X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง

ทดลองอ่าน ยอดสามีของกุลสตรีอันดับหนึ่ง บทที่ 5-บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 5

เฉิงอวี๋จิ่นเข้าประตูมา กวาดตามองเฉิงหยวนจิ่งอย่างไม่แสดงสีหน้าก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงก้มหน้า คารวะท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงตามมารยาท “หลานคารวะท่านปู่ ขอให้ท่านปู่สุขภาพแข็งแรง”

พอพูดจบเฉิงอวี๋จิ่นเบี่ยงตัวเล็กน้อย คารวะเฉิงหยวนจิ่ง “หลานคารวะท่านอาเก้า ขอให้ท่านอาเก้ามีความสุขสมบูรณ์”

เฉิงหยวนจิ่งยกมือขึ้นเบาๆ พูดว่า “ลุกขึ้น”

เฉิงอวี๋จิ่นค่อนข้างแปลกใจ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงยังอยู่ที่นี่ เฉิงหยวนจิ่งกลับพูดตัดสินใจเองได้หรือ นางแอบมองไปทางท่านโหวผู้เฒ่าเฉิง พบว่าอีกฝ่ายสงบเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกถึงความไม่เหมาะสมอย่างไรแม้แต่น้อย

เอาเถอะ ในเมื่อท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงไม่สนว่าถูกบุตรชายล่วงเกิน นางจะถือสาอะไรได้ เฉิงอวี๋จิ่นยืนขึ้น พูดกับเฉิงหยวนจิ่งด้วยรอยยิ้ม “หลานไม่รู้ว่าท่านอาเก้ากลับมาวันนี้ จึงเสียมารยาทไม่ได้มาต้อนรับ ท่านอาเก้า ระหว่างทางเรียบร้อยดีหรือไม่”

เฉิงหยวนจิ่งมองรอยยิ้มงดงามราวดอกไม้ของเฉิงอวี๋จิ่น ภายในใจคิดว่าเขาจากเมืองหลวงไปนานมากจริงๆ ตามความเคลื่อนไหวในเมืองหลวงไม่ทันแล้ว หญิงสาวในตอนนี้อายุไม่มาก มีรูปโฉมที่งดงาม หากไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง เฉิงหยวนจิ่งก็ไม่เชื่อว่าหญิงสาวที่อ่อนโยนงดงามเช่นนี้จะตบหน้าคู่หมั้นอย่างนั้น

เฉิงหยวนจิ่งพูดว่า “ไม่เป็นไร เรื่องราวภายนอกเดิมทีก็ไม่ควรให้เจ้าที่เป็นเด็กรุ่นหลังต้องวุ่นวายใจอยู่แล้ว”

เฉิงอวี๋จิ่นได้ยินคำว่า ‘เด็กรุ่นหลัง’ จากปากของเฉิงหยวนจิ่ง ในใจมีความรู้สึกแปลกๆ ที่พูดไม่ออก เฉิงหยวนจิ่งกับนางดูแล้วอายุไม่ต่างกันมากนัก แต่เรียกนางว่าเด็กรุ่นหลังออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้ เฉิงอวี๋จิ่นไม่อาจทำใจสงบยอมรับได้

แต่ผู้ใดใช้ให้ท่านปู่ของนางยากจะลืมรักเก่าได้เล่า เฉิงอวี๋จิ่นทำได้เพียงยอมรับท่านอาที่อายุมากกว่านางเพียงห้าปีเท่านั้น

เฉิงอวี๋จิ่นอยู่ที่นี่พอดี ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงจึงถามว่า “หลานเอ๋ย ปู่ขอถามเจ้า ระหว่างเจ้ากับเจ้าหนุ่มสกุลฮั่วนั่นเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

เฉิงอวี๋จิ่นแอบปรายตามองเฉิงหยวนจิ่งแวบหนึ่ง ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงไม่เคยสอบถามเรื่องภายนอก สามารถรู้เรื่องเช่นนี้ได้ ไม่ต้องคิดอะไร ต้องเป็นเฉิงหยวนจิ่งนำมาบอกแน่นอน เฉิงอวี๋จิ่นคิดว่านางแอบกระทำและลงมืออย่างรวดเร็วแล้ว แต่เฉิงหยวนจิ่งกลับหันหน้ามาได้เหมาะเจาะ ทั้งยังยิ้มให้เฉิงอวี๋จิ่นอีกด้วย

เฉิงอวี๋จิ่นตื่นตระหนกมากขึ้น นางไม่มั่นใจว่าเฉิงหยวนจิ่งพูดกับท่านโหวผู้เฒ่าอย่างไร ดังนั้นจึงพูดอย่างระวังตัวไปก่อน “ท่านปู่ หลานกับท่านโหวฮั่ว…ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกันแล้ว”

“อะไรนะ” ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงขมวดคิ้ว “อายุยังน้อย พูดจาเหลวไหลอะไร เจ้าเป็นว่าที่ภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านของเขาแล้ว วันหน้าต้องใช้ทั้งชีวิตร่วมกับเขา จะเรียกว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันแล้วได้อย่างไร”

เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้า เผยให้เห็นความเศร้าเสียใจที่พอเหมาะ “ท่านโหวฮั่ววันนี้…มาที่นี่เพื่อถอนหมั้นเจ้าค่ะ”

“อะไรนะ!” ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงครั้งนี้ตกใจยิ่งขึ้น แม้แต่เสียงพูดก็ดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว เฉิงหยวนจิ่งแปลกใจไปชั่วพริบตาเช่นกัน ที่แท้เป็นการถอนหมั้น มิน่าเล่านางจึงเล็งฝ่ามือไปบนใบหน้าของอีกฝ่าย หากเป็นเช่นนี้ก็สมควรโดนตบแล้ว

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงไม่รู้เรื่องการถอนหมั้น ดูท่าแล้วก็ไม่รู้เรื่องที่นางตบฮั่วฉางยวนไปทีหนึ่งเช่นกัน คราวนี้เฉิงอวี๋จิ่นวางใจได้แล้ว ที่แท้เฉิงหยวนจิ่งไม่ได้บอกอะไรท่านโหวผู้เฒ่ามากนัก และยังบอกน้อยกว่าที่นางคาดไว้มาก

เฉิงอวี๋จิ่นผ่อนคลายมือเท้า พูดฟ้องเสียงเบา “หลานไม่รู้จริงๆ ว่าเพราะเหตุใด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ดำเนินด้วยดีมาตลอด แต่เช้าวันนี้ท่านโหวฮั่วจู่ๆ ก็มาที่จวน พอเข้ามาก็พูดจาเย็นชาว่าจะถอนหมั้น หลานงุนงงทำสิ่งใดไม่ถูก อยากไปลองถามดูว่านี่มันเรื่องอะไรกัน ผลปรากฏได้ยินเขาบอกกับท่านย่าว่า…”

เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้าลงต่ำลงราวกับว่ากลั้นน้ำตาไม่อยู่แต่ไม่อยากให้ผู้ใดเห็น จงใจก้มหน้าไม่ยอมให้เห็น

เฉิงหยวนจิ่งยิ้มแต่ไม่พูดอะไร มองดูเฉิงอวี๋จิ่นร้องไห้พูดฟ้องอย่างเงียบๆ หากนางร้องไห้จริงๆ ล่ะก็นะ

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงรู้สึกเป็นห่วง เอ่ยถามว่า “เขาพูดว่าอะไร”

“เขาบอกว่าไม่มีเหตุผล เขาแค่เพียงอยากจะถอนหมั้นกับหลาน หลังจากนั้นเขายังบอกว่าชื่อเสียงของหลานเสียหาย ทั้งยังบอกว่าหลานเป็นคนเสแสร้ง หลังจากเขาถอนหมั้นแล้วคงไม่มีใครมาแต่งงานกับหลานอีก”

เฉิงหยวนจิ่งเลิกคิ้วขึ้น เหลือบมองเฉิงอวี๋จิ่นกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มครู่หนึ่ง คำพูดนี้ตั้งใจพูดให้เขาฟัง ตอนนั้นเขาเดินเข้ามาจากข้างนอก เดิมทีอยากจะไปเยี่ยมดูอาการป่วยของท่านโหวผู้เฒ่าเฉิง ผลปรากฏว่าเจอชายหญิงคู่หนึ่งทะเลาะกันที่ระเบียงทางเดิน เฉิงหยวนจิ่งรับรู้โดยสัญชาตญาณ เขาชะงักฝีเท้า คิดว่าจะรอให้ชายหญิงคู่นี้ทะเลาะกันเสร็จแล้วค่อยเดินผ่านไป

แม้ว่าเทียบจากเวลาแล้ว เฉิงหยวนจิ่งจะเป็นผู้ที่มาถึงก่อน

กลับไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะได้เห็นละครที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้

จนกระทั่งถึงตอนนี้คุณหนูใหญ่สกุลเฉิงผู้นี้ยังคงวางแผนอยู่ ‘ชื่อเสียงเสียหาย’ ‘เสแสร้งแกล้งทำ’ เป็นคำพูดเดิมของฮั่วฉางยวน แต่หลังจากถูกเฉิงอวี๋จิ่นปรับลำดับคำพูดเหมือนไม่ตั้งใจแล้ว ความหมายนั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เฉิงอวี๋จิ่นอยากได้ผลประโยชน์จากการแสดงความเจ็บช้ำใจต่อท่านปู่ แต่ก็กลัวว่าจะถูกเขาเปิดโปง ดังนั้นจึงจงใจเล่นกับตัวอักษร

เฉิงหยวนจิ่งยังไม่มีเวลาว่างมาทำเรื่องเช่นนี้

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงได้ยินแล้วโกรธเกรี้ยวจริงดังคาด ด่าชายหนุ่มรุ่นหลานแซ่ฮั่วอย่างแรง เฉิงอวี๋จิ่นฟังแล้วสบายใจ คอยพูดเสริมอยู่ตลอด ดวงตาของนางดำขลับสุกใส กลอกหนึ่งรอบเบาๆ ดูงดงามอย่างมาก แววตาเลื่อนไปที่ตัวของเฉิงหยวนจิ่ง นางพูดว่า “ท่านโหวฮั่วมีผลงานการทหารติดตัว ตำแหน่งโหวยังเป็นตำแหน่งที่อยู่ในความดูแลของฝ่าบาทอีกด้วย อนาคตของเขาไร้ขีดจำกัด จะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าเขาดูหมิ่นข้าไม่เป็นไร ทว่าไม่มีเหตุผลที่จะย่ำยีทั้งสกุลเฉิง ท่านอาเก้า ท่านว่าถูกต้องหรือไม่”

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงมองเฉิงหยวนจิ่งอย่างตื่นตระหนกแวบหนึ่ง องค์รัชทายาทมีแต่ออกคำสั่ง ใต้หล้านี้มีใครกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับองค์รัชทายาทบ้างเล่า ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงปั้นหน้านิ่ง พูดตำหนิว่า “อวี๋จิ่น อย่าเหิมเกริม”

เหิมเกริม? นางเหิมเกริมที่ใดกัน เฉิงอวี๋จิ่นตะลึงงัน ตอนพูดคุยเจ้าถามข้าตอบ ใครบ้างไม่ทำเช่นนี้ ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกลับบอกว่านางเหิมเกริม

มิน่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจึงแค้นเสี่ยวเซวียซื่ออย่างมาก ความลำเอียงของท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงชัดเจนเกินไปแล้วกระมัง

เฉิงหยวนจิ่งรับรู้ได้ว่าคุณหนูใหญ่เฉิงมองสำรวจตัวเขาอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง แม้จะไม่แสดงออก แต่คงจะแอบกลอกตาขาวอยู่ในใจ เฉิงหยวนจิ่งไม่ได้สนใจ ย้อนถามว่า “ตำแหน่งโหวของฮั่วฉางยวนอยู่ในความดูแลของฝ่าบาทหรือ”

“อ้อ เรื่องนี้หรือ” ท่านโหวผู้เฒ่าพูดอธิบาย “เป็นเรื่องที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้ ในงานฉลองผลงานฝ่าบาททรงเห็นฮั่วฉางยวนมีอายุใกล้เคียงกับองค์รัชทายาท จึงสอบถามหลายประโยค จากนั้นคนเบื้องล่างจึงจัดการเรื่องบรรดาศักดิ์ของสกุลฮั่ว”

คำพูดของท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงพูดให้เฉิงหยวนจิ่งฟังโดยเฉพาะ น่าเสียดายที่เฉิงอวี๋จิ่นไม่รู้เรื่องราว นางพูดต่อไปโดยไม่ได้คิดอะไร “พูดถึงที่สุดแล้ว ฮั่วฉางยวนก็อาศัยบุญบารมีขององค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงคิดถึงองค์รัชทายาท จึงมีพระมหากรุณาไปถึงสกุลฮั่ว ไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้ใจเพียงใด”

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนี้ เขามองหน้าเฉิงอวี๋จิ่นอย่างตกใจ อ้าปากหุบไม่ลง กล้าใช้คำพูดตามใจชอบพูดถึงองค์รัชทายาท ทั้งยังพูดโดยไม่ใส่ใจราวกับพูดคุยเรื่องในบ้านทั่วไป บังอาจเกินไปแล้วกระมัง

เฉิงอวี๋จิ่นตกใจ คิดว่าตนเองไม่ระวัง พูดคำต้องห้ามอะไรไปแล้ว “ข้า…ข้าพูดสิ่งใดผิดหรือ”

เฉิงหยวนจิ่งที่อยู่ด้านข้างหัวเราะเบาๆ แม้ว่าหลังจากที่เฉิงอวี๋จิ่นเข้ามาเขาก็ยิ้มบางๆ อยู่ตลอด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน เป็นเสียงหัวเราะที่ราวกับออกมาจากใจจริงอย่างไรอย่างนั้น

นี่ดูเหมือนเป็นการแสดงอารมณ์อย่างชัดเจนครั้งแรกของเขา เฉิงอวี๋จิ่นรู้สึกตกใจปนงุนงง ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงกลับเหมือนโล่งอกในทันใด มีรอยยิ้มออกมาเช่นกัน

ก่อนหน้านี้เขาพูดอยู่นานมาก ไม่เห็นองค์รัชทายาทแสดงท่าทีใด และองค์รัชทายาทยังไม่ยินดีอย่างมากที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีกด้วย คิดไม่ถึงว่าหลานสาวพูดโอดครวญไปอย่างนั้นกลับคลายปมในใจองค์รัชทายาท ทั้งยังทำให้พระองค์ทรงพระสรวลออกมาได้อีกด้วย

องค์รัชทายาทผ่านความทุกข์ในชีวิตมาตั้งแต่เด็ก กลายเป็นคนสุขุมนุ่มลึกไม่แสดงความรู้สึกออกมานานแล้ว นี่เป็นการป้องกันตนเอง องค์รัชทายาทเองก็ไม่ได้หัวเราะมานานแล้ว ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เฉิงหยวนจิ่งหัวเราะออกมาจากใจจริงเกิดขึ้นเมื่อใด

เฉิงอวี๋จิ่นเห็นท่านปู่เปลี่ยนท่าทีจากเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจเป็นยกภูเขาออกจากอก แล้วจู่ๆ ก็เหมือนมีความเศร้ามากมาย เฉิงอวี๋จิ่นเลิกคิ้วขึ้น ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านปู่ ท่านอาเก้า เป็นอะไรไปหรือ”

“ไม่มีอะไร” ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงร่างกายผ่อนคลาย ทันใดนั้นก็ปั้นหน้าเคร่งขรึมพูดสั่งสอนเฉิงอวี๋จิ่นหนึ่งประโยค “วันหน้าห้ามวิจารณ์งานราชสำนักตามใจชอบอีก”

เฉิงอวี๋จิ่นก้มหน้า ตอบรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงวางความหนักใจลง รู้สึกสบายตัวในชั่วพริบตาราวกับว่าอาการป่วยก็ดีขึ้นอย่างมากแล้ว เขาพูดกับเฉิงหยวนจิ่งว่า “จิ่วหลาง เจ้ากว่าจะกลับมาสักครั้งไม่ง่ายนัก ไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่าเถอะ”

คำพูดของท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงนี้หากจะพูดว่าเป็นคำสั่ง มิสู้พูดว่าเป็นการถามจะดีกว่า ทว่าเฉิงหยวนจิ่งยังคงใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยยืนขึ้น พยักหน้าเบาๆ ให้ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิง “ข้าจะไปเยี่ยมฮูหยินผู้เฒ่า ท่านโหวท่านพักผ่อนอย่างสบายใจเถอะ”

ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงรีบตอบรับ “อืม ได้”

เฉิงอวี๋จิ่นมองอยู่ด้านข้าง หรี่ตาลง การแสดงออกของพ่อลูกคู่นี้ไม่ค่อยปกตินัก

เฉิงหยวนจิ่งลุกขึ้นแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นจึงรีบพูดว่า “ท่านปู่ หลานจะตามท่านอาเก้าไปพบท่านย่าด้วย ไม่รบกวนท่านพักรักษาตัวแล้ว”

เฉิงอวี๋จิ่นไล่ตามไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว เฉิงหยวนจิ่งหางตากวาดไปด้านหลังแวบหนึ่ง ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

ด้วยประสบการณ์ชีวิตในครอบครัวนานปีของเฉิงอวี๋จิ่น ทั้งสองคนกล่าวลาพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าควรจะออกไปพร้อมกัน เดินทางพร้อมกัน ทว่าหลังจากเฉิงอวี๋จิ่นสวมเสื้อคลุมสีแดงสด เปลี่ยนรองเท้าหนังแล้ว เฉิงหยวนจิ่งกลับไม่รอนาง เดินออกไปเสียแล้ว

เฉิงอวี๋จิ่นตกใจอยู่ครู่ใหญ่ คนผู้นี้เลื่อนตำแหน่งถึงขั้นสี่โดยอาศัยตนเองจริงหรือ การกระทำที่ไม่เกรงกลัวสิ่งใด ไม่เห็นแก่หน้าใครเช่นนี้ อย่าว่าแต่ในกลุ่มขุนนางเลย ต่อให้เป็นในบ้านใหญ่ก็คงมีชีวิตต่อไปไม่ได้กระมัง

เฉิงอวี๋จิ่นรีบร้อนสวมรองเท้า หยิบเตาพก* ทองแดงจากมือสาวใช้แล้วพลิกม่านประตูวิ่งออกไป

หลังจากเดินออกไป ลมหนาวพัดวูบๆ เข้าหน้า อากาศมีความเย็นหลังจากหิมะตก เฉิงหยวนจิ่งเดินไปได้สักระยะหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกจากข้างหลัง “ท่านอาเก้า!”

เฉิงหยวนจิ่งมีชาติกำเนิดเป็นพระโอรสองค์โตในฮองเฮา วัยเด็กในวังหลวงวุ่นวายยิ่งยวด แต่ต่อให้ตำหนักในหรือราชสำนักจะต่อสู้กันอย่างไรก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรองค์ชายใหญ่ อย่างน้อยก็ไม่สามารถทำได้อย่างเปิดเผย เฉิงหยวนจิ่งมีชีวิตสูงศักดิ์แต่เด็ก หลังสามขวบยังถูกฮ่องเต้พามาเลี้ยงดูข้างกาย ครั้นพอเข้าห้าขวบฮ่องเต้ก็ทำตามกฎบรรพชน แต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท

ไม่มีใครกล้าให้เฉิงหยวนจิ่งรอ และเฉิงหยวนจิ่งก็ไม่มีนิสัยในการรอคอยใครด้วยเช่นกัน

มีคนเรียกเขาจากทางด้านหลัง ยังขอให้เขาหยุดอีกด้วย นี่สำหรับเฉิงหยวนจิ่งแล้วเป็นเรื่องแปลกใหม่มาก และเหมือนถูกผีผลัก เฉิงหยวนจิ่งหยุดเดินจริงๆ หลุบตาลง มองดูร่างสีแดงเพลิงนั้นวิ่งมาทีละก้าว

อ้อ ที่แท้นางวิ่งเป็นด้วย

เฉิงอวี๋จิ่นไม่รู้ว่าคนตรงหน้าประชดนางในใจอย่างไร นางหยุดตรงหน้าเฉิงหยวนจิ่ง แม้จะไม่หยุดบ่นว่าในใจว่าคนอะไรวางท่าใหญ่โตเช่นนี้ แต่เมื่อมีเรื่องต้องขอร้องใครแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นจะทำได้ดีมากมาตลอด นางยิ้มหรี่ตา ดวงตาราวจันทร์เสี้ยว อ่อนโยนและงดงาม “ท่านอาเก้า ท่านเดินเร็วจริง”

เฉิงหยวนจิ่งยังคงมองนางอย่างเงียบๆ เห็นเฉิงอวี๋จิ่นไม่พูดจุดประสงค์ที่เรียกเขาไว้อยู่นาน พลอยให้หมดความอดทน จึงเอ่ยถามตามตรง “มีเรื่องอะไร”

เฉิงอวี๋จิ่นฝืนรักษาสีหน้าของตนเองไว้ นางกะพริบตาเผยรอยยิ้มงดงามมีมารยาทของคุณหนูตระกูลใหญ่ “ท่านอาเก้าเพิ่งกลับมา เดิมทีหลานควรต้อนรับขับสู้ท่าน แต่ว่า…กลับต้องให้ท่านอาเก้ามาเจอกับเรื่องวุ่นวายไม่เป็นเรื่องบางอย่างเข้า”

เฉิงหยวนจิ่งรู้ว่าที่นางไล่ตามมาคิดจะทำอะไร เขาอมยิ้มเล็กน้อย อยากดูว่านางยังจะพูดอะไรได้อีก

เฉิงอวี๋จิ่นยังคงรักษารอยยิ้มที่งดงาม ในดวงตาปรากฏแววการหยั่งเชิงมากมาย “ทุกคนพูดกันว่าเรื่องฉาวในบ้านไม่พูดไปภายนอก แต่เรื่องนี้พูดในบ้านก็ไม่ค่อยดีนัก หนึ่งคือท่านย่าเป็นห่วงข้ามาก ท่านปู่ก็ยังป่วยอยู่ เอาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไปทำให้ผู้ใหญ่รำคาญใจเป็นการอกตัญญูอย่างมาก สองคือเรื่องการแต่งงานอย่างไรก็เกี่ยวกับชื่อเสียง ถ้าแค่ข้าคนเดียวก็ช่างเถอะ แต่ทางจิ้งหย่งโหวก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ทรงให้การดูแล มีความสำคัญระดับหนึ่งเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ พวกเราพูดเรื่องส่วนตนของเขาตามอำเภอใจ เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงจวนอี๋ชุนโหว สามคือ…”

เฉิงอวี๋จิ่นที่ผ่านมาเดินหนึ่งก้าวคำนวณสามก้าว* ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต้องยืนอยู่เหนือกว่าบนหลักเหตุผลคุณธรรม หยิบยกความซื่อสัตย์ภักดีและความกตัญญูที่น่าเกรงขามขึ้นมาก่อน เป็นใครก็ไม่อาจว่านางผิดได้ เฉิงอวี๋จิ่นอุตส่าห์ใช้วิธีการที่ตนเองใช้ประจำก่อกำแพงสูงให้เฉิงหยวนจิ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาฟังไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นทันใดว่า “คำพูดไร้สาระของเจ้าเหตุใดจึงมีมากเช่นนี้”

เฉิงอวี๋จิ่นตะลึงไป ในฐานะคุณหนูใหญ่จวนอี๋ชุนโหว เป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบวงศ์ตระกูลที่ภรรยาเอกเป็นใหญ่ เฉิงอวี๋จิ่นหลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินคำพูดเช่นนี้มาก่อน

เฉิงอวี๋จิ่นผู้เป็นต้นแบบของคุณหนูที่ดีโมโหขึ้นมาในทันที “ท่านว่าอะไรนะ!”

บทที่ 6

เฉิงอวี๋จิ่นน้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก แม้ว่านางจะมีเพียงโครงเปล่า แต่ก็ยังเป็นโครงเปล่าที่งดงาม ขอเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยินดีอุ้มชูนางต่อไป ท่านหญิงชิ่งฝูไม่เสียอำนาจ นางก็ยังเป็นคุณหนูใหญ่ที่สูงศักดิ์ที่สุดในจวนอี๋ชุนโหว ใครบ้างจะกล้าพูดว่าคำพูดนางไร้สาระ

ตอนเฉิงอวี๋จิ่นถลึงตาจ้องคน ดวงตาราวภาพวาดคู่นั้นกลมดิก นับได้ว่าเผยอารมณ์แท้จริงออกมาบ้าง เฉิงหยวนจิ่งใจคิดว่าเช่นนี้สบายตาขึ้นเล็กน้อย เพราะท่าทางเช่นเดิมของเฉิงอวี๋จิ่นเฉิงหยวนจิ่งดูแล้วเหนื่อยแทน

เฉิงอวี๋จิ่นโกรธมาก ทว่าคนตรงหน้านี้ไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลย ยังถามอีกว่า “ยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”

เฉิงอวี๋จิ่นดวงตากลมโตขึ้น เฉิงหยวนจิ่งเห็นสีหน้าของนางเหมือนได้คำตอบของตนเอง เขาหมุนตัวเดินไปทันที ท่าทางนั้นไม่ได้สนใจเฉิงอวี๋จิ่นแม้แต่น้อย ความโกรธของนางแล่นมาจากทั่วสารทิศ ตะโกนอย่างเย็นชาอยู่ข้างหลังว่า “ท่านอาเก้า!”

ยังคงไร้การตอบสนอง นางทนต่อไปไม่ไหว วิ่งไล่ตามไปขวางตรงหน้าเฉิงหยวนจิ่งไว้

ผู้ติดตามที่อยู่ใกล้กับเฉิงหยวนจิ่งต่างรู้เรื่องราวภายใน คนที่มีท่าทางเหมือนองครักษ์หน้าตาหมดจดผู้หนึ่งขมวดคิ้ว กล้าขวางทางองค์รัชทายาทเช่นนี้ กล้ามากเกินไปแล้วกระมัง

เขาคิดเช่นนี้ จึงพูดเสียงเข้มว่า “คุณหนูใหญ่เฉิง…”

หากเฉิงอวี๋จิ่นสังเกตสักนิดก็จะพบว่าองครักษ์คนนี้เรียกนางว่า ‘คุณหนูใหญ่เฉิง’ จะมีบ่าวไพร่คนใดเรียกเจ้านายในบ้านตนเองแล้วยังต้องเติมแซ่อีก

เฉิงอวี๋จิ่นในยามนี้ไม่ได้สังเกตรายละเอียดเหล่านั้น นางยืนอยู่ตรงหน้าเฉิงหยวนจิ่ง ดวงตาคู่นั้นจ้องเขาอย่างเย็นชา

เหมือนกับถูกเห็นสภาพที่แย่ที่สุด เฉิงอวี๋จิ่นจึงไม่ทำท่าทางเชื่อฟังว่าง่ายต่อไปอีก พูดตามตรงว่า “เพิ่งกลับมาก็ให้ท่านอาเก้าเห็นเรื่องเช่นนั้น ดูท่าความคิดที่ท่านอาเก้ามีต่อข้าคงจะตกต่ำถึงก้นเหว แต่ว่าท่านอาเก้าเป็นญาติผู้ใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันนี้ได้เข้าสู่วงราชการ เป็นขุนนางชั้นสูงขั้นสี่ ท่านอาเก้าคงไม่ถึงขั้นถือสาหลานสาวคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ออกเรือนกระมัง ไม่กลัวว่าท่านอาเก้าจะหัวเราะเยาะ วันนี้ข้าเพิ่งถูกคนถอนหมั้นมา ด้วยอารมณ์สะเทือนใจ ทำให้คำพูดและการกระทำรุนแรงเกินไปบ้าง ทว่าบุรุษแต่งใหม่ได้ สตรีแต่งใหม่ไม่ได้ ฮั่วฉางยวนถอนหมั้นไม่มีผลกระทบอะไร ส่วนข้าแม้แต่จะแต่งงานในวันหน้ายังเป็นปัญหา ข้าไม่มีหนทาง ทำได้เพียงพูดกลบเกลื่อนให้ตนเองต่อหน้าท่านปู่ท่านย่าเท่านั้น”

เฉิงหยวนจิ่งมองนาง สีหน้ามองไม่เห็นความรู้สึกใด ยิ่งไม่ท่าทีสงสาร เขาพูดว่า “แล้วอย่างไร เกี่ยวข้องอะไรกับข้า”

เฉิงอวี๋จิ่นหัวเราะ พูดว่า “เรื่องของสตรีในบ้าน ย่อมไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่านอาเก้า ขอเพียงท่านอาเก้าไม่พูดอะไรก็พอแล้ว”

เฉิงหยวนจิ่งอยากจะหัวเราะ ความเป็นจริงเขาหัวเราะออกมาแล้วจริงๆ ช่างหาได้ยากนัก เขาเติบโตมาจนอายุสิบเก้าปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าชี้แนะว่าเขาควรจะพูดจาอย่างไร

พวกเขาสองคนตอนนี้อยู่ใกล้กันมาก เฉิงหยวนจิ่งก้มหน้าส่งยิ้มให้นาง แม้จะเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่ไม่ได้ลึกเข้าไปในดวงตา แต่เฉิงอวี๋จิ่นยังคงตกตะลึงไปเล็กน้อย

สกุลเฉิงร่ำรวยรุ่งเรืองมาห้าหกรุ่น ใช้ชีวิตมีเกียรติมั่งคั่งมาหลายปี กอปรกับรูปโฉมที่งดงามขึ้นของภรรยาและเหล่าอนุภรรยา เด็กรุ่นหลังของสกุลเฉิงจึงมีรูปโฉมไม่เลว ถึงขั้นได้รับส่วนช่วยจากบรรพชนแต่ละรุ่นของจวนอี๋ชุนโหวที่ไม่ขยันหาความก้าวหน้าและลุ่มหลงในความงาม มาถึงรุ่นของเฉิงอวี๋จิ่น ในบ้านพวกเขาไม่ว่าจะชายหรือหญิง หากอยู่ในกลุ่มลูกหลานขุนนางชั้นสูงที่อายุไล่เลี่ยกันแล้ว แต่ละคนต่างมีความโดดเด่น งดงามเหนือทุกผู้ทุกคน ทว่าต่อให้เป็นชายหนุ่มที่น่ามองที่สุดของสกุลเฉิง หรือจะนับรวมคุณชายอายุน้อยทุกคนที่เฉิงอวี๋จิ่นเคยพบด้วยแล้ว ต่างไม่มีใครเทียบเคียงรูปโฉมกับเฉิงหยวนจิ่งได้เลย

เขารูปร่างสูง โหนกคิ้วชัดเจน สันจมูกตรงสูง สองแก้มเป็นเหลี่ยมชัด แต่โครงหน้าดูงดงาม เป็นหน้าตาที่ดีเลิศ ขณะเดียวกันเขายังมีผิวขาว คิ้วคมตาเป็นประกาย ขนตาหนา ริมฝีปากบางและแดง รูปโฉมแทบจะไม่มีที่ติ

เครื่องหน้าเช่นนี้หากอยู่บนตัวชายหนุ่ม เรียกได้ว่า ‘งดงาม’ ทว่าความงดงามของเขาในรูปแบบนี้ไม่ใช่ความงดงามอ่อนโยนแบบสตรี แต่เป็นในรูปแบบห่างเหินเย็นชา สูงส่งจนเอื้อมไม่ถึง

ดังนั้นเพียงแค่เขาแย้มรอยยิ้ม เฉิงอวี๋จิ่นทั้งที่รับรู้ได้ถึงความห่างเหินของเขาก็ยังคงตกตะลึงอย่างห้ามไม่อยู่

เฉิงอวี๋จิ่นรีบดึงสติกลับมา ใจคิดว่านางจะถูกอีกฝ่ายมองออกว่าตนเองถูกรูปโฉมของเขาทำให้ตกตะลึงไม่ได้ เฉิงอวี๋จิ่นกำลังจะพูดคลี่คลายสถานการณ์ แต่เป็นเฉิงหยวนจิ่งที่หลังจากยิ้มเสร็จแล้วก็ก้าวเดินอย่างรวดเร็วไปข้างหน้าผ่านข้างตัวนางไปอย่างไม่เกรงใจ

เฉิงอวี๋จิ่นขมวดคิ้ว นี่เขาหมายความว่าอย่างไร รับปากหรือว่าไม่รับปาก

เฉิงหยวนจิ่งทำอะไรไม่เคยต้องอธิบายให้ผู้อื่นฟัง ยิ่งไม่จำเป็นต้องสัญญาอะไรกับใคร เดิมทีเขาไม่คิดจะพูดเรื่องของเฉิงอวี๋จิ่นกับคนนอกอยู่แล้ว แต่ละคนมีวิถีชีวิตของตนเอง แม้ว่าตามมารยาทแล้วมักพูดว่าหญิงสาวจะต้องอ่อนโยนบอบบาง ก้มหน้าเชื่อฟัง ยอมรับความลำบากอย่างไม่ขัดขืน เฉิงหยวนจิ่งกลับรู้สึกว่าร้ายกาจเหมือนเฉิงอวี๋จิ่นเช่นนี้ก็ดีเช่นกัน

จะได้ไม่เหมือนมารดาของเขา

ดังนั้นถึงเฉิงอวี๋จิ่นไม่ไล่ตามมา เขาก็ไม่เปิดเผยเรื่องของนางของนางอยู่แล้ว มาตอนนี้ได้ยินเฉิงอวี๋จิ่นพูดว่าแม้แต่จะแต่งงานในวันหน้ายังเป็นปัญหา เฉิงหยวนจิ่งเกิดความคิดเห็นใจบางเบาขึ้นมา ช่างเถอะ ปล่อยนางไปสักครั้งแล้วกัน

เฉิงหยวนจิ่งคิดว่าวันนี้ตนเองพูดง่ายอย่างหาได้ยากแล้ว คิดไม่ถึงว่าเดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงหญิงสาวดังมาจากข้างหลัง “ท่านอาเก้า”

เฉิงหยวนจิ่งหยุดเดินอย่างทนไม่ไหว เอี้ยวตัวมองนาง “เจ้ายังมีเรื่องอะไรอีก”

ทว่าเฉิงอวี๋จิ่นกลับไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแค่เพิ่มความเร็วอย่างฉับพลัน เดินเฉียดข้างกายเฉิงหยวนจิ่งไปยืนอยู่ข้างหน้าเขาราวกับหงส์ที่เย่อหยิ่ง

เหล่าองครักษ์แต่ละคนแสดงท่าทางตกใจระคนหวาดกลัว องครักษ์ที่ใบหน้าหมดจดมากผู้หนึ่งถามเสียงเบาว่า “นายท่านเก้า นี่…”

เฉิงหยวนจิ่งถูกนางทำให้โกรธจนยิ้ม เขากดหัวคิ้ว เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง บนใบหน้ากลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด “ช่างเถอะ แค่สตรีนางหนึ่ง ไปกันเถอะ”

“ขอรับ”

เฉิงอวี๋จิ่นโกรธมาก ในใจคิดว่านางเป็นถึงคุณหนูใหญ่จวนโหว ชาตินี้ควรจะเดินอยู่ข้างหน้าทุกคน เหตุใดต้องมาทนการปฏิบัติเช่นนี้ของเฉิงหยวนจิ่งด้วย ดังนั้นนางจึงตั้งใจเดินนำหน้าเฉิงหยวนจิ่ง ทิ้งภาพแผ่นหลังสง่างามสูงศักดิ์ให้แก่เขาไปตลอดทาง

น่าเสียดายที่เฉิงหยวนจิ่งรูปร่างสูงขายาว เวลาเดินจึงเร็วกว่านาง ตอนไปถึงหอโซ่วอันของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ทั้งสองคนกลับเดินเข้าประตูไปพร้อมกัน

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเพิ่งผ่านเรื่องการถอนหมั้นตอนเช้าตรู่มากำลังอารมณ์ไม่ดี พอเงยหน้าขึ้นได้ยินสาวใช้รายงานว่า “นายท่านเก้ากับคุณหนูใหญ่มาเจ้าค่ะ” มุมปากก็พลิกคว่ำลง

เฉิงอวี๋จิ่นเดินเข้ามาในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ท่าทางเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด สตรีจะถามเรื่องภายนอกมากไม่ได้ ขณะเดียวกันบุรุษก็ยื่นมือมายุ่งกับเรือนส่วนในไม่ได้เช่นกัน ท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงแม้จะเป็นใหญ่ที่สุดในจวนอี๋ชุนโหว แต่สำหรับเฉิงอวี๋จิ่นแล้ว อีกฝ่ายมีอำนาจเทียบไม่ได้กับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงและท่านหญิงชิ่งฝู

เฉิงหยวนจิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเฉิงอวี๋จิ่น เขาเหลือบมองนางแวบหนึ่ง รอจนเข้าไปในห้องชั้นในแล้ว ความรู้สึกตึงเครียดบนร่างเฉิงอวี๋จิ่นนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น นางยิ้ม คารวะญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงที่อยู่เต็มห้องนั้น “หลานคารวะท่านย่า คารวะท่านแม่ คารวะอาสะใภ้รอง”

ท่าทีของเฉิงหยวนจิ่งเรียบง่ายกว่ามาก เขาเพียงแค่พยักหน้า พูดว่า “ขอให้ฮูหยินท่านโหวสุขภาพแข็งแรง พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง”

เฉิงหยวนจิ่งมีตำแหน่งขุนนางติดตัว ได้ยินบ่าวรายงานว่าเลื่อนขึ้นขั้นสี่แล้ว ตำแหน่งสูงกว่าหนึ่งขั้นก็ทับคนจนตายได้* พิจารณาถึงอายุของเฉิงหยวนจิ่งแล้ว นั่นยิ่งน่ากลัวกว่า ดังนั้นเมื่อเฉิงหยวนจิ่งคารวะตามสบาย ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจึงมีสีหน้าโกรธจนเขียวคล้ำ ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยังไม่กล้าหาเรื่อง ท่านหญิงชิ่งฝูกับหร่วนซื่อที่อยู่รุ่นเดียวกับเขาก็ไม่กล้ายิ่งกว่า

แม้ชิ่งฝูแม้จะมีศักดิ์เป็นทั้งท่านหญิงและฮูหยินของซื่อจื่ออี๋ชุนโหว แต่เฉิงหยวนเสียนตอนนี้เพียงแค่ห้อยชื่อตำแหน่งขุนนางขั้นห้าเท่านั้น หนึ่งไม่มีอำนาจจริง สองไม่มีเงินค่าตอบแทนนอกรอบ วันหน้าจะมีความก้าวหน้าอีกก็ยาก ดังนั้นนางจึงไม่กล้าล่วงเกินน้องชายคนเล็กของสามีตนเองผู้นี้จริงๆ เดิมขั้นสี่ก็นับเป็นหลุมหลุมหนึ่ง ลูกหลานขุนนางที่มีความชอบเช่นพวกเขาเหล่านี้อาศัยเกียรติของบรรพชนและการใช้เงินลงทุน สามารถทุ่มจนได้ขั้นห้าขั้นหกอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แต่ขั้นสี่ขึ้นไปจำต้องอาศัยความสามารถแท้จริงแล้ว ไปถึงขั้นนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของการทุ่มเงินจะสามารถช่วยจัดการปัญหาได้

ดังนั้นพอได้ยินว่าเฉิงหยวนจิ่งเข้ามา ท่านหญิงชิ่งฝูก็มีสีหน้านิ่งเฉย ลุกยืนจากที่นั่ง กระทั่งท่านหญิงชิ่งฝูยังทำเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหร่วนซื่อเลย ในห้องนี้มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่นั่งอยู่ หลังจากเฉิงหยวนจิ่งพูดจบ ท่านหญิงชิ่งฝูกับหร่วนซื่อต่างยิ้มคารวะตอบเขา

ท่านหญิงชิ่งฝูเอ่ยว่า “นายท่านเก้ากลับมาแล้วหรือ เหตุใดไม่ส่งจดหมายมาที่บ้านก่อน ถ้าพวกเรารู้จะส่งคนไปรับเจ้าที่ประตูเมือง จะต้องให้เสียเวลาจัดการเองได้อย่างไร”

“รบกวนพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว” เฉิงหยวนจิ่งยิ้มบางๆ “ข้าอยู่ข้างนอกจนชิน เรื่องเล็กแค่นี้ไม่ต้องรบกวนพี่สะใภ้ใหญ่หรอก”

ท่านหญิงชิ่งฝูยื่นความหวังดีให้ แต่อีกฝ่ายกลับมีท่าทางไม่สนใจเลย นางทำอะไรไม่ค่อยถูกไปชั่วขณะ ยกมือขึ้นลูบผม ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “นายท่านเก้ามีแผนในใจเองก็ดีแล้ว”

ท่านหญิงชิ่งฝูที่ยโสโอหังก็มีช่วงที่ถูกบีบให้พ่ายแพ้เช่นกัน หร่วนซื่อในใจมีความสุข แอบเหลือบมองพี่สะใภ้ใหญ่แวบหนึ่ง

เฉิงอวี๋จิ่นกับเฉิงหยวนจิ่งเข้าประตูพร้อมกัน หลังจากทั้งสองทยอยคารวะแล้ว เฉิงอวี๋จิ่นยิ้มอย่างน่ารัก ส่วนเฉิงหยวนจิ่งทักทายทุกคน ภาพฉากนี้ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงดูแปลกจนพูดไม่ออก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจู่ๆ ก็เกิดความคิดเหลวไหลขึ้นมาอย่างหนึ่ง ท่าทางของสองคนนี้เหตุใดดูแล้วจึงเหมือนสามีภรรยากัน

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถูกความคิดนี้ทำให้ตกใจ หลังจากดึงสติคืนมาแล้ว นางก็คิดว่าตนเองคงจะแก่จนเลอะเลือนไปแล้ว เฉิงหยวนจิ่งกับเฉิงอวี๋จิ่นคนหนึ่งเป็นอาคนหนึ่งเป็นหลาน เรื่องของพวกเขาสองคนจะเป็นไปได้อย่างไร

แต่ไม่อาจไม่พูดว่าทั้งสองคนมีรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่น มีความสง่างามมาก ยามยืนเคียงคู่กันดูเหมาะสมอย่างยิ่ง

ท่านหญิงชิ่งฝูกับหร่วนซื่อพยายามเข้าหาเฉิงหยวนจิ่งอย่างระวังตัวและไม่ทิ้งร่องรอย ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเย็นชากว่ามาก นางเพียงแค่ช้อนตาขึ้น พูดเสียงเรียบเฉยว่า “กลับมาแล้วหรือ”

เฉิงหยวนจิ่งยิ้ม มองไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย “ขอรับ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแสดงสีหน้าที่ดีต่อเฉิงหยวนจิ่งไม่ได้จริงๆ นางสอบถามเฉิงหยวนจิ่งว่าสามปีนี้อยู่นอกบ้านเส้นทางขุนนางราบรื่นดีหรือไม่ จากนั้นก็เงียบไป

เฉิงอวี๋จิ่นเห็นบรรยากาศเย็นชา จึงรีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านย่า ท่านอาเก้าเมื่อครู่ออกมาจากเรือนพักของท่านปู่ ท่านปู่วันนี้ดูแล้วสดชื่นขึ้นมาก พวกเราเพิ่งนั่งลง เขาก็เร่งให้พวกเรามาเยี่ยมคารวะท่านแล้ว”

คำพูดของเฉิงอวี๋จิ่นนี้เหลวไหลทั้งเพ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกับท่านโหวผู้เฒ่าเฉิงเป็นสามีภรรยากันมาทั้งชีวิต จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสามีตนเองเป็นคนอย่างไร เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี ไม่เคยมีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย จนป่านนี้แก่เฒ่ากันแล้ว จู่ๆ จะมาเป็นห่วงนางได้อย่างไร

ทว่ารู้ก็ส่วนรู้ ได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากของหลานสาว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยังคงยิ้มเบิกบานอย่างกลั้นไม่อยู่ คนเราต่างชอบฟังคำพูดที่ดี ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงชอบจุดนี้ของเฉิงอวี๋จิ่นที่สุด ทำอะไรรอบคอบ เก่งรอบด้าน ทุกการกระทำนับว่าเหมาะสมมาก พาออกไปข้างนอกด้วยเพิ่มสง่าราศีให้แก่จวนอี๋ชุนโหวได้ อย่างเช่นเมื่อครู่เห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกับบุตรชายอนุภรรยามีความเย็นชาต่อกัน คำพูดด้วยรอยยิ้มสดใสของนางเพียงประโยคเดียว ทั้งยกย่องฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ยังแอบยกระดับความกตัญญูของเฉิงหยวนจิ่งอีกด้วย พอกลับมาก็มาเยี่ยมคารวะฮูหยินผู้เฒ่าทันที คลี่คลายสถานการณ์ให้เฉิงหยวนจิ่งได้อย่างเงียบๆ

ฮูหยินผู้เฒ่าสบายใจก็ส่วนสบายใจ แต่ความรู้สึกแปลกๆ ในใจกลับผุดขึ้นมาอีกครั้ง เช่นนี้เหตุใดจึงยิ่งดูเหมือนสามีภรรยากันเข้าไปอีก

 

เชิงอรรถ

* เตาพก เป็นเครื่องให้ความอบอุ่นแบบพกพาที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ลักษณะเป็นกล่องเล็กๆ มีหูหิ้วหรือเป็นตลับ มีลายฉลุด้านบนเพื่อให้ไอร้อนจากไฟที่จุดด้านในส่งความอบอุ่นออกมา

* เดินหนึ่งก้าวคำนวณสามก้าว อุปมาว่าทำการด้วยความระวัง เดินไปหนึ่งก้าวจะคำนวณนำไปก่อนสามก้าวว่าจะทำเช่นไร จัดการความคิดและมีเป้าหมายที่ชัดเจน

* ตำแหน่งสูงกว่าหนึ่งขั้นก็ทับคนจนตายได้ หมายถึงขุนนางในราชสำนักมีอำนาจแตกต่างกันไปตามขั้นที่ได้รับ ต่อให้ลำดับขั้นสูงกว่าเพียงขั้นเดียวก็มีอำนาจในมือมากกว่าขุนนางที่ลำดับขั้นรองลงมาอย่างชัดเจน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: