บทที่ 4
ในตอนนั้นสวีเมี่ยวหวากลับแค่นเสียงเย็นเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่คิดจะไปด้วยหรอกนะ” เอ่ยจบก็พาสาวใช้ของตนเองหันหลังกลับเดินจากไปทันที
หลายวันมานี้เจี่ยนเหยียนก็เคยได้ยินข่าวนินทาบางอย่างมาบ้าง รู้ว่าอู๋ซื่อเคยคิดจะมอบสิทธิ์ในการดูแลจวนให้ลูกสะใภ้ตนเอง ซึ่งตามลำดับควรจะมอบให้ฉินซื่อแห่งบ้านใหญ่ เนื่องจากสามีของนางเป็นบุตรคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกและฉินซื่อก็เป็นภรรยาเอกของเขา เพียงแต่ยามนั้นนายท่านใหญ่ตายไปแล้ว หญิงม่ายอย่างนางจะมาดูแลจวนอะไรได้ มิหนำซ้ำในด้านความรู้สึกนายท่านรองสวีต่างหากถึงจะเป็นบุตรแท้ๆ ของอู๋ซื่อ นางย่อมสนิทกับบ้านรองมากกว่า ดังนั้นนางจึงคิดให้เฝิงซื่อแห่งบ้านรองมาดูแลจวน ทว่าฉินซื่อกลับไม่ยอม เฝิงซื่อเองก็ย่อมไม่ยอมแพ้ สุดท้ายทั้งสองคนแย่งชิงเรื่องนี้กันจนเกือบตบตีกันขึ้นมา อู๋ซื่อไร้หนทางจึงได้แต่ดูแลต่อเอง
และด้วยเหตุนี้ระหว่างฉินซื่อกับเฝิงซื่อจึงไม่ลงรอยกันอย่างหนัก ส่งผลให้สวีเมี่ยวหวามองบ้านใหญ่เป็นศัตรูขึ้นมาด้วยเช่นกัน
เมื่อถูกสวีเมี่ยวหวาหันหลังกลับเดินจากไปทันทีโดยไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ บนใบหน้าอู๋จิ้งเซวียนก็ปรากฏแววกระอักกระอ่วนขึ้นมาเล็กน้อย
และสวีเมี่ยวจิ่นก็ดูจะไม่คิดไว้หน้าอู๋จิ้งเซวียนเช่นกัน เพราะนางไม่สนใจอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง เพียงเงยหน้าถามเจี่ยนเหยียนคนเดียวว่า “พี่เหยียน ท่านไปนั่งที่เรือนหนิงชุ่ยของข้าสักพักดีหรือไม่” ระหว่างที่พูดยังแกว่งแขนเจี่ยนเหยียนไปมาเบาๆ มองดูเหมือนทั้งสองคนสนิทสนมกันมากทีเดียว
มาถึงขั้นนี้เจี่ยนเหยียนก็ได้แต่รับปากเท่านั้น นางผงกศีรษะเอ่ยตอบรับ “ได้สิ ข้าไม่เคยไปที่เรือนเจ้ามาก่อนพอดี”
สวีเมี่ยวจิ่นดีใจมาก จูงมือเจี่ยนเหยียนหันตัวกลับเดินจากไปทันที ชิงจู๋สาวใช้ของนางย่อมรีบไล่ตามไป ส่วนไป๋เวยก็ตามหลังไปอีกทีเช่นกัน
ขณะที่อู๋จิ้งเซวียนยังยืนอยู่ที่เดิม ชั่วขณะนั้นสีหน้ากระอักกระอ่วนก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น
ตั้งแต่ต้นจนจบสวีเมี่ยวจิ่นไม่ได้เอ่ยปากชวนนางไปที่เรือนหนิงชุ่ยเลยสักครั้ง
เสวี่ยหลิ่วสาวใช้ของนางเอ่ยถามขึ้นมา “คุณหนู ท่านจะไปที่เรือนของคุณหนูสี่หรือไม่เจ้าคะ”
อู๋จิ้งเซวียนนึกถึงว่าวันนี้เป็นวันหยุดของสวีจ้งเซวียน ถึงแม้เขาจะไม่ได้กลับมาทุกครั้งที่หยุด แต่เมื่อครู่มีสาวใช้มาบอกนางว่าเห็นคุณชายใหญ่อยู่ในห้องหนังสือ สวีจ้งเซวียนให้ความสำคัญกับน้องสาวอย่างสวีเมี่ยวจิ่นมากที่สุด ในเมื่อเขากลับมาแล้วก็จะต้องไปหาน้องสาวที่เรือนหนิงชุ่ยแน่นอน หากตนเองไปที่เรือนหนิงชุ่ย ไม่แน่อาจจะพบเขาก็ได้!
พอนึกถึงรูปโฉมหล่อเหลาของสวีจ้งเซวียน หัวใจของอู๋จิ้งเซวียนก็เต้นกระหน่ำเหมือนมีลูกกวางน้อยวิ่งชนไปทั่ว ส่งผลให้ใบหน้าร้อนผ่าวไปด้วย ดังนั้นนางจึงขยับเท้าเดินตามไปทันที
เรือนหนิงชุ่ยเป็นเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง หลังเดินขึ้นบันไดหินขาวสลักลายคทาหรูอี้ สามขั้น ตรงหน้าก็เป็นประตูสีดำขลับสองบาน บนบานประตูมีห่วงทองเหลืองทรงกลมเรียบง่ายอยู่สองห่วง
ชิงจู๋ก้าวขึ้นหน้าไปเคาะประตู จากนั้นก็มีสาวใช้เดินมาเปิดประตูให้ ทันทีที่เห็นว่าด้านนอกมีคุณหนูของตนเองกับคนมากมายเพียงนี้ยืนอยู่ ก็รีบย่อกายคารวะแล้วรวบมือถอยไปยืนด้านข้างทันที
สวีเมี่ยวจิ่นจูงมือเจี่ยนเหยียนเดินข้ามธรณีประตูนำเข้าไปข้างในเรือนก่อน
ลานเรือนไม่ได้ใหญ่มากนัก สองฝั่งเป็นระเบียงคดเคี้ยว ตรงกลางมีแปลงดอกไม้ หินกรวดหลากสีสันสลักเป็นลายดอกไม้ต่างๆ ข้างทางมีกอไผ่เขียวชอุ่มสองสามกอ แถวบานหน้าต่างเป็นต้นกล้วย ทั้งยังมีภูเขาจำลองเล็กๆ อีกด้วย
สวีเมี่ยวจิ่นจูงมือเจี่ยนเหยียนมายืนกลางลาน ก่อนชี้ชวนให้นางมองแผ่นอักษรคู่บนเสาทางเดินด้านหน้า ก่อนถามนางว่าตัวอักษรบนนั้นเขียนสวยหรือไม่
เจี่ยนเหยียนได้เห็นว่าบนกระดาษสีแดงเขียนบทกวีไว้สองประโยค
‘แสงจันทร์สะท้อนเงาไผ่ทาบกำแพง
ลมไหวมาสดับเสียงเหมันต์’
นางรู้ว่านี่เป็นบทพรรณนาถึงต้นไผ่ของนักกวีสมัยถังผู้หนึ่ง นำมาแปะไว้ที่นี่ก็นับว่าเข้ากับทัศนียภาพอยู่ ส่วนเรื่องที่ว่าเขียนออกมาดีหรือไม่ นางลอบเดาว่าตัวอักษรสิงเฉ่าสองแถวนี้น่าจะเป็นลายมือของสวีจ้งเซวียน จึงไม่กล้าแสดงความเห็น แค่ผงกศีรษะเอ่ยว่า “กวีสองประโยคนี้เหมาะกับที่นี่มาก ตัวอักษรสิงเฉ่าทั้งสองแถวก็เขียนได้ดีมากเช่นกัน”
ตอนนั้นเองอู๋จิ้งเซวียนก็เอ่ยขึ้นจากด้านข้างว่า “ตัวอักษรสิงข่ายสองแถวนี้เขียนได้ไหลลื่น สง่างาม ฝีมือด้านการเขียนอักษรของญาติผู้พี่นับว่าแตกฉาน ฝึกฝนมาได้อย่างเชี่ยวชาญจริงๆ”
เจี่ยนเหยียนอึ้งไป ในใจคิดว่า…หรือข้าจะมองผิด ความจริงนี่เป็นลายมือสิงข่ายสองแถว ไม่ใช่สิงเฉ่า?
นางจึงหันไปมองอักษรแผ่นนั้นอีกครั้งพลางไล่สายตาพิจารณาไปทีละตัวอักษรอย่างละเอียด แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวอักษรสองแถวนี้เป็นอักษรแบบเฉ่ามากกว่าแบบข่ายอยู่ดี
และโดยไม่ตั้งใจ ปลายหางตาของเจี่ยนเหยียนก็ตวัดไปเห็นว่าที่ด้านหลังประตูของห้องหลักมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่
บนกรอบช่องประตูมีกระดาษหนาชั้นหนึ่งปิดไว้ ถึงแม้จะไม่โปร่งใส มองไม่เห็นว่าข้างในเป็นอย่างไร แต่วันนี้แสงแดดเจิดจ้ามาก หากตั้งใจมองก็ยังพอจะมองออกเลือนรางว่าด้านหลังมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ เงาร่างของคนผู้นั้นค่อนข้างสูง จะต้องเป็นบุรุษอย่างไม่ต้องสงสัย และบุรุษที่สามารถเข้าออกภายในเรือนหนิงชุ่ยแห่งนี้ได้อย่างอิสระน่าจะมีไม่มากกระมัง เจี่ยนเหยียนแทบจะเดาได้ในทันทีว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นางลอบร้องทุกข์อยู่ในใจ คนเขียนอักษรคู่แผ่นนี้ยืนอยู่ตรงนั้น พวกข้ากลับมาวิจารณ์กันว่าลายมือของเขาเป็นเช่นไร
เดิมเจี่ยนเหยียนก็ไม่อยากออกความเห็นว่าตัวอักษรสองแถวนั้นเขียนได้เป็นอย่างไรอยู่แล้ว คราวนี้ก็เลยปิดปากเงียบไปเสียเลย แล้วหันหน้าไปมองกอไผ่ด้านข้างแทน
สวีจ้งเซวียนที่อยู่ภายในห้องกลับเดินออกมายืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน ทอดสายตามองแต่ละคนที่อยู่ด้านล่างขั้นบันได
เขายังคงสวมชุดผ้าโปร่งสีเขียวชุดนั้น เมื่อยืนตัวตรงอยู่บนทางเดินเช่นนี้ก็ดูสง่างามราวกับต้นไผ่ลำหนึ่ง
ทันทีที่สวีเมี่ยวจิ่นมองเห็นเขาก็ถามออกไปทันที “พี่ใหญ่ ท่านมาตั้งแต่เมื่อใดหรือเจ้าคะ”
“เพิ่งมาถึง” เขาหันหน้าเข้าหาสวีเมี่ยวจิ่น คำพูดเอ่ยตอบกระชับสั้น ทว่าหางตากลับมองไปทางเจี่ยนเหยียน
เด็กสาวสวมเสื้อแพรสีแดงอ่อน กระโปรงผ้าแพรสีเขียวหยกเอาแต่หันไปสนใจกอไผ่ด้านข้างประหนึ่งว่าบนใบไผ่มีอะไรที่น่าดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษ
“ญาติผู้พี่” อู๋จิ้งเซวียนคลี่ยิ้ม หัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นมา ขณะเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “ที่แท้ท่านก็อยู่ที่นี่” ในใจกลับคิดว่า เขาอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย ยังดีที่เมื่อครู่ข้าไม่ได้กลับไปเพราะความกระอักกระอ่วน มิฉะนั้นไม่ใช่ว่าจะพลาดโอกาสพบหน้าครั้งนี้ไปหรือ
ยามนั้นเองเจี่ยนเหยียนก็หันหน้ากลับมาในที่สุด
อิงตามลำดับความสัมพันธ์ สวีเมี่ยวจิ่นกับอู๋จิ้งเซวียนล้วนทักทายสวีจ้งเซวียนเรียบร้อย คราวนี้ก็ควรจะถึงทีนางแล้ว ดังนั้นนางจึงย่อกายคารวะสวีจ้งเซวียน ทว่าไม่ได้มองเขา เอาแต่หลุบตามองปลายเท้าตนเองพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทั้งสุภาพและห่างเหิน “คุณชายใหญ่”
จากมุมของสวีจ้งเซวียน เขามองเห็นแค่ดอกไม้ผ้าแพรสีน้ำเงินอ่อนกับปิ่นดอกอวี้หลันหยกสีขาวที่เสียบอยู่บนเรือนผมนางเท่านั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่านางมองไม่เห็น แต่สวีจ้งเซวียนก็ยังผงกศีรษะตอบรับโดยไม่รู้ตัว จากนั้นยังเอ่ยตอบว่า “คุณหนูเจี่ยน”
เจี่ยนเหยียนไม่ได้พูดอะไรอีก แค่หลุบตามองพื้นเท่านั้น
นางนึกถึงวันแรกที่เพิ่งมาถึง ครั้งที่เข้าร่วมงานเลี้ยงของสกุลสวีกับเจี่ยนฮูหยิน หลังกินอาหารเสร็จเจี่ยนฮูหยิน อู๋ซื่อ รวมถึงฉินซื่อกับคนอื่นๆ ก็นั่งสนทนาเรื่อยเปื่อยอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นเจี่ยนฮูหยินถามออกไปประโยคหนึ่งว่า ‘มิทราบว่าคุณชายใหญ่เคยแต่งงานหรือไม่’
ทันทีที่เจี่ยนฮูหยินถามออกมา เจี่ยนเหยียนที่นั่งอยู่ข้างนางก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาทันที แทบอยากหาโพรงมุดเข้าไปแล้วไม่ออกมาอีก
ในยุคสมัยนี้การถามคำถามเช่นนี้ต่อหน้าญาติผู้อื่นยากจะไม่ให้คนคิดเชื่อมโยงเลยเถิดจริงๆ โดยเฉพาะในตอนที่ตัวเจี่ยนฮูหยินยังมีบุตรสาวที่ยังไม่แต่งงานอยู่คนหนึ่ง สวีจ้งเซวียนเองก็มีฐานะสูงออกปานนั้น
ยามนั้นเจี่ยนเหยียนได้ยินฉินซื่อหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็เห็นนางเอ่ยด้วยรอยยิ้มดูถูกว่า
‘ยังเลย! แต่ว่าก็มีครอบครัวมากมายเอาเทียบชะตาของบุตรสาวมามอบให้ ส่งคนมาเป็นแม่สื่อ แต่ข้าคิดว่าถึงอย่างไรเซวียนเกอเอ๋อร์ก็เป็นขุนนางลำดับหลักขั้นสาม…จากอายุของเขา ตำแหน่งขุนนางลำดับหลักขั้นสามก็ไม่เล็กแล้ว วันหน้าอนาคตน่าจะยังไปได้ไกลกว่านี้ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเรื่องการแต่งงานของเซวียนเกอเอ๋อร์สามารถคิดให้ดีๆ ได้ ต่อให้ไม่อาจเป็นองค์หญิงหรือบุตรสาวของท่านอ๋อง แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก บุตรสาวของครอบครัวทั่วๆ ไปไม่ต้องพูดถึงเซวียนเกอเอ๋อร์หรอก ต่อให้เป็นข้าก็ยังไม่อยากจะมอง ไม่พูดถึงเลยจะดีกว่า!’
หลังนางเอ่ยประโยคนี้จบเจี่ยนฮูหยินก็มีสีหน้าจืดเจื่อนขึ้นมา
ยามนั้นเจี่ยนเหยียนยิ่งก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม รู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนเองถูกเจี่ยนฮูหยินทำให้ย่อยยับไปแล้ว!
นับจากนี้ไปไม่รู้ว่าคนในจวนสกุลสวีจะมองนางอย่างไร อาจคิดว่านางพยายามที่จะเกาะสวีจ้งเซวียนก็ได้ ดังนั้นนับตั้งแต่คืนนั้นหากนางไม่จำเป็นต้องพบหน้าสวีจ้งเซวียนก็จะพยายามหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด จะได้ไม่ต้องให้ใครมานินทาครหาลับหลัง
หลังเข้าไปในห้องของสวีเมี่ยวจิ่น เจี่ยนเหยียนก็นั่งเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะ หลุบตาลงมองลายผีเสื้อล้อมดอกไห่ถังรอบๆ โต๊ะสีแดง พยายามทำให้ตนเองกลายเป็นอากาศธาตุ ไม่ให้ผู้ใดสนใจ
ต่างไปจากการถ่อมตนของนาง นับตั้งแต่อู๋จิ้งเซวียนเข้ามาในห้องก็สั่งให้ชิงจู๋ไปหาแจกันสีฟ้าหลังฝนมา ทั้งยังสั่งให้ซิ่งเอ๋อร์สาวใช้ไปตักน้ำใส่แจกันมาครึ่งใบ สุดท้ายเลือกดอกท้อสองกิ่งที่ดอกบานสวยที่สุดมาจากในมือเสวี่ยหลิ่ว แล้วปักลงในแจกันด้วยตนเอง
สวีเมี่ยวจิ่นนั่งอยู่ข้างเจี่ยนเหยียน มองดูอู๋จิ้งเซวียนกระทำทั้งหมดนี้ด้วยความเบื่อหน่าย
ส่วนสวีจ้งเซวียนนับตั้งแต่เข้ามาในห้องก็ไปหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งมาจากชั้นหนังสือ ก่อนไปนั่งอ่านบนเก้าอี้ไท่ซือข้างๆ ทว่าปลายหางตากลับเอาแต่เหลือบมองเจี่ยนเหยียน คัมภีร์ในมือจึงไม่ถูกพลิกเปลี่ยนหน้าอยู่นาน
นางนั่งก้มหน้าสงบนิ่ง จากมุมของเขามองไปเห็นลำคอขาวเนียนของนางที่โผล่พ้นมาช่วงหนึ่ง และในชายแขนเสื้อของนางก็เก็บตำราเล่มหนึ่งไว้ คิดว่าน่าจะเป็นเล่มที่นางอ่านตอนอยู่ในป่าเหมยเมื่อครู่นี้ เนื่องจากตอนนี้นางปล่อยมือห้อยลงมาเล็กน้อย ตำราในแขนเสื้อจึงโผล่ออกมาช่วงหนึ่ง ส่งผลให้เขามองเห็นตัวอักษรสีน้ำตาลเข้มบนหน้าปกของตำราเล่มนั้นได้
เป็นตำรา ‘บันทึกประวัติศาสตร์’
ไม่ค่อยมีเด็กสาวในห้องหออ่านตำรา ‘บันทึกประวัติศาสตร์’ นัก สวีจ้งเซวียนจึงคิดว่าเจี่ยนเหยียนผู้นี้ ตอนนั่งอย่างสำรวมอยู่ที่นี่ ไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็เห็นนางเป็นเด็กสาวในห้องหอที่อยู่ในกรอบประเพณีอันดีงามอย่างมาก ทว่าเมื่อครู่นี้ในป่าเหมยเขากลับได้เห็นกับตาตนเองว่านางนั่งอยู่ในท่าทางที่ดูผ่อนคลายสบายใจ ปากครวญท่วงทำนองที่เขาฟังไม่เข้าใจ ตอนที่นางนั่งยองๆ เล่นกับลูกแมว ในดวงตาก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ไม่เหมือนในตอนนี้ที่เสมือนนางสวมหน้ากาก มีแค่รอยยิ้มบางๆ อันไร้ที่ให้ตำหนิ
นางไม่ได้เสแสร้งเก่งในระดับธรรมดา หลังสวีจ้งเซวียนได้บทสรุปนี้ก็เก็บสายตากลับมามองคัมภีร์ในมือ
ยามนั้นในที่สุดอู๋จิ้งเซวียนก็ปักดอกท้อลงแจกันเสร็จเรียบร้อย นางจึงยิ้มถามสวีเมี่ยวจิ่นเสียงอ่อนโยน “จิ่นเอ๋อร์ แจกันดอกท้อใบนี้จะวางไว้ที่ใดดีหรือ”
สวีเมี่ยวจิ่นไม่แม้แต่เงยหน้ามองอีกฝ่าย นางสนใจแต่จะเล่นถุงพกลายกระต่ายเจี้ยนที่เมื่อครู่ตนเองได้มา จึงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วแต่ท่านเจ้าค่ะ”
อู๋จิ้งเซวียนกวาดสายตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นสวีจ้งเซวียนนั่งอ่านตำราอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือจึงประคองแจกันเดินไปวางไว้บนโต๊ะแปดเซียนด้านข้างเขา จากนั้นก็หย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ไท่ซืออีกตัวที่ว่าง ก่อนชะโงกตัวผ่านโต๊ะไปดูคัมภีร์ในมือสวีจ้งเซวียนแล้วเอ่ยถามเสียงอ่อนเสียงหวาน “ญาติผู้พี่ ท่านกำลังอ่านอะไรอยู่หรือ”
เสียงพึ่บดังขึ้นเบาๆ ทว่ากลับเป็นเสียงสวีจ้งเซวียนปิดคัมภีร์ในมือ จากนั้นก็ยื่นแขนผ่านโต๊ะส่งไปให้คนถาม
“ ‘จวงจื่อ’ ญาติผู้น้องอยากอ่านหรือ เช่นนั้นก็เอาไปอ่านเถอะ”
รอยยิ้มของอู๋จิ้งเซวียนแข็งค้างอยู่ที่มุมปาก นางย่อมไม่ได้อยากอ่าน ‘จวงจื่อ’ จริงๆ อยู่แล้ว นางก็แค่คิดอาศัยคัมภีร์เล่มนี้ชวนสวีจ้งเซวียนพูดคุยเท่านั้น ผู้ใดจะคาดว่าเขากลับตัดบทสนทนาลงไปทั้งอย่างนี้
สวีเมี่ยวจิ่นที่อยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ทว่าก็ไม่กล้าให้มีเสียงหัวเราะออกมา จึงรีบก้มหน้าลง พยายามกลั้นหัวเราะไว้เต็มที่ แต่หัวไหล่ทั้งสองข้างก็ยังสั่นขึ้นลงอยู่ดี
ส่วนเจี่ยนเหยียนก็มุมปากกระตุกเล็กน้อย สวีจ้งเซวียนผู้นี้พูดจาได้เฉียบแหลมเกินไปแล้วจริงๆ โชคดีที่ตนเองไม่เคยพยายามชวนเขาคุยอะไร มิฉะนั้นถ้าถูกย้อนกลับมาเช่นนี้ หากทนเก็บความโกรธไม่ไหวจนเป็นโรคหัวใจขาดเลือดขึ้นมา ก็เกรงว่าต้องพยายามกล้ำกลืนโทสะนี้ลงคอ ระบายออกมาไม่ได้ ให้กลืนต่อไปก็กลืนไม่ลง ไม่สบายตัวอยู่นานค่อนวัน ขณะเดียวกันเรื่องนี้ก็ทำให้นางยืนหยัดความคิดที่จะพยายามพบเจอสวีจ้งเซวียนให้น้อยที่สุดถึงขั้นไม่เจอหน้าเลยในวันหน้า
เวลาอยู่ต่อหน้าสวีจ้งเซวียน หัวใจของอู๋จิ้งเซวียนได้กลายเป็นหัวใจของสาวน้อยที่ทำมาจากคันฉ่องอย่างเห็นได้ชัด เจี่ยนเหยียนได้ยินนางเอ่ยเรียกญาติผู้พี่ออกไปเสียงสั่น น้ำเสียงออดอ้อนและอ่อนหวาน ทั้งยังแฝงด้วยความน้อยใจสามส่วน ต่อให้เป็นนางได้ยินเข้ายังอดไม่ได้ที่จะใจสั่น เกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาโดยไร้เหตุผล
แต่เห็นได้ชัดว่าหัวใจของสวีจ้งเซวียนทำมาจากเหล็กกล้า ซ้ำยังไม่ได้ใจแข็งธรรมดา เพราะเจี่ยนเหยียนได้ยินเขาเอ่ยเสียงเรียบว่า…
“มีอันใดหรือ ญาติผู้น้องไม่ชอบอ่านจวงจื่อ? บนชั้นหนังสือของจิ่นเอ๋อร์มีตำราอยู่มากมาย เจ้าสามารถเลือกเล่มที่ตนเองชอบมาอ่านได้เลย”
เจี่ยนเหยียนอยากจะกุมขมับความจริงพูดไปแล้วคำตอบในทั้งสองครั้งของสวีจ้งเซวียนต่างหาข้อตำหนิใดไม่พบ เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นคนนอกอย่างนางยังมองออกว่าอู๋จิ้งเซวียนมีใจให้สวีจ้งเซวียน ดังนั้นจึงคอยหาหัวข้อต่างๆ มาสนทนากับเขาเสมอ แต่น่าเสียดายที่คำตอบทุกครั้งของสวีจ้งเซวียนแม้จะดูธรรมดาอย่างมาก ทว่ากลับทำลายทุกความเป็นไปได้ที่อู๋จิ้งเซวียนจะได้สนทนากับเขา
เจี่ยนเหยียนจึงคิดว่าขนาดของแผลในใจอู๋จิ้งเซวียนตอนนี้จะต้องไม่ใช่แค่ใหญ่ธรรมดาแน่นอน แต่เรื่องเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับนางด้วยเล่า นางไม่อยากนั่งตรงนี้เพื่อดูละครหญิงรักข้างเดียวกับบุรุษใจดำอีกต่อไปจริงๆ ด้วยความที่สวีเมี่ยวจิ่นเป็นคนชวนนางมาเป็นแขก ซ้ำสวีเมี่ยวจิ่นต่างหากจึงจะเป็นเจ้าของที่แท้จริงของเรือนหนิงชุ่ยแห่งนี้ ดังนั้นนางจึงเอ่ยปากขอตัวกับสวีเมี่ยวจิ่น
ตอนแรกสวีเมี่ยวจิ่นไม่พอใจ แต่เจี่ยนเหยียนเอ่ยบอกอย่างนุ่มนวลว่าใกล้เที่ยงแล้ว นางต้องกลับไปกินอาหารเป็นเพื่อนมารดา สวีเมี่ยวจิ่นจึงไม่สะดวกรั้งตัวนางอยู่ต่อ ได้แต่จับมือเจี่ยนเหยียนบอกว่าอีกสักวันสองวันให้นางมาเล่นกับตนเองที่นี่อีก
อู๋จิ้งเซวียนอยู่ด้านข้างเห็นสวีเมี่ยวจิ่นทำตัวสนิทสนมกับเจี่ยนเหยียนเพียงนี้ ก็นึกถึงว่าหลายปีมานี้ตนเองมักจะมาหานางที่นี่บ่อยๆ ทั้งยังคอยปักของกระจุกกระจิกมามอบให้นาง แต่ท่าทีที่นางมีต่อตนเองกลับเย็นชาเหินห่างเสมอ ดังนั้นจึงอดรู้สึกปวดใจขึ้นมาไม่ได้ ทั้งยังมีความอิจฉาด้วยบางส่วน
ยามนั้นเจี่ยนเหยียนกลับหันมามองอู๋จิ้งเซวียนพร้อมยิ้มน้อยๆ เอ่ยกับนางว่า “พี่เซวียน ข้าขอตัวก่อน ไว้วันหน้าค่อยพบกันใหม่เจ้าค่ะ”
อู๋จิ้งเซวียนฝืนยิ้มขณะเอ่ยเช่นกันว่า “ไว้พบกันใหม่”
“คุณชายใหญ่” คราวนี้เจี่ยนเหยียนหันไปทางสวีจ้งเซวียน นางก้มหน้าลงอีกครั้ง ไม่ได้มองเขา และไม่ได้ยิ้ม แค่เอ่ยอย่างสุภาพเหินห่างว่า “ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
นึกไม่ถึงว่าแม้แต่คำว่า ‘ไว้พบกันใหม่’ นางยังไม่อยากจะพูดกับเขา สวีจ้งเซวียนนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็เห็นเจี่ยนเหยียนพาสาวใช้ของตนเองหันหลังเดินออกไปแล้ว
เพียงแต่เจี่ยนเหยียนเพิ่งจะก้าวขาออกนอกธรณีประตูไปข้างเดียว ก็ได้ยินน้ำเสียงใสกระจ่างนุ่มนวลดังขึ้นมากะทันหัน “คุณหนูเจี่ยน โปรดรอสักครู่”
เจี่ยนเหยียนขมวดคิ้ว ทว่าตอนที่หันตัวกลับไปนางก็มีสีหน้าเป็นปกติแล้ว “คุณชายใหญ่ ท่านเรียกข้ามีธุระอะไรหรือ” นางยังคงถามอย่างเกรงใจและห่างเหินเช่นเดิม
ดอกท้อกิ่งหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้านางกะทันหัน กิ่งไม้สีน้ำตาลหม่น ด้านบนมีดอกท้อสีชมพูอมขาวอยู่หลายดอก บางส่วนเป็นดอกกึ่งตูมกึ่งบาน เจี่ยนเหยียนประหลาดใจจนอดเงยหน้าขึ้นไม่ได้
นางจึงได้เห็นว่าบนใบหน้าสวีจ้งเซวียนมีรอยยิ้มอบอุ่นประดับอยู่ เขาเอ่ยว่า “เจ้าลืมเอาดอกท้อไปด้วย”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.