X
    Categories: จันทราอัสดงทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน จันทราอัสดง บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 5

องค์หญิงเก้าอยู่ข้างหลังเซียวหลิ่น มองดูหลีซูซูอย่างเหยียดหยัน นางชอบเห็นเยี่ยซีอู้ขายหน้าต่อหน้าเสด็จพี่หกเป็นที่สุด

หลีซูซูหงุดหงิดเหลือเกิน ไหนว่าผลลัพธ์จากการท้าประลององค์หญิงเก้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเองอย่างไรเล่า

องค์หญิงเก้าพูดจากลับไปกลับมาเช่นนี้ หากอยู่ในโลกบำเพ็ญเพียร ต้องถูกผู้ที่มีความสามารถแข็งแกร่งฆ่าคนปล้นสมบัติเป็นหมื่นรอบแน่นอน

ชุนเถากังวลใจยิ่งนัก ปกติคุณหนูสามใส่ใจความคิดขององค์ชายหกเป็นที่สุด ทุกครั้งเวลาองค์ชายหกเอ่ยถ้อยคำเย็นชา คุณหนูสามจะโมโหจนแทบคลุ้มคลั่ง

ช่วงนี้หายากทีเดียวที่คุณหนูสามจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอารมณ์ดี แต่กลับไปครั้งนี้ไม่แน่อาจอาละวาดครั้งใหญ่อีก

ชุนเถาลอบเหลือบตามองไปยังคุณหนูสาม กลับไม่เห็นแววเสียใจเจ็บปวดบนใบหน้าของคุณหนูสาม

หลีซูซูปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ห้าร้อยปีก่อนศิษย์พี่ใหญ่ยังไม่รู้จักตน เขาปกป้องน้องสาวแท้ๆ ของตนเองก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ข้ามมิติเวลามาห้าร้อยปี ได้พบคนที่แตกดับไปแล้วอีกครั้ง หลีซูซูรู้สึกว่าน่าจะดีใจถึงจะถูก

ศิษย์พี่ใหญ่ตายเพื่อปกป้องสำนัก เขาเป็นวีรบุุรุษ

หลีซูซูขบคิดและพูดกับเซียวหลิ่น “ไม่ว่าองค์ชายจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าไม่ได้เป็นฝ่ายหาเรื่ององค์หญิงเก้า ที่นี่คือวังหลวง ไทเฮาเรียกตัวข้าเข้าเฝ้า ข้าคงมิอาจตั้งใจมาขวางทางองค์หญิงเก้าและรังแกนางได้กระมัง”

เซียวหลิ่นอึ้งงันไป อดมองหลีซูซูแวบหนึ่งมิได้

คุณหนูสามสกุลเยี่ยในอดีต มักใช้สายตาลุ่มหลง อยากจะพูดแต่ไม่กล้าพูดจ้องมองตน ทำความผิดไม่รู้จักสำนึก อุปนิสัยร้ายกาจโหดเหี้ยม

ในความทรงจำของเขา เยี่ยซีอู้มีใบหน้าที่อัปลักษณ์บิดเบี้ยว

เซียวหลิ่นย่อมรู้ดีว่านางรักและบูชาตนถึงขั้นบ้าคลั่ง ทว่าทุกครั้งที่เขาพบนาง ในใจกลับบังเกิดความรังเกียจไม่สิ้นสุด

ทว่าวันนี้กลับแตกต่างออกไป ดวงตานางใสกระจ่างมาก หว่างคิ้วเปิดเผย เสื้อบุนวมตัวเล็กเป็นสีชมพู รองเท้าหุ้มข้อเหยียบไปบนพื้นจนเกิดรอยเท้าเล็กๆ หลายรอย

เมื่อไอดุดันและความขุ่นขึ้งในอดีตหายไป เขาจึงมองเห็นชัดว่าโฉมหน้าของคุณหนูสามสกุลเยี่ยมิได้น่ารังเกียจ

ดวงตานางสะท้อนภาพหิมะขาว พวงแก้มดูนุ่มนิ่ม เผยความไร้เดียงสาออกมาหลายส่วน

ฟังคำชี้แจงของนางแล้ว เซียวหลิ่นมององค์หญิงเก้าพลางเอ่ย “เจาอวี้ เจ้าเป็นฝ่ายขอแลกเปลี่ยนวิชากับคุณหนูสามสกุลเยี่ยหรือ”

แววร้อนตัววาบขึ้นในดวงตาขององค์หญิงเก้าอย่างรวดเร็ว นางดึงแขนเสื้อของเซียวหลิ่น “เสด็จพี่…”

ยามนี้เซียวหลิ่นยังมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีก เขามีนิสัยผ่าเผย เป็นวิญญูชนที่แท้จริงผู้หนึ่ง ในเมื่อเรื่องนี้น้องสาวเป็นฝ่ายเริ่ม เขาย่อมไม่มีทางตำหนิหลีซูซูอีก

“ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทราบ คุณหนูสามโปรดอภัยด้วย” เขาเอ่ยกับหลีซูซู

หลีซูซูไม่คิดว่าเซียวหลิ่นจะกล่าวขออภัยตนเอง จึงรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน

ศิษย์พี่ใหญ่ดีเป็นอันดับสองในใต้หล้า เป็นรองเพียงท่านพ่อเท่านั้น โทษใครก็มิอาจโทษศิษย์พี่ใหญ่

ในความคิดของหลีซูซู เจ้าของร่างเดิมนิสัยไม่ดี สายตากลับเฉียบคมไร้ที่ติ ศิษย์พี่ใหญ่ของนางเฉิดฉายดุจจันทรา ดังฟ้าหลังฝน องอาจอย่างแท้จริง น่าเสียดายที่เขาแตกดับเร็วเกินไป

ก่อนหน้านี้เซียวหลิ่นชิงชังเจ้าของร่างเดิมถึงเพียงนั้น อันที่จริงใช่ว่าไร้เหตุผล หนึ่งเพราะเจ้าของร่างเดิมทำแต่เรื่องแย่ๆ สองเพราะเจ้าของร่างเดิมปากแข็ง ต่อให้ทำเรื่องชั่วช้าก็ยังไม่สำนึกผิด

เซียวหลิ่นแม้จะเอ่ยขอโทษ แต่ความรู้สึกที่มีต่อหลีซูซูหาได้ดีขึ้น

ถึงอย่างไรวันนั้นภรรยาเขาเยี่ยปิงฉางตกน้ำ ก็เป็นฝีมือของคุณหนูสามสกุลเยี่ยอย่างแท้จริง ดังนั้นเขาจึงแค่พยักหน้าให้หลีซูซูเล็กน้อย มองก็ไม่มองสักแวบและหันกายเดินจากไป

องค์หญิงเก้าคิดไม่ถึงว่าเยี่ยซีอู้ที่ในอดีตรู้จักแต่อาละวาด วันนี้กลับไม่เอะอะโวยวายและอธิบายให้เสด็จพี่ฟังอย่างใจเย็น ครั้นเห็นเสด็จพี่มิได้ช่วยตนต่อว่าหลีซูซู นางจึงกระทืบเท้าเร่าๆ หันหลังวิ่งจากไป “เสด็จพี่ รอข้าด้วย”

พอพี่น้องสกุลเซียวจากไปแล้ว หลีซูซูหันกลับไป เห็นชุนเถากำลังยิ้มอย่างโง่งม

หลีซูซูอดถามมิได้ “เจ้ายิ้มอะไร”

ชุนเถาโพล่งตอบทันใด “นี่นับเป็นครั้งแรกที่องค์ชายหกยอมจำนนให้คุณหนู”

แม่ทัพใหญ่เยี่ยกุมอำนาจทหารยิ่งใหญ่ไว้ในมือ แม้แต่ฮ่องเต้ยังไม่กล้าแตะต้องคุณหนูสามส่งเดช

ทว่าองค์ชายหกที่สูงส่งปานกล้วยไม้ สง่างามราวต้นไม้หยก กลับไม่เคยปกปิดความรังเกียจที่มีต่อคุณหนูสาม ที่ผ่านมาทุกครั้งเวลาพบกันล้วนตีหน้าบึ้ง ตำหนิคุณหนูอย่างเย็นชารอบหนึ่ง

ครั้งที่รุนแรงที่สุด ตอนนั้นคุณหนูใหญ่ยังไม่ออกเรือน คุณหนูสามคิดจะตบหน้าคุณหนูใหญ่ องค์ชายหกจึงสะบัดตัวคุณหนูสามออก

ครั้งนั้นคุณหนูสามโมโหจนเขวี้ยงทุกอย่างในห้องที่สามารถเขวี้ยงได้

ฟังชุนเถาเล่าเช่นนี้ หลีซูซูรู้สึกอยากหัวเราะเช่นกัน

เด็กโง่ชุนเถาผู้นี้ช่างใจกว้างจริงแท้ พึงรู้ว่าแส้เมื่อครู่นี้ขององค์หญิงเก้าหากโดนหน้า ชุนเถาต้องเสียโฉมแน่ สุดท้ายในใจของเด็กน้อยผู้นี้ กลับเอาแต่คิดถึงเรื่องรักใคร่เกลียดชังเล็กน้อยระหว่างคุณหนูของตนกับองค์ชายหก

สองคนแยกย้ายไปแต่งงาน เรื่องระหว่างพวกเขาเป็นไปไม่ได้ตั้งนานแล้ว

เซียวหลิ่นแค่เอ่ยคำว่า ‘ขออภัย’ อย่างราบเรียบ ชุนเถากลับดีอกดีใจถึงขั้นนี้ แต่ก่อนเจ้าของร่างเดิมเป็นที่ชิงชังถึงขั้นใดกัน

พอคิดถึงตอนเด็กๆ ศิษย์พี่ใหญ่เกล้าผมให้ตนอย่างอ่อนโยน จากนั้นคิดว่าน้อยนักที่ศิษย์พี่ใหญ่จะชิงชังใครสักคน แต่บัดนี้เขากลับไม่ชอบหน้าร่างนี้ของตนอย่างมาก

หลีซูซูรู้สึกสิ้นหวังกับภาพลักษณ์ยามนี้ของตนเองเหลือเกิน

ไทเฮารั้งตัวหลีซูซูอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะปล่อยนางออกมา

เป็นเช่นที่แม่ทัพใหญ่เยี่ยบอก ไทเฮาดูเมตตาอารี จิตใจกว้างขวางอย่างมาก

ทว่าหลีซูซูมิได้คิดเช่นนี้ เรื่องที่องค์หญิงเก้ามาท้าประลองกับหลีซูซู ตามหลักไทเฮาน่าจะทราบเรื่องแล้ว แต่ไทเฮากลับไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่คำเดียว

หลีซูซูเดาว่าบางทีการที่องค์หญิงเก้ามา อาจได้รับการอนุญาตเงียบๆ จากไทเฮา

หากองค์หญิงเก้าลงมือได้สำเร็จราบรื่น ป่านนี้หลีซูซูคงถูกเฆี่ยนจนสภาพดูไม่ได้ ถึงเวลาไทเฮาปลอบโยนสองสามคำ กลับกลายเป็นคนดีไปเสียอีก

หลีซูซูลอบคิดในใจ เห็นทีสกุลเยี่ยจะเป็นไม้ใหญ่ล่อลม* ราชสกุลไม่พอใจสกุลเยี่ยเสียแล้ว

บางครั้งเวลาผู้อื่นใจกว้างกับเจ้า มิใช่เพราะความชื่นชอบ แต่เป็นเพราะความหวาดเกรง

ในกาลก่อนมักมีศึกสงครามอยู่เนืองๆ ราชวงศ์สกุลเซียวต้องการแม่ทัพใหญ่เยี่ยผู้เป็น ‘เทพสงคราม’ แต่หลายปีมานี้บ้านเมืองสงบสุข ปวงประชาปลอดภัย ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์สูงอย่างมั่นคง ย่อมเลี่ยงมิได้ที่จะบังเกิดความไม่พอใจต่อขุนนางที่เป็นภัยคุกคามตน

หลีซูซูแม้ไม่เคยมีประสบการณ์ในโลกภายนอก กฎเกณฑ์ในโลกมนุษย์ก็รู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่หลักเหตุผลเช่นนี้ นางสามารถทำความเข้าใจได้

เพียงแต่ไม่รู้แม่ทัพใหญ่เยี่ยคิดอย่างไร

บนเส้นทางเดินทางกลับ หลีซูซูพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

นางเอ่ยถามขันทีน้อยผู้นำทาง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อก่อนถานไถจิ้นอาศัยอยู่ที่ใด”

ขันทีน้อยรู้นิสัยของคุณหนูสามสกุลเยี่ยผู้นี้มาก่อนหน้าแล้ว ยามนำทางให้นางล้วนก้มศีรษะตลอดเวลา เวลานี้ได้ยินหลีซูซูเอ่ยถามกะทันหัน จึงรีบตอบว่า “เมื่อก่อนองค์ชายจื้อจื่ออาศัยอยู่ในวังเย็นขอรับ”

“วังเย็นหรือ พาข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่”

ขันทีน้อยทำหน้าลำบากใจอยู่บ้าง

หลีซูซูคิดถึงคำสอนของท่านพ่อ มาโลกมนุษย์แล้วต้องรู้จักทำตัว ดังนั้นจึงดึงปิ่นอันหนึ่งบนศีรษะลงมายื่นให้เขา “รบกวนกงกงแล้ว”

ขันทีน้อยรีบปฏิเสธ “หามิได้ หามิได้ขอรับ” คุณหนูจวนแม่ทัพผู้นี้ไม่ลงมือกับตนก็บุญแล้ว

หลีซูซูเอ่ย “ไม่เป็นไร รับไว้เถิด”

ขันทีน้อยลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บปิ่นให้ดีและนำทางหลีซูซูไป

ไม่นานหลีซูซูก็เห็นวังตำหนักที่ชำรุดทรุดโทรม

“นี่ก็คือสถานที่ที่องค์ชายจื้อจื่อเคยอาศัยอยู่สมัยก่อน ข้าน้อยยังต้องกลับไปปฏิบัติหน้าที่ วังเย็นรกร้างวังเวง คุณหนูเยี่ยอย่าได้รั้งอยู่นาน” เขารับของจากหลีซูซูแล้ว อดมิได้ที่จะเตือนด้วยความหวังดี

หลีซูซูพยักหน้า “ขอบใจมาก”

ขันทีน้อยจากไปแล้ว

ชุนเถามาเยือนวังเย็นเป็นครั้งแรก นางมองเรือนที่มีหญ้ารกสูงสามนิ้ว คิดถึงตำนานเล่าลือที่ว่าวังเย็นมักมีผีออกอาละวาด นางจึงตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ “คุณหนู พวกเรามาวังเย็นด้วยเหตุใดหรือเจ้าคะ”

หลีซูซูเดินเข้ามาแล้ว รู้สึกถึงไอหยิน* ขุมหนึ่งเช่นกัน แต่ตอนนี้นางอยู่ในร่างของมนุษย์ จึงมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

“หากเจ้ากลัว รอข้าอยู่ข้างนอก ประเดี๋ยวข้าก็ออกมา” หลีซูซูพูดกับชุนเถา

ชุนเถารีบสั่นศีรษะ “บ่าวจะติดตามคุณหนูเจ้าค่ะ”

คุณหนูสามฐานะสูงส่งเพียงใด หากนางเกิดเรื่องหรือได้รับบาดเจ็บ ชุนเถาก็ไม่รอดเช่นกัน

พอเห็นชุนเถายืนกราน หลีซูซูมิได้พูดมากอีก ยกชายกระโปรงเหยียบย่างเข้าไปในวังเย็น นางอยากทำความเข้าใจอดีตของถานไถจิ้นให้มากที่สุด

พันหมื่นปีมานี้ ในโลกหล้ามีพญามารเพียงสองตนเท่านั้นที่มีกระดูกมารโดยกำเนิด

ตอนพญามารตนแรกถือกำเนิด เทพบรรพกาลนับไม่ถ้วนจิตวิญญาณแตกดับ สังเวยตบะนับหมื่นปีของตน แม้แต่วัตถุเทพก็แตกสลายไปด้วย จึงจะสามารถกำจัดพญามารได้

หลายปีต่อมา พญามารตนที่สองถานไถจิ้นผงาดขึ้นอีกครั้ง

แต่ผู้บำเพ็ญเพียรในเวลานี้ มิได้แข็งแกร่งห้าวหาญเหมือนคนรุ่นก่อนอีกแล้ว หลายหมื่นปีที่ผ่านมา เซียนที่บรรลุเป็นเทพมีน้อยนิดจนน่าสงสาร ประกอบกับไม่มีวัตถุเทพอีกแล้ว พวกเขาจนปัญญากับถานไถจิ้นโดยสิ้นเชิง

ร่างกายมีกระดูกมาร ย่อมเป็นวิญญาณกึ่งเทพโดยกำเนิด นับแต่สมัยหงฮวง* เป็นต้นมา เหล่าเทพต่างหวาดหวั่นยำเกรง จอมมารก่อนหน้าถานไถจิ้น แทบจะกล่าวได้ว่าอยู่เหนือเทพบรรพกาลด้วยซ้ำ

หากไม่มีการค้นคว้าอย่างเพียงพอ โลกบำเพ็ญเพียรไม่รู้เลยจริงๆ ว่าจอมมารถือกำเนิดขึ้นได้อย่างไร เหตุใดจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนั้น และจุดอ่อนอยู่ที่ใด

ในช่วงเวลาที่โลกบำเพ็ญเพียรถูกกองทัพมารโจมตีจนต้านไม่ไหว ในที่สุดก็มีคนเสนอว่าให้ใช้ ‘คันฉ่องส่องอดีต’ ซึ่งเป็นวัตถุเทพเสาะหาหนทาง

เซียนทั้งหลายทุ่มเทสุดกำลัง ตามเก็บชิ้นส่วนของ ‘คันฉ่องส่องอดีต’ กลับมา ไม่ง่ายเลยกว่าจะซ่อมแซมได้

กระนั้นคันฉ่องที่ชำรุดกลับมองเห็นเพียงโอกาสสุดท้ายอันเลือนรางเท่านั้น…ร่างเดิมของจอมมารเมื่อห้าร้อยปีก่อนชื่อว่า ‘ถานไถจิ้น’ เป็นมนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอผู้หนึ่ง

จุดอ่อนของเขา สาเหตุที่เขาก้าวเข้าสู่วิถีมาร ล้วนมิอาจส่องสะท้อนออกมาได้

อีกทั้งกระดูกมารนี้ การทำลายกายเนื้อและจิตวิญญาณล้วนไม่มีประโยชน์ เมื่อกายเนื้อของถานไถจิ้นตายไป สิบแปดปีให้หลัง กายเนื้อของเขาจะหล่อหลอมขึ้นใหม่อีกครั้ง และมีแต่จะแข็งแกร่งกว่าเดิม

พูดง่ายๆ ก็คือการฆ่าเขายิ่งจะทำให้เขาแข็งแกร่งมากขึ้นนั่นเอง

เซียนทั้งหลายพูดไม่ออก

เหล่าผู้อาวุโสกลัดกลุ้มยิ่งนัก ครั้นเห็นโลกบำเพ็ญเพียรกำลังจะต้านไว้ไม่อยู่แล้ว พวกเขาก็กัดฟันตัดสินใจสังเวยตบะเกือบหมื่นปี เปลี่ยนชะตาฟ้าดิน

หลังจากเสี่ยงทายเลือกคน พวกเขาส่งหลีซูซูกลับมายังห้าร้อยปีก่อน หวังว่านางจะถอนกระดูกมารของถานไถจิ้นได้สำเร็จ และทำลายเขาได้โดยสมบูรณ์

จอมมารที่ไม่มีกระดูกมารจะอ่อนแอจนมิอาจทนรับการโจมตี มิอาจดูดซับไอแค้นและไอชั่วร้ายจากฟ้าดินเพื่อคืนชีพได้อีก

นี่เป็นหนทางสุดท้าย

ความคิดนี้ล้ำเลิศทีเดียว

ก่อนออกเดินทาง หลีซูซูขอคำชี้แนะจากท่านพ่ออย่างจริงจัง “หลีซูซูควรจะถอนกระดูกมารออกมาทำลายทิ้งอย่างไรเจ้าคะ”

เจ้าสำนักในอาภรณ์สีฟ้าครามกระแอมกระไอ “ลูกข้า เจ้าต้องขบคิดหาหนทางเอง ทำความเข้าใจอดีตของเขา หาสิ่งที่เขากลัวที่สุดให้เจอ ถึงเวลากำไลหยกที่มารดาเจ้าทิ้งไว้ให้น่าจะช่วยเหลือเจ้าได้”

นี่คือพูดก็เหมือนไม่พูด เช่นนั้นตกลงต้องทำอย่างไรเล่า

สำนักเซียนพึ่งพาไม่ได้ หลีซูซูจึงต้องค้นคว้าหาคำตอบเอง

หลีซูซูคิดอย่างไม่แน่ใจนัก การทำความเข้าใจอดีตของคนผู้หนึ่งและไปเยือนสถานที่ที่เขาเคยอยู่ น่าจะพบเบาะแสข้อมูลไม่น้อยกระมัง

ใจกลางวังเย็น มีเพียงบ่อน้ำบ่อเดียว

หลีซูซูเดินเข้าไปและนั่งยองลงมองดู นางมองปราดเดียวก็เห็นไปถึงก้นบ่อ ในนั้นมีโครงกระดูกสีขาวน่ากลัวหลายโครง นี่เป็นบ่อน้ำแห้ง ไม่รู้มีอายุนานเท่าไรแล้ว

ที่แท้ในอดีตถานไถจิ้นอาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีโครงกระดูกกองพะเนินแห่งนี้

หลีซูซูรีบร้องบอกชุนเถาที่อยู่ข้างหลัง “เจ้าอย่าเข้ามา”

ชุนเถาไม่เข้าใจ ทว่าก็ผงกศีรษะอย่างเชื่อฟัง

หลีซูซูหาก้อนหินมาหลายก้อน วางตั้งเป็นข่ายอาคมส่งวิญญาณข้างบ่อน้ำ หวังว่าจะช่วยสลายไอแค้นให้ดวงวิญญาณเหล่านั้น และส่งพวกเขาไปเกิดใหม่เร็วขึ้นหน่อย

นางไม่มีพลังวิเศษ สิ่งที่ทำได้มีเพียงเท่านี้

ชุนเถารู้สึกว่าทั่วทุกหนแห่งล้วนอึมครึมน่ากลัว นางยากจะคิดภาพว่าองค์ชายจื้อจื่อเติบโตขึ้นมาในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร

ชุนเถายิ่งกลัว ยิ่งอดมองไปรอบด้านมิได้ ก่อนจะพูดเสียงสั่นๆ ว่า “คุณหนู ห้องนั้นดูเหมือนจะมีเสียง?”

หลีซูซูหันกลับไปมอง และเดินตรงไปยังห้องห้องนั้นทันที

“คุณหนู…”

“ไม่มีอะไรหรอก”

หลีซูซูผลักประตูเข้าไป ฝุ่นผงด้านบนร่วงกราวลงมา ภายในห้องเต็มไปด้วยใยแมงมุม นางสำลักจนไอออกมาหลายที

หญิงสูงวัยผู้หนึ่งนั่งยองอยู่ตรงมุมห้อง แววตาว่างเปล่า กอดตนเองโยกตัวไปมา

หลีซูซูตะลึงงัน คิดไม่ถึงว่าที่นี่ยังมีคนอยู่ ยามที่นางเดินเข้าไปนั้นหญิงสูงวัยไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย

หลีซูซูได้กลิ่นเหม็นบูดระลอกหนึ่ง เป็นกลิ่นที่แผ่มาจากตัวของหญิงสูงวัยผู้นี้ “ท่านยาย ไฉนท่านจึงมาอยู่ที่นี่เล่า”

หญิงสูงวัยไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย ราวกับไม่ได้ยิน

ชุนเถาเห็นว่าเป็นคนที่มีชีวิตก็โล่งอก พูดอย่างไม่แน่ใจ “คุณหนู บ่าวได้ยินมาว่าตอนองค์ชายจื้อจื่อถูกแคว้นโจวส่งมาเป็นตัวประกัน อายุแค่หกขวบเท่านั้น ข้างกายมีแม่นมผู้หนึ่งติดตามมาดูแลด้วย”

ทว่าแม่นมขององค์ชายน้อยผู้หนึ่ง ตอนมาอย่างมากก็อายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น บัดนี้เวลาผ่านไปเพียงสิบสี่ปี ไฉนจึงเปลี่ยนไปจนมีสภาพเช่นนี้ เหมือนยายเฒ่าอายุหกสิบก็มิปาน ทั้งยังเสียสติ

หลีซูซูตะลึงไปครู่หนึ่ง นี่คือแม่นมของถานไถจิ้นหรือ

ในอีกห้าร้อยปีให้หลัง นางอยู่ในโลกที่วุ่นวายโกลาหล เคยพบเจอคนแก่ที่น่าสงสารเช่นนี้เหมือนกัน ทว่าโลกนี้ยังไม่มีจอมมารชัดๆ ไฉนจึงมีคนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้

เรื่องนี้ทำให้นางรู้สึกรางๆ ว่าตนเองยังคงอยู่ในโลกอันวุ่นวายปั่นป่วนก่อนหน้านี้

หลีซูซูมิได้เอ่ยอะไร นางดึงใยแมงมุมบนศีรษะของหญิงสูงวัยออกอย่างเอาใจใส่

ชุนเถาพูดอย่างไม่สบายใจ “คุณหนู…”

“พวกเราออกไปกันเถอะ”

ตามหลักแล้ว คนที่เข้าใจถานไถจิ้นมากที่สุด น่าจะเป็นหญิงสูงวัยผู้นี้ แต่นางไม่มีสติแล้ว

หลีซูซูนั่งอยู่ในเกี้ยว มิได้รีบร้อนกลับไป นางเรียกนางกำนัลในวังผู้หนึ่งมา “ช่วยตามหมัวมัวที่ดูแลวังเย็นมาพบข้าได้หรือไม่”

เวลาที่ดวงตะวันแขวนตัวสูง หมัวมัวในชุดสีม่วงผู้หนึ่งย่ำหิมะที่ทับถมเป็นชั้นหนา เดินมาคารวะหลีซูซู

หลีซูซูเอ่ยถาม “เหตุใดแม่นมของถานไถจิ้นจึงเสียสติ”

นางทำตามวิธีการเดิม มอบปิ่นทองให้หมัวมัวอันหนึ่ง

สิ่งชั่วร้ายพรรค์นั้นจะต้องไม่ละเว้นแม้กระทั่งแม่นมของตนเองแน่ๆ

หมัวมัวเก็บปิ่นทองด้วยความปีติยินดี นางอยู่วังเย็นตักตวงผลประโยชน์ไม่ค่อยได้ หลีซูซูใจป้ำเช่นนี้ หมัวมัวแทบอยากจะคายทุกสิ่งที่รู้ออกมาให้หมดในคราวเดียว ถึงอย่างไรเรื่องของถานไถจิ้นก็มิใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว “ขอบพระคุณคุณหนูเยี่ยที่ตกรางวัล เรื่องนี้บ่าวเฒ่าพอรู้อยู่บ้างจริงๆ จื้อจื่อกับหลิวซื่อ* ผู้นั้นมาอยู่วังเย็นเมื่อสิบสี่ปีก่อน จื้อจื่อในตอนนั้นรูปงามน่ารัก วังเย็นเป็นสถานที่สกปรก องครักษ์และขันทีไม่น้อยในวังล้วนมีความนิยมชมชอบเช่นนั้น…”

ใบหน้าของชุนเถาแดงก่ำก่อนจะขาวซีด

“หลิวซื่อปกป้องจื้อจื่อ ตนเองกลับต้องรับเคราะห์ พวกเขาอยู่ในวังหลวงเดิมไม่มีฐานะอันใดอยู่แล้ว บ่าวเฒ่าได้ยินมาว่าเวลาพวกเขาไม่มีอะไรกิน ฤดูหนาวไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ หลิวซื่อก็จะ…”

“พอที” ชุนเถาอดพูดขึ้นมิได้ เรื่องพวกนี้นางฟังแล้วยังอกสั่นขวัญผวา แล้วจะให้คุณหนูรับฟังได้อย่างไร

“ให้นางพูด เล่าเรื่องของถานไถจิ้นเถอะ”

“คุณหนูเยี่ย เรื่องเกี่ยวกับองค์ชายจื้อจื่อ บ่าวเฒ่าเองก็รู้ไม่มาก สมัยเป็นเด็กบรรดาองค์ชายชอบเล่นสนุก มักเรียกจื้อจื่อไปเล่นเป็นเพื่อน บางครั้งบ่าวเฒ่าเห็นว่าบนร่างกายของจื้อจื่อไม่เหลือส่วนที่สมบูรณ์ดีเลยสักส่วน”

นางเล่าอย่างคลุมเครือ อันที่จริงหลายครั้งหมัวมัวล้วนเคยเห็นว่าพวกเขาดูหมิ่นรังแกจื้อจื่อเหมือนเดรัจฉานตัวหนึ่ง

พูดถึงตรงนี้ หมัวมัวก็หยุดกะทันหัน นางพลันนึกขึ้นได้ว่าบุคคลตรงหน้าผู้นี้กับคนที่เคยอยู่ในวังเย็นผู้นั้นเป็นอะไรกัน หมัวมัวรู้สึกเก้อกระดากในใจขึ้นมา ไม่รู้ว่าคุณหนูเยี่ยมีความคิดอย่างไรต่อจื้อจื่อ นางจึงเลือกเล่าความจริงบางส่วนที่ไม่รุนแรงนัก น่าจะไม่เป็นอะไรกระมัง

หลีซูซูเม้มปากแน่น ในใจหนักอึ้ง นางคิดไม่ถึงว่าหลิวซื่อมีสภาพเช่นนี้ มิใช่เพราะถูกถานไถจิ้นทำร้าย

ตรงหน้านางพลันผุดใบหน้างดงามประณีตของเด็กหนุ่ม ยังมีแววเย็นชาหนักอึ้งและความหม่นหมองในดวงตาเขา

มิน่าถูกเฆี่ยนตีหรือลงโทษให้คุกเข่าล้วนไม่ปริปากบ่น เหมือนมนุษย์ตอไม้อย่างไรอย่างนั้น สำหรับเขา บางทีเรื่องพวกนี้อาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้วกระมัง

“ถานไถจิ้นออกจากวังแล้ว ใครเป็นคนดูแลหลิวซื่อ”

หมัวมัวรู้จักฟังน้ำเสียงสังเกตสีหน้าเป็นอย่างดี ใคร่ครวญครู่หนึ่ง เห็นคุณหนูสามสกุลเยี่ยดูแล้วมิได้มีเจตนาร้าย จึงพูดความจริง “ว่ากันว่าก่อนจื้อจื่อออกจากวัง ได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้จ้าวหมัวมัวในกองซักล้าง บอกให้นางนำข้าวมาส่งให้หลิวซื่อบ้าง”

ทว่าเงินเล็กน้อยแค่นั้น อย่างมากจ้าวหมัวมัวนึกออกก็โยนหมั่นโถวให้หลิวซื่อลูกหนึ่ง เหมือนให้อาหารสุนัข

หลีซูซูพูดขึ้น “ชุนเถา”

นางรับถุงผ้าจากมือชุนเถา หยิบทองก้อนออกมาหลายก้อน ยื่นให้หมัวมัว “หากหมัวมัวมีเวลา ช่วยดูแลหลิวซื่อที ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง ทำความสะอาดร่างกายหน่อย ทำให้การกินอยู่ของนางดีขึ้นบ้าง ครั้งหน้าหากข้าเข้าวัง เห็นหลิวซื่อมีชีวิตความเป็นอยู่ไม่เลว จะต้องตอบแทนหมัวมัวอย่างงามแน่นอน แต่เรื่องนี้ห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด”

หมัวมัวในชุดม่วงยิ้มจนเห็นแต่ฟันไม่เห็นดวงตา นางรับทองหนักอึ้งไว้ “คุณหนูเยี่ยพูดอะไรกัน คำสั่งของท่าน บ่าวเข้าใจแล้ว”

รอจนหมัวมัวเดินไปไกล ชุนเถาตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงค่อยว่า “คุณหนู ท่านเห็นใจองค์ชายจื้อจื่อหรือเจ้าคะ”

หลีซูซูปั้นหน้าขรึม “เหลวไหล ข้าทำอย่างนั้นเรียกว่าเห็นใจถานไถจิ้นหรือ ข้าก็แค่เห็นว่าหลิวซื่อปกป้องเจ้านายอย่างกล้าหาญ ไม่ควรมีจุดจบเช่นนี้เท่านั้น”

ต่อให้สงสารมดตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ก็ยังดีกว่าเห็นใจถานไถจิ้น

ชุนเถาปิดปากยิ้ม

 

* ไม้ใหญ่ล่อลม อุปมาถึงผู้ที่มีชื่อเสียงหรือโดดเด่นเกินไป ย่อมเป็นที่ริษยาหรือเป็นที่เพ่งเล็งของผู้อื่น

* ไอหยิน (อิน) หมายถึงไอเย็นหรือบรรยากาศเปลี่ยวร้าง ในจีนสมัยโบราณหมายถึงธาตุของสตรี ตรงข้ามกับหยางซึ่งเป็นธาตุของบุรุษ

* หงฮวง เป็นคำเรียกสมัยบรรพกาลก่อนที่โลกจะถือกำเนิด ในช่วงนั้นจะมีเพียงพลังปั่นป่วนกลุ่มหนึ่ง

* ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่าซื่อ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: