X
    Categories: ชาตินี้ไม่ขอเป็นอนุ!ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชาตินี้ไม่ขอเป็นอนุ! บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 3

วันเวลาผ่านไปเร็วดั่งลูกธนูหลุดจากแล่ง เพิ่งจะพ้นช่วงหนาวเหน็บของเดือนสองไป ตอนนี้จวนเข้าสู่เดือนสามอันอบอุ่นแล้ว

เจี่ยนเหยียนกำลังนั่งอ่านตำราเล่มหนึ่งอยู่ภายในศาลาของป่าเหมย

นางไม่ค่อยชอบนั่งอึดอัดอยู่ในห้องทั้งวัน ดังนั้นเวลาว่างก็จะออกไปเดินเล่นตามสถานที่ต่างๆ ของสวนดอกไม้ และพอออกมาเดินเล่นนางจึงได้รับรู้ถึงข้อดีของป่าเหมยแห่งนี้เข้า

ป่าเหมยผืนนี้ไม่ได้ใหญ่นัก มีแค่ต้นเหมยหลายสิบต้น ด้านในมีศาลาหกเหลี่ยมเล็กๆ อยู่หลังหนึ่ง ข้างในศาลามีโต๊ะหินกับเก้าอี้หินอยู่ครบครัน ตรงราวกั้นสองฝั่งเป็นเก้าอี้เหม่ยเหรินจะนั่งหรือนอนก็ได้ทั้งสิ้น

ก่อนหน้านี้นางเคยสำรวจป่าเหมยแห่งนี้ไปรอบหนึ่ง รู้ว่าที่ด้านหลังมีกำแพงสีขาว บนกำแพงมีประตูวงเดือนอยู่ ทั้งยังมีหน้าต่างอยู่ด้านข้างอีกสองสามบาน นางเองก็เคยเดินทะลุประตูวงเดือนไปดูข้างหลังมาแล้ว เห็นว่ามีต้นอู๋ถงขนาดสองคนโอบจำนวนหนึ่งตั้งตระหง่านบดบังแสงตะวัน ทว่าไม่เห็นเงาของผู้ใด นางถึงได้สบายใจ ปกติเวลาว่างๆ ก็จะเอาตำรามาอ่าน หรือไม่ก็นั่งเหม่ออยู่ในป่าเหมยผืนนี้เสียเลย

จวนจะเข้าสู่เดือนสาม สภาพอากาศอบอุ่นขึ้นมาแล้ว ต้นเหมยบริเวณรอบๆ สองฝั่งซ้ายขวาของศาลาเริ่มมีลูกเหมยเล็กๆ อยู่บนต้น ลูกกลมมนแต่ละลูกซ่อนตัวอยู่ระหว่างใบไม้เขียวดกหนา บางคราก็จะมีนกบินมาเกาะบนกิ่งไม้ คอยส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ไม่หยุด

เจี่ยนเหยียนรู้สึกมีความสุข ตอนนี้จึงนั่งอ่านหนังสือพลางครวญเพลงเบาๆ ไปด้วย

ทำนองเพลงที่ครวญก็เข้ากับทัศนียภาพอย่างยิ่ง เป็นเพลง…บุปผาบานยามวสันต์

หลังจบเพลงบุปผาบานยามวสันต์ นางก็ครวญเพลงคล้ายๆ กันต่อพร้อมพลิกตำราในมือไปอีกหน้า

ระหว่างที่ครวญเพลงอยู่นางก็ได้ยินเสียงเมี้ยวเบาๆ ดังแว่วมา ฟังดูคล้ายเป็นเสียงร้องของลูกแมวตัวหนึ่ง

นางจึงปิดตำรา เดินหาไปตามเสียง ในที่สุดก็เจอลูกแมวที่ใต้ต้นเหมยต้นหนึ่ง

ลูกแมวยังตัวเล็กมาก ตัวสีส้มอมน้ำตาล มีแค่ตรงปลายจมูกที่เป็นสีขาวเล็กๆ เจี่ยนเหยียนนั่งยองๆ ก่อนประคองมันไว้บนฝ่ามือซ้ายอย่างระมัดระวัง ทั้งยังงอนิ้วชี้ข้างขวายื่นไปเขี่ยคางมันอย่างนิ่มนวลพลางถามมันเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าตัวน่าสงสาร มาอยู่ที่นี่ตามลำพังได้อย่างไรฮึ แม่เจ้าเล่า”

ลูกแมวน้อยนอนอยู่ในฝ่ามือนาง ดวงตากลมโตมองมาที่นางพร้อมส่งเสียงร้องเมี้ยวๆ ทั้งยังแลบลิ้นออกมาเลียมือนางอีกด้วย

ปลายลิ้นของมันสากเล็กน้อย เวลาเลียลงบนมือเจี่ยนเหยียนให้รู้สึกจั๊กจี้ นางถูกมันเลียจนหลุดหัวเราะออกมา จึงเกาปลายคางมันแรงขึ้นกว่าเดิมและลูบศีรษะมัน หนึ่งคนหนึ่งแมวเล่นกันอย่างมีความสุข ทว่าไม่ทันระวังว่าจะมีคนยืนแอบมองแอบฟังอยู่

หากมีใครมองผ่านบานหน้าต่างสี่เหลี่ยมทรงดอกไห่ถังบนกำแพงออกไป ก็จะเห็นว่าที่ตรงนั้นมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นมานานเท่าใดแล้ว

ยามนี้เจี่ยนเหยียนหยิบขนมพุทราแดงชิ้นหนึ่งออกมาจากถุงพกที่พกติดตัว กำลังบี้มันให้ละเอียด แล้วป้อนให้ลูกแมวน้อยตัวนั้นกิน

ขณะที่ป้อนนางยังเอ่ยว่า “นี่เป็นขนมพุทราแดงชิ้นสุดท้ายของข้าแล้วนะ หลังให้เจ้ากินเย็นนี้ข้าก็ต้องทนหิวแล้ว เจ้าตัวน่าสงสาร ข้าดีต่อเจ้าหรือไม่ ไหนลองว่ามา”

แต่ลูกแมวสนใจแต่เลียเศษขนมพุทราแดงในมือนาง ไม่สนใจจะตอบคำถามนางโดยสิ้นเชิง

เจี่ยนเหยียนลูบศีรษะมันเบาๆ ลูบไปสักพักก็เอ่ยต่อว่า “จะเรียกเจ้าว่า ‘เจ้าตัวน่าสงสาร’ ไปตลอดก็ไม่ได้ เรียกเสียเหมือนกับว่าเจ้าน่าสงสารมากอย่างไรอย่างนั้น มิสู้ข้าตั้งชื่อให้เจ้าดีหรือไม่” นางครุ่นคิดอย่างตั้งใจสักพักหนึ่ง เมื่อหลุบตาเห็นมันยืนอยู่บนฝ่ามือตนเอง ตัวขดเป็นก้อนปุกปุย คิดๆ แล้วนางจึงยิ้มเอ่ย “นึกออกแล้ว! เรียกว่าเสี่ยวเหมาถวน เป็นอย่างไร เพราะตัวเจ้าเหมือนกับก้อนไหมพรม”

จากนั้นก็ลูบศีรษะมัน ถามต่อว่า “เสี่ยวเหมาถวน เจ้ามาจากที่ใดกัน ให้ข้าพาเจ้ากลับไปเลี้ยงดีหรือไม่”

เสี่ยวเหมาถวนไม่ได้สนใจนาง ยังคงก้มหน้าตั้งใจเลียเศษขนมพุทราแดงต่อไป

ตอนนั้นเองเจี่ยนเหยียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเป็นไป๋เวย ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นยืน พร้อมประคองลูกแมวในมือยื่นให้นางดู

“ไป๋เวย ดูสิ ข้าเจอลูกแมวตัวนี้ที่นี่ ข้ายังตั้งชื่อให้มันแล้วด้วยว่าเสี่ยวเหมาถวน ไพเราะหรือไม่”

ไป๋เวยได้เห็นดวงตานางพราวระยับประหนึ่งมีแสงอาทิตย์ลอดผ่านแมกไม้ลงมาส่องกระทบลงในดวงตานาง

ด้วยโตมากับเจี่ยนเหยียนตั้งแต่เด็ก ไป๋เวยจึงพอจะคาดเดาความคิดของนางได้อยู่บ้าง

“คุณหนู” นางถอนหายใจเอ่ย “พวกเราเลี้ยงมันไม่ได้เจ้าค่ะ”

ประกายในดวงตาเจี่ยนเหยียนหม่นลงไปทันที ความจริงนางจะไม่รู้ได้อย่างไรกันว่าเจี่ยนฮูหยินเกลียดสุนัขกับแมวมากที่สุด ไม่เคยอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์พวกนี้ภายในจวนมาก่อน แม้ตอนนี้นางจะพักอยู่ในเรือนแยกทิศตะวันออก ปกติก็ไม่ค่อยได้เจอเจี่ยนฮูหยิน และอีกฝ่ายเองก็ไม่เคยมาเยือนที่เรือนนาง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็พักอยู่ในเขตของเรือนเหอเซียงเช่นกัน จึงไม่อาจมั่นใจได้ว่าเจี่ยนฮูหยินจะไม่รู้เรื่องที่นางแอบเลี้ยงแมว

ไป๋เวยเห็นนางมีสีหน้าหม่นหมอง ในใจก็ทนไม่ได้จึงเอ่ยปลอบไปว่า “ท่านสามารถมาที่นี่เพื่อหาแมวตัวนี้ได้ทุกวันนะเจ้าคะ”

แต่เจี่ยนเหยียนก็รู้ว่านี่เป็นแค่ประโยคปลอบใจเท่านั้น

ลูกแมวมีขาของตนเอง คิดจะไปที่ใดก็ไป จะเป็นเหมือนตนเองที่ถูกพันธนาการให้อยู่แต่ในเรือนนี้ คิดอยากออกไปที่ใดก็ไปไม่ได้ได้อย่างไร

เจี่ยนเหยียนไม่ได้พูดอะไร นางแค่นั่งยองๆ ลงบดขนมพุทราแดงอีกครึ่งชิ้นที่เหลือให้ละเอียดแล้วโปรยลงบนพื้น ก่อนมองลูกแมวกินอยู่อีกสักพักก็ยืดตัวขึ้นแล้วเดินนำไป๋เวยออกจากป่าเหมยไป

ไป๋เวยรีบเดินตามไปทันที

เมื่อครู่นี้ตอนที่เจี่ยนเหยียนได้เจอลูกแมวนางก็หลงดีใจมากเกินไป ถึงกับหลงลืมสถานการณ์ของตนเองไปชั่วขณะ อย่างไรนางก็เป็นแค่นกในกรง ปลาในบ่อเท่านั้น ต่อให้ฉากหน้าเป็นคุณหนูที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี แต่ขอแค่ยังไม่หลุดพ้นจากการบงการของเจี่ยนฮูหยิน นางก็ยังมีโอกาสจะถูกเจี่ยนฮูหยินส่งมอบออกไปให้ผู้อื่นประหนึ่งสิ่งของชิ้นหนึ่งได้ทุกเมื่ออยู่ดี

 

รอหลังเจี่ยนเหยียนกับไป๋เวยเดินออกไปจากป่าเหมย คนที่ยืนมองอยู่ด้านหลังหน้าต่างตลอดเวลาก็เดินอ้อมประตูวงเดือนออกมาหยุดอยู่ข้างลูกแมวตัวนั้น

คนผู้นี้สวมชุดผ้าโปร่งสีเขียว บุคลิกสูงสง่า รูปโฉมหล่อเหลา เขาก็คือสวีจ้งเซวียนนั่นเอง

ลูกแมวยังคงตั้งใจเลียเศษขนมพุทราแดงบนพื้นโดยไม่คิดสนใจคนรอบข้างอย่างสิ้นเชิง

สวีจ้งเซวียนหลุบตามองมันโดยไม่ได้พูดอะไร

เขานึกถึงว่าเมื่อครู่นี้เขาเดินตามเสียงครวญเพลงมาก็เห็นเด็กสาวผู้หนึ่งพิงร่างอยู่บนเก้าอี้เหม่ยเหรินด้วยท่าทางเกียจคร้าน ศีรษะก้มลงอ่านตำราในมือขณะกำลังครวญทำนองเพลงที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน

เขารู้จักเด็กสาวผู้นี้ นางคือเจี่ยนเหยียนที่เขาเคยได้พบหน้ามาก่อนหน้านี้สองหน

ในการพบหน้าสองครั้งนั้น แม้จะไม่ได้พูดคุยอะไรกัน ทว่าภาพประทับใจที่เจี่ยนเหยียนมอบให้เขาคือเด็กสาวผู้มีกิริยามารยาทสง่างามเหมือนคุณหนูในห้องหอคนอื่นๆ เพียงแต่เมื่อครู่นี้นางที่นั่งอย่างเกียจคร้านอยู่ตรงนั้นยังจะมีท่าทางของคุณหนูในห้องหอเหลืออยู่อีกที่ใดกัน

หลังลูกแมวเลียกินเศษขนมพุทราแดงบนพื้นเสร็จก็ร้องเมี้ยวๆ ออกมา

สวีจ้งเซวียนก้มหน้ามองมันพลางนึกไปถึงภาพเมื่อครู่นี้ที่เด็กสาวผู้นั้นนั่งยองๆ ประคองลูกแมวตัวนี้อยู่ในฝ่ามือ มีแสงอาทิตย์ลอดผ่านแมกไม้ลงมาตกกระทบบนเรือนผมสีดำสนิทและกระโปรงสีเขียวหยกของนาง ยามเมื่อลมพัดผ่านแสงอาทิตย์สีทองอ่อนจางก็วูบไหวไประหว่างเรือนผมและกระโปรงนาง

ตอนที่ฉีซังตามมาพบจึงได้เห็นคุณชายของตนเองกำลังประคองบางสิ่งไว้บนฝ่ามือ ครั้นตั้งใจมองจนเห็นชัดว่าเป็นลูกแมวตัวหนึ่งก็อดตกตะลึงไม่ได้ คุณชายไม่ชอบสิ่งที่มีขนปุกปุยที่สุดแล้ว กระทั่งชุดฤดูหนาวยังไม่ยอมใส่เสื้อที่ปกเสื้อกับแขนเสื้อประดับขน เหตุใดตอนนี้กลับประคองลูกแมวขนปุยตัวหนึ่งไว้ในมือได้เล่า แต่เขาก็ไม่กล้าเผยความรู้สึกออกมาทางสีหน้า เพียงแค่วางมือแนบลำตัวและเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อมเท่านั้น “คุณชาย”

สวีจ้งเซวียนเหลือบมองฉีซังก่อนยื่นลูกแมวไปให้พร้อมสั่ง “หากรงที่กว้างขวางสบายๆ ใส่แมวตัวนี้ แล้วเอามันกลับไปเลี้ยงดูที่เมืองหลวงดีๆ”

แม้ระยะห่างระหว่างทงโจวกับเมืองหลวงจะไม่ไกล ขี่ม้าก็ใช้เวลาแค่ราวครึ่งชั่วยาม แต่ทุกวันสวีจ้งเซวียนจะต้องไปทำงานที่กรมพิธีการ ทุกวันที่สาม หก และเก้ายังต้องร่วมประชุมที่ท้องพระโรง ดังนั้นจึงซื้อเรือนสองทางเข้าออกแห่งหนึ่งไว้ที่เมืองหลวง ปกติพักอาศัยอยู่ที่นั่น ถึงวันหยุดเมื่อใดจึงจะกลับมาทงโจว

ฉีซังยื่นมือไปรับลูกแมวมา วูบแรกรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กในมือตัวนี้ทั้งตัวเล็กและนุ่มนิ่มจริงๆ เขากลัวว่าหากออกแรงมากไปเล็กน้อยโดยไม่ทันระวัง ก็อาจเผลอบีบสิ่งมีชีวิตที่เล็กปานนี้ตายได้

“คุณ…คุณชายขอรับ” เขาปกป้องลูกแมวในมืออย่างระมัดระวัง ป้องกันไม่ให้ตนเองพลั้งมือทำร้ายมันก่อนถามออกมา “จะตั้งชื่อให้ลูกแมวตัวนี้หรือไม่ขอรับ” ทว่าทันทีที่ถามออกไปเขาก็อยากตบหน้าตนเองสักฉาดหนึ่งทันที

มีแต่พวกหญิงสาวในห้องหอเท่านั้นที่เวลาเลี้ยงแมวเลี้ยงสุนัขแล้วจะตั้งชื่อให้พวกมัน คุณชายของเขาเป็นบุรุษ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ก็นึกอยากจะเลี้ยงแมวขึ้นมา ซ้ำยังเป็นลูกแมวที่ธรรมดาสุดๆ ตัวหนึ่งด้วย แต่จะละเอียดอ่อนถึงขั้นตั้งชื่อให้มันได้อย่างไร

เขาเตรียมจะเปิดปากขอรับโทษจากสวีจ้งเซวียน แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนของคุณชายตนเองดังขึ้นเบาๆ…

“เรียกเสี่ยวเหมาถวนก็แล้วกัน”

ฉีซังรู้สึกว่ากระดูกกรามตนเองเกือบจะหล่นลงพื้นด้วยความตกใจอยู่แล้ว

เสี่ยวเหมาถวน? นี่มันชื่ออะไรกัน! ในฐานะจ้วงหยวนผู้มีชื่อเสียงไปทั่วหล้าตั้งแต่อายุสิบแปดปี จะตั้งชื่อให้สัตว์เลี้ยงตนเองทั้งที ไม่ควรตั้งให้ยิ่งใหญ่กว่านี้หน่อยหรือ เสี่ยวเหมาถวนนับเป็นอะไรได้เล่า!

 

หลังเจี่ยนเหยียนเดินออกมาจากป่าเหมยก็มุ่งตรงไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร ข้างหลังมีไป๋เวยเดินตามหลังมาติดๆ

ช่วงนี้ต้นท้อริมสระน้ำออกดอกสีแดงระเรื่อ ต้นหลิวเขียวขจี เป็นทัศนียภาพที่งดงามอย่างมาก

หลังเดินไปได้ไม่นานเจี่ยนเหยียนก็เห็นเด็กหญิงผู้หนึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินใต้ต้นหลิวริมฝั่งเข้ากะทันหัน ด้านข้างมีสาวใช้เกล้าผมสองมวยยืนอยู่ด้วย

เจี่ยนเหยียนแอบมองสังเกตนางจากปลายหางตา เห็นว่าเด็กหญิงมีรูปร่างแบบบาง สีหน้าดูขาวผิดปกติ ปลายคางแหลม ทว่าดวงตาใสกระจ่าง กำลังมองตรงมาที่นาง

เจี่ยนเหยียนสังเกตเห็นว่าในวันที่อากาศอบอุ่นเช่นนี้ เด็กหญิงผู้นี้กลับยังสวมเสื้อสำหรับฤดูหนาว แม้จะนั่งอยู่บนก้อนหินแต่ก็ปูเบาะรองหนาๆ เอาไว้ชั้นหนึ่งด้วย นางจึงรู้ในทันทีว่าเด็กหญิงผู้นี้เป็นใคร

นางมาอยู่ที่จวนสกุลสวีได้ประมาณหนึ่งเดือน ทุกคนภายในจวนแห่งนี้นางแทบจะเคยพบหน้ามาหมดแล้ว มีเพียงคุณหนูสี่สวีเมี่ยวจิ่นที่นางยังไม่เคยพบมาก่อน ดังนั้นคุณหนูตรงหน้าผู้นี้ก็คงจะเป็นสวีเมี่ยวจิ่นแน่แล้ว

นางกำลังครุ่นคิดว่าจะแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินผ่านไปเลยหรือว่าจะหยุดลงทักทายคุณหนูสี่สวีเมี่ยวจิ่นผู้นี้ดี ก็ได้ยินสวีเมี่ยวจิ่นเอ่ยขึ้นมากะทันหัน

“ท่านคือญาติผู้พี่ของพี่หญิงสามข้าหรือเจ้าคะ”

ประโยคนี้ถามได้น่าสนใจไม่น้อย เจี่ยนเหยียนคิดในใจขณะหยุดฝีเท้าลง นางหันกลับมาเผชิญหน้ากับสวีเมี่ยวจิ่น บนใบหน้าประดับรอยยิ้มพลางผงกศีรษะ “ใช่แล้ว ข้าคือญาติผู้พี่ของหนิงเอ๋อร์”

“ถุงพกแมวกวักใบนั้นของพี่หญิงสามข้า ท่านเป็นคนเย็บหรือเจ้าคะ” เสียงของสวีเมี่ยวจิ่นแผ่วเบา เบาเช่นคนที่เพิ่งผ่านอาการป่วยหนักมาแล้วไม่มีเรี่ยวแรงเท่าไร

“ใช่แล้ว” เจี่ยนเหยียนผงกศีรษะพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าเย็บเอง”

สวีเมี่ยวจิ่นเงยหน้ามองนาง ริมฝีปากเม้มแน่นไม่พูดอะไรทั้งสิ้น แต่ความคาดหวังในดวงตานางไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนดูออก

เจี่ยนเหยียนคิดในใจว่า…เด็กหญิงผู้นี้ช่างปากแข็งเหลือเกิน ทั้งๆ ที่อยากได้ถุงพกแบบหนิงเอ๋อร์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมเอ่ยออกมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ทั้งดื้อดึงและน่าเอ็นดูเช่นนี้ของสวีเมี่ยวจิ่น เจี่ยนเหยียนก็ทนไม่ไหว สุดท้ายกลับกลายเป็นนางที่เปิดปากถามสวีเมี่ยวจิ่นก่อนเอง “เจ้าอยากได้ถุงพกที่เหมือนหนิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่”

“ท่านก็จะมอบถุงพกให้ข้าเหมือนกันหรือ” สวีเมี่ยวจิ่นรีบรับคำทันควัน ทว่าเนื้อความในคำพูดกลับแสดงออกชัดว่า ‘ถุงพกใบนี้ไม่ใช่ข้าที่คิดอยากได้ก่อน แต่เป็นท่านต้องการมอบให้ข้าก่อนเอง’

คาดว่าเด็กคนนี้คงหน้าบาง กลัวจะถูกสวีเมี่ยวหนิงรู้ว่าตนเองอยากได้ถุงพกแมวกวักของอีกฝ่าย จึงจงใจมาขอกับนาง ดังนั้นถึงได้พยายามเน้นว่าถุงพกใบนี้ตนเองไม่ได้เป็นฝ่ายอยากได้ก่อน

เจี่ยนเหยียนยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เด็กหญิงที่ปากแข็งเช่นนี้น่ารักยิ่งนัก!

“ใช่แล้ว ข้าอยากมอบถุงพกที่เหมือนกับถุงพกของหนิงเอ๋อร์ให้กับเจ้า เจ้าอยากได้หรือไม่”

“ไม่อยากได้เจ้าค่ะ”

เจี่ยนเหยียนเป็นฝ่ายอึ้งงันแทน หรือว่าตนเองจะเดาผิด สวีเมี่ยวจิ่นผู้นี้ไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่เพื่อรอขอถุงพกใบหนึ่งจากนางโดยเฉพาะหรอกหรือ

แต่จากนั้นสวีเมี่ยวจิ่นก็เอ่ยต่ออย่างรวดเร็วว่า “ข้าไม่อยากได้ถุงพกลายเดียวกับพี่หญิงสาม ข้าอยากได้ถุงพกที่นางไม่เคยมีมาก่อน”

มองไม่ออกเลยว่าคุณหนูน้อยผู้นี้จะเอาแต่ใจไม่เบา! เจี่ยนเหยียนยิ้มออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะเอ่ยสั่งไป๋เวย “เจ้ากลับไปเอาถุงพกลายกระต่ายเจี้ยนมา”

ไป๋เวยขานรับพร้อมเดินกลับไปทันที

ในตอนนั้นสวีเมี่ยวจิ่นก็เอ่ยปากบอกให้เจี่ยนเหยียนนั่งลง เจี่ยนเหยียนจึงนั่งลงข้างนางทันทีอย่างไม่เกรงใจ ดวงตาสีดำขลับของสวีเมี่ยวจิ่นเอาแต่มองสำรวจเจี่ยนเหยียนไม่หยุด เจี่ยนเหยียนเองก็อยู่นิ่งๆ บนใบหน้าประดับรอยยิ้มขณะปล่อยให้นางมองสำรวจไป

หลังผ่านไปเช่นนี้สักพักก็ได้ยินสวีเมี่ยวจิ่นเอ่ยว่า “พี่หญิงสามบอกว่าท่านดีมาก นางมักจะโอ้อวดต่อหน้าข้าว่าตนเองมีญาติผู้พี่ที่ดีมากผู้หนึ่ง”

เจี่ยนเหยียนแทบจะจินตนาการออกทีเดียวว่าตอนที่สวีเมี่ยวหนิงอวดตนเองต่อหน้าสวีเมี่ยวจิ่น อีกฝ่ายจะมีสีหน้าอวดดีอย่างไร คาดว่ายามนั้นในใจสวีเมี่ยวจิ่นจะต้องอึดอัดมากเป็นแน่ ดังนั้นเจี่ยนเหยียนจึงเอ่ยปลอบนาง “อย่าไปฟังเจ้าเด็กน้อยนั่นพูดเหลวไหล ข้าดีเพียงนั้นที่ใดกัน นางก็แค่อยากยั่วโมโหเจ้าเท่านั้น”

“ไม่ใช่หรอก” สวีเมี่ยวจิ่นส่ายหน้าพลางเอ่ยต่อเสียงเบา “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดว่านางจงใจเอ่ยเช่นนั้นเพื่อยั่วโมโหข้า เพราะญาติผู้พี่เซวียนสนิทกับข้ามากกว่านาง ทั้งยังโอ้อวดถุงพกลายแมวกวักกับลายแมวหยอกผีเสื้อต่อหน้าข้าไปมา บอกว่านางไม่สนใจของที่พี่เซวียนเย็บหรอก แต่ตอนนี้ข้าได้เจอท่านด้วยตนเอง ข้าจึงเชื่อในคำพูดของนางแล้ว” ความหมายโดยนัยคือนางก็รู้สึกว่าเจี่ยนเหยียนเป็นอย่างที่สวีเมี่ยวหนิงบอก เป็นคนที่ดีมากผู้หนึ่งจริงๆ

เจี่ยนเหยียนขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย พอถูกเด็กหญิงผู้หนึ่งเอ่ยชมมาตรงๆ เช่นนี้ ก็ชวนให้ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้างจริงๆ

นางยกมือขึ้นลูบแก้มที่ร้อนผ่าวของตนเอง ก่อนคิดแล้วเอ่ยว่า “พี่เซวียนของเจ้าเองก็ดีมาก นางอ่อนโยนใจดี ทั้งยังดีกับเจ้าเพียงนั้นมาโดยตลอด”

ครั้งแรกที่นางได้พบอู๋จิ้งเซวียนเป็นครั้งแรกที่หน้าประตูเรือนหนิงชุ่ย คาดว่าครั้งนั้นอู๋จิ้งเซวียนน่าจะกลับจากไปเยี่ยมสวีเมี่ยวจิ่นพร้อมสวีจ้งเซวียนพอดี และช่วงที่ผ่านมานี้นางก็ได้ยินคนในจวนสกุลสวีพูดกันว่าอู๋จิ้งเซวียนชอบญาติผู้น้องอย่างสวีเมี่ยวจิ่นที่สุดแล้ว ทุกๆ สองสามวันเป็นต้องไปหานางที่เรือนเสมอ ทั้งยังมอบของเล็กๆ น้อยๆ ให้บ่อยครั้ง

สวีเมี่ยวจิ่นเม้มปากแน่นขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ได้เอ่ยต่อประโยค

เจี่ยนเหยียนไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดไปทำให้เด็กหญิงผู้นี้ไม่พอใจขึ้นมา ขณะที่กำลังคิดจะเอ่ยปากถามก็ได้ยินสวีเมี่ยวจิ่นเอ่ยขึ้นมากะทันหันอีกครั้ง

“นางชอบทำเหมือนข้าเป็นเด็ก คิดว่าข้าไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น แต่ข้ารู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร พี่เซวียนไม่ได้ดีต่อข้าจากใจจริง”

เจี่ยนเหยียนไม่เข้าใจจึงถามสวีเมี่ยวจิ่นว่าหมายความว่าอะไร แต่นางกลับเงียบไปอีกครั้ง เอาแต่นั่งเม้มปากแน่น

เจี่ยนเหยียนไม่สะดวกจะถามต่ออีก บังเอิญที่ไป๋เวยหยิบถุงพกกลับมาพอดี นางจึงยื่นมือไปรับถุงพกมาแล้วยื่นต่อให้สวีเมี่ยวจิ่นด้วยสองมือพลางยิ้มเอ่ย “ถุงพกใบนี้มอบให้เจ้า”

บนถุงพกปักลายกระต่ายเจี้ยนตัวหนึ่ง ขาสั้นๆ ตัวอ้วนๆ ดวงตาหรี่เป็นเส้นเดียว แม้จะมีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่มักให้ความรู้สึกว่าชั่วเวลาต่อมามันจะลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยถ้อยคำเจ้าเล่ห์ออกมา

สวีเมี่ยวจิ่นย่อมไม่เคยเห็นกระต่ายเจี้ยน ดังนั้นต่อให้ก่อนหน้านี้นางจะเย่อหยิ่งเสแสร้งเป็นผู้ใหญ่ตัวน้อยเพียงไร แต่ในตอนที่รับกระต่ายเจี้ยนไปก็ยังเบิกตากว้าง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสนใจ ประหลาดใจ และดีใจ

เจี่ยนเหยียนจึงถามออกไป “ชอบหรือไม่”

สวีเมี่ยวจิ่นกำถุงพกแน่นขณะเงยหน้ามองเจี่ยนเหยียน หลังผ่านไปสักพักถึงได้เอ่ยนิ่งๆ อย่างไว้ตัวว่า “ชอบ ขอบคุณเจ้าค่ะ”

เด็กคนนี้ช่างปากแข็งมากจริงๆ! เจี่ยนเหยียนยื่นมือไปลูบศีรษะนางอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้ตัวพร้อมอมยิ้มเอ่ย “เจ้าชอบก็ดีแล้ว”

ยามนั้นสวีเมี่ยวจิ่นยังเงยหน้ามองเจี่ยนเหยียนอยู่ ในดวงตากลับปรากฏความรู้สึกที่ต่างออกไป

“นอกจากพี่ใหญ่ข้า ยังไม่เคยมีใครลูบศีรษะข้าเช่นนี้มาก่อน”

เจี่ยนเหยียนรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที นางรีบหดมือกลับไปซุกในชายแขนเสื้อ พร้อมยิ้มแห้งๆ เอ่ย “ฮ่าๆ อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ขอโทษด้วย”

“ไม่ต้องขอโทษเจ้าค่ะ” สวีเมี่ยวจิ่นกลับเอ่ยออกมาช้าๆ “ข้าชอบให้ท่านลูบศีรษะข้าเช่นนี้” ก่อนหยุดคิดไปแล้วปรึกษากับนางว่า “พี่หญิงสามเรียกท่านว่าพี่เหยียน เช่นนั้นข้าก็จะเรียกท่านว่าพี่เหยียนเช่นกันได้หรือไม่”

เด็กหญิงสองคนนี้ไม่ยอมกันจริงๆ เจี่ยนเหยียนได้แต่ผงกศีรษะ “ได้สิ”

สวีเมี่ยวจิ่นแสดงสีหน้าดีใจมากออกมา ทั้งยังเป็นฝ่ายยื่นมือมาจับมือเจี่ยนเหยียนก่อน

เจี่ยนเหยียนคิดขึ้นมาทันทีว่าที่แท้ความเป็นมิตรของนางก็สูงเพียงนี้เชียวหรือ หรือสวีเมี่ยวจิ่นผู้นี้แค่เห็นว่าสวีเมี่ยวหนิงมีญาติผู้พี่อย่างนาง ในใจยอมไม่ได้ก็เลยแทรกเข้ามาด้วย ขณะที่กำลังคิดเหลวไหลไร้สาระก็ได้ยินเสียงชิงจู๋สาวใช้ของสวีเมี่ยวจิ่นเอ่ยกระซิบขึ้นมาด้านข้างกะทันหัน

“คุณหนู คุณหนูใหญ่ กับคุณหนูลูกพี่ลูกน้องกำลังมาเจ้าค่ะ”

เมื่อเจี่ยนเหยียนเบี่ยงตัวไปมองเล็กน้อย ก็เห็นว่าสวีเมี่ยวหวากับอู๋จิ้งเซวียนกำลังพาสาวใช้เดินมาจากอีกด้านจริงๆ

พวกนางน่าจะมาเก็บดอกท้อกัน ในมือของสาวใช้ที่เดินตามหลังพวกนางมาต่างถือดอกท้อเอาไว้

“ข้าไม่อยากเจอพวกนาง” ยามนั้นสวีเมี่ยวจิ่นกระชับมือของเจี่ยนเหยียนแน่น หลังเอ่ยเสียงต่ำออกมาประโยคหนึ่งก็หันหลังกลับ แสดงท่าทีจะเดินจากไป

แต่สวีเมี่ยวหวากับอู๋จิ้งเซวียนมองเห็นพวกนางแล้ว

ตอนที่สวีเมี่ยวหวาเห็นพวกนาง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มดูแคลนออกมา แค่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้มีท่าทีจะเดินมาหาหรือเปิดปากเอ่ยอะไร แต่เป็นอู๋จิ้งเซวียนที่เอ่ยเรียกออกมา “จิ่นเอ๋อร์”

จากนั้นนางก็เดินเข้ามาพร้อมตั้งใจจับมือสวีเมี่ยวจิ่นอย่างสนิทสนม แต่สวีเมี่ยวจิ่นกลับเบี่ยงตัวหลบไปข้างหลังเจี่ยนเหยียน ซ้ำยังไพล่มืออีกข้างไปด้านหลังด้วย

เมื่ออู๋จิ้งเซวียนมองเห็นมืออีกข้างของสวีเมี่ยวจิ่นที่ยังจับมือเจี่ยนเหยียนไว้แน่น รอยยิ้มบนใบหน้าก็แข็งค้างไปเล็กน้อย

เจี่ยนเหยียนทอดถอนใจ ไพล่คิดถึงว่าวันนี้ก่อนออกมานางไม่ได้ดูวันที่ให้จริงๆ แค่ไม่ทันระวังก็มาเจอฉากต่อสู้ประหนึ่งอยู่ในตำหนักในเช่นนี้เข้า

“พี่เซวียน” ถึงอย่างไรทุกคนก็พักอยู่ในจวนเดียวกัน ปกติก็เคยพบหน้ากันหลายครั้ง หากให้เรียก ‘คุณหนูอู๋’ ต่อไปก็จะฟังดูไม่เหมาะสม ดังนั้นเจี่ยนเหยียนจึงเป็นฝ่ายคารวะให้อู๋จิ้งเซวียนพร้อมเอ่ยเรียกนางก่อน จากนั้นก็หันไปคารวะให้สวีเมี่ยวหวาพร้อมเรียกว่า “พี่หวา” เช่นเดียวกัน สวีเมี่ยวหวาใกล้ถึงวัยปักปิ่น อายุมากกว่านางหนึ่งปี ตามหลักก็ควรจะเรียกว่า ‘พี่’ เช่นเดียวกัน

อู๋จิ้งเซวียนเองก็คารวะนางกลับพร้อมเรียกนางอย่างสนิทสนมว่า “น้องเหยียน” ทั้งยังถามว่านางกับสวีเมี่ยวจิ่นมาทำอะไรกันที่นี่ วันนี้ดอกท้อกำลังเบ่งบานงดงาม มาชมดอกท้อกันหรือ

ส่วนสวีเมี่ยวหวาเอาแต่ไม่สนใจนาง แค่เชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ท่าทางไม่สนแม้แต่จะเหลือบแลนาง

เจี่ยนเหยียนแค่ทำเป็นมองไม่เห็น บนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มน้อยๆ รับฟังอู๋จิ้งเซวียนเล่าให้นางฟังว่าดอกท้อของที่ใดเบ่งบานได้งดงามที่สุด

“ดอกท้อที่ริมสระน้ำฝั่งนั้นบานงดงามที่สุด!” อู๋จิ้งเซวียนหันกลับไปชี้ข้างหลังก่อนยิ้มเอ่ย “ข้ากับน้องหวาให้สาวใช้เด็ดมาเยอะมาก ตั้งใจว่ารอประเดี๋ยวจะส่งไปให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับน้องๆ แต่ละคนปักแจกัน บังเอิญได้มาเจอพวกเจ้าที่นี่พอดี น้องเหยียน เจ้ารีบมาเลือกไปสองกิ่งเร็วเข้า!” พร้อมกันนั้นยังก้มตัวยิ้มเอ่ยกับสวีเมี่ยวจิ่น “ประเดี๋ยวพี่เซวียนจะตามเจ้ากลับเรือนหนิงชุ่ย เลือกดอกท้อสองกิ่งที่บานสวยๆ มาปักแจกันให้เจ้าด้วยตนเอง ให้เจ้านำไปวางบนโต๊ะข้างหน้าต่างดีหรือไม่”

สวีเมี่ยวจิ่นเพียงยืนหลุบตาอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ตอบกลับ แต่มือข้างหนึ่งยังคงจับมือของเจี่ยนเหยียนแน่น

รอยยิ้มบนใบหน้าอู๋จิ้งเซวียนเริ่มรักษาไว้ไม่อยู่ แต่นางยังคงยิ้มบอกให้เจี่ยนเหยียนไปเลือกดอกท้อ

เจี่ยนเหยียนคิดแล้วสุดท้ายก็ยังยื่นมือไปเลือกดอกท้อมากิ่งหนึ่ง

อู๋จิ้งเซวียนเจอตะปูไม่แข็งไม่อ่อนอย่างสวีเมี่ยวจิ่นเข้าให้แล้ว หากตนเองยังเอ่ยปากปฏิเสธ ไม่แน่ว่าคุณหนูผู้นี้อาจโกรธตนเองขึ้นมาก็เป็นได้

หลังหยิบดอกท้อกิ่งหนึ่งมาไว้ในมือ นางก็ผงกศีรษะยิ้มเอ่ยกับอู๋จิ้งเซวียนว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะพี่เซวียน”

ตอนนั้นเองอู๋จิ้งเซวียนก็หันไปเรียกสวีเมี่ยวหวาต่อ “น้องหวา ในเมื่อพวกเราได้เจอจิ่นเอ๋อร์ที่นี่ เช่นนั้นก็ไปนั่งเล่นที่เรือนหนิงชุ่ยของจิ่นเอ๋อร์ด้วยกันเถอะ”

อู๋จิ้งเซวียนเพิ่งจะเอ่ยประโยคนี้ออกมา เจี่ยนเหยียนก็สัมผัสได้ทันทีว่าสวีเมี่ยวจิ่นกระชับมือนางแน่นขึ้น

ก็สมควรอยู่หรอก ว่าไปแล้วสวีเมี่ยวจิ่นต่างหากถึงจะเป็นเจ้าของเรือนหนิงชุ่ย เหตุใดอู๋จิ้งเซวียนจึงเชิญคนไปที่เรือนหนิงชุ่ยโดยไม่ถามเจ้าของสักคำ ทว่ากลับตัดสินใจเอาเอง นี่มิใช่เป็นเหมือนที่สวีเมี่ยวจิ่นบอกหรือ หลอกนางเหมือนนางเป็นเด็กน้อยอย่างไรอย่างนั้น แต่ว่าเรื่องระหว่างพวกนางพี่น้องเจี่ยนเหยียนไม่คิดสอดมือเข้ายุ่ง มิหนำซ้ำฟังจากคำพูดของอู๋จิ้งเซวียนเมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้มีเจตนาจะเชิญตนไปที่เรือนหนิงชุ่ยด้วยกันสักนิด ดังนั้นตนคิดว่าบอกลาพวกนางแล้วจากไปจะดีกว่า

เจี่ยนเหยียนกำลังจะเอ่ยปากบอกลาพวกนาง แต่สวีเมี่ยวจิ่นกลับกระตุกมือนางกะทันหัน นางจึงก้มหน้ามอง เห็นแค่ว่าสวีเมี่ยวจิ่นเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่โตจับจ้องมาที่นาง

จากนั้นนางก็ได้ยินสวีเมี่ยวจิ่นหันไปเอ่ยกับอู๋จิ้งเซวียนอย่างหนักแน่นว่า “พี่เหยียนก็จะไปด้วยกัน”

เจี่ยนเหยียนพูดอะไรไม่ออก จะถามความเห็นกันก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ คุณหนู

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 มี.. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: