บทที่ 1
ณ เมืองหลวงแห่งเทียนเฉาอันเป็นที่ประทับของโอรสสวรรค์ ปีใหม่เพิ่งผ่านพ้นไปทำให้บรรยากาศช่วงสิ้นปียังคงเหลืออยู่ ทว่าคุกของศาลยุติธรรมกลับเกิดเพลิงไหม้ขึ้นอย่างกะทันหัน เปลวเพลิงลุกโหมขึ้นในช่วงกลางดึกที่มีหิมะโปรยบางเบาจึงสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ยิ่งถ้ายืนอยู่บนที่สูง แม้จะห่างออกไปสิบกว่าช่วงถนนก็ยังมองเห็นไฟสีแดงวาบๆ นั้นได้
ศาลยุติธรรมเป็นหนึ่งในสามตุลาการ แห่งราชวงศ์ซึ่งมีหน้าที่ลงโทษจำคุกและสืบสวนคดีต่างๆ ทำให้มีเอกสาร หนังสือราชการ และหลักฐานจำนวนมหาศาลถูกเก็บรักษาเอาไว้เป็นเวลาหลายปี หากทุกอย่างถูกเปลวอัคคีกลืนกินไปจนหมด ผลลัพธ์คงยากจะคาดเดา ประกอบกับในห้องขังยังมีนักโทษถูกจองจำอยู่ด้วย พวกเขาย่อมไม่อาจละเลยเพลิงที่มาเยือนในช่วงกลางดึกนี้ได้
นี่ไม่ใช่เรื่องของเขา และเขาไม่ควรเข้ามายุ่ง แต่กลับจำเป็นต้องยุ่ง
บุรุษหนุ่มในชุดตระเวนราตรีสีดำย่างกรายไปตามสายลมเพื่อเข้าไปสำรวจบริเวณที่ไฟมอดไปแล้ว
ดูเหมือนจะมีนักโทษอุกฉกรรจ์คนหนึ่งฉวยโอกาสตอนที่พวกผู้คุมกำลังช่วยกันดับไฟอย่างวุ่นวายแอบหนีออกไปจากคุกของศาลยุติธรรม โดยมีเหล่ามือปราบกำลังตามไปจับกุมนักโทษที่หลบหนีคนนั้นอยู่
อืม…แต่…แทนที่จะบอกว่า ‘จับกุม’ มิสู้บอกว่า ‘ตามหาร่องรอย’ จะดีกว่า
เนื่องจากมือปราบใหญ่น้อยในเมืองหลวงมีจำนวนเกือบร้อยคน ทำให้ทางเข้าออกของที่ว่าการสามตุลาการล้วนอยู่ภายใต้กฎระเบียบและธรรมเนียมอันเคร่งครัด อาคารที่ว่าการตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมืองจะมีประตูเปิดไปทางทิศใต้ แม้อาคารจะมีพื้นที่กว้างขวาง แต่กลับมีประตูใหญ่ที่เปิดออกไปทางทิศใต้ซึ่งนำไปสู่ภายนอกได้เพียงทางเดียว ทำให้สามตุลาการมีประตูที่จะเปิดออกไปได้แค่สามบาน ซึ่งประตูทุกบานจะมีลักษณะเป็นประตูบานคู่ที่ทาด้วยสีดำ ยามประตูทั้งสามเปิดออกพร้อมกันจะมีบานประตูทั้งหมดหกบานพับ
เวลานี้ มือปราบของหน่วยประตูหกบานได้แยกออกกันเป็นกลุ่ม กลุ่มละสองถึงสามคน โดยกำลังคนและม้าสองกลุ่มกำลังไล่ล่านักโทษด้วยการควบม้าไปตามถนนใหญ่และตรอกเล็ก พวกเขาพูดคุยกันเสียงดังเหมือนกลัวชาวบ้านจะไม่รู้ว่าหน่วยประตูหกบานกำลังปฏิบัติภารกิจอย่างไรอย่างนั้น ส่วนกำลังคนและม้าอีกสามกลุ่มที่เหลือเมื่อได้รับสัญญาณก็เร้นหายไปในความมืดอย่างเงียบเชียบราวกับไม่มีตัวตน
ดูน่าสนใจไม่น้อยเลย
ที่แท้นักโทษแหกคุกที่ได้ลมช่วยหนุนนำใบเรือก็ไม่ได้ดวงดีจริงๆ แต่เพราะมีใครบางคนจงใจ ‘ปล่อยเสือกลับภูเขา’ เพื่อ ‘คลำตามเถาวัลย์ไปหาผลแตง’ ต่างหาก
ดูสิ พอกองหน้ามั่นใจว่าคนร้ายหนีออกไปได้ ‘โดยสะดวก’ ไฟด้านหลังก็ถูกควบคุมได้อย่างเรียบร้อย
เยี่ยมยอด!
ชายหนุ่มที่หมอบอยู่บนที่สูง มองหญิงสาวในชุดเจ้าหน้าที่สีน้ำหมึกด้วยแววตาวาวโรจน์
นางมีรูปร่างอรชรแน่งน้อย ยิ่งมาอยู่กับพวกมือปราบหลังเสือเอวหมีที่มีรูปร่างกำยำล่ำสันแล้ว ก็ยิ่งเน้นให้เห็นถึงความอ้อนแอ้นบอบบางชัดเจนยิ่งขึ้น ทว่าทั้งเอวและแผ่นหลังของหญิงสาวกลับหยัดตรงสู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
นางปล่อยไหล่ ทิ้งศอก ท่วงท่าดูสบายๆ ก็จริง แต่กลับให้ความรู้สึกงามสง่าเด็ดเดี่ยว ภายนอกงดงามหมดจดสดใส เปี่ยมด้วยความน่าค้นหา ทว่าภายในกลับแกร่งกร้าวอย่างน่าเหลือเชื่อ เขารู้ว่านางเป็นบุคคลชั้นยอด
การเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองหลวงและใช้ชีวิตอย่าง ‘หลบๆ ซ่อนๆ’ คอยมองและฟังข่าวจากทั่วทุกสารทิศอาจทำให้เขาไม่รู้จักคนอื่นๆ แต่ไม่มีทางไม่รู้จักนาง หัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบาน
ขุนนางหลวงขั้นสามผู้มีสมญา ‘อสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวง’
ศิษย์น้องของเมิ่งอวิ๋นเจิง ‘มือปราบเทวดา’ คนปัจจุบัน
บุตรสาวของมู่เจิ้งหยาง ‘มือปราบเทวดา’ คนก่อน
มู่ไคเวย
เมื่อคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจะพบว่ามู่ไคเวยอายุเท่ากับเขา แต่ในช่วงระยะเวลาหลายปีนี้นางได้คลี่คลายคดีไปจำนวนไม่น้อยจนกลายเป็นหัวหน้าสี่ปักษีและขุนนางหลวงขั้นสาม ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ และยิ่งไม่ใช่เพราะมีบิดาช่วยหนุนหลัง
ชายหนุ่มถึงกับทอดถอนใจเพราะสตรีนางนี้มีฝีไม้ลายมือเหนือกว่าเขามาก
นางทุ่มเททำงานเพื่อบ้านเมืองและราษฎร เพื่อปกป้องความสงบสุขและมั่นคงของทุกคน ส่วนตัวเขาหากสลัดฐานันดรอันสูงส่งทิ้งไปแล้ว เกรงว่าคงไม่มีค่าคู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้นางด้วยซ้ำ
ทางด้านมู่ไคเวยเห็นผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว นางก็กระโดดขึ้นไปวิ่งบนหลังคา นางทั้งซุ่มซ่อน เหาะเหิน และไล่ล่าไปในทิศทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
นักโทษอุกฉกรรจ์แหกคุกถูกพวกมือดีของหน่วยประตูหกบานคอยสกัดจนเหลือทางหนีแค่ทางเดียว เจ้านักโทษที่กำลังห้อหนีไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังถูกล้อม เจ้านักโทษมุดตัวเข้าไปในทุกช่องทาง ไม่เว้นแม้แต่รูสุนัขลอด
เจ้านักโทษอาศัยเลาะเลียบไปตามกำแพงจนเข้าใกล้ประตูเมือง
เขาเข้าใจว่าถ้าใช้มือเปล่าแย่งดาบมาจี้จับนายทหารพวกที่เฝ้าประตูเมืองสำเร็จ ย่อมสามารถบีบให้นายทหารขี้กลัวเปิดประตูให้ได้ แต่เขาต้องทำให้สำเร็จก่อนที่หน่วยประตูหกบานจะมาถึง หาไม่ คืนนี้เขาคงเสียแรงเปล่า และสิ่งที่รอคอยอยู่ก็คือแท่นประหารที่พร้อมจะบั่นคอเขาอยู่แล้ว
สิ่งเดียวที่เจ้านักโทษนั้นคิดไม่ถึงก็คือมีพลทหารลาดตระเวนกลางคืนมาขวางหน้า!
คนเรามักมีสามด่วน* ทำให้ยามที่พลทหารลาดตระเวนกลางคืนถ่ายเบาในตรอกที่ลับตาเสร็จ หยิบไม้กับฆ้องที่วางอยู่ข้างตัวเดินออกมาแล้วก็เผชิญหน้ากับคนร้ายแหกคุกในระยะประชิดพอดี
“เจ้า…เจ้า…ชุดนักโทษ…เจ้าใส่ชุดนักโทษ!” ดวงตาสะลึมสะลืออย่างคนง่วงนอนของพลทหารลาดตระเวนกลางคืนพลันเบิกกว้าง เขาก้าวถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ตั้งท่าจะตีฆ้องร้องตะโกน แต่กลับถูกคนร้ายพุ่งพรวดเข้ามาเค้นคอหอยเสียก่อน
ในช่วงเวลาวิกฤตนั้น หินก้อนเล็กสองก้อนก็ถูกดีดออกไปจากมือลึกลับ!
หินก้อนแรกพุ่งตรงเข้าหาไหล่กว้างของคนร้ายที่กำลังทำเรื่องอำมหิต ส่วนหินก้อนที่สองแม้จะมีขนาดเล็กกว่าก้อนแรก แต่มันกลับชนหินก้อนแรกให้แหลกเป็นผุยผงได้ในพริบตา ก่อนหน้าที่หินก้อนแรกจะกระแทกถูกเป้าหมาย
แม้คนร้ายจะไม่ได้ถูกก้อนหินที่เป็นอาวุธลับทำร้าย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเผาขนนี้ก็ทำให้มันตกใจจนขนลุกชัน ลมหายใจฟืดฟาด นิ้วทั้งห้าที่หมายเค้นเอาลมหายใจของพลทหารลาดตระเวนกลางคืนไปจึงเผลอคลายออก
คนร้ายสะดุ้งเฮือก เดิมทีเขาตั้งใจจะจับพลทหารลาดตระเวนกลางคืนไว้เป็นตัวประกัน แต่แค่ก้าวออกไปข้างหน้าเพียงหนึ่งก้าวก็มีเงาดำมาขวางอยู่ตรงหน้าของพลทหารลาดตระเวนกลางคืนที่กำลังตัวสั่นเทิ้ม
แสงสีเงินสาดใส่ตาคนร้ายพร้อมเรี่ยวแรงมหาศาล และไอเย็นจัดจากกระบี่ประจำตัวของมือปราบหน่วยประตูหกบานจ่อเข้าที่เส้นเลือดใหญ่บนคอของมัน
มู่ไคเวยคิดไม่ถึงว่าแผนในวันนี้จะยุ่งยากเพราะพลทหารลาดตระเวนกลางคืนคนหนึ่ง!
แต่นางไม่อาจทนเห็นคนทั้งคนตายไปต่อหน้าต่อตาได้จึงต้องยอมลงมือ ทว่าการจะปล่อยให้คนร้ายจอมเจ้าเล่ห์หนีไปได้อย่างแนบเนียนและสมเหตุสมผลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
หากอีกฝ่ายสะกิดใจขึ้นมาว่าคืนนี้หน่วยประตูหกบานกำลังแอบตามรอยเพื่อคลำตามเถาวัลย์ไปหาผลแตงล่ะก็ การค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ก็จะยากทบทวียิ่งขึ้นไปอีก แต่สิ่งที่ทำให้มู่ไคเวยตกใจคือเรื่องตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ข้างหลัง นางนึกว่าตนเป็นนกขมิ้น โดยหารู้ไม่ว่าความจริงแล้ว นกขมิ้นคือผู้อื่น…มีใครบางคนตามหลังนางอยู่ และทำลายลูกหินที่เป็นอาวุธลับของนาง เมื่อครู่นี้เองที่หญิงสาวเพิ่งรับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย
เป็นไปได้ว่าเขาจะแข็งแกร่งกว่า และยังมีวรยุทธ์สูงส่งกว่านาง
แต่อย่างน้อยนางก็ได้เปรียบเรื่องพื้นที่และกำลังคน
เมืองหลวงเป็นถิ่นของนาง ขอเพียงรั้งตัวคนผู้นั้นเอาไว้ให้ได้ ไม่ถึงหนึ่งเค่อ เจ้าหน้าที่กลุ่มสี่ปักษีคนอื่นๆ กับมือปราบจุลปักษีจะต้องสังเกตเห็นความผิดปกติและเร่งมาให้ความช่วยเหลือ มู่ไคเวยจึงไม่ต้องพะวงหลัง ทว่าแผนคืนนี้คงต้องพังเพราะไม่สามารถปล่อยตัวคนร้ายให้หนีไปได้จริงๆ
“ออกมาได้แล้ว สหาย กล้าทำแล้วไม่กล้ารับหรือ”
แขนนางถืออาวุธมั่น สายตาที่กวาดมองไปในที่มืดนั้นเปรียบได้กับกระบี่ที่ชักออกจากฝัก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้าชัดเจน
จังหวะนี้เอง พลทหารลาดตระเวนกลางคืนก็ตกใจจนแข้งขาอ่อน ไม่มีแรงจะตะกายหนีไปได้ไกล ส่วนคนร้ายก็มีเหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาเต็มหน้า และนิ่งเป็นก้อนหินโดยไม่กล้าขยับ
ฟึ่บ!
มู่ไคเวยคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดนางจึงแน่ใจว่า ‘นกขมิ้น’ ซ่อนอยู่ในที่ลับตาบริเวณก้อนหิน และกลั้นใจรอคอย ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมาคือลูกหินที่เป็นอาวุธลับก้อนหนึ่งซึ่งแหวกอากาศมา แต่เป้าหมายที่โดนเล่นงานกลับไม่ใช่นาง แต่เป็นพลทหารลาดตระเวนกลางคืนที่เป็นมะพลับนิ่ม ทำให้มู่ไคเวยต้องช่วย
หญิงสาวยื่นแขนไปคว้าตัวพลทหารลาดตระเวนกลางคืนกลับมาทำให้เขารอดพ้นจากการถูกโจมตีได้อย่างฉิวเฉียด แต่ยังไม่ทันได้หยุดหายใจ อาวุธในมือกลับถูกบางสิ่งมากระทบ เปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามได้ฉวยโอกาสตอนที่นางเสียสมาธิพุ่งออกมาช่วยคนร้าย
“ยอมให้จับเสียโดยดี!” ร่างบางเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรียวด้วยกระบวนท่าที่ดุดัน นางชิงเข้าพัวพันก่อนเป็นฝ่ายถูกโจมตี
ฝ่ายตรงข้ามใช้มือข้างหนึ่งยึดตัวคนร้ายไว้อย่างให้การคุ้มครอง และใช้มืออีกข้างต่อสู้กับนาง ช่วงแรกเขาถูกมู่ไคเวยเล่นงานไม่ยั้งจนต้องถอยหลังกรูด แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะพ่ายแพ้ ซ้ำยังสามารถหลีกหลบอาวุธของนางไปได้
เขาหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่งแล้วใช้แขนยาวทรงพลังส่งตัวคนร้ายขึ้นไปบนกำแพง ก่อนตวาดเสียงกร้าว “มีคนให้ข้ามาช่วยเจ้า ยังไม่รีบหนีไปอีก!”
คนร้ายถูกเหวี่ยงขึ้นไปบนกำแพงโดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าจึงล้มโครมเจ็บไปทั้งร่าง ยิ่งได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขาก็หลุดปากด่าทอออกมาว่า “หากเจ้าโล้นนั่นไม่มาช่วยข้า ข้าจะลากไส้มันออกมาให้หมดเลย โอ๊ย! มารดามันเถอะ…เจ็บโว้ย!”
“ยังไม่ไปอีก! อยากหัวขาดจริงๆ หรือ!”
ช่วงที่ชายหนุ่มพูด มู่ไคเวยก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วเหยียบก้อนหินที่ยื่นออกมานอกตัวกำแพงเหินตัวขึ้นไปด้านบน
หญิงสาวแผดเสียงเข้ม “หยุดนะ!”
แต่นั่นมิเท่ากับเป็นการ ‘เร่งกระตุ้น’ คนร้ายหรือ
ชั่วเวลานี้ ไม่ว่าจะเจ็บเนื้อปวดตัวสักเพียงใด คนร้ายก็ต้องกัดฟันแล้วฝืนหยัดกายขึ้นเพื่อหนีออกจากเมือง
มู่ไคเวยตั้งท่าจะตามแต่กลับถูกสกัดเอาไว้
เมื่อหมดห่วงให้ต้องพะวง บุรุษปริศนาก็ใช้มือเปล่าต่อกรกับหญิงสาวผู้ถืออาวุธ เงาสองร่าง…หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กเคลื่อนพลิ้วอยู่บนที่สูง หลังต่อสู้กันเกือบร้อยกระบวนท่า ในมือของบุรุษปริศนาก็มีของมีคมสีเงินขนาดประมาณครึ่งแขนโผล่ออกมาสกัดกระบี่ที่ฟาดลงมาอย่างรุนแรงของมู่ไคเวยเสียงดังแกร๊ง
มู่ไคเวยผงะไปด้านหลังแล้วเสียหลักล้มลง
ลมหายใจของหญิงสาวหอบกระชั้นเล็กน้อย นางรู้สึกเจ็บง่ามมือแปลบๆ ทว่าสายตาที่จ้องมองฝ่ายตรงข้ามกลับไม่กะพริบเลยแม้แต่น้อย
เพราะบัดนี้นางสามารถพิจารณาคนตรงหน้าได้อย่างละเอียดแล้ว
เขาเป็นบุรุษที่สวมชุดตระเวนราตรีสีดำ ไหล่กว้างเอวสอบ แขนขายาว รูปร่างสูงใหญ่ แต่ยังไม่ถึงขนาดหลังเสือเอวหมีหรือเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ อากัปกิริยาของเขาก็แคล่วคล่องว่องไว แม้เขาจะดูผอมเพรียว แต่กล้ามเนื้อทุกมัดเหมือนมีพละกำลังแอบแฝงอยู่ ราวกับสามารถนำออกมาใช้ได้อย่างไม่มีหมดสิ้น ช่วงที่ต่อสู้กันเมื่อครู่ มู่ไคเวยรับรู้ได้ถึงการยั้งมือของฝ่ายตรงข้าม ทำให้นางนึกสงสัยว่าเขายังไม่ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่ออกมาทั้งหมด
หรือบางที…อาจจะยังไม่ถึงแปดส่วนเสียด้วยซ้ำ
มู่ไคเวยเห็นหน้าเขาไม่ชัด เพราะยามนี้แสงจันทร์ถูกเมฆบดบังอยู่ รัศมีอ่อนๆ ที่ทอดลงมาบนกำแพงและส่องกระทบหน้ากากเนื้อบางที่เลียนแบบหนังมนุษย์ของเขาเปล่งรัศมีแปลกตา ทำให้มองเห็นนัยน์ตาสีดำเป็นมันวาว
นี่เป็นเทพจากที่ใดกัน!
การที่เมืองหลวงมียอดฝีมือปรากฏตัวขึ้นมาอย่างเงียบเชียบเป็นความบกพร่องในหน้าที่ของนางผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบาน
จู่ๆ บุรุษตรงหน้าก็ถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงห้าวทุ้มดังขึ้นจากหลังหน้ากากว่า “กระบี่สั่งทำพิเศษของหน่วยประตูหกบานไม่อาจดูแคลนได้เลยจริงๆ ทั้งน้ำหนักเบา คล่องแคล่ว และดุดัน คุณสมบัติก็ครบครัน ทำได้ทั้งแทง ฟัน พลิก และตัด ซ้ำยังเปล่งประกายในความมืดได้เป็นระยะ อีกทั้งไม่ยึดติดกับแบบแผน สามารถพลิกแพลงได้หลากหลาย สมกับเป็นอาวุธที่ดี” เขาพูดพลางโบกแท่งแหลมทำจากเงินในมือเหมือนกำลังแสดงละคร อึดใจต่อมาอาวุธแหลมชิ้นนั้นก็หายไป
น่าจะเป็นอาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ เขาถึงหยิบใช้ได้ตามใจเช่นนี้ มู่ไคเวยคิดด้วยอารมณ์ที่เริ่มนิ่งแล้วหลังจากปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดเสียงเย็น “ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอะไร”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “ผู้น้อยต่ำต้อยไม่คู่ควรให้มีนามเรียกขาน”
“เช่นนั้นก็ตั้งมาสักชื่อเถิด”
การที่จู่ๆ มู่ไคเวยขอร้องมาเช่นนี้ทำให้บุรุษปริศนาชะงักงัน สองตาเขากะพริบปริบๆ ก่อนออกปากขอรับการสอนสั่งอย่างหน้าไม่อายว่า “…เหตุใดข้าจึงไม่อาจไร้นาม”
เสียงตอบของมู่ไคเวยนิ่งสนิท “หากท่านไร้นาม หน่วยประตูหกบานคงตามจับตัวลำบาก”
ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าคืนนี้ตนได้กลายเป็นก้างชิ้นใหญ่ที่ไม่ว่าอย่างไรมู่ไคเวยก็คงไม่ยอมปล่อยไป หากวันนี้นางจับเขาไม่ได้ พรุ่งนี้หญิงสาวย่อมต้องติดประกาศไปทั่วเมืองและใช้กำลังของหน่วยประตูหกบานตามจับเขาไปจนสุดหล้าฟ้าเขียวแน่ ทว่าการจับคนต้องมีใบหน้าและชื่อที่ชัดเจน เรื่องใบหน้า…เขามีแล้ว ซ้ำยังชัดแจ้งหนักแน่นดุจขุนเขา ขาดเพียงนามเท่านั้น
บุรุษปริศนาเกาหูพลางหัวเราะหึๆ “หรือไม่ หัวหน้ามู่แห่งกลุ่มสี่ปักษีลองตั้งสมญานามดีๆ ให้ข้าสักชื่อเถิด”
คนผู้นี้กะล่อนอย่างหาตัวจับได้ยาก รู้จักยอกย้อนกลิ้งกลอก ช่วงที่คุยกัน มู่ไคเวยจับได้ว่าอีกฝ่ายมีสำเนียงการพูดอย่างคนเมืองหลวงแท้ๆ หากไม่ใช่ทหารหลวงของราชสำนักที่เป็นฝ่ายธรรมะ ก็ต้องเป็นคนที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงมานานมากแล้ว
หัวคิ้วของมู่ไคเวยย่นเข้าหากันเล็กน้อย นางโค้งริมฝีปากเป็นรอยยิ้มแค่บนใบหน้า แต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มด้วย
“ท่านสวมชุดสีดำปลอด เช่นนั้นก็แซ่เฮยเถอะ แซ่เฮยนามว่าซาน ดีหรือไม่”
“…เฮยซาน?” ดวงตาสองข้างเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
มู่ไคเวยพูดต่อ “หากไม่ชอบเฮยซานจะเป็นโม่ซาน เสวียนซานหรืออูซานก็ได้ เลือกมาสักชื่อหนึ่งเถอะ”
บุรุษปริศนาแผดเสียงลั่นอย่างอดไม่อยู่ “เหตุใดต้องเป็นลำดับสาม ข้าเป็นลูกคนโตและเป็นลูกโทนของบ้าน เหตุใดถึงถูกเตะโด่งให้เป็นอันดับสามเสียได้เล่า”
อ้อ…ลูกโทนเช่นนั้นหรือ เบาะแสเล็กน้อยนี้ทำให้หัวใจของมู่ไคเวยกระตุกเล็กน้อย ทว่าสีหน้ายังคงนิ่งสนิท
“เที่ยวท่องยุทธภพต้องรับอันดับสาม นี่เป็นมารยาทที่พึงมีในยุทธภพเพื่อแสดงให้เห็นว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน มิกล้าอวดโอ่ตน ในเมื่อท่านเรียกตัวเองว่า ‘ผู้ต่ำต้อย’ ย่อมชื่อ ‘เฮยต้า’ ไม่ได้”
ชายหนุ่มถูกดักคอจนเถียงไม่ออก สองตายิ่งเบิกกว้างขึ้น เมื่อเห็นหญิงสาวเก็บกระบี่กลับเข้าฝัก เขาก็ต้องหรี่ตาลง แววตาเป็นประกายวับวาว
มู่ไคเวยไม่คิดจะคอยคำตอบ นางพูดขึ้นเองว่า “ท่านซานใช้มือเปล่าต่อสู้กับกระบี่ของข้า เป็นการต่อให้ข้าอย่างมาก เช่นนั้น เรามาประมือกันอีกยกหนึ่งดีกว่า ข้าเคยฝึกวิชามือคว้าจับเจ็ดสิบสองท่ามาบ้าง ไม่ทราบว่าท่านซานจะกล้ารับคำท้าหรือไม่”
บุรุษปริศนาชะงักก่อนจะรู้ตัวว่า ‘ท่านซาน’ ที่นางเรียกหมายถึงตัวเขา ใบหน้าคมคายจึงบึ้งตึงและมุมปากกระตุก เขานึกดีใจที่มีหน้ากากเนื้อบางช่วยซ่อนท่าทีทั้งหลายนี้เอาไว้
อีกประการคือนางกำลังยั่วเขาเพื่อถ่วงเวลารั้งเขาเอาไว้ เพราะนับตั้งแต่ที่มู่ไคเวยถามชื่อจนเป็นฝ่ายตั้งสมญานามให้นั้น บทสนทนาที่ดำเนินไปเรื่อยๆ นี้มีเป้าหมายอยู่ที่การรั้งเขาไว้ ไม่ยอมให้จากไป
เขามองออก แต่กลับหนีไปไม่ได้
ไม่ใช่เพราะหนีไม่ได้ แต่เพราะไม่อยากหนี
เขาอยากพูดคุยกับนาง อยากได้ยินเสียงนาง เป็นความปรารถนาที่มีมานานแสนนานแล้ว
ทั้งที่เป็นถึงหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบาน แต่หญิงสาวกลับมีรูปร่างเล็กอ้อนแอ้นดูน่าเอ็นดู นิสัยห้าวหาญ เข้มงวดดุดัน แต่ขณะเดียวกันก็ดูน่ารัก และในที่สุดชายหนุ่มผู้ ‘ต่ำต้อย’ ที่อยากจะพูดคุยกับนางเพราะ ‘สถานการณ์บังคับ’ ก็ไม่ได้ผิดคำสาบานเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ในเมื่อไม่ผิดต่อความตั้งใจของตัวเองเช่นนี้แล้ว จะให้เขาปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร จะทำใจได้อย่างไร…
“ใต้เท้ามู่อยากหาคนซ้อมวิชามือคว้าจับด้วยหรือ ข้า เอ่อ…เฮยซานยินดีร่วมด้วยอย่างยิ่ง”
ชายหนุ่มเพิ่งพูดจบคำ เงาร่างสายหนึ่งก็พุ่งเข้าหา
มู่ไคเวยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้หายใจ นางปราดเข้ากระหน่ำเล่นงานเขาดุจพายุซัดสาด
หลักสำคัญของวิชามือคว้าจับอยู่ที่แขนขาทั้งสี่ หลักรองอยู่ที่ความว่องไวของสองแขนและนิ้ว ทำให้มู่ไคเวยที่ตัวเล็กน่ารักสามารถใช้วิชามือคว้าจับเจ็ดสิบสองท่าได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว นางต้องการใช้วิธีสี่ตำลึงปาดพันชั่งจึงเค้นเอาสุดยอดวิชาออกมา ทำให้เฮยซานถูกรุกไล่จนเผยช่องออกมาเล็กน้อย
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังแกร๊ก เฮยซานก้มลงมองใบหน้าใสกระจ่างของหญิงสาวที่เข้ามาอยู่ตรงหน้า สีหน้าจริงจังของนางทำให้เขาใจสั่น ชั่วขณะนั้น สมองของชายหนุ่มพลันว่างเปล่าขาวโพลน แต่พอได้สติในครู่ถัดมา ข้อมือขวาก็มีกุญแจมือเหล็กสีทะมึนเพิ่มเข้ามาอันหนึ่งแล้ว
นี่ต่างหากที่เป็นเป้าหมายของนาง!
อะไรคือ ‘เรามาประมือกันอีกยกหนึ่งดีกว่า’ ‘ข้าเคยฝึกวิชามือคว้าจับเจ็ดสิบสองท่ามาบ้าง’ ความจริงคือนางต้องการหาวิธีประชิดตัวเขาเพื่อฉวยโอกาส ‘ลอบโจมตี’ ตอนเผลอต่างหาก!
สำหรับมู่ไคเวยผู้มีหน้าที่รับผิดชอบงานของทางการ การ ‘ลอบโจมตี’ เช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรมแล้ว
หลังจากลอบโจมตีสำเร็จ นางก็ออกแรงกระตุกกุญแจมือและขยับริมฝีปากเพื่อพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับมีกลิ่นบางๆ โชยมากระทบฆานประสาทเสียก่อน
กลิ่นนี้มัน…มันคือ…
นางชะงักงันไปในบัดดล หัวใจเต้นถี่รัว สองตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ!
ทว่าจังหวะที่นางสูดลมหายใจเข้าปอดเพียงไม่นาน กุญแจมือเหล็กกลับถูกแย่งชิง
เฮยซานโต้กลับด้วยวิธีย้อนรอย เขาสวมกุญแจมือลงบนข้อมือซ้ายของนางเสียงดังแกร๊ก
“มาอย่างไรต้องไปอย่างนั้น เมื่อหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีใส่กุญแจมือข้าแล้ว หากข้าไม่ใส่กุญแจมือท่านตอบ ย่อมเป็นการเสียมารยาทใช่หรือไม่”
นัยน์ตาของชายหนุ่มดำขลับสุกใส แม้จะมีหน้ากากบางๆ กั้น แต่มู่ไคเวยยังคงมองเห็นริมฝีปากที่แย้มยิ้มของเขาได้ถนัดว่าเขายิ้มกว้างมากเพียงใด
ขณะที่หญิงสาวกำลังจดจ่อ นางสามารถจับกลิ่นแปลกๆ นั่นได้ง่ายขึ้นว่ามันมาจากร่างของเฮยซาน
แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีจนกลิ่นนี้เลือนรางอยู่ในความทรงจำ และหัวใจส่วนลึกบอกว่ายังมีเรื่องราวที่น่าสงสัยอีก แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมปล่อยเขา!
มู่ไคเวยไม่สนใจว่าใครจะใส่กุญแจมือใคร เพราะมือซ้ายที่สวมกุญแจมือของนางคว้าหมับเข้าที่ข้อมือขวาที่มีกุญแจมือของเฮยซาน ส่วนมือขวาตั้งท่าจะจับไหล่เขา
“ตาข่ายแปดทิศ ปล่อย!” เสียงใสของนางตะโกนก้อง และไม่รู้ว่ากำลังพลของหน่วยประตูหกบานมาแอบซุ่มอยู่บนกำแพงตั้งแต่เมื่อไร
ทว่าพริบตานั้น แหตาถี่แปดมุมขนาดใหญ่สองผืนก็ทิ้งตัวคลี่คลุมลงมาจากท้องนภาในยามราตรี พร้อมการโจมตีจากด้านซ้ายและขวา คนของหน่วยประตูหกบานแต่ละคนล้วนผ่านการฝึกปรือมาอย่างเข้มข้นและรู้ทางกันเป็นอย่างดี จนสามารถทำงานประสานกันได้ดุจอาภรณ์ฟ้าไร้ตะเข็บ สิ่งที่มู่ไคเวยคิดคือเฮยซานมีฝีมือสูงกว่านาง หากสู้กันตัวต่อตัว นางย่อมไม่มีทางชนะ ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีอื่นมาสยบชายหนุ่ม ด้วยการฉวยโอกาสตอนที่ตาข่ายคลุมลงมาบนร่างของพวกเขาแล้วให้กำลังพลตีโอบลักษณะในสามชั้นและนอกสามชั้น นางไม่เชื่อว่าจะจับเขาไม่ได้
แต่…มู่ไคเวยกลับพลาด!
เพราะนางจับไหล่เขาไม่อยู่ ซ้ำมือที่จับมือขวาของชายหนุ่มไว้ก็ถูกเขาซัดพลังใส่จนชาหนึบไปครึ่งร่าง ทำให้นางต้องเปลี่ยนมากดมือของตนเองแทน
“ข้าคงอยู่ในตาข่ายดักของหน่วยประตูหกบานไม่ได้แล้ว!” ชายหนุ่มหัวเราะเสียงใส เขาไม่ได้ทะยานตัวขึ้นเพื่อหาทางรอด แต่กลับลากตัวมู่ไคเวยวิ่งออกไปทางด้านข้างแทน
สถานการณ์เปลี่ยนผันรวดเร็วมากเสียจนมู่ไคเวยรู้สึกว่าเลือดลมในร่างแข็งค้างไปแล้ว ร่างกายครึ่งหนึ่งของนางอ่อนยวบลง เพิ่งจะอ้าปากร้องเตือนพวกพ้องของตนให้ระวัง เจ้าหน้าที่กลุ่มสี่ปักษีจำนวนสี่คนก็ถูกเฮยซานเล่นงานจนลงไปนอนกองตามๆ กันแล้ว
เขาไม่ปล่อยให้การต่อสู้ยืดเยื้อ แต่เลือกพุ่งตัวออกจากวงล้อมไปทันที ทั้งยังลากหญิงสาวกระโดดออกไปนอกกำแพงด้วย
“ไม่เป็นไรนะ ข้าคอยคุ้มกันอยู่” ราวกับรู้ว่าเลือดลมในตัวมู่ไคเวยแข็งค้าง ช่วงที่ทิ้งตัวลงมาจากกำแพงที่มีความสูงเท่าอินทรีเหิน เขาจึงไม่ลืมที่จะหันมาปลอบ คล้ายกับกลัวว่านางจะไม่ยอมตามมา และไม่อาจปล่อยนางทิ้งไว้ได้
สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับการถูกปกป้องอย่างมู่ไคเวยถึงกับหน้าร้อนฉ่าขึ้นมาทันที หัวใจก็เหมือนกับหยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง
นางจ้องดวงตาที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ของเขา มือซ้ายที่เริ่มมีแรงกลับคืนมาแล้วบีบตอบมือเขากลับไปทันใด
นางบีบมือเขาแรงมาก คล้ายเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีจนทำให้เขารู้สึกได้ว่า ‘นางไม่ยอมให้เขาหนี หากเขาจะหนี ไม่ว่าจะหนีไปที่ใดย่อมต้องพานางไปด้วย’ อย่างชัดเจน
“ท่านซานมีที่พักอยู่ในเมืองหลวงแล้วจะหนีไปที่ใด และจะหนีได้นานสักเพียงใดกัน”
“หัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีคิดจะหยั่งเชิงข้าสินะ แต่ท่านก็คิดได้ถูกจุด เพราะตอนนี้ข้าอยู่เมืองหลวงจนคุ้นแล้วจึงไม่มีความคิดจะย้ายรัง เพราะฉะนั้นข้าไม่หนี” เฮยซานยกมือของทั้งสองคนที่กุมกันแน่นขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีใดถึงทำให้มือใหญ่เลื่อนจากข้อมือไปแนบอยู่ที่มือของหญิงสาวได้ แม้แต่นิ้วของทั้งสองยังสอดประสานกันอย่างแนบแน่น
“ท่านทำอะไรน่ะ!” มู่ไคเวยเข้ามารับหน้าที่ตั้งแต่อายุสิบห้า จนวันนี้นางอายุยี่สิบห้าปีแล้ว มีเรื่องที่ทำให้นางรู้สึกเหมือนหัวใจจะกระโจนออกมานอกอกน้อยมาก แต่ชั่วขณะนี้ การมีชายหนุ่มมาประสานมือและกอบกุมนิ้วของนางอย่างแนบแน่นจนไม่อาจหลบหนีได้นี้ เป็นเรื่องที่มู่ไคเวยไม่เคยพบเจอมาก่อน น้ำเสียงของนางจึงเครียดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
ชายหนุ่มมองนางด้วยดวงตาเป็นประกายพลางยิ้มอย่างสดใส “คนร้ายเข้ามาอยู่ในรัศมีแล้ว หากเรายังไม่ปล่อยธนูอีก ไม่เท่ากับเป็นการปล่อยโจรไปเปล่าๆ หรือ”
“ท่านหมายความเช่นไร…อ๊ะ!” พูดยังไม่ทันจบคำ มู่ไคเวยก็ถูกอีกฝ่ายกระชากให้แล่นฉิวไปเหมือนสายลม ลมเย็นจัดพรูเข้าปากที่อ้าค้างของนาง ทำให้นางถามอะไรไม่ได้
เงาร่างที่กระโดดลงมาจากกำแพงเมืองติดต่อกันล้วนเป็นยอดฝีมือผู้ชำนาญวิชาตัวเบาในหน่วยประตูหกบาน เมื่อพวกเขาเห็นมู่ไคเวยถูกจับจึงรีบติดตามมา ขณะที่คนที่เหลือพากันไปเปิดประตูเพื่อควบม้าตามมาช่วย ซึ่งนี่คือวิธีการทำงานของหน่วยประตูหกบาน ต่อให้มู่ไคเวยไม่หันไปมอง นางก็สามารถจินตนาการภาพเหตุการณ์บนกำแพงเมืองได้อย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจคือ…เฮยซานมีเป้าหมายอะไรถึงได้ทำเช่นนี้
อีกประการหนึ่ง วิชาตัวเบาของเขาก็ดูเหมือนวิชาทางสายมารอย่างมาก เนื่องจากการกระโดดโลดโผนของเขาดูไม่กินแรง ลมหายใจไม่สะดุด คล้ายไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายลมปราณระหว่างช่องอกกับจุดตันเถียน ผิดกับมู่ไคเวยที่พ่นลมหายใจออกมาเป็นกลุ่มควันสีขาว มองเห็นได้ถนัดท่ามกลางราตรีที่เหน็บหนาว และในช่วงที่สายตาของนางเริ่มพร่าเลือน มู่ไคเวยก็มายืนอยู่บนที่สูงกับเฮยซานแล้ว
นางเพิ่งจะปรับตัวรับกับการฉุดลากของเขาได้สำเร็จ แต่ร่างกายและพลังลมปราณกลับทำงานไม่ประสานกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะสามารถสลัดการเกาะกุมของนิ้วเขา หรือเปลี่ยนเป็นฝ่ายคุมตัวเขาไว้เลย
หลังเริ่มปรับลมปราณจนหายจากอาการชาหนึบแล้ว มู่ไคเวยก็ทำได้เพียงจับจังหวะการเหาะเหินและเคลื่อนไหวเพื่อพยายามตามเฮยซานไปอย่างเดียว
แต่แล้วจู่ๆ เฮยซานก็หันกลับมามองนาง
มู่ไคเวยรู้ว่าเขากำลังยิ้มเพราะดวงตาที่โค้งลงเหมือนสะพานน้อยๆ คล้ายเขากำลังชื่นชมนางว่าทำได้ไม่เลวที่สามารถปรับตัวตามเขาได้
นิ้วที่ถูกกุมแน่นของมู่ไคเวยรวบเข้าหากันอย่างแรง เหมือนอยากจะบีบเขาให้เจ็บ แต่ผลที่ได้คือนางกลับไม่ได้ยินเสียงร้องโอดโอยจากชายหนุ่ม มีเพียงเสียงหัวเราะหึๆ เบาๆ เท่านั้น
มู่ไคเวยจึงเลิกเล่นงานเขา เพียงปล่อยตัวตามแรงฉุดของเขาเพื่อขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้
ที่นี่อยู่ห่างจากประตูเมืองราวยี่สิบลี้ เป็นภูเขาป่าไม้และที่ดินล้ำค่าของอารามหลังใหญ่ทางทิศตะวันออกของเมืองหลวง สถานที่ที่ได้รับการสักการะมากที่สุด…อารามเป่าหวา
มู่ไคเวยเห็นคนผู้หนึ่งขี่อาชาสีน้ำตาลอ่อนพ่วงพีวิ่งทะยานไปตามถนน มุ่งตรงไปยังยอดเขา ซึ่งคนบนหลังม้าคือนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ฉวยโอกาสหลบหนีออกจากศาลยุติธรรมตอนเกิดเหตุเพลิงไหม้ในคืนนี้
“เกือบสองเดือนที่ผ่านมา ได้เกิดคดีสตรีถูกลักพาตัวทั้งในและนอกเมือง สำนวนคดีอยู่ที่ศาลยุติธรรม ซึ่งเกินกว่าครึ่งของเจ็ดแปดครอบครัวที่เกิดเหตุล้วนแต่เป็นครอบครัวของคหบดีในเมืองหลวง” เฮยซานพูดเสียงเบา น้ำเสียงเยาะหยันมีกระแสเกียจคร้าน “หน่วยประตูหกบานถูกเบื้องบนเร่งให้รีบปิดคดี ไม่ง่ายเลยกว่าจะจับปลาเล็กปลาน้อยได้หนึ่งตัว แต่มันไม่พอให้แคะขี้ฟันหรอก เลยต้องใช้ปลาเล็กไปตกปลาใหญ่เพื่อจับตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังออกมา แค่กๆ ด้วยเหตุนี้ถึงต้องปล่อยปลาเล็กให้หนี ทั้งยังกลัวด้วยว่ามันจะมีแรงวิ่งไปขอความคุ้มครองจากปลาใหญ่ไม่พอเลยต้องเตรียมม้าให้ด้วย”
ม้าตัวสีน้ำตาลอ่อนที่คนร้ายขี่ไปเป็นหนึ่งในม้าจำนวนสิบกว่าตัวที่มู่ไคเวยให้มือปราบสามคนนำไปไว้ที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง แล้วให้พวกเขาปลอมตัวเป็นพ่อค้าม้าที่นำสินค้ามารอแลกเปลี่ยนยามประตูเมืองเปิดตอนเช้า ดูจากตอนนี้ คนร้ายสามารถขโมยม้าจากฝูงเพื่อขี่หลบหนีออกจากเมืองเข้าไปในป่าได้อย่าง ‘ราบรื่น’ แล้ว
แม้แผนที่มู่ไคเวยตั้งใจวางไว้จะเกือบถูกพลทหารลาดตระเวนกลางคืนทำให้เสียเรื่อง แต่สุดท้ายทุกอย่างยังคงเข้ารูปเข้ารอย และจุดเปลี่ยนในช่วงรอยต่อนั้นก็คือเขา…เฮยซาน
มู่ไคเวยฟังแผนที่เฮยซานพูดแล้ว สมองพลันวิ่งอย่างรวดเร็ว ประเด็นแล้วประเด็นเล่าล้วนถูกนำมาร้อยเรียงต่อกัน
ทันใดนั้น เมฆสีดำที่บังจันทร์พลันมีแสงลอดออกมาสายหนึ่ง แสงจันทร์จึงทะลุเมฆลงมา
นางกับเขาเบียดกันอยู่บนคาคบเหนือยอดไม้ ร่างกายของทั้งสองคนซ้อนทับกันครึ่งหนึ่ง ทำให้กลิ่นหอมประหลาดโชยเข้าจมูกของนางมากขึ้น
มู่ไคเวยเหลือบมองเข้าไปในดวงตาของเฮยซาน ดวงตาคู่นั้นเป็นสีดำขลับเปล่งประกายแวววาว ประดุจแสงจันทร์กลางรัตติกาลอันเหน็บหนาวที่ดำสนิทและใสเย็น
หญิงสาวพูดโพล่งขึ้น “มิใช่เพราะมีครอบครัวคหบดีมาคอยกวนใจหรอกหรือ หน่วยประตูหกบานถึงต้องเร่งปิดคดี”
สายตาทรงคุณธรรมของนางที่จดจ้องอยู่ในระยะประชิดทำให้อกข้างซ้ายของเฮยซานสั่นไหวอย่างแรงจนเขาได้ยินเสียงหัวใจของตนเองได้ถนัด “คือ…เมื่อครู่…ข้าหลุดปากไป ขออภัยด้วย”
เขาสะกดอาการทอดถอนใจไว้และกล่าวคำขอโทษ คิดไม่ถึงว่านางจะถามว่า
“ท่านซานเร้นกายอยู่ในเมืองหลวง และคืนนี้ก็ซุ่มดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในที่ลับ แต่ที่ต้องเผยตัวออกมาเป็นเพราะถูกบังคับใช่หรือไม่”
เฮยซานกะพริบตา ดวงตาเป็นประกายวาววับอย่างซุกซน “เรื่องนี้จะพูดอย่างไรดี”
มู่ไคเวยพูดออกมา “พลทหารลาดตระเวนกลางคืนตกอยู่ในมือคนร้ายที่กำลังหลบหนี ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเราจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ แต่ถ้าข้าลงมือย่อมเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น เมื่อเป็นเช่นนั้น ต้องทำอย่างไรถึงจะปล่อยตัวคนร้ายให้หนีไปได้อย่างไม่ถูกสงสัย ท่านซานเลยเลือกที่จะปรากฏตัวออกมา” เขาจงใจแสดงตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับหน่วยประตูหกบานของนาง และเป็นพวกเดียวกับนักโทษหนีคุก ตอนนั้นมู่ไคเวยยังคิดไม่ตกจึงต่อสู้กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ คนร้ายย่อมต้องเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังและเชื่อมั่นในเสียงร้องสั่งของเขาว่า ‘มีคนให้ข้ามาช่วยเจ้า ยังไม่รีบหนีไปอีก!’
“คำว่า ‘ไป’ ในวลี ‘ยังไม่รีบหนี’ ที่ท่านซานร้องบอกคนร้ายว่า ‘ยังไม่รีบหนีไปอีก’ นั้นยอดเยี่ยมมาก เพราะมันถูกใจคนร้าย ทำให้เขารีบตรงไปยังรังของพวกเดียวกันทันที นอกจากนี้อีกประโยคที่ใช้ได้ผลไม่แพ้กันคือ ‘มีคนให้ข้ามาช่วย’ ฟังดูกำกวมไม่มีต้นไม่มีปลาย เป็นการวางเดิมพันอย่างหมดหน้าตักแต่กลับได้ผลอย่างมหาศาล เพราะคนที่ถูกสั่งให้มาช่วยจะหมายถึงใครได้ ขนาดท่านไม่รู้แผนยังวางกับดักหลอกล่ออีกฝ่ายได้สำเร็จภายในครั้งเดียว และทำให้คนร้ายร้อนใจจนเผลอหลุดปาก…” สีหน้าของมู่ไคเวยเครียดขรึมขึ้น น้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายกำลังพยายามทำความเข้าใจต้นสายปลายเหตุและวิเคราะห์ออกมา
‘หากเจ้าโล้นนั่นไม่มาช่วยข้า ข้าจะลากไส้มันออกมาให้หมด!’
“คำว่า ‘เจ้าโล้น’ ที่คนร้ายด่านำพาให้ท่านกับข้าตามรอยกันมาถึงอารามเป่าหวา และในอารามก็มีแต่…หัวโล้นทั้งนั้นมิใช่หรือ คิดๆ ดูแล้วแผน ‘ให้ศัตรูแพ้ภัยตัวเอง’ ของท่านซานให้ผลดีเยี่ยมเสียจนไม่อาจจะเยี่ยมยอดไปกว่านี้ได้อีกแล้ว”
สิ่งละอันพันละน้อยแล่นวาบเข้ามาในสมองก่อนตกตะกอนกลายเป็นผลสรุปของแต่ละเรื่อง ทำให้ใบหน้ารูปไข่จิ้มลิ้มเหมือนตุ๊กตาฉายแววเครียดขรึมจนคนมองกลืนน้ำลายไม่ลง และไม่กล้าถามให้มากความ
ริมฝีปากของเฮยซานที่อยู่หลังหน้ากากอ้าแล้วหุบ หุบแล้วอ้า สุดท้ายเขาก็ฝืนหัวเราะออกมา “หึ หัวหน้ามู่พูดเช่นนี้แสดงว่าข้าถูกแผนของหน่วยประตูหกบานในคืนนี้บีบให้ต้องเผยตัวออกมาน่ะสิ เช่นนั้น…ข้าเฮยซานมิกลายเป็นพลเมืองดีผู้มีความกล้าหาญชาญชัยไปแล้วหรือ”
“ท่านซานมิใช่คนดีหรือ” หญิงสาวถามตามตรง
“เอ่อ…เป็นคนดีแน่นอน แต่ก็พอมีชื่อเสียงอยู่ในกลุ่มคนเลวด้วย!” เฮยซานดูจะไม่คุ้นกับการถูกเรียกว่าเป็นคนดีเอามากๆ เพราะเขามีท่าทางคล้ายไม่รู้ว่าจะเอามือเอาเท้าไปวางไว้ที่ใด
ดูเหมือนชายหนุ่มจะฉุกคิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้ เขาจึงยกมือที่เกาะกุมกันของทั้งสองคนขึ้นมาแล้วยื่นไปตรงหน้ามู่ไคเวยอย่างรวดเร็ว “ในเมื่อท่านบอกว่าข้าเป็นคนดี เช่นนี้ก็ควรปลดกุญแจมือของหน่วยประตูหกบานออกไปได้แล้วกระมัง หัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีคงไม่กลั่นแกล้งพลเมืองดีใช่หรือไม่”
มู่ไคเวยดึงมือของพวกเขาทั้งสองคนลงมาก่อนที่มุมปากจะคลายลง “พลเมืองดีต้องให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนภารกิจการสืบคดีของหน่วยประตูหกบาน” นางยังคงยืนกรานหนักแน่น “ท่านซานยังตกเป็นผู้ต้องสงสัย ขออภัยที่ข้ายังไม่อาจปล่อยท่านไปได้”
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง “นี่ท่านจงใจบีบคั้นข้าใช่หรือไม่!”
“บีบคั้นอะไร”
“บีบให้ข้าเป็นคนชั่ว” พูดยังไม่ทันจบ ชายหนุ่มก็ดีดนิ้วใส่จุดชาบนแขนของหญิงสาว
มู่ไคเวยปัดป้องตามสัญชาตญาณ แต่น่าเสียดายที่นางช้ากว่าเขาเล็กน้อย
หลังจากถูกเล่นงาน มือข้างที่นางเกาะเกี่ยวนิ้วของเขาไว้ก็มีความรู้สึกชาวาบจนเผลอคลายออกมาเอง มู่ไคเวยได้แต่เบิกตามองชายหนุ่มแสดงวิชาหดกระดูกแสนพิสดารในระยะประชิด ทำให้มือใหญ่ที่ประกอบด้วยนิ้วเรียวหลุดออกจากกุญแจมือได้อย่างลื่นไหล มู่ไคเวยสะดุ้ง เพราะบนยอดไม้หาใช่ที่ที่เหมาะแก่การสำแดงวรยุทธ์ นางจึงต้องฝืนใช้มือข้างเดียวไปจับตัวอีกฝ่าย
แต่นางกลับคว้าตัวเขาไว้ไม่สำเร็จ ซ้ำยังเห็นชายหนุ่มพลิกหลบไปทางด้านหลังของตน และเนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก มู่ไคเวยจึงสะบัดศีรษะเหล็กไปทางด้านหลังเพื่อกระแทกใส่เขาเสียดื้อๆ
กระบวนท่าที่ไร้แบบแผนนี้ให้ผลชะงัด เพราะท้ายทอยของนางกระแทกถูกจมูกของชายหนุ่มอย่างแรงจนได้ยินเสียงร้องโอ๊ย มู่ไคเวยรีบหันหน้าไป ชั่วขณะนั้น เฮยซานเหมือนเสียการทรงตัวจึงร่วงลงไปด้านล่าง เสียงกิ่งไม้หักดังมาไม่หยุด
มู่ไคเวยรีบกระโดดตามลงไปที่พื้นแต่กลับไม่เห็นเงาร่างของเฮยซานอีก
“หัวหน้าอยู่นี่!”
“เจอตัวแล้วๆ!”
“หัวหน้า!”
“ลูกพี่! ลูกพี่…”
“ใต้เท้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ขอรับ”
มือปราบใหญ่น้อยของหน่วยประตูหกบานเร่งควบม้ามาตามเสียง บางคนตามมาจากในเมือง บางคนเป็นคนที่มู่ไคเวยวางตัวไว้ให้อยู่นอกเมือง แต่พอทั้งสองฝ่ายมาเจอกันตรงกลางทางก็พากันตามนางมาที่ป่านอกเมืองทางทิศตะวันออก
มู่ไคเวยโบกมือเป็นการบอกว่านางไม่เป็นไร และไม่มีเวลาอธิบายมาก นางรีบออกคำสั่ง “คนร้ายเอาม้าที่เราเตรียมไว้ไปแล้ว มุ่งหน้าขึ้นไปบนภูเขา อารามเป่าหวาถือเป็นสถานที่ต้องสงสัย เถี่ยต่าน เจ้าพาคนอ้อมไปที่ภูเขาด้านหลังอารามเป่าหวา แล้วตรวจดูว่าเหมาะสำหรับเข้าออกหรือไม่ แม้แต่ทางเดินของสัตว์ป่าก็อย่าปล่อยผ่าน และจำไว้ให้ดีว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น หากมีคนใช้ภูเขาด้านหลังเข้าออก ไม่ต้องสนใจว่าเป็นใคร ให้จับตัวไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ขอรับ ข้าจะรับผิดชอบเอง รับรองว่าจะไม่ปล่อยให้แมลงวันสักตัวหลุดรอด ลูกพี่โปรดวางใจ!”
บุรุษหนุ่มอายุยี่สิบปีผู้มีฉายาว่าเถี่ยต่านมีรูปร่างเตี้ยล่ำ ผิวสีเข้ม ทันทีที่ได้รับคำสั่ง มือใหญ่เท่าใบพัดก็ตบอกหนาปึงๆ เป็นการรับรอง
มู่ไคเวยหันไปพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่อีกด้าน “ปี้โถว พี่ใหญ่จิ่ง พวกเจ้ารับผิดชอบเรื่องการซุ่มดูอารามเป่าหวาทั้งซ้ายและขวา ต้องคอยจับตาทั้งกลางวันและกลางคืน”
“ใต้เท้า คืนนี้พวกเราตามมาถึงที่นี่ หากอารามเป่าหวามีปัญหาจริง เรื่องมันไม่น่าจะง่ายนะขอรับ” ปี้โถวเป็นมือดีของหน่วยประตูหกบานที่มีประสบการณ์ถึงยี่สิบกว่าปี เขาอยู่ในลำดับที่สองของสี่หัวหน้า อันที่จริงด้วยความเก่งของเขาสามารถขึ้นไปได้สูงกว่านี้ น่าเสียดายที่เขาเป็นคนใจคอเย่อหยิ่ง มักจะคอยขัดหูขัดตาคนไปทั่ว ยากนักกว่าที่เขาจะยอมลงให้สตรีอย่างมู่ไคเวย และติดตามทำงานให้นางด้วยความเต็มใจ
ฟังคำพูดของเขาแล้ว มู่ไคเวยผงกศีรษะเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจ
“อารามเป่าหวาเป็นสถานที่ประดิษฐานของพระอัฐิของพระพุทธองค์ ได้รับการอุปถัมภ์จากราชสำนักมาอย่างยาวนาน ไม่อาจบุกเข้าไปโดยง่าย อีกห้าวันก็จะมีการประกอบพิธีทางศาสนาประจำปีต่อหน้าพระประธานในวัด เจ้าอาวาสอายุร่วมเก้าสิบปีจะออกมาแสดงธรรมด้วยตนเอง ราชสำนักมีคำสั่งลงมาว่างานนี้ไทเฮาจะเสด็จด้วย” มู่ไคเวยใช้กุญแจปลดกุญแจมือเหล็กบนข้อมือตนเองออกแล้วเก็บเอาไว้ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถือเป็นโอกาสอันดี หากใช้กำลังบุกเข้าไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ให้พี่น้องเราเดินเข้าไปอย่างเปิดเผยเลยเถอะ”
เวลาหน่วยประตูหกบานปฏิบัติภารกิจจะไม่เคยยัดข้อหาหรือสร้างความวุ่นวายมาก่อน แต่จะเลือกใช้วิธีที่ธำรงความสงบเรียบร้อยเอาไว้ สามารถเห็นผลได้ชะงัด ซึ่งวิธีเหล่านี้พวกเขาเคยใช้กันมาแล้วและได้ผลดังใจ
ปี้โถวไม่เคยสนใจหัวหน้าที่เอาแต่ยึดมั่นในกฎระเบียบแบบแผน ไม่รู้จักคิดนอกกรอบ และไร้จินตนาการ เทียบกันแล้ว ‘ตุ๊กตาแซ่มู่’ คนนี้ยังดีกว่า เพราะนางร้ายกาจจนฮ่องเต้เฒ่ายังไม่กล้าแตะต้อง หึๆ ถูกตาต้องใจข้านัก
ทุกคนเข้าใจความหมายของหัวหน้าจึงมองตากันแล้วยิ้มอย่างรู้ความนัยแม้จะไม่ได้พูดออกมา ก่อนจะร้องรับเป็นเสียงเดียวกัน “น้อมรับคำสั่ง!”
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ต.ค. 62)
Comments
comments
No tags for this post.