บทที่ 103
มารฝันเห็นถานไถจิ้นไม่หวั่นไหวสักนิด ก็รู้ว่าตนกำลังจะถูกหน้าไม้พิฆาตเทวะกลืนกินเข้าไป
ขณะที่มารฝันกำลังจะสิ้นหวัง ลูกแก้วลูกหนึ่งลอยมาตรงหน้ามัน
มารฝันยินดีปรีดายิ่ง “ขอบคุณจอม…”
พอเห็นแววตาแข็งทื่อของชายหนุ่มแล้ว มารฝันจึงเปลี่ยนคำพูด “ข้าจะสร้างฝันให้พวกท่านทันที”
ลูกกลอนในร่างมันถูกถานไถจิ้นควักออกไป ห้าร้อยปีมานี้ได้แต่เป็นมารที่เจียมเนื้อเจียมตัว ไม่เหลือความสามารถในการสร้างฝัน แต่บัดนี้เมื่อมีลูกแก้วหลิวหลีที่ถูกถ่ายพลังจากไข่มุกแปลงโฉมเข้าไป มันสามารถชักนำห้วงรับรู้ของพวกเขาเข้าสู่ไข่มุกแปลงโฉม มอบความฝันอันงดงามให้พวกเขาเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ของตนไว้
“เข้าสู่ห้วงฝันของข้าแล้ว ท่านกับนางล้วนเป็นคนในฝัน ยามอยู่ในฝันท่านจะได้พบกับนางในอีกสถานะหนึ่ง แต่เรื่องราวจะพัฒนาไปอย่างไร ข้ามิอาจควบคุม ได้แต่บอกว่า…น่าจะเป็นฝันดีกระมัง” ตอนเอ่ยคำพูดประโยคสุดท้าย มารฝันมีท่าทีร้อนตัวอยู่บ้าง
ถานไถจิ้นแค่นเสียงในลำคอรับคำ “อืม”
เขาเพียงแต่อยากเห็นว่าหากมิได้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ นางจะ…มีใจชอบเขาสักนิดบ้างหรือไม่
เขาจะสมหวัง หรือยอมถอดใจนับแต่นี้ไป
สองคนหลับตาลง ลูกแก้วหลิวหลีสว่างวาบ กลีบดอกซิ่งโปรยปรายดุจสายพิรุณ ปรากฏอยู่ในลูกแก้วหลิวหลี
มารฝันเหลือบมองถานไถจิ้นแวบหนึ่ง มันเคยเข้าไปในฝันร้ายของถานไถจิ้นในอดีต รู้ว่าเขามีฐานะอย่างไร ย่อมเข้าใจดีว่าการถือกำเนิดอันย่ำแย่ทำให้เขามีชีวิตที่ลำบากกว่าคนอื่นๆ ตั้งแต่เยาว์วัย
หวังว่าหลังจากเปลี่ยนฐานะแล้ว…ครั้งนี้จะเป็นฝันดี
มารฝันรื้อค้นความทรงจำของถานไถจิ้น พบว่าอดีตของเขามีแต่ความเศร้าสลด มันทอดถอนใจอย่างหนักพลางหันไปมองหลีซูซู…
เช่นนั้นเริ่มจากอดีตของเจ้า นำมาถักทอเป็นความฝันก็แล้วกัน
“หลีซูซู ตื่นเถอะ!”
มีคนกำลังเรียกหลีซูซู นางลืมตาขึ้น
ดอกซิ่งตกลงบนหัวไหล่นาง ปูเป็นชั้นหนาชั้นหนึ่ง นางพบว่าตนเองอยู่ในป่าซิ่งแห่งหนึ่ง เซียนจื่อในอาภรณ์สีฟ้าครามกำลังมองนางอย่างเป็นห่วงเป็นใย
เป็นเหยากวงนั่นเอง
หลีซูซูผุดลุกขึ้นนั่งในป่าซิ่งทันที นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นางมิใช่ควร…ควรอย่างไรกันนะ
“ควรย้อนกลับไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน ถอนกระดูกมารของพญามาร” นางพึมพำเบาๆ
เหยากวงจิ้มหน้าผากนาง ทั้งฉุนทั้งขัน “เจ้านี่นะ บอกแล้วว่าอ่านนิยายในโลกมนุษย์พวกนั้นให้น้อยลงหน่อย สงครามใหญ่ระหว่างเทพกับมารผ่านไปหลายหมื่นปีแล้ว ตำนานที่แต่งขึ้นพวกนั้น ใครจะรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ยังจะว่าตนเองย้อนกลับไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน เจ้าเข้าไปในเกาะเซียนเผิงไหลให้ได้ก่อนเถอะ”
เมื่อถูกเหยากวงขัดจังหวะ คำพูดยุ่งเหยิงในหัวสมองก็พลันเลือนราง หลีซูซูลุกขึ้นยืนพร้อมปัดกลีบดอกไม้ตามตัว
“เมื่อครู่นี้คิดอะไรอยู่หรือ” เหยากวงจูงมือนาง มุ่งหน้าไปยังเกาะเซียนเผิงไหล
ฝูงกระเรียนบินอยู่บนท้องฟ้า ให้ความรู้สึกสงบงดงาม
หลีซูซูกดขมับตนเอง “ไม่มีอะไร” ข้าเป็นอะไรไปนะ
“รู้หรือไม่ว่าตนเองต้องทำอะไร” เหยากวงถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ระวังเถอะ กราบอาจารย์ไม่ได้ เจ้าสำนักจะลงโทษเจ้า”
พอเหยากวงพูดเช่นนี้ หลีซูซูก็นึกขึ้นได้ในที่สุด
มองภาพอันคุ้นเคยตรงหน้า นิ้วมือนางไล้ผ่านขนนกกระเรียนเซียน รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
นางมาเกาะเซียนเผิงไหลเพื่อเรียนรู้เคล็ดกระบี่ชิงหงกับท่านเซียนหรงขุยผู้เป็นประมุขของเกาะ
หากจะกล่าวถึงพิภพเซียนทั้งหมด เคล็ดกระบี่ชิงหงของเผิงไหลโด่งดังที่สุด หนึ่งกระบี่ผ่าขุนเขาได้ หนึ่งกระบี่แยกมหาสมุทรได้ ฉวีเสวียนจื่อรักใคร่บุตรสาว แต่กลับพบว่าเพลงกระบี่ของสำนักเหิงหยางไม่เหมาะกับหลีซูซู ดังนั้นจึงให้นางมาเรียนรู้วิชาที่เกาะเซียนเผิงไหล
รถเซียนที่ลากโดยนกหลวนบรรทุกหลีซูซู ไม่ง่ายเลยกว่าจะเดินทางจากสำนักเหิงหยางมาถึงเผิงไหล หลีซูซูยังไม่ทันได้เข้าประตูเซียนของเผิงไหล ก็เห็นบุรุษในชุดขาวผู้หนึ่งยกมือขึ้น ทำท่าจะสังหารชายหนุ่มอีกคนที่หมอบอยู่บนพื้น
คนบนพื้นน่าสงสารโดยแท้ ทั่วร่างมีแต่เลือด ทั้งยังสวมชุดของศิษย์สำนักเผิงไหล ส่วนบุรุษในชุดขาวที่ยืนอยู่สีหน้าไม่สะทกสะท้าน กำลังจะลงมือถอนแก่นวิญญาณของเขาออกมา
หลีซูซูเห็นคนบนพื้นมีปราณเซียนบริสุทธิ์ ผู้ลงมือที่สีหน้าไร้อารมณ์กลับมีไอมารจางๆ วนเวียนอยู่ทั่วตัว
นางคิดในใจ ช่างเป็นผู้บำเพ็ญมารที่ขวัญกล้ายิ่งนัก ถึงขั้นกล้าทำร้ายศิษย์สำนักเผิงไหลที่หน้าประตูของเกาะเซียนเผิงไหล
ดวงตาของหลีซูซูเปล่งประกายเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา นางดีดนิ้วหนึ่งที จังหวะที่บุรุษในชุดขาวถอนแก่นวิญญาณ คนบนพื้นพลันกลายเป็นวิหคน้อยที่ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ
บุรุษในชุดขาวชะงัก มองวิหคน้อยบนพื้นอย่างไม่พอใจ จากนั้นเงยหน้ามองมาที่รถเซียนของหลีซูซูอย่างเย็นชา
“อาวุธลับ!” หลีซูซูเขวี้ยงขนวิหคสีแดงหลายอันออกไป
บุรุษในชุดขาวได้ยินเสียงนางก็ตวัดกระบี่ฟันขนวิหคจนขาดสะบั้น
หลีซูซูรอเวลานี้นี่ล่ะ ขนวิหคถูกฟันจนขาดกระจุย แปรเปลี่ยนเป็นผงคันยุบยิบ สาดลงบนตัวของชายหนุ่มทั้งหมด
หลีซูซูคิดในใจ ยาวิเศษชั้นดีของอาจารย์อาชิงหลี่ เจ้าทนไหวรึ
ชายหนุ่มชะงักไป สีหน้าแข็งทื่อ กัดฟันมองมายังรถเซียนของหลีซูซูอีกครั้ง “คนของสำนักเหิงหยาง?”
หญิงสาวชะโงกหน้าออกมาจากรถเซียน แย้มยิ้มพลางทำหน้าทะเล้นใส่เขา สีแดงชาดตรงหว่างคิ้วนางเฉิดฉันร้อนแรง นกหลวนเปล่งเสียงขับขานอยู่ด้านข้างเพิ่มความน่าเกรงขาม
ชายหนุ่มกวาดตามองนาง พลันหัวเราะเสียงเย็น “หลีซูซู ฉายาทางเต๋าอวี้หลิง วันนี้มาเผิงไหลหมายจะเรียนรู้วิชาจากท่านเซียนหรงขุย”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” หลีซูซูมองเขาด้วยความฉงน
ยังไม่ทันขาดคำ ลูกศิษย์หลายคนของเผิงไหลก็ออกมาต้อนรับ พร้อมเอ่ยด้วยท่าทีนอบน้อมตื้นตันใจ “อาจารย์อาจิ่วหมิน ท่านกลับมาแล้ว!”
“จิ่ว…จิ่วหมิน?” ฟังชื่อที่ค่อนข้างคุ้นหูนี้แล้ว หลีซูซูรู้สึกย่ำแย่ไปหมด
วัยเยาว์นางมีนิสัยร่าเริง คนของสำนักเหิงหยางก็เอาอกเอาใจนาง
ก่อนมาที่นี่ฉวีเสวียนจื่อมองบุตรสาวที่งดงามน่ารักพลางกำชับด้วยความปรารถนาดีว่า “หรงขุยมีลูกศิษย์สายตรงผู้หนึ่งชื่อว่าชังจิ่วหมิน มีกระดูกกระบี่แต่กำเนิด เป็นผู้มีความสามารถอัศจรรย์แห่งยุค หรงขุยบ่มเพาะเขาเสมือนบ่มเพาะประมุขเกาะเผิงไหลคนต่อไป ได้ยินว่านิสัยเขาแปลกประหลาดทีเดียว หลีซูซูไปที่นั่นแล้วต้องทำตัวว่าง่ายหน่อย อยู่ร่วมกับเขาให้ดีล่ะ”
หลีซูซูผงกศีรษะอย่างจริงจัง เอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ท่านพ่อโปรดวางใจ”
ทุกคนในสำนักเหิงหยางต่างก็ชอบนาง ไม่มีเหตุผลที่นางจะถูกศิษย์สำนักเผิงไหลผู้หนึ่งรังเกียจกระมัง
ใครจะคิดว่านางเพิ่งมาวันแรกก็ล่วงเกินชังจิ่วหมินเสียแล้ว
ชังจิ่วหมินยกมือขึ้น วิหคน้อยบนพื้นกลายร่างเป็นชายหนุ่มหน้าซีดขาวอีกครั้ง เขาไม่พูดไม่จาก็ลงมือสังหารอีกฝ่ายจนตาย
คราวนี้เขาโกรธจัดจริงๆ แม้แต่แก่นวิญญาณก็ไม่ถอนออกมา ปลิดชีวิตอีกฝ่ายทันที
จนกระทั่งชังจิ่วหมินพาเหล่าลูกศิษย์กลับเข้าเกาะเผิงไหล ทิ้งหลีซูซูกับนกหลวนไว้นอกข่ายอาคม นางจึงรู้ว่าถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประตู นางจบเห่เสียแล้ว
แม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดชังจิ่วหมินจึงต้องถอนแก่นวิญญาณของลูกศิษย์ผู้นั้น แต่ลูกศิษย์สายตรงของประมุขเกาะเผิงไหลไม่มีทางเป็นผู้บำเพ็ญมารอย่างแน่นอน ต้องมีการเข้าใจผิดกันแน่ๆ
“เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน ชังจิ่วหมิน ข้าขออภัย ข้าแก้อาการคันยุบยิบให้เจ้าดีหรือไม่” นางตบข่ายอาคม คนผู้นั้นไม่มองนางแม้แต่แวบเดียวก็เดินจากไปไกล
หลีซูซูห่อเหี่ยว แม้แต่นกหลวนข้างกายที่เดิมทีฮึกเหิมยังก้มหน้าคอตก
หนึ่งคนหนึ่งรถอยู่ในป่าซิ่งข้างๆ อย่างกระอักกระอ่วนใจเป็นเวลาสองวัน จวบจนเหยากวงที่นำโอสถทิพย์มาส่งที่เกาะเผิงไหลตระหนักถึงความผิดปกติ จึงมารับนางเข้าไปด้วยตนเอง
เหยากวงฟังต้นสายปลายเหตุแล้วเอ่ยอย่างขบขัน “เรื่องนี้มิอาจโทษเจ้า สถานการณ์ตอนนั้นง่ายต่อการเข้าใจผิดจริงๆ นั่นล่ะ ทว่าเจ้าล่วงเกินชังจิ่วหมิน เขามีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น เจ้าคงต้องลำบากหน่อยแล้ว”
เหยากวงกระซิบข้างหูนาง อธิบายเรื่องราวให้ฟัง “ทุกคนบนเกาะเซียนเผิงไหลต่างรู้ว่าชังจิ่วหมินเป็นบุตรชายของประมุขตงอี้ ตอนประมุขตงอี้ผ่านด่านเคราะห์ในโลกมนุษย์ได้พบคนผู้หนึ่งเสียสละตนเองเพื่อปกป้องเขา คนผู้นั้นเสียชีวิตเพราะช่วยเหลือประมุขตงอี้ ทิ้งบุตรสาวอาภัพไว้เพียงลำพัง ประมุขตงอี้จึงพานางกลับพิภพเซียน ชำระไขกระดูกเปลี่ยนเส้นลมปราณให้นาง ประคบประหงมดูแลราวกับของล้ำค่า ทั่วทั้งเกาะเซียนเผิงไหลต่างรู้ว่าประมุขตงอี้ตั้งใจจะให้ชังจิ่วหมินแต่งนางเป็นคู่บำเพ็ญในวันข้างหน้า ทว่าหญิงสาวที่เป็นมนุษย์ผู้นั้นกลับถูกเว่ยสวินลูกศิษย์ของเผิงไหลล่อลวงจนเสียพรหมจรรย์”
“เว่ยสวิน? ลูกศิษย์ที่ชังจิ่วหมินสังหารเมื่อสองวันก่อนหรือ”
เหยากวงพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ”
ใบหน้าของหลีซูซูฉายแววลำบากใจมากกว่าเดิม สถานการณ์ตอนนั้นเห็นคนที่มีไอมารทำท่าจะสังหารศิษย์สำนักเผิงไหล เป็นใครก็ต้องเข้าใจผิดได้ง่ายๆ คิดไม่ถึงว่าผู้อื่นแค่ระบายโทสะเท่านั้น
เหยากวงมองศิษย์น้องอย่างเห็นใจ “ประมุขเกาะหรงขุยหมกมุ่นกับการหลอมอาวุธ ช่วงนี้กำลังหลอมกระบี่เซียนเล่มหนึ่ง ตอนนี้ผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องต่างๆ ภายในเกาะจึงเป็นชังจิ่วหมิน เขารับคำสั่งจากอาจารย์รุดกลับมาชี้แนะเคล็ดวิชาเบื้องต้นให้เจ้าชั่วคราว เจ้าล่วงเกินเขาไป วันหน้าเกรงว่าคงใช้ชีวิตที่นี่ลำบาก”
หลีซูซูมิใช่คนที่กล้าทำไม่กล้ารับ นางกะพริบตาปริบๆ ตัดสินใจได้ในทันที “ข้าจะไปขอขมา”
แม้จะเกิดความเข้าใจผิดอย่างช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรย่อมดีกว่าให้นางเฝ้ามองผู้บำเพ็ญมารผู้หนึ่งสังหารลูกศิษย์สำนักเซียนไปต่อหน้าต่อตาจริงๆ
เหยากวงถอนหายใจ “คงได้แต่ทำเช่นนี้ ทว่านิสัยเขาออกจะประหลาด เจ้าดูสิ แม้แต่หญิงสาวที่เป็นมนุษย์ผู้นั้นยังหวาดกลัวเขา เจ้าต้องเตรียมใจไว้ให้ดี”
หลีซูซูพยักหน้า กุมกำปั้นยิ้มเอ่ยเสียงกังวาน “ขอบคุณศิษย์พี่หญิง”
เหยากวงมองค้อนนางแวบหนึ่งก็เห็นศิษย์น้องหญิงบังคับกระบี่เหาะไปยังตำหนักเซียนที่นางชี้บอก
เฮ้อ…ได้ยินมาว่าชังจิ่วหมินรับมือไม่ง่าย ศิษย์น้องหญิงมาเผิงไหลครานี้ ไม่หวังให้ชังจิ่วหมินชอบนาง แค่ไม่กลั่นแกล้งนางจนเกินไปก็พอแล้ว
หลีซูซูเดินเข้าไปในตำหนักเซียนอย่างเงียบเชียบ
นางถูกชังจิ่วหมินขังอยู่นอกเกาะเผิงไหลสองวันแล้ว เลียบเคียงสืบดูจนรู้ว่าเหตุใดร่างกายเขาจึงมีไอมาร ชังจิ่วหมินไปกำจัดมารที่โลกมนุษย์มา บัดนี้เขาอยู่ในตำหนักเพื่อชำระล้างไอมารบนตัว ป้องกันมิให้เกิดมารในใจ
ทว่าผงคันยุบยิบออกฤทธิ์เจ็ดวัน ตอนนี้เขาต้องรู้สึกไม่สบายตัวแน่
หากชังจิ่วหมินเห็นนางแล้ว เดาว่าคงอยากบีบคอนางให้ตาย ฉะนั้นนางจะเดินดุ่มๆ เข้าไปเช่นนี้มิได้
นางปกปิดกระแสปราณและกวาดตามองรอบๆ ตำหนักเซียน พบแมวตัวหนึ่งกำลังนอนงีบอย่างเกียจคร้าน พอขยับเข้าไปใกล้ จึงพบว่ามิใช่แมว แต่เป็นลูกเสือต่างหาก
นางประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน “ข้าต้องหาวิธีช่วยเจ้านายของเจ้าถอนพิษผงคันยุบยิบ รบกวนเจ้าแล้ว”
เสือน้อยลืมตาที่ชุ่มชื้นขึ้น มองนางอยู่นาน ก่อนจะหลับตาลงข้างหนึ่งอย่างเกียจคร้าน
…เข้าไปเถอะ ข้าหลับตาข้างลืมตาข้างก็แล้วกัน
หลีซูซูหัวเราะออกมา ตอนนั้นนางเพิ่งเรียนวิชาแปลงร่างได้ไม่นาน โชคดีที่มีพรสวรรค์ นางแปลงร่างให้เหมือนเสือน้อย เลียนแบบท่าทางของมัน คาบยาถอนพิษ ก้าวเดินเข้าไปในตำหนักอย่างผึ่งผาย
“อ๋าวๆๆ” นางวางขวดยาถอนพิษในปาก ใช้ฟันน้ำนมงับเสื้อของคนที่นั่งสมาธิอยู่บนตั่ง
ชังจิ่วหมินลืมตาขึ้น
หลีซูซูเดาไม่ผิด เขากำลังขจัดไอมารในร่างกายอยู่จริงๆ เพราะการลอบโจมตีของหลีซูซูครั้งนั้น ทำให้สถานการณ์ของเขาตอนนี้เหมือนผีซ้ำด้ำพลอย
จังหวะที่เห็นเสือน้อย เดิมทีเขาคิดจะเอ่ยคำว่า ‘ไสหัวออกไป’ อย่างเย็นชา คิดไม่ถึงว่าเมื่อมองไปตรงหว่างคิ้วของมัน สีหน้าเขากลับแปลกไป
เห็นเพียงบนขนเสือกระจุกเล็กๆ ของมัน มีสีแดงดุจชาดงดงามแต้มอยู่จุดหนึ่ง
เขาหรี่ตาลง มองนางด้วยสายตาที่คาดเดาความนัยไม่ออก
หลีซูซูส่งสัญญาณให้เขามองสิ่งที่ตนเอามา ชังจิ่วหมินยกมือขึ้น เดิมทีหลีซูซูคิดว่าเขาจะหยิบขวดยา สุดท้ายเขากลับหิ้วหลังคอนางขึ้นมาอย่างเย็นชา
อุ้งเท้านุ่มนิ่มทั้งสี่ของเสือน้อยตะกุยไปมากลางอากาศ
ทำบ้าอะไรของเขา!
ชายหนุ่มมิได้มองขวดยาถอนพิษที่อยู่บนพื้น น้ำเสียงเจือแววขบขันน่ากลัว “เตาหลอมโอสถยังขาดตัวนำโอสถอยู่อย่างหนึ่ง เดิมทีคิดจะเลี้ยงเจ้าไว้อีกสองสามวัน ใครจะคิดว่าเจ้ากลับเอาตัวมาประเคนถึงที่เอง”
มืออีกข้างของเขาโบกวูบ ฝาเตาหลอมโอสถในตำหนักเปิดออก เขาหิ้วตัวหลีซูซู ทำท่าจะหย่อนลงในอัคคีแท้
เปลวเพลิงร้อนแรงเกือบจะเผาก้นน้อยๆ ของเจ้าเสือแล้ว นางเกาะเกี่ยวตัวอยู่บนนิ้วของเขา มองเขาด้วยแววตาอ้อนวอนน่าสงสาร
ชังจิ่วหมินเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนาง ในที่สุดความขุ่นขึ้งในใจก็บรรเทาลงไปไม่น้อย หลังหัวเราะเสร็จ สีหน้าเขาเปี่ยมด้วยเจตนาร้าย จะปล่อยมือแล้วจริงๆ ถึงอย่างไร…ร่างเซียนก็ไม่ทำให้นางตายในทันทีทันใดหรอก
เขาปล่อยมือ ยังถือโอกาสนี้ปิดฝาเตาหลอมโอสถด้วย
ชังจิ่วหมินเดินกลับไปข้างตั่ง นั่งขัดสมาธิเข้าฌานต่อ
หนึ่งเค่อผ่านไป สองเค่อผ่านไป เนิ่นนานผ่านไป…
ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นอย่างอดมิได้พลางมุ่นคิ้วมองไปยังเตาหลอมโอสถ
แม้กระทั่งเสียงก็ไม่มี มิใช่ว่าตายไปแล้วจริงๆ กระมัง จะอย่างไรก็เป็นบุตรีของเจ้าสำนักเหิงหยาง เขาอบรมนาง สั่งสอนนาง รังเกียจนางล้วนไม่เป็นไร แต่หากเกิดเรื่องกับนาง เผิงไหลย่อมปัดความรับผิดชอบไม่ได้แน่
หลังลังเลอยู่นาน เขายกนิ้วสองนิ้วขึ้นมา ฝาเตาหลอมโอสถลอยขึ้น ตัวเตาหลอมโอสถเลื่อนเข้ามาหาเขา
เดิมทีเขาคิดจะหิ้วตัวคนข้างในออกมา แต่เมื่อมองไป ข้างในมีเพียงเสือที่ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
ครานี้แม้จะเป็นชังจิ่วหมินที่นิ่งสงบสุขุม จิตใจลึกล้ำยากคาดเดาก็อดรู้สึกร้อนรนขึ้นมามิได้ เขาหยิบ ‘ก้อนถ่านขนาดเล็ก’ ออกมาจากกองเพลิงด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
“ฟื้นขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”
มันไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย
โทสะสลายหายไปหมดแล้ว ความตื่นตระหนกกลบความขุ่นขึ้งจนสิ้น คิดถึงหญิงสาวในป่าซิ่งของเผิงไหลผู้มีคิ้วตาหมดจดงดงามผู้นั้นแล้ว ชังจิ่วหมินก็เม้มริมฝีปากแน่น
เขายกมือขึ้น จิ้มไปตรงหว่างคิ้วของก้อนถ่าน หมายจะถ่ายปราณเซียนเข้าไปลองดู
ชั่วเวลาต่อมา เสียงใสกังวานกลับดังขึ้นข้างหูเขา
“ท่านยกโทษให้ข้าแล้วหรือ”
เขาหันขวับกลับไปทันใด หญิงสาวผู้นั้นปรากฏตัวข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้ ทั้งยังเอียงศีรษะ ใบหน้าแย้มยิ้มปานบุปผาขณะจ้องมองเขา
โดยไม่ทันตั้งตัว เขาปะทะกับนัยน์ตาดุจธารสารทงดงามของนาง
หญิงสาวถอยหลังสองก้าว สองมือประสานกัน วางตรงหน้าผากอย่างจริงใจและโน้มตัวกราบลงไป
“หลีซูซูขอขมาเซียนจวิน เรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิด ถ้าเซียนจวินหายโกรธแล้ว โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถอะ”
ชังจิ่วหมินเบนสายตาออกไป พลันเข้าใจว่านี่เป็นละครที่หญิงสาวซุกซนนิสัยเสียผู้นี้สร้างขึ้นมา เขาคิดว่าตนเองมองนางอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วเสียอีก ไม่คิดว่ารอยแต้มสีชาดจะเป็น ‘พิรุธ’ ที่นางจงใจแสดงออกมา
ความตั้งใจดั้งเดิมของนางคือทำให้เขาจดจำนางได้และแก้แค้นนางให้หนำใจ
ชังจิ่วหมินบีบนิ้วมือเข้าด้วยกันจนเกิดเสียงดังกร๊อบๆ ก้อนถ่านในฝ่ามือแหลกละเอียด
“หลีซูซู!” เจ้าร้ายกาจยิ่งนัก!
บทที่ 104
หลีซูซูเห็นสีหน้าเขาไม่สบอารมณ์จึงรีบเอ่ยว่า “ข้าเข้าไปในเตาหลอมโอสถแล้วจริงๆ เพียงแต่ภายหลังกลัวท่านจะลืม แต่ก็มิกล้ารบกวนท่าน จึงได้ออกมาก่อน” นางมีแก่นวิญญาณธาตุไฟ ในเตาหลอมโอสถแม้จะร้อนไปหน่อย แต่สำหรับนางกลับมิได้มีอันตรายใดๆ
หญิงสาวเกาะอยู่บนตั่งที่เขานั่งฝึกบำเพ็ญ สีหน้าจริงใจ
ชังจิ่วหมินเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ลงไปเสีย”
หลีซูซูทำตามอย่างว่าง่าย อึดใจต่อมาก็ปรากฏกายอีกครั้งห่างจากชังจิ่วหมินไปหลายฉื่อ
หลีซูซูมองเขาตาปริบๆ “ท่านเป็นศิษย์คนโตของเผิงไหล ท่านเป็นผู้ใหญ่ย่อมไม่ถือสาผู้น้อย อภัยให้ข้าเถอะนะเจ้าคะ”
ชังจิ่วหมินคลี่ยิ้มเย็นชา อสนีหลายสายฟาดลงตรงหน้านาง นางถูกอสนีสีน้ำเงินไล่ออกจากประตูไป
ประตูตำหนักปิดลงดังปังตรงหน้านาง
หลีซูซูท้อใจอยู่บ้าง เดิมทีนางอยากจะเกาะประตูพยายามต่อไปอีกนิด ใครจะรู้ว่าพอแตะมือจับประตู ความรู้สึกเจ็บจี๊ดจะแล่นเข้ามา หลีซูซูรีบปล่อยมือทันที
บนประตูเซียนมีสายอสนีเล็กๆ ที่เปล่งประกายแวบวับแผ่กระจายอยู่คล้ายเส้นผม น้ำเสียงเย็นเยียบลอยมาจากข้างใน “ถอยออกไปไกลๆ หน่อย”
หลีซูซูยกเท้าขึ้นถีบบานประตูตรงหน้า ไม่รอให้ชังจิ่วหมินบันดาลโทสะก็บังคับกระบี่เหาะหนีไปไกลแล้ว
ชังจิ่วหมินที่อยู่ข้างในได้ยินเสียงดังโครม คิ้วตาพลันคมกริบ ฝ่ามือส่งอสนีออกไป แน่นอนว่าย่อมพบเจอแต่ความว่างเปล่า หญิงสาวที่เหมือนจิ้งจอกน้อยเจ้าเล่ห์หนีไปไกลเสียแล้ว
เดิมทีชังจิ่วหมินคิดว่าคงไม่ได้เห็นหลีซูซูอีกพักใหญ่ ใครจะคิดว่าวันต่อมาเมื่อผลักประตูออกไป ดอกซิ่งโปรยปรายลงมาดุจสายฝน ขยับเองแม้ไม่มีลม รวมตัวอยู่ข้างกายเขา กลางอากาศปรากฏตัวอักษรหลายตัว…
‘ศิษย์พี่จิ่วหมินจิตใจกว้างขวาง รูปงามเป็นหนึ่งในหกพิภพ’
พอเห็นคำว่า ‘จิตใจกว้างขวาง’ เขาเกือบจะคิดว่าคนผู้นั้นกำลังเสียดสีเขา เมื่อคำว่า ‘รูปงามเป็นหนึ่งในหกพิภพ’ ปรากฏออกมา เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นโบกวูบ ดอกซิ่งก็โปรยปรายเต็มพื้น
ชังจิ่วหมินวิจารณ์เสียงเย็น “ดีแต่ประจบประแจง สอพลอเอาใจ”
หลีซูซูคงรู้ว่าเขามีนิสัยเย็นชาเข้มงวด จึงไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา กล้าเพียงใช้วิธีการเช่นนี้ขอให้เขายกโทษให้
ชังจิ่วหมินตั้งใจจะทำเป็นมองไม่เห็นนาง อีกเพียงครึ่งปีเป็นอย่างมากการหลอมอาวุธของอาจารย์ก็จะเสร็จสิ้น หลีซูซูเป็นเพียงเซียนจื่อของสำนักเหิงหยางที่เพิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ จะก่อคลื่นลมอะไรในเผิงไหลได้ ถึงอย่างไรจะไปหรือจะอยู่ รออาจารย์ออกมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ
เขาสงบใจฝึกบำเพ็ญ
แดนเผิงไหลอยู่อย่างสงบมาแต่ไหนแต่ไร น้อยครั้งที่จะเกิดความขัดแย้ง เว้นแต่จะมีเรื่อง จึงจะมีคนมาขอคำชี้แนะจากเขา
กระนั้นเพิ่งกลับถึงตำหนัก กลับมีคนวิ่งเข้ามา
“อาจารย์อาจิ่วหมิน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว หลีเซียนจื่อกับศิษย์น้องหญิงไฉ่ซวงตกลงไปในบ่อโยวปิงด้วยกัน”
“อะไรนะ!” เขาขมวดคิ้ว
บ่อโยวปิงเป็นสถานที่ที่หนาวเย็นที่สุดในแดนเผิงไหล ใช้เป็นสถานที่ลงโทษลูกศิษย์ที่กระทำผิด หากตกลงไป ดีหน่อยคือพลังตบะได้รับความเสียหาย ร้ายหน่อยอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
เพียงครู่เดียวเงาร่างของชังจิ่วหมินประหนึ่งสายลมรุดไปยังบ่อโยวปิงทันใด
หลีซูซูก็ไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันถึงเพียงนี้
เดิมทีนางตั้งใจจะแสดงความจริงใจในการขอขมาของตนเอง จึงถามศิษย์สำนักเผิงไหลว่าสถานที่ใดสามารถแบกกิ่งต้นจิงขอขมา* ได้บ้าง
ศิษย์สำนักเผิงไหลมองนางหน้าแดง ชี้นิ้วไปยังบ่อโยวปิง
หลีซูซูนั่งยองๆ มองน้ำในบ่อก็ล้มเลิกความคิดทันที
การขอให้ผู้อื่นยกโทษให้มีสามวิธี ประจบเอาใจ ตามตื๊อไม่เลิก เรียกคะแนนสงสาร เพียงเพื่อทำให้ชังจิ่วหมินใจอ่อน จะได้เรียนรู้เคล็ดกระบี่ชิงหงอย่างราบรื่น นางไม่มีความจำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตราย ทำเช่นนั้นมีแต่จะเพิ่มความยุ่งยากให้ผู้อื่น
ขณะที่หลีซูซูกำลังจะจากไป สตรีผู้หนึ่งกลับกระโดดลงไปในบ่อโยวปิงกะทันหัน
หลีซูซูไม่ทันระวัง จึงถูกนางพาลงไปในบ่อโยวปิงด้วย ไอเย็นขุมหนึ่งเคลื่อนจากฝ่าเท้าขึ้นมาและแผ่ลามไปทั่วร่าง จนถึงกับมีชั่วขณะหนึ่งที่นางมิอาจขยับตัวได้
ไอเย็นในบ่อน้ำประหนึ่งลมแรงที่ฉีกทึ้งร่างกาย เมื่อตั้งสติได้ หลีซูซูรีบว่ายไปที่ฝั่ง ทว่าเพื่อป้องกันมิให้ลูกศิษย์ที่ทำผิดหลบหนี ทุกย่างก้าวในบ่อน้ำจึงกินแรงอย่างยิ่ง นางรู้สึกเหมือนตนเองตกลงไปในวังน้ำวน ทรมานยิ่งนัก
สตรีผู้มีใบหน้าขาวซีดเดิมทีตั้งใจแน่วแน่ว่าอยากตาย คิดไม่ถึงว่าเมื่อกระโดดลงไปในบ่อโยวปิง สัมผัสกับน้ำในบ่อที่น่ากลัวแล้ว นางพลันรู้สึกหวาดกลัว รอบด้านไม่มีสิ่งใดให้คว้าจับได้ นางจึงเกาะหลีซูซูแน่น แขนขาทั้งสี่ยื่นเข้ามารัดตัวหลีซูซูไว้ คล้ายว่าหากหลีซูซูไม่ช่วยนาง สองคนก็ต้องตายตกไปด้วยกัน
หลีซูซูโมโหแล้วจริงๆ เคราะห์ร้ายมาเยือนโดยบังเอิญก็ช่างเถิด คนผู้นี้ไม่รักชีวิตของตนเองก่อน พอถึงเวลาจริงกลับเปลี่ยนใจ ทั้งยังจะคิดทำร้ายผู้อื่น
ความเดือดดาลทำให้บังเกิดความกล้าไม่สิ้นสุด หลีซูซูตบแขนหญิงสาวพลางถ่ายทอดเสียงไปถึงนาง “ปล่อยมือ ข้าจะคิดหาวิธีพาเจ้าเข้าฝั่ง”
ใบหน้าของหญิงสาวฉายแววหวาดหวั่น ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงกลัวตายอยู่ในบ่อน้ำ ไม่จับตัวหลีซูซูเอาไว้อีก
หลีซูซูกัดฟัน พานางว่ายไปริมฝั่ง
ทั่วร่างหลีซูซูเปี่ยมด้วยพลังจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อยๆ ที่อบอุ่น สามารถสกัดความหนาวเย็นในบ่อน้ำได้ครู่หนึ่ง
ข้างนอกมีคนส่งเสียงตะโกนอย่างลนลาน…
“แย่แล้ว แย่แล้ว! หลีเซียนจื่อกับศิษย์น้องหญิงไฉ่ซวงตกลงไปในบ่อโยวปิง”
ขณะที่ออกแรงว่ายไปข้างหน้า หลีซูซูคิดในใจ สตรีผู้นี้มีนามว่าไฉ่ซวงกระมัง ประเสริฐ!
ไม่ง่ายเลยกว่ามือของนางจะสัมผัสริมฝั่ง หลีซูซูปีนขึ้นไป
ไฉ่ซวงตื่นเต้นยินดีเช่นกัน นางร้องว่า “ช่วย…”
ฉับพลันหลีซูซูยกเท้าขึ้น ถีบไปที่ไหล่นางหนึ่งที ส่งนางลงไปในบ่อน้ำเย็นอีกครั้ง
“ลงไปเสียเถอะ!”
ชังจิ่วหมินเข้ามาก็เห็นภาพนี้ ไฉ่ซวงถูกรองเท้าหุ้มข้อสีชมพูของหญิงสาวถีบจนจมลงในบ่อน้ำเย็น
“…”
บรรดาลูกศิษย์ข้างหลังเขาปากอ้าตาค้าง นานครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “เจ้า…เจ้าถึงกับทำร้ายศิษย์น้องหญิงไฉ่ซวง…”
เซียนจื่อในชุดสีชมพูเปียกโชกไปทั้งตัว สภาพอเนจอนาถทีเดียว นางปัดมือสองที พลังเซียนธาตุไฟสีแดงวนรอบตัวนาง เพียงพริบตาอาภรณ์บนร่างก็แห้งสนิทอีกครั้ง
หลีซูซูหันกลับไป เห็นชังจิ่วหมินสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย กำลังมองตนอย่างเดาอารมณ์ไม่ถูก ยังมีลูกศิษย์ข้างหลังเขาที่ทำหน้าตื่นตระหนก
หลีซูซูคิดในใจ ข้ามิเพียงแค่ถีบ ยังอยากจะต่อยไฉ่ซวงสักยกด้วย
ไอเย็นในบ่อโยวปิงไม่สอดคล้องกับวิชาที่ตนบำเพ็ญ ตอนนี้หลีซูซูรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว
นางยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร ชังจิ่วหมินก็เหินตัวลงไปในบ่อโยวปิง แหวกน้ำออกและอุ้มไฉ่ซวงขึ้นมา
หลังจากเขาขึ้นมาบนฝั่ง น้ำในบ่อที่ไหวกระเพื่อมก็สงบลง
ชังจิ่วหมินวางไฉ่ซวงลง ไฉ่ซวงสลบไสลไม่ได้สติไปแล้ว นิ้วมือเรียวยาวของเขาวาดออกไป ถ่ายปราณวิเศษไปให้ ไฉ่ซวงลืมตาขึ้น ทันทีที่เห็นชังจิ่วหมิน นางก็น้อยใจจนร้องไห้โฮเสียงดัง ก่อนจะคว้าแขนเสื้อของชังจิ่วหมิน
“พี่จิ่วหมิน ไฉ่ซวงเกือบไม่ได้พบท่านอีกแล้ว”
พอได้ยินคำเรียกขานนี้ หลีซูซูก็รู้ทันทีว่าไฉ่ซวงผู้นี้เป็นใคร ที่แท้เป็นมนุษย์สตรีน่าสงสารที่ถูกล่อลวงให้เสียพรหมจรรย์ บุตรสาวบุญธรรมที่ประมุขตงอี้รับมาเลี้ยงนั่นเอง ก็คงมีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถเรียกชังจิ่วหมินว่าพี่ชายได้
ไฉ่ซวงร้องห่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร หลีซูซูขมวดคิ้ว ยิ่งมองยิ่งไม่สบอารมณ์ ร้องไห้เสียน่าเวทนาเช่นนั้น ราวกับตนเป็นฝ่ายทำร้ายนางก่อนอย่างนั้นล่ะ
ดังคาด ศิษย์สำนักเผิงไหลด้านข้างเอ่ยด้วยสีหน้าขุ่นขึ้ง “อาจารย์อาจิ่วหมิน จะปล่อยให้เรื่องจบลงเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ”
หลีซูซูพูดทันที “ไฉนพวกเจ้าจึงไม่ถามนางว่าใครกันที่ทำให้ข้าตกลงไปในบ่อน้ำ ยังคิดจะดึงข้าให้ตายเป็นเพื่อน!”
ไฉ่ซวงแววตาไหววูบ ดวงหน้าเล็กขาวซีดซุกไปหลบข้างกายชังจิ่วหมินอย่างขลาดกลัว ราวกับหลีซูซูเป็นนางยักษ์
ท่าทางเช่นนี้ของนาง ประกอบกับความเงียบของชังจิ่วหมิน ทำเอาหลีซูซูโมโห “ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าทำร้ายเจ้า เช่นนั้นข้าขอทำให้ข้อกล่าวหานี้กลายเป็นจริงเลยก็แล้วกัน” นางพลันหัวเราะออกมา ก่อนจะผลักชังจิ่วหมินออกและกดตัวไฉ่ซวงลงไปในบ่อโยวปิง
“รอให้ข้าทำผิดจริงๆ แล้วข้าค่อยรับโทษ” ก่อนหน้านั้นเจ้าลองไปตายดูสักครั้งเถอะ
ไฉ่ซวงเห็นนางเอาจริง ขณะที่ตนเองกำลังจะกลิ้งตกลงไปในบ่อโยวปิงอีกครั้ง นางหวีดร้องเสียงแหลม “ว้าย! ช่วยข้าด้วย…”
มือข้างหนึ่งขวางหลีซูซูไว้และดึงไฉ่ซวงกลับมา
หลีซูซูหันกลับไป ได้ยินเสียงเยียบเย็นของคนผู้หนึ่งเอ่ยว่า “มาเรียนรู้วิชาที่แดนเผิงไหล ใช่ว่าเจ้าจะเหิมเกริมได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ลงโทษให้หลีซูซูไปสระล้างกระบี่ ล้างกระบี่วิเศษให้ครบพันเล่ม”
“ชังจิ่วหมิน เจ้ามันคนไม่มีตา อยากล้างเจ้าก็ไปล้างเอง ใครอยากจะเรียนเคล็ดกระบี่ชิงหงของเจ้า ข้าไม่เรียนแล้ว! ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้!”
อัคคีกำเนิดใหม่ของหลีซูซูจู่โจมไปยังชังจิ่วหมิน เปลวเพลิงสลายกลายเป็นความว่างเปล่าในชั่วพริบตาเมื่อเข้าใกล้เขา ชังจิ่วหมินสีหน้าไร้อารมณ์ ยกมือขึ้นเสกอสนีสีนิลให้กลายเป็นโซ่เส้นเท่าแขน มัดตัวหลีซูซูไว้
“เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก!”
ศิษย์สำนักเผิงไหลประคองไฉ่ซวงที่ยังตกใจไม่หายขึ้นมา
ไฉ่ซวงร้องไห้กระซิกไม่หยุด ตัวสั่นงันงก
ชังจิ่วหมินหดมือกลับมา ก่อนจะพาหลีซูซูไปที่สระล้างกระบี่
ระหว่างทาง หลีซูซูด่าศิษย์สำนักเผิงไหลในใจจนครบทุกคน เจ้าพวกไร้เหตุผล ตาบอดกันไปหมดแล้ว
ในจินตนาการของนาง ชังจิ่วหมินถูกสับเป็นแปดท่อน
เมื่อถึงสระล้างกระบี่ ความร้อนระอุที่แตกต่างจากบ่อโยวปิงโดยสิ้นเชิงก็ปะทะเข้ามา หลีซูซูเหลือบตาขึ้น เห็นท่ามกลางทะเลเพลิงมีกระบี่วิเศษชนิดต่างๆ ปักอยู่เต็มไปหมด บ้างมีสนิมเกาะกระดำกระด่าง บ้างทอรัศมีระยับจับตา ส่งเสียงแผ่วเบาของกระบี่วิเศษออกมา
ชังจิ่วหมินปิดสระล้างกระบี่และปล่อยตัวนาง จากนั้นนั่งขัดสมาธิข้างกายนาง
สุ้มเสียงของชายหนุ่มเยียบเย็น “ใช้หินหลอมเหลวหนืดร้อนพวกนี้ล้างกระบี่ เช็ดปราณขุ่นบนตัวกระบี่ออก ล้างครบพันเล่มเมื่อใด ข้าจะปล่อยเจ้าออกจากสระล้างกระบี่”
ชังจิ่วหมินเดินไปริมสระ ช้อนกระบี่วิเศษเล่มหนึ่งขึ้นมา นิ้วมือเรียวยาวของเขาชักนำหินหลอมเหลวแทนน้ำ ลูบผ่านกระบี่วิเศษครั้งแล้วครั้งเล่า ค่อยๆ เช็ดกระบี่อย่างละเอียดพิถีพิถัน
ปราณขุ่นสลายไป กระบี่วิเศษกลับมาสะอาดเอี่ยมอีกครั้ง เขาโบกมือ กระบี่วิเศษลอยกลับไปในสระล้างกระบี่ดังเดิม
ก่อนหน้านี้หลีซูซูยังเคารพนับถือเขา แต่บัดนี้ความคิดที่จะจับมือเป็นมิตรไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
ดวงตาที่ดำขาวตัดกันชัดเจนจ้องเขานิ่งเนิ่นนาน เห็นเขาไม่สะทกสะท้าน นางพลันกะพริบตาปริบๆ ตอบอย่างว่าง่าย “ก็ได้ ข้าล้าง ข้าจะล้างเดี๋ยวนี้”
ดวงตาดำเข้มของชังจิ่วหมินจ้องมองนาง ไม่เอ่ยอะไร
หลีซูซูย่อตัวลงริมสระล้างกระบี่ นางโค้งริมฝีปากพลางยกมือขึ้น กระบี่วิเศษหลายสิบเล่มลอยขึ้นกลางอากาศ พาให้หินหลอมเหลวกระเด็นขึ้นมาด้วย หญิงสาวสองมือทำมุทรา กระบี่วิเศษทั้งหมดพุ่งเข้าใส่ชังจิ่วหมินเหมือนปีศาจที่กางเล็บแยกเขี้ยว
หลีซูซูยิ้มหันกลับไป “ศิษย์พี่ระวัง ข้าเผลอไผลไปหน่อยจึงมิได้ควบคุมพวกมันให้ดี…”
ชังจิ่วหมินหน้าบึ้งตึง หลบกระบี่วิเศษ เพียงพริบตาก็มาอยู่ข้างหลังหลีซูซู
“ท่านจะทำอะไร ปล่อยข้านะ!”
หลีซูซูดิ้นรน ชายหนุ่มไม่ฟังคำโต้แย้ง จับมือนาง หยิบกระบี่สนิมเขรอะเล่มหนึ่งขึ้นมาและสอนนางล้างกระบี่
หลีซูซูขยับตัวไม่ได้ หินหลอมเหลวร้อนระอุไหลผ่านปราณวิเศษในร่าง สร้างความเจ็บแปลบเล็กน้อย ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว
มองกระบี่สนิมเขรอะที่เปล่งประกายมากขึ้นทุกที ในใจของหลีซูซูทั้งโมโหทั้งคับแค้น โยนกระบี่วิเศษออกไป กระบี่วิเศษตกลงไปในสระล้างกระบี่ หินหลอมเหลวกระเด็นขึ้นมายังใบหน้านาง
ชายหนุ่มข้างหลังไม่เอ่ยอะไร ใช้หลังมือบังหินหลอมเหลวไว้
ได้ยินเสียงดังฉ่า แม้ชังจิ่วหมินจะเจ็บตัวเล็กน้อย แต่เขายังคงไม่ยอมให้นางจากไป
พอเห็นนางทำหน้าคับแค้นใจ ชังจิ่วหมินเงียบไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วจ้องหินหลอมเหลวที่เดือดปุดๆ เอ่ยปากอย่างแข็งทื่อว่า “ตั้งแต่ข้ายังเล็ก อาจารย์ก็ให้ข้าล้างกระบี่วิเศษพันเล่ม เมื่อจิตใจเชื่อมโยงกับกระบี่ ย่อมสามารถฝึกเคล็ดกระบี่ชิงหงได้”
หลีซูซูอึ้งไป เข้าใจทันทีว่าเขากำลังสอนเคล็ดกระบี่ชิงหงให้กับตน นางหันหน้าไปด้านข้างมองเขา “ถึงจะเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างไร ไฉ่ซวงเป็นคนทำร้ายข้าก่อน พวกเจ้าเผิงไหลกลับลงโทษข้าเพราะนาง!”
ชังจิ่วหมินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ารู้ว่าไม่ใช่เจ้า”
“ท่าน…หืม? ท่านว่าอะไรนะ” หลีซูซูมองเขาอย่างประหลาดใจ นางไม่ได้ฟังผิดไปกระมัง
ชังจิ่วหมินพูด “ประมุขตงอี้รักใคร่ทะนุถนอมนาง ต่อให้ข้าเชื่อ ศิษย์สำนักเผิงไหลเชื่อ ประมุขตงอี้กลับไม่มีทางเชื่อ วันนี้ลงโทษเจ้าแล้วเรื่องนี้ย่อมยุติไป ประมุขตงอี้ไม่มีเหตุผลที่จะสืบสาวราวเรื่องได้อีก”
ยามเอ่ยถึงบิดาของตนเอง เขาใช้คำว่า ‘ประมุขตงอี้’ อย่างเย็นชา
หลีซูซูพูด “หากท่านพ่อข้ารู้ว่าข้าไร้ศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ เขายินดีเปิดศึกกับแดนเซียนตงซู่ก็ไม่ยอมให้ข้าถอยเพราะเรื่องเช่นนี้แน่”
ชังจิ่วหมินสีหน้าเคร่งขรึมไร้ความรู้สึก พูดเบาๆ ว่า “เอาชนะชั่วครู่ ทำร้ายศัตรูหนึ่งพัน ตนเองสูญเสียแปดร้อย ทั้งที่วิธีการที่อาวุธไม่เปื้อนเลือดมีมากมายนับไม่ถ้วน สามารถทำให้นางทนทุกข์ทรมานไม่สิ้นสุด อึดอัดใจแต่พูดอะไรมิได้ เจ้าอยู่นิ่งๆ รอดูไปเถอะ”
หลีซูซูยากจะเชื่อได้ว่าคำพูดที่ ‘ร้ายกาจ’ เช่นนี้จะออกมาจากปากเขา แผ่นหลังนางรู้สึกเย็นเยือก
หลังดึงสติกลับมาได้ จึงพบว่ามือของชังจิ่วหมินยังคงกุมมือตนอยู่ ไม่รู้กลัวนางหนีหรือกลัวว่านางจะบังคับกระบี่หลายสิบเล่มจู่โจมเขาอีก ข้อนิ้วของเขาเด่นชัด ชักนำไอหยางรุนแรงจากสระล้างกระบี่ให้ไหลวนรอบตัวนาง
หลีซูซูอุทานเสียงค่อย “เอ๋?”
ไอหยางรุนแรงในสระล้างกระบี่ค่อยๆ ขับไอเย็นของบ่อโยวปิงในร่างกายนางออกไป ความเจ็บปวดหายไปแล้ว แทนที่ด้วยความรู้สึกเบาสบาย
ที่แท้ไอเย็นในบ่อโยวปิงสามารถแก้ได้ด้วยไอหยางรุนแรงในสระล้างกระบี่ เช่นนั้นบัดนี้ชังจิ่วหมินปิดสระล้างกระบี่ ไฉ่ซวงที่อยู่ข้างนอกซึ่งมีไอเย็นเข้าสู่ร่างมิต้องถูกเคี่ยวกรำทรมาน เจ็บปวดแสนสาหัสอย่างนั้นหรือ
นางกะพริบตาปริบๆ พลางหันหน้าไปมองชายหนุ่มข้างกาย
ชังจิ่วหมินถูกนางจ้องมองครู่หนึ่ง สุดท้ายทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงหันดวงหน้าเล็กของนางออกไป ไม่ให้นางมองตนอีก ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบเฉียบขาดว่า “มองอะไร ตั้งใจล้างกระบี่ไป”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.