X
    Categories: Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณWith Loveทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Little Man ชั่วโมงบินน้อยแต่มีรักเต็มร้อยให้คุณ เล่ม 3 บทที่ 64

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 64

 ข้างนอกฐานวิจัย

“กรุณารอสักครู่นะครับ” ทหารประจำการที่เฝ้าป้อมยามทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดเต็มที่ หลังรายงานทางโทรศัพท์แล้วก็ชี้ที่ริมกำแพงพลางพูดกับชูหนิงว่า “คุณยืนตรงนั้นสิครับ สามารถบังลมได้นิดหน่อยนะครับ”

ชูหนิงถูกทรมาทรกรรมจนปราศจากความรู้สึกใดๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวอยู่ในสภาพที่เลื่อนลอยโหวงกลวง

คนขับรถหนวดเฟิ้มเองก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจ เดิมทีตกลงกันไว้แค่ไปส่งที่ตัวอำเภอเพื่อหาโรงแรมสำหรับพักอาศัยก่อนเท่านั้น หลังผ่านการร่วมมือร่วมแรงเข็นรถแล้ว ช่องว่างระหว่างสองคนก็ลดน้อยลง การเดินทางในช่วงครึ่งท้ายก็เลยพูดคุยเรื่อยเปื่อยแก้เบื่อกันได้ ทันทีที่ได้ยินว่าชูหนิงมาหาแฟนเท่านั้นแหละ โอ้โห! ตื่นตัวขึ้นมาเชียว จะต้องไปส่งให้ถึงที่หมายให้ได้ และยังเอาแต่พูดบ่นตลอดเวลา

‘ห่างไกลพันลี้บุพเพโยงใยด้วยด้ายแดง แม้นแม่น้ำหมื่นสายขุนเขานับพันกั้นห่างแต่มีชะตาวาสนาต้องกัน’

สถานที่แห่งนี้ผู้คนเรียบง่าย ซื่อๆ จริงใจ และมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ

ก็เป็นแบบนี้แหละ รถที่สภาพเหมือนเศษเหล็กบุโรทั่งพาชูหนิงมาส่งถึงที่นี่จนได้

ณ ฐานปฏิบัติการห้องทดลองด้านการบินของสถาบันวิจัยส่วนกลางในตันปา

สภาพถนนเป็นหลุมบ่อทำให้รถโคลงเคลงตลอดเส้นทาง ชูหนิงมีกลิ่นเหม็นหึ่งทั้งตัว ผมเผ้ารุงรัง กระโปรงฉีกขาด เสื้อสเว็ตเตอร์สีขาวเปรอะสีดำเทาเป็นกลุ่มก้อนเหมือนกับอุจจาระ รองเท้าส้นสูงที่ใส่ก็เป็นส้นแบนราบ และเหมือนจะมีรอยแตกหักที่ส้นด้านหลังของข้างซ้ายด้วย

เธออยากจะแต่งหน้าเพิ่มสักหน่อย ทันทีที่หยิบกระจกออกมาส่องดูก็ช็อกกับสภาพผีบ้าของตัวเอง

ชูหนิงรู้สึกว่าถ้าตอนนี้จุดบุหรี่สักมวนหนึ่ง สภาพคงเหมือนคนจรจัดที่ร่อนเร่พเนจรไปทั่วหล้าแน่ๆ

ว่าแล้วก็เห็นเงาคนวิ่งบึ่งมาจากในฐานวิจัย จากเงาเล็กๆ กลายเป็นใหญ่ จากที่ไกลๆ จนมาใกล้

ชูหนิงรู้สึกเสียใจ เสียใจที่ไล่ตามสามีมาถึงแถบเสฉวนทิเบต

ท่าทีแสดงออกของอิ๋งจิ่งร้อนรนเป็นอย่างมาก เขาวิ่งลงบันได วิ่งผ่านธงชาติ สายตากวาดมองไปรอบๆ โดยมีรั้วไม้กั้น สุดท้ายก็หยุดหอบหายใจแฮกๆ สายตาจ้องมองที่มุมกำแพง

ชูหนิงเหน็ดเหนื่อยเกินไป กำลังนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น เธอขดตัวเล็กน้อย แหงนศีรษะขึ้นมามองเขาอย่างยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดได้

หลังจากสงครามเย็นที่นิ่งเงียบไม่พูดคุยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้เจอหน้า

อิ๋งจิ่งพุ่งเข้าไปพยุงแขนของเธอมองดูตั้งแต่บนจรดล่าง ถามด้วยความร้อนรน “ไม่เป็นไรใช่ไหม ไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า คุณมาที่นี่ทำไม?!”

เขาพูดด้วยความร้อนใจและเป็นห่วงแท้ๆ แต่ชูหนิงในตอนนี้ที่แทบจะสติแตกอยู่รอมร่อฟังแล้วก็เหมือนเป็นคำถามในเชิงที่ไม่ค่อยพอใจเธอเท่าไหร่นัก

ความน้อยใจที่มีติดต่อกันมาหลายวันพลันท่วมท้นในความรู้สึกทันที ชูหนิงปัดมือของเขาออก เบือนหน้าหนีแล้วพูดเสียงเรียบเฉย

“ฉันมาเที่ยวไม่ได้หรือไง นั่งรถบัสกลุ่มทัวร์ท่องเที่ยวมาไม่ได้หรือไง”

อิ๋งจิ่งได้ยินแล้วก็ดีใจ แถมยังให้ความร่วมมือดีมาก หันไปพูดกับคนขับรถหนวดเฟิ้มที่อยู่ข้างๆ

“พี่คนขับรถครับ ลำบากพี่แล้วล่ะครับ รถบัสหรูหราสมคำเล่าลือเลย”

คนขับรถหนวดเฟิ้มหัวเราะเสียงทุ้มนิดหน่อย ขำฮ่าๆๆ แบบหยุดไม่ได้

ชูหนิงก้มศีรษะ สายตามองต่ำลงมา เอานิ้วมือบีบกระเป๋าของตัวเองแน่น

อิ๋งจิ่งพลันรู้สึกไม่สบายใจ เอ่ยเสียงทุ้มถามเธออย่างอ่อนโยน “หนิงเอ๋อร์…”

ชูหนิงไม่อาจฝืนกลั้นได้อีกแล้ว เธอร้องไห้หยาดน้ำตาไหลลงมาสองหยด

อิ๋งจิ่งเอื้อมมือออกไปคว้าหญิงสาวเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก ลูบตรงท้ายทอยของเธอ คนที่อยู่ในอ้อมกอดรูปร่างบอบบาง กำลังซุกศีรษะอยู่ตรงหน้าอกของเขา เธออดกลั้นเอาไว้ ฝืนข่มไม่ให้ส่งเสียงร้องไห้ออกมา แต่ไหล่ของเธอที่สั่นเทาอยู่ภายใต้การควบคุมนั้นกำลังหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ

หัวใจของอิ๋งจิ่งเหมือนถูกมีดทิ่มแทง ได้แต่กระชับกอดเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ พูดอธิบายเสียงแหบแห้ง

“คณบดีสวีแจ้งว่าสถาบันวิจัยส่วนกลางส่งจดหมายมา ระบุชื่อผมให้มาที่ฐานวิจัย ตอนนั้นรถของทางสนามบินก็มาจอดคอยอยู่ที่ประตูทางเข้ามหา’ลัยแล้ว ผมนึกว่าเป็นการเยี่ยมชมทัศนศึกษาแบบธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะมีกฎระเบียบที่เข้มงวด พอถึงสนามบินก็จัดการเอามือถือมารวมไว้ที่เดียวกันเลย”

ชูหนิงพูดอู้อี้ “แล้วทำไมก่อนไปไม่โทรศัพท์บอกฉันล่ะ”

อิ๋งจิ่งพูดเสียงหวาดๆ อย่างรู้สึกผิด “เราทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”

ชูหนิงโมโหทนไม่ไหว หยิกแขนเขาอย่างแรง แต่ก็ไม่ได้ลงมือแบบจริงจัง อิ๋งจิ่งเจ็บจนสะดุ้ง

“ไม่กล้าแล้วๆ ไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้วครับ”

เบ้าตาชูหนิงร้อนผ่าวขึ้นอีกครั้ง เธอจับเสื้อของเขา สะอึกสะอื้นหายใจติดขัด

เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว อิ๋งจิ่งเป็นคนจัดการกับเรื่องราวที่ตามมาภายหลัง เขาเหมือนเป็นหนุ่มเจ้าบ้านที่พูดขอบคุณคนขับรถหนวดเฟิ้มอย่างสุภาพนอบน้อมและจ่ายเงินแทนชูหนิง ตกลงราคากันไว้ว่าหนึ่งพันสองร้อย ทว่าเขาให้ไปเลยสองพัน

เส้นทางยากลำบากและเสี่ยงอันตราย สามารถพาชูหนิงมาส่งถึงที่ได้อย่างปลอดภัย เขารู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณจากใจ

คนขับรถหนวดเฟิ้มบอกว่าไม่ได้ต้องการอะไรทั้งนั้น พูดภาษาจีนกลางแปร่งๆ ด้วยสำเนียงเสฉวนปนทิเบต ชี้ที่โทรศัพท์มือถือพร้อมพูดเสียงดัง

“เพิ่มเพื่อนวีแชตผม ต่อไปคุณเป็นคนแนะนำธุรกิจให้ผมสิ แล้วผมจะหักเปอร์เซ็นต์ที่ได้ให้คุณ”

อิ๋งจิ่งตบไหล่อีกฝ่าย พูดเสียงสดชื่น “ได้ครับ!”

แล้วกิจกรรมการไล่ตามสามีตลอดระยะทางไกลพันลี้ก็สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ อิ๋งจิ่งเป็นคนเดินนำพาเธอเข้าไปในฐานวิจัย ชูหนิงยังมีความกังวล

“หรือไม่งั้นฉันไปเปิดห้องพักที่ในตัวอำเภอดีกว่าไหม”

พี่เหรินผ่านมาได้ยินคำพูดนี้เข้าพอดีก็รีบช่วยพูดให้หายกังวล “ไม่ต้องๆ ผมจะจัดเตรียมให้ มีห้องพักรับรองแขกอยู่ในฐานวิจัยครับ ถึงแม้สภาพจะเป็นแบบทั่วๆ ไป แต่ก็สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยนะครับ” พูดเสร็จก็ยื่นมือออกมาอย่างอบอุ่นเป็นมิตร “สวัสดีครับ ผมชื่อเหรินชิงหมิง เป็นผู้รับผิดชอบงานธุรการของที่นี่ ยินดีต้อนรับสมาชิกครอบครัวผู้มาเยี่ยมชมที่นี่นะครับ”

ชูหนิงจับมือตอบอย่างสุภาพ รู้สึกกระอักกระอ่วน จะปฏิเสธก็ไม่ใช่ จะตอบรับก็ไม่เชิง

ส่วนอิ๋งจิ่งแอบดีใจเงียบๆ พยักหน้ารัวเหมือนไก่จิกข้าวสาร “อืมๆๆ!”

ชูหนิงแอบเอามือดึงที่ด้านหลังเอวของเขาเบาๆ ไม่ได้ออกแรงมากมายนัก ออกจะเป็นการออดอ้อนเสียมากกว่า

เวลานี้ค่อนข้างดึกแล้ว คงไม่เหมาะที่จะทำเป็นเรื่องใหญ่เอิกเกริก พี่เหรินรีบจัดเตรียมห้องให้เสร็จสรรพอย่างรวดเร็ว และยังเอาน้ำผึ้งของท้องถิ่นหนึ่งถ้วยกับหมั่นโถวสองลูกมาเสิร์ฟให้ด้วย

“ดื่มอะไรที่หวานๆ หน่อยนะครับ ที่นี่อยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลมาก ระวังจะมีอาการแพ้ที่สูง*

ชูหนิงหิวมากจริงๆ เคี้ยวกลืนอย่างตะกละตะกลามโดยไม่สนใจภาพลักษณ์

“ช้าๆ หน่อย” อิ๋งจิ่งหยิบกระดาษทิชชูเช็ดที่มุมปากให้เธอ พูดอย่างไม่สบายใจ “คุณอยู่แก้ขัดไปก่อนหนึ่งคืนนะ ไว้พรุ่งนี้ผมจะพาคุณออกไปเดินเล่น”

ชูหนิงไม่พอใจที่เขาเช็ดไม่สะอาด หันหน้าทางขวาไปหาเขาอีกครั้ง ทำปากจู๋เพื่อให้เขาเช็ด แล้วกระดาษทิชชูก็แตะประทับตรงมุมปากด้านขวาของเธออย่างแผ่วเบา

เธอกินไปด้วยถามไปด้วยว่า “พรุ่งนี้นายไม่ต้องทำงานเหรอ”

“การทดลองภาคค่ำสำเร็จแล้ว พรุ่งนี้ผมจะขอลาหยุด”

“ลาได้เหรอ”

“ผมไม่ได้อยู่ตำแหน่งหน้าที่เฉพาะประจำฐานวิจัยน่ะ ข้อกำหนดไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้น” อิ๋งจิ่งพูด “ที่สั่งการไว้คือให้ผมอยู่แค่อาทิตย์เดียว”

ชูหนิงพูดเออออตาม พอกินเสร็จแล้วก็ทำความสะอาดถ้วยชาม

อิ๋งจิ่งเป็นคนเอาพวกมันออกไป ไม่นานนักก็กลับเข้ามาอีกรอบ แล้วปิดประตู

ชูหนิงเหลือบมองเขาครู่หนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร นั่งพักผ่อนอยู่บนม้านั่ง

ส่วนอิ๋งจิ่งก็รู้งานตัวเองดี นั่งยองๆ ลงบนพื้นและเก็บข้าวของสัมภาระให้เธอ กระเป๋าเดินทางสไตล์คลาสสิกของหลุยส์ วิตตองก็ถูกหลุมบ่อตะปุ่มตะป่ำตลอดเส้นทางทำลายเสียจนมีสภาพน่าอนาถไม่อาจทนดูได้ อิ๋งจิ่งนำเสื้อผ้าข้างในมาพับซ้อนกันใหม่อีกครั้งอย่างระมัดระวัง จับโดนเสื้อชั้นในกางเกงในก็ยังคงสงบนิ่งแสดงสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เสื้อชั้นในแบบลูกไม้สีดำ กางเกงในสีดำขนาดเท่าฝ่ามือ นอกจากเนื้อผ้าฝ้ายที่เป็นผืนเล็กๆ นั้นแล้ว ตรงส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นเส้นด้ายบางๆ…

ชูหนิงเองก็นิ่งเฉย มองอิ๋งจิ่งจัดเก็บข้าวของอยู่เหมือนคนไม่รู้สึกรู้สาอะไร

เขานั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น กำลังก้มหน้า มือเป็นระวิง เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นคนที่จัดระเบียบงานในบ้านได้อย่างค่อนข้างมีระบบระเบียบ

ไม่นานนักสภาพข้าวของก็ใหม่เอี่ยมอ่อง

อิ๋งจิ่งช่วยเธอเอาเสื้อผ้าสะอาดที่ไว้สำหรับเปลี่ยนวางไว้บนเตียงและบอกเธอว่า “คุณไปอาบน้ำเถอะ ผมคอยคุณอาบเสร็จแล้วค่อยไป”

ชูหนิงขานเสียงตอบก่อนจะลุกขึ้น ถามโดยไม่ต้องคิดว่า “นายพักอยู่ที่ไหน”

“ชั้นล่างครับ”

“อือ”

ในบริเวณเขตที่ราบสูงมีแรงดันน้ำไม่มาก น้ำที่อาบจากฝักบัวเหมือนฝนตกปรอยๆ ชูหนิงไม่ปล่อยให้เปลืองน้ำ รีบอาบอย่างรวดเร็ว ออกมาจากห้องน้ำกลิ่นตัวหอมฟุ้ง รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว

อิ๋งจิ่งนั่งอยู่ที่ริมเตียง เงยหน้าขึ้นมามองเธอแวบหนึ่ง ดวงตาดำขลับจ้องมองอย่างเงียบเชียบ

ชูหนิงนั่งบำรุงผิวอยู่ที่พื้น ในถุงกระเป๋าเดินทางมีขวดมากมายหลายแบบ เธอเอ่ยเสียงเรียบ “นายไปพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ”

อิ๋งจิ่งลุกขึ้นอย่างเชื่อฟังโดยที่ไม่พูดอะไร

เขาเดินไปตรงประตู กระทั่งชูหนิงได้ยินเสียงหมุนกลอนประตูดังขึ้น

ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ‘ปัง!’ เธอหันกลับไปมองอย่างไม่รู้ตัว อิ๋งจิ่งยังไม่ได้ออกไป เขากลับเดินเข้ามากอดเอวเธอไว้จากข้างหลัง

หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นระรัวอย่างแรงและมีพลัง

อุณหภูมิที่ร้อนผ่าวลอดผ่านเข้ามาที่หลังของชูหนิง อิ๋งจิ่งกระซิบเสียงวิงวอน “ผมรอจนคุณหลับแล้วค่อยไปได้ไหม”

ชูหนิงไม่ได้ขานตอบ รอให้เขาพูดต่อ

แล้วก็มีการวางแผนชั่วร้ายจริงดังที่คิดไว้เลย อิ๋งจิ่งพูดข้างหูเธอว่า “ผมจะนอนเป็นเพื่อนคุณสักพัก ผมอยากกอดคุณน่ะ”

เท่านั้นแหละ แล้วทั้งสองคนก็นอนอยู่บนเตียงเดียวกัน หันหน้าขึ้นด้านบน ตรงกลางเว้นไว้อย่างน้อยยี่สิบเซนติเมตร สายตาทั้งคู่เหมือนไม่ยี่หระกับความตาย นอนร่างกายแข็งทื่อ ถ้าใครไม่รู้ยังนึกว่าเป็นศพนอนแผ่อยู่

ชูหนิงหลับตาลงทันที นอนหลับอย่างสุขสงบ

อิ๋งจิ่งทนไม่ไหว ลองหยั่งเชิงเข้าไปใกล้ๆ เธอก่อน เกี่ยวนิ้วของเธอดูสักนิด ไม่ปฏิเสธเหรอ งั้นดีล่ะ ว่าแล้วก็พลิกตัวทันที เอาแขนโอบพาดบนท้องของชูหนิงและกอดเธอเอาไว้

ชูหนิงกลั้นหายใจ ให้ตายก็ไม่ยอมหายใจ

อิ๋งจิ่งรู้สึกว่ายังไม่พอ เอาต้นขาทับบนตัวเธอ

“แค่ก!” ชูหนิงทนไม่ไหว กลั้นจนเกือบจะหมดลมหายใจ

เดิมทีบรรยากาศช่างน่าอึดอัด ทว่าตอนนี้กลับผ่อนคลายลงแล้ว

ทั้งสองคนมองสบตาหัวเราะคิกคักจนหยุดไม่อยู่

อิ๋งจิ่งจูบที่คิ้ว ดวงตา และจมูกของเธอ สุดท้ายก็จูบเธอติดกันสามทีที่ริมฝีปาก

ชูหนิงจับคางของเขาเอาไว้ พูดอย่างค่อนข้างมีสติ “อย่าทำซี้ซั้ว!”

ถึงยังไงก็เป็นฐานการทดลองวิจัยระดับประเทศ ก็ยังต้องมีพฤติกรรมที่สำรวมจริงจังสักหน่อย อิ๋งจิ่งรวบรวมความกล้า พูดเสียงเบาๆ

“ผมสัมผัสคุณหน่อยได้ไหม”

“…”

“ผมเพียงแค่จับจริงๆ นะ”

ชูหนิงครุ่นคิดทันที ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสม แถมยังเกิดความอยากที่จะลองดูด้วยเช่นกัน

เธอแบ่งรับแบ่งสู้ ตอบอือไปอย่างเบลอๆ

ดวงตาของอิ๋งจิ่งส่องประกายเหมือนหลอดไฟ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เขามุดเข้าไปในผ้าห่มทันที

ชูหนิงประหม่าสุดๆ

ฝ่ามือที่ร้อนผ่าวเลิกชายเสื้อขึ้นไปข้างบน

เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจหอบกระชั้นอย่างหนักหน่วงของคนที่อยู่ข้างใน กระทั่งยังเหมือนกับมีเสียงพึมพำดังเบาๆ นิดหน่อย

หลังจากนั้นเธอพลันรู้สึกร้อนที่หน้าอก มือของเขากำลังกระทำการละลาบละล้วง

ผู้ชายเหมือนจะมีพรสวรรค์ในการสัมผัสที่แนบชิด สามารถปรับตัวได้เร็วกว่าผู้หญิงเสมอ อิ๋งจิ่งมุดออกมาจากในผ้าห่ม จ้องใบหน้าของเธอตาไม่กะพริบ

ใบหน้าของชูหนิงงดงามปานดอกท้อ สายตาก็เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง

เธอมองตอบเขา อยากจะโอบคอของเขาไว้อย่างไม่อาจหักห้ามใจได้

แต่ทันใดนั้นพลันเกิดอาการตกใจในแววตาของอิ๋งจิ่ง แล้วเขาก็หยุดชะงักความเคลื่อนไหว

ชูหนิงเสียงเปลี่ยน “…หือ?”

เธอรู้สึกคันจมูก เผลอเอามือไปถูโดยไม่รู้ตัว

เลือดทั้งนั้นเลย!

อิ๋งจิ่งกลับมารู้สึกตัว สีหน้าเปลี่ยนเป็นเหวอในทันที เปิดผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้น “หนิงเอ๋อร์ คุณอย่าขยับ!”

ชูหนิงงุนงง ยันแขนลุกขึ้นมานั่ง ยังไม่ทันจะได้ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเธอก็พลันเวียนหัว ฟุบศีรษะลงไปทันที

อิ๋งจิ่งตกใจมาก อุ้มเธอขึ้นมาแล้วพุ่งตัวออกไปข้างนอกเหมือนเป็นบ้า “พี่เหริน!!!”

 

* อาการแพ้ที่สูง เป็นภาวะตอบสนองเมื่ออยู่ในพื้นที่สูงซึ่งมีความกดอากาศต่ำและอากาศเบาบาง ทำให้มีอาการหายใจไม่สะดวก ความดันต่ำ หอบหายใจไม่ทัน เหนื่อยง่าย เป็นต้น

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: