X
    Categories: everYทดลองอ่านผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ

ทดลองอ่าน ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1 บทที่ 7-8 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง ผมเก็บคุณชายตกอับได้หนึ่งคนครับ เล่ม 1

ผู้เขียน : 木瓜黄 (มู่กวาหวง)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 七芒星 (Qi Mang Xing)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 7

คอยจนรถไฟออกไปแล้ว หลี่เจิ้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เอาไว้สำหรับนั่งพักผ่อน รู้สึกเหมือนฝันหนึ่งตื่น ก่อนจะได้สติตอนที่ลู่เหยียนเรียกเขา หลี่เจิ้นถามด้วยสีหน้ามึนงง “เหลือแค่เราสองคนแล้วเหรอ”

ลู่เหยียนมองหลี่เจิ้น เขาซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะตอบเพียง “อืม” คำเดียว

อันที่จริงเมื่อสองวันก่อนหลี่เจิ้นไม่ได้รู้สึกอะไร เขาไปสอนดนตรีให้เด็กนักเรียน กินอิ่มนอนหลับเป็นปกติ โดยไม่รู้ว่าบางครั้งความรู้สึกของคนเราก็มาช้า เขาทวนคำพูดเพื่อย้ำกับตัวเองว่า “นี่…เหลือแค่เราสองคนแล้วเหรอ”

“ไปเถอะ” ลู่เหยียนบอก “กลับกัน”

หลี่เจิ้นก้มศีรษะ ยกมือขึ้นลูบหน้า

ลู่เหยียนแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้านนอกอีกครั้ง ก่อนจะพูดครึ่งประโยคหลังออกมา “แวะไปดูที่หลุมหลบภัยหน่อย”

หลี่เจิ้น “?” ที่เขากำลังคิดคือเรื่องนี้งั้นเหรอ

ลู่เหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นเหตุเป็นผล “รับคนใหม่ไง”

นอกจากหลุมหลบภัยจะเป็นที่รวมตัวเพื่อซ้อมใหญ่ของวงใหญ่ทุกวงแล้ว ยังเป็นพื้นที่สำหรับทดสอบคนที่จะเข้ามาใหม่ด้วย อารมณ์เศร้าสลดของหลี่เจิ้นถูกลู่เหยียนทำลายจนกระเจิง

หลี่เจิ้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ “เมื่อกี้นายยังบอกว่าหวงซวี่กับต้าหมิงจะเป็นส่วนหนึ่งของ VENT ตลอดไป ที่พูดนั่นคือตอแหลเหรอ ฉันฟังจนเกือบร้องไห้ สุดท้ายคือพอเขาขึ้นรถไฟไปยังไม่ถึงสองนาทีนายก็จะรับคนใหม่แล้ว?!”

ลู่เหยียน “มีปัญหาหรือไง”

หลี่เจิ้น “…”

ลู่เหยียนแค่ล้อเล่น พอเห็นหลี่เจิ้นถูกยั่วจนของขึ้นแล้วเขาถึงบอกว่า “ล้อเล่นน่า หลุมหลบภัยไม่มีใครหรอก”

หลี่เจิ้นชกลู่เหยียนหนึ่งหมัด ก่อนจะลุกขึ้นตาม “ประเด็นคือตอนนี้ไม่มีคน ถ้ามีคน นายค่อยรีบไป”

ลู่เหยียนเดินนำหน้า พูดเสริมเหมือนเป็นเรื่องสำคัญ “จริง น่าเสียดาย”

ลู่เหยียนไม่ได้ใช้คำพูดปลอบใจอะไรมากนัก แต่หลี่เจิ้นกลับเข้าใจดีว่าลู่เหยียนกำลังบอกว่าเลิกก้มหน้าเศร้าได้แล้ว แค่ทำก็จบ

ความจริงแล้วลู่เหยียนหมายความว่าแบบนี้ด้วย

คือตอนนี้ยังหามือเบสกับมือกีตาร์มาแทนไม่ได้ง่ายๆ ตำแหน่งที่ขาดไปจึงมีอยู่สองตำแหน่ง

การจะหาคนที่เหมาะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้นั่งรออยู่ที่หลุมหลบภัยทุกวันก็บอกไม่ได้ว่าจะเจอเมื่อไหร่ ด้วยเหตุนี้เทียบกับเรื่องการรับคนใหม่ ลู่เหยียนคิดไปถึงเรื่องการหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากกว่า

…คนเราต้องกินต้องใช้นะ

“นี่” ช่วงที่รอรถลู่เหยียนใช้ศอกกระทุ้งหลี่เจิ้น “ถามอะไรอย่างสิ”

หลี่เจิ้นหยิบบุหรี่ซองหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้ลู่เหยียน “อะไร”

ทั้งคู่นั่งยองๆ สูบบุหรี่กันอยู่ที่ปากทางเชื่อมไปยังถนนใหญ่

ลู่เหยียนอัดควันเข้าไปหนึ่งครั้ง “นายมีงานอะไรไหม”

หลี่เจิ้นเริ่มค้นข้อมูลในสมองของตัวเอง “นายถามถึงเรื่องงาน? ขอฉันคิดก่อนนะ…”

ลู่เหยียนพุ่งเข้าประเด็นแบบไม่เกรงใจ ตอนเขาอัดควัน ที่ปากมีควันขาว แต่คำที่พูดออกมากลับไม่อ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย “นายสอนกลองอยู่ที่ร้านขายเครื่องดนตรีไม่ใช่เหรอ ฉันรู้สึกว่างานนายใช้ได้นะ นายแนะนำฉันให้เถ้าแก่หน่อยได้ไหม”

หลี่เจิ้น “นายจะสอนอะไร กีตาร์เหรอ”

“อืม” ลู่เหยียนพูดพลางเอียงหน้าครุ่นคิดอย่างจริงจัง “เบสฉันก็ได้”

หลี่เจิ้น “…”

หลี่เจิ้นอัดควันเข้าปอดลึกๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วบอกลา “รถฉันมาแล้ว ฉันไปก่อนนะ”

ในเมื่อพึ่งพี่น้องไม่ได้ ลู่เหยียนย่อมต้องอาศัยลำแข้งของตัวเอง

เขาถอนหายใจ ขณะคิดวางแผนหางานพาร์ตไทม์ระยะสั้นเพื่อเติมกระเป๋าที่ว่างเปล่าก่อน

 

ข้อมูลล่าสุดในเว็บไซต์งานพาร์ตไทม์ในเมืองซย่าจิงที่ลู่เหยียนรวบรวมไว้สองสามแห่งมีจำนวนไม่มาก เมื่อขึ้นรถลู่เหยียนก็คอยมองดูตลอดทาง งานพาร์ตไทม์ยังหาไม่ได้ แต่เขาได้รับข้อความไต่ถามสารทุกข์สุขดิบเป็นกระบุง

เรื่องดีไม่มีทางลอดออกนอกบ้าน แต่เรื่องร้ายลือกันไปไกลถึงพันลี้

คนแรกที่ส่งข้อความมาคือวงที่เป็นพี่น้องกัน…วงแบล็กพีชที่ชอบแข่งกับพวกเขาในหลุมหลบภัยว่าเสียงใครแข็งแรงกว่า มือเบสชื่อไต้สู่

 

[ไต้สู่] วงพวกนายแตกแล้วเหรอ

[ไต้สู่] แตกแล้ว?

[ไต้สู่] แตกจริงอะ?

 

ลู่เหยียนตอบ

 

[ลู่เหยียน] แตกอะไร เขาเรียกฟอร์มทีมใหม่ต่างหาก ไม่ต้องห่วง พ่อนายยังเป็นพ่อนายอยู่

[ไต้สู่] หึๆ

 

ไต้สู่หัวเราะหึๆ เสร็จแล้ว ในใจก็รู้สึกสงสาร เขาเป็นคนจิตใจดีเลยส่งมาอีกหนึ่งประโยค

 

[ไต้สู่] บางเรื่องต้องสุดแท้แต่วาสนา อย่าเสียใจมากเกินไปล่ะ

 

ลู่เหยียนมองออกไปนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง นิ้วแตะจอมือถือ พิมพ์แบบไม่ได้ใส่ใจ

 

[ลู่เหยียน] ไต้สู่อ่า

[ไต้สู่] ?

[ลู่เหยียน] สนใจมาอยู่วงเราไหม

[ไต้สู่]

[ลู่เหยียน] ฉันรู้สึกว่านายมีวาสนากับวง VENT ของเรานะ

[ไต้สู่]

 

เพราะนิ้วของลู่เหยียนเรียวยาว เวลาพิมพ์ข้อนิ้วจึงงอ ทั้งยังตัดเล็บสะอาดสะอ้านอย่างดี…นิ้วของลู่เหยียนยาวจริง คำกล่าวของหวงซวี่ที่จากไปนั้นมาจากความรู้สึกของเขาจริงๆ ในฐานะมือกีตาร์ของวง ต่อให้เขาอยากจะอิจฉาคุณสมบัตินี้ก็อิจฉาไม่ไหว เนื่องจากหวงซวี่ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมลู่เหยียนถึงเล่นกีตาร์ห่วย แค่เรื่องนี้มันก็เกินไปแล้ว!

 

[ลู่เหยียน] เรากำลังขาดคนที่มีฝันและมีความสามารถแบบนาย วงนายไม่ได้ออกเพลงใหม่มานานแค่ไหนแล้ว ฉันมีเดโมเพลงใหม่อยู่หนึ่งเพลง มาหาฉันสิ จะได้แสดงศักยภาพของนายออกมา

 

[ไต้สู่ ยกเลิกการเป็นเพื่อนกับคุณ คุณยังไม่ได้เป็นเพื่อนกับไอดีนี้]

 

คนที่สองที่ส่งข้อความมาคือหัวหน้าวงแบล็กพีช

พอหัวหน้ามาปุ๊บก็ระเบิดมาเป็นชุด

 

[หัวหน้า] ลู่เหยียน! นายหมายความว่ายังไง ทำได้แม้กระทั่งแย่งชิงคนของคนอื่น นายยังมีศักดิ์ศรีอยู่หรือเปล่า!

 

เมื่อเผชิญหน้ากับโทสะของหัวหน้าวงแบล็กพีช ลู่เหยียนจึงตอบกลับไปแบบละมุนละม่อม

 

[ลู่เหยียน] เอาน่า หรือไม่…นายมาอยู่กับฉันไหม

[หัวหน้า]

[ลู่เหยียน] ฉันจำได้ว่านายเล่นกีตาร์ได้เข้าขากันดี ถึงฝีมือจะยังไม่เข้าขั้น แต่ถ้าขยันฝึกหน่อยก็อัพเลเวลขึ้นได้ หรือไม่ก็เลิกตีกลองเถอะ มาอยู่กับฉัน เราจะได้ทำเพลงออกมาด้วยกัน

 

สิ่งที่ตอบกลับลู่เหยียนคือการใส่ระเบิดมาเป็นชุด

ผู้ชายไม้ขีดไฟ* หนึ่งคนถูกผู้ชายไม้ขีดไฟอีกคนควงไว้ในมือหลายต่อหลายรอบก่อนหมุนติ้วออกไปอย่างแรง

[หัวหน้า] ฉันต้องเป็นบ้าก่อนถึงจะไปหานาย

 

ลู่เหยียนพิงหน้าต่างรถ ยิ้มอยู่นาน สุดท้ายเขาก็ส่งข้อความไปอีกหนึ่งประโยค

 

[ลู่เหยียน] ไม่เป็นไรจริงๆ ขอบใจนะ พี่น้อง

 

รถเมล์เลี้ยวออกจากย่านที่มีการจราจรคับคั่ง ขับเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปทางใต้ สู้แสงแดดจ้า มุ่งหน้าไปยังป้ายต่อไป

 

เวลานี้ลู่เหยียนเคยชินกับการมองไปที่ห้องหกศูนย์หนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก่อนจะเปิดประตูห้องตัวเอง แต่ผู้หญิงที่อยู่ห้องหกศูนย์หนึ่งนั้นไม่ค่อยอยู่บ้าน สังเกตได้จากประตูที่ปิดสนิท อีกทั้งยังไม่เจอคนที่อาศัยอยู่ในห้องนั้น

การทะเลาะเบาะแว้งที่หน้าประตูครั้งนั้นฝังใจเขาเอามากๆ

คำว่ากะหรี่นี้แค่คิดถึงก็ยังแสบแก้วหู

ลู่เหยียนหันหน้ากลับมาที่ประตูห้องตัวเอง เลิกคิดถึงเรื่องนี้ ก่อนจะสอดกุญแจเข้าไปในรูกุญแจ

เขาเปิดประตู

คอยจนเขากลับเข้าห้องไปเสิร์ชหางานทำในเว็บไซต์งานพาร์ตไทม์ ซึ่งเว็บไซต์งานพาร์ตไทม์ในเมืองซย่าจิงขณะที่เขากำลังค้นหาอยู่นี้ก็มีข้อมูลอัพเดตใหม่ขึ้นมาหลายงาน

ในจำนวนนั้นมีหนึ่งงานที่ดึงดูดความสนใจที่สุด

 

รับสมัครคนเข้าเรียนแทน หลายวันมานี้พี่น้องของฉันไม่ได้ไปมหาวิทยาลัย เพื่อให้เขาได้สนุกและสบายใจ ฉันเลยมาหาคนที่ชะตาต้องกันไปเข้าเรียนแทนที่มหาวิทยาลัย C คณะเศรษฐศาสตร์ วิชาหลักได้แก่เศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ การบริหารจัดการธุรกิจ การตลาด การเงินระหว่างประเทศ เป็นต้น…ราคาคุยกันได้

 

นี่เป็นแพลตฟอร์มงานพาร์ตไทม์ขนาดใหญ่ที่ได้รวบรวมงานสารพัดแบบเอาไว้ มีงานที่น่าทึ่งทุกแบบ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่เหยียนเห็นนักเรียนลงประกาศหาผู้ช่วย

 

โรงเรียนมัธยมต้น XX พิกัดป่าเล็กในโรงเรียน ต้องการคนสิบคน ในเมื่อกล้ามาแย่งแฟนสาวของฉัน ฉันก็จะให้มันรู้ว่าใครคือลูกผู้ชายตัวจริง!’

 

งานที่ลงประกาศในแพลตฟอร์มงานพาร์ตไทม์แบบนี้โดยทั่วไปมักจะเป็นการจ้างแบบรายวัน ถึงขอบข่ายงานจะกว้างแบบที่ไม่มีใครคาดถึง แต่การหาคนเข้าเรียนแบบนี้ก็ไม่ได้มีมาให้เห็นบ่อยนัก

สรุปคืองานเข้าเรียนแทนมันเย้ายวนใจมาก

เพราะไม่ต้องออกไปตากแดดตากลม แล้วยังได้เรียนวิชาที่ทั้งมีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ด้วย

นี่ยังไม่รวมการทำงานส่งในคลาส รายได้จากงานนี้พอปัดเศษห้าขึ้นก็มีค่าเท่ากับได้รับเงินเดือนเดือนหนึ่งให้ไปพักผ่อน ไม่ต้องทำงานอื่นเพิ่มอีก

ลู่เหยียนถอดเสื้อผ้าพลางย้อนกลับไปดูข้อมูลงานพาร์ตไทม์อีกหนึ่งรอบ สุดท้ายเขาก็หยุดอยู่ที่คำว่ามหาวิทยาลัย C

 

[LY] ติดต่อยังไงครับ

 

อีกฝ่ายตอบกลับมาไวมาก

 

[คู่สนทนา] นี่

 

ลู่เหยียนกำลังเปลือยท่อนบน เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมาไวขนาดนี้ เขาเพิ่งจะถอดเข็มขัด กางเกงยีนเกาะอยู่ที่เอวแบบจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรมาก เขารีบพิมพ์เพื่อเตรียมที่จะพรีเซนต์ตัวเองว่าผมเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ในโรงเรียนมาหลายปี มีความสนใจงานพาร์ตไทม์มาก…

พิมพ์ยังไม่ทันเสร็จ อีกฝ่ายก็ส่งข้อความมาหนึ่งประโยค

 

[คู่สนทนา] มีรูปถ่ายไหม

 

ขอดูรูปถ่ายงั้นเหรอ

ขอแปลกไปไหม

ลู่เหยียนโลดแล่นอยู่บนเว็บไซต์งานพาร์ตไทม์ในเมืองซย่าจิงมาหลายปี เคยทำงานมาทุกอย่าง แม้แต่ป่าเล็กแห่งนั้นเขาก็เคยไปสองครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีการขอรูปถ่าย

คู่สนทนาดูจะรู้อยู่เหมือนกันว่านี่ไม่ใช่คำขอที่ปกติเลยอธิบายต่อ

 

[คู่สนทนา] คืองี้ พี่ฉันหน้าตาหล่อมาก คนธรรมดามาแทนไม่ได้

[LY]

[คู่สนทนา] เฮ้อ ความหน้าตาดีก็เป็นความลำบากอย่างหนึ่งนะ

[คู่สนทนา] สรุปคือนายมีรูปถ่ายไหม ถ่ายมาให้ดูสักรูปได้ไหม

 

พิมพ์แบบนี้อย่าอธิบายเลยดีกว่า

ยิ่งอธิบาย ยิ่งพิลึก

ลู่เหยียนมีความรู้สึกว่าคนคนนี้ไม่ธรรมดา เลยตั้งใจจะค่อยๆ ถอนตัวออกไป แต่มือถือก็ดังติ๊ง แจ้งเตือนว่ามีข้อความจากคู่สนทนาเข้ามาว่า

 

[คู่สนทนา] คาบละสองร้อย ถ้านายว่าน้อยไปขอเพิ่มได้

[LY] รูปถ่ายใช่ไหมครับ

[LY] มีครับ

[LY] ผมถ่ายให้เดี๋ยวนี้

 

เขาตบหน้าตัวเองด้วยความรวดเร็ว

ลู่เหยียนไม่มีเวลาพอให้รู้สึกเจ็บหน้า พอเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เปิดกล้องหน้า ยกมือขึ้นเสยผม โชคดีที่เขาเพิ่งตัดผม

ไม่อย่างนั้นตอนถ่ายรูปเขาคงทำได้แค่โคลสอัพใบหน้า และคู่สนทนาอาจขอมาอีกว่าผมล่ะ ถ่ายทรงผมหน่อยสิ นายคงไม่ได้หัวล้านใช่ไหม ถ่ายข้างบนให้หน่อยสิ

แสงในห้องไม่ได้ดีมาก หลังจากลู่เหยียนเซลฟี่แล้วจึงต้องใส่ฟิลเตอร์ ตามปกติเวลาอยู่บนเวทีเขาจะโพสจนชิน พอหามุมได้ ลู่เหยียนก็กดแชะเป็นอันเสร็จ เขาส่งรูปไปให้คู่สนทนา

คาดว่าอีกฝ่ายคงคุยกับผู้สมัครหลายรายพร้อมกันจึงใช้เวลาถึงสองนาทีกว่าลู่เหยียนจะได้รับคำตอบ

 

[คู่สนทนา] เจ้าตัวมาเอง?

[LY] ครับ

[คู่สนทนา] โอเค!

[คู่สนทนา] ฉันจ้างนาย! เรามาแอดวีแชตกัน ฉันจะส่งตารางเรียนไปให้

[คู่สนทนา] กว่าจะได้คนนี่ไม่ง่ายเลย ฉันหาอยู่ตั้งหลายวัน!

 

ไม่รู้ทำไม ลู่เหยียนถึงได้รู้สึกถึงอารมณ์ดีใจจนอยากจะร้องไห้เมื่อได้อ่านข้อความของคู่สนทนา

หลังตกลงกันเรียบร้อย ทั้งคู่ก็แอดวีแชตกันเพื่อคุยรายละเอียดของคลาสที่ลู่เหยียนต้องไปเข้าเรียนแทน

ถึงจะส่งรูปถ่ายไปให้แล้ว แต่ลู่เหยียนยังคงรู้สึกกังวลว่าคนคนนี้อาจจะมีปัญหา เขาเลยเข้าไปดูใน Qzone* ของอีกฝ่าย และทันทีที่เข้าไปก็เห็นโพสต์ที่บอกว่า ‘พี่หังไม่มาเข้าคลาสวันที่ห้าแล้ว

พิกัดคือตึกของมหาวิทยาลัย C

ลู่เหยียนดูพิกัดมหาวิทยาลัย C แล้วมีความรู้สึกว่าดีลนี้น่าจะไม่ธรรมดา

 

[คู่สนทนา] [แนบรูป] นี่คือตารางเรียน

[คู่สนทนา] รหัสนักศึกษาคือ 12xxx44

 

ลู่เหยียนกดบันทึกตารางสอนกับรหัสนักศึกษา

ปฏิกิริยาอย่างแรกของเขาคือคนคนนี้…เกรดไม่ดีนิดหน่อย

ทั้งที่อยู่ปีสี่เทอมสองแล้ว แต่ยังมีวิชาที่ต้องซ้ำต้องซ่อมอยู่อีกหลายตัว

ติดเอฟจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว

 

[คู่สนทนา] จริงสิ วิทยาเขตของเราคือวิทยาเขตใต้ อย่าไปผิดล่ะ

 

มหาวิทยาลัย C มีพื้นที่กว้างมาก ต้องนั่งรถไฟใต้ดินไปถึงสองสถานี และมีการแบ่งวิทยาเขตออกเป็นหลายแห่ง…วิทยาเขตใต้

วิทยาเขตใต้

ลู่เหยียนย้ำอยู่ในใจสองรอบ

จะไปผิดได้ยังไง

นี่เป็นที่หนึ่งที่เขาเคยแวะเวียนไปในใจไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว ต่อให้เขาไม่วางแผนก็สามารถคำนวณเวลาตั้งแต่ออกเดินทางจากเขตซย่าเฉิงไปถึงที่นั่นได้

ลู่เหยียนถึงขั้นได้ยินเสียงของตัวเองเมื่อห้าปีก่อนดังขึ้นที่ข้างหู ‘ผมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย C คณะดุริยางคศาสตร์’

เสียงนั้นฟังดูคุ้นมากและก็แปลกหูมากเช่นกัน

ลู่เหยียนนึกหน้าตัวเองตอนพูดประโยคนี้ไม่ออกแล้ว แต่มันน่าจะขึงขังจริงจังจนครูประจำชั้นถึงกับต้องพูดกล่อมเขาเลยมั้ง ‘เกรดเธอถ้าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย C ค่อนข้างยากนะ ครูขอแนะนำให้เธอหาที่เรียนที่มันชัวร์หน่อยดีกว่านะ’

เขานึกภาพไม่ค่อยออกแล้วจริงๆ

ลู่เหยียนไม่มีเวลาให้คิดนานเนื่องจากคู่สนทนาแนะนำคนคนหนึ่งในวีแชตมาให้ ภาพโพรไฟล์ของคนคนนั้นเป็นสีดำ มีตัวหนังสือเขียนว่า ‘ไม่มีธุระอย่ามายุ่ง’

 

[คู่สนทนา] นายแอดพี่ฉันด้วย ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรจะได้ติดต่อกันได้สะดวก

[ลู่เหยียน] โอเคครับ เขาชื่ออะไร

 

ลู่เหยียนส่งคำขอเป็นเพื่อนให้กับคนที่มีรูปโพรไฟล์สีดำไป

ประมาณสิบวินาที ในเวลาเดียวกับที่คู่สนทนาบอกชื่อของคนคนนั้นมา รูปโพรไฟล์สีดำก็ตอบรับคำขอเขาเช่นกัน ห้องแชตของลู่เหยียนมีข้อความสองอันเด้งเข้ามาติดๆ กัน และข้อความหนึ่งเป็นคำเตือนจากระบบว่า

 

[คู่สนทนาปฏิเสธคำขอเป็นเพื่อนของคุณ]

 

ลู่เหยียน “…”

 

[คู่สนทนา] พี่ฉันชื่อเซียวหัง

 

บทที่ 8

ชื่อฟังดูไม่แย่

แต่นิสัย

ลู่เหยียนนึกถึงใครอีกคนที่แซ่เดียวกันกับคนที่เขารับงานเข้าเรียนแทน แต่เขาไม่รู้ว่าคนคนนั้นมีชื่อจริงว่าอะไร

คนแซ่เซียวต้องหยิ่งแบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ

การที่อีกฝ่ายปฏิเสธคำขอเป็นเพื่อนของลู่เหยียนทำเอาคู่สนทนาวางตัวไม่ถูกเอามากๆ เหมือนกัน เขาขอโทษรัวๆ

 

[คู่สนทนา] ฉันเบลอเอง ฉันลืมบอกเรื่องนี้ให้พี่รู้ นายคอยเดี๋ยวนะ โทษที

 

ตอนเซียวหังได้รับคำขอเป็นเพื่อน เขากำลังชงนมอยู่ในครัว ชายหนุ่มเคลื่อนไหวไม่สะดวกจนรู้สึกรำคาญ เนื่องจากบนตัวเขามีเป้อุ้มทารกอันหนึ่งทำให้บริเวณหน้าอกโป่งพอง ดูผิดปกติ

เซียวหังก้มมองเจ้าตัวที่ทำให้หน้าอกเขาโป่งพอง

แล้วก็เจอดวงตากลมโตใสแจ๋วคู่หนึ่ง

ดวงตาคู่นั้นโตมากเป็นพิเศษ คล้ายองุ่นดำสองเม็ด

ทารกน้อยอายุยังไม่ถึงสี่เดือน น่าจะกำลังหิว พอได้กลิ่นนมแต่ยังไม่ได้ดื่มสักทีเลยหลับตาแล้วเริ่มร้องไห้ “แว้…”

เขาร้องงอแงไม่หยุดราวกับถูกบิดเปิดก๊อก

น้ำเสียงของเซียวหังฟังดูไม่ดีเอามากๆ “จะร้องทำไม”

ทารกน้อยยังคงร้องอยู่

เซียวหัง “เลิกร้องได้แล้ว รำคาญ”

เสียงร้องยังไม่หยุด

เซียวหังสะกดความรู้สึกที่อยากโยนเด็กในอกทิ้ง เขานิ่วหน้าพลางหยดนมหนึ่งหยดลงบนหลังมือเพื่อทดสอบอุณหภูมิ พอทดสอบเสร็จถึงค่อยใส่จุก แล้วยัดเข้าปากทารก

จังหวะนี้เอง หน้าจอโทรศัพท์ที่เพิ่งดับไปก็สว่างขึ้น

 

[ชิวเซ่าเฟิง] พี่หัง!

[ชิวเซ่าเฟิง] พี่อย่ากดปฏิเสธเขาสิ นั่นมันคนเข้าเรียนแทนที่ผมหามาให้พี่นะ!

 

เซียวหังไม่รู้เลยว่าทำไมเรื่องเข้าเรียนแทนถึงมาโผล่ในต่างหน้าแชตตอนนี้ เดี๋ยวนี้ได้

เขาโทรกลับหาชิวเซ่าเฟิงทันที “เข้าเรียนแทนอะไร”

[ช่วงนี้ลูกพี่มีธุระยุ่งไม่ใช่เหรอ จ้วงจื้อเองก็ด้วย พวกพี่สองคนทิ้งผมไปเที่ยวที่ไหนล่ะ] ชิวเซ่าเฟิงพูดพลางแสดงน้ำใจของพี่น้องอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง [แต่ไม่เป็นไร ถึงพวกพี่จะทำแบบนี้กับผม แต่ผมไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย เพื่อให้พี่เที่ยวได้อย่างสนุกสบายใจ…]

ชิวเซ่าเฟิงพูดยังไม่ทันจบ เซียวหังก็บอก “ไม่ต้อง”

ชิวเซ่าเฟิง […]

เซียวหัง “ไปบอกยกเลิกเขาซะ”

[ไม่รู้สึกเหรอว่าพี่ทำแบบนี้มันเกินไป!] ชิวเซ่าเฟิงโมโห [เรื่องไปเที่ยวแล้วไม่พาผมไปด้วยยังพอว่า! แต่พี่ยังจะเหยียบย่ำน้ำใจของพี่น้องแบบนี้อีกเหรอ!]

เซียวหังพูดในใจว่าเที่ยวบ้าอะไรล่ะ

เขาอยู่บ้านเลี้ยงเด็กจนไม่ได้หลับได้นอนเลยต่างหาก

แต่เรื่องของเด็ก พูดไปแล้วก็วุ่นวายมาก เมื่อสองสามวันก่อน เจ้าหนูตี๋จ้วงจื้อโดนเขาดัดสันดานด้วยการให้ไปซื้อนมแค่นั้นก็ยุ่งพอแล้ว

แล้วจะให้เล่ายังไงอีก

จะให้เล่าว่าเซียวฉี่ซาน เดรัจฉานเฒ่าไปไข่เรี่ยราดข้างนอกจนได้น้องชายต่างแม่มาให้เขาหนึ่งคนเหรอ

แถมเด็กคนนี้ก็รู้ดี แค่เซียวหังป้อนนมเขาครั้งเดียวก็ไม่ยอมกินนมที่คนอื่นป้อนอีก

ชิวเซ่าเฟิงยิ่งพูดยิ่งเยอะ เซียวหังเลยตัดบท “ก็ได้ นายให้เขาแอดมาอีกรอบ”

เซียวหังกดตอบรับ รูปโพรไฟล์ในวีแชตของคู่สนทนาเป็นรูปกีตาร์หน้าตาประหลาดสีดำแดงตัวหนึ่ง

ชิวเซ่าเฟิง [คนนี้ ผมเฟ้นมาอย่างดีเพื่อให้เหมาะกับภาพลักษณ์ของพี่ เลือกอยู่สามวันสามคืนกว่าจะได้ แต่พี่กลับทำกับผมแบบนี้เหรอ]

เซียวหัง “ขอบใจ”

[เขาหล่อจริงนะ] ชิวเซ่าเฟิงเปลี่ยนเรื่อง [มีรูปด้วยนะ พี่อยากดูไหม]

“ไม่อยาก” เซียวหังถือขวดนม “ฉันดูเป็นคนที่สมองมีปัญหาหรือไง”

 

[ไม่มีธุระอย่ามายุ่ง] ฉันตอบรับคำขอเป็นเพื่อนของนายแล้ว ตอนนี้เราเริ่มแชตกันได้

 

ชื่อแบบพี่ชายอารมณ์ร้อนนี้ทำเอาคนพูดไม่ออกได้ง่ายๆ หลังได้รับการตอบรับ ลู่เหยียนก็รีบเปลี่ยนชื่อไอดีของอีกฝ่าย เขาไม่รู้ว่าจะส่งอะไรให้เลยพิมพ์ทักแบบมีมารยาทไปหนึ่งประโยค ‘สวัสดีครับ’

สุดท้ายคู่สนทนาก็ไม่ตอบ

ลู่เหยียนคิดแล้วส่งข้อความไปอีกสองสามข้อความ

 

[ลู่เหยียน] ผมมีประสบการณ์การทำงานพาร์ตไทม์มานานหลายปี

[ลู่เหยียน] ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ มีใจบริการแบบที่ให้ความสำคัญต่อลูกค้า มีความรับผิดชอบต่อการเข้าเรียนแทนเพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ใช้บริการ

[ลู่เหยียน] ทำเกรดดีเยี่ยม นำเสนองานยืนหนึ่ง

 

คราวนี้คู่สนทนาตอบ

แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือจุดหกจุด

 

[เซียวหัง] ……

 

คุยเรื่องเข้าเรียนแทนกันไปพอสมควรแล้ว ลู่เหยียนตั้งใจว่าจะถือโอกาสในช่วงบ่ายตอนที่ในตึกไม่มีใคร ฝึกเล่นกีตาร์แล้วตอนเย็นค่อยไปนัดดื่มกับพี่เว่ย เมื่อตัวเองบอกเขาว่าให้ไปดื่มกันคราวหน้า เวลาที่เจอกันทุกครั้งพี่เว่ยเลยเอาแต่บ่นว่าไอ้คราวหน้าของลู่เหยียนคือเมื่อไหร่

ตามปกติแล้วเวลาที่ทุกคนในตึกอยากรวมตัวกันจะขึ้นไปที่ดาดฟ้า คอยจนฟ้ามืดแล้วบนดาดฟ้าจะมีการกางโต๊ะพลาสติกตัวเล็กหนึ่งตัว

ลู่เหยียนแบกเบียร์ครึ่งลังขึ้นไปบนดาดฟ้า นอกจากพี่เว่ยแล้ว เขาเจอจางเสี่ยวฮุยอยู่ที่นั่นด้วย

“เป็นไง” ลู่เหยียนวางลังเบียร์ลง “เสี่ยวฮุย ปกตินายไม่ดื่มด้วยนี่”

จางเสี่ยวฮุยส่ายหน้า “อย่าพูดเลยพี่ หลายวันมานี้ผมโคตรซวย”

“กว่าจะได้บทพูดสองประโยคก็ไม่ง่าย ยังจะมาถูกตัวประกอบคนอื่นแย่งไปอีก…”

จางเสี่ยวฮุยไม่มีงานที่เป็นหลักเป็นฐาน

เขามีความฝันอยากเป็นนักแสดง ในทุกๆ วันจางเสี่ยวฮุยจะวิ่งรอกอยู่ตามโรงถ่ายใหญ่ๆ เริ่มต้นการแสดงจากบทซอมบี้จนออกหนังสือชื่อว่า ‘ด้วยการบำรุงดูแลตัวเองของซอมบี้’ ได้ จากนั้นเขาก็ได้แสดงเป็นตัวประกอบเล็กๆ ที่เริ่มมีบทพูด แต่จนถึงวันนี้บทพูดแต่ละบทของเขายังไม่เคยมีเกินหกคำ

“อยากแย่งก็แย่งไปสิ เพราะถึงยังไงในกองก็ยังขาดสาวใช้อยู่หนึ่งคน ผมเลยไปบอกผู้กำกับว่าผมเล่นเป็นผู้หญิงได้” จางเสี่ยวฮุยเงยหน้าขึ้นกรอกเบียร์เข้าปากหนึ่งอึก “…ผู้กำกับบอกว่าผมบ้า”

ลู่เหยียน “พยายามเข้าเจ้าหนู ถ้าทักษะการแสดงสามารถก้าวข้ามเรื่องเพศไปได้ ดูซิว่าผู้กำกับจะพูดยังไง”

จางเสี่ยวฮุย “ใช่เลย!”

พวกเขาดื่มเบียร์กันหมดไปสองสามกระป๋อง พี่เว่ยก็พูดเสียงอ้อแอ้ “เหยียนเหยียนร้องสักเพลงได้ปะ ไม่ได้ฟังนายร้องเพลงนานแล้ว กีตาร์ของนายล่ะ ไปเอามาเล่นหน่อยซิ”

ลู่เหยียน “โอเค ผมจะไปเอามาเดี๋ยวนี้”

จางเสี่ยวฮุยห้ามไม่อยู่ “ไม่ต้องกีตาร์หรอก พี่เว่ยดื่มเยอะเกินไปแล้วจริงๆ…”

ลู่เหยียนลงไปเอากีตาร์ขึ้นมา นิ้วกดสายกีตาร์ เขานึกถึงคำเตือนพร้อมน้ำหูน้ำตาของหวงซวี่ก่อนจากไป ‘พี่เล่นกีตาร์ได้กากจริงๆ แย่มาก’ ลู่เหยียนพลันคิดในใจในนาทีนั้นว่าตอนนี้รถไฟของพวกเขาคงไปถึงเมืองจิงโจวแล้ว

มือซ้ายของลู่เหยียนเปลี่ยนคอร์ด ก่อนจะเปลี่ยนเพลงกะทันหัน เสียงกีตาร์ตะกุกตะกักไหลออกมาตามร่องนิ้ว

เขาหลับตา รอจังหวะ แล้วจึงเปล่งเสียงร้อง

 

“But you’ll be alright now sugar

(เธอต้องดีขึ้นแน่นอน)

You’ll feel better tomorrow

(พรุ่งนี้เธอต้องดีขึ้นแน่นอน)

Come the morning light now baby

(พรุ่งนี้ท้องฟ้าจะเปิดเอง)

Don’t you cry

(อย่าร้องไห้เลยนะ)

Don’t you even cry

(อย่าร้องไห้อีกเลย)”*

 

เสียงร้องดังอยู่ในยามค่ำคืนอย่างนุ่มนวล

ลู่เหยียนไม่ได้ดื่มเยอะมาก ตามตารางเรียนที่คู่สนทนาส่งมาพรุ่งนี้แปดโมงเช้ามีคลาสเรียนหนึ่งคาบ

วิชาการเงินระหว่างประเทศ

 

จากเขตซย่าเฉิงไปมหาวิทยาลัย C ต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง ตอนเช้าลู่เหยียนคาบขนมปังพร้อมรื้อตู้เสื้อผ้า เขาพบว่าเสื้อผ้าของตัวเองส่วนใหญ่เป็นชุดสำหรับทำการแสดง มีลายดอกลายดวงทุกแบบ ทั้งแบบติดขน ห้อยโซ่เงิน…ลู่เหยียนค้นแล้วค้นอีกจนไปเจอกระโปรงหนึ่งตัวอยู่ด้านล่าง…เขาไม่มีอะไรให้ใส่ไปมหาวิทยาลัย

เสื้อยืดเป็นสิ่งที่ค่อนข้างเรียบง่าย แต่บนเสื้อยืดที่เขาหยิบติดมือออกมาสกรีนประโยคภาษาอังกฤษว่า ‘I will fuck you.’

เสื้อยืดตัวอื่นๆ ก็ไม่รอด

คนพเนจรอย่างลู่เหยียนได้เจอกับความท้าทายแรกในงานพาร์ตไทม์ของเขาแล้ว

สุดท้ายลู่เหยียนรื้อตู้เสื้อผ้าจนเจอเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวหนึ่ง ใส่คู่กับกางเกงยีน บวกกับผมที่เพิ่งตัดสั้นของเขา และบนตัวไม่ได้มีเครื่องประดับมากมายทำให้ลู่เหยียนดูเหมือนผู้เหมือนคนขึ้นมาบ้าง

ตอนลู่เหยียนไปถึงหน้ามหาวิทยาลัย C บังเอิญว่าเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมามหาวิทยาลัยพอดี

มหาวิทยาลัย C เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่อายุร้อยปี ตั้งอยู่ย่านศูนย์กลางการค้าของเมืองซย่าจิง เป็นความเงียบสงบท่ามกลางความอึกทึก

เมื่อมองจากประตูเข้าไปจะเห็นว่าหลังป้ายอักษรสีทองมีแนวร่มไม้เป็นทางยาว พวกนักศึกษาขี่จักรยานอยู่ในสวนของมหาวิทยาลัย เสียงกระดิ่งจักรยานกริ๊งกร๊างดังอยู่ตามถนนใต้เงาไม้

 

ห้องเรียนวิชาการเงินระหว่างประเทศเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ มีทั้งหมดสองสามร้อยที่นั่ง

ลู่เหยียนตั้งใจถ่ายรูปก่อนเดินเข้าไปด้านใน

และเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นภาพที่ถ่าย ณ ตอนนั้น เขาจึงชูสองนิ้วเข้าไปในเฟรมด้วย

 

[ลู่เหยียน] [แนบรูป]

[ลู่เหยียน] ถึงแล้วนะครับ

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เซียวหังถึงตอบ

 

[เซียวหัง] ไม่ต้องส่งให้ฉัน

 

ลู่เหยียนนั่งอยู่แถวท้ายสุดของห้องในวิชาการเงินระหว่างประเทศ เขาฟังศาสตราจารย์อาวุโสที่อยู่บนโพเดียมบรรยายเรื่องความสัมพันธ์ด้านการเงินกับสกุลเงินต่างประเทศ

อันที่จริงจะบรรยายเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะลู่เหยียนฟังไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว

ลู่เหยียนใช้มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ ส่วนมืออีกข้างพิมพ์ตอบ

 

[ลู่เหยียน] นี่คือความกระตือรือร้นในการทำงานของผมครับ

 

ผ่านไปครึ่งคาบ ศาสตราจารย์อาวุโสก็ปิดพาวเวอร์พ้อยต์

“ต่อไปให้ทุกคนหยิบกระดาษออกมา…อาจารย์จะไม่เช็กชื่อเพราะพวกคุณมีกันเยอะ เสียเวลา เวลาที่เหลือนี้ให้เขียนบทความสรุปเนื้อหาเกี่ยวกับคลาสนี้พร้อมเขียนชื่อกับรหัสนักศึกษา แล้วรวบรวมมาส่งอาจารย์ตอนเลิกเรียน”

ศาสตราจารย์อาวุโส “เลือกหัวข้อกันเอาเอง ให้มันเกี่ยวกับคลาสนี้”

มีการบ้านในคลาสด้วย

ลู่เหยียนคิดว่าเดี๋ยวเข้าอินเตอร์เน็ตไปก๊อปเอามาเขียนก็ได้

แต่ศาสตราจารย์อาวุโสบอก “ห้ามเข้าไปก๊อปในอินเตอร์เน็ต เพราะอาจารย์ดูแค่แวบเดียวก็ดูออกแล้ว ไม่ว่านักศึกษาจะเขียนออกมาเป็นแบบไหน ขอให้เขียนเองก็พอ เราพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ อย่าคิดว่าเป็นการรบกวน”

ลู่เหยียนมีความรู้สึกเหมือนจะเจอกับความท้าทายที่สองในงานพาร์ตไทม์ของเขาแล้ว

 

ทุกคนก้มหน้าเขียนกันแกรกๆ ลู่เหยียนกดมือถือออกจากหน้าเว็บไป๋ตู้เพื่อรายงานสถานการณ์ให้นายจ้างทราบ

 

[ลู่เหยียน] มีการบ้านในคลาสที่ต้องส่งด้วย

[ลู่เหยียน] ผมไม่เคยเรียนเรื่องนี้…แต่ถ้าคุณเชื่อใจผม ผมจะจัดการเอง โอเคไหม

[เซียวหัง] แล้วแต่เลย

 

…ลูกค้ารายนี้คุยด้วยยากเหมือนเดิม

ลู่เหยียนวางมือถือไว้ข้างๆ และเริ่มคิดว่าจะเขียนบทความสรุปเนื้อหาอย่างไรดี

เขาไม่รู้เรื่องวิชาการเงินเลยต้องเฉไฉไปเรื่องอื่น นอกจากชื่อ รหัสนักศึกษา และหัวข้อแล้ว สิ่งที่เขาเขียนเป็นประโยคแรกคือ

 

‘คลาสนี้ทำให้ผมรับรู้ถึงออร่าแห่งคัมภีรภาพกับภูมิความรู้อันกว้างขวางของศาสตราจารย์ได้อย่างดีที่สุด ต้นท้อไม่พูดแต่ผลสร้างเส้นทาง* ศาสตราจารย์คือวิศวกรผู้สร้างจิตวิญญาณของมนุษย์ ถ่ายทอดเปลวไฟแห่งปัญญา เป็นตะเกียงเรือนำทางท่ามกลางมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง เหมือนแสงแรกในยามเช้าที่ให้ความสว่างแก่ผม’

 

วันนี้มีคลาสเช้าแค่คาบเดียว

 

[ลู่เหยียน] เรียนเสร็จแล้วครับ

[ลู่เหยียน] คุณจะจ่ายหรือน้องของคุณจ่ายครับ?

 

คู่สนทนาโอนเงินมาเดี๋ยวนั้น

 

[เซียวหัง] [แจ้งการโอนเงิน]

 

ลู่เหยียนเดินออกไปข้างนอกพลางกดรับเงินที่โอนมา เขากำลังคิดว่าจะนั่งรถกลับ

เขาหลงทางเก่ง แค่ขามาสามารถหาห้องเรียนได้อย่างราบรื่นก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว ผลคือพอเดินออกประตูข้างของอาคารเรียน เมื่อมีการเปลี่ยนทิศเขาก็เริ่มมึน

ลู่เหยียนไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปถึงไหน แต่ข้างหน้าห่างออกไปไม่ไกลมีบูธอยู่สองสามแถว

บรรยากาศคึกคักมาก

สายตาของลู่เหยียนมองข้ามบูธพวกนี้ไปอยู่ที่ตัวหนังสือสามตัวว่า ‘ชมรมคนดนตรี’

การรับสมัครสมาชิกยังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ ที่บูธชมรมคนดนตรีจึงมีคนเตรียมงานอยู่สองสามคน และขาตั้งวางโน้ตกับเครื่องดนตรีอีกสองสามชนิด

ริมสุดมีชายตัวเตี้ยใส่เสื้อยืดสีเหลืองกำลังตั้งเสียงอยู่

เบส

ลู่เหยียนไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะมาตรฐานของวงมหาวิทยาลัยมีค่าเท่ากับมือสมัครเล่น

เขากำลังจะหาทางกลับต่อ แต่เมื่อชายคนนั้นตั้งเสียงเสร็จก็ถือโอกาสตบเบส** แม้คุณภาพของลำโพงจะไม่ดีทำให้เสียงที่ออกมาซ่า แต่ถ้าพูดด้วยใจที่เป็นธรรมแล้ว ฝีมือของคนคนนี้…ใช้ได้

ทักษะดี มีความชำนาญ

ความเร็วของเขาสามารถทำให้คนอ้าปากค้างได้ แต่ในเวลาเดียวกันทุกเสียงที่เล่นออกมานั้นชัดเจนทั้งหมด

การตบเบสนี้กินเวลาไม่ถึงสามสิบวินาที เนื่องจากรอบๆ มีคนไม่เยอะและคุณภาพของลำโพงไม่ดีเลยสักนิด จึงไม่ค่อยดึงดูดความสนใจคนเท่าไหร่นัก พอนายเสื้อยืดเหลืองเล่นท่อนนี้เสร็จก็ก้มตัวถอดสายสะพายออก แล้วส่งเบสไปให้คนที่อยู่ข้างๆ “โอเค ตั้งเสียงเสร็จแล้ว”

ลู่เหยียนได้ยินคนข้างๆ ถามมือเบสว่า “นายไม่อยู่เล่นที่บูธเราสักแป๊บนึงก่อนเหรอ”

นายเสื้อยืดเหลือง “ฉันไม่ได้อยู่ชมรมของพวกนาย จะอยู่เล่นด้วยทำไม อีกเดี๋ยวฉันมีเรียนด้วย”

นายเสื้อยืดเหลืองพูดแล้วก็เดินเลี้ยวเข้าห้องน้ำในอาคารเรียนข้างหน้าไป

นายเสื้อยืดเหลืองอาจไม่เคยคิดเลยว่าการเข้าห้องน้ำครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเขา เนื่องจากพอเขาเข้าห้องน้ำเสร็จ ตอนที่เดินออกมาจากคอกกั้นก็เห็นว่ามีคนพิงผนังในห้องน้ำฝั่งตรงกันข้ามกับที่กั้นฝั่งเขา

เป็นผู้ชาย

แถมเป็นผู้ชายที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ด้วย

ชายคนนั้นใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวดูสะอาดสะอ้านอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่กลับมีออร่าที่ย้อนแย้งแบบบอกไม่ถูก

พอเห็นเขาเดินออกมา ชายคนนั้นก็ดับบุหรี่ “เมื่อกี้ฉันเห็นนายเล่นเบส เท่มาก”

นายเสื้อยืดเหลืองใจสั่น

ถึงตามปกติลู่เหยียนจะไม่มีศักดิ์ศรี สามารถขโมยคนของวงแบล็กพีชได้ แต่เขากลับรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการดึงตัวคนแปลกหน้าที่เจอตัวแบบต่อหน้า

ลู่เหยียนกระแอมหนึ่งครั้ง เรียบเรียงคำพูดพลางกล่าว “ฉันสนใจนายมาก”

ลู่เหยียนคิดไม่ถึงว่าประโยคที่พูดไปในที่แบบนี้ ในลักษณะนี้ของเขา จะสามารถตีความไปทางอื่นได้มากมาย แถมเขายังไม่ทันสังเกตด้วยว่านายเสื้อยืดเหลืองมีสีหน้าแตกตื่นมากขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้านายโอเค…เรา…” เรามาเป็นเพื่อนกันนะ ฉันมีวง นายอยากมาแจมด้วยไหม

แต่ลู่เหยียนยังพูดไม่ทันจบ นายเสื้อยืดเหลืองก็หยิบไม้ถูพื้นข้างๆ มาขวางไว้ที่หน้าอก “นายเป็นใคร!”

“ฉัน…” ลู่เหยียนเข้าเรียนแทนคนอื่นได้อินสุดๆ “คณะเศรษฐศาสตร์ เซียวหัง”

 

* ผู้ชายไม้ขีดไฟ เป็นคำสแลง หมายถึงคนหลอกลวง

* Qzone เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีรูปแบบคล้ายกับเวยป๋อ (Weibo)

* เพลง : Don’t Cry ศิลปิน : Guns N’ Roses

* ต้นท้อไม่พูดแต่ผลสร้างเส้นทาง เป็นสำนวน หมายถึงคนจริงใจย่อมมีเสน่ห์ดึงดูดให้ผู้คนมานิยมชมชอบ

** ตบเบส เป็นเทคนิคที่มือเบสในปัจจุบันนิยมเล่นกันมาก มักใช้ในเพลงแนวฟังก์

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 5 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: