X
    Categories: ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว!ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตื่นเสียทีจะไม่มีทายาทแล้ว! บทที่ 10

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่สิบ

เฟิงจงกล่าว “นางเองก็เจตนาดี หวังว่าข้าจะไม่ต้องออกไปเสี่ยงภัย แต่อย่างไรข้าก็ต้องจากมาแน่นอน”

วาจานี้ทำให้ในใจซีกวงสงบลงไม่น้อย เขาจึงไม่ส่งเสียงอีก

ต้องมาตากลมอยู่บนก้อนเมฆเช่นนี้ ความง่วงงุนของเฟิงจงก็ปลิวหายไปหมดสิ้น นางมองทิวเขาชิงชิวที่อยู่เบื้องล่างปราดหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสริม “วันพรุ่งนี้จิ้งจอกน้อยฝูงนั้นจะร้องไห้จนจมูกแดงกันหรือไม่เล่า”

“ชือ…” ฉยงฉีในอ้อมอกถึงกับถอนหายใจยาว นึกถึงพวงหางอันฟูฟ่องกลุ่มนั้น ก่อนจะจินตนาการถึงภาพที่เจ้าของพวงหางเหล่านั้นร้องไห้จมูกแดง เพียงเท่านี้หัวใจของมันก็แทบจะแหลกสลายอยู่แล้ว

เดิมทีการตามหาโอสถครั้งนี้ ซีกวงได้เตรียมใจเผื่อพบเรื่องราวเลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว…บางทีกระทั่งมุ่งไปจนถึงบึงอสนีก็ยังไม่แน่ว่าจะตามหาโอสถพบ นึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวจะคลี่คลายได้ตั้งแต่ที่ชิงชิวนี่แล้ว เขาจึงสอบถามความเห็นของเฟิงจงดู “ตอนนี้เจ้าคิดจะไปไหนต่อ”

อันที่จริงเฟิงจงอยากไปตามหาต้นเหตุแห่งการเสื่อมโทรมของพิภพมนุษย์มากที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มค้นหาจากที่ใด ครั้นจะยืมวิสุทธิ์โลหิตมาฟื้นฟูความเป็นเทพก็ยังไม่ถึงเวลา นางจึงไร้วาจาไปชั่วขณะ

ตอนนี้เองพลันปรากฏประกายสีแดงสายหนึ่งวาบขึ้นแต่ไกล เฟิงจงรู้สึกสังหรณ์ใจพิกลจึงกระตุกแขนเสื้อของซีกวง “ไปดูทางนั้นกันเถอะ”

เมื่อซีกวงขี่เมฆไปถึงก็พบว่าเบื้องล่างเป็นป่าโปร่งผืนหนึ่ง ภายใต้แสงจันทร์ฉายส่อง เงาที่อ่อนจางของแมกไม้ถูกดึงให้ทอดยาวออกมาเป็นหย่อมๆ ที่แท้ประกายสีแดงนั้นก็คือปราณกระบี่จากทุกสารทิศที่รุมล้อมไปยังคนตรงกลาง ตรงนั้นมีสตรีชุดสีครามยืนอยู่ผู้หนึ่ง นางกำลังตวัดกระบี่ต่อต้านการโจมตีที่มีอยู่ทุกแห่งหน บนชายอาภรณ์ยามนี้เปรอะคราบโลหิตเป็นดวงๆ การเคลื่อนไหวก็เชื่องช้าลงทุกทีแล้ว

ฉยงฉีคล้ายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง มันร้อง “ชือ” แล้วกระโจนลงจากก้อนเมฆไป เฟิงจงเองก็ร่อนลงพื้นตามไปติดๆ เพียงหมุนคทาหม่อนมังกรในมือให้ตั้งตรงบนพื้น ปราณอันขุ่นมัวที่อยู่รอบด้านก็พลันสลาย พร้อมกันนั้นปราณกระบี่สีแดงก็อ่อนแรงลงไปมาก

ซีกวงเดินมาทาบฝ่ามือบนแผ่นหลังของเฟิงจงเพื่อถ่ายเทพลังปราณส่วนหนึ่งให้นางพลางเอ่ยอย่างจนใจ “เจ้าเพิ่งจะกลืนลูกกลอนปราณลงไป ยังไม่ทันหลอมรวมเข้ากับร่างกาย เหตุใดจึงใช้พลังวิเศษตามใจอีกแล้ว”

เฟิงจงบุ้ยปากไปทางด้านในของวงล้อม “นางคือวิหคน้อยนั่นนะ”

ปราณกระบี่สีแดงนั้นจางลงแล้ว สตรีชุดสีครามที่อยู่ด้านในตวัดกระบี่สกัดได้ง่ายขึ้นมาก เพียงไม่นานหลังจากนางจู่โจมปราณกระบี่สีแดงเหล่านั้นให้ล่าถอยไปได้แล้วก็หันหน้ากลับมา…นางคือชิงเสวียนจริงๆ

ยามนี้นางเพิ่งจะพบว่าผู้ที่ยื่นมือช่วยเหลือตนก็คือเฟิงจง ดวงหน้าจึงเผยความประหลาดใจ “เจ้าช่วยข้าทำไม”

เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีต่อต้าน เฟิงจงจึงมุ่นคิ้วกล่าว “เจ้าถือเสียว่าเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”

ชิงเสวียนหอบฮัก ก่อนจะแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “การตอบแทนที่ข้าต้องการคือให้เจ้าในฐานะจ่งเสินบอกวิธีการเพิ่มทายาทนั้นแก่ข้า ดีที่สุดคือเผยแพร่ออกไปต่อหน้าธารกำนัล ให้สามพิภพได้รับประโยชน์กันถ้วนทั่ว มิใช่เก็บงำไว้เพื่อให้เจ้าได้รับการรุมเอาใจจากทุกชีวิต!”

เฟิงจงรู้สึกอ่อนล้าอยู่บ้าง นางต้องใช้คทาหม่อนมังกรพยุงกายไว้ขณะเอ่ยอย่างขบขัน “ที่ข้าพูดไปเหตุใดเจ้าไม่รู้จักเชื่อกันบ้างเล่า เดิมทีนี่ก็คือพลังเฉพาะตัวของผู้เป็นจ่งเสิน เจ้าจะให้ข้าเผยแพร่ต่อหน้าธารกำนัลด้วยวิธีใด หากทำได้จริงๆ ทุกคนก็ไม่เป็นจ่งเสินกันหมดแล้วหรือ”

ชิงเสวียนอึ้งงันไป นางไร้ถ้อยคำจะตอบโต้ เรื่องของชิงหลีกับการต่อสู้ภายในของสามพิภพล้วนทำให้นางโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ถึงกับไม่เคยใคร่ครวญเหตุผลข้อนี้อย่างละเอียดมาก่อน

เฟิงจงเดินตรงไปแล้วยกมือวางบนหัวไหล่นาง

ชิงเสวียนพลันรู้สึกได้ว่าบาดแผลทุเลาขึ้นบ้างแล้ว แม้แต่เลือดยังหยุดไหล นางชะงักไปชั่วอึดใจก่อนจะยื่นมือผลักเฟิงจงแล้วเอ่ยเร่ง “รีบหนีไป!”

เฟิงจงถูกผลักจนเซถอยไปหนึ่งก้าว “ทั้งที่เจ้าบาดเจ็บหนักเช่นนี้ก็ยังอุตส่าห์มีเรี่ยวแรงอาละวาดอีก”

“ข้าพูดจริงนะ!” ชิงเสวียนกุมกระบี่แน่นพลางเหลียวมองรอบด้าน “เจ้ารีบหนีไป มีเซียนต้องโทษที่ใกล้จะกลายเป็นมารแล้วกำลังตามหาตัวเจ้าอยู่!”

เสียงพูดยังไม่ทันขาดคำ เสียงซ่าก็ดังขึ้นที่ต้นไม้เบื้องหลัง ประกายสีแดงพลันฉายวาบ ซีกวงรีบโบกมือสร้างอาคมป้องกันขึ้นมา เขายืนขวางอยู่เบื้องหน้าแม่นางทั้งสองแล้วเพ่งมองไปยังทิศทางนั้น

ท่ามกลางประกายสีแดงมีเงาร่างหนึ่งเดินเนิบช้าออกมา ภายใต้แสงจันทร์ฉายส่อง เรือนผมยาวของบุรุษผู้นั้นสยายยุ่งเหยิง อาภรณ์สีแดงดูเฉิดฉายจับตา บนแผ่นหลังสะพายม้วนภาพ ในมือลากกระบี่ยาว

ร่างกายของซีกวงพลันผ่อนคลายลง “จวินเยี่ย? เหตุใดเจ้าออกมาจากแดนฮุ่นตุ้นได้เล่า”

“ซีกวง อายุขัยของข้ามาถึงกำหนดแล้ว ข้าใกล้จะประคองตนไม่ไหวอีกต่อไป” สายตาของฟางจวินเยี่ยจรดอยู่บนร่างของเฟิงจง “ที่ข้ามาก็เพื่อจะตามหานาง”

แต่ไรมาวิหคครามก็สามารถบินทำความเร็วได้สูงยิ่ง ทั้งยังสันทัดในด้านการสำรวจค้นหา ดังนั้นเมื่อฟางจวินเยี่ยพบชิงเสวียนเข้าโดยบังเอิญ เขาจึงคิดอาศัยกำลังของนางเพื่อตามหาเฟิงจง

ก่อนหน้านี้แม้ชิงเสวียนเคยลงมือกับเฟิงจงมาก่อน แต่ก็เพียงอยากให้นางได้รับความลำบากบ้างเท่านั้น ไม่เคยคิดหมายเอาชีวิตนางเลย ในมุมมองของชิงเสวียน แม้พลังของเฟิงจงถือเป็นภัยต่อสามพิภพในยามนี้จริง แต่นางก็มีความสำคัญยิ่งยวดด้วย เซียนต้องโทษที่ทั่วร่างฉาบด้วยไอสังหารผู้หนึ่งต้องการตามหาเฟิงจงเช่นนี้ หากนางตายขึ้นมา ไม่ต้องสนใจว่าเทพเซียนบุรุษเหล่านั้นจะเป็นเช่นไรเลย เพราะที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าก็คือพิภพมนุษย์คงไร้ซึ่งความหวังที่จะกลับมารุ่งเรืองเช่นเดิม ดังนั้นผู้ที่พอจะรู้จักหนักเบาอยู่บ้างล้วนไม่มีทางรับปากเรื่องตามหาเฟิงจงนี้แน่

ฟางจวินเยี่ยเริ่มกลายเป็นมารไปแล้ว เขาย่อมไม่มีทางเลิกราแต่โดยดี จึงลงมือกับชิงเสวียนผู้ไม่ยอมให้ความร่วมมือ หากเฟิงจงไม่ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน ชิงเสวียนก็คงทนไม่ไหวจนต้องสื่อจิตเรียกชิงหลีมาช่วยเหลือ

เฟิงจงมุ่นคิ้ว ปรายตามองดูซีกวงก็เห็นสีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก

“ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือ” ซีกวงเตรียมพร้อมป้องกัน แต่ไม่มีความคิดที่จะลงมือจู่โจม

“หากมีหนทางอื่น ข้าไหนเลยจะต้องทนทรมานเช่นนี้” สองตาของฟางจวินเยี่ยแทบจะฉายประกายสีแดงออกมาแล้ว “แม้ข้าเกิดมามีปัญญารู้ธรรม ภายหลังบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียนก็ไม่เคยใช้ชีวิตหย่อนยานแม้แต่วันเดียว กระทั่งกราบบิดาเจ้าเป็นอาจารย์และฝึกตนอยู่อีกพันปีถึงได้กลายเป็นเซียนอันดับหนึ่งในพิภพสวรรค์ แต่เพียงเพราะข้าพลั้งสังหารมนุษย์ไปผู้หนึ่ง ข้าถึงต้องมาถูกคำสาปเช่นนี้ หากเขาผู้นั้นไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ข้าก็ต้องกลายเป็นมารและตายไป หากรู้ว่าต้องเป็นเช่นนี้ มิสู้ตอนนั้นเจ้าไม่ช่วยข้าไว้ยังจะดีเสียกว่า”

ซีกวงกล่าว “ข้าช่วยเจ้าเพราะหวังให้เจ้ามีเวลาคลี่คลายคำสาปนี้ ไม่ได้อยากให้เจ้าสังหารคนเพิ่ม”

ฟางจวินเยี่ยไม่ได้พูดอะไรอีก ยามนี้เพียงแค่ใช้ตาเปล่าก็สามารถเห็นได้ว่าปราณอันดุร้ายบนร่างของเขารุนแรงขึ้นทุกที แม้แต่กระบี่ในมือก็มีแต่ไอมารอยู่เต็มไปหมด

ซีกวงพลันเอ่ยกับชิงเสวียนว่า “เจ้าคุ้มครองจ่งเสินให้ดี ข้าจะไปรับมือเขา”

ชิงเสวียนย้อนถามโดยจิตใต้สำนึก “เจ้าถือดีอะไรมาออกคำสั่งข้า”

“ข้าผู้เป็นตงจวินสั่งเจ้าได้หรือไม่เล่า”

ชิงเสวียนตะลึงงัน ยามนี้ค่อยนึกได้ว่าเมื่อก่อนเคยฟังเซียนอื่นบนเกาะเผิงไหลถกความเห็นถึงตงจวิน จริงตามที่พวกเขาว่า…ตงจวินสวมอาภรณ์สีดำทั้งร่าง รูปโฉมสง่างามหล่อเหลา

ฉวยโอกาสตอนที่ฟางจวินเยี่ยยังไม่ลงมือ ชิงเสวียนจึงขยับไปยืนข้างหลังเฟิงจงแล้วเอ่ยเสียงเบา “เจ้าหนีตอนนี้ยังทันนะ”

เฟิงจงเบ้ปาก “ข้าก็อยากหนีอยู่หรอก แต่พลังวิเศษหมดอีกแล้วน่ะสิ”

ชิงเสวียนมองท่าทีอ่อนแรงของเฟิงจงออกแต่แรกแล้ว คาดว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้พลังวิเศษหมดคงเพราะเมื่อครู่รักษาบาดแผลให้นาง ชั่วครู่ชิงเสวียนจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

ซีกวงได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นมือมากุมมือของเฟิงจงเอาไว้ แล้วถ่ายเทพลังปราณจำนวนหนึ่งให้นาง โดยที่ดวงตาของเขายังคงจับจ้องฟางจวินเยี่ยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามตลอด

ก่อนนภาสว่างก็เป็นยามที่รัตติกาลดำมืดที่สุด จันทราเร้นกายไปแล้ว เบื้องหน้ามองไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าที่ยื่นออกไป ช่วงเวลาแห่งการผจญมารได้มาถึงแล้ว ฟางจวินเยี่ยอาศัยความมืดมิดจู่โจมมาในฉับพลัน ตวัดหนึ่งกระบี่ใส่อาคมป้องกันที่ซีกวงกางกั้นไว้จนบังเกิดแสงโชติช่วงอันเจิดจ้า สะท้อนให้เห็นตรามารอันแจ่มชัดบนใบหน้าของฟางจวินเยี่ย

แส้ยาวที่เสกขึ้นในมือของซีกวงพลันรัดพันฟางจวินเยี่ยไว้ แล้วเหวี่ยงอีกฝ่ายออกไปทันที ส่วนตนเองก็ตามไปติดๆ เพื่อจะสกัดกระบวนท่าของอีกฝ่าย และพยายามให้อีกฝ่ายอยู่ห่างจากเฟิงจงเท่าที่จะเป็นไปได้

ฟางจวินเยี่ยผู้ซึ่งกลายเป็นมารไปแล้วอยู่ในสภาพที่ใกล้ตาย เขาเป็นเช่นแสงตะเกียงที่เจิดจ้าขึ้นก่อนจะดับวูบ ไม่ว่ากระบวนท่าหรือพลังตบะล้วนแต่เหนือกว่าในยามปกติหลายเท่า ประกอบกับมีไอมารผสานอยู่ในปราณเซียน พลังจู่โจมจึงพลิกผันพิสดาร ยากจะคาดเดาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายหลังประมือกับซีกวงหลายร้อยกระบวนท่า ฟางจวินเยี่ยก็ปลีกตัวมาถึงเบื้องหน้าเฟิงจงจนได้ จากนั้นก็เงื้อกระบี่ผ่าทลายอาคมป้องกันนั้นลงทันที

ชิงเสวียนดึงตัวเฟิงจงไปด้านหลังพลางเอ่ยอย่างร้อนรน “รีบใช้ฉยงฉีของเจ้าเร็วเข้าสิ เจ้านึกว่าหญ้านพกาฬที่ข้าป้อนให้มันเป็นสมุนไพรปลอมหรือ!”

เดิมทีเฟิงจงรู้สึกว่าการใช้ฉยงฉีรับมือฟางจวินเยี่ยนั้นออกจะเป็นการเสี่ยงเกินไป ครั้นได้ยินชิงเสวียนพูดเหมือนมั่นใจเต็มเปี่ยมเช่นนี้ นางจึงจรดนิ้วทำมุทราโดยไม่รอช้า

ฉยงฉีกระโจนขึ้นพร้อมร่างที่เปลี่ยนเป็นโตเต็มวัยในชั่วพริบตา มันพุ่งใส่ฟางจวินเยี่ยประดุจลูกไฟใหญ่ลูกหนึ่งพลางแผดเสียงคำรามลั่นสะเทือนฟ้า

ตอนนี้เฟิงจงถึงได้เข้าใจว่าฉยงฉีเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ก่อนหน้านี้มันกลืนภูตยักษ์ลงไป จากนั้นก็ได้หญ้านพกาฬมารวมความสามารถในการขยายร่างเฉกเช่นภูตยักษ์มาเป็นของตน ตอนนี้ก็สำเร็จมาจนถึงขั้นนี้แล้ว

คงเพราะเสียงคำรามของฉยงฉีดังเกินไป จึงชักนำให้คนตระกูลถูซานตามมาด้วย เสียงของถูซานเฟิ่งเริ่มดังขึ้นแต่ไกลแล้ว “อยู่ทางนั้น ไปดูกันซิ!”

ในใจซีกวงรู้สึกว่าไม่ได้การ หากปล่อยให้ตระกูลถูซานพบว่าฟางจวินเยี่ยคิดลงมือต่อเฟิงจง เช่นนั้นฟางจวินเยี่ยก็ไม่เหลือทางรอดใดอีกแล้ว

เนื่องจากถูกฉยงฉีกับซีกวงกระหนาบโจมตีทั้งสองด้าน ฟางจวินเยี่ยจึงสู้ไปพลางถอยไปพลาง จวบจนพบตำแหน่งที่เหมาะสม เขาก็ม้วนแขนเสื้อแล้วควบคุมให้กระบี่ดึงเอาประกายสีแดงรอบด้านมาเป็นพลังปราณ จากนั้นจึงซัดปราณกระบี่เหล่านั้นตรงไปหาเฟิงจงโดยไม่รอช้า

ซีกวงสะบัดแส้เดียวม้วนปราณกระบี่ออกไปได้หลายสาย ส่วนที่เหลือก็ได้ฉยงฉีกับชิงเสวียนจัดการจนหมดสิ้น

ทว่านี่เป็นแค่เพียงแผนหลอกล่อ ฟางจวินเยี่ยเพียงคิดใช้ปราณกระบี่เหล่านี้เหนี่ยวรั้งพวกเขาไว้เท่านั้น ชั่วพริบตาเดียวนี้เขาก็ปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหน้าของเฟิงจงแล้วพานางเหาะหนีไปไกลทันที

จวบจนออกจากเขตแดนชิงชิวแล้วเขาถึงได้หยุดฝีเท้า เมื่อปราศจากปราณเซียนในชิงชิว ความเป็นมารของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกขั้น ยามที่ปล่อยเฟิงจงลงพื้น เขาก็ขาดสติไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีจิตสำนึกของตนเองหลงเหลืออยู่อีก พอเงื้อมือขึ้น ปลายกระบี่ก็แนบชิดที่ข้างลำคอของนาง

รอบด้านล้วนมืดมิด เฟิงจงมองไม่ออกว่านางอยู่ที่ใด มองเห็นเพียงฟางจวินเยี่ยที่อยู่ใกล้ที่สุด เฟิงจงยืดกายตระหง่านโดยไม่หวั่นไหว ดวงหน้าฉาบด้วยความเยือกเย็นขณะใช้คทาหม่อนมังกรจรดบนหน้าอกของเขา

ดูเหมือนปราณชีวิตในคทาหม่อนมังกรจะทำให้เขามีสติขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะฆ่าเจ้าหรอก แต่จนใจที่ไร้หนทางอื่น หากเจ้าตื่นจากนิทราเร็วกว่านี้สักนิด บางทีทุกอย่างอาจจะไม่เป็นเช่นนี้ เป็นเจ้าที่บกพร่องต่อหน้าที่ แม้ยามนี้ไม่อาจกอบกู้พิภพมนุษย์ไว้ได้ ทว่าอย่างน้อยเจ้ายังสามารถช่วยชีวิตข้าได้”

เฟิงจงรู้สึกได้ว่าคมกระบี่ที่ข้างลำคอถูกกดลงมาอีกนิดแล้ว ทว่าจากนั้นกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก นางช้อนตาขึ้นกวาดมองไปก็พบว่าแขนของฟางจวินเยี่ยนิ่งค้างไม่ไหวติง บนแขนข้างนั้นถูกรัดไว้ด้วยแส้ยาวสีดำขลับ ครั้นมองตามตัวแส้ไป นางก็เห็นซีกวงที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ด้านหลังของฟางจวินเยี่ยอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไร

ฟางจวินเยี่ยเอ่ยโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลัง “ซีกวง ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้ารำคาญความยุ่งยากเสมอมา ไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น แต่เหตุใดเจ้าต้องคอยปกป้องนางครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย เพียงเพราะนางคือจ่งเสินน่ะหรือ”

ซีกวงหัวเราะตอบ “ทำอย่างไรได้เล่า มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ถึงยุ่งยากข้าก็ขอยอมรับไว้”

ฟางจวินเยี่ยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า พลังเทพถึงได้ประเดี๋ยวมากประเดี๋ยวน้อย แต่ในเมื่อตอนนี้เจ้าสามารถฆ่าข้าได้ เจ้าก็ลงมือเถอะ รีบฆ่าตอนที่ข้ายังไม่ตกสู่วิถีมารโดยสมบูรณ์ ข้าจะได้ตายอย่างมีเกียรติ มิเช่นนั้นข้าต้องควบคุมตนเองไม่อยู่แน่ๆ”

มือของซีกวงกระชับแล้วกระชับอีก ใบหน้าเครียดขรึมไม่ตอบคำ แม้ท่าทางของฟางจวินเยี่ยจะต่างไปจากอดีตมาก แต่ก็นับเป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของเขา การสังหารสหายกับมือตนเอง เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจกระทำได้อย่างเฉียบขาดแน่

สายตาของซีกวงหันไปมองเฟิงจงอีกครา นางถึงกับมีสีหน้าเป็นปกติ ทั้งยังหลับตาพริ้มคล้ายกำลังพักผ่อนอย่างสบายอกสบายใจ ไม่รู้ว่านางมีแผนการอะไรแล้วหรือไม่

ตอนนี้เองเสียงแผดคำรามก็ดังขึ้นที่เบื้องหลัง ฉยงฉีพลันกระโจนเข้ามากระแทกฟางจวินเยี่ยออกไป พร้อมกันนั้นกระบี่ในมือเขาก็ถากถูกข้างลำคอของเฟิงจงจนเป็นรอยเลือดยาวหลายชุ่นหนึ่งสาย ซีกวงแข็งทื่อไปทั้งร่าง ลืมกระทั่งต้องรวบแส้กลับมาจากแขนของฟางจวินเยี่ย ร่างเขาจึงถูกแรงกระแทกนี้ลากเซไปสองก้าว

รอจนเขาได้สติมองไปอีกครั้ง ค่อยเห็นว่าเลือดที่ข้างลำคอของเฟิงจงสมานอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวรอยแผลนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว เช่นนี้เองเขาถึงโล่งใจได้เสียที

ฉยงฉีที่โตเต็มวัยแล้วมีพละกำลังมหาศาล เพียงอุ้งเท้าเดียวก็ตะปบฟางจวินเยี่ยกระเด็นไปไกลหลายจั้ง ฟางจวินเยี่ยที่ถูกจิตมารครอบงำสติอีกคราตวัดปราณกระบี่ซึ่งฉาบด้วยเพลิงมารให้พุ่งตรงไปหาฉยงฉีหลายสิบสาย

เฟิงจงพลันลืมสองตาขึ้น แล้ววิ่งก้าวยาวไปตั้งคทาหม่อนมังกรขวางไว้เบื้องหน้า ชั่วพริบตากระแสลมที่ซัดม้วนออกไปก็คลี่คลายปราณกระบี่เหล่านั้นได้ ขณะเดียวกันพื้นดินที่ปริแยกก็มีเถาวัลย์เลื้อยขึ้นมา แลคล้ายเงาอสรพิษที่เคลื่อนไหวท่ามกลางสีแห่งรัตติกาล เถาวัลย์พุ่งตรงไปเบื้องหน้าแล้วกระหวัดรัดสองเท้าของฟางจวินเยี่ย ทว่าไม่ได้ยุติแค่เพียงเท่านั้น หากยังเคลื่อนต่อไปด้านบนจนแทบจะรัดพันเขาไว้ทั้งร่าง

ซีกวงไล่ตามมาด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง “นี่เจ้าเตรียมจะทำอะไร”

“ปิดผนึกเขา!” เฟิงจงเอ่ยปนหอบ “พลังปราณที่เจ้ามอบให้ ข้าเก็บไว้ไม่ใช้ก็เพื่อจะร่ายวิชานี้ ในเมื่อเขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว มิสู้ผนึกเขาไว้เพื่อชะลอเวลาไปก่อน บางทีอาจยังรักษาชีวิตเขาไว้ได้”

ซีกวงเห็นนางมีเรี่ยวแรงไม่เพียงพอจึงรีบทาบฝ่ามือไปบนแผ่นหลังของนาง พลังเทพถูกส่งเข้าไปในกายนางไม่ขาดสาย อย่างไรเสียดวงจิตของเขากับกระแสโลหิตของนางก็เข้ากันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ย่อมจะเกื้อหนุนกันและกันได้

เฟิงจงหยิบยืมพลังของเขามาเร่งพลังของคทาหม่อนมังกร แต่นางในยามนี้ยังอ่อนแอเหลือเกิน ผิดกับฟางจวินเยี่ยที่จิตมารมีพลังอันท่วมท้น เมื่อทุ่มจนสุดกำลังเฉกเช่นคนดิ้นรนเฮือกสุดท้ายยามใกล้ตาย ฟางจวินเยี่ยก็สลัดเถาวัลย์จนขาดสะบั้น แล้วจู่โจมตรงมาหานางทันที

เฟิงจงข่มใจไว้ไม่ขยับตัว ปากก็ท่องคาถาอย่างรวดเร็วเพื่อปิดผนึกเขาอีกครั้ง ทว่าจนใจที่ฟางจวินเยี่ยยังคงพุ่งมาถึงตรงหน้าโดยไม่อาจยับยั้งเขาได้เลย

ยามที่ซีกวงจะขึ้นหน้าไปสกัดขวางเอาไว้นั้น เงาดำมหึมาสายหนึ่งก็พุ่งวาบมาบังหน้าเฟิงจงประหนึ่งภูเขาลูกย่อม เพียงแค่มันโบกมือหนหนึ่ง ลมพายุก็พัดกระโชก หอบเอาฟางจวินเยี่ยปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่อย่างหนักหน่วง

ทว่าสำหรับฟางจวินเยี่ยที่ถูกมารครอบงำแล้ว นี่เป็นเพียงอาการบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น พริบตาเดียวเขาก็ยืนขึ้นอีกครั้งแล้ว

เงาดำรุกตามมาติดๆ แล้วฟาดหนึ่งฝ่ามือใส่กะโหลกศีรษะของฟางจวินเยี่ยทันที แม้เขาจะยกกระบี่ขึ้นต้านได้ทัน ทว่าฝ่ามือใหญ่ที่ไร้รูปข้างนั้นยังคงกดทั้งคนทั้งกระบี่ลงมาได้ จนกระทั่งเขาต้องทรุดเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น

เฟิงจงจำได้ว่าเป็นวิญญาณร่อนเร่ตนนั้น ครั้งนี้มันมาช่วยนางไว้อีกแล้ว นางรีบใช้เวลานี้เร่งวิชาปิดผนึก ซีกวงที่อยู่ด้านหลังก็ช่วยถ่ายเทพลังให้นางต่อ เถาวัลย์งอกเงยออกมาอีกครั้งด้วยความเร็วที่สูงกว่าครั้งก่อน ไม่เพียงกระหวัดรัดฟางจวินเยี่ยไว้อย่างแน่นหนา หากยังรัดพันวิญญาณร่อนเร่ที่กดร่างเขาไว้ด้วย

“หลีกไปเร็วเข้า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะถูกผนึกไปด้วย!”

วิญญาณร่อนเร่ไม่ได้ขยับเท้า มันเพียงหันหน้ามาหานาง

ทันใดนั้นประกายแสงเล็กๆ หลายสายก็สว่างวาบขึ้น ก่อนจะเรียงตัวอย่างไร้ระเบียบอยู่ที่ข้างเท้าของวิญญาณตนนั้น จนกระทั่งประกอบขึ้นเป็นลวดลายอันแปลกตา ค่ายกลเวทที่ถูซานจิ่วหลิงร่ายไว้บนร่างของนางเห็นผลแล้ว เฟิงจงอาศัยประกายแสงเรื่อๆ นี้มองเห็นโฉมหน้าเดิมของวิญญาณร่อนเร่ได้ชัดเจนในที่สุด นางตะลึงงันไปทันใด

“เสี่ยวเฮย?” นางเอ่ยเรียกคำหนึ่ง

เมื่อมองทะลุร่างวิญญาณนั้น นางก็ได้เห็นใบหน้าประดับยิ้มที่เขาส่งตอบมา นางพบว่าเขายังเป็นเช่นกาลก่อน…ทั้งแสนซื่อ เปิดเผย และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมแม้แต่น้อย

วิชาปิดผนึกยังคงดำเนินต่อไป เถาวัลย์ได้รัดพันตัวเขากับฟางจวินเยี่ยไว้ด้วยกันแล้ว

“รีบไปเร็วเข้าเสี่ยวเฮย หากยังไม่ไปอีกจะไม่ทันกาลแล้วนะ!”

ดวงหน้าอันคุ้นเคยที่อยู่ในสภาพของวิญญาณร่อนเร่นั้นขยับปากอ้าหุบ ดูตามรูปปากแล้วเฟิงจงสามารถอ่านถ้อยคำของเขาได้ว่า ‘ข้าไปไม่ได้หรอก เขาต้องสังหารเจ้าแน่’

วิชาปิดผนึกดำเนินมาถึงช่วงท้ายแล้ว กระทั่งผู้ใช้วิชาเองก็ไม่อาจหยุดยั้งได้ เฟิงจงได้แต่เบิกตามองเสี่ยวเฮยถูกเถาวัลย์ห่อหุ้มเอาไว้ จวบจนใบหน้าของเขาจวนจะถูกปิดคลุมอยู่แล้วนั้น วิญญาณสายหนึ่งก็ถูกบีบเค้นออกมา มันลอยตรงมาถึงเบื้องหน้าสายตาของนางแล้ว และยังคงวนเวียนไม่จากไป

พอซีกวงยื่นมือรวบเอาไว้ มันก็ถูกผนึกแข็งกลายเป็นวัตถุชิ้นเล็กบางที่วาวใสดุจอำพัน เห็นได้ชัดว่าวิญญาณตนนี้มีกลิ่นอายที่บริสุทธิ์ ทว่าก็ดูเบาบางอย่างยิ่ง เกรงว่าคงเพราะล่องลอยอยู่ในพิภพมนุษย์มาเป็นเวลานานแล้ว วิญญาณที่เบาบางถึงเพียงนี้เดิมทีจะต้องกริ่งเกรงต่อปราณชีวิตบนร่างของเฟิงจงอย่างมากแน่ แต่เพื่อช่วยนางแล้ว อีกฝ่ายยังคงเข้ามาใกล้นางครั้งแล้วครั้งเล่า

ซีกวงช้อนมือของเฟิงจงขึ้นแล้ววางอำพันชิ้นนี้ลงในฝ่ามือนาง เฟิงจงยังคงตกอยู่ในภวังค์ ดวงตามองตรงไปเบื้องหน้า จ้องค้างไปยังลูกกลมที่ถูกเถาวัลย์ห่อหุ้มและบีบอัดจนเหลือขนาดเท่าหนึ่งกำปั้น

ขอบนภาเริ่มระบายสีขาวอมฟ้าแล้ว ชิงเสวียนสาวเท้าเดินออกมาจากเบื้องหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง เมื่อครู่ตอนที่นางตามมาถึง ก็พอดีกับที่วิญญาณร่อนเร่ตนนั้นปรากฏกายขึ้น ด้วยในใจบังเกิดความขลาดกลัว นางจึงไม่ได้เผยตัวออกมา ยามเมื่อเห็นผนึกเถาวัลย์ลูกนั้นก็ให้รู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง สายตาที่มองเฟิงจงก็แปรเปลี่ยนไปแล้ว “วิญญาณร่อนเร่ตนนั้นร้ายกาจยิ่ง ข้าก็เคยประมือมาแล้ว เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือนี่”

ในที่สุดดวงตาของเฟิงจงก็กะพริบ “เขาคือหุ่นเวทที่มหาเทพหนี่ว์วาเป็นผู้คัดเลือกให้ข้าเองกับมือ และก็เป็นหุ่นเวทคนแรกของข้าด้วย”

ชิงเสวียนตกตะลึงจนพูดไม่ออก กระทั่งซีกวงก็ชะงักไปเช่นกัน

“เหตุใดถึงตายได้เล่า” เฟิงจงขมวดคิ้วแน่น นิ้วมือบีบอำพันชิ้นนั้นอย่างไม่อาจคุมสติได้ “เขาคือชนเผ่ากึ่งเทพเชียวนะ เขาควรที่จะนิทราสิ เหตุใดเขาถึงตายได้ เหตุใดถึง…”

ซีกวงยื่นมือไปวางบนหัวไหล่เฟิงจง ดวงจิตที่เพิ่งจะกินลูกกลอนปราณมานั้นพลันได้พลังเทพของซีกวงช่วยประคองให้นิ่ง เฟิงจงสงบเยือกเย็นลงได้ในที่สุด “หากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาได้ก็คงดี”

ซีกวงขบคิดเล็กน้อย “ได้ยินว่ามีของสิ่งหนึ่งที่อาศัยเพียงดวงวิญญาณก็สามารถสืบรู้เรื่องราวเมื่อครั้งยังมีชีวิตได้”

ชิงเสวียนกล่าว “ท่านหมายถึงหนอนอาคมนำฝันหรือ”

“เอ๋? เจ้ารู้จักด้วยหรือ”

ชิงเสวียนหยิบถุงแพรใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “ที่ข้าฝึกฝนอยู่บนเกาะเผิงไหลก็คือวิชาพวกนี้ สิ่งที่ข้ามีพกติดตัวอย่างไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือโอสถวิเศษกับหนอนอาคมที่พิสดารหายากนี้”

ชิงเสวียนมองดูเฟิงจง เฟิงจงก็มองนางด้วยเช่นกัน

“เอาเถอะ เห็นแก่หน้าตงจวินหรอกนะ ข้าจะให้เจ้าใช้ตัวหนึ่งก็ได้” ในที่สุดชิงเสวียนก็เอ่ยออกมาได้เสียที

เมื่อแรกที่เฟิงจงถือกำเนิดนั้นเป็นช่วงที่มหาเทพหนี่ว์วาเพิ่งอุดรูรั่วบนฟ้าสำเร็จ มหาอุทกภัยคลี่คลายลงแล้ว ทุกส่วนในพิภพมนุษย์กำลังรอคอยการฟื้นฟู

ภัยพิบัติในครั้งนั้นใหญ่หลวงยิ่ง สามพิภพทั้งเบื้องบนเบื้องล่างต่างรวมใจเป็นหนึ่งอย่างหาได้ยาก ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนหวังว่านับจากนี้ใต้หล้าจะมีแต่ความสงบสุขรุ่งโรจน์ชั่วกาลนาน ด้วยเหตุนี้ทุกชนเผ่าในพิภพมนุษย์ ตลอดจนเทพและหมู่เซียนจากทุกสารทิศในพิภพสวรรค์ หรือกระทั่งปีศาจมารในแดนฮุ่นตุ้นต่างก็มาชุมนุมกันที่เชิงเขาหลักของทิวเขาเจ้ามารดรที่อยู่ในพิภพมนุษย์ เพื่อชมจ่งเสินกะเทาะออกจากเมล็ดพันธุ์ที่มหาเทพหนี่ว์วาหล่อเลี้ยงขึ้นมากับมือเมล็ดนั้น

นับแต่แรกกำเนิด นางก็เบิกเนตรแห่งปัญญาและรู้ภาษามนุษย์แล้ว ประโยคแรกที่นางได้ยินมหาเทพหนี่ว์วาเอ่ยก็คือ ‘นับแต่นี้เมื่อมีเจ้าอยู่ก็จะมีพลังชีวิต ใต้หล้าก็จะมีความหวัง’

เมื่อได้มหาเทพหนี่ว์วาเลี้ยงดูเองกับมือ รูปร่างของนางก็แปรเปลี่ยนไปทุกวัน เพียงเจ็ดวันให้หลังนางก็กลายร่างเป็นเด็กสาว นางได้รับมอบพลังเทพ ได้รับฟังคำสั่งสอน และได้ฝึกฝนวิชาอาคม นางจึงรุดหน้าฉับไวประหนึ่งอาชาที่วิ่งได้วันละพันหลี่ ซึ่งผู้ที่เข้ารับการฝึกฝนพร้อมกับนางยังมีอวี้ถูที่เพิ่งเป็นชายหนุ่มอีกผู้หนึ่ง

เขาในยามนั้นมีเรือนผมสีดำปานน้ำหมึก สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง ท่าทีสุขุมเงียบขรึม และไม่ได้รู้สึกไม่สบายตัวเมื่อเข้าใกล้เฟิงจง เรื่องที่เขาทำบ่อยที่สุดก็คือการมองดูนาง…มองดูสถานที่ซึ่งมีต้นกล้างอกเงยยามที่นางเดินผ่าน…มองดูกิ่งใบเหี่ยวเฉาที่แปรเปลี่ยนเป็นเขียวขจีหลังจากนางลูบไล้แผ่วเบา…บาดแผลที่นางสัมผัสผ่านล้วนสมานตัวอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่มองล้วนทำให้เขารู้สึกแปลกใหม่อัศจรรย์ใจยิ่ง บางครั้งบางคราเขาก็ร่วมศึกษาค้นคว้าวิชาอาคมกับนางด้วย…แต่ไม่นานนักเขาก็ไปที่ตำหนักยมโลกแล้ว

เนื่องจากมหาเทพหนี่ว์วาสูญสิ้นพลังใจและพลังกายไปกับการอุดรูรั่วบนฟ้า นางจึงได้ตระเตรียมที่จะนิทราตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น นางได้พาหนุ่มน้อยผู้หนึ่งกลับมาจากดินแดนทางตะวันออกที่เรียกว่าบึงอสนีด้วย เพื่อจะให้หนุ่มน้อยผู้นี้มาเป็นหุ่นเวทของเฟิงจง

‘นับจากนี้ไป…เจ้าปกปักรักษาพิภพมนุษย์ ส่วนเขาพิทักษ์คุ้มครองเจ้า’ มหาเทพหนี่ว์วาลูบศีรษะของเฟิงจง

หนุ่มน้อยผู้นี้มาจากเผ่ายักษ์กึ่งเทพแห่งบึงอสนี เป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าตระกูลเลี่ยซาน มีชื่อว่าเลี่ยซานเฮยฉวี ตัวเขาช่างสมกับชื่อที่มีความหมายว่า ‘คูคลองสีดำ’ ยิ่งนัก เพราะนอกจากผิวพรรณจะดำเข้มแล้ว เขายังสวมเสื้อหนังเสือดำอีกด้วย จึงยิ่งดูคล้ำเข้าไปใหญ่ ด้วยเหตุนี้เฟิงจงถึงได้เรียกเขาว่าเสี่ยวเฮยที่มีความหมายว่า ‘เจ้าดำน้อย’

นางอดไม่ได้ที่จะถามเขาในเวลาต่อมา ‘เสี่ยวเฮย เจ้าไม่อยากปกครองชนเผ่าหรือ เหตุใดต้องมาเป็นหุ่นเวทด้วยเล่า’

‘นี่เป็นความสมัครใจของข้าเอง’ สองตาของเสี่ยวเฮยเบิกกว้างขณะเอ่ยอย่างจริงจัง ‘การพิทักษ์จ่งเสินก็ถือเป็นการพิทักษ์พิภพมนุษย์ด้วย’

เสี่ยวเฮยยังไม่อยู่ในช่วงเจริญวัย กระนั้นรูปร่างของเขาก็สูงใหญ่มากแล้ว ผิดกับเฟิงจงผู้มีเอวบางร่างน้อย ซึ่งย่างก้าวก็เล็กตามไปด้วย เสี่ยวเฮยจึงมักให้นางนั่งบนบ่าของเขา ก่อนจะพานางเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในพิภพมนุษย์

‘ไปทางตะวันออกพันหลี่ก็จะเป็นบึงอสนีบ้านเกิดของข้า ยักษ์ในตระกูลกุ่ยฟางล้วนเป็นมาร พวกนั้นมักจะลอบจู่โจมพวกเราเป็นประจำ แต่พวกเราไม่กลัวเกรงพวกเขาหรอก ตอนนี้มีเจ้าแล้วก็ยิ่งไม่กลัว’

‘ไปทางตะวันออกอีกพันหลี่ก็จะเป็นทะเลบูรพา ที่นั่นมีเทพธิดากานยวนอาศัยอยู่ นางงดงามสะคราญโฉมมากเชียวล่ะ ได้ยินว่านางแต่งให้กับศิษย์ของมหาเทพฝูซีไปแล้ว!’

‘ทางตะวันตกนั้นเป็นถิ่นของตระกูลโหย่วเฉา พวกเขาชอบอาศัยอยู่บนต้นไม้ แต่เมื่อมีเจ้าคอยช่วยพวกเขาขับไล่สัตว์ป่าที่ดุร้ายไป วันหน้าพวกเขาก็ไม่ต้องอาศัยอยู่บนต้นไม้อีกแล้ว’

‘ส่วนทางใต้มีมวลน้ำจากมหาอุทกภัยที่ยังลดทอนไม่หมดสิ้น จนตอนนี้ก็ยังมีสัตว์ร้ายจำนวนมากออกมาทำร้ายผู้คน มหาเทพหนี่ว์วาบอกว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะทำให้ที่นั่นสงบสุขได้แน่!’

‘ทางเหนือ…’

เฟิงจงแกว่งไกวสองเท้าอยู่บนบ่าของเสี่ยวเฮยพลางจดจำคำพูดของเขาอย่างตั้งอกตั้งใจไปทีละอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งที่ตั้งของสถานที่เหล่านั้น รวมไปถึงชนเผ่าที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น มหาเทพหนี่ว์วาบอกว่าเหล่านี้ล้วนเป็นสถานที่ซึ่งนางจะต้องปกปักรักษา ฉะนั้นนางต้องทำความคุ้นเคยให้มากถึงจะได้

หลังจากนั้นไม่นานมหาเทพหนี่ว์วาก็มาอำลานาง

เฟิงจงขยุ้มชายอาภรณ์ของมหาเทพหนี่ว์วาไว้แน่น ไม่ยอมให้อีกฝ่ายจากไป มหาเทพหนี่ว์วาเป็นทั้งมารดาและอาจารย์ผู้มีพระคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างของตนล้วนได้มาจากนางทั้งสิ้น กระทั่งอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่นี้มหาเทพหนี่ว์วาก็เป็นผู้ทำให้เองกับมือ แม้แต่มวยผมบนศีรษะก็ล้วนได้นางเป็นผู้หวีเกล้าให้ด้วยตนเอง ทว่าบัดนี้นางกำลังจะลาจากตนไปเสียแล้ว

ดวงหน้าของมหาเทพหนี่ว์วายังคงเปี่ยมด้วยความเมตตาเช่นที่เคยเป็นมา ‘จำไว้ว่าเจ้าคือจ่งเสิน จงจดจำถ้อยคำที่ข้าเคยพูดกับเจ้าไว้ทุกประโยค และจดจำหน้าที่ของเจ้าให้ดี’

จบคำนางก็จากไป มหาเทพฝูซีคือผู้ที่จากไปพร้อมกับนาง ว่ากันว่าทั้งสองไปยังทิวเขาสุดเขตบูรพาของพิภพสวรรค์ และจะไม่หวนกลับมาอีกตลอดกาล

จ่งเสินเช่นนางยังจำเป็นต้องรั้งอยู่ในพิภพมนุษย์ต่อไป เฟิงจงได้แต่นั่งมองฟ้าอยู่บนยอดเขาหลักของทิวเขาเจ้ามารดร ส่วนเสี่ยวเฮยที่เอ่ยวาจาสละสลวยมาปลอบโยนนางไม่เป็นนั้นก็แค่นั่งมองฟ้าอยู่กับนางโดยไม่พูดจา

แต่เพียงไม่นานเฟิงจงก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง มหาเทพหนี่ว์วาเป็นเทพผู้สร้างโลก สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนได้มหาเทพหนี่ว์วาเป็นผู้สร้างขึ้น ทุกสิ่งที่นี่จึงถือเป็นตัวแทนของอีกฝ่าย ในเมื่อนางยังอยู่ในโลกใบนี้ ก็เท่ากับนางยังอยู่เคียงข้างมหาเทพหนี่ว์วา ดังนั้นการปกปักรักษาสรรพสิ่งในใต้หล้านี้ไว้ให้ดีจึงถือเป็นหน้าที่ของนาง

เสี่ยวเฮยติดตามเฟิงจงออกท่องไปในพิภพมนุษย์ ค่อยๆ ขจัดสิ่งที่พิบัติภัยเหลือทิ้งเอาไว้ไปทีละนิด กระตุ้นการเจริญเติบโตของสรรพสิ่งไปทีละน้อย

เฟิงจงผู้ซึ่งยังเป็นเด็กสาวนั้นมีรูปร่างบอบบาง ผิดกับเสี่ยวเฮยที่สูงใหญ่ขึ้นทุกวัน เสียงก็ค่อยๆ ใหญ่ขึ้นตามไปด้วย บางครั้งยามที่จำเป็นต้องปีนขึ้นที่สูงเพื่อทอดตามองออกไปไกลๆ เพียงแค่นางยืนอยู่บนบ่าของเขาก็แทบจะเหมือนกับยืนอยู่บนภูเขาลูกย่อมแล้ว

ทว่าต่อมาไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีก เพราะนางเองก็เติบใหญ่แล้ว นางได้ย่างเข้าสู่วัยสาวเต็มตัวแล้วจริงๆ แม้การเจริญเติบโตของนางจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าก็ตาม ฝ่ายเสี่ยวเฮยเองก็ยิ่งเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์แล้ว ไม่อาจใช้ ‘ภูเขาลูกย่อม’ มาพรรณนาถึงส่วนสูงของเขาได้อีก

ในช่วงเวลานั้นขอเพียงพิภพมนุษย์มีแห่งหนใดรกร้าง ก็จะมีคนพบเห็นเทพธิดารูปกายอรชรผู้หนึ่งผ่านไปยังสถานที่แห่งนั้น มือซ้ายของนางช้อนรองแจกันหยกสีน้ำเงิน มือขวากุมคทาหม่อนมังกร เบื้องหลังมียักษ์หนุ่มผู้หนึ่งคอยติดตาม ทิ้งรอยเท้าขนาดใหญ่มหึมาไว้ทุกแห่งที่ผ่าน ทว่าทันทีที่คทาหม่อนมังกรในมือของเทพธิดาวางตั้งขึ้น รอยเท้านั้นก็หายไป ผืนดินที่แห้งเกรียมแปรเปลี่ยนเป็นที่นาอันอุดมสมบูรณ์ สรรพสิ่งเจริญงอกงาม บรรดาสรรพสัตว์ขยายเผ่าพันธุ์ออกไป และรวมกลุ่มกันเป็นฝูง เปลี่ยนแปลงพื้นที่แห่งนั้นไปโดยสิ้นเชิง

กาลเวลาหลายพันปีล่วงผ่านเพียงชั่วดีดนิ้วมือ เมื่อพิภพมนุษย์ค่อยๆ รุ่งเรืองเฟื่องฟู บุตรหลานล้นหลาม จารีตสมบูรณ์พร้อม เมื่อวันเวลาผันเปลี่ยน พวกเขาก็เริ่มแยกตัวออกจากเทพเซียนมารปีศาจได้ทีละน้อย และสามารถรับภาระหน้าที่ได้โดยลำพังมากขึ้น คุณงามความชอบนี้ทำให้นามของเฟิงจงถูกจารึกบนทำเนียบเทวะ นางรับตำแหน่งจ่งเสินได้อย่างภาคภูมิใจ และสามารถกลับไปยังพิภพสวรรค์ได้แล้ว

แต่นึกไม่ถึงว่าตอนนี้นางกลับพบเจออวี้ถูเข้า

รูปโฉมของอวี้ถูเปลี่ยนไปแล้ว เรือนผมสีดำกลายเป็นขาวโพลน สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ ในดวงตาวูบวาบด้วยแสงสีฟ้าดุจเพลิงภูต ครั้นเข้ามาใกล้นางอีกนิดเขาก็ต้องมุ่นคิ้วพลางถอยออกไปไกล เพียงแตะสัมผัสนางเล็กน้อยก็ถูกปราณชีวิตแผดเผาจนบาดเจ็บแล้ว

พลังความสามารถของเทพนั้นติดตัวมาแต่กำเนิด หน้าที่รับผิดชอบก็ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เฟิงจงรู้แต่แรกแล้วว่าเขากับนางจะต้องยืนอยู่ตรงข้ามกัน นางจึงไม่แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้แต่อย่างใด ทว่าท่าทีของอวี้ถูกลับไม่เป็นมิตรเช่นกาลก่อน วาจาก็ทั้งเยียบเย็นทั้งยากจะหยั่งถึง

เฟิงจงรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป เขาเองก็รู้สึกว่าเฟิงจงเปลี่ยนไปเช่นกัน

เฟิงจงจำไม่ได้แล้วว่าต่อจากนั้นเกิดการต่อสู้ขึ้นมาได้อย่างไร เขากับนางต่อสู้กันบนทุ่งร้างอยู่สิบกว่าวันเต็มๆ อวี้ถูปราชัยย่อยยับ จำต้องถอยร่นกลับพิภพวิญญาณไป พลังของนางเองก็บอบช้ำอย่างหนัก

นางจึงไม่ได้เดินทางไปพิภพสวรรค์ ทว่าให้เสี่ยวเฮยแบกนางไปยังภูเขาลึกที่อยู่ตอนกลางของพิภพมนุษย์ นางตัดสินใจแล้วที่จะนิทราพักฟื้นอยู่ในพิภพมนุษย์นี้

เสี่ยวเฮยเอ่ยกับนางระหว่างทาง ‘เสี่ยวจง หมิงเสินต้องมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเจ้าอยู่เป็นแน่’

เฟิงจงถาม ‘อะไรคือ ‘มีจิตปฏิพัทธ์’ ’

‘ก็คงหมายถึงการมีความคิดอยากอยู่ด้วยกันเฉกเช่นมนุษย์ชายหญิง’

‘มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่ผู้สร้างชีวิตจะมีจิตปฏิพัทธ์ต่อผู้ควบคุมความตาย ข้าเองก็ไม่มีวันจะมีจิตปฏิพัทธ์ต่อผู้ใดได้ มหาเทพหนี่ว์วาบอกว่าผู้ที่ข้าพึงจะรักได้ก็คือสรรพสิ่งในใต้หล้า’

‘อืม!’ เสี่ยวเฮยผงกศีรษะแรงๆ ไม่ว่านางจะพูดอะไรก็ล้วนแต่ทำให้เขาเชื่อถือเลื่อมใสเช่นเดียวกับมหาเทพหนี่ว์วา

ในที่สุดทั้งสองก็เข้ามาในภูเขาลึก เฟิงจงกำชับเขาก่อนที่จะนิทรา ‘วันหน้าเจ้าเองก็นิทราเถอะ รอให้ข้าตื่นมาแล้ว เจ้าจะได้ติดตามข้าปกปักรักษาใต้หล้าต่อไป’

‘อืมๆ!’ เสี่ยวเฮยมองส่งนางหลับตาแล้วจมลงสู่ใต้ภูเขาด้วยตาของเขาเอง

 

นั่นเป็นความทรงจำสุดท้ายที่เฟิงจงมีเกี่ยวกับเสี่ยวเฮย ที่ผ่านมานางจึงเข้าใจว่าเสี่ยวเฮยจะนิทราเช่นเดียวกัน ไม่เคยนึกมาก่อนว่าเขาจะตายจากไปแล้ว

ดวงตะวันขึ้นสูงมากแล้ว คนตระกูลถูซานไม่ได้ติดตามมา ที่นี่มีพวกเฟิงจงเพียงสามคน เหมาะจะใช้หนอนอาคมนำฝันพอดี

ชิงเสวียนเตรียมการพร้อมแล้วก็กดตัวเฟิงจงให้นั่งลง จากนั้นเอ่ยกับซีกวงว่า “ฐานรากดวงจิตของนางเพิ่งจะมั่นคง ยังต้องขอให้ตงจวินอยู่ด้านข้างเป็นผู้พิทักษ์อาคมด้วย”

ซีกวงเลิกชายเสื้อแล้วนั่งลงด้านข้างเฟิงจง “ได้”

ชิงเสวียนหยิบสิ่งที่ดูคล้ายกับหนอนแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียวออกมาจากถุงแพรแล้ววางบนมือเฟิงจง สิ่งนั้นคลานขึ้นไปบนอำพันที่ตกผลึกมาจากดวงวิญญาณของเสี่ยวเฮย เมื่อมันเบียดกายมุดแทรกเข้าไปแล้วก็หายวับอย่างรวดเร็ว ชิงเสวียนก็นั่งลงอีกด้านหนึ่งเพื่อร่วมเป็นผู้พิทักษ์อาคม

รอบด้านพลันบังเกิดหมอกขาวลอยตัวขึ้น ท่ามกลางความเลือนรางนั้นภาพเบื้องหน้าสายตาก็แปรเปลี่ยนไป เฟิงจงพบว่าตนได้หวนคืนสู่ภูเขาลึกอันเป็นสถานที่นิทราในตอนแรกแล้ว

ภูเขาลึกในฤดูวสันต์มีบุปผชาติตระการตาดุจผืนแพร เสี่ยวเฮยสวมเสื้อหนังสัตว์เช่นเคย เขากำลังนั่งพึมพำอยู่ตรงจุดที่นางนิทรา ‘เสี่ยวจง ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่มาเยี่ยมเจ้า เจ้าเพิ่งจะนิทราไปไม่กี่วัน ข้ายังไม่ชินน่ะ’

ดวงวิญญาณของเสี่ยวเฮยเหลืออยู่เพียงเท่านี้ จึงบรรจุได้แต่บางช่วงของความทรงจำที่ลึกล้ำที่สุด เฟิงจงพบว่าสถานที่เบื้องหน้าสายตาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังอยู่ในภูเขาลึกที่นางนิทรา

เสี่ยวเฮยมาอีกแล้ว ร่างกายถึงกับสูงใหญ่ขึ้นมาก ยามที่เดินมาแต่ไกลถึงกับทำให้ภูเขาสั่นสะเทือนไปทั้งลูก หมู่วิหคมากมายตกใจจนบินกระเจิงหนีไป เขาย่อกายลงเพ่งมองจุดที่เฟิงจงนิทรา ‘เสี่ยวจง หมู่นี้พิภพมนุษย์ไม่ชอบมาพากลเท่าไร ข้าต้องกลับไปดูที่บึงอสนีสักหน่อยแล้ว เจ้าก็หลับพักให้สบายเถอะ แล้วข้าจะกลับมานะ เจ้านอนให้เต็มที่เถิด’

เขากลับมาอีกจริงๆ คราวนี้ในภูเขาปกคลุมไปด้วยหิมะสะสม ปลายคางของเขาเริ่มไว้เครา อายุหลายพันปีสำหรับชนเผ่ากึ่งเทพนั้นนับว่าล่วงเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว

แม้ร่างกายของเขายังคงสูงใหญ่อยู่ แต่รูปร่างเขากลับดูผ่ายผอมลงไปมาก ร่างเขาคลุมด้วยเสื้อหนังสัตว์บุซับในตัวหนา มือตะกุยหิมะไปพลาง ปากก็เผยออ้าหุบอยู่หลายหนกว่าจะเอ่ยปากได้ ‘เสี่ยวจง พิภพมนุษย์ไม่สู้ดีแล้วจริงๆ ไอมารจากทางตะวันออกเฉียงเหนือลุกลามออกไปแล้ว มนุษย์ทั้งหลายเริ่มได้รับผลกระทบ ที่ป่วยก็ป่วย ที่ตายก็ตาย ทั้งไม่มีเด็กเกิดใหม่มาหลายปีแล้ว…จะทำอย่างไรดี ข้าจะต้องปลุกเจ้าหรือไม่’

เขาทอดถอนใจ มือที่ตะกุยหิมะอยู่ชะงักไปแล้ว ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะจากไป

ภูเขาลึกแห่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเช่นกัน แมกไม้ต่างเริ่มเหี่ยวเฉา สรรพสัตว์ล้วนไม่เห็นร่องรอย ยอดเขาก็ถูกกัดกร่อนและยุบตัวลงไปมาก มีเพียงจุดที่เฟิงจงนิทราอยู่เท่านั้นที่ยังมีชั้นหญ้าคางอกเงยอยู่

‘เสี่ยวจง เจ้าตื่นขึ้นมาเถอะ’ เสี่ยวเฮยซูบผอมยิ่งกว่าเดิมแล้ว เขานั่งยองตะกุยดินอยู่ตรงนั้น ‘พิภพมนุษย์ใกล้จะไร้ผู้คนอยู่แล้ว แม้แต่ที่บึงอสนีก็…ข้ายังนิทราไม่ได้หรอก หากบึงอสนีสูญสิ้นไปข้าจะทำอย่างไรเล่า เสี่ยวจง จ่งเสินสามารถทำให้ใต้หล้าอุดมสมบูรณ์ได้นี่นา เจ้าก็รีบตื่นขึ้นมาเถอะนะ’

ยามที่เสี่ยวเฮยปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ภูเขาลึกได้เปลี่ยนสภาพและเสื่อมโทรมไปมากแล้ว คราวนี้ไม่ใช่การตะกุยดินอย่างที่เคยทำอีกแล้ว ในที่สุดเขาก็ใช้พลังเทพเร่งเปิดชั้นดินจนถึงข้างใต้ เฟิงจงที่อยู่ในห้วงนิทราลอยตัวขึ้นมาช้าๆ ทั่วร่างปกคลุมด้วยรัศมีเรื่อๆ สองตาของนางปิดสนิทหลับใหลอย่างสุขสงบ

‘เสี่ยวจง ตระกูลกุ่ยฟางเลิกทำสงครามกับตระกูลเลี่ยซานของข้าแล้ว ทว่าชนเผ่าข้าที่ตายไปกลับมีมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก เหตุใดเจ้าถึงยังไม่ตื่นเสียทีเล่า’

เฟิงจงไม่มีวี่แววจะรู้สึกตัวแม้แต่น้อย

เสี่ยวเฮยทอดถอนใจ ได้แต่ปรากฏตัวครั้งแล้วครั้งเล่า และจากไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ร่างกายมีแต่ยิ่งผ่ายผอม พลังใจเริ่มจะห่อเหี่ยวขึ้นทุกที

‘เสี่ยวจง พิภพมนุษย์ไม่เหลือผู้คนแล้ว เผ่ายักษ์ก็เหลือข้าอยู่เพียงคนเดียว ไฉนเจ้ายังไม่ตื่นอีกเล่า’

‘เสี่ยวจง ได้ยินว่าตระกูลถูซานเร้นกายไปแล้ว เหล่าสัตว์วิเศษก็อำลาพิภพมนุษย์ไปกันหมด เหตุใดข้าถึงยังปลุกเจ้าไม่ตื่นเสียที’

‘เสี่ยวจง เทพเซียนทั้งหลายในพิภพสวรรค์ก็อับจนหนทางกันแล้วนะ พวกเขาจะทอดทิ้งพิภพมนุษย์ไปแล้ว เจ้าเองก็จะทอดทิ้งด้วยหรือ’

‘เสี่ยวจง เจ้ารีบตื่นเร็วเข้าสิ’

ในที่สุดก็มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อเสี่ยวเฮยมาถึงก็ล้มคะมำลงกับพื้น ‘เสี่ยวจง ข้าเองก็กำลังจะตายแล้ว เผ่ายักษ์ต้องสูญสิ้นลง เผ่ามนุษย์ก็เช่นเดียวกัน นี่เจ้าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกแล้วใช่หรือไม่’

เขาไม่ได้พูดจาและไม่ได้ขยับตัวอีก เพียงฟุบอยู่เคียงข้างเฟิงจงเช่นนั้นแล้วสิ้นลมไป ร่างกายของเขาหลอมรวมเข้าสู่พื้นพิภพอันกว้างใหญ่ เมื่อพื้นพิภพแตกระแหงป่นเป็นฝุ่นดิน ใบไม้เหี่ยวเฉาที่ปกคลุมอยู่โดยรอบก็กลบกลืนร่างของเฟิงจงไว้

ดวงดาราเคลื่อนคล้อยพากาลเวลาให้หมุนเวียนเปลี่ยนผัน กระทั่งผืนสมุทรและท้องทุ่งก็ล้วนเปลี่ยนแปลงไปจนสิ้น

ในที่สุดท่ามกลางกองใบเหี่ยวเฉากองนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมา เฟิงจงเห็นตนเองลุกขึ้นนั่งช้าๆ ด้วยรูปโฉมที่ย้อนวัยกลับไปเป็นสาวน้อย อาภรณ์สวรรค์บนร่างก็สูญสิ้นปราณวิเศษไปแล้ว ดูหลวมโพรกราวกับเป็นเพียงแค่เศษผ้า

นี่เป็นภาพจากความทรงจำของตัวนางที่ผสานเข้าไปในอำพันชิ้นนั้น

เฟิงจงมองดูตนเองในเวลานั้นยืนขึ้นอย่างงุนงง เหลียวมองดูรอบทิศอย่างงงงวย โดยที่ไม่รู้เลยสักนิดว่าคู่หูผู้ภักดีที่สุดนั้นได้สลายเป็นธุลีดินอยู่แทบเท้าของนางแล้ว

เพียงก้าวแรกที่ย่างเท้าเดินออกมา นางก็ได้เหยียบผ่านไปบนธุลีดินกองนั้น ดุจเดียวกับเมื่อแรกที่นางเหยียบยืนอยู่บนบ่าของเขาเพื่อทอดตามองดูพิภพมนุษย์

นางตื่นแล้ว…

แต่ก็สายไปเสียแล้ว…

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับรูปเล่ม)

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: