X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม

ทดลองอ่านหวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนนาน เล่ม 8 บทที่ 587-บทที่ 588

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 587

“คุณหนูสาม ท่านระวังหน่อย” เฉินกวงกันคนที่เกือบชนโดนเฉียวเจาไว้ได้ทันท่วงที

นางดึงสติคืนมาแล้วพยักหน้าเบาๆ หากความรู้สึกลิงโลดแกมวาดหวังยามออกจากเรือนไม่หลงเหลืออยู่แล้ว

เจียงหย่วนเฉาจะรามือแต่โดยดีหรือไม่

ถ้าคราวหน้าเขายังมาก่อกวนอีก ข้าจะไปบอกบิดาบุญธรรมของเขา!

เมื่อคิดถึงตรงนี้เฉียวเจานิ่วหน้าอย่างหนักอก

วิธีฟ้องผู้ใหญ่เช่นเด็กน้อยคงไม่ได้ผล เจียงหย่วนเฉามั่นใจแล้วว่านางคือเฉียวเจาที่ยืมศพคืนวิญญาณ ถ้าหากมีเรื่องหมางใจกันจริงๆ แล้วเขาเปิดโปงเรื่องนี้ออกไปล่ะก็ นางต้องพบกับปัญหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

มิพักเอ่ยถึงว่าผู้คนสมัยนี้เดิมก็เชื่อเรื่องผีสางเทวดา โดยเฉพาะฮ่องเต้ผู้มีใจฝักใฝ่ในชีวิตอมตะพระองค์นั้นในวังหลวงจะต้องจับนางกักขังไว้เพื่อศึกษาอย่างละเอียด

“คุณหนูสาม ท่านแม่ทัพอยู่ทางนั้นขอรับ” เห็นเฉียวเจาใจคอไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว เฉินกวงจึงเอ่ยบอก

นางเหลือบตามองไป

ห่างไปไม่ไกลมีโคมไฟนับไม่ถ้วนส่องแสงระยิบระยับวับวาว บุรุษที่ยืนอยู่ใต้แสงโคมแลดูสง่าผ่าเผยหาผู้ใดเทียบเคียงได้ เขาอมยิ้มมองนางอยู่

เฉียวเจาสลัดความกลัดกลุ้มทิ้งไปชั่วคราว ยกชายกระโปรงเดินเข้าไปหาเขา

เซ่าหมิงยวนก้าวเข้ามาจับมือนางไว้ “คนเยอะเบียดเสียดเกินไปใช่หรือไม่”

เฉียวเจาผลิยิ้ม “ใช่แล้ว คนเยอะน่าดูจริงๆ แต่เป็นเทศกาลโคมไฟนี่นะ มันก็อย่างนี้ล่ะ”

“เจาเจา เจ้าไม่ชมชอบความครึกครื้นเช่นนี้ใช่หรือไม่” เซ่าหมิงยวนหวนประหวัดถึงต้นป้อเหอกับเถาดอกสายน้ำผึ้งทั่วลานเรือนในจวนจิ้งอันโหวแล้ว ละม้ายว่าภาพสตรีผู้เงียบขรึมนุ่มนวลกำลังตัดแต่งต้นไม้ใบหญ้าอย่างใจเย็นผุดขึ้นเบื้องหน้าสายตา

ใครจะรู้ว่าเฉียวเจากลับปฏิเสธยิ้มๆ “ไม่สักหน่อย ในเวลาที่สมควรครึกครื้นได้สนุกสนานเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน”

เซ่าหมิงยวนยิ้มตามไปด้วยอย่างห้ามไม่อยู่ “จริงของเจ้า เจาเจา ตามข้ามาสิ”

เฉียวเจาตามหลังเขาไปเงียบๆ นางปล่อยให้เขาจูงเดินไปเรื่อยๆ แล้วพลันพบว่าเบื้องหน้ากลายเป็นสีดำ

ชายหนุ่มหยุดฝีเท้า

ด้านหลังเป็นถนนที่มีแสงโคมสว่างไสวกับฝูงชนพลุกพล่านขวักไขว่ แต่ด้านหน้าราวกับเป็นดินแดนเล็กๆ ที่ถูกลืม

รอบตัวมืดมิด กลิ่นกายเจือไว้ด้วยกลิ่นใบป้อเหอหอมสดชื่นของชายหนุ่มลอยมาแตะปลายจมูกเป็นระยะ เฉียวเจาอดกำนิ้วมือเข้าหากันไม่ได้ แต่เขากุมมือนางไว้แน่นๆ แล้ว

“ถิงเฉวียน” นางเรียกขานคำหนึ่ง

เซ่าหมิงยวนหมุนกายมาก้มหน้ามองเด็กสาวตรงหน้า

ในความมืดนัยน์ตาของเขาเปล่งประกายวาววามเสมือนดวงดาวบนฟากฟ้า

เฉียวเจาค่อยๆ เคยชินกับความมืดสลัว มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของทุกๆ เส้นสายบนใบหน้าเขาได้ชัดถนัดตา แล้วความเปลี่ยนแปลงนั้นก็ประกอบกันขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้จิตใจนางสงบลง

“เฉินกวงบอกว่ามีเรื่องให้ข้าตื่นเต้นประหลาดใจ” เด็กสาวกล่าวด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย

เซ่าหมิงยวนขมวดคิ้วอย่างไม่พึงใจ “เจ้าเฉินกวงนั่นพูดอะไรเชื่อไม่ได้”

“เอ๊ะ หรือว่าไม่มี” เฉียวเจาจงใจถาม

เซ่าหมิงยวนยิ้มพลางจับมือนางไปวางลงบนบางสิ่งเบื้องหน้า “มีสิ”

เฉียวเจาเพียงรู้สึกว่ามือสัมผัสกับความเย็นเฉียบ ทันใดนั้นเบื้องหน้าพลันสว่างขึ้น

แสงไฟดวงนั้นแผ่ความสว่างขึ้นมาจากด้านล่างสุดแล้วค่อยๆ แทนที่ความมืดตรงหน้าคนทั้งคู่ทีละชุ่นๆ จนกระทั่งเผยตัวออกมาให้เห็นทั้งหมดในที่สุด

เป็นโคมไฟรูปทรงกระต่ายหยกสูงเท่าตัวคนสองตัวที่อิงแอบแนบชิดกัน!

“นี่…ท่านทำเองหรือ” หลังหายจากความตะลึงพรึงเพริดในทีแรก เฉียวเจาก็เงยหน้าขึ้นถามเขา

เซ่าหมิงยวนพยักหน้า “เจ้าเดาสิว่าตัวใดเป็นกระต่ายตัวเมีย?”

“ตัวนี้” เฉียวเจาชี้ไปที่ตัวหนึ่งในนั้นโดยไม่ลังเล

เซ่าหมิงยวนตาเป็นประกาย “เจ้าดูออกแล้วหรือ”

นางมองเขาอย่างฉงนใจ

ว่ากันว่ากระต่ายตัวผู้ตะกุยขาหน้า กระต่ายตัวเมียทำตาพริ้ม* อยากแยกแยะตัวผู้ตัวเมียก็ไม่ใช่เรื่องยากนี่นา

เซ่าหมิงยวนหัวเราะขลุกขลักพลางชี้กระต่ายตัวเมีย “หน้าตาของกระต่ายตัวนี้ทำเลียนแบบเจ้านะ”

เฉียวเจาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “หึๆ”

เอาอย่างไรดี อยากตีบุรุษผู้นี้ให้ตายนัก?

ก็ได้ ข้าไม่ถือสาหาความกับพวกตัวโตหัวทื่อก็ได้!

เฉียวเจาหลับตาลงข่มใจไว้แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อมกับความเยือกเย็นดุจเก่า

“เจาเจา โคมกระต่ายน่ารักมากใช่หรือไม่ ข้ามองจนทั่วแล้ว โคมไฟใหญ่ที่สุดบนถนนสายนี้ต้องยกให้โคมกระต่ายหยกสองดวงนี้แล้ว”

เฉียวเจากุมขมับ ถึงได้มีคำโบราณกล่าวไว้ว่าบุรุษหัวทื่อตัวโตใหญ่สินะ?

“ก็น่ารักมากอยู่” นางมองดูกระต่ายหยกสองตัวที่สมจริงดุจมีชีวิต ถึงแม้จะขบขันแกมอ่อนใจ แต่ในใจลึกๆ ก็รู้สึกประทับใจอยู่ดี

เซ่าหมิงยวนยกมือยีผมนางแผ่วเบา “เจ้าชอบก็ดี”

บุรุษร่างสูงใหญ่พลันโน้มตัวยื่นหน้ามาพูดที่ข้างหูเด็กสาว “อีกอย่างหนึ่งขอบคุณที่เจ้าเย็บเสื้อตัวในให้ข้า ข้าสวมแล้วสบายตัวอย่างมาก”

เพียงน่าเสียดายว่ามีเพียงตัวเดียว ไม่มีให้เปลี่ยนสลับใส่ได้…

ชายหนุ่มลอบถอนใจด้วยความเสียดาย แต่หักใจเอ่ยปากขอให้นางเย็บเพิ่มให้ตนอีกหลายๆ ตัวไม่ได้

อื้อ ตอนนี้ข้ามั่นใจได้แล้วว่าเจาเจาคงจะไม่ถนัดงานเย็บปักถักร้อยจริงๆ เสื้อตัวในที่เหลือเย็บเสร็จได้ก่อนแต่งงาน ข้าก็พึงพอใจแล้ว

“โอ้โห…มีโคมกระต่ายหยกใหญ่มากอยู่ตรงนี้สองดวง!” เสียงอุทานด้วยความตื่นเต้นดังลอยมา ไม่นานนักก็มีคนยืนออกันอยู่หน้าโคมกระต่ายหยกเต็มไปหมดจนเบียดพวกเฉียวเจาออกไปด้านข้าง

เด็กน้อยผมจุกผู้หนึ่งพยายามกระโดดเอื้อมมือขึ้นไปจับหูกระต่าย แต่เด็กสาวด้านข้างพูดดุเขา “น้องเล็ก ระวังหกล้ม!”

เซ่าหมิงยวนดึงสายตากลับมา เขาถามเฉียวเจาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “จะเอาไปด้วยหรือไม่”

นางส่ายหน้า “ไม่ต้อง สิ่งของสวยงามได้ชมดูแล้วก็พอ วางทิ้งไว้ให้ผู้อื่นได้ชื่นชมบ้างเถอะ”

นางยกมือลูบปิ่นหยกขาวที่ปักเอียงๆ อยู่บนเรือนผมแล้วเม้มปากยิ้ม

เซ่าหมิงยวนมองแวบเดียวก็เห็นว่าบนผมของเฉียวเจาปักปิ่นหยกที่เขาแกะสลักเองกับมือ ในใจพลันปลาบปลื้มยินดีอย่างเต็มเปี่ยม “เจาเจา ข้าเห็นสตรีมากมายปักปิ่นบนศีรษะกันหลายๆ อันเลย”

ยังมีปิ่นหยกเขียวที่เป็นลายหมูน้อยอีกอันหนึ่งมิใช่หรือ ถ้าเจาเจาปักไว้ด้วยกันก็ต้องงามมากขึ้นอีก

เฉียวเจาชายตามองคนบางคนก่อนกล่าวเสียงเย็นๆ ว่า “ข้าไม่ชอบติดเครื่องประดับศีรษะรุ่มร่ามเกินไป”

อย่าได้พูดถึงปิ่นหัวหมูอันนั้นเชียวนะ ถ้าเขายังอยากเดินเที่ยวกับข้าตามประสาคู่รักอย่างสนุกสนาน!

ทั้งคู่จูงมือกันเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ พลันนั้นเองด้านหน้าเกิดความโกลาหลขึ้น มีคนตะโกนพูดเสียงรัวเร็ว “แย่แล้วๆ มีคนตกน้ำ!”

เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสบตากัน

“พวกเราไปดูกันเถอะ” นางผลักเขาเบาๆ

เซ่าหมิงยวนผิวปากด้วยสองนิ้วเป็นเสียงแหลมสูงดังกังวาน

เฉินกวงปรากฏกายตรงหน้าทั้งสองคนทันที “ท่านแม่ทัพมีอะไรจะสั่งกำชับขอรับ”

“ไปดูสิว่าข้างหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ถ้ามีคนตกน้ำแล้วไม่มีใครช่วย เจ้าก็ช่วยคนขึ้นมา”

“น้อมรับคำสั่ง” เฉินกวงเหลือบมองเฉียวเจาแวบหนึ่งก่อนจะหายลับเข้าไปในฝูงชนอย่างว่องไว

เซ่าหมิงยวนกล่าวอธิบายกับนาง “ด้านหน้าพลุกพล่านวุ่นวายเกินไป ให้เฉินกวงไปก็พอแล้ว”

เทศกาลหยวนเซียวเป็นหนึ่งในหลายๆ เทศกาลที่ครึกครื้นมากที่สุดของปี แต่ในวันเทศกาลอย่างนี้มักมีบางครอบครัวต้องพบกับเรื่องเศร้าเสียใจ

บ้างบุตรหลานโดนล่อลวงไปขาย บ้างเป็นเด็กสาวถูกลวนลาม บ้างคนในครอบครัวได้รับบาดเจ็บอย่างไม่คาดคิด

เบื้องหน้าไม่ไกลนักก็คือทะเลสาบปี้ปอ ในวันนี้จะมีโคมดอกบัวลอยอยู่เหนือผิวน้ำมากมายแลดูงดงามลานตา ทว่ามันเป็นที่เที่ยวชมสำหรับเชื้อพระวงศ์และขุนนางผู้สูงศักดิ์เท่านั้น ถึงแม้ผู้มาชมโคมไฟล้วนระมัดระวังมากกว่าปกติ แต่ไม่ว่าปีใดๆ ล้วนมีข่าวคนเบียดเสียดกันจนพลัดตกน้ำแพร่ออกมาเสมอ

ไม่นานนักเฉินกวงก็แหวกฝ่าฝูงชนย้อนกลับมาด้วยสีหน้าชอบกล “ท่านแม่ทัพ คุณหนูสาม พวกคุณชายฉือกับซื่อจื่อสกุลจูอยู่บนหอศาลาริมทะเลสาบทางโน้น ฝากเชิญท่านกับคุณหนูสามไปที่นั่นขอรับ”

“คนที่ตกน้ำถูกช่วยขึ้นมาหรือยัง”

“มีคนดึงขึ้นมาแล้วขอรับ” เฉินกวงพูดถึงตรงนี้แล้วชะงักไปเล็กน้อย เขามองไปทางเฉียวเจา “คนที่ตกน้ำคือคุณหนูใหญ่สกุลหลี ตอนนี้กำลังร้องไห้อยู่บนหอศาลาริมทะเลสาบขอรับ”

เฉียวเจากำมือที่อยู่ข้างลำตัว เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ “พาข้าไปดูซิ”

บทที่ 588

เซ่าหมิงยวนตบแขนนางเบาๆ “ไม่ต้องเป็นห่วง มีข้าอยู่ทั้งคน”

“อื้อ” เฉียวเจาพยักหน้า นางออกเดินไปหลายก้าวแล้วไต่ถามเฉินกวง “ใครดึงพี่สาวของข้าขึ้นมาหรือ”

ฉือชั่น จูเยี่ยน…

หวังว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ไม่เช่นนั้นคงน่ากระอักกระอ่วนใจจริงๆ

มาถึงเวลานี้แล้วเฉียวเจาไม่อาจไม่ยอมรับว่าถึงแม้ยามปิดประตูอยู่ในเรือนนางกับหลีเจี่ยวจะเป็นอย่างไร แต่ในสายตาคนภายนอกพวกนางคือพี่น้องตระกูลเดียวกัน พอเกิดเรื่องขึ้นกับหลีเจี่ยว สิ่งที่คนอื่นนึกถึงเป็นอันดับแรกก็คือมาบอกนาง

“ตอนพวกคุณชายฉือเห็นข้าก็เรียกให้มาเชิญท่านกับท่านแม่ทัพทันที ส่วนว่าใครดึงคุณหนูใหญ่สกุลหลีขึ้นมานั้น ขณะนี้ยังไม่แจ่มแจ้งขอรับ”

เฉียวเจาได้ยินดังนั้นก็อดเร่งฝีเท้าขึ้นไม่ได้

แสงไฟริมทะเลสาบปี้ปอสว่างไสว โคมดอกบัวเปล่งแสงพร่างพรายอยู่ทั่วผืนน้ำประหนึ่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน ส่วนเรือนตึกงามวิจิตรที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบคือที่อยู่ของเหล่าชาวสวรรค์

เฉียวเจาก้าวขึ้นบันไดไปก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ดังแว่วๆ นางจึงชะงักฝีเท้าเล็กน้อย จากนั้นเดินตรงเข้าสู่ลานโถง

ในนั้นจูเยี่ยนยืนเอามือไพล่หลัง ขณะที่ฉือชั่นนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ตัวกว้างใหญ่อย่างเอื่อยเฉื่อย

พอเห็นเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนเดินเคียงคู่กันเข้ามา ฉือชั่นแย้มมุมปากเอ่ยเสียงเนือยๆ “พวกเจ้ามากันได้เสียที”

เฉียวเจามองไปทางจูเยี่ยน

เขากล่าวเสียงนุ่มขึ้นว่า “น้องเจ็ดกับญาติผู้น้องดูแลคุณหนูใหญ่อยู่ในห้องด้านข้าง คุณหนูหลีวางใจได้ ตอนเกิดเหตุดึงตัวคุณหนูใหญ่ขึ้นมาได้ทันกาลแล้วพามาที่นี่ คนที่เห็นนางตกน้ำกับตามีไม่มาก ส่วนคนที่อยู่ในเหตุการณ์พวกข้ากำชับเอาไว้แล้ว พวกเขาไม่เอาไปพูดจาส่งเดชแน่นอน”

เฉียวเจาย่อเข่าคารวะเขา “ขอบคุณพี่จูมากเจ้าค่ะ”

นางเคยบอกแต่แรกแล้วว่าพี่จูเป็นคนดีจริงๆ

ฉือชั่นได้ยินแล้วแค่นเสียงฮึ “จะขอบคุณจื่อเจ๋อคนเดียวหรือไร”

จูเยี่ยนโคลงศีรษะอย่างอ่อนใจ “สือซี เจ้าอธิบายเรื่องที่ถีบคุณหนูใหญ่ตกน้ำให้คุณหนูหลีเข้าใจสักหน่อยจะดีกว่านะ”

เขาเป็นคนนอกย่อมไม่แจ่มแจ้งว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณหนูหลีกับคุณหนูใหญ่สกุลหลีเป็นเช่นไร แต่อย่างไรก็เป็นพี่น้องตระกูลเดียวกัน ประเดี๋ยวกลับจวนไปหากคุณหนูใหญ่เล่าเรื่องนี้แล้วจะได้ไม่สร้างความเข้าใจผิดให้คุณหนูหลีโดยไม่จำเป็น

เฉียวเจาหรี่ตาลง “พี่ฉือถีบพี่สาวของข้าตกน้ำหรือเจ้าคะ”

ฉือชั่นเป็นเหมือนแมวถูกเหยียบหาง เขาลุกพรวดขึ้นแล้วพูดเสียงเยาะหยัน “ใครใช้ให้นางรนหาที่เองเล่า”

“สือซี พูดให้รู้เรื่องดีๆ สิ” เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปจะวางบนไหล่เขา

ฉือชั่นถอยหลบ ในใจเขาคับแค้นอย่างบอกไม่ถูก

เจ้าคนผู้นี้พาหลีซานไปเดินเที่ยวตามประสาคู่รักอย่างสำราญใจจนลืมตัว แต่เขากลับแปดเปื้อนกลิ่นคาวฉาวโฉ่ไปทั้งตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มิหนำซ้ำยังต้องอธิบายกับคนอื่นอีก

“ก็ไม่มีอะไรมาก ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่ผู้นั้นตั้งใจหรือไร้เจตนา เดินสะดุดขาตนเองล้มถลามาหาข้า” คุณชายฉือเอ่ยถึงตรงนี้แล้วเลิกคิ้วสูงอย่างเอื่อยเฉื่อย “พวกเจ้าต่างรู้กันว่าข้าไม่ชมชอบให้สตรีเข้าใกล้มาแต่ไหนแต่ไร เลยยกขาถีบตามสัญชาตญาณ จากนั้นคุณหนูใหญ่ก็ตกลงไปในน้ำแล้ว”

“เป็นใครดึงตัวพี่ใหญ่ของข้าขึ้นมาหรือ” สายตาของเฉียวเจาจับไปที่ตัวจูเยี่ยนอย่างห้ามไม่อยู่

ด้วยอุปนิสัยของฉือชั่น หลังจากหลีเจี่ยวตกน้ำแล้วไม่ปาหินลงทะเลสาบอีกก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หมายให้เขาดึงคนขึ้นมาไม่ต่างจากวาดวิมานกลางอากาศ

“เป็นน้องเจ็ดกับญาติผู้น้องของข้าช่วยกันดึงตัวคุณหนูใหญ่ขึ้นมา” จูเยี่ยนอ้าปากบอก

เฉียวเจาลอบโล่งใจเล็กน้อย

ในเมื่อเป็นจูเหยียนกับตู้เฟยเสวี่ยดึงหลีเจี่ยวขึ้นจากน้ำ หลังกลับจวนแล้วก็ไม่มีปัญหายุ่งยากอะไรนอกจากทำให้พวกท่านย่าหวาดผวาตกใจกันบ้าง

แต่ครั้นสายตามองเห็นจูเยี่ยนทำท่าขมวดคิ้วน้อยๆ เฉียวเจาชักเอะใจจึงเอ่ยถามขึ้น “พี่จู ยังมีเรื่องอะไรอีกใช่หรือไม่”

จูเยี่ยนยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “มีเหตุการณ์เล็กๆ เกิดขึ้นระหว่างนั้นจริงๆ แม้ว่ามิใช่เรื่องใหญ่ แต่ศักดิ์ฐานะของฝ่ายนั้นไม่สามัญ…”

“จื่อเจ๋อ เจ้าพูดมาตรงๆ เถอะ” เซ่าหมิงยวนเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

จูเยี่ยนมองไปทางเขาแล้วหัวคิ้วที่มุ่นเข้าหากันก็คลายออก ถึงแม้คนผู้นั้นมีศักดิ์ฐานะไม่สามัญ แต่ดูทีว่ายังต้องเห็นแก่หน้าถิงเฉวียนอยู่ดี “ตอนนั้นรุ่ยอ๋องอยู่ที่นั่นด้วย”

รุ่ยอ๋อง?

เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนสบตากันด้วยความตกใจอยู่บ้าง

ฉือชั่นหย่อนกายลงบนเก้าอี้ตามเดิม เขานั่งไขว่ห้างตามสบายพลางบอกเล่าด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า “ข้ากับรุ่ยอ๋องเดินเล่นอยู่ริมทะเลสาบปี้ปอแล้วพบกับกลุ่มของจื่อเจ๋อโดยบังเอิญ”

“ในเมื่อเป็นพวกคุณหนูจูดึงคุณหนูใหญ่ขึ้นจากน้ำ รุ่ยอ๋องอยู่ด้วยก็ไม่เป็นไรกระมัง” เซ่าหมิงยวนกล่าวอย่างฉงนใจ

ชาวเมืองหลวงเคร่งครัดเรื่องธรรมเนียมประเพณีถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เขาเคยได้ยินแต่ว่าบุรุษช่วยสตรีที่จมน้ำขึ้นมาแล้วฝ่ายหญิงจะขอให้ฝ่ายชายรับผิดชอบ แต่ไม่เคยได้ยินว่าคนที่มุงดูอยู่ยังต้องรับผิดชอบด้วย

จูเยี่ยนนวดๆ หว่างคิ้วแล้วชายหางตามองฉือชั่นพลางกล่าว “ทีแรกไม่เกี่ยวข้องกับรุ่ยอ๋อง แต่พอสือซีถีบคุณหนูใหญ่ทีหนึ่ง นางอารามแตกตื่นตกใจก็ยกมือคว้าสะเปะสะปะ แล้วประจวบเหมาะไปคว้าเอาสายรัดเอวของรุ่ยอ๋องตอนตกน้ำน่ะสิ”

เฉียวเจาอึ้งงัน “…”

เซ่าหมิงยวนพูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ “…”

“กางเกงของรุ่ยอ๋องหลุดลงมาหรือ”

เสียงไอของจูเยี่ยนดังขึ้น เขาตวัดสายตามองเฉียวเจาแวบหนึ่งแล้วหน้าแดงระเรื่อ “ไม่หลุด รุ่ยอ๋องจับกางเกงไว้ได้ทัน”

มาตรว่าพวกเขารู้จักมักคุ้นกับคุณหนูหลีแล้ว แต่พูดเรื่องท่านอ๋องกางเกงหลุดต่อหน้าสตรีจะเหมาะสมหรือ

เซ่าหมิงยวนมุ่นคิ้ว “ตกลงว่ามีปัญหาอะไรกันแน่”

ต่อให้รุ่ยอ๋องจะกางเกงหลุดจริงๆ ถึงอย่างไรคงไม่กลายเป็นฝ่ายเรียกร้องให้ฝ่ายหญิงรับผิดชอบกระมัง

จูเยี่ยนมองเซ่าหมิงยวนอย่างจนใจ “ถิงเฉวียน คุณหนูใหญ่เป็นต้นเหตุให้รุ่ยอ๋องต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล ถึงไม่รู้ว่ารุ่ยอ๋องจะเอาเรื่องกับสกุลหลีเพราะเหตุนี้หรือไม่ เอาเป็นว่าเจ้ารู้ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ไว้ก็แล้วกัน”

เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะเบาๆ แล้วหันไปมองเฉียวเจา “เจาเจา เจ้าต้องการให้ข้าออกหน้าสะสางเรื่องนี้หรือไม่”

ช่วยแก้ปัญหาให้เจาเจาได้ เขาย่อมไม่ปฏิเสธเป็นแน่ แต่ก่อนอื่นเขาต้องยืนยันว่าเจาเจาต้องการหรือไม่

นางตรึกตรองครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “ไม่จำเป็น บิดาข้าเป็นเพียงอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตผู้หนึ่ง จะมีปัญหายุ่งยากเพียงใดได้เล่า”

รุ่ยอ๋องคงไม่บีบให้ท่านพ่อลาออกจากตำแหน่งเพราะเรื่องเท่านี้กระมัง

ที่สำคัญคือบิดาของนางไม่กลัวการลาออกจากตำแหน่ง หมู่นี้ได้ยินท่านพ่อที่เคารพพูดติติงเรื่องเบี้ยหวัดเดือนละแปดตั้นตั้งกี่ครั้งกี่หนก็สุดรู้

อีกทั้งคงไม่ถึงกับมีอะไรรุนแรงไปกว่านี้ จะอย่างไรนางหมั้นหมายกับกวนจวินโหวแล้ว ถึงรุ่ยอ๋องไม่เห็นแก่หน้าภิกษุก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธองค์* ไม่มีทางทำเกินกว่าเหตุ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ถิงเฉวียนเป็นฝ่ายไปเจรจาพาทีกับรุ่ยอ๋องแต่อย่างใด เพราะศักดิ์ฐานะของทั้งคู่ล้วนสร้างแรงกระเพื่อมไหวได้ง่ายมาก

เฉียวเจาใคร่ครวญทั้งหมดนี้อยู่ในหัวแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ข้าจะพาพี่เจี่ยวกลับจวนก่อน หลังจากบอกกล่าวให้ผู้อาวุโสรับทราบ พวกท่านน่าจะตัดสินใจได้”

ฉลาดมิได้แสดงถึงประสบการณ์ เฉียวเจาเชื่อว่าในหลายๆ เรื่องท่านย่าต้องจัดการได้ดีกว่าตน

“พี่ฉือ ข้าขอขมาท่านแทนพี่เจี่ยวด้วย”

ฉือชั่นเหลือบมองนางอย่างเฉยเมย “นางคือนาง เจ้าคือเจ้า อีกอย่างข้าไม่ต้องการให้นางขอขมา ให้นางอยู่ห่างจากข้ายิ่งไกลเท่าไรได้ก็ยิ่งดีเท่านั้นเป็นพอ”

เฉียวเจาคลายยิ้มแล้วเข้าไปในห้องด้านข้าง

เสียงฝีเท้าดังขึ้น เสียงสะอื้นร่ำไห้ของหลีเจี่ยวก็หยุดลง

จูเหยียนกับตู้เฟยเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน

“พี่เจี่ยว พวกเรากลับจวนกันเถอะเจ้าค่ะ”

ตู้เฟยเสวี่ยกางแขนขวางหน้าหลีเจี่ยวไว้

“นี่คุณหนูตู้หมายความว่าอะไร”

ตู้เฟยเสวี่ยแค่นเสียงเยาะ “หลีซาน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ประสงค์ดีหรอก จะพาญาติผู้พี่ของข้ากลับไปตอนนี้ก็เพื่อให้ผู้อาวุโสที่ชอบลำเอียงพวกนั้นอบรมสั่งสอนนางกระมัง”

เฉียวเจาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน สตรีผู้นี้รู้จักพูดจาให้เข้าหูคนได้หรือไม่กันแน่

 

* ‘กระต่ายตัวผู้ตะกุยขาหน้า กระต่ายตัวเมียทำตาพริ้ม’ เป็นสำนวนของชาวจีนเวลาพูดถึงการแยกกระต่ายตัวผู้ตัวเมีย ปกติเวลากระต่ายวิ่งไปวิ่งมาจะแยกตัวผู้ตัวเมียไม่ออก จึงให้จับหูแล้วยกตัวมันขึ้น ตัวที่ตะกุยขาหน้าคือตัวผู้ ส่วนตัวที่อยู่นิ่งๆ หรี่ตาคือตัวเมีย ยังเป็นการเปรียบเทียบถึงผู้ชายผู้หญิงว่าในชีวิตประจำวันปกติผู้ชายผู้หญิงต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่พอเข้าสู่สนามรบสวมชุดเกราะแล้วยากจะแยกออกได้ มีความนัยในเชิงสรรเสริญผู้หญิง อย่างเช่น ฮวามู่หลัน

* ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุก็ต้องเห็นแก่หน้าพระพุทธองค์ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงเห็นแก่หน้าบุคคลที่สาม

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: