เขาก็อดจะหยักโค้งมุมปากขึ้นไม่ได้ นึกไปถึงสภาพการณ์ตอนที่อยู่ในจวนว่าการวันนั้นขึ้นมา ตัวนางกำเริบเสิบสานเสียขนาดนั้น แต่กลับยังเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเหตุผลอยู่
เขาช้อนตาขึ้นกวาดมองผ่านหัวเสาไป “เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ซื้อหญ้า ไม่ได้หรือ” น้ำเสียงจ่างซุนเสินหรงเบาหวิว เขาช่างยุ่งวุ่นวายไปทุกเรื่อง ไม่เพียงยุ่งเรื่องที่นางจะแต่งหรือไม่แต่งงาน แล้วยังจะยุ่งเรื่องนางซื้อหญ้าให้ได้อีก ต่อให้เขาเป็นกฎหมายของโยวโจวที่ไม่สนใจกฎเกณฑ์อะไรทั้งสิ้นก็จะทำแบบนี้ไม่ได้
ซานจงไม่พูดอะไร เพียงเอียงศีรษะมองยอดเสานั้นอยู่
เถ้าแก่ร้านก้าวขึ้นมาที่ข้างหน้า อธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ซานจงฟังด้วยเสียงเบาๆ
จ่างซุนเสินหรงชายตามองอีกที ภายใต้หมวกผ้าป่านคลุมศีรษะนางเห็นมือข้างหนึ่งของเขาวางอยู่บนด้ามดาบ นิ้วชี้เคาะๆ อยู่ ทำท่าไม่แยแสสนใจ นางลอบวิพากษ์วิจารณ์ในใจ ดาบก็เหมือนกับเจ้าของนั่นละ อ่อนแข็งต่างไม่กิน* ทั้งสิ้น
“อืม” เขาฟังจบแล้วก็โบกมือให้เถ้าแก่ร้านถอยไป และหันหน้ามาถาม “เจ้าอยากได้หญ้านี้ไปทำอะไร”
“ข้าใช้ประโยชน์ได้” จ่างซุนเสินหรงตอบ “บอกราคามาก็สิ้นเรื่องแล้ว ให้ข้าหาเหตุผลออกมาตั้งมากมายเพื่ออันใด ข้าก็แค่ขอดูหน่อยเดียวเท่านั้น”
“เอาแส้ม้ามาให้ข้า” เขาพูด
จ่างซุนเสินหรงงุนงงไปหมด ยังไม่ได้พูดอะไร มือของเขาข้างที่วางอยู่บนด้ามดาบเมื่อครู่นี้ก็ยื่นออกมาทันที คว้าอย่างว่องไวชิงแส้ม้าที่อยู่ในมือของนางไป
นางตกใจรีบเลิกผ้าป่านคลุมหมวกขึ้นทันที ก็เห็นเขาดึงแส้ที่ม้วนอยู่ให้เหยียดออก ยกแขนขึ้นสะบัดแส้อย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงา อาศัยรูปร่างสูงอันแสนได้เปรียบสามารถฟาดแส้ไปถึงยอดเสาอย่างแม่นยำในทันที แล้วหญ้ากำนั้นก็ร่วงตกลงมาที่พื้น
“ก็ไม่ใช่ว่าแขวนหญ้าแล้วจะขู่ขวัญพวกนอกด่านได้เสียหน่อย เอาลงมาแล้วก็แล้วกันไป” เขาพูดกับเถ้าแก่ร้าน
“ขอรับ…” เถ้าแก่ร้านได้แต่ตอบรับอย่างเดียว
ซานจงม้วนแส้กลับคืนสู่สภาพเดิม ยื่นส่งให้นาง
สายตาจ่างซุนเสินหรงวนเวียนอยู่ที่ร่างของเขาอย่างช้าๆ รอบหนึ่ง กำลังคิดว่านี่เขาหมายความว่าอะไร…นางไม่ยอมรับแส้
ซานจงหัวเราะเบาๆ เสียงยิ่งกดต่ำลงไปอีก “ต่อไปเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า เจ้าก็กำเริบเสิบสานให้น้อยลงหน่อย เชื่อฟังวาจาให้มากหน่อย ข้าก็จะพูดให้ดีขึ้นหน่อยเหมือนกัน”
จ่างซุนเสินหรงสีหน้าบึ้งตึงขึ้นทันที แย่งแส้มา แล้วก็ดึงผ้าป่านลงคลุมหน้าอีกครั้ง
เถ้าแก่ร้านเก็บหญ้ากำนั้นขึ้นประคองสองมือส่งให้จ่างซุนเสินหรง “ก็แค่เครื่องรางมงคลกำหนึ่งเท่านั้น ลูกค้าผู้สูงศักดิ์ต้องการก็รับไปเลยแล้วกัน”
จ่างซุนเสินหรงรับมา พลิกไปพลิกมาดูอยู่สองสามเที่ยว เอาก้าน ราก ใบ ทุกอย่างล้วนดูอย่างละเอียดเที่ยวหนึ่ง และพูดว่า “นี่เรียกว่าเครื่องรางมงคลอะไรกันเล่า นี่คือต้นเซี่ย!*” พูดจบนางก็หันกายไปขึ้นม้า
ซานจงเดินไปจนถึงกลางแถวทหาร มองเห็นนางขี่ม้าพุ่งออกจากเมืองไป ก็รู้ว่านางน่าจะเข้าไปในภูเขาอีกครั้ง เดินทางเช่นนี้อีกแล้ว ยังคงใจกล้าถึงเพียงนี้
“ขึ้นม้า” เขาพลิกตัวขึ้นม้า ออกคำสั่ง “ทั้งหมดไปกับข้า”
ตอนที่จ่างซุนเสินหรงตรงดิ่งเข้าไปในภูเขาจ่างซุนซิ่นก็ได้รับข่าวแล้ว จึงรีบเข้ามาพบนาง
“เหตุใดถึงรีบมาถึงเพียงนี้” พอเห็นหน้านางเขาก็ถามทันที
จ่างซุนเสินหรงขี่ม้ามาเร็วเกินไปจนหมวกเอียงเฉไปแล้ว นางยกมือขึ้นดันๆ เล็กน้อย “แจ้งตงไหลว่าตอนที่ขุดเจาะต้องสังเกตรากหญ้าดีๆ ถ้าพบแล้วให้ขุดให้ลึก” นางคิดๆ แล้วก็หยิบม้วนหนังสือในถุงผ้าปักลายออกมาอีก คลี่ออกจนถึงส่วนที่ต้องการ อ่านดูอยู่สักพักก็เอ่ยปากว่า “ให้ขุดแต่ที่ตาภูเขานั่นเท่านั้น”
จ่างซุนซิ่นแม้จะแปลกใจก็ยังคงสั่งให้คนรีบไปบอกกับตงไหลทันที พอหันหน้ามาก็ถามอีกว่า “เกิดอะไรขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่องนี้หรือ…”
พูดยังไม่ทันขาดคำเขาก็ได้ยินเสียงจางเวยดังขึ้น “ท่านหัวหน้ามาอีกแล้วหรือ”
เสียงหูสืออีดังเบาๆ “ก็ต้องเป็นเพราะคุณหนู…”
ประโยคข้างหลังจ่างซุนเสินหรงฟังไม่ถนัด
นางเดินไปทางด้านนั้นหลายก้าว เห็นซานจงถือดาบเดินเข้ามาอย่างช้าๆ นางก็พินิจพิจารณา “กลัวว่าจวนบัญชาการของท่านจะต้องรับผิดชอบอีกแล้วหรือไร”
ซานจงตอบ “เจ้ารู้แล้วยังจะต้องถามอีก?”
จ่างซุนเสินหรงดึงผ้าป่านลงมาบังหน้าเอาไว้ให้เรียบร้อย แล้วก็สะบัดหน้าเดินจากไป คิดในใจว่า ใครกันแน่ที่อุกอาจโอหัง
หูสืออีโผล่พรวดออกมาจากในป่า “ท่านหัวหน้า ท่านกับคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นเป็นอย่างไรกันแน่หรือ นางเหมือนเถียงกับท่านอยู่นี่”
ซานจงกวาดตามองหูสืออีแวบหนึ่ง “ยุ่งเรื่องของเจ้าเถอะ”
เขากับจ่างซุนเสินหรงจะเป็นอย่างไรกันนั้น ก็ไม่อาจอธิบายกับหูสืออีได้เสียด้วย
จางเวยตามเข้ามาพบซานจงในทันที “พวกเขาอยู่ขุดที่นี่มาตั้งนานแล้ว กลับขุดอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ข้ายังบอกว่าควรจะยอมแพ้ได้แล้ว ตอนนี้กลับยิ่งขุดต่ออย่างกระตือรือร้นหนักกว่าเดิมอีก”
ซานจงได้ยินแล้วก็อดมองไปทางเขาแวบหนึ่งไม่ได้ จากนั้นก็เดินไปทางนั้น
หูสืออีส่ายหน้า “ข้าบอกตั้งนานแล้วว่าที่นั่นไม่มีแร่ พวกเขายังจะเสียแรงขุดอะไรกันนักหนา” พูดแล้วก็ผลักจางเวย “ไป พวกเราก็ไปดูกันสักหน่อย”
จากบริเวณหล่มโคลนไปถึงเขาวั่งจี้ แล้วค่อยถึงริมแม่น้ำตามที่จ่างซุนเสินหรงสั่งมาล้วนถูกขุดไปหลายที่แล้ว แต่ไม่พบอะไรเลย ตอนนี้ตงไหลนำคนทั้งหมดไปตรงบริเวณตาภูเขานั้นแล้วก็ขุดลึกลงไป
จ่างซุนเสินหรงยืนอยู่ที่ทางขึ้นเขามองดูอยู่ พอกวาดตาก็มองเห็นเงาร่างของซานจงอีกแล้ว
เขาไม่ได้เข้ามาใกล้ๆ แต่ยืนรับลมอยู่ กอดอกด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับแค่มาดูพวกตนทำงานเท่านั้น
นางทำเหมือนว่าไม่เห็นเขา
ซานจงดูอยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติ คล้ายว่าอยู่นานเกินไปอีกแล้วจึงเอามือที่กอดอกลง ไม่อยู่ดูอีก แล้วก็หันกายคิดจะจากไป
“ประมุขน้อย!” ที่ไกลออกไปตงไหลพลันร้องเรียกขึ้นมา
เขาเดินอย่างรวดเร็วตลอดทางจนถึงเบื้องหน้าจ่างซุนเสินหรง ทั้งร่างมีแต่ฝุ่นโคลน ในมือถือหินเรียบๆ เหมือนถูกตัดก้อนหนึ่งยื่นส่งให้ “พวกเขาขุดเจอเจ้านี่ขอรับ”
จื่อรุ่ยรับมาส่งต่อให้ถึงมือจ่างซุนเสินหรง นั่นเป็นก้อนหินดำเล็กๆ ก้อนหนึ่งที่เหมือนกับถูกไฟเผาจนไหม้ ส่วนปลายมีสีเหลืองผุดขึ้นมา
จ่างซุนซิ่นขยับเข้าไปใกล้ นิ่วหน้าโดยไม่รู้ตัว “ว่าอย่างไร”
จ่างซุนเสินหรงขูดส่วนปลายของหินก้อนนั้นเล็กน้อย แล้วพลันมองไปทางหูสืออีที่รอชมความครึกครื้นอยู่ข้างๆ จางเวย ยื่นหินส่งไปให้ “เจ้ามากัดสักคำสิ”
หูสืออีนิ่งอึ้งไป “อะไรนะ!”
จ่างซุนซิ่นร้อนใจอยากได้ผลลัพธ์ เอามือไพล่หลังมองไป “อะไร นายกองสามารถขัดคำสั่งได้หรือ”
หูสืออีมองซานจงตามสัญชาตญาณ สงสัยว่าคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นี้ได้ยินที่เขาพูดว่า ‘ไม่มีแร่’ ใช่หรือไม่ จึงจงใจสั่งตนเองเช่นนี้
ซานจงมองเขาจากที่ไกลๆ ไม่แสดงสีหน้าใด กำลังคิดว่าจ่างซุนเสินหรงอยากจะทำอะไรกันแน่
หูสืออีรับสัญญาณทางสายตาของซานจง ได้แต่เข้าไปรับหินก้อนนั้นอย่างเชื่องช้าด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะความโมโห คีบหินสีดำๆ นั้นพลางมองจ่างซุนเสินหรง “ต้องกัดจริงๆ หรือ”
“กัดตรงส่วนปลายเท่านั้น ไม่ได้สั่งให้เจ้ากิน” จ่างซุนเสินหรงกล่าว
หูสืออีตั้งใจว่าจะแค่เอาแตะๆ ฟันพอให้ผ่านไป ทว่าพอแตะถูกส่วนนั้นเข้าก็ตะลึงงันไป “หือ? นิ่มหรือนี่!”
จ่างซุนเสินหรงหันกายกลับทันทีและเดินไปทางตาภูเขา
จ่างซุนซิ่นก้าวเร็วๆ ตามจนทัน
ที่เรียกว่า ‘ตาภูเขา’ ก็เป็นเพียงพื้นที่ที่จ่างซุนเสินหรงกำหนดเอาไว้ตรงจุดกึ่งกลางเท่านั้น ด้านหนึ่งเป็นหล่มโคลน อีกด้านหนึ่งเป็นแม่น้ำทางมุมด้านตะวันออกของภูเขา นางยืนอยู่ตรงพื้นที่ที่เพิ่งจะสั่งให้ตงไหลขุดเศษหินที่แตกออกมาได้ เดินไปที่หลุมมองลงไป พอหันกลับมาจ่างซุนซิ่นก็มาถึงตรงหน้าแล้ว
“นั่นคือหินเฟินจื่อ**” จ่างซุนเสินหรงกล่าว
นัยน์ตาจ่างซุนซิ่นเปี่ยมด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ! แต่ไหนแต่ไรมาพวกเราไม่เคยขุดพบหินนี่มาก่อน”
ตอนที่จ่างซุนเสินหรงได้ยินว่าต้นเซี่ยกำนั้นมาจากในภูเขา ก็เดาว่าน่าจะต้องมีหินเฟินจื่ออยู่แล้ว นางยืนนิ่งๆ พลางใช้ความคิด…ภูเขาดิน ต้นเซี่ย หินดำเหมือนกับไหม้ ปลายด้านล่างสีทองนิ่มๆ
ในม้วนหนังสือเพียงให้แต่สถานที่ แต่เรื่องเหล่านี้กลับเพิ่งจะเชื่อมโยงกันขึ้นมาได้ นางมองจ่างซุนซิ่น เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนนั้นเด็กๆ ในฉางอันร้องเพลงว่าอย่างไร”
“บุตรชายสกุลจ่างซุนเขย่าขุนเขาแม่น้ำ พบภูเขาทองคำนำมาถวาย…” จ่างซุนซิ่นปิดปากทันเวลา พลางมองน้องสาว
จ่างซุนเสินหรงยิ้มขึ้นมา “ข้าก็บอกแล้ว ไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องนี้พวกเราจะทำไม่สำเร็จ”
ที่นี่มีแร่อยู่จริงๆ มิหนำซ้ำยังเป็นแร่สำคัญที่คาดไม่ถึงอีกด้วย
ไกลออกไป ซานจงมองมาแต่ไกลและหมุนตัวเดินไปหลายก้าว แต่แล้วก็หันกลับมาดูอีก จ่างซุนเสินหรงยืนอยู่ตรงนั้น ลมพัดผ้าป่านที่คลุมปิดหน้าปลิวลอยขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มบนหน้านางที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจที่ประสบความสำเร็จ
เขามองดูภูเขาแถบนี้อย่างพินิจพิจารณา จู่ๆ ก็พลันตระหนักได้ว่าที่นางเข้ามาในภูเขาหลายครั้งดูเหมือนจะมีสาเหตุอยู่
บทที่ 13
ในภูเขามีแร่สำคัญ แต่กลับไม่มีข่าวใดๆ กระจายออกมาเลย
เมื่อถึงวันถัดมาจ้าวจิ้นเหลียนเข้าไปที่จวนว่าการ และได้รับข่าวที่องครักษ์ของสกุลจ่างซุนส่งมา ถึงได้รู้เรื่องนี้ เขาจัดแจงชุดขุนนางให้ดูเรียบร้อยที่สุด อยากจะรีบเข้าไปในภูเขาเพื่อตรวจสอบทันที ทว่ายามออกจากประตูกลับเห็นรถม้าจอดรอที่ข้างนอกประตูใหญ่ของจวนว่าการแล้ว
รอบคันรถมีองครักษ์ของสกุลจ่างซุนล้อมรอบอยู่ จ้าวจิ้นเหลียนยังนึกว่าจ่างซุนซิ่นอยู่ในรถเสียอีก จึงเดินตรงไปข้างหน้ายิ้มพลางพูดว่า “ข้าเพิ่งได้ยินข่าวดีเรื่องนี้ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีนัก ท่านรองเสนาบดีจ่างซุน คราวนี้คงได้สร้างผลงานครั้งยิ่งใหญ่แล้วล่ะ”
ม่านรถม้าถูกเลิกขึ้น คนที่ออกมาคือจ่างซุนเสินหรง
จ้าวจิ้นเหลียนผิดคาดอยู่บ้าง แต่กลับยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ที่แท้ก็เป็นคุณหนูนี่เอง”
จ่างซุนเสินหรงมองจื่อรุ่ยแวบหนึ่ง “พี่ชายของข้ากำลังยุ่งอยู่กับการเขียนรายงานส่งไปยังเมืองหลวง ข้าได้รับการไหว้วานจากเขาให้มาที่นี่ อยากจะขอให้ท่านผู้ว่าการช่วยสักเรื่องหนึ่ง”
จื่อรุ่ยก้าวขึ้นมาข้างหน้า โค้งกายก้มศีรษะ สองมือประคองส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้
เขาวั่งจี้สูงใหญ่ลึกนับพันจั้ง แร่แม้จะหาพบแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจากนี้ไปจะสามารถเปิดทำเหมืองได้ จำเป็นจะต้องตระเตรียมการอีกมากมายหลายด้าน ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือกำลังคน อาศัยเพียงองครักษ์ที่สกุลจ่างซุนนำมายังไม่เพียงพอเป็นอย่างมาก เนื้อความที่จ่างซุนซิ่นเขียนในจดหมายฉบับนี้ก็คือให้จ้าวจิ้นเหลียนขอยืมกำลังคนของโยวโจว
จ้าวจิ้นเหลียนอ่านจบแล้วก็พูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องยาก รอให้ข้าออกคำสั่งเกณฑ์ชาวบ้านในหัวเมืองก่อน ไม่กี่วันก็สามารถเข้าไปในภูเขาได้ทันที”
จ่างซุนเสินหรงส่ายหน้า “แร่นี้ไม่เหมือนทั่วๆ ไป ใช้ชาวบ้านไม่ได้ ดีที่สุดคือต้องเป็นพวกคนที่ไม่มีทางหลุดข่าวลือออกไปได้”
ที่จริงจ้าวจิ้นเหลียนยังไม่รู้เลยว่าที่พวกเขาหาพบคือแร่อะไร โดยทั่วไปพอพูดถึงแร่ที่มาจากภูเขา หากไม่ใช่ทองแดงก็คือเหล็ก ต่อให้ล้ำค่าก็ไม่ถึงขนาดต้องเข้มงวดเรื่องข่าวลือ เขาอดสงสัยไม่ได้ “เช่นนั้นความหมายของท่านทั้งสองคือ…”
“ข้าอยากจะไปที่คุกใหญ่ของโยวโจวสักเที่ยวหนึ่ง”
จ้าวจิ้นเหลียนเข้าใจความหมายของนางแล้ว “คุณหนูจะบอกว่าต้องการใช้นักโทษหรือ”
จ่างซุนเสินหรงพยักหน้า “ใช้นักโทษทำเหมืองในขั้นตอนที่ยากที่สุด ข่าวลือจะแพร่ออกไปไม่ได้ง่ายๆ เบื้องหลังจะมีกรมโยธาจัดการวางแผนให้ หลังจากนั้นการหลอมแร่ การขนส่ง ทุกอย่างก็จะสามารถทำได้อย่างราบรื่นมากขึ้น นี่ถึงจะเป็นการดีที่สุด”
จ้าวจิ้นเหลียนได้ยินการพูดถึงเหมืองเป็นครั้งแรกจึงยังคงแยกแยะขั้นตอนอยู่ และอดมองนางมากขึ้นไม่ได้
จ่างซุนเสินหรงไม่เข้าไปในจวนว่าการ เพียงคล้องผ้าป่านผืนบางเอาไว้ที่แขนและยืนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่เช่นนี้เอง ท่าทางสูงศักดิ์ นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับ แต่พอเป็นเรื่องภูเขาเรื่องแร่เหล่านี้พานเหมือนทำกิจวัตรประจำวัน ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก
เขาคิดแล้วคิดอีก “นี่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่ว่าคุกใหญ่ของโยวโจวอยู่ในการดูแลของผู้บัญชาการซาน คุณหนูไยไม่ไปหาเขาเล่า”
จ่างซุนเสินหรงเบะปากเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่ออก บุรุษผู้นั้นไม่ใช่จะรับมือได้โดยง่าย ไปพูดกับเขาจะง่ายดายเหมือนกับจ้าวจิ้นเหลียนที่เป็นคนใจดีปฏิเสธใครแทบไม่เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน เกรงว่าซานจงคงจะทำให้นางโมโหเสียมากกว่า อีกอย่างนางยังโกรธเขาไม่หายด้วย
นางยิ้มจางๆ “ข้าอยากจะไปเลือกคนด้วยตนเอง งานสำคัญเช่นนี้ไม่อาจเลือกนักโทษส่งเดชมาทำได้”
จ้าวจิ้นเหลียนเพิ่งจะได้เห็นรอยยิ้มของนาง รู้สึกแต่เพียงเกิดความสว่างไสวไปรอบด้าน เขาพลันยิ้มตามขึ้นมา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะพาคุณหนูไปเองสักเที่ยวหนึ่ง จะได้ไม่ทำให้ท่านรองเสนาบดีกังวลใจ” พูดจบก็สั่งให้คนไปเตรียมการ แต่ยังแอบพร่ำเตือนว่าจะต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ซานจงทราบ เพราะถึงอย่างไรนั่นก็เป็นขอบเขตพื้นที่ของเขา
ภายในเรือนใหญ่ของจวนบัญชาการทหาร ในมือหูสืออีตอนนี้ยังคงถือหินก้อนเล็กก้อนนั้นอยู่
เขาพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไรนี่ พวกเราค้นพบแร่แล้วจริงๆ หรือ”
จางเวยเข้ามาใกล้แล้วดึงๆ ตรงส่วนปลายนั่นนิดหน่อย ก่อนเอาข้อศอกกระทุ้งๆ เขา “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าเจ้าก้อนเหลืองๆ สกปรกนี่เหมือนกับทองคำเชียวล่ะ”
เหลยต้าที่ในปากยังยัดแผ่นแป้งอยู่ครึ่งแผ่นก็ยื่นหน้าเข้ามาดู
จู่ๆ ตรงเบื้องหน้าก็มีฝักดาบฝักหนึ่งลอยเข้ามา หูสืออีตาไวมือไวโยนหินก้อนนั้นทิ้งแล้วรับฝักดาบเอาไว้ได้ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นซานจงเดินเข้ามาแล้ว
เขาออกมาขว้างฝักดาบขัดขวางสามคนนั้นได้พอดี ก่อนรัดเกราะช่วงเอวพลางพูดไปด้วย “ทำงานของตนเองให้ดี เรื่องที่ภูเขาหากเบื้องบนไม่มีข่าวคราวอะไรพวกเจ้าก็จงทำเป็นไม่รู้เรื่องเสีย พูดไร้สาระมากมายปานนั้น เรื่องฝึกทหารเป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว”
เหลยต้าแวบหายไปเป็นคนแรก
หูสืออีก็หุบปากฉับ สองมือยื่นฝักดาบส่งคืนกลับไปหาผู้เป็นนาย
ประจวบเหมาะมีพลทหารก้าวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็วส่งข่าวของจ้าวจิ้นเหลียน
ซานจงเอียงศีรษะฟังจนจบ เขารับฝักดาบมาสอดดาบเข้าไป ไม่พูดอะไรก็เดินไปแล้ว
เนื่องจากโยวโจวตั้งอยู่ที่ชายแดนทางตอนเหนือ คุกใหญ่จึงมีนักโทษที่ไม่เหมือนกับคุกปกติ กำแพงสูงภายในคุกใช้หินก้อนใหญ่ก่อขึ้นไป สูงเทียบเท่ากับเจดีย์สองชั้น ภายในคุกยังแบ่งออกเป็นพื้นที่ใหญ่ๆ หลายพื้นที่ มีทั้งนักโทษอุกฉกรรจ์ นักโทษที่ถูกเนรเทศ ไปจนถึงศัตรูนอกด่านต่างถูกแยกขังอยู่ในนั้น ตลอดทางที่เดินมาผู้ที่เฝ้ารักษาการณ์อย่างเข้มงวดกวดขันทุกที่ก็คือทหาร
สถานที่เช่นนี้จู่ๆ ก็มีสตรีเพิ่มเข้ามา ย่อมดึงดูดให้ผู้คนจับจ้องแน่นอน พวกผู้คุมนักโทษเดินนำทางอยู่ข้างหน้า มักจะเหลือบมองไปทางด้านหลังตลอดอย่างอดไม่อยู่
กระโปรงหรูฉวินของจ่างซุนเสินหรงเบาสบาย ก่อนเข้ามาในคุกนางได้สวมเสื้อคลุมกันลมทับไว้เป็นพิเศษและดึงหมวกขึ้นคลุมศีรษะ ทิ้งจื่อรุ่ยเอาไว้ที่ด้านนอกแล้วเดินตามจ้าวจิ้นเหลียน เดินไปพลางดูไปพลาง
นางเองก็เพิ่งเคยมาสถานที่เช่นนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่เนื่องจากครั้งนี้ที่ค้นพบคือเหมืองทอง ภาระรับผิดชอบใหญ่หลวงยิ่ง ก่อนหน้านี้ไม่เคยพบของจริงมาก่อนในชีวิต จึงจำเป็นต้องป้องกันข่าวรั่วไหล เพราะไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็ตั้งอยู่แถบชายแดน
แม้จวนบัญชาการทหารจะตื่นตัวระแวดระวังมากกว่าพวกชาวบ้าน แต่ตัวทหารก็แบกภาระรับผิดชอบอันหนักหนาสาหัสแล้ว ไม่เหมาะที่จะดึงมาทำหน้าที่คนงานใช้แรงงาน และก็คาดว่าบุรุษผู้นั้นคงจะไม่ตกปากรับคำด้วยแน่นอน อันที่จริงการตัดสินใจใช้นักโทษคือความคิดที่จ่างซุนเสินหรงเสนอต่อจ่างซุนซิ่น
จ้าวจิ้นเหลียนที่เดินอยู่ข้างหน้ากังวลว่านางจะกลัว จึงพูดอย่างมีน้ำใจ “อันที่จริงคุณหนูพูดแค่คำเดียว ข้าไปจัดการพร้อมกับผู้บัญชาการซานก็ได้ ไยคุณหนูต้องเข้ามาในสถานที่เคราะห์ร้ายนี้ด้วยตนเอง”
จ่างซุนเสินหรงพูดไปโดยไม่ต้องคิด “ท่านผู้ว่าการจ้าวสามารถมาด้วยตนเองได้ แล้วข้ายังจะบอกว่าที่นี่เคราะห์ร้ายได้อย่างไรกัน” นางมาเลือกคนด้วยตนเองแน่นอนว่ายังคงเป็นเพราะแร่ แม้แต่บรรดาองครักษ์สกุลจ่างซุนที่ติดตามมาโยวโจวในครั้งนี้ก็ล้วนแต่เป็นนางคัดเลือกมาเองกับมือทั้งสิ้น
เมื่อกล่าวจบนางก็เข้าไปในพื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง นักโทษในห้องขังทั้งหมดนี้ล้วนถูกเนรเทศมา ต่างก้มหน้าคุกเข่าอยู่ตรงนั้น
จ่างซุนเสินหรงดึงหมวกให้คลุมต่ำลงมาอีก บังปากและจมูกเอาไว้ ไล่สายตากวาดผ่านนักโทษกลุ่มนั้นแล้วส่ายหน้า
ส่วนใหญ่พวกเขาเป็นคนที่อายุมากแล้ว ทั้งผอมและอ่อนแอ น่ากลัวว่าพอเข้าไปในภูเขาได้ไม่กี่วันก็คงจะตายเสียก่อน จะเอาไปใช้งานได้เสียที่ใดกัน
จ้าวจิ้นเหลียนเห็นเช่นนี้ก็โบกมือไปทางผู้คุม “ถ้าอย่างนั้นช่างมันก่อนเถิด คุณหนูมาแทนพี่ชายก็หายากมากแล้ว หลังจากนี้ข้าจะสั่งให้คนคัดเลือกสักรอบก่อน แล้วค่อยส่งไปให้พี่ชายท่านตัดสินใจก็ได้”
จ่างซุนเสินหรงไม่กล่าวอะไร เพียงมองดูพวกผู้คุมคุมตัวนักโทษกลุ่มนั้นกลับไป พอดูอีกรอบก็ยังคงผิดหวัง
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าในนักโทษกลุ่มนั้นมีคนคนหนึ่งมองนางอยู่ พอนางมองไปก็พบว่าเขาเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างผอมแห้งไร้เรี่ยวแรง สวมชุดนักโทษ สองแก้มล้วนตอบยุบลงไป
นักโทษทั้งหมดล้วนไม่กล้าเงยหน้า มีเขาคนเดียวที่กล้าจ้องนาง
จ่างซุนเสินหรงอดมองพิจารณาเขาขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากพิจารณาดูคราวนี้ ฝ่ายตรงข้ามกลับโผเข้ามาหา “เจ้าคือ…เจ้าคือบุตรสาวของสกุลจ่างซุน?!”
จ่างซุนเสินหรงเห็นเขาจำนางได้หัวคิ้วก็กระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็จำเขาขึ้นมาได้เช่นกัน
หลายวันก่อนตอนที่บิดาของนางเขียนจดหมายมาบอกว่าราชเลขาธิการพ้นจากตำแหน่ง ถูกฮ่องเต้องค์ใหม่ตัดสินลงโทษเนรเทศพันหลี่โดยไม่ไว้ไมตรี คิดไม่ถึงว่าถูกเนรเทศมาที่โยวโจวนี้เอง คนที่อยู่ตรงหน้านี้จะไม่ใช่ท่านราชเลขาธิการได้อย่างไร
ราชเลขาธิการหลิ่วเฮ่อทง เป็นหนึ่งในคนที่ได้รับความโปรดปรานไว้วางใจในรัชสมัยของฮ่องเต้องค์ก่อน จ่างซุนเสินหรงจำเขาได้แล้ว
จ้าวจิ้นเหลียนจู่ๆ ก็เห็นมีคนต่อต้านขัดขืน จึงออกคำสั่งทันที “จับเอาไว้!”
หลิ่วเฮ่อทงถูกผู้คุมสองคนกดให้คุกเข่าลงกับพื้น ก็ยังคงพยายามขยับตัวมาทางจ่างซุนเสินหรงให้ได้ โซ่ตรวนที่มือเคาะพื้นเสียงดังเคร้งคร้าง “หลานสาว! ข้าคือราชเลขาธิการหลิ่วเฮ่อทงนะ! เจ้าช่วยข้าที คืนนั้นตอนที่ข้าถูกคุมตัวมาเห็นคุณชายใหญ่สกุลซานแล้ว! เจ้ารีบช่วยข้าผ่อนผันกับเขาหน่อย ข้าจะถวายฎีกา! ข้าจะรื้อฟื้นคดี!”
เขาอ้าปากก็เรียก ‘หลานสาว’ ทำเอาจ้าวจิ้นเหลียนนิ่งอึ้งไปแล้ว
จ่างซุนเสินหรงเม้มปาก วันนั้นในจวนว่าการซานจงพูดถึงนักโทษจากเมืองหลวงที่ถูกคุมตัวมาถึงในคืนนั้น…ที่แท้ก็คือเขา
หลิ่วเฮ่อทงตอนที่เป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักรู้จักผู้ทรงอำนาจมามากมายก็ไม่แปลก ทว่านางแม้แต่วาจาก็ไม่เคยพูดกับเขามาก่อน ยามนี้ถึงกับกลายเป็นญาติของเขาไปเสียได้ มิหนำซ้ำยังเรียกให้นางไปขอผ่อนผันโทษกับซานจงอีก ช่างเป็นการไขว่คว้าทุกอย่างในยามวิกฤตจริงๆ
“ข้าจะผ่อนผันให้ท่านได้อย่างไร” คิ้วนางขมวดแน่น
หลิ่วเฮ่อทงรีบพูด “ผ่อนผันได้แน่นอน เจ้าเป็นฮูหยินของเขานี่!”
จ่างซุนเสินหรงสีหน้าแข็งทื่อ สะบัดแขนเสื้อจากไป ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว “เจ้าน่ะสิถึงเป็นฮูหยินของเขา!”
จ้าวจิ้นเหลียนที่ถูกทิ้งไว้เพียงผู้เดียวมองดูหลิ่วเฮ่อทงด้วยสีหน้าตกตะลึง สงสัยว่าตนเองฟังผิดไปใช่หรือไม่
หลิ่วเฮ่อทงได้สติกลับมา ทุบกำปั้นลงกับพื้นอย่างเดือดดาล “ใช่แล้ว ข้าถึงกับลืมไปว่าพวกเจ้าแยกทางกันแล้ว!”
จ่างซุนเสินหรงเดินผ่านห้องขังแถบนี้ไปแล้ว ถึงได้รู้สึกตัวว่าจ้าวจิ้นเหลียนไม่ได้ตามมาด้วย นางมองตรงไปข้างหน้าพบว่าข้างในยังมีพื้นที่อีกมากมาย จึงเรียกผู้คุมที่อยู่ข้างๆ ให้นำทาง คิดจะไปดูสักหน่อย
ยิ่งนางเดินลึกเข้าไปเท่าไรก็ยิ่งมืดครึ้มลงทุกที ผู้คุมหยุดเดิน “ท่านผู้สูงศักดิ์โปรดระวัง ที่นี่คือคุกใต้ดินแล้ว ผู้บัญชาการซานมีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้”
จ่างซุนเสินหรงเดินตรงไปข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว เห็นประตูบานใหญ่สีดำสนิทบานหนึ่งปิดอย่างสนิทมิดชิด มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น นางเตรียมตัวจะหันกลับไปด้านในนั้นก็มีเสียงดังปังสนั่นหวั่นไหวขึ้นทันที ดังลั่นมาถึงหน้าประตู
ทันทีที่มีเสียงดังสนั่นนี้ขึ้นประตูก็ถูกเคาะจนเกิดเสียงดัง นางถอยไปก้าวหนึ่ง จู่ๆ ก็มีแขนข้างหนึ่งยื่นเข้ามา ฟาดอย่างหนักหน่วงไปบนพื้นที่ข้างๆ ตัวนางเพื่อต้านประตูเอาไว้
จ่างซุนเสินหรงหันกลับไปก็ปะทะเข้ากับบ่ากว้างของบุรุษ เงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้าของซานจง นางค่อนข้างจะประหลาดใจ “นั่นเสียงอะไร”
ซานจงหลุบตามองนาง “ที่ขังอยู่ในคุกใต้ดินย่อมต้องเป็นพวกที่เลวร้ายที่สุดแน่นอน สำแดงความน่ากลัว ต่อสู้กันอย่างอำมหิต ล้วนมีทั้งสิ้น มีเสียงบ้างจะนับเป็นอะไรได้ เจ้าอยู่ให้ห่างที่นี่หน่อยเถอะ”
จ่างซุนเสินหรงได้สติกลับมา ตอนนี้เองถึงได้รู้ว่านางอยู่ใกล้กับเขามาก มือของเขายันอยู่ข้างตัวนาง เหมือนกับกักตัวนางเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น หันหน้าไปแค่นิดเดียวก็จะชนเข้ากับคางของเขาแล้ว ริมฝีปากของเขาหยักโค้งขึ้นเล็กน้อย
เพิ่งจะฟังหลิ่วเฮ่อทงพูดจาเหลวไหลเรื่องนั้นจบ ตอนนี้ซานจงก็อยู่ตรงหน้านางนี้เอง นางจ้องคอเสื้อที่ตลบขึ้นมาของเขา บนนั้นมีลวดลายเล็กละเอียดซ่อนอยู่ สายตานางขยับเล็กน้อย “ท่านมาถึงตั้งแต่เมื่อไร”
ซานจงยันประตูไว้จนมั่นคงแล้วถึงค่อยปล่อยมือ “ข้าสิอยากจะถามเจ้า เข้าไปภูเขาก็แล้วไปเถอะ แต่ตอนนี้ถึงกับสามารถเข้ามาในคุกได้แล้ว? เจ้าใจกล้ามากถึงเพียงนี้มาตลอดเลยหรือ”
จ่างซุนเสินหรงขบริมฝีปากเล็กน้อย จับจ้องคางของเขา “นี่จะนับเป็นอะไรได้ ข้ายังมีตอนที่ใจกล้ามากกว่านี้อีก ท่านอยากจะดูสักหน่อยหรือไม่เล่า”
ซานจงประจันสายตากับนาง โน้มร่างเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น แล้วสูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ บนร่างนาง พูดเสียงค่อนข้างเบา “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สงบเสงี่ยมลงหน่อย”
จ่างซุนเสินหรงคิดในใจว่า ข้าจะต้องไม่สงบเสงี่ยมอย่างเด็ดขาด
ไกลออกไป เงาร่างของจ้าวจิ้นเหลียนเดินเข้ามาแล้ว
จ่างซุนเสินหรงยกมือขึ้นลูบจอนผม ก่อนจะเดินออกไปก็หันไปเลิกคิ้วเล็กน้อยใส่เขาพลางยิ้ม “ท่านเองก็รู้ว่าข้าเพิ่งจะทำงานใหญ่อะไรสำเร็จมา ต่อไปคงต้องเกรงใจข้าสักหน่อย”
ร่างในอาภรณ์หอมกรุ่นเคลื่อนขยับ ซานจงหลีกทางปล่อยนางผ่านไป นัยน์ตายังคงจ้องอยู่ที่ร่างของนาง จากนั้นในใจก็พลันคิดขึ้นมา นางพูดว่านั่นคืองานใหญ่ที่นางทำสำเร็จ?
เขามองไปที่เงาหลังของจ่างซุนเสินหรงอีกครั้ง ส่งสัญญาณให้ผู้คุมเฝ้าคนให้ดีแล้วก็ออกไป
อีกทางด้านหนึ่งจ้าวจิ้นเหลียนเดินไปส่งจ่างซุนเสินหรงอย่างเกรงอกเกรงใจหลายก้าว หันกลับมาก็ยกมือตั้งขึ้นมาเล็กน้อย ส่งสัญญาณให้ซานจง “ท่านรอเดี๋ยว” เขาไล่คนรอบข้างออกไป พูดเสียงเบา “เดิมข้านึกว่าท่านกับรองเสนาบดีจ่างซุนเคยมีเรื่องขัดแย้งกัน วันนี้ถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ มิน่า ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าสกุลซานกับสกุลจ่างซุนมีบางอย่างเกี่ยวข้องกันอยู่…”
จ้าวจิ้นเหลียนไม่เหมือนกับพวกหูสืออี คนพวกนั้นหลังจากที่ซานจงออกจากสกุลซานแล้วถึงค่อยติดตามอยู่ข้างกายเขา จึงไม่ค่อยรู้ความเป็นมาเป็นไปของเขากระจ่างแจ้งนัก
ยามนี้จ้าวจิ้นเหลียนอยากรู้เรื่องให้มากขึ้นสักหน่อย ตนจำได้ว่าซานจงรับหน้าที่ผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองส่วนท้องถิ่นนี้เมื่อสามปีก่อนพอดี ตอนนั้นซานจงกับภรรยาคนงามที่เพิ่งจะแต่งงานกันก็หย่าร้างกันไปแล้ว ซ้ำยังออกจากตระกูลอันยิ่งใหญ่ที่ลั่วหยางอีก
เวลานั้นเขาไม่เคยได้ตรวจสอบอย่างละเอียด เพียงเพราะว่าเป็นเรื่องในตระกูลของซานจง ตอนนี้ถูกหลิ่วเฮ่อทงนั่นก่อกวนไปรอบหนึ่ง ถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนั้นตระกูลฝ่ายภรรยาของเขาดูเหมือนว่าจะเป็นสกุลจ่างซุนนั่นเอง ทว่าตอนนั้นที่อยู่ในจวนว่าการเขาก็ยังไปหยอกเย้าสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้ว่ายังไม่ได้แต่งงานอยู่เลย
ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุก จ้าวจิ้นเหลียนลูบเคราสั้นๆ ของตนพลางเอ่ยถามเสียงจืดเจื่อน “ข้าจำผิดไปใช่หรือไม่ จ้าวกั๋วกง…มีบุตรสาวกี่คนนะ”
ซานจงก็ไม่ปิดบังจ้าวจิ้นเหลียนแล้ว เขาเดินขึ้นมา ครั้นเบือนหน้าไปก็ยังสามารถมองเห็นเงาร่างอรชรที่ตั้งตรงของสตรีนางนั้นได้ “ไม่ต้องถามแล้ว นางก็คืออดีตภรรยาของข้า”
เชิงอรรถ
* เหอซั่ว พื้นที่ทางตอนเหนือของแม่น้ำหวงเหอ รวมถึงบางส่วนของซานซี เหอเป่ย และซานตง
* กระโปรงหรูฉวิน เป็นชุดแต่งกายชาวฮั่นนิยมในหมู่สตรีในสมัยราชวงศ์ซ่ง ท่อนบนเป็นเสื้อตัวสั้น ท่อนล่างเป็นกระโปรงสอบ มีสายผูกรอบลำตัวขับเน้นช่วงใต้อกหรือเอวให้เด่นชัด
* ต้นเซี่ย หรือต้นแซ่ เป็นพืชชนิดหนึ่งมีหัวเป็นกลีบซ้อนๆ อยู่ใต้ดิน ใบยาว ดอกสีม่วง ช่อดอกเป็นรูปกลม หัวที่ใต้ดินใช้กินได้
** หินเฟินจื่อ ในตำราสมัยโบราณของจีนระบุว่าเมื่อขุดลงไปในดินลึกจนถึงหินเฟินจื่อ จะมีด้านหนึ่งเป็นสีดำไหม้ ใต้หินเฟินจื่อลงไปจะพบทองคำ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กันยายน 65)
Comments
comments
No tags for this post.