X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 3

ผู้ดูแลหลี่มองถ่านที่มีประกายไฟเปรี๊ยะป๊ะนั้นในอาการปากอ้าลิ้นพัน ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกว่าแม่นางสี่ผู้เกกมะเหรกหยาบคายนี้ดูคุ้นตาขึ้นมาแล้ว เมื่อก่อนท่าทางยามอาละวาดตบตีด่าทอบ่าวระดับล่างก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ เพียงแต่อีกฝ่ายไม่เคยกล้าปฏิบัติกับตนเยี่ยงนี้มาก่อน หรือว่าป่วยหนักไปหนึ่งหนกลับทำให้ขวัญกล้าขึ้น?

อวี๋ไฉ่หลิงมองผู้ดูแลหลี่ชั่วครู่ก็แค่นหัวเราะก่อนวางเตาอุ่นมือลง วกข้อมือเสียบปิ่นกลับคืน เอ่ยเสียงเย็นชา “หากเจ้ากล้าพูดวาจาไร้มารยาทกับข้าอีกประโยคเดียว ข้าจะกระโดดลงจากรถ ไม่ว่าเป็นหรือตายก็จะไม่ตามเจ้ากลับไปเด็ดขาด” ถ้าเธอไม่มีความร้ายกาจอยู่บ้าง เด็กน้อยที่ไร้บิดามารดา ใช้ชีวิตอยู่กับคุณย่าที่เป็นม่าย ต่อให้มีลุงใหญ่ก็ต้องถูกคนในตำบลรังแกตายแน่

“ทะ…ท่าน!” ผู้ดูแลหลี่ตะลึงงันอยู่เป็นนาน เดิมทีคนเป็นบ่าวถูกเจ้านายต่อว่านับเป็นเรื่องปกติ ทว่าแม่นางสี่ผู้นี้ประจบเอาใจตนเสมอมานี่นา

ขณะคิดจะต่อปากต่อคำกลับ ผู้ดูแลหลี่พลันฉุกคิดถึงสถานการณ์ตรงหน้า จึงหุบปากลงอย่างช่วยไม่ได้

ความจริงเมื่อครู่ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า ‘ป่วยหนักจนแทบเอาชีวิตไม่รอด’ ผู้ดูแลหลี่ก็ร้อนตัวแล้ว เดิมเรื่องนี้เป็นความบกพร่องของตน เมื่อแรกฮูหยินนายตนมิได้สั่งให้เอาชีวิตน้อยๆ ของแม่นางสี่แต่อย่างใด ฮูหยินเพียงตั้งใจจะใช้เวลาไม่กี่เดือนเคี่ยวกรำเด็กนี่ช้าๆ ให้ได้รับความลำบากสาหัสสักครั้งก่อน ค่อยใช้เวลาหลายเดือนปลอบประโลมทีละนิดอย่างเอาใจใส่ อีกฝ่ายจะได้อยู่ในโอวาทของฮูหยินโดยสมบูรณ์ก่อนที่บิดามารดาบังเกิดเกล้าจะกลับมา ผู้ใดจะรู้ว่าบิดามารดาบังเกิดเกล้าของแม่นางสี่เจ้าเล่ห์เพียงนี้ ในจดหมายบอกว่ายังอีกหลายเดือนจึงจะกลับมาได้ แต่เมื่อวานกลับให้คนนำคำพูดมาแจ้งว่าจะมาถึงในไม่กี่วันนี้แล้ว ทำให้พวกตนนายบ่าวพลันตั้งตัวไม่ติด ทีนี้จะทำเช่นไรกันดี ผู้ดูแลหลี่ถึงกับทึ่มทื่อจนตาค้าง

ยามนี้เห็นใบหน้าอันกร้าวแกร่งของอวี๋ไฉ่หลิง ผู้ดูแลหลี่จึงได้แต่กลั้นโทสะไว้ คิดในใจว่า รอกลับไปแล้วข้าค่อยให้ฮูหยินจัดการเจ้า

อวี๋ไฉ่หลิงไม่ไปแยแสอีกฝ่าย หาหมอนอิงใบหนึ่งมาพิงแล้วแสร้งหลับ ในใจนึกถึงเรื่องเล่าที่ได้ฟังในหมู่บ้านวันก่อน…เล่ากันว่าราชวงศ์ก่อนมีคหบดีผู้หนึ่งถูกศัตรูที่มีอิทธิพลทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต ด้วยรู้ว่าคหบดีไม่มีบุตรชายรวมถึงหลานที่เกิดจากพี่น้อง บุตรสาวก็ออกเรือนให้กำเนิดบุตรแล้ว ศัตรูจึงอดไม่ได้ที่จะลอบยินดี ไม่คาดคิดว่าบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วนี้กลับสะพายดาบมาล้างแค้น สุดท้ายฟันศัตรูตายที่จุดพักม้าในเมืองแห่งหนึ่ง หลังเกิดเหตุนางไปสารภาพผิดขอรับโทษต่อขุนนางในท้องที่นั้น ปรากฏว่าทั้งเจ้าเมืองทั้งผู้ว่าการมณฑลพร้อมใจกันส่งรายงานถึงราชสำนักเพื่อชี้แจงการกระทำอันหาญกล้าเปี่ยมคุณธรรมของสตรีนางนี้ ทำให้นางมิเพียงได้รับการอภัยโทษปล่อยตัว ยังมีการตั้งแผ่นศิลาสลักคำสดุดีให้ใต้หล้ารับรู้อีกด้วย

นี่แตกต่างจากภาพจำที่อวี๋ไฉ่หลิงมีต่อยุคโบราณอย่างมาก

ในภาพจำของเธอ จารีตข้อบังคับที่ผูกมัดสตรีในสังคมศักดินานั้นเรียกได้ว่าขอแค่หนึ่งช้อนจะให้มาหนึ่งอ่าง ขอแค่หนึ่งกระด้งจะให้มาหนึ่งกระบุง หลักใหญ่ครอบคลุมถึงจรรยามารยาท หลักย่อยครอบคลุมกระทั่งเดินหนึ่งก้าวต้องย่างเท้ากี่เซนติเมตร พูดหนึ่งประโยคสามารถเงยหน้าขึ้นได้กี่นิ้ว เหล่านี้ล้วนแต่มีข้อกำหนดอันแน่ชัดเคร่งครัดราวมาตราชั่งตวงวัดสากล สตรีทั้งหลายถูกควบคุมจนสูญสิ้นกลิ่นอายของชีวิต ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ท่อนไม้เลย

ทว่าอยู่ที่นี่ดูเหมือนความคิดจิตใจของผู้คนล้วนมีชีวิตชีวาเป็นธรรมชาติถึงเพียงนั้น ให้ความรู้สึกว่านี่ทำได้นั่นก็ทำได้ ไม่มีสิ่งใดไม่อาจกระทำภายใต้ผืนฟ้าอันกว้างใหญ่นี้ แน่นอนว่าสตรีสุภาพเรียบร้อยเป็นที่ชื่นชมของผู้คนทั้งหลาย ทว่าสตรีที่กร้าวแกร่งหาญกล้าก็เป็นที่กล่าวขวัญยกย่องไม่ต่างกัน

อย่างเช่นสกุลชิวนั้น แม้แม่นางใหญ่จะแต่งงานหนแล้วหนเล่า แต่ด้วยนางมีอุปนิสัยใจเด็ดเฉียบขาด ไม่ว่าเป็นช่วงที่พี่ชายสองคนทำศึกอยู่ข้างนอก หรือเป็นช่วงหลังจากที่พวกเขาพิการกลับมา ทุกคราที่บิดามารดาหรือพี่สะใภ้กับหลานๆ ถูกข่มเหงรังแก ล้วนแต่เป็นนางที่นำคนไปปะทะคารมต่อสู้ช่วงชิง ไม่แปลกเลยที่ผู้เฒ่าชิวสองสามีภรรยาจะรักบุตรสาวคนนี้เป็นพิเศษ พวกเด็กๆ สกุลชิวต่างก็ระลึกถึงอาหญิงเล็กผู้เก่งกาจนี้อยู่เสมอ ส่วนเหล่าชาวบ้านนอกจากพูดคำสัปดนหยอกเย้าในพิธีแต่งงาน ก็ไม่เคยมีวาจาถากถางเช่นม้าดีไม่วางสองอาน* มาให้ได้ยิน

สรุปคือสตรีที่สุภาพอ่อนโยนแน่นอนว่าออกเรือนได้ง่าย แต่สตรีที่เผ็ดร้อนห้าวหาญก็ไม่ได้ถูกประณามหยามเหยียดเท่าในยุคต่อๆ มา

 

* ม้าดีไม่วางสองอาน ใช้เปรียบเปรยว่าม้าที่ภักดีจะไม่รับใช้สองนาย สตรีที่ดีจะไม่ปรนนิบัติสองสามี

ราวกับเพื่อยืนยันว่าอาการป่วยหนักของอวี๋ไฉ่หลิงก่อนหน้านี้มิใช่เรื่องเท็จ รถม้าแล่นไปถึงกลางทางเธอก็มีไข้ต่ำๆ ขึ้นมาอีก ซ้ำตัวรถที่โคลงเคลงยังทำให้อาหารกลางวันที่เพิ่งจะกินลงไปไม่นานถูกอาเจียนออกมาจนหมด สุดท้ายกระทั่งน้ำดีรสขมยังอาเจียนออกมาแล้ว ในใจผู้ดูแลหลี่หวั่นหวาด จึงยิ่งเร่งให้ผู้บังคับรถกระตุ้นม้า รอจนถึงจวนอย่างไม่ง่ายดาย ไข้ต่ำของอวี๋ไฉ่หลิงก็กลายเป็นไข้สูง ศีรษะปวดแทบจะระเบิด สติรางเลือนจนเห็นไม่ชัดสักนิดว่าจวนนี้มีลักษณะเช่นไร รู้สึกเพียงว่ารถม้าแล่นเข้าสู่ด้านในไปตลอดทาง

ผู้ดูแลหลี่ร้อนใจอยากจะสลัดภาระชิ้นนี้ พอเห็นประตูลานจึงกระโดดลงไปเองโดยไม่มัววางท่ารอให้หญิงรับใช้อาวุโสมาพยุง จากนั้นกึ่งประคองกึ่งลากอวี๋ไฉ่หลิงลงจากรถ แล้วพามุ่งไปทางเรือนใหญ่อย่างเร่งร้อน ยังดีรูปร่างของเด็กสาวยังไม่เจริญวัยเต็มที่ ต่อให้แบกขึ้นหลังเดินไปก็ไม่เปลืองแรงนัก

อวี๋ไฉ่หลิงไข้ขึ้นจนพวงแก้มร้อนแดง ในใจกลับเยาะหยันอย่างเย็นชา ตอนอยู่ในหมู่บ้านชนบท ทุกครั้งที่จะออกไปข้างนอก อาจู้เป็นต้องรอจนตะวันขึ้นสายโด่ง ให้ไอหนาวยามเช้าสลายสิ้นจึงจะยอมพยักหน้า ตอนจะออกจากประตูยิ่งต้องห่อร่างคุณหนูจนมิดชิดค่อยยอมเลิกรา แต่คนพวกนี้เพียงคิดจะรีบจบภารกิจ ถึงกับฉุดดึงเด็กสาวที่กำลังป่วยและสวมชุดชวีจวีเพียงชั้นเดียวออกจากตัวรถอันอบอุ่นมาทั้งอย่างนี้ ต่อให้บอกว่าอาสะใภ้ที่ว่านั่นรักถนอมเจ้าของร่างนี้มากเพียงใด เธอก็ไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด รอไว้วันหน้ามีโอกาสต้องให้คนเลวเหล่านี้กินกำปั้นกันคนละยกระบายแค้นจึงจะถูก!

ไม่ง่ายเลยกว่าอวี๋ไฉ่หลิงจะถูกแบกกึ่งลากมาจนถึงหน้าประตูเรือนใหญ่ อวี๋ไฉ่หลิงเห็นสตรีแต่งกายหรูหราสิบกว่าคนยืนอยู่บนขั้นบันได ทว่าสายตาของเธอพร่าเลือนมองเห็นไม่ค่อยชัดแจ้ง คาดว่าสตรีซึ่งทาหน้าขาววอกในชุดต่วนแพรสีม่วงคลุมเสื้อขนสัตว์ที่ถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลางผู้นั้นก็คืออาสะใภ้คนดีของเธอ เห็นอาสะใภ้คนดีนี้แล้วเธอก็อยากจะหัวเราะออกมา หากผู้ดูแลหลี่ผอมเหมือนตะเกียบหนึ่งข้าง อาสะใภ้คนดีนี้ก็คือตะเกียบอีกข้างหนึ่ง นายบ่าวสองคนยืนด้วยกันสามารถคีบกับข้าวได้พอดี

เก่อซื่อ** เห็นสภาพของอวี๋ไฉ่หลิงก็รีบเอ่ยถาม “หลี่จุย เกิดอันใดขึ้น”

ผู้ดูแลหลี่ตอบอย่างร้อนรน “ฮูหยินเจ้าคะ ครานี้ยุ่งยากแล้ว แม่นางสี่ป่วยมิใช่เบา ตลอดทางนี้ข้าน้อยทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งร้อนใจ กลัวแต่ว่าจะทำให้เรื่องที่ท่านกำชับไว้เสียการ!”

เก่อซื่อมองอวี๋ไฉ่หลิงที่พักนี้ได้อาจู้บำรุงจนขาวอิ่มเอิบสีหน้าเปล่งปลั่ง จากนั้นยังคงวางท่าพูดเนิบนาบอย่างไม่เชื่อ “คงไม่ใช่เสแสร้งกระมัง เด็กน้อยมีโรคมากเพียงนั้นที่ใดกัน” ผู้คนในลานต่างคิดกันในใจ…ฮูหยินพูดพิกลแท้ ยิ่งเป็นเด็กน้อยก็ยิ่งป่วยไข้ได้ง่ายสิ

ตอนนี้เองมือที่มีไตแข็งข้างหนึ่งพลันลูบมาบนหน้าผากของอวี๋ไฉ่หลิง เธอได้ยินเสียงที่ชราภาพเอ่ยขึ้นว่า “แย่แล้ว ร้อนลวกเชียวเจ้าค่ะ ฮูหยิน เช่นนี้จะเกิดเรื่องได้นะเจ้าคะ” จากนั้นเสียงชราภาพก็เอ่ยดังยิ่งกว่าเดิม “ใครก็ได้ รีบไปเชิญหมอมาเร็วเข้า!…เชิญหมอแซ่จางที่อยู่ทิศใต้ของเมืองนะ!”

“ฟู่หมู่*” ดูเหมือนเก่อซื่อจะไม่พอใจสตรีสูงวัยผู้นั้น จึงยื่นมือไปแตะหน้าผากของอวี๋ไฉ่หลิงด้วยตนเอง กระทั่งสัมผัสถูกความร้อนลวกมือ ถึงค่อยอุทานด้วยความตกใจ “กรี๊ด ร้อนถึงเพียงนี้เชียว เร็วเข้า รีบไปเชิญหมอมา!”

อวี๋ไฉ่หลิงเค้นแรงเฮือกสุดท้ายปรือตาขึ้นมอง เพียงเห็นสตรีสูงวัยผมขาวดอกเลาผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกายเก่อซื่อ แล้วเบื้องหน้าสายตาเธอก็ดำวูบหมดสติไป

ถัดจากนั้นคือขั้นตอนการกรอกยาซ้ำๆ อันคุ้นเคย อวี๋ไฉ่หลิงไม่รู้เลยว่าตนเองหลับไปนานเท่าใด กินยาอย่างมึนๆ งงๆ ลงไปกี่มากน้อย รู้สึกเพียงว่าหนนี้ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเยี่ยม เครื่องนอนใต้ร่างนุ่มหอมกว่าที่เรือนเล็กแห่งนั้น ระดับความอบอุ่นภายในห้องก็สม่ำเสมอและมีอากาศถ่ายเทดียิ่งกว่า แม้แต่มือที่คลายเสื้อกับเช็ดตัวให้เธอก็มีหลายคู่ น่าเสียดายที่การเคลื่อนไหวล้วนไม่อ่อนโยนเท่าอาจู้เลย

เมื่อพอจะมีเรี่ยวแรงขึ้นหน่อย อวี๋ไฉ่หลิงก็ถูกยกตัวขึ้นมาดื่มยาอีก เธอแสนจะเกลียดกลิ่นขมเฝื่อนที่ชวนคลื่นเหียนนี้ คิดว่าเดิมทีตนใกล้จะหายสนิทแล้วแท้ๆ ล้วนเป็นเพราะคนโรคจิตที่พูดไม่รู้ความกลุ่มนี้ทำร้ายตนจนล้มป่วยซ้ำสอง ต้องมากินยาซ้ำซาก ต้องมาทนทุกข์ใหม่อีกรอบ นี่ทำให้ความชิงชังผุดขึ้นในหัวใจอวี๋ไฉ่หลิงอย่างห้ามไม่อยู่ เพียงสะบัดแขนข้างหนึ่งก็ทำให้ถ้วยชามที่อยู่ด้านข้างพลิกคว่ำ บังเกิดเสียงดังเคร้งคร้าง ยาต้มสีน้ำตาลไหลนองบนพื้น ยั่วโมโหเก่อซื่อจนกระทืบเท้าหมายระเบิดโทสะก่นด่าอวี๋ไฉ่หลิง แต่เก่อซื่อก็รู้ว่าเวลานี้ต้องให้เด็กนี่ดีขึ้นโดยเร็วเท่านั้น จึงจำต้องฝืนสะกดกลั้นไฟโทสะไว้

 

** ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี ในที่นี้ ‘เก่อซื่อ’ จึงหมายถึงสะใภ้ที่แต่งมาจากสกุลเก่อ

* ฟู่หมู่ หมายถึงพี่เลี้ยง เป็นคำเรียกสตรีอาวุโสซึ่งทำหน้าที่ชี้แนะเลี้ยงดูบุตรธิดาของชนชั้นสูงในสมัยโบราณ

ใครจะรู้ว่าหมอเทียวไปเทียวมา จัดยาให้กินตั้งหลายวันแล้ว อาการไข้กลับไม่เคยลดลงเลย ครั้นเห็นเนื้ออิ่มบนใบหน้าและร่างกายของเด็กสาวอันตรธานไปอย่างรวดเร็ว ไฟโทสะก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นความวิตกกังวล เก่อซื่อไล่บ่าวรับใช้ข้างกายออกไป ตนเองนั่งเหม่อเป็นพักๆ อยู่หน้าเตียงของอวี๋ไฉ่หลิง หวั่นใจว่าหากเด็กนี่มีอันเป็นไปจริงๆ ควรจะหาข้ออ้างปัดความผิดเช่นไรดี บังเอิญวันนี้หลังจากอวี๋ไฉ่หลิงกินยาแล้วอยู่ในห้วงกึ่งฝันกึ่งตื่น ได้ยินสตรีสูงวัยที่เธอเห็นวันนั้นกำลังสนทนากับอาสะใภ้คนดีอยู่

“ฮูหยินไยต้องเคี่ยวกรำเด็กน้อยตัวเท่านี้ด้วยเล่า ท่านเพียงเห็นเซียวฮูหยิน** ขัดตาก็เท่านั้น” สตรีสูงวัยผู้นั้นกล่าว

เก่อซื่อเอ่ยอย่างเคียดแค้น “ก็ข้าเห็นนางขัดตานี่! วงศ์สกุลตกอับ เป็นหญิงแต่งงานสองหน กลับยังกล้าวางท่าต่อหน้าข้า! สกุลเก่อของข้ามั่งมีกว่า ประวัติของข้าก็บริสุทธิ์ผุดผ่องกว่า ถือสิทธิ์อันใดให้ข้าต้องอดกลั้นต่อนาง!”

สตรีสูงวัยคล้ายถอนหายใจก่อนเอ่ย “เดิมทีสกุลเซียวก็มีหน้ามีตา ใครจะรู้ว่าใต้หล้าพลันระส่ำระสายหนัก มิใช่คนเร่ร่อนก็คือโจรผู้ร้าย วงศ์สกุลของนางจึงได้ตกยาก เมื่อแรกในภูมิลำเนาของพวกเรานางก็เป็นนายหญิงที่โดดเด่นผู้หนึ่ง สกุลเฉิงในเวลานั้นห่างชั้นลิบลับ ว่ากันถึงที่สุดแล้วท่านจะสู้รบตบมือกับฮูหยินใหญ่ไปไย ในเมื่อไม่มีความแค้นหมางใจกันเสียหน่อย”

เดิมทีอวี๋ไฉ่หลิงใกล้จะหลับไปแล้ว พอได้ยินถึงตรงนี้สติก็พลันแจ่มใส อา มิด ตา พุ้ด นึกแล้วเชียวว่าคนทั่วหล้าจะไม่รอบคอบปิดปากสนิทเหมือนอาจู้ไปเสียหมด จะต้องมีคนพูดมากสักคนเอ่ยเรื่องในอดีตให้ได้ยิน คิดแล้วเธอก็ทำเป็นหลับลึก แต่แท้จริงเงี่ยหูสดับฟัง กระทั่งอาการไข้ยังคล้ายทุเลาลงหลายส่วน

“ไม่มีความแค้นหมางใจ?!” เก่อซื่อขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว จากนั้นได้ยินเสียงชู่ดังมา คาดว่าเป็นสตรีสูงวัยผู้นั้นแสดงท่าทางบอกให้เก่อซื่อเบาเสียง เก่อซื่อก็ลดเสียงลงจริงเสียด้วย “เดิมทีควรเป็นข้าแต่งให้พี่ใหญ่! ข้าต่างหากคือว่าที่นายหญิงตราตั้ง* ข้าต่างหากควรจะได้รับศักดินาในอนาคต”

“วาจานี้กล่าวผิดแล้ว ข้าเห็นท่านมาจนเติบใหญ่ ท่านเคยมองสกุลเฉิงเข้าตาเมื่อใดกัน ผิดกับเซียวฮูหยินที่ตั้งแต่ออกเรือนหนแรกก็มีท่านใหญ่ขับร้องตามขบวนเจ้าสาวไปตลอดทาง ในหมู่บ้านมีใครบ้างไม่รู้ ต่อมาบ้านเมืองโกลาหล เพียงไม่กี่ปีเซียวฮูหยินกับครอบครัวสามีคนแรกก็ทะเลาะกันรุนแรง ยังไม่ทันจะหย่าร้างเลย ท่านใหญ่ก็คอยช่วยเหลือนางทุกอย่าง ขอเอ่ยประโยคหนึ่งที่ไม่ชวนฟัง ต่อให้สกุลเก่อของพวกเราไปทาบทามท่านใหญ่จริงๆ ท่านใหญ่ก็ไม่ยอมตกลงแต่งงานอยู่ดี”

เก่อซื่อฉุนเฉียวยิ่งกว่าเดิม “ทั้งหมดต้องโทษท่านพ่อท่านแม่ข้าที่ดึงดันแต่งข้าเข้าสกุลเฉิงจนได้!”

อวี๋ไฉ่หลิงวิเคราะห์อย่างฉับไว อืม คนจวนนี้แซ่เฉิง จำนวนพี่ชายน้องชายมากกว่าหรือเท่ากับสอง ครอบครัวพี่ใหญ่ก็คือบิดามารดาบังเกิดเกล้าของร่างนี้ ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งดูเหมือนชีวิตกำลังไปได้ดียิ่ง

ได้ยินเสียงสวบสาบ คล้ายสตรีสูงวัยผู้นั้นลูบหลังของเก่อซื่อก่อนเอ่ย “ท่านพูดเหลวไหลอีกแล้ว สกุลเซียวตกต่ำลงได้อย่างไร เรื่องเกิดถัดไปหนึ่งอำเภอเท่านั้นผู้ใดไม่รู้บ้าง มิใช่เป็นเพราะบิดากับพี่ชายของฮูหยินใหญ่ตายด้วยน้ำมือโจรจนสิ้นหรือ แรกเริ่มสกุลเซียวของนางไม่เพียงมั่งมี นายท่านผู้เฒ่าเซียวบิดานางยังเป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่คนบ้านเดียวกัน เขาหมายต่อต้านพวกโจรที่เข้าปล้นสดมภ์ในพื้นที่ จึงนำบ่าวรับใช้ในบ้านเข้าต่อสู้ และทำร้ายพวกโจรได้จำนวนมาก ใครจะรู้ว่านั่นกลับทำให้หัวหน้าโจรอาฆาตแค้น ทำทีเป็นพ่ายถอย รอจนทุกคนผ่อนคลายการป้องกัน ค่อยฉวยยามดึกเร้นเข้าสกุลเซียวไปฆ่าล้างผู้ใหญ่ผู้เยาว์ทั้งตระกูล เคราะห์ดีพวกโจรไม่รู้ว่าบ้านคหบดีในภูมิลำเนาของพวกเรามักขุดห้องเก็บของใต้ดินไว้ จึงซ่อนเด็กกับสตรีได้จำนวนหนึ่ง น่าเสียดาย บุรุษที่โตเป็นผู้ใหญ่กับทรัพย์สินล้วนไม่มีเหลือ”

ดูเหมือนสตรีสูงวัยจะดื่มน้ำอึกหนึ่งค่อยกล่าวต่อ “บ้านเมืองช่วงนั้นวุ่นวายไปทั่ว บุรุษบ้าบิ่นหนึ่งคนรวบรวมพวกโจรไม่กี่คนก็ตั้งตนเป็นอ๋องเป็นเจ้าได้แล้ว เห็นบ้านใครร่ำรวยก็ฆ่าคนปล้นทรัพย์ เหล่าสตรียิ่งต้องรับเคราะห์สาหัส เนื้อติดมันชิ้นโตเช่นพวกเราสกุลเก่อน่าหวาดเสียวถึงเพียงใด สกุลเฉิงแม้ยากไร้ ทว่าท่านใหญ่เป็นที่นับถือของคนในท้องที่ ตนเองไม่เพียงมีฝีมือ ยังเป็นผู้นำกลุ่มคนที่รบราฆ่าฟันได้ ตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่าเก่อก็พูดแล้ว เขาไม่กล้าเอาอย่างนายท่านผู้เฒ่าหลี่ว์ในอดีตที่หมายตาบุตรจักรพรรดิแดง* เพียงหวังว่าจะไม่เป็นสกุลเซียวแห่งที่สองก็พอ ตอนนั้นท่านใหญ่เพิ่งแต่งกับเซียวฮูหยิน ท่านสามของสกุลเฉิงยังเยาว์ ท่านไม่แต่งกับท่านรอง ยังแต่งกับผู้ใดได้เล่าเจ้าคะ”

 

** ฮูหยิน เป็นคำเรียกภรรยากับสตรีที่แต่งงานแล้วอย่างให้เกียรติ และเป็นคำที่บ่าวใช้เรียกภรรยาของเจ้านาย โดยจะใช้คู่กับนามสกุลของสามีเพื่อให้เกียรติว่าเป็นภรรยา/สะใภ้ของสกุลนี้ หรือใช้คู่กับนามสกุลเดิมของสตรีเพื่อแยกแยะจากฮูหยินท่านอื่นในตระกูล เช่น สะใภ้ใหญ่ของสกุลเฉิง สามารถเรียกให้เกียรติว่าฮูหยินใหญ่เฉิงหรือเซียวฮูหยิน สะใภ้รองของสกุลเฉิง สามารถเรียกให้เกียรติว่าฮูหยินรองเฉิงหรือเก่อฮูหยิน

* นายหญิงตราตั้ง คือบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่มารดาหรือภรรยาของขุนนางชั้นสูง

* นายผู้เฒ่าหลี่ว์หมายตาบุตรจักรพรรดิแดง คือเรื่องราวของหลิวปังปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก โดยบุตรจักรพรรดิแดงหมายถึงหลิวปังที่เล่าลือกันว่าจะเป็นผู้ปราบบุตรจักรพรรดิขาว ซึ่งหมายถึงราชวงศ์ฉิน แรกเริ่มหลิวปังเป็นลูกชาวนาที่ยากไร้ แต่นายผู้เฒ่าหลี่ว์ซึ่งเป็นคหบดีกลับเห็นแววว่าหลิวปังจะเป็นใหญ่ในวันหน้า จึงยกหลี่ว์จื้อบุตรสาวให้แต่งงานเป็นภรรยาของหลิวปัง ทำให้บุตรสาวได้เป็นฮองเฮาและไทเฮาผู้โด่งดังในเวลาต่อมา

“ฟู่หมู่พูดนั่นพูดนี่ก็เพียงต้องการจะกล่อมข้าก้มหัวให้นาง!” ท่าทางเก่อซื่อจะมีโทสะแล้ว “ท่านไม่คิดบ้างว่าข้ากับนางแต่งเข้ามาไล่เลี่ยกัน ไม่ว่าความสามารถหรือทรัพย์สินข้าล้วนแต่เหนือกว่านาง ทว่าข้าต้องใช้ชีวิตเยี่ยงไร! ข้าเอาสินเจ้าสาวมาค้ำจุนสกุลเฉิง ส่วนนางกลับเอาเงินสกุลเฉิงไปอุดหนุนสกุลเดิม! ซ้ำยังจองหองพองขนอยู่ทุกวี่วัน ข้าจะไม่โมโหได้หรือ!”

“เช่นนั้นข้าขอถามท่าน หลายปีมานี้สินเจ้าสาวของท่านยังคงเดิมหรือไม่” หญิงสูงวัยกล่าวเสียงเบา

เก่อซื่อพลันอับจนถ้อยคำ

หญิงสูงวัยกล่าวรุกคืบ “จริงอยู่ตอนที่เพิ่งแต่งงาน ท่านเคยเอาสินเจ้าสาวค้ำจุนสกุลเฉิง ทว่าเพียงไม่กี่ปีท่านใหญ่ก็สร้างตัวได้แล้ว ทุกคราที่เสร็จศึกล้วนส่งเงินทองแพรพรรณกลับมาทางบ้านเป็นหีบๆ ไม่เพียงชดเชยสินเจ้าสาวของท่านครบถ้วนแต่แรก เกรงว่ายังเกินด้วยซ้ำไป เงินทองเหล่านั้นเซียวฮูหยินจะเจียดไปเกื้อหนุนสกุลเดิมบ้างก็ไม่เป็นอันใดเลย”

เก่อซื่อแค่นหัวเราะ “ ‘บุพการียังอยู่ ไม่แบ่งทรัพย์ส่วนตัว’ ยังไม่ได้แยกบ้านกันสักหน่อย เงินทองทั้งหมดของพี่ใหญ่ควรให้บุพการีเป็นผู้ดูแล พี่ชายน้องชายสามคนสามครอบครัวล้วนมีส่วนในเงินนี้!”

สตรีสูงวัยถอนหายใจอีกครา “เหตุผลนี้ไม่ผิด ทว่าเงินของท่านใหญ่ล้วนเข้าสนามรบไปแลกมา เซียวฮูหยินติดตามอยู่ข้างกายท่านใหญ่โดยตลอด เงินย่อมจะผ่านมือของนางก่อน เมื่อแรกข้างนอกชุลมุนวุ่นวาย มีศึกสงครามทุกแห่งหน ใครยังจะใส่ใจกฎเกณฑ์เหล่านี้เล่า แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ หากออกจากเขตเมืองและมณฑลที่ฮ่องเต้ของพวกเราทรงควบคุมได้ ข้างนอกนั้นก็ยังคงไม่สงบสุข”

ชั่วขณะนี้ในห้องเหลือแต่ความเงียบงัน คาดว่าสตรีทั้งสองต่างหมดคำพูดแล้ว อวี๋ไฉ่หลิงอดทนรอคอย ทางหนึ่งคิดในใจว่า ที่แท้ตอนนี้ข้างนอกก็ยังรบพุ่งกันอยู่ ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง อีกทางหนึ่งก็เร่งเร้าในใจว่า ซุบซิบกันต่อสิอย่าเพิ่งหยุด

“เช่นนี้…ท่านจึงหมายเอาชีวิตของแม่นางสี่…เพียงเพื่อจะระบายโทสะที่มีต่อเซียวฮูหยินน่ะหรือ” สตรีสูงวัยถาม

เก่อซื่อตอบปนหัวเราะเย็นชา “เดิมทีข้าคิดจะรั้งหญิงต่ำช้านั่นไว้ ใครจะรู้นางกลับใจเหี้ยมได้ถึงเพียงนั้น ขอยอมทิ้งลูกก็จะขอติดตามพี่ใหญ่ไป! พี่ใหญ่ย่อมจะช่วยเหลือนาง ลูกไม้ของนางเยี่ยมยอดยิ่ง ถึงกับเชิญหมอดูที่เก่งกาจมาเอ่ยคำทำนายจนฝืนพาบุตรชายไปได้ทั้งหมด ทิ้งไว้แต่บุตรสาวคนนี้ มิผิด ข้าหมายเสี้ยมสอนให้แม่นางสี่เสียคน ทำให้ผู้เป็นมารดาอับอายขายหน้า แต่ข้าไม่เคยคิดจะเอาชีวิตเด็กนี่เลย!”

ฟังมาถึงตรงนี้ ในใจอวี๋ไฉ่หลิงก็หัวเราะเย็นชาเช่นเดียวกัน เห็นทีเธอจะไม่มีวาสนากับบิดามารดา ชาติก่อนบิดามารดาหย่าร้าง ชาตินี้ขนาดบิดามารกาไม่ได้หย่าร้างก็ยังคงทอดทิ้งเธอ

วัยสาวแม่อวี๋เป็นปัญญาชนที่ต้องไปทำงานในชนบท เมื่อแรกมีชายหนุ่มในพื้นที่หมายปองอยู่ไม่น้อย ในจำนวนนั้นไม่ขาดคนที่มีกำปั้นแข็งกว่าหรือมีขุมกำลังมากกว่า ทว่าแม่อวี๋ถูกใจในตัวพ่ออวี๋เพียงคนเดียว แม่อวี๋เข้าใจชัดแจ้งว่าการใช้ชีวิตนั้นเนื้อแท้สำคัญกว่าเปลือกนอก ชายหนุ่มพวกนี้วันทั้งวันยกพรรคพวกมาอวดบารมี ทั้งที่ในบ้านมีเสบียงอาหารเก็บอยู่ไม่กี่ชั่ง คุณค่าแค่เท่าขี้ตาก็หาไม่ได้ ต่างจากพ่ออวี๋ที่หัวไวไหลลื่น ทั้งยังมีมารดาที่อ่อนโยนใจดี

แม่อวี๋ไม่พอใจกับการเป็นแค่นักบัญชีในตำบลเล็กๆ จึงเริ่มทบทวนตำราทันทีที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยทั่วประเทศฟื้นฟูดังเดิม ฝืนยืนหยัดอยู่หลายปีจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ต่อมาไม่เพียงได้รับจัดสรรตำแหน่งงานในเมืองใหญ่ที่มีอนาคตสดใส ยัง ‘บังเอิญได้พบ’ กับเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ซึ่ง ‘ประจวบเหมาะ’ หย่าร้างพอดีและมีชาติตระกูลสมกันมาแต่เดิม…เรื่องราวถัดจากนั้นจึงลุล่วงลงตัว สิ่งเดียวที่คำนวณพลาดน่าจะเป็นการคลอดอวี๋ไฉ่หลิงออกมา

ความคิดของอวี๋ไฉ่หลิงทางนี้ลอยไปไกลอยู่บ้าง ขณะที่เก่อซื่อทางนั้นยิ่งคิดยิ่งคับแค้น จึงเอ่ยเสียงชิงชัง “…นอกจากเพิกเฉยด้านการอบรมสั่งสอน ข้าก็ทำอันใดไม่ได้เสียหน่อย ฟู่หมู่ไม่รู้หรือไร แค่ได้ยินว่ามีความเคลื่อนไหว หญิงแก่แซ่วั่นที่อยู่บ้านข้างๆ ก็ส่งบ่าวมาดูแล้ว ข้าสามารถตำหนิเฆี่ยนตีแม่นางสี่ หรือสามารถลงโทษไม่ให้นางกินข้าวได้หรือไร”

ดูเหมือนสตรีสูงวัยจะถอนหายใจอีกครา “ท่านฟังข้าสักประโยคเถิด สกุลเฉิงในตอนนี้ไม่ใช่สกุลเฉิงในวันวานนานแล้ว ทว่าพวกเราสกุลเก่อกลับยังคงเป็นสกุลเก่อเมื่อแรกเริ่มนั้น เวลาเปลี่ยนไปแล้ว ท่านก็อย่าดึงดันอีกเลย หนนี้ข้าฉวยเวลาก่อนวันปีใหม่มาเยี่ยมท่าน อีกไม่กี่วันข้าจะตามลูกหลานไปมณฑลชิงโจวแล้ว นับแต่ฝ่าบาททรงบุกยึดที่นั่นได้ ไม่กี่ปีนี้โจรเร่ร่อนก็ค่อยๆ ถูกปราบจนหมดเสียที ไร่นารกร้างที่เพาะปลูกได้มีอยู่เยอะยิ่ง กำลังติดประกาศเรียกคนไปอยู่ที่นั่น ไม่เพียงเก็บอากรต่ำ เพาะปลูกแค่ไม่กี่ปีก็จะได้ที่ดินผืนนั้นเป็นของตนด้วย…”

เก่อซื่อตระหนกวูบ “เร็วเพียงนี้เชียว? นี่เพิ่งจะผ่านวันตงจื้อ* ไปเองนะ เหตุใดไม่รอฉลองวันปีใหม่แล้วค่อยไปเล่า” แม้รู้แต่แรกว่าครอบครัวของฟู่หมู่กำลังวิ่งวุ่นเรื่องซื้อที่ดินในมณฑลชิงโจว แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ นางกลับยังคงอาลัยอาวรณ์

สตรีสูงวัยเอ่ยตอบ “ไม่กี่ปีนี้บุตรชายของข้าทำการค้าลงทุนต่ำแล้วได้กำไรมาก้อนหนึ่ง ด้วยอารามฮึกเหิมจึงไปให้หมอดูผู้หนึ่งเสี่ยงทายดู ได้ความว่าการอพยพไปซื้อที่ดินในแดนไกลต้องอัญเชิญบรรพชนไปด้วย จึงจะช่วยปกปักรักษาทั้งครอบครัว ดังนั้นพวกเราจึงตั้งใจจะไปขึ้นปีใหม่กันที่ชิงโจว ถึงตอนนั้นคนทั้งครอบครัวร่วมกันเซ่นไหว้ชุดใหญ่สักครั้ง จะได้คุ้มครองให้วันหน้าทางบ้านรุ่งเรืองมากลูกมากหลาน”

เก่อซื่อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปนสะอื้นแผ่ว “ฟู่หมู่ สองปีมานี้แม้ท่านพำนักอยู่ข้างนอกเป็นส่วนใหญ่ ทว่ายามที่ข้าอยากพบท่านล้วนพบได้เสมอ บัดนี้หากท่านไปชิงโจวแล้ว ข้าจะทำเช่นไรเล่า ข้าบอกแล้วว่าจะหาลู่ทางอนาคตให้บุตรชายของท่านมิใช่หรือไร”

สตรีสูงวัยยิ้มกล่าว “ไปชิงโจวดียิ่ง หลานชายหลายคนของข้าก็จะไปกันทั้งบ้าน ไปเป็นครอบครัวใหญ่มากคนมากพลัง ไม่ต้องกลัวจะถูกผู้อื่นข่มเหง ยิ่งไปกว่านั้น…” นางเว้นช่วงเล็กน้อยค่อยกล่าวต่อ “ท่านคิดดูเอาเถิด นานปีมานี้บุตรหลานของสกุลเก่อเคยมีคนหาทางเป็นขุนนางได้หรือ กระทั่งไท่เสวีย* ยังไม่อาจเข้าไปเลย นับประสาอะไรกับบุตรหลานของข้าเล่า”

เก่อซื่อเอ่ยเสียงเคียดแค้น “ล้วนเป็นเพราะเซียวซื่อหญิงต่ำช้านั่น พี่ใหญ่จะทำสิ่งใดมีหรือไม่ต้องคอยมองสีหน้านาง”

สตรีสูงวัยเพียงแต่ยิ้มๆ ไม่พูดจาอีก

อวี๋ไฉ่หลิงแม้ไข้ขึ้นจนมึนศีรษะ ทว่าสมองยังไม่เสียหาย มิต้องให้สตรีสูงวัยผู้นั้นกล่าว ในใจเด็กสาวก็เอ่ยเสริมแทนอีกฝ่ายได้…อาสะใภ้สมองฝ่อผู้นี้ รู้จักแต่ขยับหัวคิดนอกลู่นอกทาง วันทั้งวันมุ่งประลองกำลังกับเซียวฮูหยิน แล้วยังจะหวังให้สามีผู้อื่นช่วยเหลือสกุลเดิมของเจ้าอีกหรือ!

อวี๋ไฉ่หลิงรู้สึกว่าตนเองตอนสิบขวบก็หัวดีกว่าอีกฝ่ายแล้ว มีอย่างที่ไหนตบแก้มซ้ายผู้อื่นไป ยังหวังจะให้ผู้อื่นเลียนิ้วมือเจ้าหรือไรกัน เซียวฮูหยินผู้นั้นไม่ใช่พวกชอบถูกทารุณสักหน่อย อาสะใภ้คนดีควรจะเยือกเย็นลงจริงๆ ตอนนี้แม้แต่คนข้างกายหนึ่งเดียวที่มีสติแจ่มใสก็กำลังจะเผ่นหนี คงเป็นเพราะสิ้นหวังกับสติปัญญาของเจ้าแล้ว

“ตอนนี้ท่านตั้งใจจะทำเช่นไร ดูจากอาการป่วยของแม่นางสี่ คาดว่าไม่กี่วันนี้คงรักษาไม่หายหรอก” สตรีสูงวัยกล่าว

เก่อซื่อวิงวอน “ฟู่หมู่คิดข้ออ้างให้ข้าสักข้อเถิด แม่นางสี่ทำตัวไม่ดีก็จริง แต่น่าเสียดายล้วนเป็นความผิดเล็กน้อยในเรื่องหยุมหยิม ด่าทอปะทะฝีปากกับคุณหนูบ้านอื่น ตีคนในงานชมสวน…หากแม่นางสี่ทำความผิดใหญ่สักข้อก็ง่ายแล้ว เป็นข้าเองที่ประมาท เมื่อก่อนนางอายุน้อยไม่มีปัญญาก่อเรื่องใหญ่อันใด บัดนี้โตแล้วข้ากลับไม่ได้จัดฉากให้ดี นึกว่ามีเวลาหลายเดือนให้ค่อยๆ จัดการ เซียวซื่อหญิงเหลี่ยมจัดนั่นบอกว่าต้องอีกหลายเดือนจึงจะกลับ แต่จู่ๆ กลับจะมาถึงในไม่กี่วันนี้แล้ว!”

สตรีสูงวัยถอนหายใจเป็นคำรบสามก่อนเอ่ย “ขอข้าคิดดูสักครู่ อืม มีแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นก็พูดให้เป็นเรื่องเล็กเสียเลย วันก่อนแม่นางรองกลับมาร้องไห้ว่าแม่สามีนางไม่ดีมิใช่หรือ ท่านก็อ้างไปว่าบัดนี้เหล่าคุณหนูอายุน้อยล้วนเติบใหญ่จนใกล้จะได้เวลามองหาสามีให้พวกนางแล้ว อย่างไรเสียสตรีเรียบร้อยสำรวมหน่อยจึงจะดี ผู้ใดจะรู้ว่าแม่นางสี่ยังคงไม่รู้จักโตเช่นนี้ ดังนั้นท่านจึงแข็งใจหมายลงโทษนางให้หลาบจำ ไม่นึกว่าบ่าวระดับล่างจะด้อยการอบรมจนทำงานบกพร่อง จริงสิ ยายเฒ่าโลภมากที่เป็นคนของหลี่จุยนั่น หากจำเป็นก็ผลักนางออกไปรับเสีย…”

เก่อซื่อเอ่ยอย่างยินดี “ฟู่หมู่กล่าวได้ดียิ่ง ทำเช่นนี้นี่ล่ะ หากเซียวซื่อมาพูดจู้จี้กับข้า ข้าจะสาธยายเรื่องเหลวไหลที่แม่นางสี่ทำอยู่ข้างนอกตลอดหลายปีนี้มาให้หมด ดูซินางจะรู้สึกว่าเด็กนี่สมควรได้รับการสั่งสอนหรือไม่” เพิ่งยินดีเสร็จอารมณ์โกรธก็เข้าแทนที่ “มีอันใดน่าหวั่นเกรงกัน นางจะสามารถกินข้าลงไปหรือไร!”

ไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากเบื้องนอก ตามด้วยเสียงร้องแหลมของสาวใช้ที่รีบเข้ามา “ฮูหยิน แย่แล้วเจ้าค่ะ พวกท่านใหญ่กลับมาแล้ว! ขบวนรถอยู่หน้าประตูใหญ่นี่เอง! มีรถม้าคันใหญ่ตั้งสิบกว่าคัน ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้พวกเรารีบออกไปเจ้าค่ะ” จากนั้นด้านนอกก็ผสมปนเปไปด้วยเสียงฝีเท้าอันสับสนเร่งร้อนกับเสียงเรียกที่ดังขึ้นต่อเนื่อง

เก่อซื่อฟังจบก็เอ่ยด้วยความตกใจ “ไฉนเร็วเพียงนี้ได้!” เสียงนางหยุดไปเล็กน้อย “ไม่ถูกสิ เหตุใดบ้านแม่ทัพวั่นที่อยู่ติดกันไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด ในเมื่อข้าส่งคนไปจับตาอยู่ตลอด! พี่ใหญ่ติดตามแม่ทัพวั่นเรื่อยมามิใช่หรือ” นางเพิ่มเสียงก่อนร้องเรียก “ใครอยู่ข้างนอก รีบไปตามท่านรองมา!”

ฟู่หมู่ของเก่อซื่อพยุงผู้เป็นนายพลางรีบเอ่ย “ฮูหยินเลอะเลือนแล้ว เวลานี้ท่านรองจะอยู่บ้านได้อย่างไร อย่ามัวสนใจเรื่องพวกนี้เลย ออกไปต้อนรับคนก่อนเถิด ไม่อาจบกพร่องมารยาทนะเจ้าคะ…ไม่สิ ยังคงไปที่เรือนแม่สามีของท่านก่อนแล้วไปพร้อมกับนางจะดีกว่า!”

เก่อซื่อขยี้เท้าแรงๆ แล้วเอ่ยด้วยโทสะ “ดูคู่ครองดีเลิศที่ท่านพ่อหาให้ข้าสิ วันทั้งวันสามีข้าอ่านปรัชญาข่งจื่ออันใดกันแน่ น้องสามของเขาอ่อนกว่าเขาตั้งหลายปี ตอนนี้อวยยศตั้งหลายร้อยตั้น* แล้ว แต่เขาเล่าเรียนมากี่ปี กลับยังไม่เห็นเรียนได้ชื่อชั้นฐานะออกมาสักอย่าง! มารดาเขาก็แสร้งโง่ไม่รับรู้ ห่วงแต่ความสบายของตนเอง…”

เสียงพูดเคลื่อนห่างไปทีละน้อย อวี๋ไฉ่หลิงยันแขนเปลี่ยนท่านอนอย่างยากลำบาก ลูบหน้าผากที่ร้อนลวกของตน รู้สึกร่างกายปวดเมื่อยอ่อนแรง ร้อนเหนอะหนะเหงื่อซึมเป็นระยะ ชั่วขณะนี้เธอไม่มีความคิดอื่นใด มีแต่หลับเป็นตายจึงจะเป็นวิธีการอันดี หาไม่ย่อมจะผิดต่อ ‘ยาฆ่าแมลง’ ที่กินตลอดหลายวันที่ผ่านมา!

หญิงแก่แซ่เก่อนี่ ไม่มีปัญญาจะงัดข้อกับคู่ปรับซึ่งๆ หน้า ได้แต่มาหาเรื่องเด็ก สมน้ำหน้าแล้วที่สามีอ่อนแอไม่เอาไหน เห็นเก่อซื่อปากแหลมแก้มตอบ บนร่างคล้ายมีเนื้อไม่ถึงสามตำลึง สีหน้าอมเขียวราวกะหล่ำดอก ต้องเป็นเพราะกลางคืนอินหยางไม่สมดุล กลางวันไฟตับมากเกินไป** มีโทสะทว่าไร้ที่ให้ระบายเป็นแน่ ไฉนไม่รู้จักหาคนมาทำให้ตนเองปลอดโปร่งโล่งสบายบ้างหรือไร คอยหาเรื่องพี่สะใภ้กับหลานสาวแล้วจะทำให้หลั่งฮอร์โมนไม่ติดขัด หน้าตาเปล่งปลั่งผ่องใสหรืออย่างไรกัน! เป็นคนสติไม่ดีที่บรรพชนสิบแปดรุ่นไม่สั่งสมบุญกุศลชัดๆ!

 

 

* ตงจื้อ หรือวันเหมายัน คือหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ของจีน ตรงกับวันที่ 21 22 หรือ 23 ธันวาคม เป็นวันที่กลางวันสั้นที่สุดและกลางคืนยาวที่สุดในรอบปี

* ไท่เสวีย คือสำนักศึกษาชั้นสูงของจีนในสมัยโบราณ เป็นสถานศึกษาที่มีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาสถานศึกษาชั้นสูงของทางการ

* ขุนนางจีนโบราณในยุคแรกๆ ยังไม่ได้มีการแบ่งยศเป็นขั้นเหมือนในยุคหลังๆ จึงเรียกยศขุนนางโดยอ้างอิงจากเบี้ยหวัดที่ได้รับในแต่ละปีซึ่งมักจะเป็นข้าวหรือธัญพืชที่มีมูลค่าเทียบเท่ากัน ตั้นเป็นหน่วยชั่งของจีน 1 ตั้นเท่ากับ 10 โต่ว หรือ 100 ลิตร แต่ภายหลังตัวเลขเหล่านี้ใช้เป็นเกณฑ์แบ่งยศเท่านั้น มิได้ใช้อ้างอิงในการจ่ายเบี้ยหวัดให้ขุนนางอย่างแท้จริง

** ไฟตับมากเกินไป เป็นศัพท์ทางการแพทย์แผนจีน ไฟในที่นี้หมายถึงกลุ่มโรคที่เกิดจากความร้อนในร่างกาย อาการไฟตับมากเกินไปมักเกิดจากความกลัดกลุ้มใจ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: