บทที่ 4
ราตรีดึกสงัดที่ดึกเสียจนเทพธิดาแห่งดวงจันทร์เร้นไปอยู่หลังเมฆสีดำอย่างคร้านที่จะอวดโฉม ทำให้หริ่งหรีดเรไรพากันเงียบเสียงตามไปด้วย
ณ ห้วงราตรีอันเงียบงัน
ยิ่งมืดเท่าไรก็เหมือนทุกอย่างจะยิ่งเงียบงันขึ้นเท่านั้น ทำให้ใจมนุษย์อ่อนแอลงจนไม่อาจต้านทานแรงฉุดรั้งที่ดึงเข้าไปในความฝันที่ซ้อนอยู่ในความฝัน กระแสธารแห่งกาลเวลาคล้ายหมุนม้วนเข้าไปในความทรงจำที่ฝังลึกที่สุด ทำร้ายความรู้สึกและจิตวิญญาณมากที่สุด ซึ่งความขัดแย้งระหว่างความอ่อนแอและเข้มแข็งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้นี้คือเนื้อแท้ของจิตใจ
ในความฝันซึ่งมีที่มาจากความจริง ตัวเขาที่อายุแปดขวบถูกโรคประหลาดรุมเร้าจนอาการหนัก ทว่ายังคงมีสติแจ่มใส ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวดจากการที่ร่างกายถูกทำร้ายจริงๆ หรือความเจ็บปวดที่จับต้องไม่ได้แต่แทรกลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ ทุกสิ่งล้วนถูกสลักตราตรึงทั้งสิ้น
เขาไม่รู้ว่าจอมยุทธ์หญิงผู้นั้นถือกระบี่อ่อนเข้ามาในสมรภูมิเลือดนี้ตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่าพอท่านแม่ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสรู้ว่าจอมยุทธ์หญิงผู้นั้นเป็นใคร พระชายาคังอ๋องก็เหมือนกับคนที่ใกล้จะจมน้ำแล้วมองเห็นขอนไม้ลอยอยู่ตรงหน้า จึงดึงแขนเสื้อของจอมยุทธ์หญิงผู้นั้นเพื่ออ้อนวอนขอร้องนางให้ช่วยซื่อจื่อแห่งจวนคังอ๋องอย่างสุดชีวิต
ศัตรูกรูเข้ามาเล่นงานจากสี่ทิศแปดทางของลำน้ำซานชวนโข่วอย่างไม่ขาดสาย กระทั่งพวกเขาไม่มีทางหนีรอด
จอมยุทธ์หญิงยอมรับคำวิงวอนและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความภักดี นางอาศัยเพียงกระบี่อ่อนเล่มเดียวฟาดฟันศัตรูรอบกายเพื่อให้คนรับใช้แบกฟู่จิ่นซีที่ป่วยเป็นโรคประหลาดจนร่างกายแทบจะเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อวิ่งนำออกไปก่อน ในขณะที่ตัวนางคอยตามคุ้มกันอยู่ที่ด้านหลัง
ในที่สุด จอมยุทธ์หญิงก็สามารถพาพวกเขาหนีพ้นการไล่ล่าได้สำเร็จสมดังคำสัตย์ที่ให้ไว้ ทว่าค่าตอบแทนที่นางต้องจ่ายคือชีวิตของตัวนางเอง
จอมยุทธ์หญิงถูกดาบฟันเข้าที่หลัง ขาและเอว แม้บาดแผลจะไม่ได้ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่เพราะบนใบมีดของศัตรูอาบยาพิษเอาไว้ ประกอบกับนางต้องสิ้นเปลืองพลังลมปราณไปจำนวนมหาศาล พิษจึงแทรกลึกเข้าไปในร่างกายอย่างช้าๆ
‘ซื่อจื่อลิ้นแข็งพูดไม่ได้ แต่ข้ารู้…ว่าท่านได้ยินสิ่งที่ข้าพูด เพราะฉะนั้น…ท่านจงฟังให้ดี’
แววตาของจอมยุทธ์หญิงเปล่งประกายบีบคั้นผู้คน สีหน้าของนางขาวซีด ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วง ลมหายใจหอบหนัก
‘วันใดที่ซื่อจื่อหายดีและกลับไปเมืองหลวงแล้ว ขอให้ท่านเป็นคนแปลกหน้ากับสกุลมู่ของข้า การที่ข้าสละชีวิตเพื่อช่วยท่านในวันนี้เป็นความสมัครใจของตัวข้าเอง ซื่อจื่อไม่จำเป็นต้องรู้สึกซาบซึ้งเพราะข้าไม่ได้หวังสิ่งใดจากท่าน’
โลหิตสีดำไหลรินออกมาจากมุมปากของนางไม่ขาดสาย ความเจ็บปวดที่เกิดจากพิษทำให้จอมยุทธ์หญิงต้องนิ่วหน้า แต่นางยังคงจ้องเขาตาไม่กะพริบ
‘ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอให้จวนคังอ๋องของท่านอย่าได้ข้องแวะกับสกุลมู่เด็ดขาด…สามีข้า…ลูกสาวข้า…เวยเวยของข้า เวยเวย…ท่านจงอยู่ให้ห่างจากพวกเขา อย่าให้มีดที่แขวนอยู่เหนือศีรษะท่านต้องไปตกใส่สกุลมู่…อย่า…’
ดวงตาของจอมยุทธ์หญิงเบิกกว้าง น้ำตาโลหิตไหลรินลงมาสองสาย นางถามด้วยน้ำเสียงดุดัน
‘ฟู่จิ่นซี ท่านได้ยินชัดหรือไม่!’
น้ำเสียงดุดันที่เรียกชื่อพร้อมแซ่ในความฝันนั้นเหมือนนางมาบีบเค้นเขาอยู่ตรงหน้าไม่มีผิด หน้าอกด้านซ้ายของฟู่จิ่นซีกระตุกจนต้องเปิดเปลือกตาพรึ่บ
ตื่นแล้ว?
ภายในห้องมืดสนิทเงียบสงัด เหมือนแสงจันทร์ยังคร้านที่จะทอดตัวเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มตลบผ้าห่มแล้วขึ้นมานั่งอยู่ในความมืดอย่างเชื่องช้า เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ “ได้ยินชัด เพราะเช่นนี้สิ่งใดทนได้ข้าเลยทน สิ่งใดทนไม่ได้ข้าก็ต้องทน ทนจนอวัยวะห้ากลั่นหกกรอง แทบเคลื่อน เพียงแต่ท่านผู้อาวุโสลิ่นขอรับ บุตรสาวสกุลมู่ของท่านช่าง…ทำร้ายความตั้งมั่นของข้าได้ดีเหลือเกิน”
มือทั้งสองข้างของชายหนุ่มค่อยๆ กำเป็นหมัดแน่นขึ้นกระทั่งข้อนิ้วมีเสียงกรอบแกรบเหมือนข้าวตอกแตก คล้ายกำลังปฏิเสธความปรารถนาที่เต้นเร่าอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ และละม้ายอยากจะไขว่คว้าบางสิ่งในอากาศ
นางช่างทำร้ายความตั้งมั่นของเขาเสียเหลือเกิน…
มู่ไคเวยยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเมื่อวานตนไม่น่าฟังคำเขาและลงจากรถมาเหมือนคนโง่งมเลย
ตอนคังอ๋องฟู่จิ่นซีเปิดใจคุยกับนางว่าตัวเขาเป็นดาวปีศาจนำเคราะห์ที่ทำให้บิดามารดาต้องเสียชีวิต นางน่าจะใช้กลยุทธ์เหนือชั้นในการสอบสวนเพื่อล้วงลึกเข้าไปในบทสนทนาและค้นหาเบาะแส เผื่อจะได้ความจริงบางอย่างของคดีที่ซานชวนโข่วจากปากของเขามากขึ้น แต่พอโอกาสมาถึงนางกลับโง่งมไปเสียได้
เพราะหลังจากที่นางฟังเรื่องราวที่แสนสะเทือนใจของเขาจบ ฟู่จิ่นซีก็พูดนิ่งๆ ‘ถึงจวนสกุลมู่แล้ว เจ้าลงไปเถอะ’
แล้วนางก็ปฏิบัติตาม
กระทั่งเข้ามานั่งเฉยๆ ที่เก้าอี้ไท่ซือ ในห้องรับแขกพักหนึ่งแล้ว เสียงเรียกของท่านพ่อจึงช่วยเรียกสติ ทำให้มู่ไคเวยรู้ว่านางลืมถามฟู่จิ่นซีว่าเขาจะใช้วิธีใดทำให้ฮ่องเต้และไทเฮาถอนพระบัญชา
หากไทเฮามีใจปกป้องเขา ยืนกรานให้ฟู่จิ่นซีหา ‘อาวุธเทพกำราบปีศาจ’ มาเป็นชายาเอกให้ได้ และหากฮ่องเต้ยังรู้สึกข้องใจและยังอยากพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างจวนคังอ๋องกับมารดาของนาง อยากใช้นางเข้าไปหยั่งเชิงจวนคังอ๋อง ฟู่จิ่นซีจะเปลี่ยนพระทัยของฮ่องเต้อย่างไร
นางลอบถอนหายใจและรู้สึกว่าเมื่อวานตนเองพลาดไปจริงๆ เดิมทีเรื่องที่ควรซักก็ต้องซัก หากซักความจนกระจ่างแล้ว การที่สองคนร่วมมือกันย่อมดีกว่าเขาเป็นฝ่ายลุยเดี่ยวแน่
ความรู้สึกของมู่ไคเวยเปลี่ยนแปลงไปมากมายหลากหลาย
แต่สิ่งหนึ่งที่นางไม่สงสัยเลยคือคังอ๋องเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ…พิเศษมากจริงๆ
เพราะเขาคือคนที่มารดาของนางสละชีวิตเพื่อช่วยไว้!
สิ่งที่ท่านแม่ใช้ชีวิตแลกมาย่อมเป็นสิ่งมีค่า แม้นางกับคังอ๋องจะไม่สนิทกัน แต่มู่ไคเวยก็ไม่อยากเห็นเขาตกที่นั่งลำบาก กระทั่งถูกความระแวงของฮ่องเต้ทำร้ายซ้ำอีก
ตกค่ำ สาวใช้สูงวัยกลุ่มหนึ่งก็ยกอ่างน้ำสะอาดเข้ามาภายในห้อง ก่อนจะเห็นคุณหนูของพวกนางสวมชุดตัวกลางเพื่อเตรียมเข้านอนแล้ว ยามนี้กำลังนั่งอยู่ที่หน้ากระจก นางไม่ได้มองเงาเฉิดฉายของตนเองในกระจกด้วยสีหน้าเศร้าซึม แต่ถือกระบี่ไว้ในมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างถือผ้าสะอาด ขัดถูอาวุธซ้ำๆ อย่างประณีตบรรจง…ประกายกระบี่สาดจับใบหน้าของนางทำให้นางแลดูงดงามดุดันพอๆ กับคมกระบี่ ต่อให้สาวใช้มากประสบการณ์ได้มาเห็นหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เจอ…หนังศีรษะก็ยังคงรู้สึกชาวาบอยู่ดี
“คุณหนูเจ้าคะ พวกข้าช่วยท่านหวีผม หรือนวดหนังศีรษะดีหรือไม่” ต่อให้หนังศีรษะชา แต่พวกนางยังคงต้องรับมือนายหญิงของบ้านผู้ทำงานเป็นหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีมานานหลายปีให้สำเร็จอยู่ดี
“อืม ก็ดี รบกวนหลันกูกูด้วย” มู่ไคเวยเลิกคิ้วยิ้มๆ นางเก็บอาวุธอย่างแคล่วคล่องว่องไวแล้วนั่งนิ่งๆ อย่างว่าง่าย สีหน้าแลดูนุ่มนวลสมเป็นกุลสตรีมากขึ้นอีกหลายส่วน
หลันกูกูวางอ่างน้ำบนขาตั้งแล้วเดินไปที่ด้านหลังของมู่ไคเวยเพื่อช่วยคลายเอ็นวัวที่ใช้รวบผมของนางทั้งวัน หลังจากนั้นก็ใช้สิบนิ้วนวดคลึงหนังศีรษะหนักเบาสลับกัน นวดไปพลางบ่นไปพลาง
“คุณหนูเอาแต่รวบผมเป็นหางม้าสูงทรงเดิมตลอด ทั้งยังไม่ยอมใช้เครื่องประดับ ใช้แค่เอ็นวัวเส้นเดียว เฮ้อ เอ็นวัวนี่ก็ใช้เส้นละสองสามปีไม่เคยเปลี่ยนเช่นกัน…” ยิ่งบ่นก็ยิ่งอยากร้องไห้ “คุณหนูเจ้าขา พวกข้าไม่มีสิทธิ์พูด แต่สิ่งที่พวกข้าถนัดที่สุดคือวิชาทำผมที่มารดาข้าจับมือสอนให้ตั้งแต่สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อไรคุณหนูจะทำตัวดีๆ ให้ข้าได้แสดงฝีมือช่วยท่านทำผมทรงงามๆ ชนิดพลิกฟ้าคว่ำดินให้ลือลั่นไปทั่วเมืองหลวง เพื่อเป็นการปลอบประโลมดวงวิญญาณของมารดาที่อยู่บนสวรรค์บ้าง”
มู่ไคเวยมองสบตาหลันกูกูในกระจกแล้วยิ้มอย่างขออภัยปนเอาแต่ใจ
“ท่านมีสิทธิ์พูดได้ตั้งหลายเรื่อง ดูสิ ท่านนวดศีรษะข้าได้ดีเหลือเกิน เฮ้อ…สบายขึ้นจริงๆ” หญิงสาวหลับตาพลางโคลงศีรษะเบาๆ ท่าทางเหมือนกำลังดื่มด่ำอย่างยิ่ง
“สำรวมหน่อยเจ้าค่ะ” หลันกูกูบ่นแล้วเคาะศีรษะอีกฝ่ายเบาๆ ทีหนึ่ง
หลังนวดหนังศีรษะและหวีผมจนสลวยดีแล้ว มู่ไคเวยก็รับการปรนนิบัติล้างหน้าก่อนดับไฟเข้านอนอย่างเชื่อฟัง
ภายในม่านมุ้ง หญิงสาวเอนกายนอนราบอย่างเรียบร้อย และทอดแขนทั้งสองไว้ข้างลำตัวอย่างผ่อนคลาย
ในสมองยังคงมีเรื่องคดีต่างๆ ของหน่วยหยาเหมินวนเวียนอยู่ และนึกอยากรู้ว่าท่านพ่อกับคังอ๋องจะใช้วิธีใดเพื่อไปขอยกเลิกสมรสพระราชทาน จากนั้นก็พลันคิดถึงตัวนางเอง…
โบราณกล่าวว่าบุรุษต้องแต่งงาน สตรีต้องออกเรือน มู่ไคเวยไม่ได้ต่อต้านเรื่องการออกเรือนแต่นางเป็นสตรีที่เลยวัยออกเรือนมานานแล้ว ซ้ำยังทำงานอยู่ในหน่วยประตูหกบาน และเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษี มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นสาม หากไม่ได้รับสมรสพระราชทานแล้ว จะมีครอบครัวใดกล้ามาสู่ขอ
บุรุษที่มีวัยไล่เลี่ยกัน ทั้งมีอุปนิสัยสอดคล้องและเหมาะสมกับนางมีเพียงศิษย์พี่ใหญ่เมิ่งอวิ๋นเจิงคนเดียว แต่พวกเขาคลุกคลีตีโมงกันมานานหลายปี ความสัมพันธ์อยู่ในระดับพี่น้องอย่างไม่มีสิ่งอื่นเจือปน แค่คิดว่าจะให้นางแต่งเป็นภรรยาของศิษย์พี่ใหญ่ มู่ไคเวยก็ขนลุกซู่ รับไม่ได้แล้ว
เฮ้อ…
หลังถอนหายใจยาวเหยียดเหมือนผ่อนลมออกมาจากส่วนลึกในจิตใจแล้ว สติของหญิงสาวก็ค่อยๆ เลือนหายและเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างช้าๆ ปราศจากความฝัน
ทว่ากลับมีบางสิ่งที่คล้ายและไม่คล้ายความฝัน
เนื่องจากสิ่งที่ปลุกนางให้ตื่นจากห้วงนิทราคือกลิ่น!
เป็นอีกครั้งที่มู่ไคเวยได้กลิ่นเย็นฉุนเฉพาะตัวที่นางไม่อาจลืมเลือนได้ตลอดชีวิต กลิ่นนั้นแล่นปราดเข้าไปในฆานประสาททำให้สมองของนางตื่นตัวอย่างเต็มที่ และรู้ทันทีว่ามีใครคนหนึ่งได้มุดเข้ามาในมุ้งแล้ว
หญิงสาววาดมือออกไปตามสัญชาตญาณ
นางคว้ามือที่ยื่นมาที่จมูกแล้วกระชากเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนใช้ข้อศอกกระแทกหน้าอกของอีกฝ่ายแล้วดีดตัวลุกขึ้นนั่ง
ผู้มาเยือนร้องอุ๊กปลีกตัวหนีแทบไม่ทัน คล้ายคิดไม่ถึงว่านางจะตื่นขึ้นมา กระนั้นเขาก็ยังปะทะและปัดป้องนางได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
ภายในมุ้งของเตียงหลังเล็กไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ เพราะเงาของสองร่างที่กำลังเผชิญหน้ากันต่างใช้สองมือสองขาในการจับยึดในรูปแบบต่างๆ ชนิดเจ้ามาข้าไป เจ้ารุกข้ารับ จนไม่รู้ว่าผ่านไปกี่กระบวนท่า สุดท้ายทั้งสองคนต่างก็ยึดข้อมือและตรึงนิ้วของกันและกันได้สำเร็จ เมื่อนั้นสงครามเงียบถึงจบลง
มู่ไคเวยมีฆานประสาทอันเยี่ยมยอด อีกทั้งประกายตาอันคมปลาบก็บอกได้ว่าแล้วผู้มาเยือนคือใคร
“ท่านเฮยซานเป็นโจรเด็ดบุปผาหรือ ถึงได้เข้ามาถึงตัวผู้น้อย ท่านฝึกความใจกล้ามาไม่น้อยเลยนี่” หากเป็นสตรีทั่วไปมาเจอเหตุการณ์เช่นนี้คงต้องตกอกตกใจจนใบหน้าถอดสี ตัวสั่นงันงกไปแล้ว แต่มู่ไคเวยกลับไม่ เพราะเวลานางโกรธ นางจะเค้นสารพัดวิธีออกมาเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ต่อให้สวมเพียงชุดนอนแล้วเผชิญหน้ากับโจรเด็ดบุปผา นางก็ยังรู้สึกสบายดีมาก
กลายเป็นบุรุษผู้ไม่ได้รับเชิญที่วางตัวไม่ถูก
ดูเหมือนเฮยซานไม่ค่อยกล้ามองคอเสื้อที่แบะออกเล็กน้อยของนาง เขาจึงหันใบหน้าที่สวมหน้ากากเนื้อบางไปด้านข้าง แต่นัยน์ตาวาววับกลับเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นกว่าเดิม แม้จะจับจ้องแค่ลายดอกกล้วยไม้ที่อยู่บนม่านมุ้งก็ตาม
“จะ…โจรเด็ดบุปผาอะไร พูดจาเหลวไหลอะไรกัน พวกเราทำเรื่องผิดศีลธรรมเช่นนั้นเสียเมื่อไร” เฮยซานประท้วงเสียงแข็ง เขาหันมาถลึงตาใส่หญิงสาวหนึ่งครั้งแล้วเลื่อนสายตาไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว แต่จู่ๆ เขากลับพูดเสียงงึมงำเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง “ฤดูใบไม้ผลิยังมาไม่ถึง หรือต่อให้ถึงแล้ว อากาศช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิก็หนาวมาก แต่เจ้ากลับสวมชุดบางๆ นอน ไม่กลัวตัวเย็นหรือ”
ถึงเขาจะพูดกับตัวเอง แต่เนื่องจากทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก และรอบข้างก็ไม่มีผู้ใด ประกอบกับไม่มีเสียงรบกวนทำให้มู่ไคเวยได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถนัด นางจึงตอบว่า “ผู้น้อยร่างกายแข็งแรงและมีธาตุไฟมาตั้งแต่เกิด ต่อให้สวมเสื้อผ้าบางกว่านี้ ท่านซานก็ไม่จำเป็นต้องห่วง อีกอย่างแม้ฤดูใบไม้ผลิยังมาไม่ถึง หรือต่อให้มาถึงแล้วอากาศช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิก็คงหนาวมาก แต่ท่านซานยังออกมาเที่ยวเด็ดบุปผาอยู่ข้างนอกตอนอากาศหนาวจัดเช่นนี้ แสดงว่าท่านหิวมากใช่หรือไม่”
เฮยซานโกรธ “บอกแล้วว่าข้าไม่ใช่โจรเด็ดบุปผา!”
“ถ้าไม่ใช่…เหตุใดท่านซานจึงมาเยือนในยามวิกาล” มู่ไคเวยออกแรงกดข้อมือและง่ามมือของเขาหนักขึ้นเหมือนกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนี
ลมหายใจของเฮยซานสะดุดเล็กน้อยแต่ไม่นานก็สงบนิ่ง “เจ้าปล่อยก่อนแล้วข้าจะบอก”
“เหตุใดท่านซานถึงไม่เล่าให้ฟังก่อนล่ะ เล่าจบแล้วข้าค่อยปล่อยมือ” มู่ไคเวยไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว
“ฮ่า! ที่ข้าไม่อยากทำเรื่องให้มันเอิกเกริกไม่ใช่เพราะหนีไม่พ้น หรือสู้ไม่ชนะ เจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่ต้องทำเป็นเชิดใส่ข้านักเลย หากข้าอาละวาดจริงๆ ข้า…ข้า…ข้าจะพังเตียงเจ้าให้ยับ!”
หัวคิ้วของมู่ไคเวยกระตุกเล็กน้อย “จริงหรือ ข้าไม่กลัวอาละวาดแต่กลัวจะอาละวาดไม่พอมากกว่า ถ้าท่านซานมีความสามารถก็พังเลย” จบคำ ไม่รู้ว่านางใช้กลไกอะไรจึงมีแหผืนใหญ่คลุมลงมาจากเหนือศีรษะ
ความตกใจที่ถูกแหคลุมทำให้เฮยซานไม่ทันได้สบถด่าคำหยาบคายอะไรทั้งสิ้น เขาฝืนดิ้นจนหลุดจากมู่ไคเวยที่ไม่ยอมปล่อย แล้วกลิ้งตัวออกไปนอกมุ้ง
ชายหนุ่มฉวยโอกาสตอนที่หลุดพ้นจากมือนางได้ก็กระโดดก้าวยาวๆ ทว่าข้อเท้าทั้งสองข้างกลับถูกแส้เส้นหนึ่งสะบัดมามัดเอาไว้
ปลายแส้อีกด้านอยู่ในมือของมู่ไคเวย นางกระตุกมันทันที ทำให้เฮยซานเสียหลักล้มลงกับพื้นในพริบตา
มู่ไคเวยคิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะดิ้นหลุดได้ไวปานนี้ แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้ดึงแส้ให้มั่น เฮยซานกลับทำแส้ขาดและกระโดดลุกขึ้นก่อนแล้ว
ชายหนุ่มพลิ้วหลบการโจมตีของนาง เสียงทุ้มต่ำร้องลั่น “ได้ๆ ข้าพูดแล้วๆ ที่คืนนี้ข้าลอบเข้ามาในจวนสกุลมู่เพราะได้ยินว่าคดีของอารามเป่าหวาทำให้สกุลมู่ได้รับรางวัลกองพะเนิน ข้าเลยรู้สึกทะแม่งๆ เพราะจะชั่วจะดีอย่างไร คืนที่พวกเราจงใจปล่อยนักโทษไปจนพวกเจ้าคลำตามเถาวัลย์ไปหาผลแตงและจับคนร้ายได้นั้น ข้าเฮยซานก็มีส่วนร่วมด้วยไม่มากก็น้อยมิใช่หรือ ในเมื่อตาเฒ่าฮ่องเต้ตบรางวัลให้พวกท่านตั้งมากมาย แล้วเหตุใดจึงไม่ตบรางวัลให้ข้าบ้าง คืนนี้ที่ข้ามาก็เพื่อจะถามใต้เท้าว่าท่านจะเอาอย่างไร พวกท่านจะจัดสรรปันส่วนให้ข้าเท่าใด ท่าน…อ๊าก! อะไรกันเนี่ย?!” สิ่งที่เขาเจอแล้วเจออีกคือลูกเหล็กหนักอึ้งสองลูก!
การดีดลูกเหล็กต้องใช้ความเฉพาะตัวอย่างมาก แต่ละเม็ดล้วนถูกยิงออกมาอย่างไม่อาจเดาทิศทางได้ ทำให้เฮยซานต้องคอยรับมือเป็นพัลวัน เขาตกใจจนเหงื่อแตกซิก
“ท่านซานอยากได้รางวัล? ได้สิ เช่นนั้นข้าจะพาท่านไปเข้าเฝ้าและทูลขอฝ่าบาทให้ท่านเอง”
“ช้าก่อน! นี่มันเรื่องอะไรกัน” หางตาเห็นแสงสีเงินแวบๆ ทำให้เขาต้องรีบฉีกหลบ “เชือกปลายหอก?! ไปเอามาจากที่ใด?! โอ๊ย! มีอีก!”
ปลายด้านหนึ่งของเชือกมีใบหอกผูกติด สามารถซัดออกไปและดึงกลับมาได้อย่างรวดเร็ว สามารถเหวี่ยงไปรอบๆ และสะบัดเชือกปลายหอกอย่างต่อเนื่อง จุดประสงค์ของมู่ไคเวยคือการจับกุม ไม่ใช่ทำร้าย ด้วยเหตุนี้อาวุธแจ้งและอาวุธลับที่ใช้จึงมีเจตนาทำให้บาดเจ็บแต่ไม่ได้ต้องการให้ถึงแก่ชีวิต
“ห้องเจ้าเป็นห้องกุลสตรี เหตุใดจึงมีอาวุธสารพัดอย่างเยอะแยะเช่นนี้ เจ้า เจ้านอนอยู่ในคลังอาวุธหรือไร…พัดเหล็ก?!” กว่าจะหยุดเชือกปลายหอกของนางได้ก็ไม่ง่าย แต่กลับมีพัดสีดำมะเมื่อมตามหลังมาอีก พึ่บ เสียงพัดคลี่ออก หากเขาไม่ได้สวมหน้ากากเอาไว้ เกรงว่าพลังของพัดคงกรีดหน้าเขาไปซีกหนึ่งแล้ว
“ไม่ได้ๆ คงต้องคว่ำเรือจริงๆ ข้าขอล่วงเกินแล้ว”
เฮยซานเปลี่ยนจากรับมาเป็นรุกอย่างกะทันหัน เขาตรึงแขนทั้งสองข้างของมู่ไคเวยด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าชนิดปิดหูยังไม่ทัน ทำให้พัดเหล็กที่สร้างขึ้นจากแผ่นเหล็กกล้าเป็นซี่ๆ ประกอบกันหล่นลงกับพื้น ชายหนุ่มพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “ใต้เท้าคิดจะดึงตัวข้าไว้และทำเสียงดังเพื่อให้ผู้อาวุโสมู่ที่นอนอยู่ในเรือนอีกหลังกับพวกบ่าวรับใช้และบ่าวไพร่ในบ้านเฮกันมาช่วยใช่หรือไม่ ไม่สำเร็จหรอก เพราะแค่ข้างนอกมีเสียงวิ่ง ข้าก็เผ่นแล้ว อีกหน่อย…โอ๊ย! เจ็บ!”
มือทั้งสองข้างที่ถูกตรึงไว้ของมู่ไคเวยไม่สามารถทำสิ่งใด แต่นางยังมีขา หญิงสาวจึงใช้วิชาขาแมงป่องเล่นงาน ทำให้อีกฝ่ายตั้งรับไม่ทันเลยถูกเท้านางฟาดหน้าผากเข้าอย่างจัง
“เจ้านี่มัน…จริงๆ เลย…เหตุใดถึงได้…ถึงเพียงนี้…” ดวงตาของชายหนุ่มมีประกายเจิดจ้า ท่าทางร้อนใจ
มู่ไคเวยเข้าใจว่าเขาจะพูดอะไรอีกแต่กลับได้ยินเสียงระบายลมหายใจออกมายาวเหยียดคล้ายทึ่งและเหนือคาดมาก แต่ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็เหมือนจะอ่อนใจและนึกปลง ละม้ายกำลังยินดีอย่างยิ่งและอารมณ์ละมุนเหลือเกิน…ทำให้นางไม่เข้าใจ
ชั่วขณะต่อมา ร่างของนางก็ถูกเหวี่ยงทีเดียวให้ห่างออกไปหลายก้าว
“เฮยซาน!” มู่ไคเวยปล่อยตัวไปตามแรงเหวี่ยงแต่พอหยุดตั้งหลักสำเร็จ นางก็พุ่งไปที่ข้างหน้าต่าง ทว่าเงาร่างที่เพิ่งพลิกออกไปด้านนอกกลับปีนกำแพงหายวับไปแล้ว
“ปัง” ประตูถูกเปิดผางออก
“เวยเอ๋อร์!” มู่เจิ้งหยางเผ่นพรวดเข้ามากวาดตามองรอบๆ อย่างรวดเร็ว สภาพเละเทะในห้องกับกลไกปล่อยแหเหนือเตียงที่ถูกเปิดใช้บอกให้รู้ว่าคนร้ายได้ย่างกรายเข้าไปถึงเตียงของบุตรสาว
เรื่องนี้สามารถทนได้แต่เขาไม่ยอมทน ใบหน้าคมที่มีเหลี่ยมมุมชัดเจนมืดครึ้มลงทันตา หว่างคิ้วยับย่น
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดี แค่เจ้าปลอดภัยพ่อก็สบายใจ…อากุ้ย อาฝูกับลุงลู่ของเจ้าตามไปแล้ว เจ้านั่นไม่มีทางหนีพ้นเงื้อมมือของพวกเขาสามคนไปได้แน่” น้ำเสียงเน้นหนักทำให้คนฟังต้องกลั้นหายใจ
“ท่านพ่อ คอยเดี๋ยว!” สีหน้าย่ำแย่ของบิดากับท่าทางที่พูดจบก็จะจากไป ฟ้องชัดว่าเขาจะไปล่าคนคนนั้น มู่ไคเวยจึงต้องรีบไปดึงตัวเขาไว้ “ท่านพ่อ ไม่เป็นไร มันไม่มีอะไรจริงๆ ท่านอย่าโมโหเลย! เขา…เอ่อ…คนที่บุกเข้ามาคืนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสหญิงที่ส่งอัฐิกับสัมภาระท่านแม่กลับคืนมาเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ถือได้ว่ามีพระคุณต่อบ้านเราอย่างใหญ่หลวง อย่าให้พวกอากุ้ย…ลงมือหนักเกินไปเล่า!”
“มารดาเถอะ!”
สิ่งที่ชายหนุ่มสบถออกจากปากยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาประสบในคืนนี้ เพราะมันทำให้เขาต้องผรุสวาทอยู่ในใจถึงสามร้อยรอบ
อายุอานามของสามผู้เฒ่ารวมกันแล้วอาจจะเกินสองร้อยปีแต่ฝีไม้ลายมือกลับเหี้ยมเกรียมอย่างยิ่ง!
เพราะพอเฮยซานปีนกำแพงออกจากจวนสกุลมู่ได้ก็ถูกสามผู้เฒ่าตามติด เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมพร้อมรอเอาไว้ก่อน พวกเขาน่าจะซุ่มคอยกันตั้งแต่ตอนได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว
พวกเขาสามคนคนหนึ่งใช้มีดล่าสัตว์ คนหนึ่งใช้พิษ อีกคนใช้อาวุธลับ ทำงานประสานกันได้อย่างเมฆเคลื่อนน้ำไหล พลังในการสังหารและโจมตีน่าสะพรึง แต่ที่ล้ำเส้นมากเกินไปหน่อยคือลูกไม้สกปรกที่ผู้เฒ่าทั้งสามงัดออกมาใช้อย่างคล่องแคล่วชนิดหน้าไม่อาย ทั้งเตะผ่าหมาก เอานิ้วจิ้มตา มีเข็มพิษ ผงพิษและพิษเหลวครบถ้วนทั้งสามอย่างจนเขากลับเป็นฝ่ายหน้าแดงเสียเอง
ถ้าก่อนมาเขาไม่ได้กลืนยาลูกกลอนวิเศษที่ผู้อาวุโสหญิงปรุงขึ้นโดยเฉพาะ คราวนี้เขาคงมีสิทธิ์ตกที่นั่งลำบากเพราะถูกลูกไม้สกปรกพวกนี้เล่นงานจนต้องลงไปนอนแผ่อยู่ในตรอกมืดสักแห่งแล้วถูกจับทั้งที่ยังไม่ได้สติแน่
ซึ่งหากมันเป็นเช่นนั้นจริง เขาคงไม่มีหน้าไปพบผู้อาวุโสหญิงที่ถ่ายทอดวรยุทธ์ให้แต่กลับไม่ยอมรับเขาเป็นศิษย์ และตอนตายเขาก็คงไม่มีหน้าไปเจอบิดามารดาด้วย โชคดีเหลือเกินที่พลังภายในของเขาแข็งแกร่งมากพอที่จะหลบรอดการไล่ล่าของทั้งสามคนไปได้ในตอนสุดท้าย และกลับคืนรังได้อย่างปลอดภัย
หนนี้อ่างไฟใบใหญ่ยักษ์ในห้องลับมีไฟลุกพรึ่บขึ้นมาเพราะหน้ากากเนื้อบางที่เขาหย่อนลงไปกับชุดตระเวนราตรีที่เปื้อนทั้งผงพิษและพิษเหลว แสงไฟสว่างโรจน์สาดจับใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มทำให้ใบหน้าเย็นจัดของเขารู้สึกอุ่นวาบ
เขามองเปลวไฟที่เต้นระริกพลางกำขวดสีม่วงใบจิ๋วไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วลูบคลำมันอย่างเหม่อๆ เหมือนคนที่กำลังใจลอยไปจากตัวแสนไกล
คืนนี้ เป้าหมายในการลอบเข้าหาในยามราตรีของเขาต้องพังเพราะตัวเขาเอง
คืนนี้ เขาเข้าไปในมุ้งของแม่นางผู้กล้าแห่งสกุลมู่ด้วยจุดประสงค์ที่ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง และด้วยวิธีที่ง่ายแสนง่ายคือฉวยโอกาสตอนที่หญิงสาวกำลังหลับใหล แล้วจัดการโรยผงในขวดสีม่วงเข้าไปในโพรงจมูกของนาง
ปริมาณที่ใช้ไม่จำเป็นต้องมาก เพราะแค่นิดเดียวก็พอให้หญิงสาวหลับไม่ตื่นแล้ว
ผู้อาวุโสหญิงที่เป็นคนปรุงยาชนิดนี้บอกว่าถ้าไม่มียาถอนพิษตำรับเฉพาะของนาง ยาผงในขวดสีม่วงนี้สามารถทำให้คนหลับใหลไปชั่วนิรันดร์ จวบจนสังขารโรยรา ชีพสิ้นสลายไปเลยทีเดียว
แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดจะทำร้ายแม่นางมู่ เพราะการทำให้นางหลับไม่ยอมตื่นนั้นเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว เพื่อให้สมฉายาดาวปีศาจนำเคราะห์ของเขา แล้วเขาจะได้มีข้ออ้างไปโขกศีรษะขอบพระทัยและสำนึกผิดต่อฮ่องเต้กับไทเฮา อ้อนวอนขอให้พวกพระองค์เลิกล้มความคิดเรื่องพระราชทานสมรส จากนั้นก็ทิ้งเวลาให้มู่ไคเวยอยู่นิ่งๆ สักพักแล้วเขาค่อยแฝงกายเข้าไปใช้ยาถอนพิษตำรับเฉพาะของผู้อาวุโสหญิงทำให้นางฟื้นคืนสติ
เขาเคยทำเรื่องเช่นนี้มาสองครั้งแล้ว ส่งผลให้งานสมรสพระราชทานก่อนหน้านี้ทั้งสองครั้งกลายเป็นฟองอากาศ เพราะฟู่จิ่นซีไม่อยากสร้างบาปด้วยการดึงผู้บริสุทธิ์ให้เข้ามาอยู่ในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยความแปรปรวนและมีภัยร้ายอยู่รอบตัวเช่นนี้
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม
แขนหักสามครั้งกลายเป็นหมอมากฝีมือ เขาทำงานได้ดีและจัดการทุกอย่างได้หมดจด…ทว่าพอเข้าไปถึงข้างเตียงนาง เขากลับพบว่าตนรู้สึกลังเลใจอย่างมาก
คำสั่งเสียของมารดามู่ไคเวยก่อนจะเสียชีวิตยังคงกึกก้องอึงอลอยู่ในหู ฟู่จิ่นซีจึงไม่ควรดึงนางเข้ามา ทว่าสถานการณ์ที่พลิกผันทำให้นางต้องมาอยู่กับเขา…คืนนี้ มือที่กำขวดยาของชายหนุ่มมีเหงื่อซึมชื้นระหว่างมองจ้องใบหน้ายามนิทราของหญิงสาวอย่างเงียบๆ กระแสความร้อนใต้ผิวของเขาเดือดพล่าน
เขา…ตัดใจไม่ได้ ไม่อาจหักใจปล่อยให้นางหลุดมือไป
เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวถึงอยากมีนางอยู่เคียงข้าง บนเส้นทางที่ไม่รู้ว่าจะทอดไปที่ใด แต่ถ้ามีนางอยู่กับเขาแล้ว ต่อให้ต้องคลำทางลงไปสู่หุบเหวด้วยดวงตามืดบอด เขาก็ไม่รู้สึกเดียวดาย
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดเสร็จ ฟู่จิ่นซีใช้เส้นทางลับเดินกลับมาที่ห้องนอน ทันทีที่ผนังด้านที่ทำเป็นชั้นวางวัตถุโบราณเปิดออก บ่าวอาวุโสผู้ภักดีของครอบครัวก็คอยอยู่ตรงนั้น
ฟู่จิ่นซีถอนหายใจ “เหล่าเซวีย ต่อไปเข้านอนไวหน่อย อย่าคอยข้าอีกเลย ข้าไม่ใช่เด็กสามขวบแล้วนะ ไม่หลงทางหรอกน่า”
“ต้องให้แน่ใจก่อนว่าท่านกลับถึงบ้านเรียบร้อย ข้าถึงจะสบายใจ อีกอย่าง คนแก่นอนดึกจนชิน หากท่านอ๋องให้ข้าเข้านอนแต่หัววันจะเป็นการทรมานกันมากกว่าขอรับ”
เมื่อสิบเจ็ดปีก่อนตอนคณะเดินทางของจวนคังอ๋องถูกปล้นที่ซานชวนโข่ว คนที่แบกซื่อจื่อฟู่จิ่นซีไว้บนหลังเพื่อหลบหนีการไล่ล่าโดยมีจอมยุทธ์หญิงลิ่นเกิ่งเจินคอยช่วยคือเหล่าเซวีย สมัยนั้นเขามีรูปร่างกำยำล่ำสัน เป็นคนเลี้ยงม้าฝีมือดีของจวนอ๋อง มาวันนี้ เมื่อเวลาผ่านไปถึงสิบเจ็ดปี เขากลายเป็นตาเฒ่าร่างเตี้ยล่ำที่มีอายุหกสิบปีแล้ว
ฟู่จิ่นซีปฏิบัติต่อเขาแตกต่างจากบ่าวไพร่คนอื่นๆ เพราะเขาวางตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเหล่าเซวียเหมือนเป็นคนในครอบครัว
เหล่าเซวียปิดกำแพงกลเรียบร้อยแล้วหันไปเห็นใบหน้าด้านข้างที่แสงเทียนสาดส่องของฟู่จิ่นซี คิ้วที่เปลี่ยนเป็นสีเทาสองเส้นเลิกสูง พลันร้องถามเสียงดังด้วยความตกใจ “ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงถูกซ้อมอีกแล้ว?!”
ฟู่จิ่นซีฝืนยิ้มให้ปลายนิ้วหยาบกระด้างที่ชี้มาที่หน้าผากของเขาแล้วยกมือขึ้นกดหน้าผากตัวเองเบาๆ “ใช่ ถูกซ้อมอีกแล้ว เจอลูกเตะแมงป่องสวยๆ จนช้ำเลย”
เหล่าเซวียกลืนน้ำลาย “แสดงว่า…คนที่ซ้อมท่านครั้งนี้เป็นคนเดียวกับที่ซ้อมท่านครั้งก่อนหรือ”
ยังไม่ทันที่ฟู่จิ่นซีจะตอบ เสียงหัวเราะเย็นชาติดแหลมสูงของผู้อาวุโสหญิงก็ดังมาเบาๆ
“ตาทึ่ม เรื่องนี้ยังต้องถามอีกหรือ เจ้าดูสิว่าหน้าตาเขาตกอยู่ในห้วงรักมากเพียงใด ต่อให้ถูกซ้อมก็ยังยินยอมพร้อมใจ หากไม่ใช่ฝีมือสตรีแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก”
เห็นผู้อาวุโสหญิงเดินนวยนาดเข้ามาในห้อง เหล่าเซวียถึงกับกระโดดโหยง “ห้วงรักอะไร มีเรื่องไร้สาระอย่างที่ท่านว่ามาเมื่อไรกัน เช่นนี้เขาเรียกว่า…เรียกว่าอะไร ‘มู่เส่าอ้าย’ ท่านอ๋องของเรารักใคร่ชื่นชมสตรีงามเยาว์วัยต่างหาก เป็นความรักใคร่ชื่นชมล้วนๆ”
ผู้อาวุโสหญิงเดินเข้ามาหาเก้าอี้นั่งและรินน้ำชาเอง
นางแค่นเสียงใส่เหล่าเซวียคำหนึ่งเป็นนัยว่า ‘ไม่อยากยุ่งเรื่องของพวกเด็กๆ’ แต่สายตากลับเลื่อนจากถ้วยชาไปที่ฟู่จิ่นซีที่กำลังหน้าแดงเรื่อ
“คืนนี้เจอของยากเข้าล่ะสิ บนตัวเจ้ามีกลิ่นพิษไม่น้อย เอ๋…” ผู้อาวุโสหญิงหลับตาลงเพื่อสูดกลิ่นเงียบๆ แล้ววิเคราะห์ว่า “เป็นการผสมผสานหญ้าพิษอย่างน้อยหกชนิด ฤทธิ์ของมันไม่ได้หมายเอาชีวิตในทันที แต่ถ้าไม่มียาลูกกลอนวิเศษของข้าช่วยกำราบ เกรงว่าคืนนี้เจ้าคงไม่มีทางกลับมาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์” นางพูดกลั้วหัวเราะ ทว่าไม่ใช่เสียงหัวเราะเย็นชา หากแต่เป็นเสียงหัวเราะที่เกิดจากอารมณ์ขบขัน เพราะนางสังเกตเห็นรอยแผลขนาดใหญ่บนหน้าผากของชายหนุ่ม “ที่แท้ก็เป็นฝีมือของบุตรสาวจอมยุทธ์หญิงแซ่ลิ่น ซ้อมบุรุษอย่างไม่ยั้งมือเช่นนี้เยี่ยมมาก”
“ท่านผู้อาวุโสอารมณ์ดีที่เห็นข้าปล่อยไก่หรือ” ฟู่จิ่นซีลูบหน้าแล้วแบมือออกทั้งสองข้าง
“เห็นท่านอ๋องปล่อยไก่เพราะสตรี อืม ก็ไม่เลว…” ผู้อาวุโสหญิงผงกศีรษะ “ข้าอารมณ์ดีมาก”
แต่เหล่าเซวียที่รับฟังอยู่ด้านข้างไม่รู้สึกอารมณ์ดีด้วย พอเขาตั้งท่าจะแย้ง ฟู่จิ่นซีกลับชิงพูดขึ้นก่อน
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะรับแม่นางท่านนั้นมาร่วมเรือน แล้วจะได้ปล่อยไก่เพราะนางทุกวัน พลอยทำให้ท่านผู้อาวุโสอารมณ์ดีไปด้วย ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน และคอยอบรมสั่งสอนข้าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ด้วย”
น้ำเสียงของชายหนุ่มเนิบช้าราบเรียบ แต่พอเขาพูดเช่นนี้ออกไปกลับทำให้เหล่าเซวียมีอาการปากอ้าตาค้าง ส่วนผู้อาวุโสหญิงหรี่ดวงตาทั้งสองข้างลง
ลมหายใจของเหล่าเซวียสะดุด เขาถามเสียงตะกุกตะกัก “นาย…ท่าน ในที่สุดท่านก็ยอมแต่งงานแล้วหรือขอรับ ดี…ดีเหลือเกิน มันต้องเช่นนี้สิ…คังอ๋องผู้สืบเชื้อสายราชนิกุลผู้สูงส่งจะอยู่เดียวดายไปตลอดชาติได้อย่างไร พวกเราอยู่กันเช่นนี้มานานพอแล้ว แต่งงานเสียก็ดี จะได้มีพระชายามาช่วยควบคุมดูแลบ้าน ให้ชีวิตมีรสชาติ…มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ล้วนเป็นเรื่องดี”
“อืม จะต้องดีมากแน่ๆ” ฟู่จิ่นซีตอบรับยิ้มๆ
“จริงหรือ หรือท่านอ๋องคิดจะมองเมินคำเตือนก่อนตายของจอมยุทธ์หญิงแซ่ลิ่น?” สีหน้าของผู้อาวุโสหญิงกลับมานิ่งสงบอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง
“ไม่ใช่เช่นนั้น” ฟู่จิ่นซีปฏิเสธเสียงหนักแน่น เขาเงียบไปพักหนึ่งเหมือนกำลังคิดทบทวนเรื่องบางอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนเงยหน้าขึ้นอย่างคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด “ข้าจะปกป้องนาง และมอบชีวิตให้แก่นาง”
ได้ยินเช่นนี้ เหล่าเซวียต้องใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาแรงๆ ส่วนผู้อาวุโสหญิงยังคงมองท่านอ๋องหนุ่มผู้ถูกไฟผลาญใจซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยแววตาลึกซึ้ง นางนิ่งเงียบเป็นเวลานาน สุดท้ายจึงแค่นเสียงเย็นพูดกับเขาว่า “อีกเดี๋ยวไปแช่สระสมุนไพรของข้าแล้วเข้านอนเสีย กลิ่นพิษบนตัวเจ้าฉุนกึกจนทนไม่ได้จริงๆ”
จบคำ ผู้อาวุโสหญิงก็ลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกอย่างไม่สนใจเรื่องของ ‘ท่านอ๋อง’ อีก
“…ท่านอ๋อง เช่นนี้แสดงว่านางไม่คัดค้าน ใช่หรือไม่ขอรับ” เหล่าเซวียสูดจมูก ตามองตามผู้อาวุโสหญิงที่เดินจากไปพลางเอ่ยถาม
“อืม” ฟู่จิ่นซีแอบถอนหายใจอยู่ในอก เหมือนได้วางหินก้อนใหญ่ที่มองไม่เห็นลง
เพราะก่อนหน้าที่จอมยุทธ์หญิงแซ่ลิ่นจะสิ้นใจ ผู้อาวุโสหญิงก็อยู่ข้างๆ ด้วย
นางย่อมได้ยินคำเตือนที่สั่งเขาว่าอย่าได้ข้องแวะกับสกุลมู่อย่างถนัดชัดเจน หากนางยับยั้งเขาตามคำสั่งเสียของจอมยุทธ์หญิงแซ่ลิ่น สถานการณ์ต้องหนักหนาสาหัสแน่นอน แต่นี่นางกลับไม่ได้คัดค้าน เพียงแต่ซักถามแล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น ซึ่งการตอบรับอย่างเป็นนัยนี้…เพราะนางเห็นฟู่จิ่นซีเป็นคนน่าสงสารใช่หรือไม่?
ชายหนุ่มยิ้มแล้ววางมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าอกเพื่อแสดงการคารวะไปทางประตูที่ผู้อาวุโสหญิงเดินออกไป ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสแผ่วเบาว่า
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสมากขอรับ”
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวงซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนสกุลมู่ เรือนพักของคุณหนูกับนายท่านมีการจุดประทีปขึ้นอีกครั้งในยามดึกสงัด
อากุ้ย อาฝู และลุงลู่กลับมาที่บ้านอย่างไร้ผลงาน ทำให้ตอนที่ผู้เฒ่าทั้งสามกล่าวคำรายงานต่อมู่เจิ้งหยาง หัวคิ้วพวกเขาจึงคอยแต่จะขมวดมุ่นและหน้าแดงเพราะความโกรธตลอดเวลา
มู่เจิ้งหยางไม่ได้ตำหนิผู้เฒ่าทั้งสามเนื่องจากการที่คนร้ายสามารถลอบเข้าจวนสกุลมู่ได้อย่างเงียบกริบย่อมแสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถอย่างไม่อาจดูแคลน ต่อให้บรรดาบ่าวรับใช้อาวุโสในบ้านปราดเปรียวเหี้ยมเกรียมกันเพียงใด ทว่าแต่ละคนก็อายุมากแล้ว กำลังภายในย่อมสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ทำให้คนร้ายหลบหนีไปได้สำเร็จ
มู่เจิ้งหยางกับมู่ไคเวยต้องคอยพูดปลอบจนผู้เฒ่าทั้งสามคนรู้สึกสบายใจขึ้นแล้ว แต่ละคนจึงกลับไปพักที่เรือนของตน
จังหวะนี้เอง มู่ไคเวยจึงเล่าเรื่องที่นางเคยประมือกับเฮยซาน และเคยไล่ตามเขาไปจนถึงนอกกำแพงสูงของจวนคังอ๋องให้มู่เจิ้งหยางฟังอย่างละเอียด
มู่เจิ้งหยางที่นั่งอยู่ในห้องโถงเล็กนิ่วหน้าและเงียบเสียงระหว่างที่บุตรสาวพูดว่า “ท่านพ่อ เราอาจใช้เฮยซานหาเบาะแสของผู้อาวุโสหญิงท่านนั้นได้ เพราะดูเหมือนเขาจะมีส่วนเกี่ยวพันกับจวนคังอ๋อง ข้าจึงอยากเข้าไปสืบข้อมูลอย่างละเอียดในจวนคังอ๋อง” หญิงสาวนั่งตัวตรง สูดลมหายใจเข้าปอดลึก “รบกวนท่านพ่อตอบรับและขอบพระทัยฮ่องเต้เรื่องงานสมรสพระราชทานของไทเฮาแทนข้าด้วย เวยเอ๋อร์ยินดีแต่งงานเจ้าค่ะ”
มู่เจิ้งหยางตบพนักที่เท้าแขน ดวงตาวาวโรจน์ “การเข้าไปสืบหารายละเอียดในจวนคังอ๋องยังมีวิธีอื่น ผู้ใดบีบเจ้าให้ต้องแต่งงานกับคังอ๋องกัน”
มู่ไคเวยส่ายหน้าพลางยิ้มนิดๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เรื่องนี้ไม่ใช่การบังคับแต่ง แต่การที่ท่านพ่อไม่ยอมน้อมรับพระบัญชาของฮ่องเต้สักทีเช่นนี้ อาจทำให้ครอบครัวเราถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อราชสำนักถึงได้ไม่ยอมน้อมรับการแต่งงานในครั้งนี้”
หากฮ่องเต้พิโรธและไทเฮามีความรู้สึกเหมือนถูกตบพระพักตร์ อาจยกความผิดสักข้อหาให้สกุลมู่ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เรื่องนี้ ใช่ว่าบิดาของนางจะไม่เข้าใจ แต่เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสุขของนาง บิดาของมู่ไคเวยจึงไม่อาจตัดใจ แล้วนางจะปล่อยให้บิดาต้องเป็นกังวลเช่นนี้ได้อย่างไร
“ที่ข้ายินดีแต่งงาน นอกจากเพราะว่านี่เป็นสมรสพระราชทานแล้ว ตัวข้าเองก็อยากเข้าไปสืบข้อมูลอย่างละเอียดในจวนคังอ๋องด้วย และยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่สำคัญมาก” มู่ไคเวยนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ดวงตาดำขลับดุจเม็ดองุ่นดำของนางฉายแววซุกซน “ท่าทางของคังอ๋องไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะมัดไก่ กิริยาสุภาพแต่ก็ดูอ่อนแอมาก หากข้าได้เป็นชายาเอกคังอ๋อง ต่อไปย่อมสามารถกลั่นแกล้งรังแกและอบรมสั่งสอนเขาได้ หากเขากล้าหือ ข้าก็จะหักแขนทั้งสองข้างของเขา และหากเขายังไม่ยอมเชื่อฟัง ข้าก็จะหักขาทั้งสองข้างของเขาด้วย หรือหากเขาคิดจะรับอนุภรรยาเลียนแบบเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ข้าก็จะซ้อมเขาสามเวลาหลังอาหารแถมมื้อดึก ให้ไทเฮาจำหลานชายไม่ได้เลย” ปลายคางเล็กๆ เชิดสูงขึ้น
“ท่านพ่อห่วงว่าฮ่องเต้จะทรงมีแผนและคิดว่าคังอ๋องไม่ใช่คู่ครองที่ดีสำหรับข้า เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี แต่ท่านพ่อ เหตุใดเราไม่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสเจ้าคะ การที่ท่านแม่เผลอสอดมือเข้าไปยุ่งกับการปฏิบัติงานของหมากลับฝ่าบาทจนต้องไปตายในต่างถิ่น ทำให้เราไม่อาจทวงแค้นกับผู้ใด ซ้ำยังถูกบีบบังคับให้ต้องปิดหูปิดตาและคิดหาทางเอาตัวรอดด้วย”
มู่ไคเวยยิ้มแต่ดวงตาฉ่ำชื้น “ท่านพ่อกับท่านอาทุกคนสอนข้าเองว่าเวลาล้มให้กำดินขึ้นมาด้วย จงอย่าล้มให้เสียเปล่า มิใช่หรือ”
“เจ้าเด็กคนนี้…” สีหน้าแข็งค้างของมู่เจิ้งหยางพลันปริแตก ดวงตาเริ่มมีประกายมากขึ้น
ที่บุตรสาวบอกว่าจะเล่นงานคังอ๋องอย่างไร ล้วนเป็นการหยอกล้อให้เขาอารมณ์ดีทั้งสิ้น
แต่เขาฟังแล้วกลับรู้สึกมีความสุขมาก
พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสหรือ อืม คิดดูแล้วก็จริง
เพราะนิสัยอย่างลูกสาวเขา มีหรือจะทนให้สามีมีสามภรรยาสี่อนุ หากนางแต่งเข้าไปเป็นชายาเอกคังอ๋องแล้ว รับรองว่าต้องยึดอำนาจจวนคังอ๋องสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ บุตรสาวยังมีปมเรื่องของมารดาที่ยังค้างคาใจ และเป็นปมที่แม้แต่พ่ออย่างเขายังไม่สามารถแก้ได้ด้วย หากไม่ยอมปล่อยให้นางไปเสาะหาคำตอบ มู่ไคเวยต้องไม่ยอมแน่
มู่เจิ้งหยางยกมือขึ้นลูบใบหน้าแล้วถอนหายใจยาวเหยียดก่อนยอมประนีประนอม
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็แต่งเถอะ ไม่ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร เจ้าก็ยังมีพ่อเป็นที่พึ่งเสมอ หรือต่อให้พ่อไม่อยู่แล้ว ศิษย์พี่ใหญ่และพวกท่านลุงท่านอาของเจ้าก็จะช่วยเป็นกำลังให้เจ้าเอง” มู่เจิ้งหยางนิ่งไปนิดแล้วหลุดยิ้มขำ “ไม่สิ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วย เพราะเจ้าเป็นลูกสาวคนดีของพ่อ และเจ้าก็เหมือนแม่ของเจ้ามาก ต่อให้ลูกหลานสกุลมู่ของเราต้องตกยากเพียงไรก็ไม่มีทางกลายเป็นคนไม่เอาถ่าน พ่อ…เชื่อมั่นในตัวเจ้า”
เชื่อมั่นในตัวนาง และคอยปกป้องนางเสมอ
มู่ไคเวยเข้าใจดี น้ำตาสองสายจึงไหลพรูออกจากตาในชั่วขณะนั้นเอง
ใบหน้าน่ารักปานตุ๊กตาฉีกยิ้มทั้งที่พูดเสียงขึ้นจมูก “ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านพ่อ
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 พ.ย. 62)
Comments
comments
No tags for this post.