บทที่ 1
เมืองเจียงเฉิง ฤดูใบไม้ร่วง
สายลมพัดหมู่เมฆหนาทึบที่บดบังดวงจันทร์บนท้องฟ้ายามราตรีให้กระจายออก แสงสว่างที่สาดส่องลงบนพื้นจึงสว่างขึ้นเล็กน้อย ต้นข้าวในทุ่งนาสะท้อนแสงสีทองเข้ม คลื่นต้นข้าวกระเพื่อมไหวตามสายลม
นี่คือทุ่งนาในเขตชานเมืองก่อนช่วงรุ่งสาง เงียบสงบราวกับพืชพันธุ์ต่างหลับสนิทก็มิปาน
ถนนลาดยางมะตอยเก่าๆ ที่เชื่อมต่อกับคันนามีแสงสว่างไปข้างหน้าตลอดทาง ถูกเส้นสีเหลืองเส้นหนึ่งตัดขาด อีกด้านหนึ่งคือทางวิ่งเครื่องบินอันกว้างใหญ่
สนามบินตรงจุดนี้แตกต่างจากทุ่งนาอย่างสิ้นเชิง ที่นี่แสงไฟกำลังสว่างไสว เจ้าหน้าที่ยุ่งอยู่กับงาน เครื่องบินโบอิ้ง 737 ลำหนึ่งลงจอดอย่างราบรื่น รถรับส่งผู้โดยสารสิบกว่าคันเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเป็นระเบียบ
หร่วนซือเสียนลากกระเป๋าเดินทางพลางก้าวเดินฉับๆ มุ่งไปยังห้องประชุมของแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสายการบินเหิงซื่อราวกับใต้เท้าเกิดลม** หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กผุดซึม
เมื่อเข้ามาในลิฟต์เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา เที่ยงสี่สิบเอ็ดนาที ไม่ถึงห้านาทีจะได้เวลาประชุมความร่วมมือก่อนเที่ยวบินนี้แล้ว
พอประตูลิฟต์เปิดออก หร่วนซือเสียนเดินผ่านห้องโถงใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน ก่อนเลี้ยวไปทางระเบียงทางเดินของห้องประชุม
พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินหลายคนในเครื่องแบบสีฟ้าอ่อนเช่นเดียวกับเธอยืนอยู่หน้าประตูห้องประชุม B32 กำลังรวมกลุ่มคุยเล่นกัน
“หร่วนซือเสียน ทำไมเธอเพิ่งมา”
เจียงจื่อเยวี่ยที่อยู่ในกลุ่มคนหันหน้ามาถาม
หร่วนซือเสียนมาทันเวลา จึงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก “ตอนออกจากบ้านเกิดเรื่องนิดหน่อยน่ะค่ะ”
เจียงจื่อเยวี่ยเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงจำเป็นต้องเตือนหร่วนซือเสียนสักหน่อย “ครั้งหน้าระวังด้วย อย่างอื่นช่างมันเถอะ เธอรู้ดีว่าเที่ยวบินของวันนี้สำคัญมาก”
หร่วนซือเสียนพยักหน้าตอบรับ
เที่ยวบินของวันนี้บินตรงจากเมืองเจียงเฉิงไปลอนดอน เป็นเที่ยวบินหลักระหว่างประเทศของสายการบินเหิงซื่อ
สิ่งสำคัญอยู่ที่ฟู่หมิงอวี่ รองประธานสายการบินเหิงซื่อก็ขึ้นเที่ยวบินนี้ด้วยเช่นกัน
ปกติแล้วส่วนมากฟู่หมิงอวี่มักเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว ไม่ค่อยโดยสารเครื่องบินของสายการบินเหิงซื่อนัก ดังนั้นเจียงจื่อเยวี่ยในฐานะหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจึงกำชับกับกลุ่มลูกเรือของเที่ยวบินนี้ทันทีที่เห็นรายชื่อของผู้โดยสาร
หร่วนซือเสียนหันไปมองในห้องประชุมแวบหนึ่งอีกครั้ง “ข้างในยังไม่ออกมากันเหรอคะ”
“อืม ไม่รู้ว่าเที่ยวบินนี้มัวแต่ชักช้าอะไรอยู่ กัปตันของพวกเราก็ยังอยู่ในห้องน้ำ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปห้องน้ำจัดผ้าพันคอหน่อยนะคะ แล้วก็แต่งหน้าเพิ่ม”
ตอนที่ออกจากหอพักหร่วนซือเสียนกลัวว่าจะสาย ดังนั้นจึงวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง คอจึงมีเหงื่อออก เหนอะหนะในผ้าพันคอ ทำให้ไม่สบายตัวเท่าไร
หร่วนซือเสียนกล่าวจบก็รีบร้อนไปห้องน้ำ เปิดก๊อกน้ำล้างมือ ใช้นิ้วชี้เปียกน้ำทัดปอยผมสองเส้นที่หลุดออกมาไว้หลังใบหู เธอมองตัวเองในกระจก การแต่งหน้าที่ประณีตงดงาม ผมที่เกล้ามวยอย่างพิถีพิถันเรียบร้อย เครื่องแบบที่สง่างามเข้ารูป ไม่เลว แต่ไม่มีจุดเด่นเลยแม้แต่น้อย
มีเพียงผ้าพันคอบนคอที่เอียงจนคล้ายกระต่ายหูตกเท่านั้นที่ทำให้เธอดูแตกต่างจากพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินคนอื่นๆ
แต่มันเป็นเพียงความแตกต่างในสายตาของเธอ ไม่มีทางที่คนอื่นจะสังเกตเห็น
ตอนนี้เธอต้องแก้ผ้าพันคอที่เอียงได้น่าสนใจอย่างยิ่งนี้ออก จากนั้นก็ผูกให้ตรงอีกครั้ง แต่ขณะที่ลดมือลง หร่วนซือเสียนแตะพบของสิ่งหนึ่งในกระเป๋าเครื่องแบบ เธอหยุดชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อตัวนอกออกหนึ่งเม็ด แล้วยื่นมือไปล้วงของสิ่งนั้นออกมา นั่นเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง ด้านบนซองจดหมายสีชมพูใช้ตราประทับครั่งสีแดงปิดผนึกไว้
นี่คือสาเหตุที่ทำให้หร่วนซือเสียนออกจากหอพักสาย
ซือเสี่ยวเจินที่เป็นรูมเมตได้ยินว่าวันนี้ฟู่หมิงอวี่โดยสารเที่ยวบินที่หร่วนซือเสียนบินไปด้วย จึงเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา จากนั้นก็กำชับเธอว่าต้องหาโอกาสมอบให้กับฟู่หมิงอวี่ให้ได้
เมื่อเห็นท่าทางที่ดูไม่ค่อยเต็มใจของหร่วนซือเสียน ซือเสี่ยวเจินก็ทำตาแดงพลางกล่าว ‘พวกเราอ่านหนังสือด้วยกันทุกวัน เตรียมตัวสอบนักบินด้วยกัน เห็นได้ชัดว่าสัปดาห์หน้าก็ต้องสมัครแล้ว ผลสุดท้ายกลับยกเลิกโครงการโบยบินเสียอย่างนั้น! เธอไม่คิดจะพยายามสู้อีกหน่อยจริงๆ เหรอ’
‘โครงการโบยบิน’ เป็นโครงการรับสมัครนักบินภายในของสายการบินเหิงซื่อ ทุกปีจะคัดเลือกพนักงานภายในของสายการบินเหิงซื่อส่วนหนึ่งแล้วดำเนินการฝึกอบรมนักบิน ไม่จำกัดตำแหน่ง ไม่จำกัดเพศ พอปีนี้กำลังจะถึงช่วงสมัคร ฟู่หมิงอวี่ผู้ดูแลแผนกการบินกลับยกเลิกโครงการนี้ไป
สำหรับคนอื่นอาจเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรง แต่สำหรับคนอย่างหร่วนซือเสียนและซือเสี่ยวเจินที่ตั้งใจสมัครโครงการนี้เพื่อเข้าสายการบินเหิงซื่อโดยเฉพาะนับว่าเป็นการโจมตีที่ร้ายแรงถึงชีวิตเลยทีเดียว
หร่วนซือเสียนอ้าปากค้าง ทำท่าเหมือนจะปฏิเสธ ซือเสี่ยวเจินก็พูดขึ้นมาอีก ‘ฉันส่งอีเมลหาเขาหลายฉบับแล้ว แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ตอนนี้มีแค่วิธีนี้เท่านั้น ฉันรู้ว่าเธอคิดว่าวิธีนี้มันน่าขำมาก แต่ถ้าหาก…ถ้าหากรองประธานฟู่เป็นคนที่เข้าถึงง่ายและใจดี เกิดเขาอ่านจดหมายของฉันแล้วยินดีพิจารณาล่ะ อีกอย่าง…’
หร่วนซือเสียนยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของซือเสี่ยวเจิน จากนั้นก็รับจดหมายฉบับนี้มา
‘ฉันว่าเธอเปลี่ยนซองจดหมายดีไหม ดูแล้วเหมือนฉันกำลังส่งจดหมายรักอย่างนั้นแหละ’
คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่ทำให้หร่วนซือเสียนอิดออดกลับเป็นเรื่องนี้ ซือเสี่ยวเจินก้มหน้าลงอย่างเก้อเขิน ‘ก็ใช่ว่าฉันจะชอบสีชมพู แต่ฉันไม่มีซองจดหมายอันอื่นแล้ว’
หร่วนซือเสียนจะพูดอะไรได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มาถึงหน้าห้องประชุมแล้ว เธอไม่มีโอกาสเปลี่ยนซองจดหมายนี้อีก
“เธอกำลังทำอะไรอยู่”
ทันใดนั้นเจียงจื่อเยวี่ยก็ผลักเปิดประตูก่อนยื่นร่างเข้ามาครึ่งหนึ่ง “กัปตันมาแล้ว รีบหน่อย จะเริ่มประชุมแล้ว”
หร่วนซือเสียนรีบเอาจดหมายซ่อนไว้ข้างหลัง พยักหน้าพลางกล่าว “ค่ะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
แต่เจียงจื่อเยวี่ยกลับสังเกตการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ นี้ได้ เธอกวาดตามองอย่างระแวดระวัง “เธอถืออะไรน่ะ”
หร่วนซือเสียนไม่อยากให้เจียงจื่อเยวี่ยเห็นของในมือ ทว่าท่าทางการหลบซ่อนโดยจิตใต้สำนึกเมื่อครู่ชัดเจนเกินไป ทั้งยังมีทีท่าเหมือนที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงอยู่บ้าง แต่สายตาสืบเสาะของเจียงจื่อเยวี่ยมองมาทางนี้แล้ว หร่วนซือเสียนจึงทำได้เพียงโบกของที่อยู่ในมือช้าๆ
“นี่ค่ะ ไม่มีอะไร”
เมื่อเจียงจื่อเยวี่ยมองเห็นซองจดหมายสีชมพูนั่นชัดเจน ริมฝีปากที่เม้มแน่นก็ผ่อนคลายลง “อะไรก็ไม่รู้ ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบเอาเสียเลย รีบไปเถอะ อย่าชักช้า”
หร่วนซือเสียนยัดจดหมายเข้าไปในกระเป๋าเครื่องแบบ ก่อนจะติดกระดุมเสื้อตัวนอกแล้วเดินไปกับเจียงจื่อเยวี่ย
การประชุมความร่วมมือก่อนเที่ยวบินนี้เกิดขึ้นเนื่องจากในรายชื่อผู้โดยสารคนสำคัญมีฟู่หมิงอวี่รวมอยู่ด้วย กัปตันจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษและชี้แจงนานกว่าปกติถึงยี่สิบนาที
เมื่อประชุมเสร็จสิ้นก็ควรได้ขึ้นเครื่อง แต่กลับได้รับประกาศจากหอบังคับการบินเนื่องด้วยการควบคุมการจราจร ทำให้พวกเขาต้องล่าช้าออกไปประมาณหนึ่งชั่วโมง
สถานการณ์ผ่อนคลายลงอีกครั้งอย่างกะทันหัน กัปตันจึงลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสายครู่หนึ่งและกล่าวกับนักบินผู้ช่วยสองคนข้างๆ
“ไปซื้อของกินกันไหม”
ทั้งสามคนจึงลุกออกไป ทิ้งพวกลูกเรือไว้ในห้องประชุม
ดีเลย์อีกแล้ว ทุกคนล้วนต้องรอ นี่ยังไม่นับรวมเวลาบิน ในห้องประชุมจึงค่อยๆ มีเสียงบ่นขึ้นมาเบาๆ
ในตอนนี้หร่วนซือเสียนออกไปรับโทรศัพท์ ยังไม่ทันวางสายก็ได้ยินเสียงพูดคุยในห้องคึกคักมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังสนทนาหารือเรื่องบางอย่างกันด้วยความสนุกสนาน
“พวกเธอกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ” หร่วนซือเสียนผลักเปิดประตู “ฉันอยู่ข้างนอกได้ยินเสียงพวกเธอหมดแล้ว”
เจียงจื่อเยวี่ยเอาเอกสารรายชื่อของผู้โดยสารขึ้นมากดตรงขมับ เอียงศีรษะยิ้มพลางกล่าว “พวกเธอกำลังเดิมพันกันว่าวันนี้ใครจะสามารถเอาเบอร์โทรศัพท์ของรองประธานฟู่มาได้”
หร่วนซือเสียนส่งเสียง “อืม” อย่างงุนงง “เอาไปทำไมเหรอคะ”
“เธอคิดว่ายังไงล่ะ แน่นอนว่าต้องจีบเขาน่ะสิ!”
“ไม่ง่ายที่จะได้อยู่เที่ยวบินเดียวกับเขา โอกาสหายากนะยะ ตอนนี้ไม่ลุยแล้วจะรอเมื่อไร!”
“เดินทางไกลสิบกว่าชั่วโมงเลยนะ ฉันไม่เชื่อว่าจะหาโอกาสขอช่องทางติดต่อไม่ได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ฉันจะลองทำเป็นกาแฟหกหรืออะไรทำนองนั้นแบบคนอื่นดู ฮ่าๆๆๆ”
“ทำกาแฟหกมันอันตรายเกินไป ฉันคิดว่ารอฉวยโอกาสตอนที่เครื่องบินโคลงเคลงทำเป็นหกล้มเถอะ จะได้ล้มลงไปในอ้อมกอดของเขาพอดี”
ทำกาแฟหก…หกล้ม…
เมื่อหร่วนซือเสียนได้ยินหางตาก็กระตุกทันที
ละครรักวัยรุ่นเมื่อสิบปีที่แล้วก็ไม่แสดงแบบนี้แล้วนะ
แต่ในเมื่อทุกคนพูดแบบนี้ก็ฟังออกเช่นกันว่าแค่กำลังล้อเล่นกันอยู่ หร่วนซือเสียนจึงยิ้มและนั่งลงพลางใช้มือเกาขมับ
“พวกเธอฝันอะไรกันน่ะ” พูดจบก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง
ทำไมถึงพูดความในใจออกมาซะล่ะ
บรรยากาศในห้องประชุมเงียบไปชั่วขณะ แต่ไม่นานก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้งด้วยคำพูดที่ไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย
“การฝันไม่ได้ทำผิดกฎหมายซะหน่อย อีกอย่างนะ…” คนคนนั้นลดเสียงลง “พี่ชายของรองประธานฟู่ซึ่งเป็นรองประธานอีกท่านหนึ่งก็มีคู่หมั้นเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และทั้งสองก็รู้จักกันบนเครื่องบิน นี่เรียกว่าอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น”
“พูดไว้ตรงนี้เลยนะ ต่อไปถ้าใครกลายเป็นบอสหญิงแล้ว อย่าลืมเลื่อนตำแหน่งให้ฉันเชียว อย่างอื่นไม่ต้องพูด ให้ฉันเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก่อน”
“โอ้ เห็นแก่ครั้งที่แล้วที่เธอช่วยแลกไฟลต์กับฉัน ถ้าฉันเป็นบอสหญิงแล้ว เธอจะได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทันที”
“งั้นดิฉันต้องขอขอบพระคุณท่านล่วงหน้าค่ะ แต่ถ้าหากว่าฉันได้เป็นบอสหญิงล่ะ”
หร่วนซือเสียนฟังมาครึ่งค่อนวันก็ยิ่งมึนงงขึ้นทุกที “ไม่ใช่ ทำไมพวกเธอถึงตื่นเต้นกันขนาดนี้ ถ้าอีกฝ่ายเป็นตาแก่พุงใหญ่กว่าผู้หญิงท้องล่ะ พวกเธอก็จะจีบเหรอ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนต่างหัวเราะจนกิ่งบุปผาสั่นไหว
หร่วนซือเสียนยิ่งงงหนัก “พวกเธอหัวเราะอะไรกัน”
“ไอ้หยา ดูเหมือนว่าสองหูของหร่วนหร่วนเราจะไม่ได้ยินเรื่องราวนอกหน้าต่างเลยจริงๆ มา พี่สาวจะให้เธอดูภาพ”
เจียงจื่อเยวี่ยใช้มือหนึ่งเกี่ยวคอหร่วนซือเสียน อีกมือหนึ่งล้วงโทรศัพท์ออกมาค้นหาภาพให้เธอดู
ภาพนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นภาพแอบถ่าย ฟู่หมิงอวี่สวมชุดสูทเรียบกริบหรูหราตลอดทั้งตัว ด้านนอกคลุมด้วยเสื้อโค้ตสีดำ ดูเหมือนกำลังรีบเดินไปยังประตูสำนักงานใหญ่ของบริษัท
เขามีไหล่ที่กว้างและขายาว ทำให้เขามีจังหวะการก้าวเท้าที่ยาวมาก แผ่นหลังเหยียดตรง ส่วนขาเรียวยาวได้สัดส่วน และเสื้อผ้าล้วนส่งเสริมกันจนทำให้เขาโดดเด่นมากยิ่งขึ้น และดึงดูดสายตาคนเหมือนรังสีทะลุออกมาจากภาพถ่าย ราวกับทำให้ผู้คนโดยรอบหายไปก็มิปาน
ถึงแม้ภาพนี้จะถ่ายเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเลยก็ตาม
มิน่าล่ะ พวกแอร์โฮสเตสถึงตื่นเต้นกันขนาดนี้ ดูจากสภาพการณ์แล้วก็พอจะเข้าใจได้
เพียงแค่มองแวบเดียว หร่วนซือเสียนก็ลบคำว่า ‘เข้าถึงง่ายและใจดี’ ที่อยู่ในใจเธอออกไปจนหมดสิ้น
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
สองคำนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย
ผู้คนด้านในพูดเล่นกันอย่างครึกครื้นโดยไม่ได้สังเกตด้านนอกประตูที่ไม่ได้ปิดสนิทเลยว่าใบหน้าของหวังเล่อคัง ผู้จัดการแผนกพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแดงก่ำเหมือนกวนกง
คนที่ยืนอยู่ข้างหวังเล่อคังคือฟู่หมิงอวี่ ตัวเอกในหัวข้อสนทนาครั้งนี้
แสงไฟในอาคารสว่างมาก มีเสียงฝีเท้ารีบร้อนก้องสะท้อนระเบียงทางเดินที่ทอดยาวเป็นครั้งคราว สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ทว่าก็ไม่ชัดเจนเท่าเสียงหัวเราะจากในประตูบานนี้
เสียงหัวเราะนี้เหมือนมีดสั้นทะลวงเข้ามาในหูของหวังเล่อคังเป็นระยะๆ เขาแอบชำเลืองมองฟู่หมิงอวี่แวบหนึ่งก็เห็นชายหนุ่มเพียงแต่ก้มหน้าพลิกอ่านเอกสารในมือด้วยแววตาสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาด้านใน
แต่ถ้าไม่ได้ยินจริงๆ ทำไมเขาจะต้องหยุดอยู่ตรงนี้
เสียงในห้องดังขึ้นเรื่อยๆ หวังเล่อคังประหนึ่งมีเข็มแทงที่หลัง แทบอยากจะพุ่งเข้าไปตะโกนหยุดคนข้างใน ทว่าฟู่หมิงอวี่กลับสงบเยือกเย็น เขาไหนเลยจะกล้าเคลื่อนไหวก่อน
ผ่านไปครู่หนึ่งฟู่หมิงอวี่ก็ค่อยๆ ปิดเอกสารในมือแล้วส่งคืนให้หวังเล่อคังในสภาพเดิม หวังเล่อคังยื่นมือออกไปรับ แต่เอกสารกลับหยุดค้างห่างจากมือเขาไปเพียงเล็กน้อย
“นี่เป็นผลลัพธ์การปรับปรุงแก้ไขในช่วงนี้ของคุณเหรอ”
คำพูดเพียงประโยคเดียวทำให้หวังเล่อคังยืดหลังตรงทันที ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร
เรื่องนี้พูดแล้วก็น่าตลก สองเดือนก่อนบนเที่ยวบินหลักระหว่างประเทศของสายการบินเหิงซื่อเกิด ‘เรื่องราวดีงามชวนให้คนยกย่องสรรเสริญ’ ขึ้นมา เมื่อแอร์โฮสเตสชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจคนหนึ่งไม่ทันระวัง เผลอทำกาแฟหกใส่ผู้โดยสารระดับวีไอพี
ฐานะของผู้โดยสารท่านนี้ไม่ธรรมดา เขาเป็นลูกชายคนเล็กผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทอุตสาหกรรมเหล็กเจียงเฉิง
เนื่องด้วยอุบัติเหตุจากการให้บริการในครั้งนั้น ทั้งสองไม่ผูกความแค้น แต่กลับผูกสัมพันธ์กันแทน ความรักจึงก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉา
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็มักจะมีพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินเลียนแบบอยู่เงียบๆ ช่วงเวลานั้นจู่ๆ อัตราการเกิด ‘อุบัติเหตุ’ จากการให้บริการก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ไม่นานนักก็มีถูกผู้ถือหุ้นรายย่อยคนหนึ่งของสายการบินเหิงซื่อรู้เห็นเรื่องนี้เข้า และถือเป็นเรื่องตลก จึงนำไปเล่าให้ฟู่หมิงอวี่ฟัง
เรื่องของชายชอบหญิงรัก* พลังภายนอกไม่อาจขัดขวางได้ แต่การใช้ความได้เปรียบจากการทำงานมาปะปนกับความต้องการส่วนตัว นับเป็นข้อห้ามสำคัญของงานบริการ
ดังนั้นในการประชุมสรุปของแผนกในเดือนนั้น ฟู่หมิงอวี่จึงพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หวังเล่อคังก็รีบเสนอตัวทันทีว่าตนเองจะแก้ไขความวุ่นวายนี้เอง แต่ใครจะคิดว่าตอนที่หวังเล่อคังกำลังรายงานผลอยู่นั้น ‘ความวุ่นวาย’ ที่ว่าก็ถูกฟู่หมิงอวี่พบเข้าอย่างจังเสียแล้ว
“ถ้าพวกเธอไม่อยากทำงานนี้แล้ว สามารถบอกได้ทุกเมื่อ สายการบินเหิงซื่อไม่เคยบังคับให้ใครอยู่”
ฟู่หมิงอวี่ผ่อนแรงที่มือลง ในที่สุดเอกสารก็อยู่ในมือของหวังเล่อคัง
แม้จะเป็นเพียงกระดาษไม่กี่หน้า ทว่ากลับหนักเหมือนเหล็กหนึ่งจิน
บทที่ 2
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ประตูห้องประชุมยังคงปิดไม่สนิท คนที่ผ่านไปผ่านมาก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น เจียงจื่อเยวี่ยกระแอมสองที
“เอาล่ะ หยุดเสียงดังสักที อีกสักครู่กัปตันก็จะขึ้นมาแล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียง ประตูห้องประชุมก็ถูกผลักเปิดออก คนที่เข้ามาคือหวังเล่อคัง
ใบหน้าที่ยิ้มแฉ่งตลอดทั้งปีของเขายับย่นจนกลายเป็นก้อน ราวกับมีเมฆดำปกคลุมหนาทึบ แน่นอนว่าทุกคนต่างเดาได้ว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเสียแล้ว
คนทั้งห้องต่างมองหน้ากันอย่างตกตะลึง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากก่อน ทำได้เพียงกลั้นหายใจมองหวังเล่อคังอย่างใจจดใจจ่อ
หวังเล่อคังไปยืนอยู่หน้าโต๊ะประชุม เขาอยากระบายอารมณ์กรุ่นโกรธที่มีอยู่เต็มท้องออกมา สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อปกติคนคนนี้สุภาพเรียบร้อยจนเคยชินเสียแล้ว ต่อให้โกรธก็ไม่ค่อยตะคอกคนอื่นเท่าไร สุดท้ายก็แค่ยื่นนิ้วออกไปชี้คนสองสามคนตรงหน้า
“เรื่องที่พูดตอนประชุมครั้งก่อนลืมกันไปหมดแล้วเหรอ ผมจะบอกพวกคุณให้นะ ตั้งแต่วันนี้ไปประพฤติตัวดีๆ ให้ผมหน่อย หลังเลิกงานพวกคุณอยากทำอะไรก็ได้ตามสบาย แต่เวลางานวางตัวให้ดีๆ หน่อยก็แล้วกัน ถ้าหากยังทำเรื่องไร้สาระเหล่านี้อีกก็ไสหัวออกไปทั้งหมดนี่เลย!”
หร่วนซือเสียนขมวดคิ้วเล็กน้อย อีกสักครู่เธอต้องส่งจดหมายให้ฟู่หมิงอวี่บนเครื่องบิน
หวังเล่อคังคงไม่ได้เจาะจงถึงฉันหรอกนะ
คงไม่ใช่หรอกมั้ง เขาไม่น่าจะรู้นี่นา
ทว่าคนที่กำลังร้อนตัวมักจะรู้สึกว่าสายตาของคนอื่นล้วนมีนัยแอบแฝงเสมอ หร่วนซือเสียนเงยหน้าขึ้น อยากจะหาร่องรอยบางอย่างบนใบหน้าของหวังเล่อคัง แต่น่าเสียดายที่เห็นเพียงแผ่นหลังที่จากไปด้วยความโมโหเป็นฟืนเป็นไฟและประตูที่ยังคงสั่นไหวเล็กน้อยจากการถูกเหวี่ยงปิด แล้วทิ้งให้คนทั้งห้องประชุมสับสนงุนงง
“เหล่าต้าเป็นอะไรไปเหรอ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ วัยทองมาถึงแล้วมั้ง”
“ใครยั่วโมโหเขาเข้าแล้ว”
ทันใดนั้นก็มีคนได้สติขึ้นมา “เป็นเพราะวันนี้รองประธานฟู่อยู่บนเครื่องบินเที่ยวนี้ใช่หรือเปล่า”
“ไม่หรอกมั้ง วันนี้พวกเราก็แค่พูดกันเฉยๆ เอง เขาจะรู้ได้ยังไง”
“พอแล้ว” เจียงจื่อเยวี่ยในฐานะหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินพอจะรู้ว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พวกเธอเพิ่งพูดคุยล้อเล่นกัน “เตรียมตัวขึ้นเครื่อง”
สุดท้ายแล้วทุกคนก็ไม่กล้าฟันธงว่าทำไมหวังเล่อคังถึงโมโหและไม่กล้าพูดไร้สาระอีก เมื่ออยู่บนเครื่องบินทุกคนต่างประพฤติตัวอย่างอ่อนน้อมระมัดระวังเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึก
เมื่อกัปตันตรวจสอบรอบเครื่องบินเสร็จสิ้น ประตูขึ้นเครื่องบินก็เตรียมปล่อยให้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งขึ้นมา แต่ก่อนหน้านั้นต้องต้อนรับผู้โดยสารคนพิเศษท่านหนึ่งก่อน
กัปตันนำกลุ่มลูกเรือ เจียงจื่อเยวี่ยนำกลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินยืนอย่างเคารพนอบน้อมอยู่ที่ทางเข้าห้องผู้โดยสาร
เดิมทีหร่วนซือเสียนควรยืนอยู่แถวที่สอง แต่เธอตัวสูงที่สุด เมื่อยืนอยู่ในกลุ่มคนจึงสะดุดตาเกินไป ดังนั้นเลยต้องถอยลงไปยืนที่แถวสุดท้ายโดยอัตโนมัติ
ครึ่งนาทีต่อมาในที่สุดบุคคลท่านนั้นที่ทุกคนรอคอยก็ปรากฏตัวออกมาจากสะพานเทียบเครื่องบิน
เพียงชั่วพริบตาหร่วนซือเสียนก็รู้สึกว่าบรรยากาศโดยรอบมีการเปลี่ยนแปลง พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินสองสามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
ความมืดในยามค่ำคืนก่อนรุ่งสางเข้มข้นดั่งหมึก มีเพียงแสงสว่างสีขาวเรืองรองเปล่งออกมาจากทางเดิน
ฟู่หมิงอวี่สาวเท้าก้าวเข้ามา ในมือถือโทรศัพท์กำลังคุยสายอยู่ จนกระทั่งใกล้ทางเข้าห้องผู้โดยสาร เขาก็มองเห็นกลุ่มคนแน่นขนัด แล้วขมวดหัวคิ้วอย่างแทบไม่เป็นที่สังเกตและวางสายทันที ด้านหลังของเขาตามมาด้วยชายหนุ่มอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนหนึ่ง น่าจะเป็นผู้ช่วยหรือไม่ก็เลขาฯ
เมื่อคนทั้งสองเดินเข้ามาในเครื่องบินก็กวาดตามองทุกคนปราดหนึ่ง ทำให้เครื่องบินที่กว้างขวางใหญ่โตเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่กดดันอย่างไม่สามารถอธิบายได้
หร่วนซือเสียนลอบสังเกตเขาอย่างละเอียด ในใจเต้นรัวราวกับตีกลอง ไม่อยากจะเชื่อซือเสี่ยวเจินเลยจริงๆ นึกไม่ถึงว่ารูมเมตของเธอจะเพ้อฝันไปชั่วขณะว่าคนคนนี้จะใจอ่อนลงได้ เห็นได้ชัดว่าบนร่างของเขาล้วนมีคำว่า ‘ฉันไร้หัวใจ’ สี่คำนี้เต็มไปทั่วทั้งตัว
กัปตันที่อายุค่อนข้างมากยิ้มแฉ่งพลางกล่าว “รองประธานฟู่ ยินดีต้อนรับสู่การโดยสารกับพวกเราครับ”
ฟู่หมิงอวี่ยื่นมือไปจับมือกับเขาแล้วกล่าว “ลำบากคุณแล้ว” ออกมาหนึ่งประโยค ก่อนมองไปยังกลุ่มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ปะทะเข้ากับสายตาพินิจพิเคราะห์ของหร่วนซือเสียนโดยไม่ทันตั้งตัว
สายตาทั้งสองคู่ประสานกัน หร่วนซือเสียนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็ละสายตาออกไปแล้ว หลังจากนั้นก็ก้าวเข้าไปยังห้องผู้โดยสารชั้นหนึ่งทันที
เขามองข้ามเธออย่างไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย
หร่วนซือเสียนถึงขั้นรู้สึกว่าสายตาที่เห็นเมื่อครู่นี้เป็นเธอที่เข้าใจผิดไป
หลังจากเครื่องบินเข้าสู่ช่วงครูซ เหล่าพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินก็เริ่มทำหน้าที่ ขณะกำลังยุ่งอยู่ในห้องพัก พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชั้นหนึ่งสองสามคนก็อดไม่ได้ที่จะถกกันเบาๆ อย่างลับๆ เกี่ยวกับฟู่หมิงอวี่ที่นั่งอยู่ตรงแถวหน้าในเวลานี้
ขณะที่ผ่านฟู่หมิงอวี่ หร่วนซือเสียนเองก็แอบมองเขาเงียบๆ สองสามครั้งเช่นกัน เขาและเลขาฯ นั่งอยู่แถวเดียวกัน ไฟสำหรับอ่านหนังสือเหนือศีรษะเปิดอยู่ เพิ่มความลึกให้กับเค้าโครงบนใบหน้าของเขา
เมื่อเทียบกับภาพถ่ายแล้ว ตัวจริงดูดีกว่าเล็กน้อย
เขาเป็นลูกชายประธานคณะกรรมการบริหาร อยู่ในตำแหน่งสูงทั้งที่อายุยังน้อย ไม่แปลกที่จะทำให้ผู้คนคิดเพ้อฝัน
หร่วนซือเสียนคลำจดหมายฉบับนั้นในกระเป๋า เธอล่าถอยกลางคันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
บนโลกไหนเลยจะมีคนที่แสดงออกอย่างหนึ่ง แต่ในใจคิดอีกอย่างหนึ่งมากมายถึงเพียงนั้น แต่ไหนแต่ไรอุปนิสัยเฉพาะตัวของฟู่หมิงอวี่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเขายืนอยู่บนก้อนเมฆมาโดยตลอด แค่ได้ยินคำพูดดีๆ จากเขาเพียงหนึ่งในสิบส่วนอย่างคนทั่วไปก็เป็นความคิดที่เพ้อเจ้อแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเรียกร้องที่มากเกินควรจากเขาเลย
แต่อย่างที่ซือเสี่ยวเจินพูด ลองดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร ไม่ได้ก็ช่างมัน
เมื่อหร่วนซือเสียนคิดเช่นนี้ก็เดินช้าลงเล็กน้อย ครุ่นคิดว่าอีกสักครู่จะเอ่ยปากกับเขาอย่างไรดี
ประจวบเหมาะกับเวลานี้ควรเสิร์ฟกาแฟได้แล้ว หร่วนซือเสียนจึงมีกำลังใจขึ้นมาเล็กน้อยและรีบเดินไปยังห้องจัดเตรียมอาหารทันที
เจียงจื่อเยวี่ยก็เตรียมอาหารอยู่ข้างๆ เธอเช่นกัน กำลังกระฟัดกระเฟียดกับตู้แช่แข็ง ปากก็พูดพึมพำกับตัวเองไปด้วย หร่วนซือเสียนที่กำลังมีเรื่องครุ่นคิดอยู่ในใจไม่ได้สนใจฟัง จนกระทั่งเจียงจื่อเยวี่ยใช้นิ้วจิ้มเธอทีหนึ่ง
“เธอใจลอยอะไร”
หร่วนซือเสียนกระแอมสองทีเพื่อปิดบังความเก้อกระดาก “เมื่อกี้พี่พูดว่าอะไรนะคะ ฉันมัวแต่สนใจอุณหภูมิของกาแฟน่ะค่ะ”
เจียงจื่อเยวี่ยหันหน้ามองไปทางห้องผู้โดยสารอย่างระมัดระวังพลางกล่าว “อีกสักพักพวกเราสลับกันหน่อย ฉันจะไปให้บริการผู้โดยสารทางฝั่งซ้าย ส่วนเธอไปทางฝั่งขวา”
ฝั่งขวา ฟู่หมิงอวี่อยู่ด้านนั้น
หร่วนซือเสียนเม้มปาก ไม่ได้ตอบรับในทันที
เจียงจื่อเยวี่ยใช้หัวไหล่ชนเธอเบาๆ “ได้ไหม”
หร่วนซือเสียนฉีกยิ้มแล้วตอบตกลง จากนั้นก็ถาม “ว่าแต่ทำไมล่ะคะ”
เจียงจื่อเยวี่ยกำลังจัดวางผลไม้ใส่จาน จ้องมองส้มก่อนจะใช้ส้อมจิ้มไปหนึ่งที “แฟนเก่าฉันอยู่ฝั่งนั้น”
“หา?”
หร่วนซือเสียนหันไปมองข้างนอกแวบหนึ่ง เทียบกับการที่ขึ้นบินแล้วเจอเจ้านาย การเจอแฟนเก่ามีความเป็นไปได้น้อยยิ่งกว่า
หร่วนซือเสียนถามอีก “เมื่อวานพี่ไม่ได้ดูรายชื่อผู้โดยสารเหรอ ทำไมดูเหมือนไม่ได้เตรียมตัวเลยล่ะคะ”
“ฉันดูแล้วนะ แต่ทั้งโลกมีคนชื่อ ‘จางเหว่ย’ มากมายขนาดนี้ ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นเขา” เจียงจื่อเยวี่ยพูดอยู่ก็ทำส้มตกไปหนึ่งชิ้น เธอเก็บขึ้นมาแล้วโยนทิ้งลงถังขยะอย่างแรง “ซวยจริงๆ!”
หร่วนซือเสียนดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วกล่าวเสียงเบา “มีผู้โดยสารออกมาจากด้านนั้น พี่เบาเสียงลงหน่อยเถอะค่ะ”
เจียงจื่อเยวี่ยพยายามปรับอารมณ์ของตัวเอง ทว่ายังคงอดไม่ได้ที่จะกล่าว “ตอนที่เพิ่งขึ้นเครื่องยังจงใจพูดจาแทะโลมฉัน คนโง่ คนโง่เอ๊ย ผู้ชายทุกคนล้วนเป็นคนโง่กันหมด”
หร่วนซือเสียนตบไหล่เธอดังปุๆ เพื่อปลอบโยน “พี่ก็อย่าตื่นเต้นเกินไป แค่แฟนเก่าเท่านั้นเอง พี่ทำเหมือนเขาเป็นผู้โดยสารทั่วไปก็ได้แล้ว”
“ผู้โดยสารทั่วไปกับผีสิ ผู้โดยสารทั่วไปที่ไหนจะโง่งมแบบนั้น” เจียงจื่อเยวี่ยมองหร่วนซือเสียนอย่างเอาจริงเอาจัง “จริงสิ เธอยังเด็ก ถ้าเธอมีความรักสักสองสามครั้งก็จะรู้ว่าผู้ชายทุกคนล้วนเป็นคนโง่ทั้งนั้น”
หร่วนซือเสียนตอบรับอืมๆ สองคำก็รับปากจะสลับแถวกับเจียงจื่อเยวี่ย จากนั้นทั้งสองก็แยกกันเดินออกไป
หลังเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มทั้งแถวเสร็จแล้ว หร่วนซือเสียนก็รินกาแฟให้กับผู้โดยสารที่ต้องการทีละคน เมื่อเดินมาถึงปลายแถว เจียงจื่อเยวี่ยก็เดินไปพร้อมกับรถเข็นอาหารแล้ว เธอจึงหันหน้าไปมองที่แถวของฟู่หมิงอวี่ก็เห็นเขาก้มหน้ามองไอแพดที่อยู่บนโต๊ะ
ฝ่ามือของหร่วนซือเสียนร้อนขึ้นเล็กน้อย เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินไปทางฟู่หมิงอวี่
“คุณผู้ชายคะ คุณต้องการกาแฟไหมคะ”
ฟู่หมิงอวี่ไม่ได้เงยหน้า เพียงแต่ยื่นมือออกมาดันแก้ว “ขอบคุณ”
หร่วนซือเสียนก้มตัวรินกาแฟเรียบร้อยแล้วก็หยุดไปพักหนึ่ง ไม่ได้จากไปในทันที
เมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอ ฟู่หมิงอวี่ก็ช้อนตาขึ้นมามอง ดวงตาทั้งสองของเขาแคบและยาว เปลือกตาสองชั้นทรงพัดเปิดออกเล็กน้อย ทำให้ความดุดันบนใบหน้าลดลง ทว่าหางตาที่ชี้ขึ้นทำให้เขาดูหยิ่งยโสขึ้นมาหลายส่วน เพียงแค่เขาชำเลืองมองผู้คนอย่างเย็นชา ต่อให้ทิวทัศน์งดงามเพียงใดก็เต็มไปด้วยน้ำแข็ง หร่วนซือเสียนจึงหลบตาด้วยความผิดหวัง
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมง เลขาฯ ของฟู่หมิงอวี่ก็เรียกเธอให้ไปเติมกาแฟ
หร่วนซือเสียนหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมา รองไว้ใต้เหยือกกาแฟแล้วเดินไปอีกครั้ง
หลังจากรินกาแฟให้เลขาฯ แล้ว เธอก็หันหน้ามามองฟู่หมิงอวี่ เขายังคงถือไอแพดอยู่ ในหน้าจอเป็นภาพสามมิติแสดงโครงสร้างภายในเครื่องบิน ภาพนั้นชัดมาก แต่เขาก็ยังขยายเพื่อดูรายละเอียด นิ้วมือเอาแต่เลื่อนอยู่บนหน้าจอ ท่าทางราวกับปิดกั้นผู้คนรอบด้านโดยอัตโนมัติ
เขามีท่าทีจดจ่อขนาดนี้ หร่วนซือเสียนก็รู้สึกเกรงใจอย่างมากที่จะรบกวนเขา แต่จดหมายฉบับนั้นที่รองอยู่ใต้เหยือกกาแฟกำลังเตือนเธออยู่ตลอดเวลาว่าเวลาไม่รอคน เวลาไม่รอคน
แต่เขาดูยุ่งมากจริงๆ แม้ว่าจะส่งให้เขาแล้วก็ไม่แน่ว่าเขาจะอ่าน
ขณะที่ความถูกต้องและความต้องการส่วนตัวในใจของหร่วนซือเสียนกำลังต่อสู้กัน เลขาฯ ก็เอ่ยปากถาม “ยังมีอะไรอีกไหมครับ”
หร่วนซือเสียนตึงเครียดจนจิตใจไม่สงบ จากนั้นก็กล่าวเสียงเบา “คุณต้องการกาแฟอีกไหมคะ”
เลขาฯ เลิกคิ้วขึ้น นิ้วมือเคาะถ้วยกาแฟตรงหน้า ทำให้เห็นว่าข้างในยังเหลือกาแฟอีกครึ่งถ้วย หร่วนซือเสียนเข้าใจทันทีว่าเขาไม่ต้องการแล้ว จึงหันไปทางฟู่หมิงอวี่อีกครั้ง
“คุณต้องการกาแฟอีกไหมคะ”
ฟู่หมิงอวี่งอนิ้วเล็กน้อยก่อนยันไว้ใต้คาง แล้วลูบเบาๆ จากนั้นถึงค่อยเงยหน้าขึ้นมองหร่วนซือเสียน
“ไม่ต้อง”
ตั้งแต่ตอนที่เขาช้อนตาขึ้นมามอง หร่วนซือเสียนก็รู้แล้วว่าเขาต้องตอบแบบนี้ ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายสักนิด เธอจึงพยักหน้าแล้วเดินจากไป
ทว่าฟู่หมิงอวี่กลับช้อนตาขึ้นมองแผ่นหลังของเธอ แววหมดความอดทนในดวงตายิ่งเข้มข้นขึ้น ขณะที่เลขาฯ กลับยิ้มอยู่ข้างๆ แต่เมื่อฟู่หมิงอวี่หันไปมอง เลขาฯ ก็รีบหุบยิ้มทันทีและยื่นกระดาษหนึ่งแผ่นมาให้
“นี่คือร่างเอกสารการประมูลของ ACJ31 ครับ”
ขณะที่ฟู่หมิงอวี่รับเอกสารมาก็มองแผ่นหลังที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
หวังเล่อคังนี่ทำงานยังไง
ผ่านไปครู่หนึ่งแอร์โฮสเตสคนเดิมก็ยกกาแฟกลับมาอีกครั้งอย่างที่เขาคิดไว้ ในมือของเธอคล้ายถือของบางอย่างอยู่ ดูเหมือนจะเป็นจดหมายหนึ่งฉบับ
สีชมพู
ฟู่หมิงอวี่เงยหน้ามองหร่วนซือเสียนเขม็ง ผู้หญิงตรงหน้าสวมเครื่องแบบสีฟ้าอ่อนแบบดั้งเดิมของสายการบินเหิงซื่อ ใบหน้างดงาม เธอมีรูปร่างผอมสูง เอวบาง ขายาว เรียกได้ว่ารูปร่างดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด
แต่น่าเสียดาย สวยก็สวยอยู่หรอก แต่ไม่มีจุดให้จดจำแม้แต่น้อย แต่งหน้าจัด ริมฝีปากแดง รอยยิ้มแข็งทื่อ รสนิยมแย่เหลือทน
หร่วนซือเสียนเห็นฟู่หมิงอวี่สังเกตเธออย่างละเอียดโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ก็เริ่มคิดว่าคำขอร้องของตนไม่สมเหตุสมผล จึงยิ่งตึงเครียด ในสมองส่งเสียงดังหึ่งๆ ลำคอตีบตัน ก่อนกล่าวเสียงเบา
“คุณผู้ชายคะ คุณต้องการกาแฟอีกไหมคะ”
ตอนที่พูดคำนี้เธอจับจดหมายใต้เหยือกกาแฟฉบับนั้นไว้แน่น นิ้วมือลูบไล้ด้วยท่าทีที่ไม่สงบ จากนั้นก็ดึงจดหมายออกมาช้าๆ ครุ่นคิดว่าควรส่งให้ตอนไหนจึงจะเหมาะสม
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้อยู่ในสายตาของฟู่หมิงอวี่ทั้งสิ้น เขามองเห็นแม้กระทั่งสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่ก็ลังเลที่จะพูดปรากฏออกมาอย่างชัดเจนบนใบหน้าเธอ ดังนั้นเขาจึงปิดหน้าจอไอแพด พับแขนเสื้อขึ้นหนึ่งทบและกล่าวอย่างไม่แยแส
“งานนี้คุณไม่อยากทำแล้วใช่หรือเปล่า”
หร่วนซือเสียนตะลึงงันไปครู่หนึ่งพลางนึกถึงเนื้อหาในจดหมายฉบับนั้น แล้วกล่าวออกมา “ค่ะ ฉันไม่อยากเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินเหิงซื่อแล้ว ฉันอยากเป็น…”
ฟู่หมิงอวี่หมุนข้อมือเบาๆ เปลือกตายกขึ้น แล้วเอ่ยปาก “บอสหญิง?”
“…หือ?”
“ไม่สู้คุณฝันเสียดีกว่า”
“…”
หร่วนซือเสียนไม่ขยับเขยื้อนอยู่นาน ในสมองมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น
ผู้ชายทุกคนล้วนเป็นคนโง่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ธ.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.