X
    Categories: จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้าทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จอมอหังการผู้นี้คือสามีข้า บทที่ 5-บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 5

เมื่อวานนี้จ่างซุนซิ่นกับผู้ว่าการของโยวโจวได้พบกัน ทั้งสองพูดคุยกันอยู่นานทีเดียว จนถึงเที่ยงคืนเขาถึงได้กลับ จึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในจุดพักม้าเลยแม้แต่น้อย

จนกระทั่งวันถัดมาตอนเช้าเขาเพิ่งจะตื่นได้ไม่นาน หัวหน้าจุดพักม้าก็มาขอพบอยู่ที่นอกห้องพัก รายงานเรื่องประกาศห้ามที่ได้รับมาให้เขาทราบ

จ่างซุนซิ่นกำลังยกถ้วยดื่มชาอยู่ พอได้ยินยังไม่ทันจบก็วางถ้วยชาแล้วเดินออกไปหา “เจ้าบอกว่าปิดภูเขาหรือ”

หัวหน้าจุดพักม้าตอบอย่างนอบน้อม “ใช่แล้วขอรับ จวนบัญชาการทหารมีคำสั่งมา”

รูปโฉมอันหล่อเหลาอย่างผู้มีการศึกษาของจ่างซุนซิ่นนั้นดำไปแล้วครึ่งหนึ่ง “พวกที่มาคือใคร”

หัวหน้าจุดพักม้าเอ่ยเสียงเบาลง ดูจากท่าทางแล้วถึงกับค่อนข้างจะหวาดกลัวอยู่ “คือผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองของโยวโจวเราขอรับ”

จ่างซุนซิ่นตบหน้าผากทันที เรื่องใหญ่เพียงนี้กลับไม่มีใครบอกเขาเลย เขาเดินผ่านหัวหน้าจุดพักม้าเพื่อไปหาจ่างซุนเสินหรงทันที เดินไปพลางก็แอบตำหนิในใจไปด้วย…หรือว่าเจ้าคนแซ่ซานนั่นจะจงใจ เจาะจงเลือกเอาตอนที่ข้าไม่อยู่ปรากฏตัวออกมา!

 

วันนี้จ่างซุนเสินหรงตื่นเช้ามาก

ถุงผ้าปักลายหนาพิเศษใบหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ จื่อรุ่ยหยิบหนังสือที่อยู่ในกล่องไม้จันทน์แดงม้วนนั้นออกมาอย่างระวัง ก่อนใส่เข้าไปในถุงผ้าปักลาย แล้วใช้สองมือยื่นส่งไปที่เบื้องหน้าจ่างซุนเสินหรง

นางรับมาแล้วใส่เข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นรวบเสื้อคลุมกันลมทอไหมปักลายสีเขียวอ่อนที่เพิ่งจะคลุมลงบนร่างของนางให้เรียบร้อย และเดินออกจากประตูไป

ตงไหลที่รูปร่างผอมเพรียวยืนตัวตรงราวกับพู่กันอยู่นอกประตู แต่งกายด้วยชุดองครักษ์อย่างเรียบร้อย

จ่างซุนเสินหรงเห็นบาดแผลที่หางตาของเขาตกสะเก็ดและบวมน้อยลงแล้ว จึงถามว่า “บาดแผลของเจ้าหายดีแล้วหรือ”

เขาก้มศีรษะ “หลังได้พักรักษาตัวอยู่หลายวันก็ไม่เป็นไรแล้วขอรับ ประมุขน้อยวางใจได้”

ขณะพวกเขากำลังพูดกันอยู่ จ่างซุนซิ่นก็มาถึงแล้วด้วยท่าทางรีบร้อน

จ่างซุนเสินหรงเห็นเขาเป็นเช่นนี้ก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด “พี่คงจะรู้เรื่องคำสั่งห้ามนั่นแล้วเป็นแน่”

จ่างซุนซิ่นเดิมยังคิดจะถามนางว่าหลังจากเจ้าคนแซ่ซานนั่นมาแล้วได้ทำอันใดบ้าง ตอนนี้พินิจดูจากท่าทีของนาง เขาก็คาดเดาได้แล้วว่านางคิดจะทำสิ่งใด “เจ้าจะไปสำรวจภูมิลักษณ์ด้วยตนเองหรือ”

จ่างซุนเสินหรงยกหมวกของเสื้อคลุมกันลมขึ้นคลุมศีรษะเอาไว้ ครั้นนึกถึงท่าทางของซานจงเมื่อวานนี้ตอนที่เขาจากไปต่อหน้าต่อตา นางก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ใช่ ข้าอยากจะไปดูๆ เสียหน่อยว่าผู้ใดจะสามารถห้ามข้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นท่านก็บอกเองว่าหัวหน้าขุนนางท้องถิ่นของที่นี่คือผู้ว่าการไม่ใช่หรือ”

จ่างซุนซิ่นเข้าใจความหมายของนางในทันที นางต้องการไปทำลายคำสั่งห้ามนั่น ที่จะขอยืมก็คืออำนาจของผู้ว่าการนั่นเอง เขาจึงล้มเลิกความคิดที่จะถามถึงซานจง ที่เหลือก็ไม่ต้องพูดกันให้มากความแล้ว บอกว่าไปก็ไปเลย

วันนี้บรรพชนน้อยออกศึกเอง แน่นอนว่าต้องไปด้วยกันให้ถึงที่สุด เพียงแต่ก่อนจะออกเดินทางเขาก็ส่งองครักษ์ไปเชิญผู้ว่าการโยวโจวเป็นพิเศษ

 

ตงไหลนำทาง หลังออกจากเมืองรถม้าก็แล่นไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออย่างเร็วตลอดทาง

จากถนนที่ราบเรียบกว้างขวางก็เลี้ยวเข้าสู่เส้นทางสายเล็กที่ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ สิ่งที่สายตามองเห็นก็ไม่ใช่พื้นที่โล่งกว้างอีก เพราะค่อยๆ ปรากฏรูปร่างของเทือกเขาขึ้นมาให้เห็นยอดเขาสูงๆ ต่ำๆ ประหนึ่งน้ำหมึกจากปลายพู่กันของสวรรค์ค่อยๆ หยดแต้มลงที่ใต้ขอบฟ้า ซึมผ่านขึ้นไปทางด้านบน แล้วเชื่อมต่อกับหมู่เมฆอีกครั้ง

ประมาณครึ่งชั่วยามรถม้าก็หยุดลง ตงไหลลงจากม้ามาเชิญจ่างซุนเสินหรง “ประมุขน้อย ถึงแล้วขอรับ”

จ่างซุนเสินหรงเลิกม่านประตูรถม้าขึ้นแล้วมองออกไปทางด้านนอก สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมา ดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่กลางนภา รอบด้านคือเทือกเขาสูงเสียดฟ้า มาถึงสถานที่ที่วันนั้นนางระบุเอาไว้บนแผนที่แล้ว

จ่างซุนซิ่นขี่ม้าเข้ามาหา “อาหรง เทือกเขาแถบนี้กว้างใหญ่ไพศาลยากจะมีคนมาถึงได้ ข้ามแนวเทือกเขาสูงเสียดฟ้านี้ไปก็คือนอกด่านชายแดนแล้ว”

ยามที่ดูแผนที่ก่อนหน้านี้จ่างซุนเสินหรงก็ค้นพบแล้ว นางจับแขนของจื่อรุ่ยเอาไว้แล้วลงมาจากรถ “ไปดูกัน”

เส้นทางบนภูเขายากจะสัญจร ทำได้เพียงขี่ม้าหรือไม่ก็เดินเท้าเท่านั้น จ่างซุนเสินหรงจึงผูกเสื้อคลุมให้แน่น ยกชายเสื้อขึ้น แล้วเดินนำอยู่ด้านหน้า

ตงไหลกลัวว่าจะมีอันตราย คิดจะเดินนำอยู่ข้างหน้าอยู่หลายครั้ง แต่ก็ต้องคอยหยุดเพื่อหาเส้นทางอยู่บ่อยๆ สุดท้ายยังคงเป็นจ่างซุนเสินหรงที่เดินนำอยู่ข้างหน้า

จ่างซุนเสินหรงเดินอย่างราบรื่นไม่ติดขัด สามารถมุ่งไปได้เรื่อยๆ สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องจะต้องนึกว่านางเคยมาแล้วเป็นแน่

จ่างซุนซิ่นไม่ได้ขี่ม้าตั้งนานแล้ว เขาคอยเดินเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ จ่างซุนเสินหรง ในที่สุดทุกคนก็ลงมาเดินด้วยกันกับนางทั้งหมด

เส้นทางที่ลงจากเขามีลำธารไหลเอื่อยอยู่สายหนึ่ง จ่างซุนเสินหรงมองดูภูเขารอบด้านแล้วก็มองดูสายน้ำที่ไหลเอื่อยสายนั้นอีกครั้ง จากนั้นหันหน้ามองไปทางทิศเหนือ สายตาก็เปลี่ยนเป็นจ้องเขม็งทันที แนวกำแพงด่านชายแดนที่ยิ่งใหญ่โอฬารแถบหนึ่งพาดขวางยึดครองอยู่ตรงหว่างกลางอย่างน่าประทับใจ ยืดขยายออกไปตามแนวสันเขาประเดี๋ยวขึ้นประเดี๋ยวลงราวกับมังกรตัวยาวกำลังดำผุดดำว่าย

จ่างซุนซิ่นก็เห็นแล้วเช่นกัน “ที่แท้ก็อยู่ห่างจากด่านชายแดนไม่ไกล”

จ่างซุนเสินหรงกลับคิดว่า ไม่แปลกเลยที่วันนั้นตงไหลจะถูกซานจงจับไปได้ คิดมาถึงตรงนี้ แม้แต่กำแพงชายแดนที่ทอดยาวประหนึ่งมังกรแถบนั้นก็ถูกนางตวัดสายตาใส่ไปวงหนึ่งด้วยเช่นกัน

 

บนกำแพงด่านมีคนกลุ่มหนึ่งเพิ่งจะลาดตระเวนมาถึงตรงนี้

มือของหูสืออีวางป้องอยู่บนหน้าผากมองลงไป และร้องออกมาอย่างประหลาดใจ “เหตุใดถึงเป็นคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นอีกแล้ว!” เขาหันมองที่ข้างตัว “ท่านหัวหน้าเห็นหรือไม่”

ซานจงหางตากระตุกไปเล็กน้อย

“ที่นั่นอย่างไร!” หูสืออีกลัวว่าเขาจะมองไม่เห็น ยังเข้ามาใกล้ๆ ชี้ทิศทางให้เขาด้วย

คนกลุ่มนั้นก็อยู่ที่เชิงสันเขาแห่งนี้เอง เสื้อคลุมกันลมสีเขียวอ่อนของหญิงสาวที่อยู่ตรงกลางกำลังพลิ้วสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลม

หูสืออีพึมพำ “ท่านหัวหน้า ท่านว่าหลายวันมานี้พวกเราเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ถึงได้เจอกับคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นอยู่เรื่อย! พวกเขามาทำอะไรกันแน่ แล้วยังวิ่งมาที่ภูเขาลูกใหญ่นี้อีก เห็นคำสั่งห้ามของพวกเราเป็นของปลอมเช่นนั้นรึ”

ซานจงกอดดาบไว้ในวงแขน เมื่อพิงกำแพงมองลงไปก็เห็นจ่างซุนเสินหรงในทันทีจริงๆ เสียด้วย พลันนึกตำหนินางว่าช่างโดดเด่นเสียจริง ทั้งรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าด้านข้างขาวปานหิมะ ยามแสงตะวันอาบไล้ราวกับเปล่งแสงออกมาชั้นหนึ่ง สะดุดตาถึงเพียงนี้คิดจะไม่ดูก็ยากนัก จากนั้นเขาก็เห็นจ่างซุนเสินหรงหันหน้าไปมองหอคอยมุมกำแพงอีกด้านหนึ่ง

สายตาของเขาดีเยี่ยม พบว่าท่าทางเช่นนี้ของนางเหมือนกับกำลังมองค้อนอย่างเย็นชาอยู่ อะไรกัน กำแพงด่านยั่วโมโหนางหรือ เขาหยักยกมุมปากอย่างขบขัน ยืนตัวตรงขึ้นมาแล้วเคาะฝักดาบที่กำแพงทีหนึ่ง “ไม่ต้องไปสนใจว่าพวกเขาจะทำอะไร ขับไล่ไปเสีย”

หูสืออีได้ยินในใจก็หดวูบ นี่คือให้ข้าไปขับไล่? ไม่ดีกว่านะ ข้าสู้ไม่ชนะคุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นหรอก

ซานจงหันกายเดินลงไปจากกำแพงแล้ว ดวงตากวาดมองไปทางนอกด่าน ตอนที่เก็บสายตากลับมาก็แอบกวาดไปทางจ่างซุนเสินหรงอีกแวบหนึ่ง พบว่านางกำลังแหงนหน้ามองภูเขา ก่อนหน้านี้ไฉนถึงไม่รู้เลยว่าอดีตภรรยาของเขายังเป็นคนที่ชอบพื้นที่แถบชายแดนด้วย

เขาเพิ่งจะลงจากบนกำแพงมาก็มีเสียงขลุ่ยแหลมดังมาจากที่ไกลๆ เสียดแทงเข้าสู่โสตประสาทอย่างกะทันหัน ฝีเท้าซานจงหยุดลงทันที พริบตาเดียวก็เคลื่อนไหวร่างประดุจเงา “เร็ว!”

คนทั้งกลุ่มตามมาทันเขา ก่อนพากันทะยานขึ้นหลังม้าควบออกไปอย่างรวดเร็ว นี่คือการแจ้งข่าวของหน่วยสอดแนมที่ยามมีสถานการณ์ของศัตรูถึงจะส่งออกมา

 

จ่างซุนเสินหรงยืนอยู่ที่ริมลำธารก็ได้ยินเสียงในเวลานั้นด้วยเหมือนกัน จึงหันมองไปรอบหนึ่ง กลับถูกลักษณะของภูเขาที่อยู่ตรงกันข้ามดึงดูดความสนใจไป หลังจากมองอยู่สักพักนางก็เอ่ยปาก “ภูเขาดิน”

ตามความรู้ความเข้าใจของสกุลจ่างซุน เขาแต่ละลูกมีคุณสมบัติตามธาตุทั้งห้า* ภูเขาลูกที่อยู่ตรงข้ามนี้ยอดเขาราบเรียบและทรงของตัวภูเขาเป็นสี่เหลี่ยม นี่คือลักษณะของธาตุดินในธาตุทั้งห้า อย่างไรก็ตามแนวสันเขาของมันที่ยืดขยายยาวออกไปมากก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยายแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ก่อเกิดกันและกัน ยับยั้งกันและกัน ควบคุมกันและกัน เปลี่ยนแปรกันและกันเหล่านี้นี่เองที่ก่อให้เกิดเป็นลักษณะพื้นที่ของสถานที่นี้ขึ้น ดังนั้นหากต้องการหาแร่ให้พบ ก็จะต้องยึดกุมศาสตร์ของพื้นที่ที่นี่ให้ได้เสียก่อน นี่ก็คือการสำรวจภูมิลักษณ์

จ่างซุนซิ่นยืนอยู่ข้างๆ ผงกศีรษะ “เรื่องนี้ข้าก็ดูออกแล้ว แต่ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่”

จ่างซุนเสินหรงพูดว่า “ไปถึงตรงหน้าสำรวจดูหน่อยก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” ตอนที่พูดเท้านางก็ก้าวไปแล้ว ทันใดนั้นประกายเย็นเยียบสายหนึ่งก็พุ่งมา ปักเฉียงๆ เข้าที่กลางลำธารตรงหน้านาง และยังคงสั่นไหวไม่หยุด

นางนิ่งอึ้งไปแล้วถึงได้มองเห็นชัดเจนว่านั่นคือดาบที่ตรงและเรียวบางเล่มหนึ่ง นางหันไปอย่างตกตะลึง ก็เห็นคนและม้ากลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา

คนที่นำหน้ามาสวมเสื้อสีดำขี่ม้าสีดำพุ่งตรงเข้ามา เมื่อถึงแล้วก็ก้มตัวลงดึงดาบขึ้นมา “ถอยไป!”

เสียงยังไม่ทันขาดหายตัวคนก็จากไปแล้ว จ่างซุนเสินหรงเพียงเห็นเขาหันหน้ากลับมาอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง ในดวงตาประหนึ่งบ่อน้ำลึกล้ำ คมกริบเหมือนใบมีดที่ตัดคอคน ตอนที่หันกลับไปกีบเท้าม้าก็ควบตะบึงอย่างรวดเร็วจนน้ำสาดกระเซ็นขึ้นสู่ท้องฟ้ากระจายไปทั่ว นางเพียงทันได้หลับตาเท่านั้น น้ำพลันสาดกระเซ็นจนเปียกไปหมดทั้งร่าง

“ประมุขน้อย”

“อาหรง!”

ตงไหลกับจ่างซุนซิ่นวิ่งมาคุ้มครองนางแทบจะพร้อมกัน คุ้มกันนางให้ถอยไปหลายก้าว ถึงได้ไม่เลวร้ายถึงขั้นที่ทำให้ผู้อื่นที่ตามหลังซานจงมาติดๆ ล่วงเกินนางได้อีก

หูสืออีที่อยู่ด้านหลังยังตะโกนตามมาอีก “ได้ยินแล้วหรือไม่ รีบไปเสีย!”

เสื้อคลุมของจ่างซุนเสินหรงเปียกน้ำ ผมของนางแนบติดหน้าผากอย่างน่าอเนจอนาถ ยามลมฤดูใบไม้ร่วงพัดมาพาให้นางหนาวจนสั่นไปทั้งร่าง นางกัดริมฝีปากแน่น จ้องไปยังทิศทางที่บุรุษผู้นั้นจากไป เขาถึงกับขว้างดาบมาที่นางเลยหรือ

จื่อรุ่ยมองจนตื่นตะลึงไปแล้ว หลังจากได้สติกลับมาก็รีบให้คนไปก่อไฟ

จ่างซุนซิ่นรีบถอดเสื้อคลุมของตนเองเปลี่ยนกับตัวที่เปียกน้ำของจ่างซุนเสินหรงอย่างรวดเร็ว ตงไหลก็คอยยืนบังลมให้นางเอาไว้

ในเวลาอันรวดเร็วจ่างซุนเสินหรงก็ถูกพยุงให้นั่งลงไปบนหินก้อนใหญ่ที่ปูผ้าเอาไว้เพื่อผิงไฟ โดยมีกิ่งไม้หลายกิ่งที่องครักษ์ไปตัดมาปักอยู่โดยรอบ เพื่อให้นางกางกั้นผ้าม่านกำบังเอาไว้

นางหันเข้าหากองไฟ ลูบๆ ตรงช่วงอกอย่างช้าๆ ยังดีที่ถุงผ้าปักลายที่นางใส่ม้วนหนังสือทำมาเป็นพิเศษ แม้จะไม่ถึงขั้นอาวุธฟันแทงไม่เข้า แต่อย่างน้อยก็สามารถกันน้ำกันไฟได้บ้าง

ที่ด้านนอกจ่างซุนซิ่นเดินไปเดินมาพลางตำหนิเสียงต่ำ “เจ้าคนแซ่ซานช่างทำให้ตระกูลเก่าแก่สูงศักดิ์ของตนเองแปดเปื้อนเสียจริงๆ ไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา เป็นแค่อันธพาลนักเลงของกองทัพเท่านั้นเอง! งู…คำนั้นพูดว่าอย่างไรนะ”

ตงไหลเตือนเบาๆ “งูดินเจ้าถิ่น** ขอรับ”

“ใช่! งูดินเจ้าถิ่น”

จ่างซุนเสินหรงรู้ว่าเขากำลังระบายความโกรธเกรี้ยวให้กับตน นางหรี่ตามองดูกองไฟที่ลุกโชนอยู่ตรงเบื้องหน้า บีบนวดนิ้วที่หนาวเย็น พูดอยู่ในใจว่า เดิมเขาก็ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลเก่าแก่ทั่วๆ ไปอยู่แล้ว คนข้างนอกไหนเลยจะรู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา

ผ่านไปนานเสียงขลุ่ยแหลมนั้นก็ไม่ได้ดังขึ้นอีก กลับมีเสียงฝีเท้ากลุ่มหนึ่งดังมา ตามมาด้วยเสียงของจ่างซุนซิ่นกับผู้ที่มากำลังคารวะทักทายกัน ตัวของเขาคุ้นเคยกับการรักษาท่วงท่าให้สง่างามเฉกเช่นคนจากตระกูลใหญ่ แล้วก็ไม่คิดจะให้น้องสาวที่เพิ่งตกอยู่ในสถานการณ์อันน่าอนาถถูกผู้คนพบเห็นด้วย ท่าทางที่ด่าว่าซานจงนั้นก็เก็บซ่อนเอาไว้ก่อนแล้ว

จ่างซุนเสินหรงฟังออก เป็นผู้ว่าการโยวโจวเร่งรุดมาถึงแล้ว

ผู้ว่าการโยวโจวเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าขาวไว้เคราสั้น สวมชุดขุนนาง วางตัวสุภาพมีการศึกษา มีนามว่า ‘จ้าวจิ้นเหลียน’ พอเขาได้รับจดหมายเชิญของจ่างซุนซิ่นก็พาผู้ติดตามสองคนรีบมาทันที เนื่องจากรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องคำสั่งห้าม

อันที่จริงสถานที่ตั้งของโยวโจวมีความพิเศษ ดังนั้นจึงนับว่าเป็นหัวเมืองระดับสูงของบ้านเมือง หากพูดถึงตำแหน่งขุนนางเขายังอยู่ในระดับสูงกว่าจ่างซุนซิ่นอีกหนึ่งขั้น ทว่าเขาเป็นบัณฑิตที่ผ่านการสอบเคอจวี่*** โดยมาจากครอบครัวยากจน ไม่มีคนหนุนหลังแม้แต่น้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าจ่างซุนซิ่นจึงเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างมาก

จ้าวจิ้นเหลียนเห็นผ้าม่านกำบังตั้งนานแล้ว ด้านหลังผ้าม่านมีเงาคนนั่งอย่างสง่างามอยู่รางเลือน เขาก็ไม่ไปสนใจให้มากนัก คิดว่าเป็นเพียงสมาชิกหญิงในตระกูลที่อยากหลีกเลี่ยงคำครหา เขาพูดกับจ่างซุนซิ่นว่า “เรื่องคำสั่งห้ามข้าได้ทราบแล้ว ท่านทั้งสองอยู่ที่ฉางอันมานานเกรงว่าจะมีบางอย่างที่ไม่ทราบ ตลอดมาโยวโจวต้องป้องกันพวกคนจากเผ่าซีและเผ่าชี่ตานสองเผ่าที่อยู่นอกด่าน ที่ผู้บัญชาการซานมีคำสั่งห้ามนี้ก็เพราะความจำเป็นเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็แบกความรับผิดชอบด้านการทหารเอาไว้อยู่”

จ่างซุนเสินหรงนึกถึง ‘สินค้า’ ที่ซานจงรับมาจากคนร่างใหญ่หนวดเคราครึ้มขึ้นมาได้แล้ว นั่นไม่ใช่ชาวซีกับชาวชี่ตานพอดีหรือไร นางฟังออกว่าผู้ว่าการท่านนี้กำลังช่วยพูดให้ซานจงอยู่ คิดว่าเขาอยู่ในกลุ่มขุนนางที่โยวโจวนี้ได้ไม่เลวเลย

ขณะนี้เองเสียงกีบเท้าม้าพลันดังมา

นอกม่านจ้าวจิ้นเหลียนพูดว่า “ผู้บัญชาการซานมาแล้ว!”

นิ้วมือของจ่างซุนเสินหรงหนีบผ้าม่านเปิดขึ้นมามุมหนึ่งแล้วมองออกไป บุรุษที่ทำชั่วร้ายต่อนางก่อนหน้านี้ได้กลับมาแล้ว คนที่ติดตามมากับเขาน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง ซานจงบังคับม้าไปที่ฝั่งตรงข้ามของลำธาร

ทางด้านนี้จ้าวจิ้นเหลียนร้องเรียกเขา “ฉงจวิน มาพบกับรองเสนาบดีจ่างซุนเถอะ”

ซานจงกลับไม่ขยับเคลื่อนไหว “ข้าไม่อยากล่วงเกินทุกท่าน ไม่ขอเข้าไปแล้วกัน” เขาเอียงศีรษะไปทางหูสืออีเล็กน้อยแล้วกระโดดลงจากหลังม้า นั่งยองๆ ลงไปที่ริมลำธาร ปักดาบยาวไว้ข้างๆ ตัว และวักน้ำขึ้นมาล้างมือ

จ่างซุนเสินหรงนั่งอยู่ที่ฟากนี้ของลำธาร ลอบมองของเหลวสีแดงจากฝ่ามือของเขาที่ลอยมาตามน้ำเป็นสายทีละนิดๆ ฉงจวินเป็นนามรองของเขา นานมากแล้วที่นางไม่ได้ยินนามนี้

เบื้องนอกม่านหูสืออีมาที่ด้านหน้า กำลังแจ้งว่า “ท่านผู้ว่าการมาได้ประจวบเหมาะพอดี พวกเราเพิ่งจับพวกที่มาส่งได้หลายคน สั่งให้คนคุมตัวไปที่คุกใหญ่แล้วขอรับ”

จ้าวจิ้นเหลียนพูดว่า “ลำบากผู้บัญชาการซานแล้ว”

จ่างซุนเสินหรงดูออกแล้ว ที่ซานจงกำลังล้างอยู่คือคราบเลือดที่ติดอยู่บนฝ่ามือ ช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้เขาก็เปื้อนโลหิตกลับมาแล้ว นี่เขาต้องลงมือรวดเร็วมากเพียงไรกัน นางอดคิดไม่ได้

นางเห็นเขาล้างมือเสร็จแล้วก็ล้างดาบต่อ จากนั้นก็เก็บดาบเข้าฝัก นั่งลงไปทางด้านหลังอย่างตามสบาย เหยียดขาข้างหนึ่งออกมา

จ้าวจิ้นเหลียนเหมือนกับคุ้นชินกับท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้วก็ไม่เรียกให้เขาเข้ามาหาอีก เพียงหันกลับมาพูดว่า “รองเสนาบดีจ่างซุนคิดว่าอย่างไร”

จ่างซุนซิ่นถามว่า “โจรร้ายเช่นนี้พวกเจ้าจับมายากหรือไม่”

หูสืออีตอบ “ยากที่ใดกัน จวนบัญชาการของพวกเราไม่ใช่พวกถือศีลกินอาหารเจอยู่แล้ว”

ที่จ่างซุนซิ่นรออยู่ก็คือประโยคนี้ “เมื่อเป็นเช่นนี้ยังจะมีอันใดให้ต้องกังวลเล่า ท่านผู้ว่าการอย่าได้ลืม ถึงอย่างไรพวกเราก็ได้รับพระราชโองการให้มาที่นี่”

จ้าวจิ้นเหลียนเอ่ยรับรองทันที “ย่อมไม่กล้าลืมแน่นอน ฝ่ายเราเพิ่งจะถามท่านว่าคิดเห็นอย่างไร กำลังคิดจะพูดถึงข้อเสนอของข้าอยู่พอดี ตามความเห็นของข้า ทุกท่านจำเป็นต้องเข้าไปในภูเขา ผู้บัญชาการซานก็จำเป็นต้องปิดภูเขาเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นมิสู้ขอให้ทุกท่านเข้าไปในภูเขาภายใต้การคุ้มกันของจวนบัญชาการเสียดีกว่า ถึงอย่างไรท่านรองเสนาบดีก็ยังพาคนในครอบครัวที่เป็นสตรีมาด้วย”

จ่างซุนซิ่นไม่พูดอะไรแล้ว

หูสืออีเหมือนจะไม่เต็มใจ กระซิบกระซาบอะไรบางอย่าง

ลมพัดผ้าม่านกำบังวูบหนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงไพเราะสดใสของสตรีดังออกมา “ขอเรียนถามว่าทั้งเบื้องบนเบื้องล่างของกองบัญชาการ ผู้ใดมีฝีมือดีที่สุด”

จ้าวจิ้นเหลียนได้ยินเสียงนางก็ยิ้มพลางตอบ “นั่นย่อมต้องเป็นตัวผู้บัญชาการซานเองแล้ว”

“เมื่อเป็นเช่นนี้…” จ่างซุนเสินหรงพูด “ก็ขอให้ผู้บัญชาการซานมาคุ้มครองด้วยตนเองดีหรือไม่ นั่นย่อมจะดีกว่ามิใช่หรือ”

จ่างซุนซิ่นเรียกเบาๆ “อาหรง”

หูสืออีก็เปล่งเสียงเช่นกัน “หือ?”

ทางฟากนั้นของลำธาร ซานจงได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว เขายันดาบลุกขึ้นยืนมองมาที่ฝั่งตรงข้าม

ผ้าม่านผืนนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่งของสตรีมองมาที่เขาแล้วก็ปิดลงทันที

นางจงใจ!

บทที่ 6

จ้าวจิ้นเหลียนก็เฉลียวฉลาดอยู่เหมือนกัน เขาได้ไปสอบถามถึงน้องสาวที่ได้รับการพะเน้าพะนอตามใจอย่างล้นเหลือผู้นี้ของรองเสนาบดีจ่างซุนมาก่อนแล้ว ตอนนี้เมื่อนางเอ่ยปากนั่นก็คือเห็นชอบกับข้อเสนอของเขาแล้ว

“ก็ดี เช่นนั้นเรื่องคำสั่งห้ามก็นับว่าได้รับการแก้ไขแล้ว” เขาตั้งใจมองไปทางซานจงที่อยู่ฟากนั้น เพราะที่พูดนี้ก็เพื่อให้ซานจงฟัง จากนั้นก็พูดกับจ่างซุนซิ่นว่า “ข้าได้จัดเตรียมที่พักเพิ่มเติมให้แก่ท่านทั้งสองแล้ว ท่านรองเสนาบดีกับน้องสาวของท่านเดินทางกลับไปในเมืองและย้ายที่พักก่อนจะดีกว่า”

เปิดภูเขาขุดหาแร่ไม่ใช่เรื่องภายในวันสองวัน ไหนเลยจะให้คนของตระกูลใหญ่อันสูงศักดิ์มากอำนาจที่มาจากฉางอันไปพักอยู่ในจุดพักม้าที่มีผู้คนไปมาอยู่ตลอดเป็นเวลานานๆ ได้ นี่เป็นมารยาทอันพึงมีของเขาผู้มีฐานะเป็นผู้ว่าการ

จ่างซุนซิ่นมองไปทางผ้าม่านแวบหนึ่ง แล้วก็ได้แต่พยักหน้า

การสำรวจภูมิลักษณ์จึงหยุดลงชั่วคราว คนทั้งหมดกลับเข้าเมือง

ผ้าม่านกำบังถูกเอาออกไป เสื้อผ้าของจ่างซุนเสินหรงผิงไฟจนใกล้จะแห้งแล้ว นางห่อหุ้มร่างอยู่ในเสื้อคลุมกันลมของพี่ชาย สวมหมวกที่ติดอยู่กับตัวเสื้อ ถูกจื่อรุ่ยประคองออกมา

จ้าวจิ้นเหลียนยากนักที่จะได้เห็นขุนนางจากเมืองหลวงออกเดินทางแล้วยังจะนำน้องสาวมาด้วย จึงพินิจนางมากขึ้นเป็นพิเศษ นางมีหมวกคลุมปิดอยู่ เห็นแค่เพียงริมฝีปากที่อ่อนนุ่มชุ่มชื้นของนาง ช่วงกรามขาวประหนึ่งหิมะ ใบหน้าด้านข้างไปจนถึงลำคอมิต่างกับภาพวาดจากปลายพู่กันที่นุ่มนวลเป็นอิสระ เขาแอบทอดถอนใจ ไม่เสียทีที่เป็นหญิงงามแห่งฉางอัน ก็ไม่รู้ว่าไปเสียเปรียบคุณชายลูกหลานตระกูลขุนนางบ้านใดมา

ทางอีกฟากหนึ่งนั้นมีเสียงม้าร้องคนเคลื่อนไหว ซานจงขึ้นม้าแล้ว

ตอนที่จ่างซุนเสินหรงขึ้นรถม้านางยันกรอบประตูชายตามองแวบหนึ่ง เห็นจ้าวจิ้นเหลียนเรียกซานจงให้กลับเข้าเมืองไปพร้อมกัน เขาอยู่บนหลังม้าดูเหมือนจะมองมาทางที่นางอีกครั้ง นางแสร้งเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น แล้วก็เข้ารถไป

 

เนื่องจากผู้ว่าการโยวโจวยังคงตามมาอยู่ที่ด้านข้าง หลังจากเข้าเมืองแล้วจ่างซุนซิ่นหยุดสั่งให้จื่อรุ่ยพาคนกลับไปที่จุดพักม้าจัดการเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย ส่วนตนเองกับจ่างซุนเสินหรงก็ตามจ้าวจิ้นเหลียนไปยังที่พักแห่งใหม่ก่อน

พวกเขาไม่คิดว่าจ้าวจิ้นเหลียนจะเรียกซานจงมาจริงๆ ด้านหลังรถม้าจึงมีเสียงกีบเท้าม้าที่ดังอย่างมีจังหวะเพิ่มมาอีกสองเสียง เป็นซานจงกับหูสืออี

จ่างซุนซิ่นทางหนึ่งคุ้มกันอยู่ที่ข้างรถม้าของจ่างซุนเสินหรง ทางหนึ่งก็ส่งสายตาไปทางด้านหลัง

จ้าวจิ้นเหลียนบังคับม้าเดินเคียงคู่ไปกับเขา พอเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านรองเสนาบดีคงจะรู้จักกับผู้บัญชาการซานมาก่อนหน้านี้แล้ว เขาเองก็มาจากตระกูลเก่าแก่ในลั่วหยาง เพียงแต่หลายปีมานี้ไม่กลับไปแล้ว”

“ไม่รู้จัก” จ่างซุนซิ่นน้อยครั้งนักที่จะวางท่าเป็นขุนนางสักรอบหนึ่ง พูดเสียงดังว่า “ข้าเพียงรู้สึกว่าน่าเสียดาย มีบางคนที่ดูแล้วไม่ว่าเรื่องใดก็ดีไปเสียทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริงแล้วสายตากลับไม่ดี”

จ้าวจิ้นเหลียนงุนงงไปหมด ตลอดทั้งปีเขาก็ทำงานอยู่แต่ในโยวโจว กับเรื่องภายในเมืองหลวงได้ยินได้ฟังมาไม่มากจึงไม่รู้สถานการณ์ของสองคนนี้ กลับรู้สึกไปว่าสกุลซานกับสกุลจ่างซุนดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์อะไรกันอยู่ แต่ขณะนี้ยังคงนึกไม่ออก

ทางด้านหลังหูสืออีสีหน้าแปรเปลี่ยน ลอบถามซานจงว่า “ท่านหัวหน้า เขาหมายความว่าอย่างไร อย่างท่านที่มีสายตาดีเยี่ยมเห็นได้ไกลถึงร้อยหลี่นั้น เขาถึงกับบอกว่าท่านสายตาไม่ดีหรือ”

ซานจงหยักยิ้ม “เขาไม่ได้เอ่ยชื่อบอกแซ่เสียหน่อย เจ้าก็รีบไปรับแทนข้าแล้ว?”

หูสืออีได้แต่ปิดปากเงียบไปอย่างห่อเหี่ยว

คำพูดของจ่างซุนซิ่นจะมากจะน้อยก็ดังเข้าไปในรถม้าด้วย

จ่างซุนเสินหรงนั่งพิงอยู่ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่รู้สึกว่าโกรธแต่อย่างใด ตรงกันข้ามนางกลับรู้สึกสบายอกสบายใจเหลือเกิน

ไม่มีใครพูดคุยอะไรอีก บนถนนที่ผู้คนสัญจรไปมาเว้นที่ตรงกลางให้ตลอดทาง พวกเขาจึงมาถึงสถานที่แล้ว

 

ทุกหนแห่งเงียบเหงา ที่เบื้องหน้ามีจวนพักขุนนางหลังหนึ่ง จ้าวจิ้นเหลียนให้เหอซื่อ* ผู้เป็นภรรยาจัดเตรียมไว้ เหอซื่อทำงานแคล่วคล่อง ได้นำคนมารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว

จ่างซุนซิ่นวางท่าสุภาพงามสง่าขึ้นมาอีก เขาลงจากม้ามาคารวะทักทายเหอซื่อ พูดอย่างสุภาพนุ่มนวลว่าขณะนี้น้องสาวของเขาอยู่ในสภาพไม่ค่อยเหมาะสม จะขอเชิญนางพาน้องสาวเขาเข้าไปหลบลมก่อนจะได้หรือไม่

ใบหน้าเหอซื่อเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม มองสบตากับสามีแวบหนึ่ง เพียงรู้สึกว่าขุนนางที่เพิ่งมาใหม่ท่านนี้อัธยาศัยไมตรีดีเยี่ยม

จ่างซุนเสินหรงเหยียบที่วางเท้าลงมาจากรถ ก็ถูกมือคู่หนึ่งของสตรีที่ออกเรือนแล้วประคองแขนเอาไว้ “ท่านผู้นี้คงจะต้องเป็นน้องสาวของท่านรองเสนาบดีจ่างซุน เชิญตามข้ามา”

จ่างซุนเสินหรงมองดูเหอซื่อ เห็นอีกฝ่ายงามสง่า ใบหน้าเรียว ดูท่าทางชอบยิ้มเป็นอย่างมาก นางจึงผงกศีรษะเล็กน้อยนับเป็นการคารวะทักทายกลับแล้วตามเหอซื่อเข้าไป ตั้งใจจะไม่มองดูบุรุษผู้นั้นว่าอยู่ที่ใด

เหอซื่อได้ยินสามีพูดให้ฟังคร่าวๆ แล้ว รู้ว่าสตรีสูงศักดิ์ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้มีความสำคัญอย่างที่สุด ตอนที่จัดเตรียมที่พักก็ได้คำนึงถึงอยู่ จึงจัดห้องหลักที่ดีที่สุดนั้นให้นาง

จวนหลังนี้ไม่ใหญ่ ตลอดทางก็เห็นบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน จ่างซุนเสินหรงตามเหอซื่อเข้าไปในเรือนชั้นใน เดินเข้าไปในห้องหลัก เลื่อนหมวกที่คลุมศีรษะลงแล้วมองสำรวจไปรอบด้าน ดูไปดูมาคิ้วก็ขมวดขึ้นมาแล้ว

ถึงบอกว่าเป็นห้องหลักแต่กลับเหมือนห้องว่างที่ไม่ได้ใช้งานมานานแล้วเสียมากกว่า ไม่มีร่องรอยของคนอยู่แม้แต่น้อย ตรงข้ามกับเตียงมีโต๊ะเล็กอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีแท่นไม้ที่ใช้วางดาบซึ่งขณะนี้ว่างเปล่า ฉากกั้นมีทั้งหมดสี่บาน บนนั้นวาดรูปทิวทัศน์ของลั่วหยาง ข้างหน้าต่างมีตั่งยาวตัวหนึ่ง ปูด้วยขนเตียว* หนาๆ นี่ก็คือภาพทั้งหมดทั่วทุกด้าน

ที่นางขมวดคิ้วกลับมิใช่เพราะความเรียบง่ายแต่เป็นเพราะดูคุ้นตา ห้องนี้คล้ายห้องที่นางเคยอยู่ที่จวนสกุลซานในตอนนั้นเป็นที่สุด ที่แตกต่างมีเพียงที่นี่จัดวางเครื่องเรือนอย่างธรรมดา ข้าวของก็ดูหยาบๆ ไม่ได้ราคาสูงเท่านั้น

เหอซื่อเพิ่งมองประเมินรูปโฉมโนมพรรณของจ่างซุนเสินหรง เห็นนางขมวดคิ้วก็รีบถาม “หรือคุณหนูไม่พอใจ”

จ่างซุนเสินหรงได้สติ “ไม่ใช่เช่นนั้น”

เหอซื่อโล่งอก “ข้ายังกังวลว่าจะเป็นเพราะผู้บัญชาการซานเสียอีก”

จ่างซุนเสินหรงมองนาง “เกี่ยวอันใดกับเขาเล่า”

เหอซื่อยิ้มพลางพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านทั้งสองพักชั่วคราวที่จุดพักม้าอยู่หลายวัน กลัวว่าจะไปได้ยินอะไรมา จนถูก ‘ชื่อเสียง’ ของผู้บัญชาการซานที่ข้างนอกขู่ขวัญจนกลัวไปแล้ว”

จ่างซุนเสินหรงได้ยินเหอซื่อพูดอย่างไม่มีหัวไม่มีท้าย ยังคงไม่ชัดเจนถึงความเกี่ยวพันในเรื่องนี้ ก่อนถูกคำพูดของนางหันเหความคิดไป “อ้อ? เขามีชื่อเสียงอย่างไรบ้างหรือ”

เหอซื่อเดิมไม่คิดจะพูดมาก แต่คนที่อยู่ตรงหน้านี้คือทายาทของขุนนางที่มีบรรดาศักดิ์ในฉางอัน ผู้ที่มีคุณูปการในการสถาปนาบ้านเมืองจะต้องมีสกุลจ่างซุนของนางด้วยแน่นอน เหอซื่อย่อมตั้งใจจะผูกไมตรีกับนางอยู่แล้ว ในอนาคตไม่แน่อาจจะมีประโยชน์กับเส้นทางการเป็นขุนนางของสามีก็ได้ จึงรับคำอย่างยินดีและนั่งลงไป พูดเสียงเบาว่า “พวกเราพูดกันเป็นการส่วนตัวกลับไม่เป็นไร ถือว่าแค่ให้คุณหนูซึ่งเป็นผู้มาใหม่ได้เปิดหูเปิดตา ผู้บัญชาการซานไม่ใช่คนธรรมดาทั่วๆ ไปหรอกนะ ในโยวโจวนี้ไม่มีใครกล้ายั่วยุเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นับตั้งแต่ทหารในจวนบัญชาการของเขาไปจนถึงชาวบ้านตามท้องตลาด หรือแม้แต่พวกผู้ร้ายเหล่านั้นก็ล้วนแต่เชื่อฟังเขา ความสามารถช่างร้ายกาจเหลือเกินจริงๆ”

สายตาจ่างซุนเสินหรงดูล้ำลึก “อย่างนั้นหรือ”

แต่ข้าไม่แค่ยั่วยุ ถึงกับแต่งงานไปด้วยแล้วล่ะ

เหอซื่อพยักหน้าแล้วยิ้มอีก “ถึงแม้สามีข้าจะเป็นหัวหน้าขุนนางที่โยวโจวนี้ ก็ยังต้องเคารพเขาอยู่สามส่วน นั่นเพราะความสงบภายในและการป้องกันภายนอกของโยวโจวล้วนขาดเขาไม่ได้ แต่ว่าที่นี่ทั้งคนดีคนเลวปะปนกันไปหมด ถ้าหากเขาไม่ร้ายกาจพอ แล้วจะควบคุมคนอยู่ได้อย่างไรกัน”

จ่างซุนเสินหรงส่งเสียงอืมคำหนึ่ง เหอซื่อสมเจตนาแล้วก็หยุด แต่ก็ยังพูดให้เขาดูดีในตอนท้าย ทว่านางล้วนฟังผ่านหูไปทั้งสิ้น ตอนที่อยู่บ้านสกุลซานนางก็ดูออกแล้วว่าบุรุษผู้นั้นไม่ใช่สุภาพชนแบบคุณชายตระกูลเก่าแก่คนอื่นๆ พวกนั้น แต่เมื่อมาถึงที่นี่นางถึงได้พบว่า…เขายิ่งไปไกลจนไร้ขีดจำกัดเช่นนี้

 

หลังจากเหอซื่อจากไปได้ไม่นาน ตงไหลก็พาจื่อรุ่ยกับบ่าวไพร่ของสกุลจ่างซุนคนอื่นๆ ที่มาจากจุดพักม้าเข้ามา

จื่อรุ่ยรู้ว่าประมุขน้อยรักความสะอาดเป็นที่สุด แต่เพราะน้ำใจไมตรีอันยิ่งใหญ่ของท่านผู้ว่าการเป็นอุปสรรคที่ทำให้ต้องทนมาจนถึงตอนนี้ ดังนั้นเรื่องแรกก็คือเข้าไปในห้องปรนนิบัติประมุขน้อยของนางเปลี่ยนเสื้อผ้า ผลก็คือทันทีที่เข้าไปดูในห้องนางก็ต้องตะลึงแล้วตะลึงอีก

ตอนนั้นนางติดตามจ่างซุนเสินหรงที่ไปแต่งงานยังสกุลซานที่ลั่วหยาง คอยรับใช้อยู่ครึ่งปี ย่อมต้องจำลักษณะห้องของคุณชายใหญ่สกุลซานที่นางไปอาศัยอยู่ได้แน่นอน รูปร่างหน้าตาของซานจงนางก็เคยเห็นมาแล้ว เพียงแต่ตอนนี้แสร้งทำเป็นจำไม่ได้ก็เท่านั้นเอง จะได้หลีกเลี่ยงการทำให้จ่างซุนเสินหรงไม่สบายใจ

ตงไหลก็เกือบจะเหมือนนาง…แสร้งทำเป็นเบื้อใบ้ไปหมด

จ่างซุนเสินหรงเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยการปรนนิบัติจากนางเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ก็ถามขึ้น “เขายังอยู่หรือไม่”

จื่อรุ่ยยังไม่ได้สติกลับมาในขณะนั้น “ประมุขน้อยถามถึงใครเจ้าคะ”

นิ้วมือของจ่างซุนเสินหรงวนอยู่บนสายรัดเอวที่ทำจากผ้าไหม “ช่างเถอะ ไม่มีอะไร” พูดจบก็ออกจากประตูไป และสั่งให้พวกเขาไม่ต้องติดตาม

จ้าวจิ้นเหลียนน่าจะยังไม่กลับไป ที่เรือนชั้นนอกมีเสียงคนดังมา จ่างซุนเสินหรงเดินออกจากเรือนชั้นใน เลี้ยวที่มุมระเบียง นางไม่สนใจความมืดที่อยู่เบื้องหน้า พลันพบร่างในชุดสีดำปรากฏขึ้นในสายตา

เท้าข้างหนึ่งที่สวมรองเท้าขี่ม้าของบุรุษเหยียดยื่นมาตรงเบื้องหน้านาง เขากอดอกอยู่ ร่างพิงเอียงๆ กับกำแพง ขวางทางไปของนางไว้

จ่างซุนเสินหรงตะลึงงันอยู่บ้าง จากนั้นก็มีอาการตอบสนองกลับมาทันที ไม่ต้องถามแล้ว เขายังอยู่!

“ทำอะไร” นางเงยหน้าขึ้น

ซานจงก้มหน้าลงมองนาง “เจ้าไปเปลี่ยนคำพูดกับจ้าวจิ้นเหลียนเสีย เปลี่ยนให้ผู้อื่นมาคุ้มกันเจ้า”

หัวคิ้วของจ่างซุนเสินหรงขมวดเล็กน้อยแล้วก็คลายออก เขาตามนางมา ที่แท้ก็เพื่อเรื่องนี้ “อาศัยฐานะใดกัน” นางเกิดอาการพยศขึ้นมาทันที เบือนหน้าหนี “ข้าไม่ทำหรอก”

ไม่มีเสียงตอบกลับ

ตอนที่นางทนไม่ไหวแล้วเหลือบมองกลับไป กลับเห็นซานจงยังคงมองนางอยู่

ที่กระทบกับสายตานางก็คือจู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา มือที่กอดอกคลายออก “เพราะเหตุใด หรือว่าที่มาโยวโจวนี้…เจ้ามาเพราะข้า?”

คิ้วของจ่างซุนเสินหรงเลิกขึ้นทันที ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมากะทันหัน “ท่าน…ท่านฝันไปเถอะ!”

ดวงตาของซานจงลึกล้ำดำมืด “ไม่ใช่ก็ดีแล้ว”

ในใจส่วนลึกของจ่างซุนเสินหรงราวกับมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา แผดเผาอย่างรุนแรง นางโต้ตอบกลับไปในทันที พูดอย่างเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า “ท่านกำลังกระตุ้นข้า” พูดพลางนางก็ฉีกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดวงตาหยีเหมือนพระจันทร์เสี้ยว “กระตุ้นข้าไปก็ไม่มีประโยชน์”

นี่เป็นการแส่หาเรื่องของเขาเอง ซึ่งก็เป็นผลจากการที่ดาบของเขาล่วงเกินนางเมื่อตอนก่อนหน้านี้

ใบหน้านางช่างขาวราวหิมะไม่เหมือนกับคนอื่นๆ พอเกิดความไม่พอใจขึ้นแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มสีสันมีชีวิตชีวามากขึ้นไปอีก ซานจงมองใบหน้านาง รอยยิ้มที่มุมปากยังคงอยู่ หวนนึกถึงตอนที่ได้พบกันครั้งแรกนางก็เหมือนกับยามนี้ แต่ในความทรงจำเดิมก็ไม่ค่อยมีรูปร่างลักษณะของนางอยู่สักเท่าไร ที่แท้นี่ต่างหากถึงจะเป็นจ่างซุนเสินหรง

“อยู่ที่นี่หรือ” เสียงของจ้าวจิ้นเหลียนดังเข้ามา

จ่างซุนเสินหรงหันหน้ากลับไปมอง พี่ชายของนางกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับจ้าวจิ้นเหลียน หูสืออีก็ตามมาอย่างเชื่องช้า พอหันกลับมาอีกทีซานจงก็ยืนตัวตรงแล้ว ทั้งยังเว้นระยะห่างจากนางไปอีกหลายก้าว นางเม้มปากอย่างอดไม่ได้ คิดในใจว่า เมื่อครู่ก็ไม่รู้ว่าใครกันที่เป็นฝ่ายขวางทางข้าเอาไว้

“โยวโจวไม่อาจเทียบฉางอันได้ ที่พักขุนนางเรียบง่าย หวังว่าท่านทั้งสองจะไม่รังเกียจ” จ้าวจิ้นเหลียนมาถึงตรงหน้าก็เอ่ยทักทายปราศรัยก่อน

ดวงตาสองข้างของจ่างซุนซิ่นมองจ่างซุนเสินหรงแล้วก็วกกลับไปที่ตัวซานจง จากตัวซานจงก็วนกลับมาที่ตัวจ่างซุนเสินหรงอีก

คนหนึ่งยังเย็นชาไม่หาย อีกคนยังดูเสเพลไม่คลาย

ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งเหยาะๆ ตรงเข้าไปหาซานจง “คุณชายกลับมาแล้ว”

คนผู้นั้นคารวะไปทางซานจงก่อน แล้วค่อยคารวะพวกจ้าวจิ้นเหลียนไปทีละคนๆ ครั้นเห็นจ่างซุนซิ่นอยู่ตรงเบื้องหน้าก็ชะงักอึ้งไปเล็กน้อย กระทั่งหันไปทางจ่างซุนเสินหรงสีหน้าก็ตกใจในทันที มองนางไปมาอีกหลายรอบ แล้วค่อยหลุดปากอย่างตกใจ “ฮู…”

เสียงที่พูดขาดหายไปทันทีเนื่องจากมือข้างหนึ่งของซานจงหนีบเข้าที่ต้นคอของเขา พร้อมกับพูดเสียงหนัก “พูดให้มันดีๆ”

นัยน์ตาของคนผู้นั้นมองตรงแน่วอย่างฉับพลัน “ฮู…บริเวณใกล้ๆ ล้วนจัดการเรียบร้อยแล้ว ที่นี่สามารถให้ท่านผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายพักได้อย่างวางใจ”

“อืม” ซานจงปล่อยเขา

ทุกคนล้วนเห็นฉากนี้กันหมด คนผู้นั้นก็คือพ่อบ้านของที่พักแห่งนี้

จ่างซุนเสินหรงกลับจำเขาได้ในทันทีที่เห็น เขาก็คือบ่าวรับใช้คนสนิทของซานจง ตอนนั้นก็คือเขานี่เองที่นำหนังสือขอแยกทางมามอบให้ถึงมือนาง นางยังจำนามเขาได้ นามว่า ‘ก่วงหยวน’

ก่วงหยวนยิ้มเหยเกขณะที่คารวะนาง “คารวะท่านผู้สูงศักดิ์”

จ่างซุนเสินหรงคิดๆ แล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที มองไปทางบุรุษที่ยืนห่างไปหลายก้าวผู้นั้น “ที่นี่คือจวนของท่าน?”

ซานจงขยับที่เกราะแขนเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ามา

จ้าวจิ้นเหลียนอธิบาย “ใช่แล้ว ที่นี่เป็นจวนพักขุนนางของผู้บัญชาการซานจริงๆ แต่เขาไม่ค่อยได้ใช้ จึงมอบให้จวนว่าการของโยวโจวจัดการได้ตามสะดวก ตอนนี้ถึงได้ขอยืมให้ท่านทั้งสองพักอาศัยเป็นการชั่วคราวได้พอดี”

มิน่าเล่า การจัดวางเครื่องเรือนข้างในนั้นถึงได้เป็นเช่นนั้น เหอซื่อถึงได้พูดถึงเรื่องพวกนั้นกับนาง แยกทางกันไปแล้วกลับต้องมาตกอยู่ในรังของเขาอีก ในใจของจ่างซุนเสินหรงอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกประหลาดพิกลขึ้นมาเล็กน้อย

จ่างซุนซิ่นที่อยู่ด้านข้างกระแอมกระไอเบาๆ ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ไปเชื้อเชิญให้ผู้ว่าการออกหน้า

ตัวซานจงเองกลับไม่ได้เคร่งเครียดกับเรื่องนี้ เดิมทีเรื่องที่มอบจวนพักขุนนางให้จวนว่าการเขาก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งด้วย จะให้ผู้ใดอยู่ก็เหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะมาด้วยกันในเที่ยวนี้เขาก็คงไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย

“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรข้าก็ควรจะกลับได้แล้ว” เขาประสานมือกำเป็นหมัด คารวะตามแบบของทหาร พอหันหลังคนก็เดินออกไปแล้ว

จ่างซุนเสินหรงมองไปทางเงาหลังของเขาที่พูดว่าไปก็ไปเลยด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่ในใจกลับคิดว่า มาเพื่อบอกให้ข้าเปลี่ยนความตั้งใจเท่านั้นจริงๆ

ทันใดนั้นนางก็เห็นก่วงหยวนกำลังแอบมองตนอยู่ ราวกับว่ายังคงไม่กล้าจะเชื่อ พอถูกนางจับได้ก็เสก้มหน้ามองพื้นอีก…

ตอนที่ซานจงออกจากประตูหูสืออีก็ตามออกไปด้วย

“ท่านหัวหน้า ฉวยโอกาสตอนที่ท่านไม่อยู่เมื่อครู่นี้ข้าสืบได้ความจากท่านผู้ว่าการมาแล้ว ท่านจะว่าอย่างไร รองเสนาบดีผู้นั้นบอกว่าพวกเขาได้รับพระราชโองการให้มาที่นี่ แต่ที่แท้กลับมาเพื่อหาแร่”

ซานจงเดินพลางพูดไปด้วย “ก็ไม่แปลก เดิมเขาก็คือคนของกรมโยธาอยู่แล้ว”

หูสืออีนึกสภาพพวกหกกรม* ในเมืองหลวงไม่ออก แล้วก็ไม่ยินดีที่ตนเองไม่อาจไปขับไล่คุณหนูเอาแต่ใจตัวผู้นั้นอีก เขารู้สึกเพียงความอับจนปัญญา “งานที่ยุ่งยากอะไรเช่นนี้ หรือว่าพวกเราตกหลุมพรางแล้ว? จู่ๆ คำสั่งห้ามใช้กับพวกเขาไม่ได้แล้วไม่พอ ตอนนี้ยังอยากจะให้ท่านเป็นองครักษ์ของสตรีผู้นั้นอีก”

ซานจงยิ้มๆ นี่ไม่ใช่การตกหลุมพราง นางก็แค่พุ่งเป้ามาที่เขา ไม่เสียทีที่เป็นจ่างซุนเสินหรงที่ทั้งจวนบัญชาการก็ข่มนางไว้ไม่อยู่

“ท่านหัวหน้าจะไปคุ้มกันนางจริงๆ หรือ” หูสืออีซักถาม

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า”

ซานจงลงบันไดไปแก้เชือกม้าที่ล่ามเอาไว้ ในใจคิดถึงเรื่องพระราชโองการที่พูดถึงเมื่อครู่นี้ขึ้นมาทันที พริบตาเดียวก็อยู่ชายแดนมาสามปี ฉางอันก็เปลี่ยนฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว

แต่ถ้าจ่างซุนซิ่นอยากจะขุดหาแร่ ไยต้องพาจ่างซุนเสินหรงมาด้วยอีก

 

เชิงอรรถ

* ธาตุทั้งห้า จีนเชื่อว่าทุกอย่างในโลกตั้งแต่ภายนอกไปจนภายในร่างกายของคน ล้วนประกอบด้วยธาตุทั้งห้า คือธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุไม้ ธาตุน้ำ ธาตุทอง ธาตุบางอย่างก็ส่งเสริมกัน ธาตุบางอย่างก็ทำลายกัน เป็นสิ่งที่มีมาตามธรรมชาติ

** งูดินเจ้าถิ่น เป็นการเปรียบเทียบ หมายถึงผู้มีอำนาจในท้องถิ่น หรืออันธพาลตามท้องถิ่น มีอำนาจในพื้นที่จำกัด

*** เคอจวี่ การสอบคัดเลือกคนเข้ารับราชการที่ทางราชสำนักจัดขึ้นที่ส่วนกลาง เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์สุย

* ซื่อ ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่ออกเรือนแล้วของจีนจะใช้คำว่าซื่อ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้น

* เตียว หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าเฟอร์เร็ต สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งมีขนฟูฟ่อง กินกระต่าย หนู สัตว์เล็กเป็นอาหาร

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: