บทที่ 7
ตอนจบของเรื่องนี้ก็คือถานไถจิ้นถูกกักขังชั่วคราว
เขาถูกขังอยู่ในเรือนตะวันออกที่ทรุดโทรม เจตนาของอี๋เหนียงทั้งหลายและคุณหนูรองคือป้องกันการทำลายหลักฐาน
คุณหนูสามสามารถสืบเรื่องนี้ต่อได้ หากเขาถูกปรักปรำจริง ถึงเวลาค่อยปล่อยตัวออกมาก็ได้
กับเรื่องนี้ หลีซูซูไม่มีความเห็น
ข้าวของที่หายไป อย่างอื่นไม่พูดถึง แต่มีกวนอินหยกที่ฮูหยินผู้เฒ่ารักที่สุด ท่านผู้เฒ่านับถือศาสนาพุทธ เห็นกวนอินหยกองค์นั้นล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใด กล่าวให้ร้ายแรงหน่อยก็คือขยับไปถึงขั้นยึดมั่นศรัทธาเสียแล้ว
ดังนั้นอี๋เหนียงทั้งหลายจึงร้อนใจถึงเพียงนี้ และอยากหาให้ได้ว่าใครเป็นคนขโมยของไป
ถึงอย่างไรหลีซูซูก็เป็นเพียงบุตรีสายตรง มิใช่นายหญิง นางสามารถสืบคดีนี้ใหม่อีกครั้ง นับว่าไม่ง่ายแล้ว
แค่ถูกขังไม่น่าจะเป็นอะไร ขอเพียงถานไถจิ้นไม่ตายก็พอ
วันต่อมาเป็นวันที่สิบห้า
ปี้หลิ่วออกไปข้างนอก พอกลับมาก็เล่าให้หลีซูซูฟังอย่างดีอกดีใจ “คุณหนูสาม บ่าวสืบทราบมาว่าองค์ชายหกได้รับการอวยยศเป็นเซวียนอ๋อง วันนี้ราชโองการแต่งตั้งประกาศลงมา จวนที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ อยู่ไม่ไกลจากจวนแม่ทัพของพวกเรานี้เองเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพได้รับเทียบเชิญ คิดว่าอีกไม่กี่วันให้หลังจะต้องพาคุณหนูไปจวนเซวียนอ๋องแน่นอน เพื่อไปแสดงความยินดีกับเขาเจ้าค่ะ”
ท่าทีของหลีซูซูนิ่งเฉยอย่างมาก “อ้อ”
ปี้หลิ่วพูดต่อ “คุณหนู ท่านวางใจ ครั้งนี้บ่าวต้องแต่งองค์ทรงเครื่องท่านให้งามล้ำเลิศแน่นอน ทำให้นางแพศยาเยี่ยปิงฉางผู้นั้นไร้ที่ยืน”
แม้ว่าตอนนี้หลีซูซูยังไม่เคยพบพี่สาวสายรองผู้นั้น ไม่รู้ว่านางเป็นคนอย่างไร แต่ตื่นเต้นกับการแย่งชิงสามีผู้อื่นถึงเพียงนี้…เป็นบ้าไปแล้วหรือไม่
หลีซูซูไม่อยากเห็นหน้าปี้หลิ่วแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้าไปสอบถามดูหน่อย ครั้งนี้ในจวนมีข้าวของชิ้นใดบ้างที่หายไป แล้วข้าวของเหล่านั้นเป็นของใคร”
ปี้หลิ่วได้แต่ออกจากประตูไปอย่างไม่เต็มใจ พอเดินสวนกับชุนเถาข้างนอก นางก็ผลักอีกฝ่ายหนึ่งที “หลีกไป อย่าขวางทางข้า”
ชุนเถารีบหลบเป็นพัลวัน
ปี้หลิ่วไม่สบอารมณ์มาก เทียบกับการทำงานเบ็ดเตล็ดเหล่านี้ นางใส่ใจมากกว่าว่าคุณหนูสามจะได้แต่งกับเซวียนอ๋องหรือไม่
แต่ก่อนเวลาตนเอ่ยถึงองค์ชายหก แววตาของคุณหนูเต็มไปด้วยความรักใคร่ใฝ่ฝัน วาดหวังเต็มเปี่ยม แต่นางพบว่าครั้งนี้หลังจากตนกลับมา ยามเอ่ยถึงเรื่องของเซวียนอ๋องอีกครั้ง คุณหนูกลับไม่ใส่ใจนัก
พอปี้หลิ่วจากไป หลีซูซูก็หยิบรายการแผ่นหนึ่งออกมา
นี่เป็นสิ่งที่เมื่อคืนนางสั่งให้สี่สี่จัดการ
หลีซูซูมิได้ไว้ใจปี้หลิ่ว
หลีซูซูมองดู พบว่าคนที่ทรัพย์สินหายไปมีฮูหยินผู้เฒ่า ตู้อี๋เหนียง คุณหนูรอง คุณชายใหญ่ คุณชายสี่ อวิ๋นอี๋เหนียงก็มีปิ่นทองหายไปหลายอันเหมือนกัน
คนผู้นี้รู้จักหยิบฉวยทีเดียว ไม่กล้าหยิบของท่านแม่ทัพกับหลีซูซู กวนอินหยกของฮูหยินผู้เฒ่ากับสินเจ้าสาวของคุณหนูรองมีมูลค่ามากที่สุด คุ้มค่าที่จะเสี่ยง คุณชายใหญ่กับอวิ๋นอี๋เหนียงนิสัยค่อนข้างใจกว้างอารี คงจะไม่ถือสาอะไร ส่วนคุณชายสี่ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น
หลังตรึกตรองดูแล้ว นางก็เรียกชุนเถามา
“ชุนเถา เจ้ารู้หรือไม่ว่าหมู่นี้คุณชายรองกับคุณชายสามทำอะไรอยู่”
ชุนเถาสั่นศีรษะ “บ่าวรู้เพียงว่าช่วงนี้คุณชายใหญ่ติดตามนายท่านไปฝึกฝนในค่ายทหาร คุณชายรองกับคุณชายสาม บ่าวไม่แน่ใจเจ้าค่ะ ถ้าคุณหนูอยากทราบ สองวันนี้บ่าวกับสี่สี่จะไปสืบดู”
หลีซูซูยิ้มพยักหน้าเอ่ย “ลำบากชุนเถาแล้ว”
ถานไถจิ้นถูกขังในเรือนตะวันออก
เรือนตะวันออกตั้งอยู่ตรงทางลมพัด เป็นเรือนที่หนาวเหน็บที่สุดภายในจวน ถูกทิ้งร้างมาหลายปีแล้ว ปกติใช้เป็นที่เก็บฟืน หน้าต่างชำรุด ลมหนาวพัดเข้ามาจึงพาให้คนหนาวยะเยือกไปทั้งตัว
ถานไถจิ้นนั่งอยู่ ณ มุมหนึ่ง เลียริมฝีปากที่แห้งผาก
จวบจนตกค่ำก็ยังคงไม่มีคนมาส่งอาหารให้เขา ถานไถจิ้นสีหน้าราบเรียบ กลับรู้สึกว่าอยู่ในความคาดหมาย ชีวิตเช่นนี้เขาเองก็ชินแล้ว บางครั้งอดอาหารวันสองวัน คนก็ไม่ถึงขั้นหิวตาย
ท้องฟ้าราตรีในเหมันตฤดูไม่มีแสงจันทร์ ข้างนอกเงียบสนิท หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง
เขาคว้าหิมะสองกำมือ กลืนกินลงไป ในกระเพาะยังคงรู้สึกทรมานยิ่งนัก ถานไถจิ้นนั่งลง หยิบยันต์คุ้มครองในแขนเสื้อออกมา
ยันต์คุ้มครองที่เดิมทีเก่ามากอยู่แล้ว หลังถูกฉีกทึ้งกระชากเมื่อวาน ด้ายที่เย็บไว้ก็ลุ่ยออกมา
สายตาเขาเหมือนดังบ่อน้ำลึก กวาดผ่านจุดที่ถูกทำลายเสียหาย ในใจมีความชั่วร้ายขุมหนึ่ง เพิ่มพูนขึ้นมาจากรอยขาดนี้ไม่สิ้นสุด
เด็กหนุ่มสูดหายใจเบาๆ ฝืนข่มอารมณ์รุนแรงนี้ลงไป และเก็บยันต์คุ้มครองไว้ในอกเสื้ออีกครั้ง
เพียงแต่น่าเสียดาย ต่างหูของนางหายไปแล้ว
เขาหลับตาลง พิงผนังห้องพักผ่อน ต้องเหลือลมหายใจไว้ จะตายอย่างไม่เอาไหนในห้องเก็บฟืนไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่เชื่อว่าเยี่ยซีอู้จะช่วยเหลือตน หากเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร เขาต้องเดินออกไปจากที่นี่ด้วยตนเอง
กลางดึกยามที่สายลมพัดหิมะ ถานไถจิ้นได้ยินเสียงฝีเท้าโซซัดโซเซดังขึ้นนอกประตู
เขาลืมตา ฟังจากเสียงฝีเท้าก็รู้ว่าเป็นสตรีสองคน
ราตรีมืดดำขยายประสาทรับรู้ให้ไวขึ้นไม่รู้กี่เท่า ถานไถจิ้นได้ยินเสียงหอบหายใจแผ่วเบา อึดใจต่อมา สตรีที่สวมชุดคลุมกันลมสีขาวล้มลงในเรือนตะวันออก
ตอนที่นางล้มลงบนพื้น สีหน้ายังฉายความงุนงงหลายส่วน
มองผ่านแสงไฟอ่อนสลัว ถานไถจิ้นเห็นเด็กสาวบนพื้นที่สภาพค่อนข้างทุลักทุเล
ปี้หลิ่ววางผ้าห่มกับโคมแก้วหลิวหลีและรีบประคองหลีซูซูขึ้นมา นางเหลือบมองถานไถจิ้นแวบหนึ่งอย่างดูแคลน เหยียดปากเอ่ยว่า “องค์ชายจื้อจื่อรู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรกระมัง”
พูดจบ ปี้หลิ่วก็ปิดประตูเรือนตะวันออกและจากไป
ทิ้งหลีซูซูไว้กับถานไถจิ้นในพื้นที่เล็กๆ แห่งนี้
หลีซูซูตัวสั่น นั่งพิงมุมห้องอีกฝั่ง นิ้วมือนางจับชุดคลุมกันลมแน่น พวงแก้มแดงซ่าน ลมหายใจถี่กระชั้น
ถานไถจิ้นลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหานาง “คุณหนูสาม?”
“เจ้าอย่าเข้ามา” หลีซูซูเอ่ยคำพูดนี้จบด้วยเสียงหอบหายใจ ข้างนอกหิมะกำลังตก แต่นางกลับร้อนจะตายอยู่แล้ว
คืนนี้เพิ่งจะหลับไป ร่างกายก็พลันร้อนรุ่ม นางลืมตาขึ้นถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายตนเอง
เวลานั้นเอง ปี้หลิ่วเข้ามา บอกนางเสียงค่อย “วันนี้เป็นวันที่สิบห้า คุณหนูฤทธิ์ยากำเริบใช่หรือไม่ บ่าวจะพาท่านไปหาจื้อจื่อ”
หลีซูซูกอดผ้าห่มแน่น หอบหายใจเอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร”
นางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
ปี้หลิ่วตอบ “คุณหนู ท่านลืมไปแล้วหรือ พิษของหนอนไหมใยวสันต์จะกำเริบทุกสามเดือน ยาถอนพิษของท่านถูกจื้อจื่อกินลงไป”
หลีซูซูถึงได้ตระหนักว่าเรื่องการวางยาไม่มีวันจบสิ้น
ยาอย่างหนอนไหมใยวสันต์นี้ คุณสมบัติดั้งเดิมเหมือนยาพิษมากกว่า เอาความหมายมาจาก ‘หนอนไหมใยวสันต์ จวบตายใยจึงสิ้น’ ฝ่ายที่กินยาพิษเข้าไป ทุกสามเดือนอาการจะกำเริบครั้งหนึ่ง จะต้องร่วมคู่กับคนที่กินยาถอนพิษเข้าไป อาการจึงจะบรรเทา
ส่วนฝ่ายที่กินยาถอนพิษ มีเพียงวันแรกเท่านั้นที่มีอาการเหมือนกินยาปลุกกำหนัด ต่อจากนั้นล้วนปกติ
ว่ากันว่ายาชนิดนี้เป็นโอสถลับของเผ่าอี๋เยวี่ยที่หายสาบสูญไปแล้ว สมัยก่อนขุนนางและชนชั้นสูงเอามาใช้ควบคุมสตรีที่ฉุดคร่ามาโดยเฉพาะ ทำให้พวกนางมิอาจไปจากตนตลอดกาล
เจ้าของร่างเดิมเคียดแค้นเยี่ยปิงฉางที่แย่งชิงความรักของตนไป ดังนั้นจึงไม่วางยาปลุกกำหนัดทั่วไป ถึงกับสรรหาหนอนไหมใยวสันต์ที่ทำให้คนหยุดหายใจมาใช้
ต่อให้เป็นสตรีผู้มีคุณธรรมกล้าแกร่งกินเข้าไปก็ทานทนไม่ไหว
เจ้าของร่างเดิมอยากเห็นเยี่ยปิงฉางขาดคุณชายเสนาบดีหัวโตหูกางผู้นั้นมิได้
ไม่คิดว่ายานี้ สุดท้ายกลับถูกตนเองกินลงไปแทน หลีซูซูว่าแล้วเชียวว่าเหตุใดเจ้าของร่างเดิมมีฐานะเช่นนี้ สกุลเยี่ยเพื่อชื่อเสียง กลับให้นางแต่งงานกับตัวประกันผู้หนึ่ง
ที่แท้เป็นเพราะไม่แต่งไม่ได้
ไม่แต่งก็คือตาย
แน่นอน หนอนไหมใยวสันต์สามารถอดทนได้ แต่จะทรมานมากขึ้นทุกครั้ง
ครั้งก่อนเจ้าของร่างเดิมอดทนอยู่ครึ่งชั่วยาม* ครั้งนี้หลีซูซูต้องอดทนสองชั่วยาม นางนั่งสมาธิเป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา* ร่างกายเปียกชุ่มไปหมด เจ็บปวดเกินจะรับไหว
ปี้หลิ่วเอ่ยว่า “คุณหนูสาม บ่าวประคองท่านไปหาจื้อจื่อดีกว่า ท่านอยู่ข้างกายเขา ย่อมรู้สึกดีขึ้นหน่อย”
หลีซูซูกัดฟัน “ไม่ ไม่!”
นางยืนหยัดได้อีกหนึ่งถ้วยชา สุดท้ายวิญญาณใกล้หลุดลอยสู่สรวงสวรรค์เต็มที ปี้หลิ่วไม่พูดพร่ำทำเพลง ประคองนางมาที่เรือนตะวันออก
หลีซูซูทั่วร่างไร้เรี่ยวแรง แทบจะถูกปี้หลิ่วหามเดิน กระทั่งสติสัมปชัญญะก็เริ่มเลอะเลือน
เงาแสงเบื้องหน้านางวูบไหวไปมา ยังพอแยกแยะเค้าโครงของคนตรงหน้าได้ นางจำได้ว่าเขาคือมารที่ชั่วร้ายตนนั้น
หลีซูซูกัดริมฝีปากจนเลือดออก นางกอดแขนตนเอง ฝืนข่มความรู้สึกอยากเปลื้องอาภรณ์เอาไว้
ถานไถจิ้นเข้าใจอะไรแล้ว สีหน้าเชื่อฟังไร้พิษภัยยามปกติของเขา เปลี่ยนเป็นเหยียดหยันเย็นชาในพริบตา
ที่แท้นี่คือเหตุผลที่เมื่อวานนางห้ามไม่ให้คนทำร้ายเขาจนพิการ เป็นเพราะคิดว่าคืนนี้เขายังมีประโยชน์สินะ
เด็กหนุ่มย่อตัวลงตรงหน้านาง เกลี่ยปอยผมบนหน้าผากที่ชื้นเหงื่อออกอย่างแผ่วเบา “คุณหนูสาม ท่านดูทรมานมาก”
หลีซูซูปิดปากแน่นสนิท นางกลัวจริงๆ ว่าหากตนเปิดปาก จะเปล่งเสียงที่ไม่สมควรออกมา นางรู้สึกว่าตนเองถูกเผาจนใกล้ตายเต็มที และใกล้เพียงตรงหน้านี้เอง มีน้ำแข็งอยู่ก้อนหนึ่ง
หลีซูซูเอ่ย “อยู่ห่างๆ ข้าหน่อย!” นางเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดในใจเยี่ยซีอู้ชมชอบเซียวหลิ่นถึงเพียงนั้น สุดท้ายแม้กระทั่งศักดิ์ศรีของตนเองก็ไม่เอา ขอร้องให้ถานไถจิ้นช่วยตน
ยานี้ทรมานคนเกินไปแล้ว!
เด็กหนุ่มตรงหน้าเอียงศีรษะเล็กน้อย
ภายใต้แสงสว่างจากโคมแก้วหลิวหลี เด็กหนุ่มดูอ่อนแอยิ่งนัก สีหน้าไร้พิษภัย
แต่เสียงของเขาหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ น้ำเสียงเยียบเย็น เหมือนกำลังทุบน้ำแข็งอันแข็งแกร่งให้แตกละเอียดอย่างช้าๆ “คุณหนูสามบอกข้าได้หรือไม่ว่าท่านเป็นอะไรไป”
เจตนาชั่วร้ายในตัวของเด็กหนุ่มคล้ายมีและคล้ายไม่มี
เยี่ยซีอู้ในอดีตเคยเป็นอย่างไร ตอนนี้ถานไถจิ้นก็เป็นอย่างนั้น
เขาอยากเห็นความสว่างไสวเจิดจ้าเมื่อวาน เปล่งเสียงครวญครางซ้ำไปมาแทบเท้าเขาในวันนี้อย่างไร้ศักดิ์ศรีด้วยท่าทียั่วยวนไม่สิ้นสุด
ความหยิ่งทะนงในดวงตานางจะถูกบดทำลาย ทำตัวเหมือนอย่างเขา เหมือนหนอนที่มิอาจพบเจอแสงสว่าง ขอร้องคนที่นางดูถูกให้สัมผัสนาง
แต่เขาไม่มีทางสัมผัสนาง…สกปรก
ถานไถจิ้นพิงผนังเย็นเฉียบ แม้แต่แววตาไร้พิษภัยก็คร้านจะเสแสร้งแล้ว มองสำรวจนาง
ดูสิ น่าเวทนาเพียงใด ผิวกายขาวกระจ่างเปลี่ยนเป็นสีชมพู มุมปากก็มีเลือดออก ดวงตาที่ขาวดำตัดกันชัดเจนของนาง ยามนี้พร่าเลือน รูม่านตาค่อยๆ สูญเสียจุดรวมแสงไป
เขาโค้งริมฝีปากอย่างเยือกเย็น
นัยน์ตาของเด็กสาวสั่นระริก โลหิตไหลลงมาตามมุมปาก
ถานไถจิ้นยื่นนิ้วออกไปด้วยความหวังดี เช็ดคราบเลือดตรงมุมปากนาง
“ท่านดูน่าเวทนาจริงๆ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นและแผ่วเบา
อ้อนวอนเขาอย่างไร้ยางอายเถอะ ควรเผยความอัปยศออกมาได้แล้ว ครั้งนี้นางยืนหยัดได้นานกว่าครั้งก่อนมากทีเดียว
ถานไถจิ้นนับเวลาเงียบๆ ในใจ ในที่สุด เมื่อแววตาของนางว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ เด็กสาวตรงหน้าเขาก็ไม่ดื้อดึงอีก นางขยับตัว ยกแขนเรียวบางขึ้นมา แต่กลับมิได้มากอดเขาอย่างที่ถานไถจิ้นคิด เด็กสาวยกมือขึ้นปิดแก้มของตนเอง
ขนตายาวของนางปิดลง สงบยิ่งกว่าเกล็ดหิมะที่ปลิวโปรยข้างนอก
เด็กสาวพิงกายตรงหน้าต่าง หิมะข้างนอกโปรยปราย นางไม่ส่งเสียงใดๆ เหมือนหลับใหลยาวนานในรัตติกาลเหมันต์ กลายเป็นผีเสื้อตัวหนึ่งที่หุบปีกอย่างสั่นเทา
โคมแก้วหลิวหลีส่องแสงรอบตัวนาง เกล็ดหิมะปลิวเข้ามา ตกลงบนเส้นผมนาง
เขาเฝ้าดูด้านข้างอย่างเย็นชา มองภาพอันแปลกประหลาดทว่าสูงส่งบริสุทธิ์นี้
ความรู้สึกเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกแล้ว
นางอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างหิมะกับแสงสว่าง ส่วนเขายังคงอยู่ในความมืดมิดผืนนี้ จู่ๆ เขาก็ชิงชังบุคคลตรงหน้าผู้นี้ยิ่งกว่าเดิม
ถานไถจิ้นใช้นิ้วมือเย็นเฉียบปิดปาก แตกต่างจากความชิงชังดูแคลนในอดีต นี่เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ชำแรกลึกเข้าไปในไขกระดูก ความรู้สึกรังเกียจจนทำให้เขาสั่นสะท้าน
ความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกนี้ เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันนั้นที่รังโจรบนภูเขากระมัง
เด็กหนุ่มกลับไปนั่งตรงมุมห้อง ใช้สายตาเหนียวเหนอะทึบทึมประหนึ่งใยแมงมุมจับจ้องหลีซูซูตลอดทั้งคืน
นางขดตัวอยู่อีกมุม ไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
แสงอรุณสาดส่องเข้ามาในเรือนตะวันออก หลีซูซูรู้สึกว่าตนเองกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
นางเหนื่อยล้ามาก ยานี้เป็นเช่นชื่อ เหมือนลอกคราบออกมาจากรังไหมอย่างไรอย่างนั้น
กล้ามเนื้อใต้ฝ่ามือผ่ายผอมแบบบาง นางลืมตาขึ้น พบว่าตนเองนอนอยู่บนตักของถานไถจิ้น
นางดีดตัวลุกขึ้นนั่งทันใดและรีบออกห่างจากเขา
หลีซูซูทึ้งผมของตนเอง
ไม่กระมัง ไม่กระมัง!
เมื่อคืนนางอดทนอย่างทุกข์ทรมานถึงเพียงนั้น ก็เพื่อไม่ประสานหยินหยางกับมารร้าย หรือว่าจิตบำเพ็ญของนางยังไม่มั่นคงพอ ทนฤทธิ์ยาไม่ไหว สุดท้ายยังคงโผเข้าสู่อ้อมกอดของมารร้าย
หลีซูซูขยะแขยงยิ่งนัก มือที่เพิ่งแตะสัมผัสเขาเหมือนมีไฟกำลังลุกไหม้ นางมองเด็กหนุ่มชั่วร้ายใต้เท้าอย่างขุ่นเคือง
ขนตาของเด็กหนุ่มขยับไหว
ขนตาของถานไถจิ้นยังยาวกว่าขนตาของร่างกายนี้ของหลีซูซูเสียอีก ประหนึ่งขนอีกาแปลกประหลาดสองแผง
เขาปากแดงผมดำ สะท้อนความงามที่อ่อนแออย่างหนึ่ง พาให้ร่างกายดูขาวซีดน่าสงสาร
หลีซูซูไม่อยากให้เขาลืมตาสักเท่าไร
ถึงอย่างไรเขาตื่นมาแล้ว หลีซูซูก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี หรือจะให้อธิบายว่า ‘ทุกสามเดือน ข้าจะมีอาการท่าทางเหมือนกินยาปลุกกำหนัดเข้าไปครั้งหนึ่ง’
ระหว่างที่จิตใจตึงเครียด นางพบว่าจนแล้วจนรอดเขาก็มิได้ตื่นขึ้นมา
หลีซูซูโล่งอก ยามนี้จึงเห็นว่าใบหน้าเขาซีดเผือด ริมฝีปากแห้งแตก ดูอย่างไรก็ไม่ปกติ
“ถานไถจิ้น ตื่นเดี๋ยวนี้” มารร้ายล้วนมีอุบายลึกล้ำ คงมิใช่ว่าเขากำลังแกล้งหลับเรียกร้องความเห็นใจกระมัง
“ถ้ายังไม่ตื่นข้าจะส่งตัวเจ้าให้เหลียนอี๋เหนียง” นางเอ่ยพลางผลักเขา ทว่าเด็กหนุ่มยังคงไม่ตอบสนองใดๆ
หลีซูซูย่อตัวลงใช้มือแตะหน้าผากเขา ครั้งนี้ตัวไม่ร้อน แต่นางกลับเหมือนสัมผัสน้ำแข็งก้อนหนึ่ง
หลีซูซูทำหน้าไม่ถูก “…”
ต่อให้เลี้ยงเด็กน้อยผู้หนึ่งในโลกมนุษย์ ก็ไม่มีทางอ่อนแอเรื่องเยอะเหมือนอย่างเขา เอะอะอะไรก็ล้มป่วยปางตาย
นางหาน้ำในเรือนอันคับแคบแห่งนี้ไม่เจอ ได้แต่คลุมผ้านวมไว้บนร่างเขาก่อน
พอหลีซูซูเดินออกไป ปี้หลิ่วก็ก้าวเข้ามาหา “คุณหนู ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
หลีซูซูปรายตามองปี้หลิ่วแวบหนึ่ง เมื่อคืนแม้ตนจะไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังไม่ได้สตินัก แต่หลีซูซูรู้ว่าหากอยู่ในเรือนของตนเอง นางสามารถอดทนได้แน่นอน ปี้หลิ่วกลับไม่สนความสมัครใจของนาง ดึงดันพานางมาอยู่ข้างกายถานไถจิ้น
‘ความภักดี’ ของปี้หลิ่ว ทำเอานางโมโหจนอยากหัวเราะ
“ข้าจำได้ว่าหนอนไหมใยวสันต์เจ้าเป็นคนมอบให้ข้ากระมัง ปี้หลิ่ว เจ้ามีของสิ่งนี้ได้อย่างไร” นางไม่เชื่อว่าสาวใช้ผู้นี้จะไม่มีปัญหา
ปี้หลิ่วเอ่ยตอบ “คุณหนู ก่อนหน้านี้บ่าวเคยบอกไปแล้ว บ่าวมีญาติผู้พี่ห่างๆ ผู้หนึ่ง เคยแต่งงานกับสตรีเผ่าอี๋เยวี่ย เผ่าอี๋เยวี่ยเชี่ยวชาญเรื่องพิษ หนอนไหมใยวสันต์เป็นตำรับยาลับของพวกเขา”
“นอกจากยาถอนพิษที่ถานไถจิ้นกลืนลงไป ยังปรุงยาถอนพิษออกมาอีกได้หรือไม่”
ปี้หลิ่วส่ายหน้า สีหน้าฉายแววไม่พอใจอยู่บ้าง “มีตัวนำยาอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คุณหนู ท่านคงมิได้โทษปี้หลิ่วกระมัง ปี้หลิ่วเองก็ทำตามคำสั่งของท่านนะเจ้าคะ”
หลีซูซูพูด “ข้าไม่โทษเจ้า แต่นับจากวันนี้ไปข้าก็ไม่เก็บเจ้าไว้เช่นกัน เจ้าไปหาเหลียนอี๋เหนียง ให้นางหางานใหม่ให้เจ้าเถอะ”
ปี้หลิ่วมีสีหน้าตื่นตระหนก นานครู่ใหญ่กว่าจะได้สติว่าหลีซูซูกำลังไล่ตะเพิดตน นางจึงได้ลนลาน รีบคุกเข่าโขกศีรษะ “คุณหนูสาม ขอร้องคุณหนูโปรดอย่าไล่บ่าวไปเลยเจ้าค่ะ”
ตอนนี้รู้จักอ้อนวอนแล้ว?
หลีซูซูมิได้สนใจอีกฝ่าย นางเดินย่ำหิมะที่ทับถม ไปจากเรือนตะวันออกทันที
เดิมอยากเก็บปี้หลิ่วไว้สักพักเพื่อสังเกตการณ์ เพราะนางรู้สึกเสมอว่าปี้หลิ่วผู้นี้ไม่ธรรมดา
แต่ปี้หลิ่วทำตัวต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง เข้าออกห้องเจ้านายตามอำเภอใจก็แล้วไปเถอะ ยังรังแกชุนเถากับสี่สี่บ่อยครั้ง ไล่นางจากไปเสียดีกว่า จากนั้นส่งคนคอยติดตาม ไม่แน่อาจค้นพบอะไร
สาวใช้อย่างปี้หลิ่วที่เป็นที่โปรดปรานของเจ้านายจนนิสัยเสีย ไปจากเจ้าของร่างเดิมแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ล้วนต้องลำบากทั้งสิ้น
หลีซูซูรุดกลับมาอีกครั้งในเวลาเพียงครู่เดียว ทั้งยังพาหมอผู้หนึ่งมาด้วย ตัวร้อนนางพอรู้ว่าต้องจัดการอย่างไร แต่ตัวเย็นจะทำอย่างไรเล่า
เด็กหนุ่มตรงมุมห้องยังคงอยู่ในท่าเดิมเหมือนตอนที่นางจากไป
“ท่านหมอ โปรดตรวจดูอาการเขาที”
ท่านหมอสูงวัยก้าวขึ้นมา ก่อนจะตรวจอาการให้ถานไถจิ้น
เขารู้ชื่อเสียงความโหดร้ายของคุณหนูสามจวนแม่ทัพนานแล้ว เดิมทีไม่อยากยุ่งเรื่องผู้อื่นมากนัก แต่ถึงอย่างไรคนเป็นหมอก็มีจิตเมตตาดุจบิดามารดร จึงประสานมือเอ่ยว่า “คุณชายท่านนี้อายุยังน้อย ร่างกายกลับทรุดโทรมถึงเพียงนี้ มีโรคภัยมากมาย บาดเจ็บภายในไม่น้อย หากคุณหนูสามมิได้อยากเอาชีวิตเขา ก็เวทนาสงสารเขาสักหนึ่งส่วนเถิด”
หลีซูซูเม้มปาก ส่ายหน้าอย่างยืนกราน “ท่านหมอไม่รู้เสียแล้ว เขามิใช่คนดีอะไร ท่านเขียนตำรับยารักษาให้เขาไม่ตายก็พอ”
เรื่องการปรับสมดุลร่างกายอะไรนั่น ไม่จำเป็นหรอก สิ่งชั่วร้ายเช่นนี้ ยิ่งมีโรคภัยไข้เจ็บมากก็ยิ่งดี
ท่านหมอสูงวัยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “หากคุณหนูสามเพียงต้องการให้เขาไม่ตาย ข้าผู้เฒ่าไม่จำเป็นต้องจ่ายยา เขาไม่ได้กินอาหารเป็นเวลานานแล้ว ทั้งมิได้ดื่มน้ำจึงมีสภาพเช่นนี้ แค่หาอาหารให้เขาหน่อยก็พอแล้ว”
หลีซูซูพันคิดหมื่นคาดก็คิดไม่ถึงว่าถานไถจิ้นถูกขังอยู่ที่นี่จะไม่มีข้าวกิน ไม่มีน้ำดื่ม
นางตะลึงงัน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้
เหลียนอี๋เหนียงบอกว่าแค่ขังคนไว้มิใช่หรือ
พวกเขาจงใจ หรือว่า…คนในจวนละเลยถานไถจิ้นเช่นนี้ เป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
พวกเขาลืมไปว่าเขาเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง จำเป็นต้องกินอาหาร จำเป็นต้องดื่มน้ำ จำเป็นต้องหายใจ
ทางหนึ่งกลั่นแกล้งรังแกเขาอย่างไร้ความปรานีไม่มีคุณธรรม ทางหนึ่งยังเยาะหยันเขาว่าไม่แข็งแกร่งพอ
* ชั่วยาม เป็นหน่วยเวลาจีนสมัยโบราณ หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง ครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับหนึ่งชั่วโมง
* หนึ่งถ้วยชา เป็นคำเปรียบ หมายถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำรากล่าวว่าเทียบได้กับเวลาประมาณ 10-15 นาที
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 ต.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.