X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 4

ละครเล่นสมบทบาทจนหลับใหลไปหนนี้อวี๋ไฉ่หลิงถึงกับฝันไป ในฝันเธอเห็นพี่ชายข้างบ้านที่เป็นคนตำบลเดียวกัน เขาหล่อเหลาสูงโปร่งเหมือนต้นอู๋ถง*** ในลานบ้านของคุณย่าต้นนั้น เธอที่ตัวเล็กๆ ยืนอยู่ข้างกายเขาแล้วแหงนมองพร้อมความชมชอบล้นใจ

เธอมีความยึดมั่นถือมั่นเรื่องหนึ่งมาตั้งแต่เล็ก ทั้งที่ข้างบ้านก็เป็นการจับคู่ระหว่างหนุ่มพื้นถิ่นกับปัญญาชนสาวที่มาทำงานในชนบทเหมือนๆ กัน เพราะเหตุใดคนคู่นี้จึงเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียว ต่อให้หลังการปฏิรูปเปิดประเทศจีนแล้วร่ำรวยขึ้นมา วิธีโอ้อวดของสามีก็เป็นการอ่านหนังสือตามภรรยาให้มากๆ บริจาคห้องสมุดสาธารณะหรือมอบทุนการศึกษาให้โรงเรียนประถมในตำบล ไม่ใช่ไปอุดหนุนธุรกิจเริงรมย์เหมือนอย่างพ่ออวี๋ของเธอ

วัยเด็กอวี๋ไฉ่หลิงมักเกาะขอบกำแพงมองครอบครัวสามคนที่สุขสมบูรณ์นี้อย่างทั้งอิจฉาทั้งริษยา รอจนโตขึ้นหน่อย เธอก็เริ่มปลื้มลูกชายของพวกเขา แต่ผลที่รออยู่คือเขาพาแฟนสาวกลับมาบ้าน ชี้มือมาที่เธอแล้วแนะนำปนยิ้ม ‘นี่คือน้องสาวข้างบ้านของผม’ …

ฮือๆ อนาถยิ่งกว่าได้รับแจกบัตรคนดี ก็คือการถูกแจกบัตรพี่ชายหรือบัตรน้องสาวนี่เอง

จะว่าไปตอนที่อยู่ชมรมการแสดงในมหาวิทยาลัย ประธานปลาเค็ม* ก็แอบมีใจให้เธออยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะตลอดมายังคงคิดถึงเขาคนนั้นในวัยเยาว์ อวี๋ไฉ่หลิงก็คงไม่ถึงกับตายไปโดยไม่เคยคบหาดูใจใครเลยสักครั้งหรอก ช่างขาดทุนย่อยยับแท้ๆ

ไม่รู้ว่าจมจ่อมกับอดีตอยู่นานเท่าใด อวี๋ไฉ่หลิงในห้วงกึ่งฝันกึ่งตื่นรู้สึกว่ามือเท้าอ่อนปวกเปียกจนไม่อาจขยับเขยื้อน เพียงรับรู้ได้ว่ามีคนประคองเธอลุกขึ้นนั่ง แล้วป้อนยารสเผ็ดเย็นเข้าปากมาทีละคำ เธอกลืนลงไปไม่กี่อึกก็รู้สึกว่าหัวสมองปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย จึงทดลองลืมตาดู ทว่าเปลือกตากลับเหมือนหีบที่ปิดสนิทใบหนึ่ง ขณะถูกใช้กำลังงัดแงะจนแย้มร่อง คล้ายสามารถได้ยินเสียงเสียดสีดังเอี๊ยดอ๊าดของสลักหีบ

“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว!”

อวี๋ไฉ่หลิงฟังออกว่านี่เป็นเสียงยินดีโล่งใจของเก่อซื่ออาสะใภ้คนดีนั่น

“หมอหลวงจากในวังยอดเยี่ยมจริงเสียด้วย กินยาลงไปไม่กี่เทียบก็เห็นผลแล้ว ยินดีด้วยท่านแม่ ยินดีด้วยพี่ใหญ่ ยินดีด้วยพี่สะใภ้…”

ไม่รอให้เก่อซื่อพูดแสดงไมตรีอันเร่าร้อนต่อไป เสียงพูดกระทบกระเทียบของหญิงชราผู้หนึ่งก็ดังมาให้ได้ยิน “อย่ามัวมีน้ำใจไปข้างเดียวเลย ผู้อื่นยังนึกว่าพวกเราทำอะไรบุตรสาวของพวกเขาด้วยซ้ำ สิบปีไม่มาเหลียวแล พวกเราสู้เช็ดก้นเปลี่ยนผ้าอ้อม ช่วยเลี้ยงดูให้จนโต ไม่มีความดีก็นับว่ามีความทุ่มเท เด็กน้อยคนใดบ้างไม่เจ็บป่วย แค่ไข้ขึ้นไม่กี่วันก็ต้องร้องไห้โวยวายจนอลหม่านไปทั่ว ไม่วางใจกันถึงขั้นนี้ มิสู้เลี้ยงเองสิ”

ไม่ง่ายเลยกว่าอวี๋ไฉ่หลิงจะลืมตาขึ้นจนได้ เห็นในห้องมีสตรีที่แต่งกายเช่นบ่าวรับใช้สิบกว่าคนนั่งคุกเข่าระเกะระกะ เมื่อมองไปตามเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ จึงเห็นหญิงชราร่างสูงใหญ่บึกบึนผู้หนึ่งถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มสาวใช้ นั่งเป็นสง่าอยู่บนเก้าอี้พับไม้จันทน์ที่เคลือบเงาจนมันปลาบ สวมชุดยาวคอตรงสีม่วงเข้ม เห็นเลาๆ ว่าบนนั้นปักลายไหมทองจำนวนมาก ช่วงเอวรัดหลวมๆ ด้วยสายคาดหยกที่กว้างราวสี่ห้านิ้วมือ หลังศีรษะมุ่นมวยกลมเพียงกลุ่มเดียวตรึงด้วยปิ่นยาวๆ พิจารณาในรายละเอียดพบว่าปิ่นยาวนั้นถึงกับเป็นทองคำตลอดอัน ซ้ำใหญ่หนาดุจไม้เขี่ยฟืน บนติ่งหูยังคล้องต่างหูทองคำแท้ขนาดมหึมาอีกหนึ่งวง แทบจะถ่วงใบหูจนยานลงมา ภายใต้แสงเทียนยามค่ำคืนยิ่งดูมลังเมลืองเป็นพิเศษ

อวี๋ไฉ่หลิงมองดูจนฉุนกึก คิดในใจว่า เจ้าเปิดร้านทองหรือไร เหตุใดไม่เสียบตะเกียบทองสองอันเข้ารูจมูกสองข้างเป็นแม่ช้างงาทองคำไปเสียเลย!

หญิงชราผู้นี้สีหน้าบึ้งบูด แววตามองเหยียดราวไม่พอใจตลอดเวลา ผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายมีเก่อซื่อ ตลอดจนกลุ่มสาวใช้ซึ่งบ้างยกถาดเคลือบเงาบ้างถือเตาอุ่นมือ แลดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่ง มีเพียงเก่อซื่อที่สองมือว่างเปล่า มองมาทางอวี๋ไฉ่หลิงอย่างไม่สบายใจ

อวี๋ไฉ่หลิงเพิ่งค้นพบว่าข้างเตียงของตนมีบุรุษสตรีวัยกลางคนนั่งอยู่คู่หนึ่ง บุรุษสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าไว้หนวดดกทำให้เห็นรูปโฉมไม่ชัดเจน บนร่างสวมชุดยาวผ้าฝ้ายสีแดง ด้านนอกทับเฉียงๆ ด้วยเสื้อคลุมสีม่วงเข้มเผยให้เห็นแขนขวา ข้อมือสองข้างล้วนสวมสนับเหล็กเขียนลายทองอ่อนๆ เป็นรูปแบบการแต่งกายของนักรบ

 

*** อู๋ถง หรือ Chinese parasol Tree  เป็นไม้ยืนต้น ใบหยักคล้ายรูปฝ่ามือ ดอกเป็นช่อสีขาวม่วง ไม้เนื้อเหนียวนิยมใช้ทำเครื่องดนตรี

* ปลาเค็ม ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่ตายด้าน หรือคนที่อยู่เฉย ไม่ขวนขวาย ไม่มีความใฝ่ฝัน

ทั้งที่บุรุษผู้นี้ถอดเสื้อเกราะออกแล้ว โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวกลับยังคงแผ่ซ่านกลิ่นอายอันแข็งแกร่งเปี่ยมพลังของผู้ที่ตะลุยฆ่าออกมาจากทะเลโลหิต เขากำลังพินิจมองอวี๋ไฉ่หลิง ในดวงตาเผยซึ่งแววห่วงใย ผิดกับสตรีที่เอาแต่ก้มหน้าร่ำไห้ไม่พูดจา จึงไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นเช่นไร รู้เพียงว่ารูปร่างระหงอรชร โค้งเว้าได้สัดส่วน

ฟังวาจาของหญิงชราจบ หญิงอีกนางซึ่งนั่งคุกเข่าก้มตัวประคองอยู่ข้างสตรีที่ร่ำไห้เบาๆ มาโดยตลอดนั้นพลันยืดกายตรง เห็นนางสวมชุดยาวมิดชิดสีเขียว คิ้วตางามกระจ่าง แม้ล่วงถึงวัยกลางคนแล้ว สุ้มเสียงกลับยังใสกังวานอย่างยิ่ง “ที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวมาช่างเป็นเรื่องขบขันโดยแท้ ราวกับที่แม่นางสี่รั้งอยู่ในจวนเป็นเพราะนายหญิงของข้าไม่ยินยอมเลี้ยงดู ข้ามิบังอาจก้าวล่วง แต่ก็รู้ว่าเมื่อแรกทิ้งแม่นางสี่ไว้เพื่อแสดงความกตัญญูต่อฮูหยินผู้เฒ่า หากมิใช่ผลการเสี่ยงทายของหมอดูผู้นั้น มีหรือนายหญิงของข้าจะยอมละทิ้งบุตรสาววัยสามขวบไว้ที่นี่”

อวี๋ไฉ่หลิงรู้กระจ่างทันทีว่าหญิงชรากับสตรีที่ก้มหน้าร่ำไห้ผู้นั้นเป็นใคร เธอรีบมองสังเกตรอบด้าน พบว่านี่ไม่ใช่ห้องเดิมที่อาสะใภ้คนดีจัดให้เธอแล้ว ห้องนี้ค่อนข้างเล็ก การตกแต่งก็เรียบง่ายมาก ที่เหมือนเดิมคือพื้นไม้เคลือบเงาวาววับ มีเพียงบริเวณหนึ่งลาดพรมขนสัตว์ผืนหนาที่มีหลายสีแซมปน เตาอุ่นแม้ทำให้ในห้องอุ่นสบาย กระนั้นทุกคนก็ยังต้องสวมถุงเท้าหนา

บนพื้นวางกระดานสี่เหลี่ยมที่เตี้ยเล็กหลายอัน ค่อนข้างคล้ายกระดานหมากแบบมีขาตั้งในเรื่อง ‘ฮิคารุเซียนโกะ’ ด้านบนรองเบาะขนสัตว์ มีคนนั่งคุกเข่าอยู่บนนั้น น่าจะใช้งานเป็นม้านั่ง เพียงแต่มีคนจำนวนมากยิ่งกว่านั่งคุกเข่าโดยตรงบนพื้นไม้ที่เงาวับ

“อาชิง อย่าได้พูดส่งเดช” เซียวฮูหยินที่ร่ำไห้เบาๆ รีบเงยหน้าเอ่ยตำหนิ ก่อนกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง “ท่านแม่โปรดอภัย อาชิงมีนิสัยเช่นนี้เอง ล้วนเป็นเพราะนางปวดใจแทนเหนียวเหนี่ยว”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกลับไม่ยอมเลิกรา ตวาดออกมาอย่างเดือดดาล “บ่าวชั้นต่ำ บังอาจกำแหง! ใครอยู่ข้างนอก จงนำพลองมา…”

วาจายังไม่ทันเอ่ยจบ ผู้ใดจะรู้ว่านักรบผู้นั้นกลับเอ่ยตัดบทเสียงเย็น “กำแหงอันใดกัน ที่อาชิงพูดมาผิดหรือไร เมื่อแรกทิ้งเหนียวเหนี่ยวไว้ก็เพื่อแสดงความกตัญญู ยามนี้กลับพูดเหมือนพวกเราสามีภรรยาไม่ยอมเลี้ยงดูนาง ซ้ำยังเนรคุณสร้างความลำบากแก่ท่านแม่อีก กตัญญูต่อท่านแม่เป็นสิ่งสมควร ทว่าคำพูดก็พึงว่ากันตามตรง”

“สื่อเอ๋อร์ เจ้า!” คำว่า ‘พวกเราสามีภรรยา’ นี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงทนฟังไม่ได้ที่สุด นางทั้งตระหนกทั้งขุ่นเคือง คิดในใจว่าแม้บุตรชายคนโตจะฟังภรรยามากกว่ามารดามาแต่ไหนแต่ไร ทว่าต่อปากต่อคำซึ่งหน้าเยี่ยงนี้กลับเกิดขึ้นไม่มาก

อวี๋ไฉ่หลิงพลันเวียนหัวตาลาย เพียงจับประเด็นสำคัญได้ข้อเดียว นี่เธอชื่อ ‘เหนียวเหนี่ยว’ ?! เห็นกันอยู่ว่าเป็นบุตรสาว กลับตั้งชื่อที่แปลว่า ‘นก’ * หรือว่า…ขาดสิ่งไหนก็เสริมสิ่งนั้นเสียเลย?

อาชิงหันหน้ามาเห็นอวี๋ไฉ่หลิงแววตาทึ่มทื่อ สีหน้าซึมเซา จึงเอ่ยด้วยเสียงอันนุ่มนวล “แม่นางสี่พอจะมีกำลังวังชาบ้างแล้วหรือไม่ หลายปีมานี้ไม่เคยได้พบท่านพ่อท่านแม่ ชั่วดีอย่างไรก็คำนับก่อนสักครั้งเถิด” นางเอ่ยพลางส่งสายตาให้สาวใช้สองคนที่อยู่ด้านข้างของอวี๋ไฉ่หลิง

อวี๋ไฉ่หลิงเคยเห็นฝูเติงคำนับอาจู้กับฝูอี่ แต่ไม่รู้ว่ากรณีนี้มีข้อปฏิบัติที่ต่างกันหรือไม่ จึงทำทียกสองแขนขึ้นในอาการอ่อนแรงโงนเงน สาวใช้สองคนนั้นมีไหวพริบดีเยี่ยม รีบก้าวขึ้นหน้ามาประคองแขนกับลำตัวของอวี๋ไฉ่หลิงด้วยความคล่องแคล่ว ช่วยอวี๋ไฉ่หลิงตั้งแต่คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนเตียง จัดวางมือขวาทับบนมือซ้าย ดึงแขนเสื้อลงป้องแขน ช้อนสองมือขึ้นเสมอหน้าผาก แล้วก้มคำนับลงบนเตียง จากนั้นสาวใช้คนหนึ่งก็เอ่ยเสียงเบาข้างหูอวี๋ไฉ่หลิง “คุณหนูเอ่ยทักทายท่านพ่อท่านแม่สิเจ้าคะ” อวี๋ไฉ่หลิงทำตามคำบอกก่อนจะถูกพยุงลุกขึ้น ถูกยกมือขึ้นเสมอคิ้วแล้ววางแขนลง จึงค่อยนับว่าเสร็จพิธีการ

 

* อักษร ‘เหนียวเหนี่ยว 嫋嫋’ แปลว่า ‘อ่อนช้อย’ แต่อวี๋ไฉ่หลิงเข้าใจว่าเป็นอักษร ‘เหนียวเหนี่ยว鸟鸟’ ที่แปลว่า ‘นก’ โดยอักษร ‘鸟’ ยังใช้เป็นคำหยาบหมายถึงองคชาตด้วย

เซียวฮูหยินเพ่งพินิจบุตรสาวด้วยสีหน้าอันซับซ้อนอยู่บ้าง เอ่ยเพียงคำเดียวว่า “ดี”

ตอนนี้อวี๋ไฉ่หลิงค่อยเห็นรูปโฉมของเซียวฮูหยินถนัดชัดเจน อดไม่ได้ที่จะอุทานในใจว่า ยอดเยี่ยม ตนมาอยู่ยุคนี้ตั้งนานแล้ว เคยเห็นสตรีที่ดูได้แค่ไม่กี่คน ไม่ใช่ฟันเหยินก็คือตาโปน ไม่ใช่ร่างใหญ่หนาก็คือผอมเหมือนลำไผ่ ไม่นึกเลยว่าเซียวฮูหยินจะโฉมงามผิวขาวเนียนเช่นนี้ น่ามองกว่าปีศาจจิ้งจอกน้อยข้างตัวพ่ออวี๋ฝูงนั้นเสียอีก เด็กสาวพลันคาดหวังกับรูปโฉมของตนเองขึ้นมาแล้ว

อาจเพราะลุกขึ้นเร็วไปสักหน่อย อวี๋ไฉ่หลิงจึงเวียนหัวตาลายอีกระลอก ตัวเอียงซบบ่าสาวใช้ในอาการกึ่งหมดสติ ท่าทางนี้เป็นความจริงครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเสแสร้งทำออกมา

เฉิงสื่อเห็นบุตรสาวตัวผอมเล็ก เมื่อครู่เสียงพูดก็อ่อนแรงน่าสงสาร ข้างแก้มยังมีรอยน้ำตาที่ฝากไว้ขณะหลับ ตอนนี้พิงบนร่างสาวใช้ยิ่งดูตัวเล็กจ้อยเปราะบางดุจตุ๊กตากระดาษ ดวงหน้ามีขนาดเท่าฝ่ามือของเขาเท่านั้น คิดดูแม่นางน้อยวัยสิบสามจะย่างสิบสี่ในบ้านชาวนาทั่วไปล้วนต้องออกเรือนแล้ว ทว่าบุตรสาวของเขากลับบอบบางจนน่าเวทนาเพียงนี้ พาให้เขาปวดใจขึ้นมาทันใด จึงเอ่ยด้วยเสียงดังว่า “ข้าเฝ้าคุมที่มั่น ฆ่าข้าศึกอยู่ข้างนอก ในห้วงเวลาอันยากเข็ญเยี่ยงนั้นภรรยาข้าก็ยังสามารถดูแลบริวารเลี้ยงดูบุตร บุตรชายสามคนแรกกับบุตรชายคนสุดท้องที่คลอดมาภายหลังล้วนแข็งแรงดี มีเพียงเหนียวเหนี่ยวที่อยู่ในเรือนอันสุขสงบในเมืองหลวงหลังนี้ ทว่ากลับถูกเลี้ยงดูจนอยู่ในสภาพนี้ไปได้! พวกเราจะถามสาเหตุสักประโยคไม่ได้เลยเชียวหรือ”

พอวาจานี้เอ่ยออกมา เก่อซื่อในฐานะผู้รับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กถึงกับหน้าเผือดขาว เฉิงสื่อกำลังติเตียนนางอยู่อย่างเห็นได้ชัด

อันที่จริงเฉิงสื่อปรักปรำนางแท้ๆ นอกจากป่วยเฉียบพลันหนนี้เกิดจากนางเพิกเฉยจริง ช่วงเวลาที่เหลือนางล้วนเลี้ยงดูด้วยอาหารชั้นดี อย่างไรเสียฮูหยินผู้เฒ่าสกุลวั่นก็อยู่ข้างบ้านนี้เอง ซ้ำยังหมั่นถ่อมาพูดกระแหนะกระแหนนางด้วย ‘น่าสงสารเด็กน้อยที่ไม่มีบิดามารดาอยู่เคียงข้าง หากเจ้าไม่อาจเลี้ยงดูให้ดี ก็มิสู้ส่งคืนไปอยู่ข้างกายแม่ทัพเฉิง’ แม่สามีนางแก่ตัวแล้วคร้านจะยุ่มย่าม ขอเพียงรั้งเด็กไว้ได้ เรื่องอื่นล้วนไม่แยแส นางตัวคนเดียวจะระบายแค้นก็ไม่กล้าคิดหาวิธีการที่โหดเหี้ยมนัก

น่าโมโหเด็กนี่ที่เกิดมาตัวผอมแบบบาง กินหมูเห็ดเป็ดไก่เข้าไปเท่าใดล้วนสูญเปล่า ประกอบกับหน้าอ่อนกระดูกเล็ก ห้าขวบดูคล้ายสามขวบ สิบขวบดูคล้ายเจ็ดขวบ นี่สิบสามจะย่างสิบสี่แล้วสภาพก็ยังดูคล้ายอดโซกินไม่อิ่ม ผู้อื่นมาเห็นย่อมจะพูดว่าเป็นเพราะอาสะใภ้ใจจืดใจดำ ทั้งที่จริงสิบปีมานี้นอกจากเจตนาปล่อยปละตามใจให้เด็กเสียคน กับจงใจหาเรื่องก่นด่าแล้ว ตนล้วนงัดลูกไม้อื่นใดไม่ออกทั้งสิ้น

ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถูกบุตรชายคนโตชิงต่อว่าไปหนึ่งยกก็พลันฉุนเฉียว ตีอกชกตัวคร่ำครวญเสียงลั่น “…คนเราแก่ตัวแล้วถูกรังเกียจรังงอนจริงเสียด้วย เจ้าไม่กลับมาตั้งหลายปี พอกลับมาก็ห่วงหาแต่ลูก แม่แท้ๆ ของตนเองสุขหรือทุกข์ไม่มีถามถึงสักประโยค พักนี้ข้าเองก็ป่วยมิใช่เบา…” นางพูดพลางรีบไอแห้งๆ หลายหนเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นความจริง จากนั้นร่ำไห้กล่าวต่อ “ตอนที่พ่อเจ้าเสียไป พวกเจ้าพี่น้องพูดไว้ว่าอย่างไร บอกว่าจะกตัญญูต่อข้า ตอนนี้ไม่ทำให้ข้าโมโหตายก็นับว่าบุญโขแล้ว!”

นางร่ำไห้ไปทุบเก้าอี้พับไปไม่พอ ยังยืนพรวดขึ้นแล้วแผดเสียงราวหมูป่าที่สองตาแดงก่ำ “หากเจ้ายังไม่พอใจ มิสู้ข้าตายชดใช้ชีวิตให้เหนียวเหนี่ยวเลยแล้วกัน!”

เดิมฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีพื้นเพเป็นชาวนาในชนบท ประกอบกับมีรูปร่างสูงใหญ่ พออาละวาดขึ้นมา ห้องทั้งห้องจึงคล้ายสั่นสะเทือนในทันที หลี่จุยที่อยู่ด้านข้างเห็นสบโอกาสก็แอบสะกิดเก่อซื่อโดยไม่รอช้า เก่อซื่อจึงรีบก้าวออกมาเสริมทัพ “ท่านแม่อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่เป็นถึงขุนน้ำขุนนาง ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันทรงยึดถือหลักกตัญญูเป็นที่สุดมิใช่หรือ พี่ใหญ่จะไม่กตัญญูได้อย่างไรกันเจ้าคะ!”

เฉิงสื่อไม่อาจระบายอารมณ์ใส่มารดา จึงหันหน้าไปเอ่ยกับเก่อซื่อ “หลายปีก่อนร่างกายท่านแม่หายดีแล้ว ข้าเคยส่งคนมารับตัวเหนียวเหนี่ยว ตอนนั้นน้องสะใภ้เขียนมาในสารว่าอย่างไรนะ บอกว่าเหนียวเหนี่ยวอยู่ที่บ้านดียิ่งยวด ดีในทุกด้าน กลัวว่าไปข้างนอกกลับจะไม่สุขสบาย!”

อวี๋ไฉ่หลิงระรื่นอยู่ในใจ ยอดเยี่ยมๆ ท่านพ่อเฉิงผู้นี้ไม่มีท่าทีของสุภาพบุรุษโดยสิ้นเชิง สามารถตอกหน้าสตรีได้สบายๆ ชนิดไม่กดดันสักนิดเดียว

เก่อซื่อถูกคำประณามที่ดังกังวานปานระฆังยักษ์นี้ทำให้ผวา ถอยตัวลีบไปด้านข้างทันใด ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเห็นเช่นนั้นก็โต้กลับเสียงแหลม “เจ้าไม่ต้องมาด่าข้าทางอ้อม เป็นข้าเองที่ไม่ให้เหนียวเหนี่ยวไป! หมอดูบอกว่าถึงแม้ตอนนั้นข้าหายดีแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าหากเหนียวเหนี่ยวไป ข้าจะเป็นอันใดหรือไม่” นางได้คำพูดเมื่อครู่ของเก่อซื่อเตือนให้ฉุกคิด จึงรีบรุกต่อ “ข้างนอกยังมีขุนนางใหญ่ลูกกตัญญูที่กรีดเลือดเฉือนเนื้อเพื่อให้บิดามารดาหายป่วย นี่บุตรสาวป่วยแค่คนเดียว เจ้ากลับรุ่มร้อนเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมองไปทางเซียวฮูหยินที่นั่งคุกเข่าก้มหน้าอย่างนอบน้อมอยู่อีกด้าน ก่อนหัวเราะออกมาดังๆ “ไม่อย่างนั้น หนนี้พวกเจ้าออกไปก็ทิ้งเซ่ากงไว้ให้ข้า ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกแฝดชายหญิง ทิ้งคนไหนไว้ก็เหมือนกัน หาไม่…หึๆ เจ้าเป็นบุตรชายข้า ข้าไม่อาจหักใจ แต่ภรรยาคนดีของเจ้า ข้าจะไปฟ้องร้องนางข้อหาอกตัญญูแน่นอน!”

เฉิงสื่อแย้งอย่างเร่งร้อน “นี่เกี่ยวอันใดกับนางเล่า! ไยท่านแม่ต้องจับผิดนางอยู่เรื่อย!”

เซียวฮูหยินก้มหน้ามาโดยตลอด ทว่าอวี๋ไฉ่หลิงสายตาแหลมคม มองไปจากมุมนี้สามารถเห็นอีกฝ่ายเผยรอยยิ้มหยันที่มุมปากได้พอดี รอจนยามที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นก็คืนสู่ท่าทางอ่อนน้อมโศกสลดดังเดิมแล้ว

เห็นเซียวฮูหยินประสานมือโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก่อนกล่าวเสียงเศร้าสร้อย “ขอท่านแม่อย่าขึ้งโกรธเลย ผู้ใดเล่าจะรู้จักบุตรดีไปกว่ามารดา นิสัยใจคอของใต้เท้าเป็นเช่นไรมีหรือท่านแม่จะไม่รู้ได้ นานปีที่อยู่ข้างนอกใต้เท้ามักขุ่นเคืองใจที่ไม่อาจอยู่ปรนนิบัติข้างกายท่านด้วยตนเอง ทว่าในใจเขาคิดถ้อยคำเป็นดิบดี กลับไม่แน่ว่าปากจะสามารถกล่าวออกมา”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถากถางลูกสะใภ้ใหญ่ด้วยสายตาก่อนเอ่ย “ข้าหรือจะมีฝีมือเท่าเจ้า เมื่อครู่สื่อเอ๋อร์มิใช่พูดเองหรือว่าเจ้าเก่งกาจอย่างนั้นอย่างนี้ บริวารกับลูกๆ ล้วนดูแลได้เป็นอย่างดี ผิดกับข้าที่ไม่มีปัญญากระทั่งจะดูแลเด็กน้อยคนเดียว เมื่อก่อนสกุลเฉิงจะทำเรื่องใดสื่อเอ๋อร์ล้วนหารือกับข้า ทว่านับแต่เจ้าเข้าประตูมา ไม่ว่าเรื่องในนอกหรือใหญ่เล็ก ขอเพียงเจ้าอ้าปาก สื่อเอ๋อร์ล้วนขานรับว่า ‘ถูกๆๆ ใช่ๆๆ’ เขายังเห็นแม่คนนี้ในสายตาอยู่อีกหรือ!”

ฟังวาจาตัดพ้อเจืออารมณ์ริษยานี้แล้ว อวี๋ไฉ่หลิงแม้ไม่กล้าขยับคอ แต่ก็ส่ายหัวระรัวอยู่ในใจ คนเป็นมารดารู้สึกว่าตนเองยังมีพลังไม่แก่ชรา อยากชะลอวัยเกษียณออกไปก่อน ทว่าคนเป็นลูกชายลูกสะใภ้กลับไม่ยอมให้นางได้เปล่งประกายเฉิดฉายต่อ ก็สมควรแล้วที่จะถูกพูดเหน็บแนม

เฉิงสื่อชี้แจงด้วยท่าทางที่เหมือนปวดหัว “ข่งจื่อว่าไว้ บุตรพึงแบกรับกิจของบุพการี ลูกสะใภ้ก็หมายกตัญญูต่อท่านแม่ จึงได้ดูแลงานในเรือน ท่านแม่จะได้พักให้สบาย…”

วาจานี้ไม่พูดออกมายังพอทำเนา พอพูดออกมาฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ยิ่งโกรธเป็นเท่าทวี “ข่งจื่อผายลมน่ะสิ! ขืนพักให้สบาย ข้าก็ต้องฝังลงดินแล้ว! ฮูหยินสูงศักดิ์ข้างนอกนั่นเอาแต่ประสานเสียงชมภรรยาเจ้าว่าเป็นกุลสตรีเพียบพร้อม แต่กลับไม่เห็นข้ายายเฒ่าอยู่ในสายตาเลย ยามปกติไม่แม้แต่จะคบหา มารดาของแม่ทัพวั่นอาศัยอยู่ข้างบ้านแท้ๆ นานปีมานี้กลับพูดกับข้าไม่ถึงสามประโยคด้วยซ้ำ เจอหน้าทีไรหากไม่ชมว่าภรรยาเจ้าเลี้ยงบุตรช่วยสนับสนุนสามีอยู่แนวหน้าไม่ง่ายดาย ก็จะไถ่ถามว่าเหนียวเหนี่ยวสบายดีหรือไม่ ทำราวกับคนเป็นย่าและอาสะใภ้จะกินเหนียวเหนี่ยวลงไปอย่างไรอย่างนั้น! ครานี้พวกเจ้าอยู่ข้างนอกจับเชลยยึดสิ่งของได้กี่มากน้อย จะได้บำเหน็จอีกเท่าใด พวกเจ้าไม่บอก ไม่มีใครแย้มพรายข่าว ข้าก็คือหญิงชราตาบอดดีๆ นี่เอง!”

ถ้อยคำอันยืดยาวเช่นนี้ อวี๋ไฉ่หลิงเพียงเห็นพ้องกับประโยคแรก แล้วก็ไม่กี่คำสุดท้ายซึ่งเธอไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร

เซียวฮูหยินคำนับติดกันหลายหนก่อนเอ่ยขอขมา “ทำให้ท่านแม่ไม่ชอบใจ เป็นความผิดของข้าเอง ทว่านี่ค่ำมืดมากแล้ว ท่านแม่กลับไปพักผ่อนเร็วหน่อยจึงจะเป็นการดีนะเจ้าคะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไม่แยแสลูกสะใภ้ เพียงมองเฉิงสื่อบุตรชายคนโตพลางเอ่ยประชด “ข้าต้องไปพักผ่อนในโลงกระมังจึงจะสมใจพวกเจ้า ข้าไม่สน เจ้ากลับมาหนนี้จะต้องเลื่อนขั้นยศให้น้าชายเจ้าสักหลายร้อยตั้น เขาเองก็ลำบากตรากตรำมาตั้งหลายปี อีกอย่างจงหาเงินสองหมื่นเฉียน** มาให้น้าสะใภ้เจ้าด้วย สกุลต่งจะแต่งลูกสะใภ้เพิ่ม”

 

** เฉียน คือหน่วยของเหรียญเงินขาว มีรูตรงกลางเหมือนเหรียญอีแปะ (เหรียญสำริด) แต่ทำจากโลหะเงินจึงมีค่ามากกว่า โดยทั่วไป 10 เฉียนเท่ากับ 1 ตำลึงเงิน

เฉิงสื่ออดกลั้นจนเหลืออดแล้ว “ข้ารู้หรอก นั่นไม่ใช่แต่งลูกสะใภ้ แต่จะรับอนุเลี้ยงสาวใช้ต่างหาก! ต่งหย่งบุตรชายของท่านน้าอ่อนกว่าข้าหลายปี กลับรับเลี้ยงไม่รู้ตั้งกี่คนแล้ว ใช่ว่าเขาไม่มีทายาทเสียหน่อย ยังจะขอเงินมากเพียงนี้อีก…”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก้มมองเซียวฮูหยินที่คุกเข่ากับพื้น ก่อนเงยหน้ามองเฉิงสื่อพร้อมวาจาแดกดัน “หลายปีมานี้เจ้าถลุงเงินเท่าไรให้เซียวเฟิ่งเล่าเรียนแต่งภรรยา ไม่ยักเห็นเจ้ากะพริบตาสักหน น้องชายภรรยาเจ้าเป็นญาติ น้องชายมารดาเจ้าเป็นคนนอกหรือ! ยิ่งไปกว่านั้น การหาสาวใช้มาปรนนิบัติสามีกับพ่อแม่สามีมากหน่อยเรียกว่าภรรยาเอกของอาหย่งมีน้ำใจงามรู้เหตุรู้ผล ไม่เหมือนกับบางคน…ฮึ หากเจ้ากตัญญูจริง ก็รับอนุสักหลายๆ คนมาปรนนิบัติข้าจึงจะถูก”

เฉิงสื่อรู้ซึ้งว่ามารดาดื้อดึงไร้เหตุผล จึงตอบอย่างโกรธจัด “เล่าเรียนแต่งภรรยาเป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรม แต่รับอนุเลี้ยงสาวใช้…”

เซียวฮูหยินพลันหมุนตัวมาเอ่ยตัดบทสามีเบาๆ “ใต้เท้าอย่าพูดอีกเลย ทำตามที่ท่านแม่บอกก็พอ” แผ่นหลังของนางหันให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง เก่อซื่อ และเหล่าสาวใช้ แววตาที่ส่งไปหาสามีสั่นไหวนิดๆ คล้ายสื่อความนัย ทว่าพวกฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่อยู่ด้านหลังล้วนไม่อาจเห็นอารมณ์บนใบหน้าของนาง มีเพียงอวี๋ไฉ่หลิงที่เห็นถนัดชัดแจ้ง

เฉิงสื่อหลับตาชั่วครู่ ก่อนประสานมือเอ่ยอย่างจนใจ “ท่านแม่กล่าวถูกต้อง ค่ำมืดเพียงนี้ท่านแม่ควรจะเข้านอนแล้ว”

เห็นบุตรชายคนโตกับลูกสะใภ้ใหญ่ล้วนยอมก้มหัวแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจึงลุกขึ้นออกเดินไปด้วยความพึงพอใจ โคลงศีรษะอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องราวเสนาบดีเต่าแห่งวังมังกรทะเลบูรพา ด้านหลังมีสาวใช้เจ็ดแปดคนติดสอยห้อยตาม เก่อซื่อรีบตามขบวนไปด้วย ในใจลอบยินดีที่ผ่านด่านแม่นางสี่ล้มป่วยด่านนี้ไปจนได้ เห็นทีว่าเซียวฮูหยินจะยังคงกริ่งเกรงแม่สามีอยู่ จึงไม่กล้าเข้ามายุ่มย่ามนัก ไม่กี่วันที่ผ่านมาตนตื่นตูมไปเปล่าๆ แม้แต่ข้ออ้างที่เตรียมไว้ก็ไม่ต้องใช้ ก่อนก้าวพ้นประตูเก่อซื่อยังชำเลืองมองหลี่จุยคนสนิทของตนอย่างลำพองใจ คล้ายกำลังบอกว่า…ดูสิ ปลอดภัยหมดเรื่องแล้ว

หลี่จุยย่อมเออออ รีบก้าวขึ้นหน้าไปพยุงนายหญิงของตนทั้งที่ลอบแปลกใจ เมื่อสิบปีก่อนมีศึกใหญ่ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้เช่นนี้บ่อยครั้ง โดยมากยุติลงด้วยการก้มหัวขอขมาของเซียวฮูหยิน หากบานปลายรุนแรง ท่านใหญ่เฉิงสื่อก็จะโต้เถียงไปมากับมารดาหนึ่งยกก่อนปิดฉากแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์

ทว่าวันนี้เซียวฮูหยินแม้ขอขมาติดๆ กัน ท่าทีกลับดูไม่ร้อนรนสักเท่าใด ให้ความรู้สึกว่าทำอย่างขอไปทีอยู่บ้าง ท่านใหญ่เฉิงสื่อยิ่งดูพิกล เมื่อก่อนสถานการณ์เช่นนี้เป็นต้องโวยวายหลายประโยคจึงจะถูก วันนี้ถึงกับเลิกราอย่างง่ายดายเช่นนี้ ซ้ำไม่ได้เร่งพยุงเซียวฮูหยินที่ยังคุกเข่าก้มคำนับกับพื้นขึ้นมา ทว่าคิดส่วนคิด หลี่จุยไม่กล้าพูดให้มากความหรอก นางรู้ดีฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไม่แน่ว่าจะชอบนายหญิงของนางมากมายอะไร เพียงแต่ชิงชังเซียวฮูหยินเหลือเกินจึงใช้ลูกสะใภ้รองเป็นเครื่องมือต่อกรกับลูกสะใภ้ใหญ่เท่านั้นเอง

ครั้นเห็นขบวนของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกับเก่อซื่อทั้งสองกลุ่มถอยออกจากห้องไปดุจกระแสน้ำไหล รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวฮูหยินก็อันตรธานไป หันหน้ากลับมามองเฉิงสื่อนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาสักคำ

เฉิงสื่อถอนหายใจ นั่งลงบนเก้าอี้พับที่มารดาของตนนั่งเมื่อครู่ หันไปมองบุตรสาวที่พิงร่างสาวใช้สลบไสลไปอีกครา ก่อนถอนหายใจออกมาเป็นคำรบสอง

อาชิงลุกขึ้น สั่งให้สาวใช้สองคนนั้นปรนนิบัติอวี๋ไฉ่หลิงเอนนอนลง ตนเองลูบสัมผัสหน้าผากเด็กสาวอย่างละเอียดถี่ถ้วน ค่อยปล่อยม่านต่วนแพรผืนหนักลงจากราวกั้นเตียงเองกับมือ จากนั้นทำมือสั่งการสาวใช้ที่เหลือให้ถอยออกไปตามลำดับ แล้วปิดประตูห้องโดยไร้เสียง

ภายในพื้นที่ซึ่งปิดกั้นด้วยผ้าม่านแล้วนี้ อวี๋ไฉ่หลิงนอนตะแคงหันหน้าเข้าด้านใน เพียรปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอแสร้งหลับต่อไป เปลือกตาปิด มือกำหมัด ฝ่ามือผุดเหงื่อซึม ไม่รู้ว่าสามีภรรยาคู่นี้จะพูดอันใดเป็นการส่วนตัว…ตอนนี้อวี๋ไฉ่หลิงสนใจใคร่รู้ในตัวบิดามารดาของร่างนี้เป็นที่สุดแล้ว

ความจริงอุปนิสัยของเซียวฮูหยินระวังรอบคอบยิ่ง หากมิใช่เก่อซื่อตระเตรียมไม่ทัน ยามฉุกละหุกเพียงเจียดได้ห้องไม่กี่ห้องมาให้กลุ่มของเฉิงสื่อ ประกอบกับเซียวฮูหยินก็ไม่ยอมให้บุตรสาวกลับไปอยู่ในเรือนของเก่อซื่ออีกแล้ว หาไม่นางคงไม่มีทางรั้งอยู่สนทนาในห้องของบุตรสาวเด็ดขาด

ผ่านไปไม่นานนัก อาชิงก็เข้ามาทางประตูบานหนึ่งของห้องชั้นใน นางพาสตรีอีกคนเข้ามาด้วย สตรีผู้นั้นคำนับพลางเรียกขานผู้เป็นนาย อวี๋ไฉ่หลิงฟังออกในทันที ที่แท้ผู้มาถึงกับเป็นอาจู้!

“อาจู้ ลุกขึ้นเถิด” เซียวฮูหยินก้าวขึ้นหน้าไปประคองอีกฝ่ายด้วยตนเอง “หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว ได้อยู่พร้อมหน้ากับอาอี่นานๆ ครั้งเท่านั้น”

อาจู้น้ำตารื้น มองเซียวฮูหยินพลางเอ่ยปนสะอื้น “นายหญิงไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ส่วนใต้เท้าน่าเกรงขามเหนือกว่ากาลก่อนอีกเจ้าค่ะ”

นับแต่เข้าประตูมาจนบัดนี้เฉิงสื่อเพิ่งจะแย้มยิ้ม เขาลูบหนวดดกของตน แล้วหันไปเอ่ยกับภรรยา “อาจู้ยังเหมือนเดิมเลย ไม่พูดก็แล้วไป พูดทีชอบเอาเรื่องจริงมาพูด”

วาจานี้พอออกจากปาก ตั้งแต่อวี๋ไฉ่หลิงที่แสร้งหลับอยู่ไปจนถึงเซียวฮูหยินผู้เยือกเย็นล้วนแต่มุมปากสั่นกระตุก ส่วนอาชิงใช้แขนเสื้อป้องปากหัวเราะออกมาเบาๆ

หลังจากโอภาปราศรัยไม่กี่คำ เซียวฮูหยินก็นั่งลงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเล่ามาเถิด”

อาจู้ประสานมือรายงานอย่างเคร่งขรึม “ตอนนั้นบ่าวรับบัญชาจากนายหญิงรั้งอยู่ในเรือนสวน หลายปีล้วนไม่มีความเคลื่อนไหว เพียงได้ยินชื่อเสียงความเกเรของคุณหนูแพร่มารางๆ กระทั่งเมื่อเดือนก่อนได้ยินว่าคุณหนูวิวาทกับผู้อื่นในงานชมดอกเหมย ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเท็จ นางจึงถูกเก่อซื่อลงโทษให้ไปสำนึกผิดในเรือนสวนอีกแห่ง ผู้รับคำสั่งเฝ้าคุมคุณหนูคือป้าสูงวัยที่เป็นเครือญาติของหลี่จุย ขี้เมาและสุกเอาเผากินเป็นที่สุด ในวันที่น้ำหยดกลายเป็นน้ำแข็งเช่นนั้น ถึงกับทิ้งคุณหนูตัวเล็กๆ ไว้เพียงลำพังในบ้านอิฐอันหนาวเย็นและถูกทิ้งร้างมาช้านาน น้ำแกงร้อนๆ ข้าวร้อนๆ ก็ไม่มี ไม่ทันไรคุณหนูก็ล้มป่วย ยามที่บ่าวเร่งติดสินบนหลี่จุยจนได้ไปดูแลคุณหนูแทนนั้น คุณหนูเป็นไข้มาหลายวันแล้วเจ้าค่ะ”

เฉิงสื่อเดือดดาล ฟาดหนึ่งฝ่ามือใส่ที่เท้าแขนของเก้าอี้พับ จนที่เท้าแขนสลักลายนั้นปริร้าวบังเกิดเสียงให้ได้ยิน “หญิงผู้นี้น่าชังเหลือทน ควรให้น้องรองหย่านางทิ้งเสีย!”

อาจู้รีบก้มคำนับ “ล้วนเป็นความผิดของบ่าวเอง”

เซียวฮูหยินโบกมือเบาๆ “ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย คนที่ประจำอยู่เรือนสวนแห่งนั้นไม่ใช่เจ้า เจ้าสามารถรุดไปทันกาลก็ดีมากแล้ว”

“อาเยวี่ยนาง…” อาจู้เพิ่งจะเริ่มเอ่ย เซียวฮูหยินก็ยับยั้งอย่างเฉียบขาด “ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร”

อวี๋ไฉ่หลิงลอบตระหนก ฟังน้ำเสียงอันเด็ดขาดจัดเจนของเซียวฮูหยินในเวลานี้แล้ว แทบไม่กล้าเชื่อว่าเป็นสตรีที่เมื่อครู่ก้มหน้าคุกเข่าขอขมาเสียงอ่อนผู้นั้น ที่แท้แสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ* จริงเสียด้วย

เห็นสีหน้าของใต้เท้ากับนายหญิง อาชิงก็ส่งสายตายิ้มกล่าวกับอาจู้ “นั่นเป็นหนแรกที่เจ้าได้พบคุณหนูกระมัง ได้ยินว่าคุณหนูอารมณ์ร้าย นางเคยดุเจ้าตีเจ้าบ้างหรือไม่”

อาจู้ตอบปนสะอื้นแผ่ว “ดุด่าทุบตีอันใดกันเจ้าคะชิงชงฮูหยิน ตอนที่บ่าวรุดไปถึง คุณหนูลมหายใจรวยรินแล้ว น่าสงสารเด็กสาวที่ตัวเล็กเพียงนั้น ไข้ขึ้นจนทั่วร่างร้อนลวก นอนกับฟูกบนพื้นซึ่งทั้งชื้นทั้งหนาว เป็นไข้จนสติรางเลือน ยาก็ไม่อาจกลืนได้ ตอนนั้นบ่าวทั้งตระหนกทั้งหวั่นหวาดยิ่งนัก กลัวว่าคุณหนูจะเป็นอันใดไป และเกรงว่าจะผิดต่อคำฝากฝังของนายหญิง!”

เฉิงสื่อมองไปยังเตียงด้านหลังม่านที่ทิ้งตัวต่ำ นึกถึงรูปร่างเล็กจ้อยเปราะบางของบุตรสาวที่เพิ่งได้พบ แล้วนึกถึงบุตรชายสี่คนที่เลี้ยงอยู่ข้างกายและล้วนแข็งแรงดุจลูกวัว ก็ให้ยิ่งสงสารปวดใจเป็นเท่าทวี

“สำหรับอุปนิสัยของคุณหนู บ่าวมิกล้าพูดมาก ขอใต้เท้ากับนายหญิงรอจนคุณหนูหายป่วยแล้วตรวจสอบเองเถิด” อาจู้กล่าวอย่างขุ่นแค้น “ที่แท้มีคนจงใจปล่อยคำลือใช่หรือไม่ ทุกประการล้วนจะได้รู้กัน”

ฝูอี่กับอาจู้สองสามีภรรยาติดตามเฉิงสื่อมาสิบกว่าปี เฉิงสื่อรู้จักนิสัยของทั้งสองดี อาจู้กล้าพูดเช่นนี้ บุตรสาวของเขาต้องมิได้เป็นเช่นคำลือข้างนอกแน่

ชิงชงสังเกตสีหน้าเฉิงสื่ออย่างละเอียด ก่อนหันไปเอ่ยปนยิ้ม “ยังคงเป็นนายหญิงที่คิดการรอบคอบ ทิ้งคนไว้ที่เรือนสวนแต่แรก ไม่เช่นนั้นล่ะก็…คงแย่ไปแล้ว ใครจะคิดเล่าว่าฮูหยินรองจิตใจอำมหิตเยี่ยงนี้”

เฉิงสื่อหน้าดำทะมึนอีกครา เซียวฮูหยินปรายตามองเขา ทว่าเอ่ยกับชิงชงเสียงเนิบ “ช่วยไม่ได้นี่ ใครใช้ให้คนที่ข้าเจอเป็นตัวโง่งมเล่า เจอคนฉลาดไม่น่ากลัว ชั่วดีอย่างไรเจ้าก็รู้ว่าคนผู้นั้นจะไม่กระทำเรื่องโง่ๆ แต่ถ้าเจอกับตัวโง่งมก็ลำบากแล้ว”

 

* แสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ เป็นสำนวนจีน หมายถึงคนที่แท้จริงมีอำนาจยิ่งใหญ่หรือมีความสามารถแต่แสร้งทำตัวเซ่อซ่าให้ผู้อื่นหลงกลเพราะหวังผลประโยชน์จากอีกฝ่าย

กล่าวมาถึงตรงนี้นางก็เปล่งเสียงหัวเราะหยัน ก่อนเอ่ยต่อช้าๆ ราวกำลังพูดคุยสัพเพเหระ “ปีนั้นคนสกุลตงหลีว์ที่บ้านเกิดของพวกเราแต่งภรรยาคนที่สอง เจ้ายังจำได้หรือไม่ ทางบ้านของภรรยาคนแรกที่เสียไปใช่ว่าไม่มีกำลังคน สามีก็ไม่ใช่พวกดวงตามืดบอด ใครจะรู้พอภรรยาคนที่สองคลอดได้บุตรชายของตนเอง กลับฉวยจังหวะขณะพวกบุรุษออกไปตรวจตราป้องกันโจรขโมย จับบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่เกิดจากภรรยาคนแรกไปขายแล้วอ้างว่าเด็กพลัดหายไป ทำเอาคนทั้งหมดตกตะลึง อุทานว่าไฉนจึงมีสตรีโง่เง่าสิ้นคิดเยี่ยงนี้ได้ ทว่าใต้หล้ามีคนที่ไร้สมองพรรค์นี้อยู่จริงๆ มักคิดไปเองว่าตนกระทำชั่วแล้วยังจะสามารถอยู่รอดลอยนวล”

ชิงชงต่อบทสนทนา “ต่อมาตอนที่จับตัวสตรีผู้นั้นมาสอบสวน นางยังร่ำร้องว่าตอนนี้สกุลตงหลีว์เหลือแต่บุตรชายของนางแล้ว จะเอาชีวิตมารดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้ สุดท้ายผู้นำสกุลตงหลีว์เป็นผู้ชี้ขาด ยังคงให้นางฆ่าตัวตายไปเสีย เฮ้อ น่าเสียดายบุตรชายที่นางให้กำเนิด เพียงไม่กี่วันก็ลาโลกไป ไม่นานนักสกุลตงหลีว์ก็แต่งสะใภ้ใหม่เข้ามาและให้กำเนิดบุตรธิดามาทดแทน ผู้ใดเล่ายังจะจดจำนางได้อีก”

เซียวฮูหยินกล่าว “ที่ข้ารู้สึกเสียดายกลับเป็นบุตรชายหญิงที่เกิดจากภรรยาคนแรก ต่อให้สังหารตัวการไปแล้ว ไม่ว่าคนสองสกุลจะปวดใจสักเพียงใด เด็กชายหญิงที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคู่นั้นก็ล้วนไม่อาจตามหาคืนมาได้อีก ไม่รู้อยู่ข้างนอกจะถูกผู้อื่นเหยียบย่ำเช่นไรบ้าง” น้ำเสียงนางพลันเปลี่ยน “แล้วนับประสาอะไรกับสกุลเฉิงที่เทียบสกุลตงหลีว์ไม่ได้ด้วยซ้ำ หากเหนียวเหนี่ยวล้มป่วยจากไปจริงๆ ใต้เท้าจะสามารถเอาชีวิตเก่อซื่อเพื่อลูกได้หรือ ซ้ำเหนือขึ้นไปก็ยังมีท่านแม่อยู่อีกทั้งคน”

ถ้อยคำเอ่ยมาถึงตรงนี้ สายตาของเซียวฮูหยินก็จรดนิ่งบนใบหน้าของเฉิงสื่อ เฉิงสื่อมองตอบภรรยาโดยไม่พูดจา

เห็นท่านใหญ่สามีภรรยาใช้สายตามองกันไปมา ชิงชงก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา “ข้าด้อยปัญญา คิดว่าอยู่ในจวนต่อให้ถูกดุด่าเช่นไรก็คงไม่เกิดเรื่องใหญ่โต แต่หากก้าวพ้นประตูใหญ่ไปก็ไม่แน่แล้ว” คิดในแง่ร้ายสักหน่อย แม่นางน้อยไปอยู่เรือนสวนโดยไม่มีบ่าวคุ้มกันดูแล อาจเจอเข้ากับนักเลงหัวไม้แล้วถูกข่มเหงก็สุดจะรู้ ถึงตอนนั้นเรื่องเสียเปรียบที่พูดร้องทุกข์ไม่ออกนี้จะไม่กล้ำกลืนลงไปก็ต้องกล้ำกลืนลงไปอยู่ดี

เซียวฮูหยินมองดูสีหน้าอึมครึมเคืองใจของสามีพลางยิ้มเยาะ “ยังดีนะ พื้นเพของพวกเรามาจากชนบท กำลังทรัพย์ไม่มากนัก นานปีมานี้จึงซื้อเรือนสวนเล็กๆ รวมแค่สองแห่ง หากเป็นชนชั้นสูงมาหลายชั่วคนเช่นสกุลหยวนสกุลโหลว ทรัพย์สินคงเกินจะนับ มีที่นาทอดยาวถึงสองสามอำเภอ เช่นนั้นต่อให้ข้าป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่ไหวหรอก”

เฉิงสื่อหลับตาชั่วอึดใจก่อนเอ่ยเสียงหนัก “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เหล่านี้ข้าล้วนเข้าใจดี อาชิง เจ้าเรียกเฉิงซุ่นไปรอข้าที่เรือนหน้าที”

ชิงชงเผยความยินดีบนใบหน้า รีบขานรับก่อนออกไป อาจู้เห็นเช่นนั้นก็ค้อมกายถอยออกไปเช่นกัน

รอบข้างไร้ผู้อื่นแล้ว เซียวฮูหยินยืนขึ้นช้าๆ เดินไปถึงข้างกายสามี สองมือคลึงบ่าที่หนากว้างของเขาพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ในตำราว่าไว้ไม่ใช่หรือ ฝืนใจคล้อยตามก็เป็นความอกตัญญูอย่างหนึ่ง หลายปีมานี้ท่านแม่ทำเกิน…”

เฉิงสื่อยกมือข้างหนึ่งวางทับมือภรรยาที่อยู่บนบ่าของเขาก่อนเอ่ย “ข้าเข้าใจ เมื่อก่อนตอนที่ทางบ้านยากไร้ ท่านแม่มิได้เป็นเช่นนี้ ขอเพียงมีเสบียงเหลืออยู่บ้าง นางล้วนยินดีจุนเจือเพื่อนบ้านที่ขัดสน แม้ปากร้ายไปสักหน่อย ทว่าน้ำใจนั้นจริงแท้ ตรงข้ามกับหลายปีนี้ พอมั่งมีแล้วท่านแม่กลับวางอำนาจขึ้นทุกที เอะอะก็เรียกร้องเงินเรียกร้องตำแหน่งขุนนางให้น้าต่ง ซ้ำยังถูกยุยงจนไปฮุบที่นาของผู้อื่น น้าต่งยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ข้าเสี่ยงชีวิตอยู่แนวหน้า ส่วนเขารับเงินอยู่แนวหลัง ถือสิทธิ์อะไรกัน ถ้าไม่ใช่ท่านแม่…”

ตอนนี้ชิงชงเดินกลับเข้ามารายงานว่า “ใต้เท้า พ่อบ้านเฉิงซุ่นมารอแล้วเจ้าค่ะ”

เฉิงสื่อลุกขึ้นยืนก่อนเอ่ยกับภรรยา “ตลอดทางมานี้เจ้าเองก็เหนื่อยมาก พักผ่อนเร็วหน่อยเถิด อีกไม่กี่วันลูกๆ จะตามกลุ่มของแม่ทัพวั่นมาถึงแล้ว เจ้าอย่าได้หักโหม” จบคำเขาก็ผลักประตูเดินออกไป

ชิงชงรีบเดินตามไปปิดประตูก่อนหมุนตัวมาเอ่ยปนยิ้ม “นายหญิง ท่าทางใต้เท้าจะตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้วนะเจ้าคะ”

เซียวฮูหยินไม่พูดจา เพียงเบนสายตาไปทางเตียงนอน ชิงชงก็เข้าใจความนัย รีบตรงไปแง้มม่านดูอย่างเบามือเบาเท้า เห็นเด็กสาวตัวเล็กกำลังหลับลึก ลมหายใจให้สัมผัสอันร้อนชื้น นางจึงปล่อยม่านลงแล้วหันมากล่าว “เห็นทีไข้จะยังไม่ลดลงทั้งหมด หลับลึกเชียวเจ้าค่ะ”

เซียวฮูหยินประคองเอวเดินไปนั่งบนเก้าอี้พับ “ขจัดโรคเฉกเช่นการสาวไหม หมอหลวงตรวจอาการแล้ว บอกว่ากินยาอีกหลายเทียบจึงจะหายสนิท”

อวี๋ไฉ่หลิงแสร้งหลับอย่างช่ำชองแนบเนียน ในใจแสนจะคึกคักตื่นเต้น ท่านแม่ของฉันในชาตินี้เยี่ยมยอดยิ่งกว่าในชาติก่อน สามารถสับเปลี่ยนบุคลิกได้สบายๆ เวทีออสการ์ติดค้างท่านหนึ่งรางวัล!

ชิงชงเดินตรงไปนวดคลึงช่วงเอวให้อีกฝ่ายเบาๆ พลางเอ่ย “ใต้เท้าน่าจะตกลงใจแน่วแน่จนได้”

เซียวฮูหยินกล่าว “ใต้เท้าอยากจะลงมือนานแล้ว เพียงติดขัดที่ท่านแม่เท่านั้น”

ชิงชงทอดถอนใจ “นายท่านผู้เฒ่าด่วนจากไปเร็ว ฮูหยินผู้เฒ่าครองตนเป็นม่ายก็ไม่ง่ายดายเลย”

เซียวฮูหยินพลันเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ต่อให้ท่านพ่อยังอยู่ ชีวิตท่านแม่ก็จะง่ายดายหรือไร”

ชิงชงคลี่ยิ้มตามอย่างห้ามไม่อยู่

เซียวฮูหยินเอ่ยเยาะ “ตอนนั้นวงศ์ตระกูลของคุณชายผู้รักในการขับบทกวีประพันธ์ลำนำพลันตกยาก ภายใต้การปกครองอันฟอนเฟะของทรราชลี่ตี้ ผู้คนล้วนไม่มีอาหารจะกินแล้ว ใครกันยังจะฟังลำนำขับร้องเพลงอีก หากไม่อาจแต่งกับจั๋วเหวินจวิน* ผู้งมงายและมั่งมี ก็ไม่มีทางจะกลายเป็นซือหม่าเซี่ยงหรูไปได้หรอก ท่านพ่อที่ใกล้จะหิวโซแล้วจึงจำใจแต่งกับบุตรสาวชาวนาผู้มีอันจะกิน ตอนที่ท่านพ่อยังอยู่ หน่ายกระทั่งจะเอ่ยวาจากับท่านแม่ พอใต้เท้าเพิ่งซื้อเรือนใหม่ ท่านพ่อก็รีบยึดห้องใหญ่ห้องหนึ่งหาความสุนทรีย์กับลำนำกวีของตนไป ทั้งบอกว่าหากเห็นหน้าภรรยาบ่อยครั้งต่อวัน พานจะกินอาหารไม่ลงเอา”

นึกถึงท่าทีรังเกียจรังงอนฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงขณะที่นายท่านผู้เฒ่าเฉิงยังมีชีวิตอยู่ ชิงชงก็ผลิยิ้ม “นายท่านผู้เฒ่ากลับดีต่อนายหญิงมาก ปกป้องนายหญิงมาโดยตลอด”

“นั่นย่อมแน่นอน ท่วงทำนองที่ท่านพ่อเขียน ผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งบ้านมีแต่ข้าที่ดูรู้เรื่อง ทั้งที่เป็นสามีภรรยากันหลายสิบปี มีบุตรธิดาด้วยกันกลุ่มใหญ่ ท่านแม่กลับยังนึกว่าท่านพ่อหัดเขียนยันต์แบบพวกหมอดูคนทำพิธี เคยคิดจะเรียกให้ท่านพ่อตั้งแผงดูดวงเพื่อเพิ่มรายรับเข้าบ้านด้วยซ้ำ”

ในที่สุดชิงชงก็กลั้นไม่อยู่ หลุดเสียงหัวเราะคิกออกมา

ใครจะรู้หนนี้เซียวฮูหยินกลับไม่หัวเราะ ตรงข้ามยังทอดถอนใจกล่าว “ต่อมาบ้านเมืองวุ่นวายกว่าเดิม สกุลเฉิงใช่ว่าร่ำรวย ทั้งหมดล้วนอาศัยท่านแม่ดูแล จึงยังประทังปากท้องไปได้ แต่เล็กก็เห็นท่านแม่ตรากตรำ ซ้ำถูกท่านพ่อเฉยเมยเช่นนั้นอีก ใต้เท้าเป็นบุตรชายคนโตจะไม่ปวดใจได้หรือ”

ฟังมาถึงตรงนี้ อวี๋ไฉ่หลิงก็แอบหัวเราะอย่างพวกตัวร้าย ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดอารมณ์คับแค้นของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจึงมากมายเพียงนั้น

ชิงชงถอนหายใจเบาๆ “หากนายท่านผู้เฒ่ายังอยู่ก็คงดี เขาต้องไม่ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่ารังแกท่าน และท่านก็จะไม่พลัดพรากกับคุณหนูถึงสิบปี”

เซียวฮูหยินถอนหายใจเช่นกัน เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยวาจา “หากผู้เฒ่าทั้งสองมีอายุยืนอยู่เสพสุขได้เพียงท่านเดียว อันที่จริงก็ควรแล้วที่จะเป็นท่านแม่”

ชิงชงถูกทำให้ตกใจจนตัวโยน “นายหญิงเลอะเลือนไปแล้ว”

เซียวฮูหยินให้คำชี้แจงอันคาดไม่ถึง “ท่านแม่ไม่ชอบข้าเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าในใจข้านับถือนางเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นางขึ้นเขาเก็บผัก ลงนาเพาะปลูก กลับบ้านทอผ้า ซักผ้ากวาดถู ยังมีสามีกับลูกๆ ที่ต้องกินอาหาร ยามที่แผ่นฟ้าจะถล่มลงมา ต่อให้นางเหนื่อยล้าสายตัวแทบขาด ก็ยังต้องยืดตัวตรงค้ำยันแผ่นฟ้าไว้ มิใช่ท่านพ่อผู้บรรเลงเครื่องดีดสีตีเป่า บัดนี้สมควรเป็นนางที่จะได้เสพสุขกับลูกหลาน!”

ได้ยินถ้อยคำนี้ อวี๋ไฉ่หลิงให้บังเกิดความเคารพต่อเซียวฮูหยินขึ้นมาส่วนหนึ่ง รู้สึกว่าแม้สตรีผู้นี้จะเก่งการใช้กลอุบาย แต่ก็นับว่าแยกแยะผิดถูกชัดแจ้ง

เซียวฮูหยินหยุดเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “อีกอย่างแบบท่านแม่ก็ยังเหนือกว่ามารดาบังเกิดเกล้าของข้ามาก”

ชิงชงมีหรือจะกล้าวิจารณ์มารดาแท้ๆ ของอีกฝ่าย จึงได้แต่เบี่ยงหัวข้อสนทนา “นายหญิงเห็นแล้วหรือไม่ คุณหนูเล็กหน้าตาละม้ายท่านยายของนางทีเดียว”

ดวงหน้าเรียบเฉยของเซียวฮูหยินผุดอารมณ์อันซับซ้อนขึ้นมาอีกครา “อย่าให้อุปนิสัยเหมือนด้วยก็พอ ไม่เป็นประโยชน์แม้แต่น้อย มิสู้เหมือนท่านย่าของนางยังดีเสียกว่า”

“อย่าเลยเจ้าค่ะ” ชิงชงรีบท้วงปนยิ้ม “อุปนิสัยไม่เอ่ยถึง เฉพาะรูปโฉมยังคงเหมือนมารดาแท้ๆ ของท่านดีกว่า”

นึกถึงรูปโฉมปานภูเขาเนื้อของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแล้ว เซียวฮูหยินก็หัวเราะออกมาเบาๆ

ชิงชงสังเกตสีหน้าของเซียวฮูหยินพลางเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ลำบากอันใดนัก ตั้งแต่สิบขวบใต้เท้าก็แบกปากท้องของคนทางบ้านแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ลำบากนานเลย” จากนั้นนางก็เอ่ยอย่างเป็นกังวล “ถ้าใต้เท้าคิดเช่นนายหญิง ใต้เท้าจะแข็งใจจัดการกับฮูหยินผู้เฒ่าได้หรือเจ้าคะ”

“หากใต้เท้าใจอ่อนเยี่ยงสตรี คงตายไปแต่แรกไม่รู้กี่รอบแล้ว” เซียวฮูหยินพูดอย่างมั่นใจ

นางเงยหน้ามองไปยังคานห้องที่อยู่สูงแล้วเอ่ยพึมพำ “ใต้หล้านี้มีลูกสะใภ้คนใดกันไม่อาจสู้แม่สามีบ้าง มีเพียงสามีไม่ยอมเป็นผู้ช่วยก็เท่านั้น”

อวี๋ไฉ่หลิงถูกความเห็นอันสูงส่งนี้ทำให้ตกตะลึงพรึงเพริด เนื่องจากพลันค้นพบว่ามารดาของตนในชาตินี้ไม่เพียงเป็นนักรบในเรือนหลังกับนักแสดงที่ยอดเยี่ยม ถึงกับยังเป็นนักปรัชญาสายวัตถุนิยมวิภาษอีกต่างหาก!

เพียงแต่ว่า…เพราะเหตุใดเธอจึงเจอแม่ๆ ที่เก่งฉกาจเช่นนี้อยู่เรื่อยเล่า คนรุ่นก่อนยอดเยี่ยมแบบนี้แล้ว คนรุ่นหลังก็ก้าวหน้าไปกว่านี้ได้ยากน่ะสิ เธอรู้สึกว่าตนเองควรจะตั้งเป้าหมายเล็กๆ สักข้อก่อน อย่างเช่น…ไปเกิดใหม่อีกสักรอบ?

 

 

* จั๋วเหวินจวิน เป็นบุตรีคหบดีและได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในสี่ยอดปราชญ์หญิงของจีนโบราณ นางประทับใจในความสามารถกับเพลงพิณของซือหม่าเซี่ยงหรูกวีเลื่องชื่อสมัยฮั่นตะวันตกผู้ซึ่งตอนนั้นยังมีฐานะฝืดเคือง นางถึงขั้นหนีตามเขาไป ต่อมาบิดาของนางแบ่งทรัพย์สินกับบ่าวรับใช้ให้จำนวนมาก ทั้งสองจึงได้ใช้ชีวิตอย่างมั่งมี

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: