บทที่ 2
เจี่ยนเหยียนรู้สึกว่าดวงตาของสวีจ้งเซวียนเป็นเหมือนทะเลสาบในวันฟ้าครึ้ม สลัวมัวและดูลึกไม่เห็นก้นบึ้ง มองไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าเป็นคนเช่นไร
แต่ก็จริง คนที่อายุเพียงเท่านี้ก็สามารถครองตำแหน่งรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายของกรมพิธีการได้แล้วจะเป็นแค่คนธรรมดาไปได้อย่างไรกัน
นางหันหน้าหนี ขณะเดียวกันก็ตัดสินใจว่าวันหน้านางจะอยู่ให้ห่างจากสวีจ้งเซวียนสักหน่อยดีกว่า นางมองไม่ออกว่าเขาเป็นคนเช่นไร แต่เวลาที่เขามองมานางกลับรู้สึกว่าเขาสามารถมองตนเองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ทว่าความจริงสายตาของสวีจ้งเซวียนแค่กวาดผ่านเจี่ยนเหยียนไปครู่เดียวเท่านั้น จากนั้นก็มองไปยังสวีเมี่ยวหนิงที่ยืนอยู่ด้านข้างนางแทน
สวีเมี่ยวหนิงรู้สึกหวาดกลัวพี่ใหญ่ของนางมาโดยตลอดอยู่แล้ว ยามนี้เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเขาก็ขนลุกซู่ สองมือกอดแขนเจี่ยนเหยียนแน่นคล้ายขอความช่วยเหลือขณะเอ่ยเสียงตะกุกตะกักว่า “พี่…พี่ใหญ่ นี่…นี่คือ…ญาติผู้พี่ของข้าเจ้าค่ะ”
เจี่ยนเหยียนลอบทอดถอนใจ คำแนะนำนี้ของสวีเมี่ยวหนิงไม่ได้เรื่องจริงๆ ไร้นามไร้สกุล แค่คำว่า ‘ญาติผู้พี่ของข้า’ นับเป็นอะไรกัน
ดังนั้นนางจึงย่อกายลงพลางเอ่ยเสียงเบาโดยมี ‘เครื่องประดับ’ อย่างสวีเมี่ยวหนิงกอดแขนเอาไว้ “เจี่ยนเหยียนคารวะคุณชายใหญ่”
เช่นนี้ก็ถือว่าข้าแนะนำตนเองแล้วกระมัง
สวีจ้งเซวียนเองก็ประสานมือคารวะนางกลับพร้อมเอ่ยเรียกอย่างสุภาพและห่างเหิน “คุณหนูเจี่ยน”
น้ำเสียงของเขาใสกระจ่างประหนึ่งเสียงทองคำกับหยกดังกระทบกัน
ยามนั้นเจี่ยนเหยียนจึงถามสวีเมี่ยวหนิงเบาๆ ว่าคุณหนูที่ยืนอยู่ข้างสวีจ้งเซวียนผู้นั้นเป็นใคร หลังได้รู้ว่าเป็นอู๋จิ้งเซวียนนางก็ผุดรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมาบนใบหน้า ย่อกายลงเอ่ย “คารวะคุณหนูอู๋”
ก่อนหน้านี้ดวงตาวาววับของอู๋จิ้งเซวียนเอาแต่มองสำรวจเจี่ยนเหยียนเงียบๆ เมื่อเห็นเจี่ยนเหยียนคารวะให้นาง นางจึงรีบคารวะตอบเช่นกัน บนใบหน้าประดับรอยยิ้มอ่อนหวาน “คารวะคุณหนูเจี่ยน”
หลังทักทายกันเรียบร้อยเจี่ยนเหยียนก็รู้สึกว่าตนเองกับพวกเขาไม่มีอะไรให้พูดคุยกัน จึงยิ้มน้อยๆ หันหน้าไปด้านข้าง ทอดสายตามองดูใบอ่อนสีเหลืองที่งอกออกมาจากกิ่งของต้นการบูรแทน
เสียงของสวีจ้งเซวียนดังขึ้นอย่างนุ่มนวล “น้องหญิงสามมาหาจิ่นเอ๋อร์หรือ”
สวีเมี่ยวหนิงแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว มือบีบแขนเจี่ยนเหยียนแน่นขึ้นกว่าเดิม เหตุใดข้าต้องหาเรื่องตายวิ่งมาอวดถุงพกใบใหม่ที่เพิ่งได้มากับน้องหญิงสี่ยามนี้ด้วย คราวนี้ถึงได้เจอหน้าพี่ใหญ่ตรงๆ
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรก็มาแล้ว ต่อให้ต้องโกหกต่อหน้าก็ต้องทำให้พี่ใหญ่เชื่อข้าให้ได้!
ดังนั้นนางจึงปั้นหน้าอมทุกข์ ตอบไปว่า “จะ…เจ้าค่ะ ข้า…ข้าอยากให้น้องหญิงสี่ได้เจอญาติผู้พี่ข้า”
“เมื่อวานจิ่นเอ๋อร์เป็นหวัด เพิ่งกินยาพักผ่อนไป เจ้ารอสักพักค่อยมาใหม่เถอะ”
สวีเมี่ยวหนิงประหนึ่งรอดตาย แทบอยากดึงตัวเจี่ยนเหยียนหันตัวกลับเดินจากไปทันที แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงราบเรียบของสวีจ้งเซวียนดังขึ้นอีกครั้ง…
“จิ้นเฟิ่งเทียที่ข้าให้เจ้าคัดเมื่อไม่กี่วันก่อนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘จิ้นเฟิ่งเทีย’ หางตาเจี่ยนเหยียนก็กระตุกเล็กน้อย ด้วยความที่หลายปีมานี้นางคัดแบบตัวอักษรนี้อยู่บ่อยๆ พอได้ยินสามพยางค์นี้จึงรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก
สวีเมี่ยวหนิงกลับจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ น้ำเสียงแผ่วเบาลงเรื่อยๆ “ข้า…ข้าคัดไปแค่แผ่นเดียวเจ้าค่ะ”
“ห้าสิบแผ่น วันหยุดครั้งหน้าเอามาส่งให้ข้าด้วย”
เสียงของสวีจ้งเซวียนไม่ได้ดังมาก ทว่าราบเรียบและหนักแน่น ให้ความรู้สึกว่าไม่ยอมให้โต้แย้งโดยสิ้นเชิง
ขุนนางในยุคสมัยนี้ได้หยุดพักทุกห้าวัน ห้าวันห้าสิบแผ่น ถ้าอย่างนั้นก็วันละสิบแผ่น เจี่ยนเหยียนแอบจุดเทียนไว้อาลัยสวีเมี่ยวหนิงในใจเงียบๆ
เจี่ยนเหยียนคิดว่ายามนี้นางเข้าใจเหตุผลที่สวีเมี่ยวหนิงกลัวสวีจ้งเซวียนมากเพียงนี้แล้ว หากนางมีพี่ชายเช่นนี้ก็คงไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเช่นเดียวกัน
ทว่าเมื่อได้เห็นสีหน้าประดุจญาติเสียของสวีเมี่ยวหนิง นางก็รู้สึกทนไม่ได้อยู่บ้าง ดังนั้นจึงยื่นมือออกไปตบหลังมือสวีเมี่ยวหนิงเบาๆ ก่อนหันร่างกลับมา บนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ทั้งสุภาพและเหมาะสม
“ข้ากับญาติผู้น้องยังมีธุระอื่นอีก ไม่ขอรบกวนคุณชายใหญ่กับคุณหนูอู๋แล้ว” เอ่ยจบนางก็ผงกศีรษะให้ทั้งสองคนแทนการคารวะ จากนั้นก็หันตัวกลับพาสวีเมี่ยวหนิงเดินจากไป
จนกระทั่งเดินออกมาไกลมากเจี่ยนเหยียนจึงสัมผัสได้ว่าสวีเมี่ยวหนิงคลายมือที่จับแขนนางไว้เสียแน่นออก ก่อนอีกฝ่ายจะเอ่ยเสียงเบาออกมาอย่างหมดแรง “พี่สาว”
เจี่ยนเหยียนจึงยิ้มถาม “ว่าอย่างไร มีอะไรหรือ”
สวีเมี่ยวหนิงเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนเหยียนอย่างจริงใจ ชั่วขณะนี้นางรู้สึกว่าดวงตาที่แฝงรอยยิ้มของคนตรงหน้าราวกับแอ่งน้ำแร่ ดูชุ่มฉ่ำหาใดเปรียบ
“พี่สาว เมื่อครู่นี้ท่านร้ายกาจเกินไปแล้วจริงๆ ไม่นึกว่าจะไม่กลัวพี่ใหญ่ข้าสักนิดเดียว ท่านไม่รู้หรอกว่าเมื่อครู่ตอนเจอหน้าพี่ใหญ่ ขาข้าสั่นอยู่ด้วยซ้ำ หากไม่มีท่านคอยอยู่ข้างๆ ข้าจะต้องตกใจจนทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างแน่นอน!”
เจี่ยนเหยียนเห็นสีหน้าของสวีเมี่ยวหนิงที่กำลังชื่นชมตนเอง รอยยิ้มในดวงตานางก็ยิ่งลึกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ สวีจ้งเซวียนไม่ใช่พี่ใหญ่นาง ทั้งไม่มีทางบังคับนางคัดอักษร นางมีเรื่องใดให้กลัวกัน ทว่านางอยากจะหยอกล้อสวีเมี่ยวหนิง จึงเอ่ยถามออกไป “เจ้ากลัวพี่ใหญ่เจ้าเพียงนี้เพราะเหตุใดกัน พี่ใหญ่เจ้าดุมากหรือ”
สวีเมี่ยวหนิงเอียงศีรษะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าตอบ “ความจริงเขาก็ไม่ได้ดุ อย่างน้อยข้าก็ไม่เคยเห็นเขาโมโหใส่พวกเรามาก่อน แต่ต่อให้เขาไม่พูด แค่ยืนมองข้าเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ข้าก็รู้สึกกลัวแล้ว”
เจี่ยนเหยียนรู้ว่านี่คือกลิ่นอายกดดันที่คนเป็นผู้นำสั่งสมมาหลายปี ต่อให้เขาไม่พูดอะไร แค่ยืนอยู่เฉยๆ คนทั่วไปก็จะรู้สึกกดดันและหวั่นเกรงต่อเขาแล้ว
“อีกอย่างพี่สาว ท่านรู้หรือไม่ พี่ใหญ่ข้าเรียกได้ว่าไม่ใช่คน ข้าได้ยินท่านแม่ข้าบอกว่าพี่ใหญ่รู้หนังสือตั้งแต่อายุสามขวบ อายุเจ็ดขวบก็เข้าใจคัมภีร์ทั้งหกตอนอายุสิบสองสอบเซียงซื่อผ่านเป็นเจี้ยหยวน อายุสิบแปดสอบฮุ่ยซื่อผ่านเป็นฮุ่ยหยวน ในการสอบเตี้ยนซื่อภายหลังยังเป็นจ้วงหยวนที่ฮ่องเต้ทรงยอมรับ ร้ายกาจยิ่ง!”
เจี่ยนเหยียนผงกศีรษะ สวีจ้งเซวียนอายุเพียงสิบแปดปีก็สอบผ่านขุนนางทั้งสามสนามเป็นอันดับหนึ่ง แค่นี้ก็เป็นเด็กเทพในตำนานแล้ว ซ้ำจะต้องเป็นเด็กเทพขั้นสุดยอดผู้หนึ่งแน่ๆ
จากนั้นนางก็คิดต่อว่ารุ่นพี่ที่นางแอบรักเมื่อภพชาติก่อนก็เป็นเด็กเทพเหมือนกัน สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นอันดับหนึ่งของเมือง ซ้ำยังได้คะแนนเต็มทุกวิชา ดังนั้นต่อให้เขาจะเข้ามหาวิทยาลัยไปแล้ว แต่รูปภาพของเขาก็ยังคงถูกแปะไว้ในป้ายประกาศของโรงเรียน คอยเฆี่ยนตีรุ่นน้องอย่างพวกนางให้คอยเอาเขาเป็นแบบอย่างตลอดเวลา
เพราะว่าเคยพบเจอเด็กหัวกะทิมาแล้ว ดังนั้นพอได้ยินเรื่องราวอันทรงเกียรติเหล่านี้ของสวีจ้งเซวียน เจี่ยนเหยียนจึงดูเฉยชาอย่างมาก
สวีเมี่ยวหนิงจึงยิ่งนับถือเจี่ยนเหยียนมากกว่าเดิม เพราะคนอื่นๆ ตอนที่เพิ่งได้ยินเรื่องพวกนี้ของพี่ใหญ่นางไม่มีผู้ใดไม่แสดงสีหน้าตกตะลึงหรือสีหน้านับถืออย่างมากออกมา
“พี่สาว” สวีเมี่ยวหนิงกลับมากอดแขนเจี่ยนเหยียนแน่นอีกครั้ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองนางด้วยสีหน้าจริงใจ และเอ่ยอย่างจริงจัง “วันหน้าข้าจะติดตามท่าน!” เพราะว่าญาติผู้พี่นางไม่กลัวพี่ใหญ่ วันหน้าขอแค่เป็นสถานการณ์ที่มีพี่ใหญ่นางอยู่ นางก็จะลากญาติผู้พี่ไปด้วยกัน หากเห็นว่าสถานการณ์ไม่เข้าทีก็จะหลบไปซ่อนอยู่ด้านหลังญาติผู้พี่ทันที
เมื่อเจี่ยนเหยียนได้ยินคำพูดเด็กน้อยเช่นนี้จากสวีเมี่ยวหนิงก็อดหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้ หลังหัวเราะก็ตบหลังมือนางเอ่ยว่า “หากข้าเป็นเจ้า ยามนี้จะยังไม่คิดถึงเรื่องว่าจะติดตามใคร แต่จะรีบกลับไปคัดจิ้นเฟิ่งเทียให้เสร็จก่อน นั่นต่างหากจึงจะถูกต้อง”
หลังได้ยินเช่นนั้นสวีเมี่ยวหนิงก็ร้องโอดครวญออกมายาวๆ ดวงตาที่ทอประกายระยับมืดหม่นลงไปทันที
และขณะเดียวกับที่เจี่ยนเหยียนกับสวีเมี่ยวหนิงเดินไปจากเรือนหนิงชุ่ย อู๋จิ้งเซวียนก็เอ่ยถามสวีจ้งเซวียนขึ้นมาอย่างเขินอาย “พี่ชาย ข้ามีเรื่องเกี่ยวกับการคัดอักษรบางอย่างต้องการสอบถามท่าน ท่าน…ท่านพอจะมีเวลาหรือไม่” นางรู้ว่าสวีจ้งเซวียนชอบคัดอักษร ดังนั้นระยะนี้นางจึงคอยฝึกคัดอักษรอย่างยากลำบาก เพราะคิดอยากอาศัยเรื่องนี้เป็นตัวกลางไปมาหาสู่กับเขาบ่อยๆ
สวีจ้งเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าตอนที่หันหน้าไปกลับมองไม่ออกสักนิด
“ข้ายังมีธุระบางอย่าง ตอนนี้ยังไม่ว่าง” เสียงของเขาฟังดูนุ่มนวล แต่ต่อให้นุ่มนวลกว่านี้ก็ยังเป็นประโยคปฏิเสธอยู่ดี “หากญาติผู้น้องชอบคัดอักษร ทางข้ายังมีแบบคัดอักษรอยู่อีก ไว้ให้ฉีซังนำไปมอบให้เจ้าอีกทีก็แล้วกัน”
รอยยิ้มบนใบหน้าอู๋จิ้งเซวียนแข็งค้างไป ทว่าก็ได้แต่ตอบรับว่า “เช่นนั้นก็รบกวนพี่ชายแล้ว”
สวีจ้งเซวียนผงกศีรษะให้นาง จากนั้นก็หันตัวเดินไปทางห้องหนังสือของตนเอง ฉีซังที่ยืนรออยู่ด้านข้างก็รีบก้าวตามไปเช่นกัน
ห้องหนังสือของสวีจ้งเซวียนอยู่ด้านหลังป่าเหมย ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิดอกเหมยเหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว ใบไม้ก็ยังไม่ทันงอกออกมา มีเพียงกิ่งไม้สีน้ำตาลคดงอไหวไปมาในสายลมฤดูใบไม้ผลิ
อู๋จิ้งเซวียนยืนอยู่บนขั้นบันไดหินด้านหน้าเรือนหนิงชุ่ย สายตามองตามเงาร่างของสวีจ้งเซวียนที่เดินเข้าไปในผืนป่าเหมย จนกระทั่งผ่านประตูวงเดือนและลับหายไปในที่สุด
สาวใช้เสวี่ยหลิ่วที่ยืนอยู่ด้านหลังนางเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ลอบถอนหายใจ ก่อนเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “คุณหนู พวกเราก็กลับไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
สายลมพัดเส้นผมตรงจอนผมของอู๋จิ้งเซวียนขึ้นมาปัดผ่านใบหน้าขาวกระจ่างอ่อนนุ่มของนางอย่างแผ่วเบา
นางเก็บสายตากลับมาแล้วก้าวลงจากขั้นบันไดหิน
สองฟากของบันไดมีต้นหญ้าชุ่ยอวิ๋นงอกขึ้นมาเป็นพุ่มๆ ใบสีน้ำเงินอมเขียว ใบเรียวยาว เวลาที่ลมพัดก็จะโบกไสวไปมา
“เสวี่ยหลิ่ว” นางพลันเอ่ยปาก “คุณหนูเจี่ยนคนเมื่อครู่นี้ เจ้าไปสืบความเป็นมาของนางที”
เมื่อครู่นี้นางคอยสังเกตเจี่ยนเหยียนเงียบๆ อยู่ตลอด เห็นว่าแม้นางจะอายุน้อยเพียงสิบสามสิบสี่ปี แต่รูปโฉมกลับงดงามพริ้มเพรา ซ้ำยังมีความใจกว้าง รู้จักรุกถอยอันหาได้ยาก ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ นางก็รู้สึกหัวใจบีบรัดแน่นขึ้นมา…
หลังสวีจ้งเซวียนกลับไปที่ห้องหนังสือได้ไม่นาน ชุ่ยผิงสาวใช้รุ่นใหญ่ของจี้ซื่อก็นำของขวัญของเจี่ยนฮูหยินมาส่งมอบให้
ฉีซังเป็นคนรับมา ก่อนจะค้อมตัวน้อยๆ ยื่นกล่องไม้การบูรส่งต่อไปตรงหน้าสวีจ้งเซวียนด้วยสองมือ
เมื่อสวีจ้งเซวียนเปิดออกก็เห็นว่าข้างในเป็นแท่นฝนหมึกหินไหมแดงหนึ่งอัน น้ำหมึกเถ้าไม้สนสองตลับ แล้วยังมีที่ทับกระดาษหยกขาวอีกก้อนด้วย
แท่นฝนหมึกหินไหมแดงกับน้ำหมึกเถ้าไม้สนก็ไม่เท่าใดนัก แต่ที่ทับกระดาษหยกขาวก้อนนั้นถึงกับใช้ไม้จื่อถานชั้นดีเป็นฐาน แกะสลักเป็นทรงสัตว์มงคลคาบเห็ดหลินจือ เนื้อหยกเนียนอุ่น นับว่าล้ำค่ามาก
สวีจ้งเซวียนแค่หยิบขึ้นมาถือเล่นสักพักก็วางที่ทับกระดาษหยกขาวก้อนนี้ลงบนโต๊ะหนังสือ ไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
ในตอนนั้นก็มีบ่าวรับใช้เข้ามาแจ้งอีกว่าไฉ่จู…สาวใช้ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ามาเยือน
ไฉ่จูมีใบหน้ารูปไข่เป็ด รูปร่างดี หน้าตาน่ามอง นางเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่คนสำคัญที่สุดของอู๋ซื่อ
“คารวะคุณชายใหญ่” ไฉ่จูย่อกายลงให้สวีจ้งเซวียนก่อนเอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าส่งบ่าวมาเรียนให้ท่านทราบว่าวันนี้ครอบครัวพี่สาวจากสกุลเดิมของฮูหยินห้ามาถึงจวนแล้ว ตอนเย็นฮูหยินผู้เฒ่าจะจัดงานเลี้ยงที่ห้องโถงเป็นการต้อนรับพวกเขา ขอให้ท่านไปเข้าร่วมด้วยเจ้าค่ะ”
สวีจ้งเซวียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงได้ตอบรับ “เข้าใจแล้ว”
ไฉ่จูคารวะให้เขาอีกครั้ง จากนั้นจึงล่าถอยออกไป…
ที่แท้ตอนที่สวีเมี่ยวหนิงดึงตัวเจี่ยนเหยียนออกไปช่วงนั้น จี้ซื่อได้เอ่ยกับเถาหมัวมัวคนสนิทของตนเองว่า “ในเมื่อพี่สาวนำของขวัญมาให้ทุกคน เช่นนั้นพวกเราก็ต้องช่วยส่งไปให้แต่ละคนแทนนาง ด้านเกอเอ๋อร์กับเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าให้ชุ่ยเสี่ยวกับชุ่ยผิงแยกกันนำสาวใช้ไปส่งให้ทีละคน ทางพวกพี่สะใภ้ เถาหมัวมัว เจ้าพาสาวใช้สองคนแวะไปสักรอบก็แล้วกัน ส่วนทางฮูหยินผู้เฒ่าข้าจะนำไปให้ด้วยตนเอง”
รอตอนที่จี้ซื่อไปหาอู๋ซื่อแล้วมอบของขวัญที่เจี่ยนฮูหยินนำมาให้เรียบร้อย เนื่องจากแต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งของล้ำค่ายิ่ง อู๋ซื่อเห็นแล้วย่อมรู้สึกดีใจ จึงบอกว่าตอนเย็นจะจัดงานเลี้ยงให้เชิญเจี่ยนฮูหยินกับบุตรชายบุตรสาวของนางมา ถือเสียว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับพวกเขา หลังจี้ซื่อกลับไปจะต้องไปบอกกับพวกเจี่ยนฮูหยินดีๆ ให้พวกนางมาร่วมงานเลี้ยงตอนเย็นให้ได้
จี้ซื่อรับปาก จากนั้นอู๋ซื่อก็สั่งให้สาวใช้แยกกันไปบอกเรื่องนี้กับคนอื่นๆ ในจวน ตอนนี้ไฉ่จูก็ไปพูดเรื่องนี้กับสวีจ้งเซวียนแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรอู๋ซื่อก็เป็น ‘ท่านย่าในนาม’ ของสวีจ้งเซวียน ในเมื่อนางพูดเช่นนี้แล้วและตอนนี้ตนเองก็พักผ่อนอยู่ที่เรือน ย่อมต้องรับปากว่าจะไป
ช่วงพลบค่ำ รอตอนที่สวีจ้งเซวียนไปถึงเรือนซงเฮ่อของอู๋ซื่อ ก็ได้เห็นว่าภายในห้องมีคนที่เขาไม่รู้จักเพิ่มขึ้นมาสามคน
แม้เขาจะไม่รู้จักหญิงวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มผู้นั้น แต่คิดว่าก็คงเป็นเจี่ยนฮูหยินกับบุตรชายคนโตของนาง ส่วนเด็กสาวอีกคนก็คือคนที่เขาได้เจอที่ด้านหน้าประตูเรือนหนิงชุ่ยเมื่อตอนกลางวัน
เขาเก็บสายตาสำรวจของตนเองกลับมาเหมือนไม่มีเรื่องอะไร จากนั้นก็คารวะให้อู๋ซื่อ “หลานคารวะท่านย่า”
อู๋ซื่อกำลังนั่งกอดเด็กสาวชุดสีแดงอยู่บนตั่งหลัวฮั่น บนใบหน้าประดับรอยยิ้มใจดี เมื่อเห็นสวีจ้งเซวียนคารวะให้นาง นางก็โบกมือยิ้มเอ่ย “ข้ารู้ว่าเจ้ามีธุระยุ่ง เพียงแต่วันนี้ครอบครัวพี่สาวของน้าสะใภ้ห้าเจ้ามาถึงจวน ก็เลยเรียกเจ้ามาด้วย ทุกคนได้มากินอาหารร่วมกันและพบหน้ากันย่อมเป็นเรื่องดี”
เจี่ยนเหยียนอยู่ด้านข้างได้ยินแล้วรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
ตามหลักแล้วอู๋ซื่อเป็นย่าของสวีจ้งเซวียน ทว่าเหตุใดนางฟังอู๋ซื่อพูดเช่นนี้กลับคล้ายกำลังอธิบายให้สวีจ้งเซวียนฟัง ซ้ำเวลาอู๋ซื่อพูดกับสวีจ้งเซวียนยังแฝงความระมัดระวังและประจบประแจงเอาไว้ ไม่มีความสนิทสนมอย่างที่ย่าหลานควรมีให้กันเลย
และช่วงที่เจี่ยนเหยียนกำลังประหลาดใจนั้นเอง จี้ซื่อก็พาสวีจ้งเซวียนไปทำความรู้จักเจี่ยนฮูหยินแล้ว ก่อนเรียกให้เจี่ยนชิงกับเจี่ยนเหยียนมาหาต่อ
เจี่ยนชิงจะต้องได้ยินคนเล่าประวัติอันเก่งกาจของเด็กหัวกะทิสวีมาแล้วเป็นแน่ สายตาที่มองสวีจ้งเซวียนในยามนี้จึงเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ได้เห็นคิงคองยักษ์ในสวนสัตว์เป็นครั้งแรก มีความหวั่นเกรง ทว่าก็ยังอยากเข้าไปดูใกล้ๆ และพูดคุยด้วย
เมื่อถึงคราวเจี่ยนเหยียนนางกลับแค่หลุบตาลงน้อยๆ ไม่ได้มองสวีจ้งเซวียน ก่อนจะย่อกายคารวะอย่างสำรวมพร้อมเอ่ยเรียกสั้นๆ ว่า “คุณชายใหญ่”
สวีจ้งเซวียนเองก็ประสานมือตอบและแค่เอ่ยเรียก “คุณหนูเจี่ยน” กระชับสั้นเช่นกัน เท่านี้ก็นับว่าทั้งสองคนได้ทักทายกันแล้ว
จากนั้นก็ได้ไปทักทายฮูหยินกับบุตรชายบุตรสาวของบ้านที่เหลือของสกุลสวีต่อ หลังพูดคุยกันสักพักก็มีสาวใช้กับบ่าวหญิงอาวุโสเดินเข้ามาตั้งโต๊ะอาหาร
อาหารมื้อหนึ่ง ฉากหน้าก็นับว่ากินกันอย่างปรองดองมีความสุข หลังกินเสร็จเจี่ยนฮูหยินก็พาเจี่ยนเหยียนไปนั่งร่วมพูดคุยกับอู๋ซื่อ หลังสนทนาเรื่อยเปื่อยกันครู่หนึ่งถึงได้บอกลากลับไป
ทันทีที่พวกนางจากไป อู๋ซื่อก็เอนตัวลงวางแขนข้างหนึ่งเท้าอยู่บนหมอนหนุนสีน้ำเงินเข้มทอลายมังกรตัวเล็ก สนทนาสัพเพเหระกับจู้หมัวมัวคนสนิทของตนเอง แต่ก็แค่พูดเรื่องครอบครัวเจี่ยนฮูหยินเท่านั้น แน่นอนว่าความหมายโดยนัยแฝงอาการดูถูกพวกเจี่ยนฮูหยินที่เป็นแค่ตระกูลพ่อค้าด้วย
จู้หมัวมัวย่อมเอ่ยสนับสนุนคำพูดของนาง
หลังจากนั้นสักพักอู๋ซื่อก็ตะแคงร่างเป็นท่าที่สบายกว่าเดิม ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ด้านเซวียนเอ๋อร์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
จู้หมัวมัวยิ้มเอ่ยตอบ “หลายวันมานี้บ่าวคอยสังเกตดู คุณหนูอู๋ชอบคุณชายใหญ่เข้าจริงๆ แล้วเจ้าค่ะ ขอแค่คุณชายใหญ่กลับมาวันหยุด คุณหนูอู๋ก็จะหาโอกาสไปพบหน้าคุณชายใหญ่เสมอ คุณหนูอู๋หน้าตาน่ามองน่าเอ็นดู อ่อนโยนบริสุทธิ์ราวกับปั้นมาจากน้ำเช่นนี้ บุรุษผู้ใดจะไม่ชมชอบได้ หากได้ใกล้ชิดกันบ่อยครั้งยังจะต้องกลุ้มใจว่าคุณชายใหญ่จะไม่ชอบคุณหนูอู๋อีกหรือเจ้าคะ”
อู๋ซื่อได้ยินแล้วก็ผงกศีรษะเห็นด้วย
อู๋จิ้งเซวียนเป็นหลานสาวจากบ้านพี่ชายนาง ตอนที่พี่ชายนางต้องออกจากเมืองหลวงไปรับตำแหน่งที่ต่างเมืองได้พาอู๋จิ้งเซวียนมาพบนางด้วย ครั้งแรกที่นางได้เห็นอู๋จิ้งเซวียนก็นึกชอบนิสัยสงบเสงี่ยมอ่อนโยนของอีกฝ่าย ทั้งยังเห็นว่าหลานสาวผู้นี้มีรูปโฉมน่ามอง กิริยาก็อ่อนหวาน จึงรั้งตัวอีกฝ่ายไว้ที่จวนสกุลสวี
แต่ความจริงอู๋ซื่อนั้นมีเจตนาส่วนตัวอยู่ นางอยากจะจับคู่อู๋จิ้งเซวียนกับสวีจ้งเซวียน เช่นนี้มิใช่ว่าครอบครัวจะได้เกี่ยวดองกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นหรอกหรือ ดังนั้นนางจึงรั้งอู๋จิ้งเซวียนเอาไว้เลี้ยงดูข้างกาย ให้ได้พบหน้าสวีจ้งเซวียนทุกเช้าค่ำ ให้ต่างฝ่ายต่างตกหลุมรักกันย่อมดีที่สุด
“จู้หมัวมัว” อู๋ซื่อคิดๆ แล้วก็เอ่ยสั่ง “ช่วงนี้อากาศเริ่มอบอุ่นขึ้นมาแล้ว หาสักวันตัดชุดฤดูใบไม้ผลิสีสันสดใสให้เซวียนเอ๋อร์สักหลายๆ ตัว แล้วก็ซื้อเครื่องประดับใหม่ๆ มาด้วย เงินค่าตัดชุดกับซื้อเครื่องประดับให้เอาจากส่วนของข้าไปใช้”
จู้หมัวมัวขานรับ
อู๋ซื่อเอ่ยต่อ “ข้านึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เมื่อครู่นี้ได้เห็นคุณหนูสกุลเจี่ยนผู้นั้น รูปโฉมเองก็นับว่างดงาม พูดกันตามตรงก็นับว่าข่มเซวียนเอ๋อร์ลงไปได้ ทั้งยังมีกิริยามารยาทสง่างาม ดูน่าเอ็นดู จู้หมัวมัว เจ้าว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า…”
จู้หมัวมัวรู้ว่าผู้เป็นนายกำลังกังวลสิ่งใดจึงรีบยิ้มเอ่ยขึ้นมาทันที “จะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ แม้คุณหนูเจี่ยนจะรูปโฉมงดงาม แต่ว่าก็เพิ่งอายุไม่เท่าไร…อายุสิบสาม แค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้นเอง! คุณชายใหญ่อายุยี่สิบสี่ปีแล้ว ทั้งสองคนอายุห่างกันสิบเอ็ดปี คุณชายใหญ่จะต้องตานางได้อย่างไรกัน ท่านคิดมากไปแล้วเจ้าค่ะ!”
“แต่ข้าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี” อู๋ซื่อถอนหายใจ “ข้าคงคิดมากไป แต่เมื่อครู่นี้ในงานเลี้ยง ข้าเห็นสายตาของเจี่ยนฮูหยินเอาแต่มองไปที่เซวียนเกอเอ๋อร์ ตอนที่พูดคุยเรื่อยเปื่อยยังเคยถามเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของเซวียนเกอเอ๋อร์อีกด้วย”
“เจี่ยนฮูหยินก็แค่เห็นว่าคุณชายใหญ่อายุปาเข้าไปยี่สิบสี่ปีแล้วแต่ยังไม่แต่งงาน ก็เลยถามออกมาด้วยความประหลาดใจเฉยๆ เจ้าค่ะ” จู้หมัวมัวเอ่ยปลอบอู๋ซื่อ “ท่านคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ”
อู๋ซื่อผงกศีรษะเบาๆ “ขอให้เป็นเช่นนั้นก็แล้วกัน”
แต่ความจริงความกังวลของอู๋ซื่อนั้นเป็นเรื่องจริง เจี่ยนฮูหยินมีความคิดจะจับสวีจ้งเซวียนอยู่จริงๆ
ตอนนี้นางกำลังนอนตะแคงอยู่บนตั่ง ฟังเรื่องที่ให้เจินจูไปสืบข่าวมา
“…สกุลสวีมีทั้งหมดห้าบ้าน ในจำนวนนั้นนายท่านใหญ่ นายท่านสาม กับนายท่านห้าสามีของน้องสาวท่านต่างไม่อยู่แล้ว นายท่านสี่ทำการค้า ออกไปก่อตั้งอีกตระกูล ได้พาคนในครอบครัวย้ายออกไปจากจวนนานแล้ว ดังนั้นในบรรดาบุตรชายรุ่นก่อนจึงเหลือแค่นายท่านรองที่ยังอาศัยอยู่ในจวน ด้วยเหตุนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสวีจึงมอบเรือนเจาฮุยเรือนหลักของจวนสกุลสวีให้บ้านรอง ส่วนตัวนางไปอยู่ที่เรือนซงเฮ่อข้างๆ ส่วนที่อาศัยของฉินซื่อจากบ้านใหญ่กับอวี๋ซื่อของบ้านสามก็อยู่ในเรือนเล็กสองหลังด้านหลังเรือนซงเฮ่ออีกทีเจ้าค่ะ”
“เหตุใดถึงไม่ใช่บ้านใหญ่ที่อาศัยอยู่เรือนเจาฮุย แต่เป็นบ้านรองแทนเล่า” เจี่ยนฮูหยินประหลาดใจอย่างมาก “ต่อให้นายท่านใหญ่จะไม่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรคุณชายใหญ่ก็มีตำแหน่งขุนนางสูงสุดในจวนสกุลสวี ทั้งยังเป็นหลานชายคนโต ตามหลักแล้วบ้านใหญ่ควรจะอาศัยอยู่ในเรือนเจาฮุยจึงจะถูก”
“ฮูหยิน” เจินจูรีบเอ่ยอธิบาย “เรื่องนี้มีสาเหตุเจ้าค่ะ เดิมฮูหยินผู้เฒ่าสวีไม่ใช่ภรรยาเอกของนายท่านผู้เฒ่าสวี นางเป็นแค่ภรรยาเอกคนที่สองเท่านั้น แต่นายท่านใหญ่สวีเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอกคนแรกของนายท่านผู้เฒ่าสวี ตัวฮูหยินผู้เฒ่าสวีเองให้กำเนิดแค่นายท่านรองกับนายท่านห้าเท่านั้น นายท่านสามกับนายท่านสี่ล้วนเกิดจากอนุภรรยา มิหนำซ้ำบ่าวยังได้ยินมาว่าคุณชายใหญ่สวีก็ไม่ใช่บุตรของฉินซื่อเหมือนกัน เดิมเป็นบุตรของอนุภรรยาของนายท่านใหญ่ แค่เลี้ยงดูภายใต้ชื่อของฉินซื่อเท่านั้น”
“ที่แท้คุณชายใหญ่ผู้นี้เกิดจากอนุหรือนี่” เจี่ยนฮูหยินเอ่ยออกมาช้าๆ
ตัวเจี่ยนฮูหยินเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาเอก ไม่ค่อยเห็นลูกอนุอยู่ในสายตา ทว่าเมื่อคิดอีกที ตอนนี้สวีจ้งเซวียนดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นสูงเช่นนี้ ต่อให้เกิดจากอนุแล้วอย่างไรกัน ดังนั้นนางจึงเอ่ยต่อว่า “ช่างเถอะ เรื่องของคนอื่นๆ เจ้าไม่ต้องพูดให้ข้าฟังแล้ว แค่พูดเรื่องของคุณชายใหญ่ให้ข้าฟังดีๆ ก็พอ”
เจินจูหยุดคิดเล็กน้อย “บ่าวได้ยินมาว่าคุณชายใหญ่ผู้นี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง สมัยที่เขาสอบเตี้ยนซื่อตอนอายุสิบแปดปีได้ถูกแต่งตั้งเป็นจ้วงหยวน ได้รับตำแหน่งราชอาลักษณ์แห่งสำนักราชบัณฑิต ขุนนางลำดับหลักขั้นหกจากพระโอษฐ์ของฮ่องเต้ทันที เป็นคนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่วัยหนุ่มจริงๆ ภายหลังเขารับตำแหน่งครบสองปีก็ย้ายไปเป็นขุนนางเรียบเรียงตำราแห่งสำนักราชบัณฑิต ขุนนางลำดับหลักขั้นห้า เข้าจวนเหลียงอ๋องไปบรรยายตำราให้เหลียงอ๋องฟัง ได้ยินว่าเหลียงอ๋องให้ความนับถือเขามาก ทั้งยังได้ยินว่าราชเลขาธิการคนปัจจุบันเป็นอาจารย์ของเขา เมื่อมีความสัมพันธ์สองชั้นอย่างเหลียงอ๋องกับราชเลขาธิการเช่นนี้ เกรงว่าวันหน้าตำแหน่งขุนนางของคุณชายใหญ่จะยังเลื่อนขึ้นไปอีกเจ้าค่ะ!”
เจี่ยนฮูหยินตกตะลึงจนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ หลังจากนั้นสักพักก็ได้สติกลับมา ก่อนถามคำถามที่นางสนใจมากที่สุดในตอนนี้ออกไป “เหตุใดคุณชายใหญ่อายุเข้าไปยี่สิบสี่ปีก็ยังไม่แต่งงานอีก มีสาเหตุอะไรซ่อนอยู่หรือไม่”
เจินจูตอบว่า “เรื่องนี้บ่าวเองก็ไปสืบมาแล้วเช่นกัน ได้ยินมาว่าสมัยที่นายท่านใหญ่ยังอยู่ก็เคยหมั้นหมายไว้ให้คุณชายใหญ่ แต่หลังนายท่านใหญ่ตายไป คุณชายใหญ่ก็ไว้ทุกข์อยู่หลายปี ภายหลังอุตส่าห์ไว้ทุกข์ครบปีแล้ว คุณหนูที่หมั้นหมายไว้กลับไร้วาสนามาป่วยหนักตายจากไป จากนั้นคุณชายใหญ่ก็รับตำแหน่งขุนนางเรียบเรียงตำราอยู่สองปี ทั้งยังไปดูแลสำนักการศึกษาที่หนานจิงมาอีกสองปี เมื่อปีก่อนได้เลื่อนขั้นเป็นรองเสนาบดีฝ่ายซ้ายกรมพิธีการถึงได้กลับมาเมืองหลวง เพราะสาเหตุเหล่านี้ ดังนั้นแม้ตอนนี้คุณชายใหญ่จะอายุยี่สิบสี่ปีแล้วก็ยังไม่ได้แต่งงานเจ้าค่ะ”
เจี่ยนฮูหยินรู้สึกพึงพอใจ บนใบหน้าจึงปรากฏความยินดีขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เสิ่นมามาที่อยู่ด้านข้างมองเห็นเข้าพอดี
หลังโบกมือให้เจินจูออกไป เจี่ยนฮูหยินก็เอ่ยกับเสิ่นมามาว่า “คุณชายใหญ่ผู้นี้เป็นคนร้ายกาจไม่น้อย เกรงว่าอนาคตจะก้าวหน้ามากกระมัง”
เสิ่นมามารีบร้องตอบรับ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ตอนกินอาหารบ่าวลองสังเกตคุณชายใหญ่ดู รูปโฉมหล่อเหลาไม่พูดถึง กิริยาท่าทางคำพูดคำจายังนุ่มนวล ทั้งยังเป็นคนที่ดูไม่ออกว่าในใจคิดอะไรอยู่ วันหน้าจะต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาแน่นอนเจ้าค่ะ!”
เจี่ยนฮูหยินผงกศีรษะ ทว่าไม่ได้พูดอะไรต่อ ในใจคิดเพียงว่ากรมพิธีการเป็นกรมที่ดูแลเรื่องการจัดสอบขุนนางพอดี ถ้าหากเกาะสวีจ้งเซวียนผู้นี้ได้ยังต้องกังวลว่าจะหาตำแหน่งขุนนางให้เจี่ยนชิงไม่ได้อีกหรือ สวีจ้งเซวียนแค่ขยับนิ้วส่งๆ ก็น่าจะมีตำแหน่งมากมายแล้ว! นางย่อมหวังว่าบุตรชายตนเองจะเป็นขุนนางได้เช่นกัน จะได้เป็นเกียรติให้แก่วงศ์ตระกูล
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้รอยยิ้มบนใบหน้าเจี่ยนฮูหยินก็ยิ่งกว้างขึ้นกว่าเดิม
นางครุ่นคิดก่อนเอ่ย “แม้เหยียนเจี่ยเอ๋อร์จะมีพวกเสื้อผ้าเครื่องประดับอยู่บ้าง แต่ในเมื่อตอนนี้มาอยู่ที่ทงโจว ก็ไม่รู้ว่าทางด้านนี้นิยมของแบบใดบ้าง ไม่อาจให้นางสวมเสื้อผ้าเครื่องประดับเก่าๆ พวกนั้นแล้วถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้ เสิ่นมามา ไว้มีเวลาพวกเราก็ไปข้างนอก ออกไปซื้อเสื้อผ้ากับเครื่องประดับใหม่ๆ ให้เหยียนเจี่ยเอ๋อร์กันเถอะ”
เสิ่นมามาย่อมผงกศีรษะเห็นด้วยก่อนยิ้มเอ่ย “เดิมคุณหนูของพวกเราก็งดงามมากอยู่แล้ว หากสวมเสื้อผ้ากับเครื่องประดับที่ฮูหยินเลือกเองกับมืออีก ต่อให้ยืนอยู่ในกลุ่มคนก็ยังจะถูกสังเกตเห็นได้ในทันทีอยู่ดีเจ้าค่ะ”
ประโยคนี้ถูกใจของเจี่ยนฮูหยินอย่างมาก ชั่วขณะหนึ่งนางรู้สึกว่าเส้นทางขุนนางของเจี่ยนชิงนั้นไร้อุปสรรคแล้ว
และอีกทางด้านหนึ่งเจี่ยนเหยียนก็กำลังฟังข่าวที่ไป๋เวยสืบมาให้นางเช่นกัน
“คุณชายสกุลสวีมีสี่ท่านเจ้าค่ะ นอกจากคุณชายสี่อันเกอเอ๋อร์ที่ท่านน้าของท่านให้กำเนิดแล้ว ก็มีคุณชายใหญ่สวีจ้งเซวียนของบ้านใหญ่ที่เกิดจากอนุ ทว่าถูกรับเลี้ยงไว้ในชื่อของฉินซื่อ คุณชายรองสวีจ้งจิ่งตอนนี้อายุสิบแปดปี เป็นบุตรของอวี๋ซื่อของบ้านสาม คุณชายสามสวีจ้งเจ๋อก็อายุสิบแปดปีเช่นกัน เด็กกว่าคุณชายรองเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ทว่าเกิดจากอนุสกุลเว่ยผู้หนึ่งของบ้านรองเจ้าค่ะ”
เจี่ยนเหยียนผงกศีรษะเงียบๆ
นางนึกไม่ถึงว่าสวีจ้งเซวียนจะเกิดจากอนุ ทว่าจะเกิดจากภรรยาเอกหรืออนุแล้วแตกต่างกันอย่างไร ตอนนี้แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าจะคุยกับสวีจ้งเซวียนยังต้องคอยระมัดระวังคำพูดด้วยซ้ำ!
“ส่วนด้านคุณหนูสกุลสวี เด็กสาวชุดแดงที่ท่านเห็นอู๋ซื่อกอดอยู่เมื่อเย็นก็คือคุณหนูใหญ่สวีเมี่ยวหวา เกิดจากเฝิงซื่อ ฮูหยินของบ้านรอง คุณหนูรองสวีเมี่ยวหลันก็เป็นลูกของบ้านรองเช่นกัน แต่เกิดจากอนุสกุลเว่ยที่ให้กำเนิดคุณชายสามผู้นั้น คุณหนูสามท่านทราบดีอยู่แล้ว ก็คือหนิงเจี่ยเอ๋อร์ของท่านน้าท่าน ส่วนคุณหนูสี่สวีเมี่ยวจิ่นเป็นลูกหลง เกิดจากมารดาคนเดียวกับคุณชายใหญ่ ทว่าอนุภรรยาผู้นี้กลับไร้วาสนา หลังคลอดคุณหนูสี่ออกมาก็ตายจากไป ดังนั้นคุณหนูสี่จึงถูกรับเลี้ยงในชื่อของฉินซื่อเช่นกัน คุณหนูสี่ผู้นี้เป็นเพราะคลอดก่อนกำหนด สุขภาพจึงไม่แข็งแรง ไม่ค่อยออกมาข้างนอกนัก ปกติจะอยู่แต่ในเรือนของตนเองเท่านั้น เย็นวันนี้นางก็ไม่ได้ออกมากินอาหาร ดังนั้นคุณหนูจึงไม่เคยเจอนาง นอกจากนี้ยังมีอู๋จิ้งเซวียนที่เป็นคุณหนูลูกพี่ลูกน้องอยู่อีกคน นางเป็นหลานสาวทางสกุลเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า มาอยู่ในจวนสกุลสวีประมาณสองปีได้แล้ว ได้ยินมาว่าปกติคุณหนูลูกพี่ลูกน้องผู้นี้สนิทกับคุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่ เป็นคนมีนิสัยอ่อนโยนผู้หนึ่ง”
เจี่ยนเหยียนฟังไป๋เวยพูดจบก็ดีดลูกคิดคำนวณในใจเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ
ยังคงเป็นคำเดิม สถานที่ที่มีคนก็คือยุทธภพ นางยังคงต้องคอยระมัดระวัง อย่าได้ก้าวพลาดเด็ดขาดอยู่ดี
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.