บทนำ
“อ๋อ นี่ญาติของคุณธี สามีกานต์เองเหรอ ก็ว่านามสกุลคุ้นๆ”
เสียงที่ลอยมาจากวงสนทนาตรงมุมห้องฉุดให้จิระประไพซึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงออฟฟิศหันไปมอง เพื่อนร่วมงานสามสี่คนที่มาถึงก่อนเธอกำลังรุมดูคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งอยู่ พอวางกระเป๋าเรียบร้อยและกดเปิดคอมพิวเตอร์แล้วเธอจึงเดินสืบเท้าไปร่วมวง
“ญาติสามีพี่กานต์ทำไมเหรอ”
กานต์คืออดีตสถาปนิกของบริษัท อีกฝ่ายลาออกไปก่อนจิระประไพจะเข้ามาทำงาน โดยกานต์ไปทำงานเป็นนางแบบแทน แต่ก็ยังรับจ็อบงานสถาปนิกและแวะมาที่บริษัทอยู่เนืองๆ ปัจจุบันนี้เธอแต่งงานมีลูกกับธีรดนย์ ภักดิ์โภคินผู้เป็นนักธุรกิจใหญ่ ซึ่งที่ทั้งสองมาเจอกันได้ก็เพราะงานที่รับผ่านบริษัท Archwin แห่งนี้นี่เอง*
“ข่าวใหญ่เมื่อคืนวันศุกร์ไง ที่ว่านางเอกทิ้งแฟนไปคบกับผู้ชายอีกคนแทน คนที่โดนทิ้งนั่นน่ะคือญาติคุณธี” สุรทิน สถาปนิกตัวกวนประจำบริษัทหันมาบอก “แต่จีทำโปรเจ็กต์ของคุณกิตติยุทธคู่กรณีพอดีเลยนี่หว่า ตัวจริงเขาเป็นไงมั่ง”
“ก็เป็นเหมือนในภาพถ่ายที่ลงในข่าว” จิระประไพตอบ ขณะที่ตามองบนจอซึ่งเป็นคลิปสัมภาษณ์ดาราคนสวยเมื่อวานนี้ แต่ตอนนี้มันถูกหยุดเอาไว้
“กวนละ หมายถึงนิสัยเว้ย”
“อ้าว ก็ไม่พูดให้ชัดๆ” หญิงสาวหัวเราะ “ก็แค่คุยงานกันทั่วไป จีจะไปรู้นิสัยใจคอเขาได้ไง แต่ในห้องประชุมก็โอเคนะ ไม่เรื่องมากแบบไร้สาระ แล้วก็ใจดี ประชุมนัดแรกแห้งๆ หิวๆ มีแค่น้ำ พอนัดหลังข้าวปลาอาหารบริบูรณ์เชียว เลขาฯ เขามาบอกทีหลังว่าคุณยุทธให้จัดให้”
เมื่อคืนวันศุกร์มีข่าวใหญ่สั่นสะเทือนโลกออนไลน์ของเมืองไทย นั่นคืออยู่ดีๆ นีนี่หรือนีรัมพรนางเอกดังที่ใครๆ ต่างรู้กันว่ากำลังจะแต่งงานกับแฟนหนุ่มนักธุรกิจซึ่งคบกันมานานหลายปีกลับประกาศคบกับผู้ชายอีกคนเสียเฉยๆ เรื่องนี้เป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง ขนาดปกติจิระประไพไม่ค่อยได้สนใจข่าวคราวเกี่ยวกับวงการบันเทิงไทยเท่าไหร่ยังได้ยินข่าวนี้อย่างรวดเร็ว และเรื่องนี้ก็ร้อนแรงต่อเนื่องตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเมื่อคืนวานนีรัมพรไปออกอีเวนต์เลยโดนนักข่าวรุมสัมภาษณ์ แล้วดาราสาวก็ตอบตามตรง
‘นีนี่รู้สึกมาพักหนึ่งแล้วค่ะว่าไม่อยากแต่งงาน แต่ด้วยความที่คบกับคุณพัชรมานานก็เลยคิดว่าคงจะอยู่ด้วยกันได้ แล้วก็ไม่อยากให้เขาเสียใจด้วย แต่สุดท้ายมันก็ฝืนไม่ได้จริงๆ ยิ่งมาเจอกับคุณยุทธก็ยิ่งแน่ใจ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเลิกกับคุณพัชรแล้วลองมาคบกับคุณยุทธดู…นีนี่ก็เสียใจ คุณพัชรเป็นคนดี เขาไม่ได้ทำอะไรผิด นีนี่แค่แต่งงานกับเขาไม่ได้แค่นั้นเอง’
เสียงส่วนใหญ่วิพากษ์วิจารณ์ดาราสาวกับแฟนใหม่ในเชิงลบ เพราะคำสัมภาษณ์เหมือนยอมรับกลายๆ ว่าทั้งสองคุยกันตั้งแต่นีรัมพรยังไม่เลิกกับแฟน ทว่าก็ไม่ค่อยมีใครแปลกใจกับคำให้สัมภาษณ์ เนื่องจากเธอเป็นคนให้สัมภาษณ์ในลักษณะนี้มาแต่ไหนแต่ไร เธอเคยบอกว่าไม่อยากโกหกเพราะถ้าถูกจับได้จะลำบากกว่า
อย่างไรก็ตามมีคนที่แสดงความเข้าใจนางเอกคนสวยอยู่เหมือนกัน ส่วนเรื่องอนาคตในวงการนั้นยังดูยากเนื่องจากข่าวยังใหม่ แต่บรรดาคนที่ติดตามวงการบันเทิงก็บอกว่านีรัมพรอาจไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่แล้วก็ได้ เพราะกิจการเครื่องสำอางและร้านอาหารของเธอประสบความสำเร็จมาก ที่สำคัญแฟนใหม่ก็รวยไม่แพ้แฟนเก่า เรื่องนี้ก็คงมีแต่เวลาที่ช่วยบอกได้ว่านีรัมพรยังสนใจงานในวงการบันเทิงอยู่ไหม และความนิยมของเธอจะตกลงหรือไม่
“สงสารคุณพัชรอะไรนี่นะ จริงๆ ไม่รักแล้วก็เลิกไปดิวะ อันนี้คบต่อเพื่อรอคนใหม่ชัวร์ก่อนชัดๆ” สุรทินออกความเห็นแล้วหันมาหาจิระประไพ “ว่ามะจี”
“ไม่รู้สิ”
“อ้าว”
“ลึกๆ แล้วมันอาจมีตื้นลึกหนาบางอะไรที่มากกว่านี้ก็ได้ เขาคบกันมาตั้งหลายปี” มัณฑนากรสาวชี้ให้เห็นความจริง “ส่วนเรื่องของเราก็คือตอนนี้ถึงเวลาทำงานแล้ว”
“โห่ ทำไมต้องทำลายบรรยากาศกันแบบนี้อ่ะจี” ชายหนุ่มกลอกตา “นี่ขนาดพี่รัมภาไม่อยู่ยังคายตะขาบทิ้งไว้อีก”
จิระประไพถึงกับขำออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพาดพิงถึงณัฐรัมภา มัณฑนากรสาวรุ่นพี่ซึ่งตอนนี้ลาไปเรียนคอร์สฮวงจุ้ยที่ฮ่องกง แต่ก็เป็นแค่คอร์สระยะสั้น อีกไม่นานอีกฝ่ายน่าจะกลับมาลับฝีปากกับสุรทิน สร้างสีสันให้ออฟฟิศตามเดิม
หญิงสาวเดินย้อนกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์พร้อมให้ใช้งานแล้ว เธอจับเม้าส์เพื่อเปิดโปรแกรมที่ใช้งานประจำ ไม่ทันไรอาชวินผู้เป็นเจ้านายใหญ่ก็เดินเข้ามา
“เข้างานแล้ว”
เขาพูดสั้นๆ แล้วเดินเข้าห้องทำงานไป แต่แค่นั้นก็เพียงพอจะทำให้วงเม้าท์แตกฮือ ทุกคนแยกย้ายเข้าประจำโต๊ะทำงานของตัวเอง ขณะที่บทสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องเพื่อนร่วมงานที่ยังไม่มาปรากฏตัว ซึ่งที่บริษัทนี้มีช่วงเวลาให้สายได้ประมาณสิบห้านาทีโดยไม่มีปัญหา ทว่าถ้านานกว่านั้นอย่างน้อยที่สุดก็ต้องโดนเรียกพบ
จิระประไพนั่งมองภาพหน้าปกของโปรแกรมระหว่างที่คอมพิวเตอร์กำลังเรียกมันขึ้นมาใช้งาน ขณะที่ความคิดล่องลอยกลับไปหาผู้ชายนามสกุลภักดิ์โภคินที่โดนทิ้งอีกครั้ง…เธอไม่ได้รู้จักพัชรเป็นการส่วนตัว อันที่จริงเมื่อสักสิบปีก่อนเธอยังไม่เคยได้ยินนามสกุลนี้ด้วยซ้ำ ต่อให้พวกเขาเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีเมืองไทยก็ตาม จนกระทั่ง ‘เกิดเรื่อง’ เธอก็จดจำนามสกุลนี้ได้ขึ้นใจ และไม่ใช่ในทางดีเท่าไหร่ด้วย เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ และเธอก็ไม่ได้คิดจะเปิดเผยให้ใครรู้ด้วย
ตอนนั้นเธอยังเด็ก อีกทั้งตระกูลภักดิ์โภคินก็ไม่ใช่เล็กๆ ไม่รู้ว่ามีใครเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอบ้าง ธีรดนย์ผู้เป็นสามีของกานต์น่าจะเกี่ยว ส่วนพัชรซึ่งเป็นญาติรุ่นน้องอายุน้อยกว่าหลายปีนั้นไม่แน่ ส่วนใหญ่แล้วหญิงสาวไม่ได้นึกอยากรู้ว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง แต่บางที…อย่างเช่นในเวลานี้มันก็มีความสงสัยวูบขึ้นมา
แถมครั้งนี้ยังมีชื่อนีรัมพรพ่วงมาด้วยอีกคน…
ช่างเถอะ จิระประไพปัดความสงสัยใคร่รู้ทิ้งไปเมื่อโปรแกรมถูกโหลดขึ้นมาพร้อมให้ใช้งาน คิดเรื่องเก่า สงสัยเรื่องเก่าไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา
บทที่ 1 ความทรงจำสีจาง
ไฟภายในห้องรับแขกสว่างไสวอัตโนมัติทันทีที่พัชร ภักดิ์โภคินเปิดประตูเข้าไปในตัวบ้านหลังจากกดรหัสปลดล็อกแล้ว เขามองห้องที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามหรูหราด้วยสายตาว่างเปล่า มันตกแต่งเสร็จตั้งแต่สองเดือนก่อน และเขาก็ควรจะย้ายจากคอนโดฯ มาอยู่ที่นี่ในเดือนนี้หลังจากช่างมาติดตั้งระบบอำนวยความสะดวกไฮเทคเพิ่มเติมให้เรียบร้อยแล้ว และปีหน้ามันก็ควรจะรับหน้าที่เป็นเรือนหอของเขากับนีรัมพร ทว่าสำหรับตอนนี้แผนการทุกอย่างพังทลายโดยสิ้นเชิง เขายกเลิกแผนการจะย้ายเข้ามาอยู่ และแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องเรือนหออะไรนั่นด้วย
พัชรทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาราคาหกหลักที่สั่งมาจากอิตาลี แขนกางออกพาดพนัก ขณะที่ดวงตาคมกวาดมองไปรอบๆ ดาราสาวเป็นคนเลือกคอนเซ็ปต์การตกแต่งภายใน…บางทีเขาน่าจะส่งบิลไปเก็บเงินกับอดีตคนรัก
ชายหนุ่มกับนีรัมพรตกลงจะแต่งงานกันตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ที่พิธีจะถูกจัดในปีหน้าเพราะเธออยากให้เรือนหอเสร็จก่อน รวมถึงเธอต้องการเคลียร์งานทั้งละครและอะไรต่อมิอะไรที่รับเอาไว้ล่วงหน้าด้วย อันที่จริงเขาจับสังเกตได้ว่าท่าทีของดาราสาวแปลกไปหลังจากตกลงแต่งงานกันไม่นาน และก็สืบจนรู้อย่างรวดเร็วด้วยว่าอีกฝ่ายแอบคุยกับกิตติยุทธอยู่ แต่ด้วยความที่ตั้งใจจะใช้เธอโปรโมตโปรเจ็กต์ใหม่ของภักดิ์โภคิน เขาเลยตัดสินใจนิ่งไว้ คอยเก็บข้อมูลหลักฐาน รวมถึงรอดูด้วยว่าเธอจะทำอย่างไรต่อ ซึ่งถ้าพูดตามจริงต่อให้เธอเขี่ยหมอนั่นทิ้งแล้วกลับมารักเขาคนเดียวเหมือนเดิม เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะให้อภัยเธอไหม
จวบจนโปรเจ็กต์ในความดูแลของเขาเปิดตัวเรียบร้อย หลังจากแวะไปนอนกับนีรัมพรในคืนหนึ่ง เขาก็เปิดประเด็นแบบไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัวหลังออกจากห้องน้ำ
‘ผมรู้เรื่องคุณกับไอ้กิ๊กของคุณ และผมก็อยากให้คุณเลือกตอนนี้ก่อนคุณไปนอนกับมัน’
ดาราสาวดูตกใจอย่างยิ่ง ทว่าเขาก็ไม่ใส่ใจแล้วแต่งตัวต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งติดกระดุมเสื้อเม็ดสุดท้ายเรียบร้อยแล้วเขาก็หันไปเลิกคิ้วใส่เธอเป็นเชิงถาม
‘นีนี่…แต่งงานกับคุณไม่ได้’ เมื่อโดนกดดันหญิงสาวก็ตอบออกมาจนได้
‘โอเค’ พัชรไหวไหล่ ‘ยังไงก็สัมภาษณ์ให้ดีๆ แล้วกัน อย่าได้คิดจะเอาดีใส่ตัว…อ้อ แล้วก็ขอบคุณด้วยสำหรับเมื่อกี้’
แล้วชายหนุ่มก็จากมา ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้เขาไม่ได้ติดต่อนีรัมพรอีกเลย และเขาก็ใช้ชีวิตตามปกติทุกอย่าง คงไม่มีใครรู้ว่าเขาเลิกกับแฟนถ้าฝ่ายหญิงไม่ได้ออกมาประกาศ เธอไม่ยอมเสียเวลาเลย ทว่าเขาก็ไม่แปลกใจเพราะรู้จักเธอดี
ถึงจะมีเวลาตั้งตัวก่อน แต่ตอนนี้ก็ใช่ว่าพัชรไม่เจ็บ ทว่าเขาไม่เห็นประโยชน์ที่จะเก็บคนทรยศเอาไว้ในชีวิต นีรัมพรไม่ควรค่าพอ รักได้ก็เลิกได้ อารมณ์ที่รุนแรงที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้คือโมโหตัวเองที่ดูคนผิด เพราะเขาคิดว่าเธอดีพอถึงขั้นคิดจะสร้างครอบครัวด้วยกัน
แต่ออกลายตอนนี้ก็ดี ดีกว่าแต่งงานมีลูกมีเต้าไปแล้วค่อยเผยธาตุแท้ตอนนั้น…
อย่างไรก็ตามในเมื่อตอนนี้นีรัมพรเป็นอดีตไปแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะเก็บอะไรของเธอไว้ ต่อให้มันเป็นเพียงผ้าม่านสีที่ผู้หญิงไร้ศีลธรรมคนนั้นชอบก็ตาม หลังจากใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าภรรยาของธีรดนย์เคยทำงานเป็นสถาปนิก ดังนั้นเธออาจจะพอรู้จักคนที่สามารถช่วยเขาจัดการเรื่องนี้ได้
อาชวินเดินออกจากห้องทำงานแล้วไปหยุดยืนดูตรงหน้าบอร์ดขนาดใหญ่ซึ่งใช้สำหรับรวบรวมโปรเจ็กต์ทั้งหมดของบริษัท มันบอกรายละเอียดสำคัญๆ เกี่ยวกับโปรเจ็กต์นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกที่รับผิดชอบ รวมถึงความคืบหน้า และโน้ตสำคัญต่างๆ เช่นวันเวลาที่ต้องไปประชุมในแต่ละสัปดาห์
หลังจากใช้เวลาพิจารณามันครู่หนึ่งชายหนุ่มก็หันไปส่งเสียงเรียก
“จี มาคุยกับพี่หน่อยสิ”
จิระประไพซึ่งนั่งสังเกตเจ้านายมาตั้งแต่แรกพยักหน้ารับ จากนั้นก็หยิบสมุดโน้ตกับมือถือลุกจากโต๊ะทำงาน เข้าใจว่าอาชวินอาจจะเรียกคุยเกี่ยวกับโปรเจ็กต์คอนโดมิเนียมที่เธอรับผิดชอบอยู่ เพราะมันมีความล่าช้าอยู่บ้าง โดยเป็นปัญหามาจากทางฝั่งของลูกค้า และตอนนี้วีรากรซึ่งเป็นสถาปนิกที่ดูแลโปรเจ็กต์นี้ไม่อยู่ออฟฟิศ ถ้าจะคุยเรื่องนี้ก็ต้องเป็นเธอ
“โปรเจ็กต์เฟอร์นิเจอร์กำลังจะเสร็จ หลังจากนี้จีก็จะว่างหน่อยใช่ไหม”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้ารับ แปลกใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายพูดถึงโปรเจ็กต์การสร้างมอลล์ให้กับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์แทนที่จะเป็นเรื่องโปรเจ็กต์คอนโดฯ
“พี่มีงานรีโนเวตบ้านงานหนึ่ง กานต์เพิ่งส่งมา” อาชวินยกสองแขนขึ้นกอดอกขณะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานตัวโต “ไม่ใช่บ้านเก่านะ บ้านใหม่เอี่ยมเลย เพิ่งตกแต่งเสร็จเมื่อเดือนสองเดือนก่อน แต่เจ้าของจะโละที่ตกแต่งไปทิ้งทั้งหมดแล้วแต่งใหม่”
“คือลูกค้าคนนี้ซื้อบ้านแล้วไม่พอใจเฟอร์นิเจอร์ที่โครงการแถมมาเหรอคะ”
“เปล่า เดิมบ้านหลังนี้จะต้องเป็นเรือนหอ แต่เขาเลิกกับแฟนก่อน…คู่ของดาราที่ชื่อนีนี่นั่นไง คนที่จะตกแต่งบ้านใหม่หมดคือผู้ชาย ชื่อคุณพัชร เขาเป็นญาติคุณธีสามีของกานต์ กานต์ก็เลยติดต่อมาหาพี่”
จิระประไพกะพริบตาปริบๆ นึกไม่ถึงว่าพัชรจะผ่านเข้ามาในวงโคจรแบบไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัวอย่างนี้…เธอมองใบหน้าหล่อเหลาครู่หนึ่งก่อนจะออกปากถาม
“พี่วินรับงานนี้แล้วเหรอคะ”
หญิงสาวเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้สองปี ก่อนหน้านี้ทั้งบริษัทมีมัณฑนากรคนเดียวคือณัฐรัมภา ทว่าพอบริษัทขยายตัวและรับงานมากขึ้นเลยมีการรับทั้งสถาปนิกทั้งมัณฑนากรเพิ่ม ได้ยินว่าเมื่อก่อนบริษัทรับงานทุกอย่างไม่ว่าเล็กใหญ่ แต่หลังเธอเข้ามาทำงาน Archwin ก็แทบไม่ได้รับงานจำพวกตกแต่งบ้านหรือออกแบบอาคารขนาดเล็กอีก ถ้ารับก็ต้องมีเหตุผลพิเศษบางอย่าง
“ครั้งนี้มันพ่วงชื่อภักดิ์โภคินมาด้วยน่ะสิ ไม่ใช่แค่กานต์” อาชวินระบายลมหายใจเบาๆ “ต้องยอมรับนะว่าการรักษาความสัมพันธ์กับทางนั้นไว้จะดีที่สุด…แต่อย่างน้อยงานนี้ก็งบไม่อั้นด้วย จีน่าจะทำงานไม่ยาก”
อีกครั้งที่จิระประไพมองใบหน้าหล่อเหลาของเจ้านายโดยไม่ตอบในทันที…ฟังแล้วเธอก็ไม่แปลกใจ เพราะเหตุผลในการรับงานเป็นไปในทางเดียวกับตอนที่รับงานรีโนเวตบ้านโบราณของธีรดนย์ แม้ตอนนั้นจะถึงขั้นต้องตามกานต์มารับจ็อบ แต่ก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ดี เพราะตั้งแต่นั้นภักดิ์โภคินก็กลายเป็นลูกค้าประจำของ Archwin
ถ้าเลือกได้เธอจะปฏิเสธงานนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเงินดีหรืองานง่ายแค่ไหนก็ตาม ประเด็นก็คือเธอเลือกไม่ได้นี่สิ…เป็นลูกจ้างเขาจะทำยังไงได้ พอณัฐรัมภาไม่อยู่ งานของมัณฑนากรที่เหลือในออฟฟิศก็ล้นมือ แต่ถ้าเทียบกันแล้วเธอยังว่างกว่าคนอื่น
“แล้วงานนี้เมื่อไหร่คะ”
“เร็วที่สุด ก็พอเข้าใจล่ะนะ จะใช้เป็นเรือนหอ เจ้าสาวก็ดันทิ้งไปแล้ว ตอนตกแต่งฝ่ายหญิงก็คงมีส่วนด้วย เขาก็คงไม่อยากเก็บไว้หรอก ยิ่งมีเงินก็ไม่ต้องคิดมาก เขาไม่ได้ขอคุยกับพี่สักคำด้วยซ้ำ” อาชวินหยุดนิดหนึ่ง “มีวันไหนที่จีพอจะว่างเข้าไปดูบ้านหลังนั้นได้บ้างล่ะ”
“พรุ่งนี้จีมีส่งงาน กับมะรืนจีมีประชุมบ่ายค่ะ”
“งานเฟอร์นิเจอร์ใช่ไหม ปกติโปรเจ็กต์นี้ส่งงานเช้า บ่ายจีว่างไหมล่ะ ถ้าว่างก็เข้าไปพรุ่งนี้เลย”
จิระประไพอึ้งไปนิดหนึ่ง ตอนแรกเธอกะว่าจะขอเวลาเตรียมตัวเตรียมใจก่อน เพราะมะรืนนี้ก็วันศุกร์แล้ว พ้นไปก็ทำงานอีกทีวันจันทร์ แต่เมื่อเจ้านายของเธอแม่นเรื่องตารางงานแบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ สุดท้ายเธอจึงได้แต่พยักหน้าและตอบรับ
“ค่ะ”
จิระประไพลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้างแล้วหยิบเงินที่เตรียมไว้ส่งให้คนขับ จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปในอาคารพาณิชย์สามชั้นที่เปิดเป็นร้านอาหาร พิทยาซึ่งกำลังใช้ผ้าเช็ดโต๊ะเงยหน้าขึ้นมา พอเห็นเธอก็ทัก
“อ้าว วันนี้กลับเร็ว”
“งานเสร็จก็กลับได้เร็ว” หญิงสาวยกมือไหว้พ่อทั้งรอยยิ้ม
“ดีแล้ว จะได้พักเยอะๆ…แม่อยู่ในครัวแน่ะ อยากกินอะไรก็เข้าไปบอก”
เธอพยักหน้าแล้วเดินผ่านโต๊ะอาหารซึ่งมีลูกค้าจับจองเกือบเต็มเข้าไปยังครัว อรพินกำลังวุ่นอยู่ตรงหน้าเตา แต่ท่านก็เหลือบเห็นเธออย่างรวดเร็ว
“อ้าว วันนี้กลับเร็ว”
จิระประไพอดยิ้มขำไม่ได้ที่แม่ทักด้วยประโยคเดียวกับพ่อเปี๊ยบ เธอยกมือไหว้และตอบกลับไปด้วยประโยคเดิม
“แล้วเย็นนี้จะกินอะไรดี”
“คะน้าหมูกรอบ” หญิงสาวตอบทันที
“อีกแล้ว” ผู้เป็นแม่หัวเราะเมื่อลูกสาวสั่งเมนูโปรดที่กินมาตั้งแต่เด็กและยังไม่มีวี่แววจะเบื่อ “เอ้า งั้นก็ไปล้างหน้าล้างตา แล้วเดี๋ยวลงมากินข้าว”
จิระประไพทำตามโดยดี เธอเดินย้อนออกจากครัวแล้วขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ขณะเดียวกันก็นึกถึงเรื่องของพัชร เธอชั่งใจตั้งแต่ตอนนั่งรถเมล์กลับบ้านแล้วว่าจะเล่าเรื่องงานล่าสุดที่ต้องทำให้พ่อแม่ฟังดีไหม ทว่าจวบจนตอนนี้ก็ยังตัดสินใจไม่ได้เด็ดขาด แม้จะทราบว่าพวกท่านคงไม่มีปฏิกิริยาในทางลบก็ตาม
ไม่ต้องเล่าแล้วกัน มันก็แค่งานงานหนึ่ง หญิงสาวบอกตัวเองขณะยืนเช็ดเครื่องสำอางในห้องน้ำ ปกติแล้วเธอแต่งหน้าแค่พอให้ลูกค้าหรือเซลส์ไม่ตกใจตอนเจอหน้ากัน และพอถึงบ้านเธอก็จะรีบล้างหน้าให้เร็วที่สุด เพราะรู้สึกว่าตอนหน้าเปลือยมันสบายผิวมากกว่า
จิระประไพใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำพักหนึ่งแล้วจึงค่อยเดินต่อไปยังห้องนอน พอหย่อนกระเป๋าสะพายลงบนเตียงแล้วเธอทรุดตัวตามลงนั่ง สองขายืดเหยียดเพื่อคลายความอ่อนล้า จากนั้นเธอก็เอนตัวไปด้านหลังโดยใช้สองแขนยันรับน้ำหนักเอาไว้ ดวงตาทอดมองภาพแลนด์สเคปสีน้ำซึ่งเธอวาดเองและเอามันมาแขวนประดับห้องนอน
เมื่อก่อนครอบครัวของหญิงสาวมีฐานะดีทีเดียว เรียกได้ว่าเธอเติบโตมาอย่างคุณหนูคนหนึ่ง มีบ้านหลังใหญ่ มีรถหลายคัน ไปเที่ยวต่างประเทศทุกปี เรียนโรงเรียนเอกชนมีชื่อ มีทุกอย่าง จนกระทั่งช่วงที่เธอเรียนชั้นมัธยมปลายแล้วครอบครัว…ไม่สิ ทั้งตระกูลสินธุนานนท์ของพ่อประสบปัญหาทางธุรกิจ
เดิมครอบครัวทางฝ่ายพ่อทำธุรกิจแบบกงสี ญาติพี่น้องทำงานร่วมกันเกือบทุกคนมาสองรุ่นแล้ว ถึงจะมีความขัดแย้งกันไม่น้อยแต่กิจการก็รุ่งเรืองดี จนกระทั่งมีเหตุที่ธุรกิจของสินธุนานนท์กลายเป็นคู่แข่งของพวกภักดิ์โภคิน และไม่ว่าตอนนั้นใครจะมีส่วนในการตัดสินใจให้ ‘ชน’ ผลก็คือ ‘พัง’ พอธุรกิจของตระกูลล้ม สมาชิกส่วนใหญ่ก็แทบหมดเนื้อหมดตัว หนำซ้ำหลังจากนั้นความเป็นญาติพี่น้องยังแตกเป็นเสี่ยง เนื่องจากแต่ละคนล้วนพยายามกล่าวโทษกันไปมา จนทุกวันนี้รอยร้าวนั้นก็ยังคงอยู่
ครอบครัวของจิระประไพได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรุนแรงไม่แพ้ครอบครัวอื่นๆ ยังโชคดีที่อรพินมีนิสัยชอบเก็บออมและมีฝีมือด้านการทำอาหาร ดังนั้นสุดท้ายจึงสามารถย้ายเข้ามาอยู่ในอาคารพาณิชย์แห่งนี้และเปิดร้านอาหารได้ แต่กระนั้นชีวิตในช่วงนั้นก็ถือว่าลำบากอยู่ดี ส่วนหนึ่งเนื่องจากโลกทั้งใบเหมือนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ดีที่เธอไม่ใช่พวกยึดติด และพ่อแม่ก็ไม่ใช่คนจมไม่ลง ไม่งั้นทุกอย่างคงยากกว่านี้มาก
หญิงสาวช่วยพ่อแม่ทำงานในร้านอาหาร เธอจำต้องตัดใจจากความฝันเดิมที่ตั้งใจจะไปเรียนด้านการออกแบบที่ต่างประเทศ นอกจากนั้นจิระประไพก็ทำงานพิเศษเท่าที่ทำได้เพื่อแบ่งเบาภาระพ่อแม่ ใช้เวลาหลายปีกว่าทุกอย่างจะเริ่มลงตัวและสมาชิกสามชีวิตในครอบครัวของเธอสามารถกลับมาใช้ชีวิตแบบสบายมากขึ้น พอเข้าช่วงท้ายๆ ของการเรียนมหาวิทยาลัยพ่อแม่ก็สั่งให้เธอเลิกช่วยงานที่ร้านเพื่อจะได้มีเวลาทำโปรเจ็กต์จบเต็มที่ ส่วนพวกท่านก็จ้างลูกจ้างมาช่วยงานแทน แต่เธอก็ยังช่วยท่านอยู่บ้างในยามว่าง
ตอนนี้จิระประไพเรียนจบและทำงานมาหลายปีแล้ว แต่พ่อแม่ก็ไม่เคยรับเงินจากเธอสักบาท ท่านบอกว่าตั้งใจอยากให้เธอตั้งตัวได้อย่างมั่นคง และในเมื่อเธอหาเงินได้เองแล้ว นับจากนี้พวกท่านก็จะทำงานเพื่อเตรียมการเกษียณของตัวเอง เพื่อที่ยามพวกท่านแก่ตัวไปจะได้รบกวนเธอให้น้อยที่สุด เพราะการที่ลูกคนเดียวจะเลี้ยงดูพ่อแม่สองคนคงไม่ง่าย โดยเฉพาะในวันข้างหน้าซึ่งค่าใช้จ่ายอาจพุ่งสูงจนรายได้ตามไม่ทัน
จิระประไพรู้สึกว่าตนเองโชคดีมาก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะกลับมาตั้งต้นใหม่ได้เหมือนครอบครัวของเธอ บางคนคั่งแค้นมาจนถึงวันนี้ บางคนถึงขั้นตรอมใจตายด้วยซ้ำ ขณะที่พ่อแม่เธอไม่เคยแบกความโกรธแค้นเอาไว้ ท่านไม่ได้ขุ่นเคืองทางฝั่งภักดิ์โภคินและมองว่ามันเป็นเหมือนอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง ไม่มีใครอยากให้มันเกิด แต่มันก็เกิดขึ้นได้
‘ชีวิตคนมีดีมีแย่น่ะลูก บางทีทั้งสองอย่างก็เกิดขึ้นเพราะการกระทำของเรา บางทีก็เกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผลเลย แต่ไม่ว่ายังไงพอมันเกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องรับมือกับมันให้ได้’
ถึงพ่อแม่จะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับธุรกิจของสินธุนานนท์เป็นอุบัติเหตุ แต่สำหรับหญิงสาวมันคือการตัดสินใจที่ผิดพลาด และบังเอิญเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ พลาดครั้งเดียวจึงล้มทั้งกระดาน มันเกิดจากความมั่นใจผิดๆ ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน ที่คิดแบบนี้เพราะพอโตขึ้นมาแล้วเธอมีโอกาสได้ยินข่าวเกี่ยวกับพวกภักดิ์โภคินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ยักได้ยินว่าคู่แข่งของพวกเขาถูกลบออกจากสารบบธุรกิจ ส่วนใหญ่ก็เป็นแค่การแข่งขันกันตามปกติ และเธอก็พอจะจับใจความจากบทสนทนาในอดีตได้ว่ามันน่าจะเพราะความมั่นใจที่มากเกินไปของพวกลุงป้าน้าอานี่เอง
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือฉุดให้หญิงสาวหันไปมอง พอเห็นคำว่าพ่ออยู่บนหน้าจอเธอก็หยิบมันมากดตัดสาย รับรู้ว่าพ่อโทรขึ้นมาเป็นสัญญาณบอกว่าข้าวเย็นเสร็จแล้ว เธอเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังแล้วก็เพิ่งตระหนักว่าตนเองนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยนานทีเดียว
เอาเถอะ แค่นี้แหละ พรุ่งนี้ก็ไปที่บ้านของนายพัชรอะไรนั่นแล้วก็ทำงาน จบแค่นั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.