แม้แผนที่มู่ไคเวยตั้งใจวางไว้จะเกือบถูกพลทหารลาดตระเวนกลางคืนทำให้เสียเรื่อง แต่สุดท้ายทุกอย่างยังคงเข้ารูปเข้ารอย และจุดเปลี่ยนในช่วงรอยต่อนั้นก็คือเขา…เฮยซาน
มู่ไคเวยฟังแผนที่เฮยซานพูดแล้ว สมองพลันวิ่งอย่างรวดเร็ว ประเด็นแล้วประเด็นเล่าล้วนถูกนำมาร้อยเรียงต่อกัน
ทันใดนั้น เมฆสีดำที่บังจันทร์พลันมีแสงลอดออกมาสายหนึ่ง แสงจันทร์จึงทะลุเมฆลงมา
นางกับเขาเบียดกันอยู่บนคาคบเหนือยอดไม้ ร่างกายของทั้งสองคนซ้อนทับกันครึ่งหนึ่ง ทำให้กลิ่นหอมประหลาดโชยเข้าจมูกของนางมากขึ้น
มู่ไคเวยเหลือบมองเข้าไปในดวงตาของเฮยซาน ดวงตาคู่นั้นเป็นสีดำขลับเปล่งประกายแวววาว ประดุจแสงจันทร์กลางรัตติกาลอันเหน็บหนาวที่ดำสนิทและใสเย็น
หญิงสาวพูดโพล่งขึ้น “มิใช่เพราะมีครอบครัวคหบดีมาคอยกวนใจหรอกหรือ หน่วยประตูหกบานถึงต้องเร่งปิดคดี”
สายตาทรงคุณธรรมของนางที่จดจ้องอยู่ในระยะประชิดทำให้อกข้างซ้ายของเฮยซานสั่นไหวอย่างแรงจนเขาได้ยินเสียงหัวใจของตนเองได้ถนัด “คือ…เมื่อครู่…ข้าหลุดปากไป ขออภัยด้วย”
เขาสะกดอาการทอดถอนใจไว้และกล่าวคำขอโทษ คิดไม่ถึงว่านางจะถามว่า
“ท่านซานเร้นกายอยู่ในเมืองหลวง และคืนนี้ก็ซุ่มดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในที่ลับ แต่ที่ต้องเผยตัวออกมาเป็นเพราะถูกบังคับใช่หรือไม่”
เฮยซานกะพริบตา ดวงตาเป็นประกายวาววับอย่างซุกซน “เรื่องนี้จะพูดอย่างไรดี”
มู่ไคเวยพูดออกมา “พลทหารลาดตระเวนกลางคืนตกอยู่ในมือคนร้ายที่กำลังหลบหนี ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเราจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ แต่ถ้าข้าลงมือย่อมเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เมื่อเป็นเช่นนั้น ต้องทำอย่างไรถึงจะปล่อยตัวคนร้ายให้หนีไปได้อย่างไม่ถูกสงสัย ท่านซานเลยเลือกที่จะปรากฏตัวออกมา” เขาจงใจแสดงตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับหน่วยประตูหกบานของนาง และเป็นพวกเดียวกับนักโทษหนีคุก ตอนนั้นมู่ไคเวยยังคิดไม่ตกจึงต่อสู้กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ คนร้ายย่อมต้องเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังและเชื่อมั่นในเสียงร้องสั่งของเขาว่า ‘มีคนให้ข้ามาช่วยเจ้า ยังไม่รีบหนีไปอีก!’
“คำว่า ‘ไป’ ในวลี ‘ยังไม่รีบหนี’ ที่ท่านซานร้องบอกคนร้ายว่า ‘ยังไม่รีบหนีไปอีก’ นั้นยอดเยี่ยมมาก เพราะมันถูกใจคนร้าย ทำให้เขารีบตรงไปยังรังของพวกเดียวกันทันที นอกจากนี้อีกประโยคที่ใช้ได้ผลไม่แพ้กันคือ ‘มีคนให้ข้ามาช่วย’ ฟังดูกำกวมไม่มีต้นไม่มีปลาย เป็นการวางเดิมพันอย่างหมดหน้าตักแต่กลับได้ผลอย่างมหาศาล เพราะคนที่ถูกสั่งให้มาช่วยจะหมายถึงใครได้ ขนาดท่านไม่รู้แผนยังวางกับดักหลอกล่ออีกฝ่ายได้สำเร็จภายในครั้งเดียว และทำให้คนร้ายร้อนใจจนเผลอหลุดปาก…” สีหน้าของมู่ไคเวยเครียดขรึมขึ้น น้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายกำลังพยายามทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุและวิเคราะห์ออกมา
‘หากเจ้าโล้นนั่นไม่มาช่วยข้า ข้าจะลากไส้มันออกมาให้หมด!’
“คำว่า ‘เจ้าโล้น’ ที่คนร้ายด่านำพาให้ท่านกับข้าตามรอยกันมาถึงอารามเป่าหวา และในอารามก็มีแต่…หัวโล้นทั้งนั้นมิใช่หรือ คิดๆ ดูแล้วแผน ‘ให้ศัตรูแพ้ภัยตัวเอง’ ของท่านซานให้ผลดีเยี่ยมเสียจนไม่อาจจะเยี่ยมยอดไปกว่านี้ได้อีกแล้ว”
สิ่งละอันพันละน้อยแล่นวาบเข้ามาในสมองก่อนตกตะกอนกลายเป็นผลสรุปของแต่ละเรื่อง ทำให้ใบหน้ารูปไข่จิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตาฉายแววเครียดขรึมจนคนมองกลืนน้ำลายไม่ลง และไม่กล้าถามให้มากความ