X
    Categories: everYทดลองอ่านหลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน

ทดลองอ่าน หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง หลางตี๋ หมาป่าเหนือราชัน เล่ม 1

ผู้เขียน : เหลียงฉาน (涼蟬)

แปลโดย : Singin’ in the Rain

ผลงานเรื่อง : 狼鏑 (Lang Di)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ มีการบรรยายเกี่ยวกับการตายของสัตว์

และการกล่าวถึงความรุนแรงในภาวะสงคราม ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ  

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

องก์หนึ่ง

ทุ่งกว้างอันหนาวเหน็บ

 

บทที่ 1 องค์ประกัน

ตึง!

ลูกธนูเฉียดผ่านหูเฮ่อหลันเฟิงแล้วปักเข้าไปในเสาไม้

ผ้าปิดตาร่วงหล่นลงมา ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้าง บริเวณห่างไปไม่ไกลนักมีเด็กหนุ่มขี่ม้าหัวเราะจนตัวงออยู่หลายคน

ผู้ที่เป็นหัวหน้าสวมหมวกขนหมาป่า เสื้อคลุมยาวตัวนอกผูกไว้ตรงเอว บนเข็มขัดหนังสวีหลู่มีสายร้อยหยกกับลูกปัดทองหลายเส้น พวกมันกระทบกันจนดังเป็นเสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆ

“จะยอมหรือไม่!” เด็กหนุ่มผู้นั้นตะโกนเสียงดัง “ข้าต่างหากที่เป็นนักธนูมือหนึ่งของที่ราบฉือวั่งหยวน ยอมแพ้แล้วคุกเข่าให้ข้า เรียกข้าว่าต้าหวัง* !”

เฮ่อหลันเฟิงถูกมัดกับเสาไม้ มือเท้าต่างถูกมัดแน่นด้วยเชือกหนังวัวอุ้มน้ำ รัดจนเขาไม่สามารถแม้แต่จะกระดุกกระดิก เลือดไหลจากใบหูลงไปตามกระดูกไหปลาร้ากับแผ่นอก ทว่าเขากลับขบฟันแน่น สายตาดุร้าย เขาถ่มน้ำลายอย่างเย็นชา “ถุย!”

เด็กหนุ่มถลึงตาจนเบิกกว้าง เขายกธนูเล็งมาที่เฮ่อหลันเฟิงอีกครั้ง ลูกธนูพาดบนคันธนูใหม่ หัวลูกธนูซึ่งทำจากทองส่องประกายวูบวาบท่ามกลางแสงอาทิตย์

“หุนต๋าเอ๋อร์ นี่ศรจินเหอนะ…” มีเด็กหนุ่มเอ่ยเตือน “ถ้าบิดาเจ้ารู้เข้า…”

หุนต๋าเอ๋อร์ต่อยเด็กหนุ่มผู้นั้นหนึ่งหมัด แล้วยกธนูขึ้นอีกครั้ง “เจ้าได้ยินชัดแล้ว ศรจินเหอในมือข้านี้ เป่ยหรงเทียนจวิน** พระราชทานให้บิดาข้า! ข้าจะถามอีกครั้ง จะยอมแพ้หรือไม่!”

ปลายแหลมของศรจินเหอแกะสลักลายนกกระจอกทองกระพือปีก จะงอยปากนกแหลมคมเปล่งประกายสีเขียวรางๆ

เฮ่อหลันเฟิงจำได้ ภายในลูกธนูกลวงนี้มีไว้เพื่อใส่ยาพิษ นี่เป็นอาวุธที่ใช้คร่าชีวิตคนได้

“…อยากให้ข้าคุกเข่า ก็ต้องปล่อยตัวก่อนข้าถึงจะทำได้” เฮ่อหลันเฟิงพูดเสียงดัง “พวกเจ้ามัดข้าไว้เช่นนี้ ต่อให้อยากคุกเข่า ข้าก็ไม่อาจทำได้”

หุนต๋าเอ๋อร์พูดด้วยความตื่นเต้น “เช่นนั้นเจ้าก็ยอมข้าแล้ว?”

เฮ่อหลันเฟิงพยักหน้า

หุนต๋าเอ๋อร์หน้าแดงปลั่ง “ไม่ได้ ข้าไม่เชื่อ เรียกข้าว่าต้าหวังก่อนสิ”

เฮ่อหลันเฟิงสีหน้าไร้ความรู้สึก “ต้าหวังหุนต๋าเอ๋อร์”

หุนต๋าเอ๋อร์ชูคันธนูพลางโห่ร้องเสียงดังกับผู้ติดตาม โบกมือให้เหล่าบริวารไปปลดเชือกที่มัดตัวเฮ่อหลันเฟิง

ตูเจ๋อเพิ่งถูกเขาต่อยมาหนึ่งหมัด ใบหน้านั้นบวมเป่งไปครึ่งซีก เด็กหนุ่มรีบเข้าไปคลายเชือกให้อย่างหวาดหวั่น เชือกหนังวัวที่แห้งแล้วนั้นแน่นมาก รัดข้อมือข้อเท้าเฮ่อหลันเฟิงจนช้ำเป็นรอยแดง

ตูเจ๋อล้วงมีดสั้นออกมาตัดเชือกที่ข้อมือขวาเฮ่อหลันเฟิง ฉับพลันข้างหูก็มีเสียงดังวิ้ง ทั้งร่างเขาถูกเหวี่ยงลอยออกไปทันที มีดสั้นเล่มเล็กที่หลุดมือก็ถูกเฮ่อหลันเฟิงคว้าไว้ได้

“ของกลับคืนสู่เจ้าของเดิม!” เฮ่อหลันเฟิงถือมีดสั้นด้วยสีหน้าลำพองใจ ชั่วพริบตาก็ตัดเชือกหนังวัวที่รัดข้อมือข้อเท้าเรียบร้อย เขากลิ้งไปกับพื้น แล้วเงื้อหมัดกระแทกหน้าอกตูเจ๋อผู้ล้มอยู่บนพื้น

ศรจินเหอพุ่งแหวกอากาศมา ตามด้วยเสียงคำรามเกรี้ยวกราดของหุนต๋าเอ๋อร์ ตูเจ๋อหวาดกลัวจนร้องเสียงหลง เฮ่อหลันเฟิงรีบดึงไหล่เขาแล้วพลิกตัว ศรจินเหอจึงปักลงไปในดิน เป็นตำแหน่งขาขวาของตูเจ๋อเมื่อครู่พอดี

ตูเจ๋อหน้าซีดเผือด “เจ้ายิงธนูเช่นนี้! จะฆ่าข้าหรือ!”

สีหน้าหุนต๋าเอ๋อร์กระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ข้าแค่อยากช่วยเจ้า…อย่าให้เจ้าลูกฮั่นหนีไป!”

เฮ่อหลันเฟิงยื่นมือไปคว้าศรจินเหอดอกนั้นแล้วบ่ายหน้าวิ่งตะบึง

หิมะซึ่งตกหนักบนที่ราบฉือวั่งหยวนเพิ่งจะหยุดตก เมื่อทอดสายตามองไปสุดลูกหูลูกตา เทือกเขาคู่ตู๋หลินทางเหนือกับเทือกเขาอิงหลงทางใต้เป็นสีเงินยวงเช่นเดียวกัน ดุจดังฉากกำบังยักษ์สองด้านขนาบที่ราบฉือวั่งหยวนไว้ตรงกลาง

เฮ่อหลันเฟิงกลายเป็นหยดหมึกซึ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ยอดอาชาหลายตัวไล่ตามหลังมา เสียงร้องตะโกนดังไม่หยุดหย่อน อาทิตย์อัสดงดวงกลมฝังตัวอยู่บนยอดผาและหุบเขาของเทือกเขา อาบย้อมพื้นหิมะขาวเป็นสีแดงเพลิง

เสียงแส้แหวกอากาศ เฮ่อหลันเฟิงหลบไม่ทันจึงโดนแส้หวดบนแผ่นหลังเข้าอย่างจัง เขาล้มจมกองหิมะ ทว่าก็ยังคงกำศรจินเหอไว้แน่น

พวกหุนต๋าเอ๋อร์ทยอยลงจากม้า เข้ามากดเฮ่อหลันเฟิงไว้พลางพลิกร่างเขาให้หงายหน้าขึ้นมา ยามที่นอนหนุนหิมะเย็นเฉียบ ความเจ็บปวดบนแผ่นหลังเด็กหนุ่มจึงค่อยๆ ด้านชา ได้แต่ดิ้นรนพร้อมหอบหายใจไม่หยุด

หุนต๋าเอ๋อร์โกรธจนคิ้วเหยียดไปถึงขมับ เขาแงะนิ้วเฮ่อหลันเฟิงออก แย่งศรจินเหอกลับไป

“เจ้าลูกฮั่น เจ้าไม่รู้หรือว่ามือตนเองสกปรก!” หุนต๋าเอ๋อร์งอเข่ากดหน้าอกเฮ่อหลันเฟิง ชกเขาหนึ่งหมัด “เจ้ากล้าแตะต้องศรจินเหอของข้า!”

เฮ่อหลันเฟิงถูกมัดตากแดดกับเสาไม้ทั้งวันจึงอ่อนแรงอย่างยิ่ง บนหลังยังมีเลือดไหล ทั้งยังถูกหุนต๋าเอ๋อร์ต่อยจนงุนงง เขาจึงไร้เรี่ยวแรงจะสวนกลับอย่างสิ้นเชิง

ด้านหลังห่างออกไปไม่ไกลมีลำธารสายหนึ่ง หุนต๋าเอ๋อร์จิกผมเฮ่อหลันเฟิงกระแทกเขากับริมลำธาร หลังศีรษะเด็กหนุ่มดังวิ้ง ขณะล้มลงพื้นยังกระแทกกับเปลือกน้ำแข็งบางๆ บนลำธาร น้ำแข็งกับน้ำเย็นเฉียบเปียกชุ่มไปครึ่งศีรษะ เขาพลันได้สติทันที

มือหนึ่งของหุนต๋าเอ๋อร์ถือศรจินเหอ ส่วนอีกมือหนึ่งกดหน้าผากเฮ่อหลันเฟิง ศรจินเหอส่งเสียง ‘กริ๊ก’ แผ่วเบา จะงอยปากนกกระจอกทองตรงปลายแหลมของลูกธนูเปิดออกเป็นช่องเล็กๆ เห็นของเหลวสีเขียวที่บรรจุอยู่ข้างในได้เลือนราง

“มารดาชาวฮั่นของเจ้าเป็นคนตาบอด จะให้กำเนิดลูกที่มีดวงตาเหมือนหมาป่าอย่างเจ้าได้อย่างไร” หุนต๋าเอ๋อร์คลี่ยิ้มเย็นชา “วันนี้ข้าหุนต๋าเอ๋อร์จะลองดูซิว่าดวงตาหมาป่าของเจ้านั้นร้ายกาจ หรือศรจินเหอของเป่ยหรงเทียนจวินที่ร้ายกาจ!” กล่าวจบเขาก็จับศรจินเหอจ่อที่ดวงตาเฮ่อหลันเฟิง

เฮ่อหลันเฟิงร้องคำราม พยายามดิ้นสู้สุดชีวิต ทว่าจนใจเมื่อปลายแหลมของศรจินเหอกดต่ำลงมาทุกขณะจวนจะเสียบเข้ามาในดวงตาเขาอยู่รอมร่อ…

เคร้ง!

หุนต๋าเอ๋อร์พลันกลิ้งลงจากร่างเฮ่อหลันเฟิง มือซ้ายบีบมือขวาแน่น เขาร้องไห้พลางกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ศรจินเหอลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะม้วนตลบตกลงไปในลำธารทันที

เป็นลูกธนูไม้ดอกหนึ่งที่ยิงถูกหัวศรจินเหอ ดีดหัวศรซึ่งทำด้วยทองคำบริสุทธิ์จนกระเด็น แรงดีดที่เหลือถึงกับทำให้กระดูกข้อมือขวาของหุนต๋าเอ๋อร์เคลื่อน หลังยิงเข้าเป้าลูกธนูไม้ก็ปักลึกลงดิน เหลือเพียงปีกลูกธนูยังคงสั่นเบาๆ

มีขบวนรถม้าคดเคี้ยวยาวเหยียดอยู่ที่ด้านปลายน้ำของลำธารน้ำแข็ง สตรีสวมเสื้อเกราะทั้งร่างกำลังเก็บคันธนูยาวในมือ ในแววตาสงบนิ่งแฝงด้วยความโกรธเคือง นางมองเฮ่อหลันเฟิง แล้วก็มองกลับไปทางหุนต๋าเอ๋อร์ผู้เจ็บจนร้องโหยหวนไม่หยุด

เด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งอายุไล่เลี่ยกับเฮ่อหลันเฟิงยืนอยู่ข้างนาง ร่างกายซูบผอม ดูอ่อนแอ เขาแต่งกายแบบชาวฮั่นต้าอวี่ บนตัวคลุมมิดชิดด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวราวหิมะ หมวกเสื้อคลุมดึงมาปกปิดศีรษะ เห็นเพียงเค้าหน้าขาวเนียน ดวงตาประหนึ่งมุกสีนิลทอดมองมาทางเฮ่อหลันเฟิงจากไกลๆ

ท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน ใบหน้าหนึ่งแจ่มชัดเต็มสายตาเฮ่อหลันเฟิง

เขาเก็บศรจินเหอขึ้นมา พิษกระเพื่อมในน้ำถูกทำให้เจือจางลงโดยสมบูรณ์ สีเขียวจางหลายสายไหลลงไปตามสายน้ำ

ชายร่างใหญ่เผ่าเป่ยหรงผู้หนึ่งเดินออกมาจากขบวนรถมองศรจินเหอในมือเฮ่อหลันเฟิง จากนั้นก็มองหุนต๋าเอ๋อร์ผู้ยังคงคุกเข่าร้องโหยหวนอยู่กับพื้น ทันใดนั้นก็โกรธเกรี้ยว

“หุนต๋าเอ๋อร์!!!”

 

นี่คือขบวนรถคุ้มกันจิ้นเยวี่ยผู้เป็นองค์ประกันต้าอวี่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของเป่ยหรง ขณะพักผ่อนอยู่ตรงเนินเขา ไป๋หนีแม่ทัพผู้ติดตามคุ้มกันองค์ประกันบังเอิญเห็นเด็กหนุ่มถูกเหยียดหยามจึงรีบลงมือช่วยเหลือ บังเอิญยิ่งที่หุนต๋าเอ๋อร์เป็นบุตรชายของแม่ทัพหู่ผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์เป่ยหรง

เฮ่อหลันเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่ในรถม้า ตลบม่านรถมองไปด้านนอก หุนต๋าเอ๋อร์คุกเข่าไหล่สั่นอยู่ตรงหน้าบิดา แม่ทัพหู่โบกศรจินเหอ ท่าทางดุร้ายประหนึ่งจะแทงร่างเขาให้เป็นรูพรุน

“เจ้ากล้าดีอย่างไร!” แม่ทัพหู่คำราม “เจ้ากล้าแตะต้องศรจินเหอของข้าได้อย่างไร!”

หุนต๋าเอ๋อร์ร้องไห้โฮ

เฮ่อหลันเฟิงอดกลั้นไม่ไหวจึงหัวเราะลั่น การหัวเราะนี้ดึงรั้งแผลตรงใบหูกับแผ่นหลัง ฉับพลันเขาก็เจ็บจนแยกเขี้ยวยิงฟัน ย่นคอทันที เสื้อท่อนบนกับกางเกงชั้นนอกของเขาล้วนถูกพวกหุนต๋าเอ๋อร์ถอดออก เขาสวมเพียงกางเกงตัวในสีขาวกับรองเท้าหุ้มข้อหนังเสือ ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นกล้ามเนื้อบางสวย ทว่าบนแผ่นหลังกลับปริแตกเป็นรอยแส้สีเลือด การแต่งกายของเฮ่อหลันเฟิงต่างไปจากชนชั้นสูงร่ำรวยอย่างพวกหุนต๋าเอ๋อร์ บนเอวที่รัดด้วยเข็มขัดซึ่งถักมือแบบหยาบๆ มีมีดเล่มเล็กแกว่งไกวอยู่

จิ้นเยวี่ยพิจารณาเฮ่อหลันเฟิง แล้วเอ่ยเสียงเบา “หลังเจ้ามีเลือดไหล”

ไป๋หนีค้นยาจินช่วงซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาบาดแผลที่เกิดจากอาวุธโดยเฉพาะออกมา พูดกับเด็กหนุ่ม “หมอบลง”

เฮ่อหลันเฟิงไม่ยินยอมแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเด็กหนุ่มแปลกหน้า เขาจึงเบือนหน้า “ข้าไม่เจ็บ ข้าไม่ต้องการยาประหลาดนี่…” เพิ่งขาดคำ หญิงสาวก็กดไหล่เขาและใส่ยาให้โดยไม่ยอมฟังคำอธิบายใดๆ

แรงมือของนางไม่เบา เฮ่อหลันเฟิงเจ็บจนตัวสั่น ดิ้นก็ไม่หลุด อีกทั้งยังไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเด็กหนุ่มแปลกหน้าจึงได้แต่ขบกรามแน่นไม่ร้องออกมา

มือจิ้นเยวี่ยกุมเตาน้ำร้อน* นิ่งอึ้งมองเฮ่อหลันเฟิงที่หน้าตาเหยเกเนิ่นนานคล้ายจะทอดถอนใจ ในคำพูดมีความสุขุมอันไม่เข้ากับอายุหลายส่วน

“พวกเราถึงที่ใดแล้ว” เขาถามเสียงเบา

“ภายในเขตของเผ่าเยี่ยไถ” ไป๋หนีขานตอบ “เยี่ยไถเป็นเผ่าทางใต้สุดของเป่ยหรง จากตรงนี้ห่างจากเป่ยตูเป็นระยะทางครึ่งเดือน”

ภายในรถเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง เฮ่อหลันเฟิงกลอกตาลอบชำเลืองมองจิ้นเยวี่ย

นิ้วมือจิ้นเยวี่ยเลิกมุมหนึ่งของม่านหน้าต่าง เขามองออกไปนอกรถเงียบๆ ทั้งท้องฟ้า ผืนดิน และกระโจม ละอองหิมะโปรยปรายกระจัดกระจาย ม่านตาสีดำของเด็กหนุ่มสะท้อนภาพปุยหิมะที่ปลิวว่อน หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ผินหน้ามองเฮ่อหลันเฟิงแล้วเอ่ยถาม “เสื้อผ้าเจ้าเล่า ไม่หนาวหรือ”

ใบหูเฮ่อหลันเฟิงร้อนผ่าวเล็กน้อย คล้ายเพิ่งตระหนักได้ว่ายามนี้ตนเองไร้เสื้อคลุมกายช่างน่าอับอายยิ่ง จึงทำทีไม่สนใจคำถามของจิ้นเยวี่ย โต้กลับอย่างดุร้ายไปหนึ่งประโยค “ทาเสร็จหรือยัง ข้าจะไปแล้ว”

ไป๋หนีหัวเราะพรืด “ไปเถอะ”

เห็นเฮ่อหลันเฟิงยังคงทำหน้าตาดื้อรั้นดุดัน จิ้นเยวี่ยจึงไม่ถามสิ่งใดอีก เขาปลดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกบนร่างยื่นส่งให้เด็กหนุ่มแปลกหน้า

“แดนเหนืออากาศหนาวเย็น” เขาเอ่ยอย่างแผ่วเบา “เจ้าตัวเปลือยเปล่าจะกลับบ้านอย่างไร สวมไว้เถิด อุ่นมากขึ้นหนึ่งเค่อ** ก็คือหนึ่งเค่อ”

เสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวสะอาดนุ่มลื่น ทว่าเฮ่อหลันเฟิงกลับไม่รับ

จิ้นเยวี่ยเอ่ยอย่างจริงใจที่สุด “หากเจ้าไม่ชอบ ข้ายังมีเสื้อคลุมหนังหมีอีกตัว”

ทว่าไป๋หนีกลับไม่ยินยอม “คุณชาย เมืองหลวงเป่ยหรงหนาวเย็นยิ่งนัก”

“พอข้าถึงเป่ยตูก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวตามอิสระได้อีก ตลอดทั้งวันได้แต่อุดอู้ในห้องเล็กๆ เท่านั้น” จิ้นเยวี่ยดึงดัน “เขาต้องการมันมากกว่าข้า”

ทันใดนั้นเฮ่อหลันเฟิงก็แย่งเสื้อคลุมขนจิ้งจอกไป ก่อนจะกระโดดออกจากรถโดยไร้ซึ่งคำขอบคุณและคำบอกลา ยามที่ไป๋หนีเลิกม่านรถขึ้นนั้นเด็กหนุ่มก็วิ่งไปไกลลิบเสียแล้ว

แม่ทัพหู่ตะโกนเสียงดังให้พวกหุนต๋าเอ๋อร์ไปส่งเฮ่อหลันเฟิงจนถึงบ้าน เด็กหนุ่มหนึ่งกลุ่มร้องตะโกนโหวกเหวก ขี่ม้าจากไปไกล ในสายลมแว่วเสียงด่าทอกันระหว่างเฮ่อหลันเฟิงกับหุนต๋าเอ๋อร์ดังมาเลือนราง

“…ชาวเป่ยหรงเข้ากับผู้อื่นยากเช่นนี้หมดหรือ” จิ้นเยวี่ยถามเสียงเบา

ไป๋หนีนำเสื้อคลุมหนังหมีมาคลุมบนร่างเขา พร้อมทั้งจัดเส้นผมให้ “ข้ากลับรู้สึกว่าเด็กเป่ยหรงเมื่อครู่นี้หัวรั้นจนน่าสนใจ ได้ยินว่าชาวเป่ยหรงพูดจาโผงผาง ปิดบังไม่เก่ง ไฉนเขาถึงได้ดูแปลกพิกลเช่นนี้”

จิ้นเยวี่ยหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ยามอ้าปากอีกครั้งก็ใจลอยเล็กน้อย “ข้าได้ยินคนในวังบอกว่าเป็นองค์ประกันต้องสิ้นลมที่เป่ยหรง กลับไปไม่ได้แล้ว”

ไป๋หนีเอ่ยสวน “ผู้ใดกล่าว ข้าจะตัดลิ้นผู้นั้นเสีย”

จิ้นเยวี่ยเงยหน้ามองนาง อยากได้รับคำยืนยันมากกว่านี้ “ท่านพ่อจะมารับข้าจริงๆ หรือ”

หญิงสาวกล่าวเสียงอ่อนโยน “แม่ทัพจงเจา* เคยหลอกเจ้าเมื่อใด เวลานี้จินเชียงรุกรานชายแดน แม่ทัพนำทหารออกสู้รบ เป็นการสร้างคุณูปการให้แก่บ้านเมือง หลังได้รับชัยชนะกลับมารายงาน เขาจะต้องมารับเจ้าทันทีแน่นอน”

จิ้นเยวี่ยเคยได้ยินบิดากล่าวว่าเป่ยหรงกับจินเชียงเป็นเสือสองตัวซึ่งจ้องหาโอกาสอยู่ข้างๆ ยามใดที่อำนาจต้าอวี่อ่อนแอก็อันตรายยิ่ง เขาได้แต่พยักหน้าอย่างเงียบงัน

ไป๋หนีเตือนสติ “คำพูดและการกระทำของเจ้าล้วนเกี่ยวข้องกับเกียรติยศของต้าอวี่ หากคิดถึงบ้านก็แค่เอ่ยกับข้า แต่ห้ามร้องไห้อีก”

จิ้นเยวี่ยนั่งตัวตรง สองมือสอดอยู่ในแขนเสื้อ กล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่ทัพวางใจเถิด จิ้นเยวี่ยเข้าใจ”

เขาหน้าตางดงามหล่อเหลา เวลาไม่กล่าววาจาดูคล้ายรูปสลักหยกอันวิจิตรที่ถูกขัดเงา ทั้งสันจมูกโด่ง คิ้วยาวดุจดาบ ทว่าในแววตาไม่เห็นความอ่อนโยนแม้แต่น้อย

ไป๋หนีเห็นท่าทางเช่นนี้ของเด็กหนุ่มก็ปวดใจอยู่หลายส่วน นางล้วงห่อกระดาษออกจากอกเสื้อประหนึ่งเล่นกล “ที่ข้ายังมีลูกกวาดสิงโตที่ฟูเหริน*ให้พกติดมา จะกินหรือไม่”

ท้ายที่สุดจิ้นเยวี่ยก็อายุเพียงสิบห้าสิบหกปี เขาเบิกบานขึ้นทันที “ยังมีอิงเถา** เชื่อมหรือไม่”

ไป๋หนีเปิดห่อกระดาษ เผยให้เห็นลูกกวาดซึ่งปั้นเป็นทรงสิงโตตัวน้อยขณะตอบ “อิงเถาเชื่อมถูกเจ้ากินหมดไปเมื่อห้าวันก่อน ด้านในลูกกวาดสิงโตชิ้นนี้เติมนมวัวกับวุ้นนมเอาไว้ เป็นบรรณาการจากชวนจง*** ที่ฟูเหรินได้มาอย่างยากลำบาก”

จิ้นเยวี่ยแบ่งลูกกวาดสิงโตกินกับนาง “อิงเถาเชื่อมที่ท่านแม่ทำไม่รู้ใส่น้ำตาลอะไร อร่อยเป็นหนึ่งในใต้หล้าเลย”

ภายในรถอบอุ่นจนจิ้นเยวี่ยถึงกับหลงลืมเส้นทางโคลงเคลงกับหิมะด้านนอกซึ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเด็กหนุ่มชาวเป่ยหรงที่เมื่อครู่เขาไม่ได้ถามชื่อแซ่ก็ยังเลิกใส่ใจ กลับพูดคุยถึงเรื่องงานฝีมือต่างๆ ของมารดากับไป๋หนีอย่างร่าเริงมีความสุข

 

ขณะนี้ที่เมืองหลวงเป่ยหรงหิมะซึ่งตกหนักได้หยุดลงแล้ว ทั้งในและนอกเมืองศิลาเงียบสงัด เสียงคนเบาบาง มีเพียงเปลวไฟนิรันดร์บนหอสูงกลางวังหลวงซึ่งยังคงลุกไหม้ไม่ดับมอด

เซ่อลี่หลางจวิน**** ผู้รับผิดชอบส่งข่าวขี่ม้าพุ่งเข้าประตูเมืองพร้อมแสดงป้ายทองในมือ เป็นรายงานข่าวด่วนทางทหารซึ่งส่งมาจากชายแดน บนถนนหลักใจกลางเมืองหลวงพลันจุดควันดำหลายสาย เมื่อแต่ละด่านมองเห็นควันดำก็รู้ว่ามีรายงานด่วนทางทหารถ่ายทอดมา จึงพากันปล่อยให้ผ่านเข้าไป

นายกองซึ่งสวมเกราะเงินเป่ยหรงตามติดอยู่ด้านหลังเซ่อลี่หลางจวิน ห้อตะบึงม้าเข้าไปในเมืองประหนึ่งสายลม

ในโถงหารือราชการ มีขุนนางกำลังรายงานสถานการณ์ขององค์ประกันต้าอวี่กับเป่ยหรงเทียนจวิน “องค์ประกันเข้าสู่เขตเผ่าเยี่ยไถแล้ว ขณะนี้แม่ทัพหู่กำลังคุ้มกันพ่ะย่ะค่ะ”

“เป็นเด็กเช่นใด” เป่ยหรงเทียนจวินเอ่ยถาม “คล้ายจิ้นหมิงจ้าวหรือไม่”

เสนาบดีอดหัวเราะไม่ได้ “เด็กนั่นร่างกายเล็กจ้อย สุภาพเรียบร้อย ไม่คล้ายบิดาเขาเลยสักนิด”

เป่ยหรงเทียนจวินหัวเราะเสียงดังลั่นทันที ดวงตาเปล่งประกายหนาวเยือกเย็นชา “ในราชสำนักต้าอวี่ ไม่รู้กี่ร้อยปีถึงจะปรากฏแม่ทัพมากความสามารถเช่นจิ้นหมิงจ้าว!”

เวลานี้เองด้านล่างห้องโถงก็มีคนมารายงาน สารรายงานด่วนทางทหารมาถึงแล้ว นายกองสาวเท้าก้าวยาวๆ เข้ามาในโถงหารือราชการพร้อมส่งมอบจดหมายในมือ เป่ยหรงเทียนจวินกางออกดู ฉับพลันสีหน้าก็แปรเปลี่ยน หลังนิ่งงันเนิ่นนานก็ถอนหายใจยาว

“จิ้นหมิงจ้าว…” เขากล่าวเสียงเบาอย่างเคร่งขรึม “สิ้นชีพในการรบแล้ว”

หลังชั่วพริบตาอันเงียบสงัดที่กระทั่งเข็มตกยังได้ยินผ่านพ้นไป ในโถงหารือราชการก็มีเสียงดังอื้ออึง

จิ้นหมิงจ้าวแม่ทัพจงเจาแห่งต้าอวี่ เป็นแม่ทัพผู้องอาจห้าวหาญที่สุดตั้งแต่เริ่มรัชสมัยต้าอวี่ เขาบัญชาการกองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือมายี่สิบกว่าปี ไม่เคยรบแพ้สักสมรภูมิ สกัดจินเชียงไว้นอกด่านไป๋เชวี่ยตรงชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือได้มาตลอด

หลายปีก่อนกองทัพหลักของเป่ยหรงเคยจ้องหาโอกาสเคลื่อนไหว ฮ่องเต้ต้าอวี่รีบโยกย้ายจิ้นหมิงจ้าวซึ่งรักษาการณ์อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือมายังกองพลพิทักษ์ชายแดนเหนือ ชาวเป่ยหรงเคยตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้แก่แม่ทัพจงเจาผู้นี้อย่างราบคาบมาก่อน ท่ามกลางขุนนางและแม่ทัพของเป่ยหรง ผู้ซึ่งเคยเห็นจิ้นหมิงจ้าวมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่กระนั้นไม่ว่าผู้ใดล้วนเคยได้ยินนามของแม่ทัพผู้นี้ ข่าวการเสียชีวิตนี้มาอย่างกะทันหัน พาให้ผู้คนต่างตื่นตะลึง

“เสียชีวิตได้เช่นไร” เป่ยหรงเทียนจวินที่ได้สติกลับมาถามนายกองหนุ่มผู้นั้น

“จิ้นหมิงจ้าวสิ้นชีพที่ด่านไป๋เชวี่ย” นายกองผู้นั้นก้มหน้างุด “ถูกดาบแทงเข้าใส่ตรงอกซ้ายจนถึงแก่ชีวิต สิ้นใจทันทีในสนามรบ ทหารม้าคะนองเมฆาแปดพันนายใต้บังคับบัญชาจิ้นหมิงจ้าวไม่มีผู้ใดรอดกลับมา กองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือเสียชีวิตหลายหมื่น ด่านไป๋เชวี่ยใกล้จะรักษาไว้ไม่อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

หว่างคิ้วเป่ยหรงเทียนจวินฉายแววเสียดายอย่างยิ่ง เงียบงันอยู่นานถึงเอ่ยถาม “เจ้ามีนามว่าอะไร”

นายกองหนุ่มผู้นั้นรีบตอบ “เฮ่อหลันจินอิงแห่งค่ายเยี่ยไถพ่ะย่ะค่ะ!”

เป่ยหรงเทียนจวินกล่าวอย่างเฉยชา “จิ้นหมิงจ้าวสิ้นแล้ว ต้าอวี่ก็ไม่มีผู้ใดให้เป่ยหรงเราหวาดหวั่นอีกต่อไป ไม่ต้องรักษาสัญญาพันธมิตรผิงโจว* องค์ประกันผู้นั้นก็ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้อีก เฮ่อหลันจินอิง เจ้ากลับไปจัดการที่เยี่ยไถเสียเถิด”

บทที่ 2 เนื้อตากแห้ง

ในห้วงฝันเต็มไปด้วยหิมะมืดฟ้ามัวดิน จิ้นเยวี่ยหนาวจนสั่นสะท้าน ยามสะดุ้งตื่นจากฝันก็แทบจะขดตัวเป็นก้อนกลมในรถม้า

ด้านนอกรถมืดสนิท ไป๋หนีไม่อยู่ข้างกาย ขบวนรถรุดหน้าไปอย่างเชื่องช้าท่ามกลางพายุหิมะ ด้วยความหวาดกลัวเด็กหนุ่มจึงรีบผลักประตูไม้ฉลุร้องเรียกเสียงดัง “ไป๋หนี!”

ไป๋หนีอยู่บนหลังม้า ขานรับพลางควบม้าเข้ามาหา

เดิมทีขบวนรถตัดสินใจจะตั้งค่ายพักแรมอยู่ที่เดิม ทว่าพายุหิมะเปลี่ยนจากตกปรอยๆ เป็นโหมกระหน่ำ แม่ทัพหู่จึงแนะให้ไปหยุดพักที่ค่ายเยี่ยไถซึ่งอยู่ไม่ไกล รอหลังหิมะตกหนักผ่านพ้นค่อยมุ่งหน้าไปยังเป่ยตูต่อ

“ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่” ไป๋หนีกล่าว “แม่ทัพหู่จะพาพวกเราไปยังค่ายเยี่ยไถ อยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากนี้นัก”

จิ้นเยวี่ยหดตัวกลับเข้าไปในรถ ปิดประตูไม้ฉลุแน่น ท่ามกลางราตรีอันมืดมิดมีเสียงม้าร้องและเสียงสายลมหวีดหวิวค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในหู เขาไม่รู้สึกง่วงนอนจึงห่มเสื้อคลุมหนังหมีนั่งอยู่ในรถ อดหวนคิดเรื่องที่เหลียงจิงขึ้นมาไม่ได้

นับแต่แคว้นต้าอวี่สร้างราชวงศ์ตั้งเมืองหลวงที่เหลียงจิงก็เป็นเวลาแปดสิบกว่าปีแล้ว

จิ้นเยวี่ยเกิดที่เมืองเฟิงหูอันเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการกองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ครั้งเมื่ออายุหกเจ็ดขวบ ฮ่องเต้มีราชโองการเรียกตัวบังคับให้เขากับมารดากลับเหลียงจิง หลังจากนั้นเขาก็ไม่มีโอกาสได้เดินทางไกลอีกเลย

จิ้นเยวี่ยไม่ได้เป็นตัวประกันครั้งแรก ในอดีตเขากับมารดาต่างก็เป็นตัวประกันซึ่งบิดามอบเป็นหลักประกันต่อหน้าฮ่องเต้ บัดนี้เขาเป็นองค์ประกันที่ต้าอวี่มอบเป็นหลักประกันให้แก่เป่ยหรง ถึงอย่างไรก็มิได้แตกต่างกันมากนัก

เขาไม่ชอบวังหลวง

สมัยเยาว์วัยจิ้นเยวี่ยได้ติดตามบิดามารดาเข้าวังหลวงไปพบฮ่องเต้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ให้ฮ่องเต้ถามไถ่เรื่องการเรียน ให้ฮองเฮากับพระสนมบีบแก้ม ต่อให้ไม่มีความสุขก็ต้องยิ้มแย้มน่าเอ็นดู เนื่องจากบิดามีฐานะเป็นผู้บัญชาการกองพลพิทักษ์ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ อีกทั้งมารดายังเป็นองค์หญิงในฮ่องเต้องค์ก่อน ดังนั้นยามเหล่าขุนนางและขันทีเห็นจิ้นเยวี่ยต่างก็ยิ้มแย้มพากันเข้ามาห้อมล้อมเขาไว้เป็นกลุ่มก้อนราวกับดอกเบญจมาศยักษ์สีทอง ไมตรีจิตเช่นนั้นกลับทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง

คราแรกเหล่าองค์ชายองค์หญิงในวังหลวงนึกว่าจิ้นเยวี่ยจะคล้ายคลึงกับจิ้นหมิงจ้าว ร่างกายองอาจ อุปนิสัยแข็งกร้าว ทว่าต่อมากลับค้นพบว่าเขาอ่อนแอขี้โรค ไม่แตกฉานวิชายุทธ์ เป็นเด็กหัวทึบที่ปล่อยเวลาเหม่อมองดอกซานฉา* ซึ่งปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งได้นานเป็นครึ่งชั่วยาม**

พวกเขาจึงยิ่งชอบหยอกล้อจิ้นเยวี่ย บีบนวดใบหน้าน้อยๆ เหมือนคลึงแป้ง ของเล่นแปลกใหม่และของกินล้ำค่าในวังหลวงมักจะถูกส่งมายังจวนสกุลจิ้นประหนึ่งสายน้ำไหล

จวนสกุลจิ้นอยู่ภายในเมืองเหลียงจิง เมื่อออกจากวังทางประตูจูเชวี่ย มุ่งหน้าไปทางตะวันออกผ่านสะพานหมินโจวแล้วเดินไปทางใต้เป็นเวลาครึ่งถ้วยชา*** ก็จะเป็นย่านชิงซูหลี่ จวนสกุลจิ้นอยู่ตรงใจกลางย่านชิงซูหลี่ เป็นจวนไม่ใหญ่ไม่เล็กหลังหนึ่ง

จวนสกุลจิ้นมีลานฝึกยุทธ์ ยามจิ้นหมิงจ้าวไม่อยู่จวน ที่นั่นจะเป็นอาณาเขตของพี่สาวจิ้นเยวี่ย จวนสกุลจิ้นยังมีโถงศึกษา เชื้อเชิญอาจารย์สอนพิเศษตามจวนผู้มีชื่อเสียงในเหลียงจิงมาสอน ผู้เล่าเรียนต่างก็เป็นบุตรชายราชเลขา บุตรสาวผู้บัญชาการทหารสูงสุด บางครั้งยังมีองค์ชายองค์หญิงปลอมตัวปิดบังฐานะมาเรียนด้วยอีกคนสองคน

ขอเพียงอาจารย์สอนพิเศษกับองครักษ์เผลอ องค์ชายสองสามคนนี้ก็จะนำเด็กกลุ่มหนึ่งปีนกำแพงวิ่งมาถึงย่านชิงซูหลี่ กินดื่มเล่นสนุกก่อกวนไปตลอดทางจนแมวเกลียดสุนัขชิงชัง

แน่นอนว่าหากเกิดเรื่องผู้ที่ถูกลงโทษมักจะเป็นจิ้นเยวี่ย

กระนั้นจิ้นเยวี่ยกลับไม่โกรธอาจารย์สอนพิเศษตามจวนผู้นั้นแม้แต่น้อย แม้ชายชราจะดุ ทว่ารักเขายิ่ง ไม้เรียวฟาดบนฝ่ามือ วันรุ่งขึ้นก็จะนำของกินมาปลอบเขาเสมอ ไม่ซาลาเปาดอกเหมยกับขนมก่วงหาน* ก็ลูกพลัมดอง อิงเถาเชื่อม หรือแปะก๊วยคั่ว เกาลัดคั่ว ร้อนควันฉุยห่ออยู่ในผ้าเช็ดหน้า เปิดออกตรงหน้าจิ้นเยวี่ยอย่างทะนุถนอม

จิ้นเยวี่ยรู้สึกแสบจมูก จามหนึ่งที

ไป๋หนีเคาะหน้าต่าง “คุณชายหนาวหรือ”

“ไม่หนาว” เด็กหนุ่มหดตัวเข้าไปในผ้าห่มนุ่มนิ่มกับเสื้อคลุม “ข้าจะนอนอีกสักพัก ท่านไม่ต้องกังวล”

เขาไม่รู้ว่าตนเองหลับไปตั้งแต่เมื่อใด รถม้าส่ายโคลงเคลง จิ้นเยวี่ยกลับไปยังย่านชิงซูหลี่อีกครา พี่สาวผู้กลับมาเยี่ยมเยียนบ้านนำขนมมามากมาย พี่เขยแอบหิ้วน้ำบ๊วยผสมสุรา คู่แฝดชายหญิงจวนราชเลขาฟางซึ่งอยู่ข้างกันร้องเรียกเขาออกไปเล่นข้างนอกอยู่ตรงกำแพง สุนัขซึ่งพ่อบ้านเก็บมานอนหลับอยู่ใต้พุ่มดอกไม้ มารดาสะพายตะกร้าสานไม้ไผ่ใบน้อยไว้สอยผลไม้อยู่ในลานเรือน ส่วนบิดา…จิ้นเยวี่ยไม่ได้ฝันเห็นจิ้นหมิงจ้าว

เขาวิ่งออกจากประตูจวน กลับเห็นแต่ทุ่งกว้างเวิ้งว้าง ตรงที่ไกลแสนไกลมีร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ ร่างนั้นสวมเกราะเหล็กมือถือกระบี่ยาว ร้องเรียกเขาเสียงดัง

‘เยวี่ยเอ๋อร์!’

‘ท่านพ่อ!’ จิ้นเยวี่ยวิ่งถลาไปทางบิดา ทว่ากลับสะดุดหิมะล้มลง ‘ท่านพ่อ! ท่านมารับข้าหรือ!’

บิดากลับไม่ตอบ เพียงร้องเรียกเขาซ้ำๆ ทั้งเจ็บปวดและอาวรณ์ จิ้นเยวี่ยไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นหิมะ ได้แต่เปล่งเสียงร้องไห้โฮ

ยามตื่นมาครานี้เขาน้ำตาไหลอาบหน้า ขบวนรถหยุดลงแล้ว จิ้นเยวี่ยได้ยินด้านนอกมีเสียงผู้คนครึกครื้น แสงไฟวูบไหวผ่านไป เด็กหนุ่มเช็ดใบหน้าลวกๆ ทำใจให้กระปรี้กระเปร่า

นอกรถ กระโจมเกือบร้อยหลังตั้งเรียงรายอยู่บนทุ่งราบ แสงไฟสว่างไสว

 

ยามขบวนรถองค์ประกันต้าอวี่มาถึงค่ายเยี่ยไถ เฮ่อหลันเฟิงกำลังซักเสื้อคลุมขนจิ้งจอกอย่างเอาเป็นเอาตาย

หลังเขากลับบ้านและสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยถึงได้รู้ว่าด้านในเสื้อคลุมขนจิ้งจอกเปรอะเลือดของตนเอง จึงตั้งอกตั้งใจซักอยู่ครึ่งค่อนวัน รอยเลือดสีแดงจางๆ ยังคงติดแน่นอยู่บนชั้นผ้าด้านในสีเทาอ่อนของเสื้อคลุมขนจิ้งจอกอย่างยากจะซักออก

เสียงคนด้านนอกดึงความสนใจเฮ่อหลันเฟิง เมื่อเด็กหนุ่มออกจากกระโจมก็เห็นแม่ทัพหู่กวักมือเรียกตนเองทันที

แม่ทัพหู่กำลังหารือเรื่องการจัดเตรียมกระโจมที่พักกับไป๋หนี เขากวักมือเรียกเฮ่อหลันเฟิงมาพลางบอก “เจ้าเข้าใจภาษาฮั่นมาก ไปคุยเล่นเป็นเพื่อนเขาไป” ว่าพลางรุนหลังเด็กหนุ่มเข้าไปในกระโจมหลังเล็กด้านข้าง

ในกระโจมมีแค่จิ้นเยวี่ยผู้เดียว ท่ามกลางสายตาอาลัยอาวรณ์ จิ้นเยวี่ยมองเห็นในนัยน์ตาสีดำสนิทดุจหมึกของเฮ่อหลันเฟิงส่องประกายเหลือบเขียวเลือนรางราวกับนัยน์ตาหมาป่า

ทหารหลายนายเดินตามเข้ามา มีทั้งชาวเป่ยหรงและชาวต้าอวี่ พวกเขายืนตัวตรงเรียงแถวแยกกันอยู่สองฝั่ง จ้องทั้งจิ้นเยวี่ยทั้งเฮ่อหลันเฟิงเขม็ง

เห็นเฮ่อหลันเฟิงดูหงุดหงิดทั้งยังยืนตัวตรงแหน็ว จิ้นเยวี่ยก็อดถามไม่ได้ “กินลูกกวาดหรือไม่”

เขาหยิบห่อกระดาษออกจากอกเสื้อ ในนั้นยังเหลือลูกกวาดสิงโตอยู่สามชิ้น

เฮ่อหลันเฟิงลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้านทานกลิ่นหอมหวานของลูกกวาดไม่ไหว หยิบมาหนึ่งชิ้นอย่างระมัดระวัง ก้อนลูกกวาดสีขาวน้ำนมทรงสิงโตงามประณีตคล้ายอำพันอยู่หลายส่วน เขามองดูซ้ายขวา ก่อนจะเอาใส่ปาก พลันเบิกตากว้าง

จิ้นเยวี่ยแย้มยิ้มทันที “อร่อยล่ะสิ”

เฮ่อหลันเฟิงไม่เคยกินของดีเช่นนี้มาก่อน เขาอมพลางลิ้มรสอย่างละเมียดละไมด้วยความประหลาดใจ จิ้นเยวี่ยก้าวไปหาพลางส่งให้อีกครั้ง พยายามเป็นมิตรอย่างที่สุด “เจ้าเอาไปให้หมดเถิด”

เฮ่อหลันเฟิงฉีกกระดาษออกนำมาห่อลูกกวาดหนึ่งชิ้นใส่ในเสื้ออย่างระมัดระวัง แล้วยืนตัวตรงแหน็วอีกครั้ง

จิ้นเยวี่ยเพียงรู้สึกเบื่อหน่าย ลูกกวาดชิ้นสุดท้ายเขาก็เป็นผู้กินเสียเอง เครื่องเรือนด้านในกระโจมเรียบง่าย เป็นที่พักชั่วคราวของทหารที่อยู่เวร เขาเดินหนึ่งรอบก็กลับมาข้างเฮ่อหลันเฟิง “เจ้าชื่ออะไร”

เฮ่อหลันเฟิงบอก จิ้นเยวี่ยก็ถามเขาอีกว่าเขียนอย่างไร “ข้ารู้ตัวอักษรเป่ยหรงไม่มาก เจ้าเขียนอักษรฮั่นเป็นหรือไม่”

เฮ่อหลันเฟิงเขียนเบ้ๆ เบี้ยวๆ บนพื้น ตัวอักษรสามตัวแต่เขียนจนกว้างเท่าสี่ตัว เขียนเสร็จก็รีบร้อนใช้เท้าปัดทิ้ง ไม่ให้จิ้นเยวี่ยมองมากไป

“ข้าชื่อจิ้นเยวี่ย” จิ้นเยวี่ยเองก็เขียนตัวอักษรบนพื้น

เฮ่อหลันเฟิงไม่รู้จัก จึงเอ่ยถามห้วนๆ “หมายความว่าอย่างไร”

จิ้นเยวี่ยคลี่ยิ้มบอก “จันทร์กระจ่างลอยขึ้นเหนือเทือกเขาเทียนซาน กลางทะเลเมฆกว้างสุดสายตา”

เฮ่อหลันเฟิงตอบกลับ “ฟังไม่เข้าใจ”

จิ้นเยวี่ยยอมแพ้ ยิ่งแน่ใจกับความคิดที่ว่าชาวเป่ยหรงนั้นคบหายาก ทั้งสองยืนทื่อไร้วาจา ทหารหลายนายรอบๆ มองนิ่งเงียบงัน บรรยากาศในกระโจมอึดอัดน่าเบื่อหน่าย

เฮ่อหลันเฟิงไม่ยอมเอ่ยปาก จิ้นเยวี่ยเลยได้แต่ต้องเค้นสมองคิดหาหัวข้อสนทนามาผูกไมตรีกับเด็กหนุ่มชาวเป่ยหรงผู้นี้ “เจ้าเคยไปต้าอวี่หรือไม่”

เฮ่อหลันเฟิง “ข้าไม่ชอบต้าอวี่”

จิ้นเยวี่ยอยากมองตาเฮ่อหลันเฟิง ทว่าไม่กล้ามองอย่างโจ่งแจ้งนัก ฝืนสนทนากับเขาเพื่อหาเรื่องชวนคุย “เพราะเหตุใดเล่า”

เฮ่อหลันเฟิงไม่สนใจเขา เด็กหนุ่มก้าวยาวๆ ออกจากกระโจม หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็นำห่อผ้าขนาดเท่ากำปั้นกลับมายัดใส่อกจิ้นเยวี่ย

จิ้นเยวี่ยใจเต้น ในท้องว่างเปล่า

เขาได้กลิ่นเนื้อ!

“ชาวเป่ยหรงไม่ติดค้างชาวต้าอวี่ นี่คือเนื้อตากแห้งบ้านข้า กินเสีย”

จิ้นเยวี่ยหิวจริงๆ เนื้อตากแห้งสดใหม่อร่อยเนื้อแน่น แม้จะเคี้ยวจนปวดแก้มก็ยังคงกินอย่างแสนเบิกบาน เขาคลี่ยิ้มให้เฮ่อหลันเฟิงซึ่งรีบเบนสายตาหลบ

จิ้นเยวี่ยกินไปถามไป “เจ้าไม่ชอบชาวต้าอวี่?”

เฮ่อหลันเฟิงตอบ “ข้าเป็นชาวเป่ยหรง ชาวเป่ยหรงย่อมไม่ชอบชาวต้าอวี่”

ปากจิ้นเยวี่ยไม่หยุดเคี้ยว “แต่เจ้าเพิ่งจะกินลูกกวาดสิงโตของชาวต้าอวี่”

เฮ่อหลันเฟิง “…!”

จิ้นเยวี่ยเห็นสีหน้าเขาก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ เมื่อไป๋หนีเลิกกระโจมเดินเข้ามาก็นิ่งงันไปเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่

แม่ทัพหู่กับนางจัดเตรียมกระโจมที่พักของจิ้นเยวี่ยเรียบร้อยแล้ว เขาเลยจำต้องบอกลาเฮ่อหลันเฟิง ไป๋หนีถามเขาว่าหาสหายได้แล้วหรือไม่ เด็กหนุ่มครุ่นคิดหลายตลบจึงถามกลับ “นับด้วยหรือ”

ครู่เดียวเขาก็เอ่ยอีกว่า “พวกเราแค่พักอยู่ที่เยี่ยไถช่วงหนึ่งมิใช่หรือ สุดท้ายก็ต้องไปเป่ยตู จะหาสหายได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ”

เรื่องแปลกก็คือการหยุดพักนี้กลับหยุดถึงเจ็ดแปดวัน

หิมะตกหนักผ่านไปแล้ว ท้องนภาเป็นสีฟ้าคราม ไป๋หนีไปสอบถามแม่ทัพหู่หลายครั้ง แม่ทัพหู่เพียงบอกว่าหิมะสะสมปิดเส้นทาง ทำให้เดินทางยากลำบาก ยังต้องรออีกหลายวัน

ไป๋หนีค่อยๆ สังเกตเห็นความผิดปกติ ทหารต้าอวี่ผู้อารักขาอยู่ในกระโจมของจิ้นเยวี่ยยิ่งตึงเครียด คนเข้าออกล้วนตรวจสอบอย่างเข้มงวด จิ้นเยวี่ยยิ่งไม่อยู่ห่างจากสายตาไป๋หนีแม้แต่ครึ่งก้าว

ที่ราบฉือวั่งหยวนคือทุ่งหญ้าทางตอนใต้สุดของเป่ยหรง ถูกขนาบอยู่ระหว่างเทือกเขาสองลูกคือเทือกเขาคู่ตู๋หลินกับเทือกเขาอิงหลง สภาพอากาศไม่นับว่าหนาวเหน็บนัก ช่วงสิ้นปีแม่น้ำลำธารแข็งตัวเป็นแผ่นน้ำแข็งหนา ทว่าใต้ชั้นน้ำแข็งก็ยังคงมีสายน้ำไหลพร้อมกับปลาแหวกว่าย

หลังหิมะหยุดตก เด็กหนุ่มในเยี่ยไถไม่มีสิ่งใดให้ทำก็มักจะขี่ม้าไปยังที่ราบฉือวั่งหยวน ไม่ล่ากระต่าย ก็ตีคลี หรือตกปลาในแม่น้ำน้ำแข็งเล่นกันอย่างสนุกสนาน

เฮ่อหลันเฟิงไม่สามารถเข้าร่วมกับพวกเขาได้ หนึ่งเพราะเด็กหนุ่มมีความบาดหมางมากมายกับคนพวกนั้น สองเพราะเขาไม่มีม้า

บิดาเขาเป็นชาวเผ่าเกาซิน ร่อนเร่พเนจรจากอีกด้านของเทือกเขาคู่ตู๋หลินมายังเยี่ยไถ ระหว่างทางได้พบและพานักดนตรีสาวตาบอดชาวต้าอวี่นางหนึ่งร่วมทางมาด้วย แม้นักดนตรีสาวตามืดบอด ทว่าสันทัดการขับร้องเพลงยิ่ง ชาวเกาซินชำนาญการดักจับล่าสัตว์ ทั้งสองหยุดอยู่ที่เยี่ยไถยี่สิบกว่าปี หลังล่วงลับไปก็เหลือบุตรไว้สามคน แพะผอมแห้งฝูงหนึ่ง รวมทั้งบ้านซึ่งมีผนังสี่ด้าน

พี่ชายคนโตของเฮ่อหลันเฟิงปรารถนาจะเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่ยังเล็ก ทว่าผู้เข้าร่วมกองทัพเป่ยหรงต้องเตรียมม้ามาเอง เนื่องจากไม่มีม้าสำหรับขี่ เขาจึงไม่ถูกรับเลือกหลายครั้งหลายหน

เฮ่อหลันเฟิงกับพี่ชายคนโตล้วนถึงวัยที่สามารถพูดเรื่องแต่งงานได้แล้ว ทว่าด้วยบ้านยากจนข้นแค้นจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว อีกทั้งทั้งสองยังมีดวงตาหมาป่า สตรีดีๆ ของเยี่ยไถจึงล้วนไม่กล้ามาพบหน้า แม่ทัพหู่คิดจะเป็นพ่อสื่อให้พี่ชายคนโต พอเอ่ยชื่อผู้อื่นก็รีบกล่าวฉีกหน้าทันทีว่า ‘รู้ๆ ครอบครัวที่ไม่มีกระทั่งม้าสักตัวครอบครัวนั้น’

เฮ่อหลันเฟิงไม่มีวันบอกเรื่องราวเหล่านี้กับจิ้นเยวี่ย แม้เขาจะเตร็ดเตร่อยู่รอบกระโจมของเด็กหนุ่มชาวต้าอวี่บ่อยครั้ง ทว่าก็พูดคุยกับจิ้นเยวี่ยน้อยมาก

กระนั้นจิ้นเยวี่ยกลับคุยเล่นกับจั๋วจั๋วน้องสาวอายุเจ็ดแปดขวบของเขาอย่างมีความสุข

จั๋วจั๋วเคยชิมลูกกวาดสิงโตที่เฮ่อหลันเฟิงนำกลับบ้าน นางตัดใจกินจนหมดไม่ลง เวลาอยากกินก็จะหยิบออกมาเลียทีหนึ่ง จิ้นเยวี่ยเห็นแล้วปวดใจจึงมอบสาลี่ตากแห้งให้นางกำใหญ่ ด้วยเหตุนี้จั๋วจั๋วจึงรักบ้านรวมถึงอีกาบนบ้าน* วิ่งแจ้นมาพูดคุยกับเด็กหนุ่มชาวต้าอวี่ทุกวัน นางอายุยังน้อย ปากไม่มีหูรูด สะดวกให้จิ้นเยวี่ยสอบถามเรื่องราวเป็นอย่างยิ่ง

“ในบ้านพวกเรา ข้าสำคัญที่สุด” จั๋วจั๋วกินสาลี่ตากแห้งพลางเล่าไปด้วย “ถัดมาคือแพะ ถัดมาคือพี่ใหญ่ สุดท้ายถึงจะเป็นพี่รอง…”

เฮ่อหลันเฟิงปิดปากจั๋วจั๋ว

“ข้าไม่เคยเห็นพี่ใหญ่เจ้าเลย” จิ้นเยวี่ยพูด

“แม่ทัพหู่ให้ม้าเขาหนึ่งตัว เขาไปรบแล้ว!” จั๋วจั๋วดิ้นหลุดจากการปิดปากของเฮ่อหลันเฟิง ตอบเสียงดัง

จิ้นเยวี่ยตะลึงไปเล็กน้อย

ต้าอวี่กับเป่ยหรงสู้รบกันมาหลายสิบปี เนื่องจากเจ๋อเวิง เป่ยหรงเทียนจวินผู้สืบทอดตำแหน่งองค์ใหม่ยุ่งอยู่กับการปราบปรามความขัดแย้งระหว่างชนเผ่าต่างๆ ชายแดนระหว่างสองแคว้นจึงอยู่ในสภาวะสงบศึกชั่วคราว ก่อนหน้านี้ไม่นานเป่ยหรงกับต้าอวี่ได้ลงนามในสัญญาพันธมิตรที่เมืองผิงโจว ต้าอวี่ตัดเมืองสามแห่งให้เป่ยหรง ทุกปีจะมอบผ้าไหมสิบหมื่นเพื่อแลกเปลี่ยนกับเครื่องมือเหล็กและวิชาหลอมเหล็กจากเป่ยหรง อีกทั้งเพื่อแสดงความจริงใจ ต้าอวี่ยังได้ส่งองค์ประกันมายังเป่ยหรง

หมายความว่าเป่ยหรงกับจินเชียงเปิดศึกกันเช่นนั้นหรือ แต่จินเชียงกำลังคุมเชิงกับต้าอวี่อยู่ไม่ไกลด่านไป๋เชวี่ย น่าจะแบ่งความสนใจมารับมือกับเป่ยหรงไม่ได้

จิ้นเยวี่ยนำเรื่องนี้ไปบอกไป๋หนี หญิงสาวสีหน้าเป็นกังวลทว่ากลับไม่อธิบาย

“ต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันแน่ พวกเราถึงได้ถูกกักอยู่ที่นี่” ขุนนางหลายคนผู้ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตนเองโวยวายไม่หยุดอยู่ในกระโจมชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้า

ไป๋หนีกำชับจิ้นเยวี่ย “สหายชาวเป่ยหรงผู้นั้นของเจ้า หากไม่จำเป็น พยายามอย่าเข้าใกล้”

จิ้นเยวี่ยอธิบาย “เฮ่อหลันเฟิงไม่ชอบชาวต้าอวี่ และก็ไม่คิดจะเป็นสหายกับข้า”

“เช่นนั้นหรือ” ไป๋หนีจัดเสื้อผ้าให้เขา คลี่ยิ้มบอก “แต่เขามาหาเจ้าทุกวัน”

อีกด้านหนึ่งของค่าย เฮ่อหลันเฟิงกับจั๋วจั๋วมองเห็นอาชาเป่ยหรงสีดำคุ้นตาตัวหนึ่งตรงประตูกระโจมที่พักตน

จั๋วจั๋วเลิกม่านกระโจม “พี่ใหญ่!”

เฮ่อหลันจินอิงกำลังถอดชุดเกราะ ครู่เดียวก็ถูกจั๋วจั๋วโผเข้าใส่เต็มรัก เขาหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กางมือกอดนางไว้ในอ้อมแขน

“เหตุใดท่านกลับมาแล้วล่ะ! รบจบแล้วหรือ!” เฮ่อหลันเฟิงคว้าคอเสื้อเขาพลางกวาดมองซ้ายขวา “บาดเจ็บหรือไม่ สร้างความดีความชอบแล้วหรือไม่…เหตุใดท่านจึงแต่งตัวเช่นนี้เล่า”

ตอนเฮ่อหลันจินอิงจากบ้านไปร่วมรบเขาเป็นเพียงทหารธรรมดานายหนึ่งของกองทัพเป่ยหรง ไม่เจอกันหลายเดือน กลับสวมเกราะเหล็กสีเงินของนายกองเสียแล้ว

เฮ่อหลันจินอิงคลี่ยิ้มขยี้ผมเฮ่อหลันเฟิง “รบใกล้จบแล้ว ข้าล่วงหน้ากลับมาก่อน เพราะมีธุระบางอย่างต้องจัดการ”

เฮ่อหลันเฟิงตอบสนองว่องไวยิ่ง “เกี่ยวกับองค์ประกันต้าอวี่?”

 

* ต้าหวัง หมายถึงฮ่องเต้ หรือผู้มีความเป็นเลิศในด้านใดด้านหนึ่ง

** เทียนจวิน คือตำแหน่งจอมเทพผู้ปกครองสวรรค์ ในที่นี้หมายถึงฮ่องเต้ของเป่ยหรง

* เตาน้ำร้อน คือเครื่องใช้สำหรับให้ความอบอุ่น มักทำจากสำริด ดีบุก กระเบื้อง มีทรงกลมแบน ปากเล็ก ปิดด้วยฝาเกลียว เทน้ำร้อนใส่ไว้ด้านในสำหรับอุ่นมือ อุ่นเท้าหรืออุ่นเตียง

** เค่อ เป็นหน่วยนับเวลาของจีน 1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที

* แม่ทัพจงเจา หมายถึงแม่ทัพผู้ภักดี

* ฟูเหริน หรือฮูหยิน หมายถึงภรรยาเอก

** อิงเถา หมายถึงเชอร์รี่

*** ชวนจง หมายถึงพื้นที่ราบลุ่มตอนกลางของเสฉวน

**** เซ่อลี่หลางจวิน หมายถึงตำแหน่งผู้ส่งสารในสมัยราชวงศ์ซ่ง

*ผิงโจว ตั้งอยู่ในเขตหลิงหลิง เมืองหย่งโจว มณฑลหูหนาน เป็นจุดบรรจบของแม่น้ำเซียวและแม่น้ำเซียง

*ดอกซานฉา หมายถึงดอกแต้ฮวย หรือดอกชากุหลาบแดง เป็นไม้พุ่มมีดอก ดอกมีสีแดง ชมพู และสีขาว

**ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ เท่ากับ 2 ชั่วโมง ครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับ 1 ชั่วโมง

***ครึ่งถ้วยชา เป็นหน่วยนับเวลาของจีน หนึ่งถ้วยชาเท่ากับประมาณ 15 นาที

*ขนมก่วงหาน หรือเรียกอีกอย่างว่าขนมดอกกุ้ย เป็นขนมอบชนิดหนึ่ง ทำจากแป้ง งา น้ำผึ้ง และน้ำตาลดอกกุ้ยหรือดอกหอมหมื่นลี้

* รักบ้านรวมถึงอีกาบนบ้าน หมายถึงเมื่อรักใครแล้ว ต้องรักสิ่งที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นด้วย

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 5 ต.. 65

  

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: