บทที่ 6
ชายาคังอ๋องที่เพิ่งแต่งเข้ามาสามารถสั่งการได้อย่างแคล่วคล่องว่องไว ประกอบกับมีผู้ดูแลที่ติดตามมาจากบ้านเดิมคอยทำหน้าที่ผู้ช่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ห้องหอที่ตบแต่งอย่างเป็นสิริมงคล แต่ถูกป่วนจนยุ่งไปรอบหนึ่งก็ได้รับการเก็บกวาดอย่างมีระเบียบ และกลับคืนสู่ความเงียบสงบดังเดิม
หลันกูกูนำสาวใช้ทุกคนออกจากห้อง และปิดประตูตามหลังให้อย่างเอาใจใส่
เวลานี้มู่ไคเวยถอดชุดแต่งงานสีแดงออกจากตัวและปลดมงกุฎไข่มุกลงจากศีรษะแล้ว
ข้างห้องนอนมีห้องชำระกายที่ใช้สำหรับอาบน้ำจึงมีน้ำร้อนสะอาดเตรียมพร้อมไว้ตลอดเวลา หญิงสาวไม่ได้ให้ใครมาปรนนิบัติ นางเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องชำระกายด้วยตัวเอง ตอนมู่ไคเวยกลับออกมาในชุดอยู่บ้านแบบเรียบง่ายสวมสบาย ฟู่จิ่นซียังนั่งอยู่บนเตียง แต่ถอดชุดเจ้าบ่าวสีแดงออกแล้ว
“ท่านอ๋องเพิ่งไอ ในเมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จ ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้ว เหตุใดยังไม่นอนอีก” เมื่อครู่ มู่ไคเวยช่วยลูบหลังให้ชายหนุ่มจนรู้สึกสบายขึ้น โชคดีที่เขาไอไม่นาน หาไม่นางก็คิดจะให้ผู้ดูแลไปตามหมอในงานเลี้ยงมา เนื่องจากหมอในสำนักแพทย์หลวงทุกคนต่างมาร่วมงานแต่งงานของคังอ๋องกันหมด
หญิงสาวรวบผมที่ปลายชื้นเล็กน้อยอย่างง่ายๆ แล้วเดินมาที่เตียง “เหนื่อยแล้วก็นอนสักครู่ เดี๋ยวพอเขายกอาหารเย็นมาให้ ข้าจะปลุกท่านขึ้นมากิน” น้ำเสียงของมู่ไคเวยอ่อนโยน บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ คล้ายกำลังพูดคุยอยู่กับสหาย มากกว่าจะเห็นบุรุษตรงหน้าเป็นสามีที่เพิ่งจะแต่งงานกันวันนี้
แต่อีกคนกลับทำเฉยไม่ได้ แม้จะไม่ได้แสดงออกชัดมาก แต่ความรู้สึกในใจกลับรุนแรงยิ่ง
คิดแล้ว ใบหน้าของฟู่จิ่นซีพลันแดงก่ำ ชายาของเขาไม่กลัว ไม่ทน และไม่หนีพวกพระญาติหญิงที่กลั่นแกล้งเขาซึ่งร่างกายอ่อนแอ และการที่องค์ชายห้าหลีอ๋องเมาแล้วบุกเข้าห้องหอก็เป็นโอกาสอันดีที่จะให้นางได้แสดงฝีมือสะสางทุกอย่างอย่างเปิดเผยตามแบบของหน่วยประตูหกบาน แม้หญิงสาวจะลาออกจากกลุ่มสี่ปักษีแล้วแต่ยังคงมีอำนาจบารมีเต็มเปี่ยม
ความรู้สึกที่ได้รับการดูแลจากคนที่เรามีใจให้เป็นเช่นนี้ มันรู้สึกอบอุ่นในอก และดีใจจนอยากจะยกมือขึ้นเกาหูเกาแก้ม
“ข้า…ข้ามีเรื่องอยากบอกเจ้า” ฟู่จิ่นซีขยับตัวเพื่อให้ข้างๆ มีที่ว่าง
มู่ไคเวยจึงนั่งลงอย่างไม่คิดมาก “เพคะ”
นางถือโอกาสหยิบผ้าห่มมาคลี่ห่อร่างบุรุษตัวผอมบางจนเหลือแต่หน้าโผล่ออกมาอย่างเดียว “เอาล่ะ เช่นนี้ดีขึ้นเยอะ เชิญท่านอ๋องว่ามาได้เลย”
หัวใจของฟู่จิ่นซีเต้นกระหน่ำรัวแรง เขาต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอกว่าจะหาวิธีพูดได้
“ขอบคุณมาก…เรื่องนั้น…ข้าอยากจะบอกว่าในที่สุด เราก็แต่งงานกันแล้ว ข้าไม่คิดเลยว่าใต้เท้ามู่จะเข้าวังไปสนองพระราชโองการและขอบพระทัยฝ่าบาท” ใต้เท้ามู่ที่เขาพูดถึงคือมู่เจิ้งหยาง “พอใต้เท้ามู่เข้าวังก็มีราชโองการออกมาในวันนั้น ทำให้เรื่องทุกอย่างเร่งรีบไปหมด…ข้าเคยสาบานกับเจ้าไว้แล้วว่าจะออกหน้าแก้ปัญหาให้ แต่ผลกลับทำให้เจ้าจำเป็นต้องแต่งงาน…ข้าไม่ดีเอง”
เขาผิดที่หักใจวางยานางไม่ได้ ไม่อาจทำให้นางเป็นโรคหลับไม่ตื่น ทั้งที่รู้ว่าจวนคังอ๋องมีบทบาทอะไรในสายตาฮ่องเต้ซิงอวี้ แต่เขากลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ ทั้งยังทำเป็นสุขภาพอ่อนแอ เพื่อเดินไปบนพื้นน้ำแข็งบางๆ นี้โดยลำพัง ทว่าในช่วงเวลาที่ควรตัดใจ เขากลับตัดใจจากโอกาสที่จะได้ครอบครองสตรีที่เขาเฝ้าปรารถนามานานหลายปีไม่ได้ เขาเพียงอยากไขว่คว้านางมาไว้ในมือโดยไม่ยอมปล่อยและไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน ด้วยปฏิภาณไหวพริบและความเฉลียวฉลาดของนาง เขาไม่มีทางปิดบังนางได้นานแน่ ไม่ช้าก็เร็ว มู่ไคเวยย่อมรู้เรื่องของเขาทุกอย่าง
ถึงตอนนั้น เมื่อนางรู้เรื่องในอดีตของเขาทั้งหมดแล้วนางจะมองเขาด้วยสายตาเช่นไรกันนะ
เฮ้อ ยิ่งพูด ฟู่จิ่นซียิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องจริงๆ
“คนผิดคือข้าต่างหาก” มู่ไคเวยพูดโพล่งขึ้นเพราะเห็นเนตรหงส์ที่เหมือนมีประกายน้ำ ทำให้นางอดใช้นิ้วเกาแก้มไม่ได้ “ข้านิสัยไม่ดี จู่ๆ ก็ลงไม้ลงมือ การที่ท่านอ๋องที่เป็นคนอ่อนโยนใจกว้างต้องมาอยู่กับข้าถือเป็นการเอาเปรียบท่านแล้ว…เอ่อ…ท่านอ๋องไม่ต้องตกใจนะ ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก ความหมายของข้าคือ…” นางย่นคิ้วคิดหนักนิดหน่อย “ตัวอย่างเช่นการป่วนห้องหอวันนี้ ถ้าเป็นคนนิสัยดีย่อมต้องอดทนให้มันผ่านไป แต่ข้ากร่างจนเคยตัวเลยทำให้เกิดเรื่องยุ่ง และท่านอ๋องต้องถูกพระญาติเอาไปพูดกันให้ทั่ว…”
ฟู่จิ่นซีอยากรวบร่างเจ้าสาวของตัวเองมากอดจริงๆ
เวลานางไม่ได้สวมชุดขุนนางสีดำทำให้นางดูตัวเล็กและอรชรมากขึ้น ยิ่งหญิงสาวทำตัวเรียบร้อยและพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความรู้สึก ยิ่งทำให้นางดูน่ารักกว่าเก่า ไม่ว่าจะมองที่ใดก็ล้วนน่าเอ็นดู ทำให้หัวใจของชายหนุ่มคันคะเยอจนแทบทนไม่ไหว…แต่เขาก็ต้องทนให้ได้!
ฟู่จิ่นซีต้องสะกดกลั้นความปรารถนาที่อยากจะกอดนางอย่างสุดชีวิตแล้วยื่นมือออกไปจากโปงผ้าห่มเพื่อกุมมือข้างหนึ่งของหญิงสาว เหมือนมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และเป็นไปตามธรรมชาติ
“ปล่อยให้พวกเขาพูดกันไปเถอะ ข้า…ข้าชอบให้เจ้าทุบตีเวลาไม่พอใจ เช่นนี้ล่ะดีแล้ว เพราะชายาข้าคืออสุราหน้าหยกแห่งเมืองหลวง ย่อมต้องเปี่ยมอำนาจบารมีเช่นนี้ ไม่ว่าเจ้าอยากซัดใคร ข้าล้วนไม่มีปัญหา”
มู่ไคเวยฟังแล้วถึงกับเลิกคิ้วขึ้นยิ้มๆ
ตอนถูกเขากุมมือ มู่ไคเวยรู้สึกว่าปลายนิ้วของชายหนุ่มค่อนข้างเย็น ทั้งที่มือของเขาซุกอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ แต่มันกลับไม่ได้อุ่นขึ้นเลย ไม่รู้ว่าร่างกายเขามีปัญหามากเพียงใด หญิงสาวแอบคิดแล้วรู้สึกหนักอึ้งในอก นางจึงเผลอใช้มือทั้งสองข้างจับมือที่ซีดจนมองเห็นเส้นเลือดสีเขียวของเขา แล้วนวดคลึงนิ้วเรียวที่ปราศจากสีเลือดทั้งสิบนิ้วเบาๆ
ว่ากันว่านิ้วมีเส้นเลือดที่เชื่อมต่อไปถึงหัวใจ พอถูกนวดมือเช่นนี้ นิ้วเท้าทั้งสิบในถุงเท้าของฟู่จิ่นซีเลยแอบหดเกร็ง หัวใจในโพรงอกข้างซ้ายกระเด้งกระดอนรุนแรงจนปวดซี่โครง เขารู้สึก…เหมือนจะหอบออกมาด้วยความรู้สึกซาบซ่านอย่างหน้าไม่อาย
ชายหนุ่มกัดกรามแน่น เนตรหงส์ฉ่ำน้ำ ต้องรีบซ่อนใบหน้าครึ่งหนึ่งเข้าไปไว้ในผ้าห่มเพื่อปรับลมหายใจสักพักกว่าที่น้ำเสียงทุ้มต่ำจะดังออกมาจากผ้าห่มว่า “เมื่อครู่ตอนที่หลีอ๋องเข้ามาฉุกละหุกมาก เจ้าไปเอากระบี่มาจากที่ใดกัน” ตอนนั้นฟู่จิ่นซีนั่งนิ่งอยู่บนเตียง เขาเห็นมู่ไคเวยแตะเอวตัวเองก่อนโผนร่างออกไปโดยมีอาวุธพร้อมอยู่ในมือแล้ว
มู่ไคเวยหัวเราะ ตามองชุดแต่งงานสีแดงสดกับมงกุฎไข่มุกที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ย “รูปแบบชุดแต่งงานซับซ้อนมาก ทบไปทับมา หากข้าอยากจะซ่อนกระบี่ไว้ที่เอวสักเล่มย่อมไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น” ประโยคสุดท้าย สีหน้าของหญิงสาวฉายแววภูมิใจ
นางพกดาบขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว พกดาบเข้าพิธีแต่งงาน และพกดาบเข้าห้องหอ
ใต้หล้านี้คงมีแต่ชายาเขาคนเดียวที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้
ฟู่จิ่นซีนึกขำอยู่ในใจ เนตรหงส์หรี่มองพวงแก้มสีท้อของหญิงสาวแล้วพลันได้ยินนางพูดเสียงเบา
“จะว่าไป…ถ้าศิษย์พี่ใหญ่กลับมาส่งตัวเจ้าสาว เขาต้องเป็นคนแบกข้าขึ้นเกี้ยวข้าคงถูกเขาจับได้แน่ แต่ตอนนี้เขาทำธุระบางอย่างอยู่ทางตะวันตก และกำหนดแต่งงานก็กระชั้นมากเลยทำให้เขามาไม่ได้…” มู่ไคเวยนิ่งไปนิดแล้วยืดไหล่ทั้งสองข้างขึ้น เหมือนจะจาระไนเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังว่า “แต่โชคดีที่ยังมีพี่น้องในหน่วยประตูหกบานที่สนิทกัน ทั้งปี้โถว พี่ใหญ่จิ่ง เถี่ยต่านและเอ้อร์หม่า พวกเขาจัดขบวนตามมาส่งเจ้าสาวด้วย ทำให้คึกคักมากขึ้น”
ม่านตาของฟู่จิ่นซีหดลง เขารู้สึกเย็นสันหลังวาบๆ เล็กน้อยว่าภรรยาที่เพิ่งแต่งเข้ามาหมาดๆ เพราะความเห็นแก่ตัวของเขากำลังพูดถึงศิษย์พี่ใหญ่ของนางด้วยสีหน้าไม่ปกติ มองผาดๆ เหมือนนางจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ถ้าพิศดูให้ดีจะพบว่าในความผิดหวังนั้นมีความคิดถึงอย่างลึกซึ้งปะปน
ชายหนุ่มจึงเลื่อนใบหน้าทั้งหมดออกจากโปงผ้าห่มและถามเหมือนชวนคุย “ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า เมิ่งอวิ๋นเจิงคือมือปราบเทวดาคนปัจจุบัน ทุกแคว้น ทุกชนเผ่า ทุกพื้นที่ของราชวงศ์เทียนเฉาและใกล้เคียงล้วนต้องทำตามแผ่นป้ายเหล็กนิลที่อยู่ในมือเขาทั้งสิ้น ว่ากันว่าเมิ่งอวิ๋นเจิงเคยบุกเดี่ยวทลายรังโจรที่มีจำนวนกว่าห้าร้อยคน และยังไล่ล่าคนร้ายที่เที่ยววางพิษสังหารขุนนางตามแคว้นต่างๆ แล้วพาตัวข้ามแคว้นมารับโทษได้สำเร็จ…ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมมาก”
ใบหน้ารูปไข่อ่อนเยาว์หันมามองเขา มู่ไคเวยพยักหน้ารัวๆ เหมือนทุบกระเทียม “ใช่ๆ ศิษย์พี่ใหญ่ข้าเก่งมากๆๆ จริงๆ! แม้แต่ท่านพ่อยังบอกเลยว่าเขาเก่งเกินหน้าอาจารย์ ท่านพ่อบอกว่าสมัยที่ท่านอายุเท่าศิษย์พี่ใหญ่ ฝีไม้ลายมือของท่านยังสู้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ นอกจากท่านพ่อแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนที่มีวรยุทธ์ร้ายกาจที่สุดที่ข้าเคยเจอ!”
ฟู่จิ่นซีต้องลอบกล้ำกลืนความรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ได้ยินชายาของตัวเองชมศิษย์พี่ใหญ่ว่าเก่งเช่นนั้นเช่นนี้ แต่แล้วจู่ๆ เขากลับเห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนไปจนอดถามไม่ได้ว่า “เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรหรือ”
มู่ไคเวยยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า “ไม่มีอะไร แค่จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เคยประมือกับบุรุษชุดดำสวมหน้ากากคนหนึ่ง วรยุทธ์ของเขาร้ายกาจมาก”
ชั่วขณะนั้น ฟู่จิ่นซีรู้สึกเหมือนได้รับพลังจนต้องพยายามกดมุมปากที่คอยแต่จะยกสูงขึ้นไว้อย่างสุดชีวิต “แค่ก…เช่นนั้นหรือ”
“อืม แต่ถ้าให้เทียบกันแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ข้ายังเก่งกว่าอยู่ดี”
“…” ฟู่จิ่นซีไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นพวกชอบเอาชนะ เพราะในใจของชายาเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นคังอ๋องหรือเฮยซานก็ยังสู้ท่านมือปราบยอดอัจฉริยะไม่ได้เช่นนั้นหรือ
เขาแสนอัดอั้นตันใจที่ตัวเองไม่มีแม้แต่โอกาสจะส่งเทียบเชิญเพื่อท้าสู้กับเมิ่งอวิ๋นเจิงอย่างเปิดเผย
ฝ่ายมู่ไคเวย นางมองใบหน้าหล่อเหลาซีดขาวที่หลบเข้าไปในโปงผ้าห่มอีกครั้ง เมื่อเห็นชายหนุ่มหลุบตาลง ประกายตาคล้ายคนจิตใจแหลกสลาย ทำให้นางต้องเคลื่อนกายเข้าไปใกล้เพื่อวางมือลงบนหน้าผากของเขา ก่อนจะลูบเส้นผมนิ่มสลวยเบาๆ สองครั้ง
ทำให้ท่านอ๋องที่กำลังอยากตายกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกครั้ง
มู่ไคเวยตกใจที่ตนเผลอไปลูบศีรษะและตบศีรษะผู้อื่นอย่างไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ซึ่งเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก ทว่าภาพสีหน้าเศร้าๆ ของเขาทำให้หัวใจของนางกระตุก
จังหวะที่นางกำลังจะดึงมือกลับมา ศีรษะอันสูงส่งของฟู่จิ่นซีกลับเป็นฝ่ายเข้ามาถูไถกับมือของนางก่อนที่เขาจะหันมาหาหญิงสาว
“ในสายตาข้า พระชายาคือคนที่เก่งที่สุด” น้ำเสียงนั้นแหบพร่า
“…เหตุใดจึงพูดเช่นนี้”
เขายิ้มแต่ไม่ตอบ เพียงกะพริบตามองนางปริบๆ นิ้วมือที่หญิงสาวนวดให้จนอุ่นขึ้นเปลี่ยนมากุมมือนางแล้วออกแรงบีบน้อยๆ ทำให้หัวใจของมู่ไคเวยสั่นสะท้าน ในสมองมีคำพูดประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติว่า
ในสายตาของคนรักเห็นเป็นซีซือ
นางจ้องหน้าชายหนุ่มแล้วรู้สึกว่าใบหูร้อนผ่าว แต่หลังชะงักไปชั่วอึดใจนางกลับหลุดขำ
เพราะหากนางกับคังอ๋องจะพูดจาภาษารักกันก็น่าจะเป็นความรักเช่นสหาย หรือตามหน้าที่ของสามีภรรยา ส่วนความรู้สึกเช่นชายหญิง…เวลานี้นางยังไม่รู้สึกเช่นนั้น แต่ต่อไปทุกอย่างน่าจะดำเนินไปเองตามธรรมชาติ
“ขอบคุณท่านอ๋องที่ชม” มู่ไคเวยพูดเสียงกลั้วหัวเราะ ดวงตาของทั้งสองคนสบประสานกัน นางพลิกมือกุมมือชายหนุ่ม กล่าวเสียงเน้นหนักเหมือนให้คำมั่นว่า “ในเมื่อท่านอ๋องไม่รังเกียจและมองเห็นความสำคัญกันเช่นนี้ ต่อไปเราสองคนก็มาเป็นพวกเดียวกัน ใช้ชีวิตร่วมกันดีกว่า หากมีใครแกล้งท่านย่อมเท่ากับแกล้งข้า ข้าจะออกหน้าให้ท่านเอง แม้ไม่อาจทำอย่างโจ่งแจ้งแต่ก็สามารถทำอย่างลับๆ ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดคิดว่าสามารถดูหมิ่นจวนคังอ๋องได้ง่ายๆ” หญิงสาวนิ่งไปนิดทำให้คนฟังนึกว่านางพูดจบแล้ว แต่มู่ไคเวยกลับโพล่งออกมาอีก “ท่านน่าจะรู้ว่าข้าได้รับการสอนสั่งจากท่านพ่อมาเยอะ และทำงานอยู่ในหน่วยประตูหกบานมาหลายปี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอุบายใต้โต๊ะ เพราะอุบายใต้โต๊ะต่างหากที่เรียกว่าเด็ดจริง ท่านเชื่อข้าหรือไม่”
“เชื่อ” ฟู่จิ่นซีรับคำอย่างไม่ลังเล
เพื่อเปิดโปงคนบงการที่อยู่หลังม่าน หญิงสาวถึงขั้นลอบวางแผนเผาคุกของศาลยุติธรรมเพื่อปล่อยให้คนร้ายแหกคุก
เพื่อสืบค้นเรื่องของอารามเป่าหวาที่ราชสำนักให้ความสำคัญ นางถึงกับสั่งให้คนแอบล้อมวัดเพื่อฉวยโอกาสสร้างเรื่องใหญ่
ตอนอยู่ในห้องแสดงธรรมวันนั้น เพื่อบีบคนร้ายตัวจริงให้ปรากฏตัว และทำให้หยวนเต๋อต้าซือกับไทเฮาเชื่อ นางถึงกับใช้วาจาแฝงนัยยั่วแหย่ ‘เจ็ดกวนแห่งอารามเป่าหวา’ จนคนร้ายยอมเผยตัวออกมาเอง
“ข้าย่อมต้องเชื่อเจ้าอยู่แล้ว” เขาพูดซ้ำ น้ำเสียงเหมือนกำลังทอดถอนใจ
มู่ไคเวยเห็นชายหนุ่มกระถดตัวเข้ามาใกล้พร้อมผ้าห่มก็ห่วงว่าเขาจะพลาดหล่นลงพื้นจึงยื่นมือออกไปขวางไว้ “…ท่านอ๋อง?”
“เอิ่ม ไม่เป็นไร ข้าแค่…แค่…” เขาตัวสูงกว่านางแต่กลับเผลอเอนตัวเข้าหาหญิงสาว ยิ่งได้ยินประโยคที่นางพูดเมื่อครู่ มันทำให้หัวใจของเขาเต้นโลดไปกระแทกโพรงอกทั้งซ้ายและขวา จนเขานึกอยากโผเข้ากอดและรัดร่างนางให้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันอย่างรุนแรง ความคิดนี้เรียกร้องหนักจนชายหนุ่มถึงกับตัวสั่น
แต่ไม่ได้ ต่อให้ทนไม่ได้ก็ต้องทน เขายังต้องทนก่อน
เพราะหากเขากลายร่างเป็นหมาป่ากระโจนเข้าหาลูกแกะตอนนี้ ย่อมเป็นการเปิดเผยและหักหาญนางเช่นหมาป่าตัวจริงแล้ว และตัวเขามิต้องเปลี่ยนเป็นลูกแกะที่ถูกนางเตะโด่งไปแทนหรือ แต่ฟู่จิ่นซีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อย่างไร!
“ข้าหิวแล้ว อาหารเย็นน่าจะมาแล้วกระมัง”
ในที่สุด ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมายาวเหยียด
แต่ไหนแต่ไรมากระดาษย่อมห่อไฟไม่มิด เรื่องที่เจ้าบ่าวไม่ออกไปต้อนรับแขกในงานเลี้ยงของจวนคังอ๋อง ไม่มีผู้ใดถือสา แต่หลังจากที่แขกสตรีที่เข้าไปป่วนห้องหอขึ้นรถม้าออกจากจวนคังอ๋องไปไม่นาน เรื่องที่องค์ชายห้าหลีอ๋องเมาสุราแล้วอาละวาดบุกเข้าไปในห้องหอจนถูกพระชายาคังอ๋องซัดด้วยกระบี่ลงไปนอนหมอบก็กระจายออกไปเหมือนไฟลามทุ่ง
แม้จะเป็นเรื่องที่มีการคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่ยิ่งมีการเล่าลือไปเรื่อย เนื้อหาก็ยิ่งเตลิดเปิดเปิงถึงขั้นที่ว่า สาเหตุที่คังอ๋องไม่ออกมาต้อนรับแขกเป็นเพราะหวาดกลัวฤทธิ์กระบี่จนโรคเก่ากำเริบ
บ้างก็บอกว่าอสุราหน้าหยกสามารถสยบดาวปีศาจนำเคราะห์ได้จริง จนถึงถึงขั้นสิ้นสภาพ ผู้อื่นเป็นมีดและเขียง ข้าพเจ้าเป็นเนื้อปลาบนเขียง ส่วนเรื่องที่ว่าด่านเข้าหอที่แสนยากลำบากนั้น ผู้ใดเป็นมีดเขียง ผู้ใดเป็นเนื้อปลา ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้กันดี
แม้จะออกจากตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสี่ปักษีแห่งหน่วยประตูหกบานแล้ว แต่มู่ไคเวยยังคงมีเครือข่ายข่าวสารลับๆ ของตัวเองอยู่ทำให้นางรู้เรื่องข่าวลือที่สะพัดอยู่ในเวลานี้อย่างรวดเร็ว แม้นางจะไม่แยแส…แต่ไม่รู้ว่าท่านอ๋องของนางจะคิดอย่างไร
เมื่อสองวันก่อน หญิงสาวเผอิญได้ยินบ่าวสูงวัยที่ชื่อเหล่าเซวียรายงานเรื่องนี้ให้ฟู่จิ่นซีทราบ น้ำเสียงของเหล่าเซวียปราโมทย์อย่างที่สุด เขาเล่าเรื่องที่คนลือกันให้ผู้เป็นนายฟังอย่างละเอียดยิบ พร้อมทำท่าประกอบ
ตอนนั้นมู่ไคเวยคิดว่าถ้าฟู่จิ่นซีรับไม่ได้และอยากพิสูจน์ตัวเอง นางจะช่วยเขาอย่างไร คิดไม่ถึงว่าพอเขาฟังเหล่าเซวียเล่าจบ สีหน้าเขากลับฉายแววฉงน “จริงหรือ พวกเขาพูดถึงข้าเช่นนี้เองหรือ มีอีกหรือไม่”
“…พวกนั้นบอกว่าข้าถูกมัดติดเตียง แถมถูกผ้าแพรแดงที่แต่งห้องหอมัดขึงพืด ทำให้ออกไปรับแขกไม่ได้หรือ อา ผู้ใดหนอช่างคิดออกมาได้ เหตุใดช่างตรงใจข้าเหลือเกิน…แค่กๆ ข้าหมายถึงเหตุใดถึงได้แต่งเรื่องน่าชวนหัวเช่นนี้ออกมาได้”
จริงด้วย น่าขำจริงๆ
เพราะในคืนแต่งงาน หลังจากที่สองสามีภรรยาในนามกินอาหารเย็นในห้องหอเสร็จแล้ว พวกเขาก็ต่างคนต่างอาบน้ำอย่างง่ายๆ และนอนลงบนเตียง…ต่างคนต่างหลับ
สำหรับมู่ไคเวย การมีบุรุษหลับอยู่ข้างกายเป็นเรื่องที่สบายมาก เพราะทุกครั้งเวลาออกนอกหน่วยประตูหกบานไปปฏิบัติภารกิจซุ่มดักคนร้าย มือปราบใหญ่น้อยต้องสลับเวรกันเพื่อพักผ่อน ทำให้เวลาที่นางหลับตาพักเอาแรงมักจะมีบุรุษร่างใหญ่เล็กคอยกอดอาวุธนั่งหรือนอนอยู่รอบตัว การพิงตัวกันหลับจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย
ด้วยเหตุนี้ถึงจะมีบุรุษมาแบ่งพื้นที่เตียงกับนางในคืนแต่งงาน มู่ไคเวยก็ยังคงหลับสนิทดีมาก
เพียงแต่ยามที่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วหันไปเห็นคังอ๋องที่เอาแต่นอนตะแคงอยู่ท่าเดียวเมื่อคืน หัวใจของนางพลันสะดุด
เพราะเขางอแขนข้างหนึ่งรองศีรษะต่างหมอนและนอนตะแคงหันหน้ามาหานาง ร่างสูงเพรียวขดตัวเล็กน้อยอยู่ตรงขอบเตียง
ท่านอนเช่นนั้นเหมือนเขากลัวว่าจะมาโดนหรือเบียดนาง ทำให้มู่ไคเวยมีพื้นที่กว้างพอที่จะกางแขนเหยียดขาได้ตามสบาย ในขณะที่ชายหนุ่มเหมือนจะเอาตัวเองเป็นตัวกัน เพื่อให้นางกลิ้งอยู่ในพื้นที่เล็กๆ นี้ได้อย่างปลอดภัย
ระหว่างที่หญิงสาวกลั้นใจมองจ้องเขาเพื่อพิจารณาสถานการณ์ ฟู่จิ่นซีกลับทำเสียงงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์แล้ว…เปลี่ยนท่านอนด้วยการพลิกตัวไปอีกด้าน!
โชคดีที่นางตาไวมือไวเลยโผเข้าไปรั้งตัวเขากลับมาได้ทัน และกอดชายหนุ่มไว้เต็มอ้อมแขน
แต่แน่นอนว่าเขารู้สึกตัวตื่นทันทีที่ถูกกอด
มู่ไคเวยรับรู้ได้ว่านางกำลังทับฟู่จิ่นซีเต็มๆ และเพราะกลัวว่าจะทับเขาแบน นางจึงคิดจะถอยห่างออกไปแต่กลับได้ยินเสียงเขาหัวเราะอย่างโง่งมเหมือนคนยังไม่ตื่นจากหลับว่า “ในที่สุด…ข้าก็กอดเจ้าได้แล้ว ใช่หรือไม่”
หญิงสาวถอยไปไม่ได้เพราะคังอ๋องกางแขนออกรัดร่างนางไว้แนบอกทันที
และไม่เพียงแค่นี้ เพราะเขายังซุกหน้าหล่อเหลาที่ขาวซีดอย่างคนป่วยแต่ตอนนี้เริ่มมีสีแดงระเรื่อเข้ามาที่ซอกคอของนาง พร้อมพลิกร่างกดนางลงกับเตียงอย่างไม่ยอมให้เหลือช่องว่างระหว่างกัน
“เวยเวย…เวยเวย…เจ้าดีต่อข้าเหลือเกิน ดีมาก…ดีมากๆ…หอมเหลือเกิน…” เขาละเมอแล้วนอนนิ่งไม่ขยับอีก
สมองของมู่ไคเวยคิดวิธี ‘เหวี่ยงคน’ ออกมาได้เจ็ดแปดวิธี แต่สุดท้าย นางกลับไม่ได้ใช้สักวิธี
เวยเวย?!
เขาเรียกนางว่า…เวยเวย
นั่นมันชื่อเล่นที่ท่านแม่ตั้งให้ และมีแต่ท่านแม่เท่านั้นที่เรียกนางเช่นนี้ ท่านแม่เพียงคนเดียว
แต่ฟู่จิ่นซีกลับเรียกชื่อนี้ด้วยน้ำเสียงอู้อี้เหมือนเขาเคยเรียกอยู่ในใจมานับครั้งไม่ถ้วนจนคล่องปาก
และทำให้ลมหายใจของนางสะดุด ขอบตาร้อนผ่าวอย่างใกล้จะห้ามตัวเองไว้ไม่อยู่
สุดท้ายมู่ไคเวยเลยถูกชายหนุ่มกึ่งกดกึ่งกอดอยู่อย่างนั้น คู่แต่งงานใหม่เอาแต่นอนขี้เกียจอยู่บนเตียงอย่างไม่มีใครยอมขยับในเช้าหลังวันเข้าหอจนหญิงสาวเผลอหลับไปอีกเมื่อไรก็ไม่ทราบ และหลับยาวไปถึงเที่ยงกว่าจะตื่น
หมดแล้วหมดกัน หมดอย่างไม่เหลืออะไรเลย
ราตรีวสันต์มีค่าพันตำลึงทอง นี่เท่ากับหมดไปพันตำลึงทองเลยสินี่
ในคืนเข้าหอของคังอ๋อง คนสองคนที่ควรจะหลงวนอยู่ในห้วงเสน่หากลับนอนกลิ้งไปกลิ้งมาเช่นนี้ มีเรื่อง ‘มัดติดเตียง’ เสียที่ใด และอะไรคือการ ‘ถูกผ้าแพรแดงที่แต่งห้องหอมัดขึงพืด’?
แต่ในเมื่อคังอ๋องไม่ได้อยากแก้ต่างให้ตัวเอง มู่ไคเวยเลยไม่สนใจ
ช่วงระยะเวลาหลายวันที่คู่แต่งงานใหม่น่าจะได้เฝ้าเคลียคลอกัน มู่ไคเวยที่เป็นพระชายาคังอ๋องหมาดๆ กลับมีงานยุ่งมาก เพราะภายใน แม้งานในจวนคังอ๋องจะมีหลันกูกูกับหัวหน้าพ่อบ้านคอยช่วย แต่ยังมีปัญหาใหม่ๆ ที่นางต้องสะสางเองไม่น้อย นอกจากนี้หญิงสาวยังต้องสืบหาข้อมูลจากคนในจวนทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ด้วยความหวังว่าจะเจอเบาะแสที่เกี่ยวกับเฮยซานสักเล็กน้อย
ส่วนภายนอก แม้มู่ไคเวยจะลาออกจากกลุ่มสี่ปักษีแล้ว แต่ยังมีคดีอีกหนึ่งถึงสองคดีที่ยังไม่ได้รับการสะสาง โดยเฉพาะคดีของอารามเป่าหวา กวนชินผู้มีอาวุโสอยู่ในเจ็ดกวนแห่งอารามเป่าหวายังอยู่ในช่วงหลบหนี ในขณะที่กวนจื่อที่เป็นพี่ใหญ่เสียชีวิตแล้ว ทำให้กวนชินกลายเป็นบุคคลสำคัญของคดีนี้ไปโดยปริยาย
เนื่องจากกระบี่ของหน่วยประตูหกบานยังอยู่ในมือนาง มู่ไคเวยจึงมองว่าตนเองยังคงเป็นคนของหน่วยประตูหกบานอยู่ แม้จะไม่สามารถออกไปทำคดีได้เหมือนเมื่อก่อน แต่นางยังคงรักษามิตรภาพอันแน่นแฟ้นกับมือปราบใหญ่น้อยที่กระจายตัวอยู่ในที่ต่างๆ ในเมืองหลวงของหน่วยประตูหกบานเอาไว้
ส่วนคังอ๋องที่เป็นคนข้างหมอนและเพื่อนกินข้าว มู่ไคเวยรู้สึกว่านางปฏิบัติต่อเขาอย่างเหมาะสมดีแล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันเลย เนื่องจากคังอ๋องเป็นคนชอบอยู่นิ่งๆ และออกจากบ้านน้อยมาก
แต่หลายครั้งที่นางชวนเขาออกนอกบ้าน ชายหนุ่มจะรับคำทันที และไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาตื่นเต้น ดีใจหรือเป็นเพราะอะไร ใบหน้าหล่อเหลาแต่ขาวซีดของเขาก็จะเริ่มมีสีแดงระเรื่อให้เห็นเล็กน้อย คล้ายดีใจมากที่ได้อยู่กับนาง
ทุกเช้า มู่ไคเวยจะไปฝึกยุทธ์ในสวนหน้าเรือนหลัก หากคังอ๋องไม่ถือหนังสือไปนั่งอ่านที่ระเบียงก็จะยกกระดานหมากไปเดินหมากคนเดียว
บางครั้ง มู่ไคเวยจะเดินหมากกับเขา เพียงแต่นางไม่เก่งเรื่องเดินหมากจึงแพ้ทุกรอบ ทำให้หญิงสาวเกิดอารมณ์อยากเอาชนะ ทุกคืนก่อนนอนเลยต้องเอาตำราเดินหมากมาศึกษา ว่ากันว่าตำราเดินหมากราคาแพงลิบลิ่วพวกนั้นมีเพียงเล่มเดียว แต่นางกลับสามารถปล้นมันออกมาจากห้องหนังสือของคังอ๋องจนได้
พวกเขากินอาหารร่วมกันวันละสามมื้อ หากมู่ไคเวยออกไปทำธุระข้างนอก นางก็ต้องรีบกลับมากินอาหารกับคังอ๋อง แต่ถ้าหากกลับไม่ทันจริงๆ นางก็ต้องให้คนกลับไปแจ้งที่จวนก่อน
การแต่งงานไม่ได้ทำให้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไปมากนัก
จากเดิมที่นางกลับไปกินข้าวกับท่านพ่อที่บ้านก็มีใครอีกคนคอยกินข้าวกับนางอยู่ที่จวนแทน ต่างฝ่ายต่างอยู่เคียงข้างกันและกัน และคังอ๋องก็เป็นคนดีมากจริงๆ
ส่วนคนอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในจวน เท่าที่เห็นมาจนตอนนี้…ก็เหมือนจะดีเหมือนกัน
“พระชายาอยากรู้เรื่องอะไร มาถามข้าล่ะถูกที่สุดแล้ว เพราะข้ารู้จักสาวใช้และบ่าวไพร่ในจวนอ๋องทุกคน ซ้ำยังสนิทกันมากด้วย ท่านอ๋องเป็นคนดีมีเมตตา เห็นข้าอายุมาก เดินเหินไม่สะดวกเลยให้ข้าคอยดูแลสวนสมุนไพรที่เรือนด้านหลัง วันๆ ไม่ต้องทำอะไรเยอะ พอจัดการงานของตัวเองเสร็จก็ไปหาคนนั้นคนนี้ได้ทุกวัน ทำให้ข้ารู้เรื่องอะไรต่อมิอะไรในจวนเยอะกว่าพ่อบ้านและผู้ดูแลคนอื่นๆ อีก”
คนดูแลสวนสมุนไพรที่เรือนด้านหลังคือท่านยายชิง นางมีใบหน้ากลม รูปร่างผอมบาง และเป็นคนคุยเก่งชนิดพอได้เปิดปากแล้วเป็นหยุดไม่ได้ ทำให้หลายวันที่ผ่านมา มู่ไคเวยเลียบเคียงเรื่องส่วนตัวของหลายๆ คนในจวนอ๋องจากอีกฝ่ายได้ไม่น้อย ทำให้นางสามารถจัดการคนและธุระต่างๆ ในจวนอ๋องได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
เวลานี้ มู่ไคเวยเดินมาสวนสมุนไพร นางอ้างว่าอยากมาดูว่าที่สวนสมุนไพรปลูกต้นอะไรไว้บ้าง และชวนท่านยายชิงคุยเล่นเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
หลังฟังคำถามของนาง ท่านยายชิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจดี “ใช่แล้วเจ้าค่ะ หลังจากที่ท่านอ๋องกับพระชายาไปเกิดเรื่องข้างนอกได้หนึ่งปี ท่านอ๋องที่ตอนนั้นอายุแค่แปดเก้าขวบก็กลับมาที่เมืองหลวง นอกจากจะมีบ่าวรับใช้ชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งติดตามมาด้วยแล้ว ยังมีแม่เฒ่าอีกคนจริงๆ…อ้อ ที่แท้พระชายาก็ห่วงท่านอ๋องนี่เอง ดีแล้วเจ้าค่ะ ดีแล้ว คนเป็นสามีภรรยากันต้องห่วงกันเช่นนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้พระชายาถามว่าบ่าวรับใช้ชายที่ตามท่านอ๋องมาคือใคร ข้าได้บอกและชี้ให้ท่านดูแล้ว ส่วนแม่เฒ่าที่ท่านถามถึงวันนี้ หุๆ ข้าสารภาพก็ได้ว่าข้ารู้จักนางเจ้าค่ะ”
ตอนเกิดเหตุการณ์ปล้นชิงที่ซานชวนโข่วเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ฟู่จิ่นซีที่ยังเยาว์วัยได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ ถามไม่ได้ความอะไรเลย มู่ไคเวยจึงตั้งใจไปสอบถามจากคนที่อยู่ข้างกายเขาในตอนนั้นแทน ซึ่งก็คือพ่อบ้านชราที่ชื่อเหล่าเซวีย เขามีตำแหน่งพิเศษอยู่ในจวน แม้จะไม่ได้เป็นหัวหน้าพ่อบ้าน แต่ก็มีอำนาจเหนือคนอื่นๆ
นางตามตัวเหล่าเซวียมาสอบถามเรื่องการปล้นชิงที่ซานชวนโข่ว เหล่าเซวียให้ความเคารพนบนอบนางอย่างมาก มู่ไคเวยถามอะไร เขาก็ตอบตามนั้น เพียงแต่เนื้อหาที่ได้ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสิ่งที่หญิงสาวอยากรู้มากนัก
“เรียนพระชายา พวกโจรสลัดมีจำนวนมากและโอบล้อมกันเข้ามา เหตุการณ์ในตอนนั้นชุลมุนมาก ท่านอ๋องกับพระชายาสั่งให้ข้าอุ้มท่านอ๋องที่ตอนนั้นยังเป็นแค่ซื่อจื่อหนี ข้าเลยวิ่งสุดชีวิต บนชายฝั่งแถวซานชวนโข่วมีดงต้นกกสูงเท่าเอวคน พวกเราเลยมุดเข้าไป มุดแล้วมุดอีก มุดจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด แล้วจู่ๆ ข้างหน้าก็มีแสงสว่าง ทำให้ข้าได้พบกับที่พักของหมอเทวดา สวรรค์ช่างปรานีพวกเราแท้ๆ”
มู่ไคเวยบอกไม่ได้ว่ามีสิ่งผิดปกติที่ใด แต่สัญชาตญาณของนางบอกว่ามันมีบางสิ่งแปลกๆ
เหล่าเซวียตอบอย่างไม่ต้องหยุดคิดและไหลลื่นดีมาก คล้ายรู้แต่แรกแล้วว่าจะต้องถูกถามคำถามนี้เลยเตรียมคำตอบเอาไว้พร้อมสรรพ
ทว่า…หญิงสาวกลับไม่รู้สึกถึงเจตนาร้ายที่แอบแฝงอยู่
และไม่เพียงไม่มีเจตนาร้าย หากตอนที่ร่างเตี้ยล่ำ หลังค่อมนิดๆ ของเหล่าเซวียยืนตอบคำถามนาง เขาคอยช้อนสายตามองมู่ไคเวยเป็นระยะ จากสายตาและท่าทางเช่นนั้นเหมือนเขาอยากจะมองนางให้ละเอียด แต่ด้วยฐานะของบ่าวทำให้เขาไม่กล้าเสียมารยาทถึงเพียงนั้น
เมื่อหมดคำถาม มู่ไคเวยสังเกตเห็นเหล่าเซวียแอบก้มหน้าปาดเหงื่อทำให้นางรู้สึกแปลกใจและอดคิดไม่ได้ว่าตนเผลอวางมาดของหน่วยประตูหกบานยามปฏิบัติงานออกไปหรือไม่ ถึงได้ทำให้บ่าวอาวุโสตกใจเช่นนี้
มู่ไคเวยจึงวางมือจากเหล่าเซวียชั่วคราวและวางแผนจะถามผู้อื่นแทน
“บ่าวหญิงอาวุโสที่พระชายาถามคนนั้นอยู่ที่ใดหรือ ทางนั้นไงเจ้าคะ นางนั่นล่ะ” ท่านยายชิงยืดแขนยาวเพื่อใช้นิ้วผอมๆ ชี้ให้นางดู
มู่ไคเวยมองตามไปก็พบว่ามีบ่าวหญิงอาวุโสอายุเกือบเจ็ดสิบปี รูปร่างค่อนข้างเตี้ยและอ้วนคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ ใช้เสียมพลิกดินอยู่อีกด้านของสวนสมุนไพร
ท่านยายชิงบอกอีกว่า “แต่ถ้าพระชายาอยากถามอะไรนางเกรงว่าคงยาก เพราะทุกคนในจวนคังอ๋องต่างเรียกนางว่านางใบ้…นางหูหนวกและเป็นใบ้มาตั้งแต่เกิด ทั้งยังไม่รู้หนังสือ แต่นางทำสวนเก่งมาก ก่อนหน้านี้นางเป็นคนดูแลต้นไม้ใบหญ้าในจวนทั้งหมด ทว่าตอนนี้สุขภาพของนางทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ท่านอ๋องเลยย้ายนางให้มาอยู่ที่เรือนด้านหลังเพื่อปลูกสมุนไพรกับพวกบ่าวอาวุโสแทน”
…หูหนวกและเป็นใบ้ตั้งแต่เกิด ทั้งยังไม่รู้หนังสือ? มู่ไคเวยชะงัก
ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องลองดู ลองทำไม้ทำมือกับวาดภาพเอา…คงได้กระมัง
“ขอบคุณท่านยายชิงมาก ข้าทราบแล้ว” มู่ไคเวยสูดลมหายใจเข้าปอดลึก พร้อมกับกำหมัดและยกเท้าเตรียมเดินเข้าไปหานางใบ้
แต่บ่าวรับใช้คนหนึ่งกลับรีบวิ่งมาที่สวนสมุนไพรของเรือนด้านหลัง พอเจอมู่ไคเวยก็รีบโค้งกายคารวะแล้วเอ่ยเสียงดัง “เรียนพระชายา หลันกูกูบอกว่าจัดห้องนอนในเรือนหลักตามความต้องการของพระชายาเรียบร้อยแล้ว ขอให้พระชายากรุณากลับไปดูด้วย เผื่อว่ายังมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง”
เท้าที่กำลังจะก้าวออกไปข้างหน้าของมู่ไคเวยจึงหยุดชะงัก และคิดว่าการสอบถามนางใบ้อาจต้องใช้เวลานานมาก ทั้งยังต้องจัดหาพู่กัน หมึก กระดาษสำหรับวาดภาพ ในขณะที่ถามอีก เช่นนี้การทำงานจึงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น คิดได้ดังนี้ มู่ไคเวยก็ก้าวยาวๆ ออกจากสวนสมุนไพร เพื่อกลับไปที่เรือนหลัก
“แหม…พระชายาของเราเดินไวเหมือนดาวตกจริงๆ” ท่านยายชิงกล่าวชมอย่างจริงใจ ยิ้มตาหยีจนหางตาทั้งสองข้างยับย่น ขณะที่นางใบ้ที่อยู่อีกด้านไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา นางเอาแต่พลิกดินต่ออย่างเอาจริงเอาจัง
“ขอร้องล่ะขอรับท่านอ๋อง สิ่งใดควรบอกก็รีบบอกๆ ออกไปเถอะ ท่านถ่วงเวลาไว้เช่นนี้มันสนุกนักหรือ” เหล่าเซวียพร่ำพูดด้วยความหวังดี
สนุกสิ! สนุกจนไม่รู้จะสนุกอย่างไรเลย…แค่กๆ ชายหนุ่มผู้เป็นประมุขของบ้านยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วสะบัดศีรษะเพื่อสลัดความคิด ‘ไม่ดีไม่งาม’ ออกจากสมอง “ข้าไม่ได้ถ่วงเวลา แต่กำลังหาโอกาสเหมาะๆ อยู่”
มู่ไคเวยเข้าใจว่าเขาสุขภาพร่างกายอ่อนแอถึงได้ยอมลงให้ และปล่อยให้เขาได้นอนร่วมเตียงเดียวกับนาง เพราะนางมั่นใจว่าแค่ขยับนิ้วก็สามารถกำราบเขาได้แล้ว ดังนั้น ตอนที่ถูกเขาพุ่งเข้ากอดและจับกดลงกับเตียง นางจึงไม่ขัดขืน ทั้งยังอยู่กินข้าวเป็นเพื่อนเขาทุกวัน ฝึกวรยุทธ์ให้เขาดู เดินหมากกับเขา แล้วยังชวนเขาไปเที่ยวอีกด้วย นางตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูดและตอบเขาอย่างจริงจัง
เขาเข้าใจดีว่านางค่อนข้างรักถนอมเขา
แต่เวลานี้ นางยังไม่ได้มีจิตพิศวาสเขา ทั้งหมดเป็นแค่ความรู้สึกเห็นใจ ทว่าหากเขาเปิดเผยทุกสิ่งให้นางรู้แล้ว ความรู้สึกเห็นใจทั้งหมดนี้จะหายไปหรือไม่
เหล่าเซวียไม่รู้ว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่จึงก้มหน้า ระบายลมหายใจ “เฮ้อ วันนั้นพระชายามาถามข้าเรื่องที่ซานชวนโข่ว ท่านอ๋อง ข้าอึดอัดคับใจ อยากจะเล่าเรื่องความกล้าหาญของมารดานางให้ฟังอย่างหมดไส้หมดพุงจริงๆ! แต่ในเมื่อท่านอ๋องไม่พูด ข้าก็พูดไม่ได้ มันทรมานเหลือเกิน หวังว่าเราคงไม่ต้องทำเช่นนี้กันนานนะขอรับ”
“…ข้ารู้แล้ว” คำบ่นของเหล่าเซวียฟ้องว่าความผิดทั้งหมดอยู่ที่เขา ฟู่จิ่นซีจึงต้องรับฟังคำสั่งสอนอย่างสงบ
“ยังมีอีกเรื่องคือยายเฒ่าเซียนพิษคนนั้นบอกว่านอกจากเรื่องที่ซานชวนโข่วแล้ว ดูเหมือนพระชายากำลังสืบหาตัวใครคนหนึ่ง”
ตอนแรกฟู่จิ่นซีจะบอกให้เหล่าเซวียเรียกสตรีคนนั้นใหม่ว่าผู้อาวุโส แต่พอได้ยินคำพูดประโยคสุดท้าย หัวใจของเขากลับกระตุกจนต้องเอ่ยถาม “ใคร”
เหล่าเซวีย “เจ้าแม่พิษบอกว่าสองสามวันนี้ พระชายาแอบมองบ่าวรับใช้ทุกคนในจวน แม้แต่คนดูแลบ้านไม่ว่าจะตำแหน่งเล็กใหญ่ก็ยังไม่เว้น นางสอบแล้วสอบอีก โดยเฉพาะคนที่เป็นชายหนุ่ม รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาดีและมีผมดำยาวจะถูกนางสอบหนักเป็นพิเศษ…เจ้าแม่พิษบอกว่าพวกคนในจวนที่ถูกเพ่งเล็งล้วนมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับท่านอ๋องมาก บางที…นางอาจจะกำลังหาตัวท่านอ๋อง”
“ข้าหรือ?!”
“ท่านอ๋องคงไม่ได้ออกไปแสดงฝีมือไว้มากจนถูกสะกดรอยใช่หรือไม่”
“ข้า…ไม่ได้ทำ…” เขาสลัดนางทิ้งจนไกลลิบแล้วค่อยกลับจวนมิใช่หรือ
เหล่าเซวียโบกมือ “ช่างเถอะ ไม่ว่าจะทำจริงหรือไม่ ท่านอ๋องก็ต้องรีบสารภาพความจริงทั้งหมดออกไป พระชายาเคยทำงานอะไร ใช่ว่าท่านอ๋องจะไม่รู้ ยิ่งนางตามสืบชนิดกัดไม่ปล่อยเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องรู้ความจริงแน่นอน”
ศีรษะของท่านอ๋องลดต่ำมากขึ้น “ข้า…เข้าใจแล้ว”
ทันใดนั้น
“เข้าใจเรื่องอะไรหรือ” เสียงดังมาจากนอกห้อง
เมื่อมู่ไคเวยก้าวยาวๆ เข้ามาในเรือนหลัก ก็เห็นคังอ๋องมีอาการคอตกอย่างหมดอาลัยตายอยาก โดยมีเหล่าเซวียคอยปลอบใจอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าลำบากใจ แต่ไม่รู้ว่ากำลังปลอบกันเรื่องอะไร
“พระชายา” เหล่าเซวียรีบทำความเคารพ เขางอเอวลงต่ำกว่าเดิมแล้วรีบตอบแทนท่านอ๋องของตนว่า “เรียนพระชายา คือ…ท่านอ๋องไม่ชอบยาขมๆ เลยไม่ยอมกินยา ข้าพยายามปลอบ พยายามกล่อมจน…ท่านอ๋องคิดตกและเข้าใจแล้ว รู้ว่าต้องกินยาตามเวลาถึงจะดี ท่านอ๋องเลยบอกว่าเข้าใจแล้ว แต่…ยังไม่ยอมดื่มยา เรื่องมันเป็นเช่นนี้ล่ะขอรับ” สวรรค์ เหงื่อแตกเต็มหลังเขาแล้ว!
มู่ไคเวยผงกศีรษะ “เช่นนี้นี่เอง”
หญิงสาวมองยาสีดำมะเมื่อมก่อนช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าซีดเผือดของคังอ๋อง นางยกมือทั้งสองข้างขึ้นเท้าเอวแล้วยิ้มนิดๆ “ดื่มยาสิ”
“ได้” ฟู่จิ่นซีปฏิบัติตามอย่างรวดเร็ว เขายกถ้วยยากระเบื้องสีขาวขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด โดยไม่ใช้ช้อนตัก
อึกๆๆๆ…อึกๆๆๆ…นี่เป็นยาที่ผู้อาวุโสหญิงจัดให้เขาเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง มีประโยชน์ต่อพลังปราณในการฝึกยุทธ์มาก ยาอุ่นๆ ไหลลงคอล่วงลงไปในกระเพาะของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
เวลาอยู่ต่อหน้าพระชายา คังอ๋องว่าง่ายมาก ไม่หือไม่อือแม้แต่น้อย
เหล่าเซวียที่ยืนมองอยู่ที่ด้านข้างรู้สึกมีเหงื่อเย็นๆ แตกเต็มแผ่นหลัง ในใจรู้สึกชื่นชมและยินดีไปกับท่านอ๋องจนหน้าแก่ๆ แดงเรื่ออย่างไม่อาจควบคุม
หนึ่งเค่อให้หลัง
พอฟู่จิ่นซีดื่มยาทั้งชามหมดก็ส่งชามกระเบื้องสีขาวที่ว่างเปล่าให้เหล่าเซวียนำไปเก็บ
เหล่าเซวียจึงถอยออกจากห้องโถงของเรือนหลักไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ฟู่จิ่นซีลุกตามมู่ไคเวยเข้าไปในห้องนอน
เห็นมู่ไคเวยนั่งลงบนเตียงแล้ว ชายหนุ่มก็นั่งลงบนเตียงด้วย
เมื่อนางมองมา เขาก็มองตอบ
“ท่านอ๋องรู้หรือไม่ว่าหลันกูกูของข้าไปที่ใด ข้านึกว่านางคอยข้าอยู่ที่เรือนหลัก แต่กลับไม่เห็นนางเลย” หญิงสาวถามพลางใช้หลังมือข้างหนึ่งเช็ดมุมปากให้เขา
ฟู่จิ่นซีจึงจับมือนางไว้ตามสัญชาตญาณและพบว่าหลังมือของหญิงสาวเปื้อนยา ทำให้เขาเข้าใจได้ว่านางช่วยเช็ดปากให้ หัวใจของชายหนุ่มพลันอ่อนยวบลง และมุมปากเผลอยกสูงขึ้น
เสียงนุ่มๆ ของฟู่จิ่นซีติดจะแหบพร่าเล็กน้อย “ดูเหมือนหลันกูกูของพระชายาจะมีความเห็นต่างกับหัวหน้าพ่อบ้านเซ่าจอมเย็นชาและเอาแต่ใจของจวนข้า หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาคัดง้างกันตลอด ใครก็ช่วยพูดให้ไม่ได้…เมื่อครู่หัวหน้าพ่อบ้านเซ่ามา ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ใด หลันกูกูเลยทำหน้าตึงตามเขาไป เวลานี้พวกเขาสองคนน่าจะไปประมือกันอยู่ที่เรือนด้านหน้ากระมัง”
มู่ไคเวยอดคิดไม่ได้ว่าอ๋องหนุ่มผู้นี้ช่างใช้ชีวิตอย่างแสนสบายเหลือเกิน เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ใด เขายังไม่คิดจะถาม ทั้งที่หัวหน้าพ่อบ้านของจวนเขากับบ่าวหญิงคนสนิทของนางไม่ถูกกัน ฟู่จิ่นซีก็ยังไม่ถามถึงเหตุผล แต่ปล่อยให้ทั้งสองคนลงไม้ลงมือกันตามสบาย
“ท่านอ๋องไม่ได้ถามหรือ”
ฟู่จิ่นซีหยุดคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่งพลางกลอกตาไปมา “เอาไว้ให้พวกเขาสองคนตีกันเสร็จแล้ว ยังมีปัญหาที่สะสางกันไม่ได้อยู่อีก ข้าค่อยถาม”
มู่ไคเวยทั้งฉิวทั้งขำ จนนึกอยากซัดชายหนุ่มสักทีเหมือนเวลาที่นางต่อยตีกับพวกพี่น้องในหน่วยประตูหกบานแบบเจ้าหนึ่งหมัด ข้าหนึ่งหมัด แต่ถ้านางซัดฟู่จิ่นซีหนึ่งหมัดจริงๆ ต่อให้ออมแรงเอาไว้เพียงใดก็เกรงว่าเขาคงอาการสาหัสอยู่ดี ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนจากทุบเป็นหยิกแขนอย่างไม่หนักไม่เบาทีหนึ่งแทน
ฟู่จิ่นซีมองรอยที่ถูกหยิกนิ่งๆ แล้วช้อนตาขึ้นมองหญิงสาว
“โอ๊ย…” เขาร้องโอยด้วยความเจ็บจริงๆ
มู่ไคเวยขำกับสีหน้าใสซื่อจนเซ่อของชายหนุ่ม
เห็นนางยิ้ม รอยยิ้มของเขาจึงแผ่กว้างขึ้น พลางพูดเสียงเนิบ “ตั้งแต่โตมาจนป่านนี้ ไม่เคยมีใครหยิกข้ามาก่อน แต่พระชายากลับหยิกข้า…ข้าเจ็บแต่รู้สึกดีเหลือเกิน ข้าชอบมากเลย”
“วันใดที่ข้าซ้อมท่านจริงๆ ดูสิว่าท่านยังจะพูดเช่นนี้อีกหรือไม่” มู่ไคเวยเย้า
ฟู่จิ่นซีตอบอย่างไม่ต้องหยุดคิด “นั่นย่อมแสดงว่าข้าต้องทำผิดก่อน”
มู่ไคเวยพูดไม่ออกทันที และนึกอยากยกมือขึ้นกดหน้าอกตัวเอง เพราะดูเหมือนหัวใจในอกจะกระเด้งกระดอนแรงเกินไป
ฟู่จิ่นซียิ้ม ระยะนี้เขาเปลี่ยนเป็นยิ้มง่ายมากขึ้น ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ห้องนอน “วันนั้นพระชายาถามข้าว่าสามารถปรับเปลี่ยนห้องนอนได้หรือไม่แล้วข้าบอกไม่มีความเห็นต่าง เจ้าชอบเช่นไรก็ทำไปเช่นนั้น วันนี้หลันกูกูเลยพาช่างไม้หญิงสองคนเข้ามา ไม่เกินหนึ่งชั่วยามก็พากันออกไป ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าพระชายาจะแต่งห้องใหม่อย่างไร แต่เท่าที่เห็น…อืม ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปนี่นะ”
มู่ไคเวยฟังแล้วยิ้มอย่างเป็นปริศนา นางสลัดรองเท้าหุ้มแข้งออกแล้วปีนขึ้นเตียง “ท่านอ๋องขึ้นมาบนเตียงสิ ข้าจะชี้ให้ดู”
ฟู่จิ่นซีรับคำแล้วปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย เขานั่งขัดสมาธิ เนตรหงส์ฉายแววอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ มู่ไคเวยพูดอย่างไม่มีจริตเขินอายว่า “ภายนอกอาจดูไม่เปลี่ยน แต่ภายในเปลี่ยนไปเยอะ เป็นต้นว่าระหว่างที่พวกเรากำลังหลับสนิทตอนกลางคืนแล้วเกิดมีคนร้ายบุกเข้าจวนมาใกล้ๆ พวกเราหรือขึ้นมาบนเตียงแล้ว ก็ให้ทำเช่นนี้!”
มู่ไคเวยกระตุกเชือกเส้นเล็กตรงมุมเตียงที่ตอนแรกไม่มีใครมองเห็นอย่างรวดเร็ว นางคำนวณไว้แล้วว่าจะ ‘ล่อลวง’ คังอ๋องขึ้นเตียงมา และกระตุกเชือกเส้นเล็ก ทำให้แหตาถี่ที่ซ่อนอยู่เหนือเตียงแผ่กว้างทิ้งตัวลงมา แล้วนางจะเผ่นหลบไปอย่างง่ายดาย ปล่อยให้คังอ๋องผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวโดนแหครอบร่างอย่างไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้เลย
หญิงสาวนึกวาดภาพใบหน้าหล่อเหลาที่ชอบมองนางอย่างไร้เดียงสาแล้วนึกอยากจะกระเซ้าเขา แหย่เขา และปกป้องเขา ไม่ให้ผู้อื่นมารังแก ทว่าช่างไม้หญิงสองคนทำแหตาถี่เก่งมากจริงๆ เพราะนับตั้งแต่ตอนที่มู่ไคเวยกระตุกกลไกจนแหทิ้งตัวลงมา กินเวลาไม่ถึงครึ่งอึดใจซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไวมากจนกลายเป็นตัวนางเองที่เร็วไม่พอ
สาเหตุที่นางหลบไม่พ้น เพราะมือข้างหนึ่งถูกคังอ๋องคว้าจับไว้ และนางไม่อาจสลัดมือเขาทิ้งไป
ทำให้ทั้งสองคน ‘ติดกับ’ ด้วยกัน มู่ไคเวยที่คิดจะแกล้งเขาหัวเราะลั่น “ข้าติดกับตัวเองบนเตียงตัวเองเช่นนี้ เรียกว่าให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวใช่หรือไม่” หญิงสาวช้อนขนตาขึ้น “คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเล่นไม้นี้เป็นด้วย”
ตอนแรกฟู่จิ่นซียังเดาไม่ได้ แต่ทันทีที่เห็นนางกระตุกเชือกเส้นเล็ก สมองเขาก็ตามทันความคิดนางทันที
จะชั่วจะดีอย่างไร เขาก็เคยเจอไม้นี้ในห้องส่วนตัวของบุตรสาวสกุลมู่มาก่อน ประกอบกับที่ครั้งนี้หญิงสาวไม่ได้กระตุกกลไกไวมากเลยทำให้เขาสามารถเดาแผนของนางได้ เขาเลยจงใจคว้าแขนนางเอาไว้
นึกถึงราตรีที่เขาเข้าไปถึงเตียงนางแต่กลับไม่อาจตัดใจวางยา ทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบากเพราะนาง…บัดนี้ ความทรงจำเหล่านั้นกลับสร้างความรู้สึกหวานล้ำ ทำให้หัวใจของชายหนุ่มอ่อนยวบลง
มู่ไคเวยเห็นฟู่จิ่นซีเอาแต่จดจ้องนาง ริมฝีปากรูปกระจับของเขาเผยอขึ้นคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ได้กล่าวออกมา ทำให้ลมหายใจของหญิงสาวสะดุด
เวลาไม่ได้ออกไปที่ใดเหมือนอย่างวันนี้ คังอ๋องจะสวมชุดสีเขียววารีวสันต์ที่สาบเสื้อเน้นสีเขียวเป็นหลัก บนชุดปักด้วยลวดลายละเอียดยิบฝีมือประณีตจนกลืนหายเข้าไปในเนื้อผ้าอย่างแนบเนียน ทำให้คนสวมดูผ่องใสงามสง่าไปทั้งเนื้อทั้งตัว ชายหนุ่มไม่ได้สวมเกี้ยวครอบผม แต่รวบผมยาวไปไว้ที่ด้านหลังอย่างง่ายๆ จอนผมสองข้างทิ้งตัวอยู่บนแผ่นอกอย่างอิสระ ทำให้ใบหน้าคมคายซีดขาวดูเลอเลิศสุดจิตสุดใจ
ภายในแหตาถี่ ศีรษะของพวกเขาสองคนอยู่ใกล้กันมาก ดวงตาสองคู่สบประสานกัน ทำให้มู่ไคเวยพบว่านางไม่สามารถละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้
ทันใดนั้น เนตรหงส์สวยบาดใจของคังอ๋องพลันเบิกกว้างขึ้นต่อหน้าต่อตาหญิงสาว กว่าที่มู่ไคเวยจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร จมูกของเขาก็แนบสนิทลงมาที่จมูกของนาง และริมฝีปากที่ไม่ยิ้มแต่ดูเหมือนกำลังยิ้มของเขาก็ประทับลงบนริมฝีปากของนาง
นี่นาง…เหตุใดถึงลืมหลับตา?!
จุมพิตนี้เหมือนจะเริ่มต้นและจบลงภายในระยะเวลาแค่ชั่วอึดใจ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ให้ความรู้สึกว่านานแสนนาน ชั่วขณะนั้น สมองที่ชาญฉลาดของนางพลันว่างเปล่าขาวโพลนจนไม่อาจจับใจความอะไรได้อีก จวบจนใบหน้าคมสันขาวซีดค่อยๆ ถอยห่างออกไปทั้งที่เนตรหงส์ยังคงจดจ้องนาง ตาของเขาเป็นประกาย ไม่กะพริบ และเนื่องจากใบหน้าสองดวงอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งกำปั้น ทำให้มู่ไคเวยรับรู้ได้ว่าลมหายใจของคังอ๋องกำลังหอบกระชั้น หน้าอกขยับขึ้นลงอย่างรุนแรงจนหญิงสาวรู้สึกตกใจ จนต้องรีบยื่นมือไปจับชีพจรเขาดู แต่กลับได้ยินฟู่จิ่นซีพูดเสียงอู้อี้ แผ่วเบา ติดจะแหบพร่าว่า
“มาเลย เจ้าหยิกข้าได้เลย”
น้ำเสียงเบื่อโลกของเขาทำให้มู่ไคเวยชะงัก “เมื่อครู่ท่านอ๋องบอกเองไม่ใช่หรือว่าถ้าข้ากระทำรุนแรงต่อท่าน แสดงว่าท่านเป็นฝ่ายผิด…” แค่กๆ เหตุใดเสียงนางจึงแหบอย่างนี้ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดแล่วเอ่ยถาม “ท่านอ๋องอยากให้ข้าทำรุนแรงเพราะรู้สึกว่าตัวเองทำผิดเรื่องอะไรหรือ”
“ข้า…ข้าจูบเจ้า” แก้มขาวๆ พลันมีสีแดงระเรื่อผุดขึ้นมาสองวง
มู่ไคเวยก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวเช่นเดียวกัน เพราะเขาหน้าแดงใส่นางเลยทำให้นางพลอยหน้าแดงตาม “การที่ท่านอ๋อง…จูบข้าถือเป็นความผิดหรือ” ความร้อนและชาที่ริมฝีปากทำให้มู่ไคเวยต้องแลบลิ้นเลียตามสัญชาตญาณ แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำอย่างไม่ตั้งใจนั้นล้วนตกอยู่ในสายตาของคังอ๋อง และทำให้เขายิ่งน้ำลายสอ รู้สึกยากที่จะควบคุมตัวเองได้
ฟู่จิ่นซีเลิกสนใจทุกสิ่ง เขาไม่แยแสสิ่งใด เพียงอยากกระโจนเข้าหานางอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาใช้ฝ่ามือเย็นจัดทั้งสองข้างประคองใบหน้าของนางแล้วก้มหน้าลง ใช้หน้าผากของตนแตะหน้าผากของนาง จนปลายจมูกเสียดสีกัน
น้ำเสียงของชายหนุ่มแหบพร่า “ไม่ผิด ข้าไม่ได้ทำผิด หรือต่อให้ทำผิดจริง ชีวิตข้าก็อยู่ในมือเจ้า ดีเหลือเกิน หากตายในมือเจ้าได้ย่อมดีกว่าวิธีอื่นมาก”
“ตายอะไรกัน ท่านอ๋อง อุ๊บ…” ริมฝีปากถูกปิดผนึกและบดเบียดด้วยริมฝีปากเย็นจัดแต่อ่อนนุ่มของเขาอย่างรุนแรง ฟู่จิ่นซีฉวยโอกาสตอนที่นางกำลังพูด จู่โจมอย่างกะทันหันซ้ำยัง…สอดลิ้นเข้ามาด้วย!
รสชาติของเขา…
มู่ไคเวยรู้สึกแปลกใจและอึดอัด เพราะโพรงปากของชายหนุ่มยังมีกลิ่นหอมของยาเหลืออยู่ นี่อาจจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่จำเป็นต้องบำรุงดูแลร่างกายมาตั้งแต่เล็กจนโต ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี เพียงแต่ว่าดูเหมือนจะมีเพียงกลิ่นยาอย่างเดียว แต่กลับไม่มีกลิ่นกายของเขาอยู่เลย
มนุษย์ทุกคนย่อมมีกลิ่นเฉพาะเป็นของตนเอง ต่อให้บนตัวมีกลิ่นยา แต่กลิ่นนั้นก็ต้องผสมผสานเข้ากับกลิ่นยา ทว่าฟู่จิ่นซีกลับแตกต่างออกไป นี่เกิดจากสภาพร่างกายของเขา? หรือเพราะโรคประหลาดที่เขาเป็นเมื่อสมัยเด็ก?
มู่ไคเวยไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่าน เพราะคังอ๋องทำเหมือนคนที่อดอยากมาหลายมื้อ เขาเลยเอาแต่จูบสะเปะสะปะจนหน้านางเปียกไปครึ่งหนึ่ง และยังทำท่าเหมือนอยากจะกลืนลิ้นนางลงท้องไปด้วย
มือทั้งสองข้างของมู่ไคเวยเกาะอยู่ที่ต้นแขนของฟู่จิ่นซี การที่นางจะคว่ำเขาหรือผลักเขาออกห่างเป็นเรื่องง่ายดุจพลิกฝ่ามือ แต่เมื่อครู่นางไม่ได้หลบหลีกการขโมยจุมพิตของเขา แล้วจะมาหนีเอาตอนนี้ได้หรือ
การที่คนสองคนแต่งงานกันย่อมต้องใกล้ชิดสนิทสนมกันอยู่แล้ว หากนางปฏิเสธ เชื่อว่าฟู่จิ่นซีต้องได้รับความสะเทือนใจอย่างมากจนกลายเป็นความรู้สึกประดักประเดิดและวางหน้าไม่ถูก ดีไม่ดี เขาอาจกล่าวโทษตนเองจนไม่กล้าเป็นฝ่ายเข้าหานางอีก…มู่ไคเวยไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เพราะนางไม่อยากเห็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา
คิดได้ดังนี้ มู่ไคเวยจึงเปลี่ยนมาใช้มือข้างหนึ่งโอบคอชายหนุ่ม และใช้มืออีกข้างกอดเอวเขาไว้
นางจูบตอบฟู่จิ่นซีอย่างหนักหน่วง ไม่ยอมให้เขาเป็นคนเสนอไมตรีฝ่ายเดียว
ฟู่จิ่นซีถูกหญิงสาว ‘โต้กลับ’ ด้วยการจับพลิกตัวลงบนเตียง เขารับรู้ได้ว่านางกอดเอวเขาแน่น ทั้งสองคนแนบชิดสนิทกันชนิดพลิกฟ้าคว่ำดินอยู่ในกลไกแหตาถี่จนทั้งมือทั้งเท้าและเส้นผมพันกับตาข่ายจนยุ่งเหยิงขยับไม่ได้ ทว่ากลับไม่มีใครยอมปล่อยใคร
ท่ามกลางอารมณ์เร่าร้อน ปั่นป่วน มู่ไคเวยรับรู้ได้ถึงลมหายใจหอบๆ ของคังอ๋องที่บริเวณซอกคอของนาง
แผ่นอกของชายหนุ่มสะท้อนขึ้นลงรุนแรง จนตัวเกร็งไปหมด กระทั่งมู่ไคเวยโถมกายเข้าใส่ เมื่อนั้นลมหายใจที่เฝ้าสะกดกลั้นอยู่ในอกถึงค่อยผ่อนออกมา ทำให้มีเสียงอึกอักหลุดออกมาจากคอว่า
“เวยเวย…” เสียงเรียกสั่นๆ กับขนตาสีดำดุจแพพัดสะท้านน้อยๆ ทำให้ท่านอ๋องที่เวลาปกติก็ดูน่าเห็นใจอยู่แล้วยิ่งน่าสงสารบาดจิตบาดใจมากยิ่งขึ้น
“ท่านอ๋องไม่ต้องกลัว ข้าจะเบามือ” นางแหย่อย่างอยากทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น
ฟู่จิ่นซีมองใบหน้าน่ารักปราดเปรียวของหญิงสาวตาไม่กะพริบ คล้ายอยากมองลึกเข้าไปให้ถึงภายในจิตใจของนาง น้ำเสียงทุ้มต่ำมีกระแสสั่งปนวิงวอน “เชิญพระชายา…ทำเต็มที่เลยเถอะ”
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)
Comments
comments
No tags for this post.