X
    Categories: JamsaiPerfect Guy ผู้ชายคนนี้ฉันดีไซน์เองทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Perfect Guy ผู้ชายคนนี้ฉันดีไซน์เอง บทที่ 11 – บทที่ 12

หน้าที่แล้ว1 of 28

บทที่ 11

เป็นเพราะความตื่นเต้นจึงทำให้เผลอพูดอะไรแปลกๆ กับไอดอลที่ตนชื่นชอบ หลายวันนี้เซียวเซียวจึงไม่กล้าไปที่ซังอวี๋ และตั้งใจเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน

เธอนำรูปถ่ายที่ช่างภาพส่งให้มาแก้ไขอีกครั้ง ก่อนจะจัดการเรียงลำดับเชื่อมต่อกับรูปที่ออกแบบ แล้วก็ซิปไฟล์เพื่อส่งไปให้คณะกรรมการ ถือเป็นการสมัครเรียบร้อยแล้ว

เมื่อจัดการเรื่องการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว เซียวเซียวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นจึงเริ่มออกแบบเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนต่อ

ในฐานะเฮดดีไซเนอร์ เธอต้องกำหนดแบบที่จะใช้สำหรับเสื้อผ้าสำเร็จรูป จากนั้นจึงจะประชุมเพื่อแบ่งหน้าที่ให้กับดีไซเนอร์คนอื่นๆ

“ในซีซั่นนี้พวกเราเลือกแนวคิดหลักอยู่สองอย่าง คือลายเส้นของใบเหอฮวนที่ฉันออกแบบกับกลีบของดอกซานซู่ที่ย่าหนานออกแบบ รูปแบบที่ชัดเจนจะส่งให้ทุกคนอีกที ทุกคนเลือกได้ตามใจชอบ คนที่ออกแบบไว้แล้วช่วยปรับแบบให้เข้ากับทั้งสองแบบนี้ ส่วนการออกแบบใหม่ก็ขอให้ยึดตามรูปแบบนี้”

ฉินย่าหนานมองเซียวเซียวที่เอาแบบของตัวเองมาใช้ด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะกระซิบกับจ้าวเหอผิง “ใช้แนวคิดของฉันแล้วแบ่งโบนัสผลงานให้ฉันด้วยไหมเนี่ย”

จ้าวเหอผิงตอบกลับอย่างอึดอัดทันที “ถ้าว่ากันตามเหตุผลก็คงไม่”

“แน่นอนว่าความคิดสร้างสรรค์ของย่าหนานไม่อาจจะให้ทุกคนใช้ได้ฟรีๆ เมื่อถึงเวลาฉันจะยื่นเรื่องกับผู้บริหาร โดยคิดเป็นสัดส่วนของผลงาน แบ่งส่วนหนึ่งให้กับย่าหนานเพื่อเป็นการชดเชย” เซียวเซียวพูดอย่างเป็นธรรมชาติขึ้นมาพอดี “แล้วถ้าพวกคุณมีความคิดอะไรดีๆ ก็สามารถเอาออกมาแบ่งปันให้กับทุกคนได้ ถ้าใช้ความคิดของใครก็จะมีการแบ่งสัดส่วนตามผลงานให้”

เมื่อเซียวเซียวเอ่ยประโยคนี้ออกมา ทุกคนก็ตื่นเต้นอยากรีบออกไอเดียขึ้นมาทันที อย่างไรเสียลิขสิทธิ์การออกแบบนี้ก็เป็นของบริษัทอยู่แล้ว หากไม่มีผลตอบแทนก็ไม่อยากจะแบ่งให้ใครดู แต่ถ้าคนอื่นใช้แนวคิดของตัวเอง ตัวเองก็จะได้เงินโบนัสส่วนแบ่ง แล้วจะเก็บงำไอเดียดีๆ ไปทำไมกัน

นโยบายนี้ของเซียวเซียวช่วยกระตุ้นให้ดีไซเนอร์มีความตื่นตัวขึ้นเป็นอันมาก แล้วฉินย่าหนานก็ไม่อาจจะพูดคำตัดพ้ออะไรได้อีก ทุกคนก้มหน้าก้มตาทำงาน ความเร็วในการส่งแบบก็เร็วกว่าปกติไม่น้อย

แต่ไม่ใช่สำหรับใครบางคน…

ปลายเดือนเซียวเซียวตรวจจำนวนแบบที่ส่งมาแล้วเรียกฉินย่าหนานเข้ามา “ทำไมแกถึงส่งแค่ห้ารูป”

คนอื่นๆ ล้วนส่งแบบสเก็ตช์มาแล้ว หลังจากสรุปคร่าวๆ ได้แล้วก็จะแก้ไขอีกรอบ จากนั้นก็ให้ซีเนียร์ดีไซเนอร์เป็นผู้คัดออก ที่เหลือจึงจะถูกส่งไปโรงงาน ยิ่งส่งมากโอกาสที่จะได้รับการคัดเลือกก็ยิ่งสูงตามไปด้วย

“โอ๊ย ก็ไม่ใช่เพราะว่าต้องเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันหรือไงล่ะ” “ฉินย่าหนานนวดถุงใต้ตาที่ดำคล้ำ ใบหน้าแสดงความเหน็ดเหนื่อย

เสื้อผ้าที่ทุกคนออกแบบในบริษัทนี้ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของบริษัทแอลวาย ไม่อาจจะนำไปร่วมการแข่งขันได้ แล้วการแข่งขันก็ต้องการการออกแบบชุดเป็นเซ็ตซึ่งอย่างน้อยต้องมีถึงห้าชุด ฉินย่าหนานจำเป็นต้องออกแบบใหม่ทั้งห้าชุดสำหรับการประกวด การออกแบบชุดอะไรก็ได้ห้าชุดนั้นง่าย แต่ถ้าต้องการผ่านรอบคัดเลือกนั้นไม่ง่าย ตอนนี้เธอทำงานข้ามคืนทุกวันก็ยังไม่สามารถรวบรวมให้ครบได้

 

ใกล้หมดเขตการรับสมัครเข้าไปทุกที แล้วยังต้องเผื่อเวลาสำหรับการตัดเย็บและถ่ายรูปอีกหลายวัน ตอนนี้ฉินย่าหนานเหลือเวลาน้อยมากแล้ว ทั้งร่างกายก็ยิ่งทรุดโทรมลงไปทุกที

“เซียวเซียว ฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาแกหน่อย” ฉินย่าหนานมองเซียวเซียวด้วยสายตาอ้อนวอน

เซียวเซียวเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอในใจก็ตุ๊มๆ ต่อมๆ รับรองว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ “อะไร”

“ชุดที่ฉันจะใช้ในการแข่งขันคือชุดบิสิเนสแคชวล ตอนนี้มีกระโปรงทรงเอ กางเกงขาบาน สูทตัวเล็ก แล้วก็เดรส ยังขาดจัมพ์สูท แกก็รู้ว่าฉันไม่ถนัดออกแบบจัมพ์สูท แกเอาจัมพ์สูทที่แกออกแบบในซีซั่นนี้ให้ฉันได้ไหม” ฉินย่าหนานพูดด้วยน้ำเสียงคาดคั้น ถ้าวันนี้เซียวเซียวไม่เรียกเธอมาหา เธอก็จะต้องมาขอร้องเซียวเซียวอยู่ดี

เซียวเซียวถนัดออกแบบจัมพ์สูท ในซีซั่นนี้ก็ออกแบบไว้ชุดหนึ่ง ตอนที่แย่งชิงตำแหน่งเฮดดีไซเนอร์แสดงออกมาให้เห็นแล้ว ปัญหาก็คือการออกแบบของทุกคนมีข้อจำกัด ถ้ายกจัมพ์สูทนี้ให้ฉินย่าหนานแล้ว หากเซียวเซียวคิดจะรักษาระดับผลงานเอาไว้ก็ต้องออกแบบชุดใหม่ขึ้นมาแทนที่ขาดไป เธอไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น

“ให้แกแล้วฉันล่ะ” เซียวเซียวขมวดคิ้ว

ทำไมไม่รู้จักเกรงใจกันบ้างนะ

“ไม่ได้เอาของแกฟรีๆ หรอก ฉันเอาชุดเดรสสุ่ยซานให้แก อย่างนี้โอเคไหม” ฉินย่าหนานพูดอย่างใจป้ำ

เซียวเซียวเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่จั่นหลิงจวินส่งข้อความวีแชตมาพอดี เธอจึงก้มหน้าลงเปิดโทรศัพท์มือถือดู

 

จั่นหลิงจวินเอส : วันนั้นมู่เจียงเทียนเล่นเพลงอะไรให้คุณ

เสี่ยวเสี่ยวปู้ : นั่นเป็นเพลงที่ไอดอลแต่งให้ฉันสดๆ เลยนะ!!!!

พูดถึงเรื่องนี้เซียวเซียวก็อดที่จะยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ ก่อนจะส่งไฟล์เสียงไปให้จั่นหลิงจวิน

ไฟล์เสียง…ใช่แล้ว

เซียวเซียวรีบกดโทรศัพท์มือถือเข้าสู่โหมดอัดวิดีโอ มือสองข้างที่ถือโทรศัพท์อยู่นั้นทำท่าวางโทรศัพท์บนเข่าแบบสบายๆ ดูแล้วเหมือนมือที่ถือโทรศัพท์ธรรมดาทั่วไป “แกกำลังบอกว่าจะเอาชุดเดรสสุ่ยซานมาแลกกับจัมพ์สูทที่ฉันออกแบบในซีซั่นนี้ใช่ไหม”

“ใช่ แกก็รู้นี่ว่าเดรสชุดนั้นเป็นผลงานที่ดีที่สุดของฉันในซีซั่นนี้ มันต้องขายดีแน่ๆ” ฉินย่าหนานพยักหน้ายอมรับ “เหลือเวลาสมัครอีกไม่ถึงยี่สิบวัน ฉันต้องรวบรวมให้ครบห้าชุด ขอร้องแกล่ะเซียวเซียว ถ้าแกตกลงฉันจะไปจัดการโอนผลงานให้แกทันที”

ระบบการออกแบบของบริษัทแอลวายสามารถโอนย้ายผลงานในชื่อของตัวเองให้กับคนอื่นได้ เหตุการณ์เช่นนี้มักจะใช้กับการออกแบบที่มีดีไซเนอร์สองคนขึ้นไป เมื่อตกลงแบ่งสัดส่วนกันแล้วก็เอาผลงานการออกแบบใส่ไว้ในชื่อของคนคนเดียว ในระบบการโอนย้ายจะต้องให้หัวหน้าแผนกเซ็นอนุมัติ ถ้าโอนชุดเดรสสุ่ยซานให้เป็นผลงานของเซียวเซียว ผลประโยชน์ทุกอย่างที่เกิดจากเดรสชุดนี้ก็จะตกเป็นของเซียวเซียวแต่เพียงผู้เดียว รวมทั้งเงินโบนัสและแชมป์ยอดขายด้วย

“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ว่าแกเอาจัมพ์สูทของฉันไปแข่งขันคงไม่ค่อยดีมั้ง” เซียวเซียวยืดหลังตรงขึ้นขณะพูดเพื่อให้มั่นใจว่าโทรศัพท์สามารถถ่ายพวกเธอทั้งสองคนไว้ได้

“มันจะเป็นอะไรไป นี่ก็แค่ใช้ตรวจสอบคุณสมบัติรอบแรกเท่านั้น กติกาการแข่งขันรอบนี้ประกาศออกมาช้ามาก ฉันกล้าพูดเลยว่าต้องมีคนไม่น้อยกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ซื้อแบบของคนอื่นมาเพื่อให้ได้ครบตามจำนวน” ฉินย่าหนานกัดฟันพูดอย่างไม่พอใจกฎระเบียบการแข่งขันในครั้งนี้เป็นอย่างมาก

“ก็ได้ ถือซะว่าฉันขายแบบให้กับแก แกก็จัดการโอนเดรสชุดนั้นมาแล้วฉันจะเอาจัมพ์สูทชุดนี้ออกจากระบบ” เอาออกจากระบบก็คือดึงออกจากระบบไม่ส่งรูปนี้ขึ้นไป เพราะชิ้นงานออกแบบที่เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องเป็นลิขสิทธิ์ของดีไซเนอร์เท่านั้น เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนเซียวเซียวจึงยอมตกลง คิดดูแล้วเดรสชุดนั้นก็สุดยอดจริงๆ เธอเองไม่ได้ขาดทุนอะไร

รอจนกระทั่งฉินย่าหนานเดินจากไปด้วยความดีใจ เซียวเซียวจึงได้กดปุ่มหยุดบันทึกแล้วเปิดไฟล์ที่เพิ่งอัดไว้เมื่อครู่ ส่วนใหญ่จะอัดได้ในส่วนที่ต่ำกว่าหน้าอกของฉินย่าหนานลงมา แต่ก็มีบางครั้งที่สั่นไหวขยับไปเห็นหน้าบ้าง ทว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เซียวเซียวถอนหายใจ นี่เป็นวิธีที่เธอใช้ปกป้องตัวเอง หวังว่าจะไม่มีวันที่ต้องดึงมันออกมาใช้

ฉินย่าหนานได้แบบของเซียวเซียวมาแล้วก็รีบแก้ไขให้เข้ากับรูปแบบอีกสี่ชุดของตัวเอง ก่อนจะไปหาโจวเชี่ยนเพื่อตัดเย็บออกมา

บริษัทที่โจวเชี่ยนทำงานอยู่เป็นบริษัทที่มีโรงงานผลิตด้วย แม้จะผลิตสินค้าออกมาคุณภาพกลางๆ แต่สามารถผลิตได้อย่างรวดเร็ว

ฉินย่าหนานให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ในที่สุดก็สามารถตัดเย็บออกมาจนเสร็จได้ภายในสองอาทิตย์

“เหนื่อยเหลือเกิน อย่างกับออกรบเลย ทำเอาลนไปหมด” เมื่อกดปุ่มส่งงานแล้วฉินย่าหนานก็หมดแรงฟุบอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะถอนหายใจยาวๆ อย่างโล่งอก

“รีบทำงานเถอะ เธอเหลือผลงานแค่เพียงสี่ชิ้น ถ้ายังไม่รีบออกแบบเพิ่มอีก ผลงานของซีซั่นหน้าก็จะกลายเป็นศูนย์” จ้าวเหอผิงตบศีรษะเธอเบาๆ

ก่อนหน้านี้ฉินย่าหนานทำเรื่องยื่นการโอนผลงานเดรสชุดนั้นทำให้เขาตกใจมาก แม้จะสอบถามอยู่นานก็ไม่ได้เรื่องอะไรชัดเจน เธอพูดเพียงแต่ว่าเป็นการแลกเปลี่ยนกับเซียวเซียวเป็นการส่วนตัว เร่งให้เขาเซ็นอนุมัติโดยเร็ว

“อืม รู้แล้วน่า ทำไมชีวิตมันช่างยากลำบากอย่างนี้นะ” ฉินย่าหนานลุกขึ้นมาอีกครั้ง มองจ้าวเหอผิงที่มีแววตาครุ่นคิด ในใจก็มีความคิดบางอย่างแวบขึ้นมา จึงเปิดระบบแชตของบริษัทแล้วส่งข้อความหาเซียวเซียว

 

สตรีสำเร็จรูป ฉินย่าหนาน : เซียวเซียว เรื่องที่ฉันใช้รูปสเก็ตช์แกเข้าแข่งขัน แกห้ามบอกใครนะ

สตรีสำเร็จรูป เซียวเซียว : แล้วถ้าคนอื่นถามว่าทำไมเดรสชุดนั้นถึงมาเป็นของฉันจะให้ฉันตอบว่ายังไง

สตรีสำเร็จรูป ฉินย่าหนาน : ก็บอกว่าพวกเราออกแบบด้วยกัน

 

หลังจากอ่านข้อความนั้นของฉินย่าหนาน เซียวเซียวก็พลันเลิกคิ้วขึ้น

ทำไมคำพูดนี้มันคุ้นๆ นะ

 

ผลการตัดสินรอบคัดเลือกออกมาอย่างรวดเร็ว สี่สิบกว่าวันต่อมาก็ประกาศผลออกมาแล้ว ซีเนียร์ดีไซเนอร์ของบริษัทแอลวายไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน เนื่องจากพวกเขาส่วนใหญ่ก็เคยเข้าร่วมมาแล้วหรือไม่ก็มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเลยไม่อยากจะไปเข้าร่วม จึงมีแต่พวกดีไซเนอร์เด็กๆ จากแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่เข้าร่วมการแข่งขัน ทางด้านเครื่องแต่งกายบุรุษก็มีดีไซเนอร์สมัครสองคนแต่ก็ตกรอบไปแล้ว ทั้งบริษัทแอลวายจึงมีเพียงเซียวเซียวและฉินย่าหนานที่ผ่านรอบคัดเลือก

“ทำไมผลงานปีนี้ถึงได้แย่นัก” โจวไท่หรานขมวดคิ้วหลังจากมองดูใบตอบรับจากทางคณะกรรมการจัดการแข่งขัน การแข่งขันการออกแบบระดับประเทศเป็นโอกาสที่ดีในการประชาสัมพันธ์ บริษัทแอลวายเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจออกแบบเสื้อผ้าแต่กลับมีคนเข้ารอบเพียงสองคน ช่างน่าขายหน้าเสียจริงๆ

“การแข่งขันการออกแบบนี้พูดกันตามตรงเลยก็คือการแข่งขันการออกแบบของพวกวัยรุ่น จำกัดอายุของผู้สมัคร ดีไซเนอร์ระดับซีเนียร์อายุเลยสามสิบห้าไปแล้วทั้งนั้น ส่วนคนที่อายุยังไม่เกินก็เข้าแข่งขันไปเมื่อคราวที่แล้ว ท่านประธานสบายใจได้ค่ะ บริษัทอื่นก็ผ่านเข้ารอบไปไม่เยอะ ผู้ที่ผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปได้ทั้งหมดมีเพียงสามสิบคนเท่านั้น” เลขาฯ เห็นโจวไท่หรานโมโหจึงรีบอธิบาย

“ทำไมถึงน้อยอย่างนี้” โจวไท่หรานรู้สึกผิดคาด เขาจำได้ว่าการแข่งขันเมื่อคราวที่แล้วมีผู้เข้ารอบเป็นหลักร้อย

“ปีนี้มีการเปลี่ยนแปลงกฎกติกา เดิมทีคนที่สมัครก็ไม่มากเท่าไหร่ แล้วยิ่งรอบตัดสินยังมีการถ่ายทอดสดอีก การคัดเลือกจึงเข้มงวดมาก” เลขาฯ อธิบายตามความเข้าใจ บริษัทแอลวายเป็นกรรมการในการแข่งขันนี้ด้วย เธอจึงเข้าใจเรื่องราวเป็นอย่างดี

โจวไท่หรานจับไปที่คริสตัลตัวอักษรแอลวายที่อยู่บนโต๊ะ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินออกไปที่ฝ่ายออกแบบโอตกูตูร์

 

“อเดอลีน ผมมีเรื่องจะปรึกษา” โจวไท่หรานยิ้มจนตาหยีพลางเดินเข้าไปข้างๆ อเดอลีน

“เรื่องอะไร” อเดอลีนเอ่ยปากถามทั้งที่ยังก้มหน้าเย็บผ้าบนโต๊ะต่อไป

“การแข่งขันการออกแบบบริษัทเรามีคนเข้ารอบแค่สองคน ผมอยากจะขอให้คุณช่วยเป็นที่ปรึกษาแนะนำพวกเธอสักหน่อย” โจวไท่หรานยิ้มจนนัยน์ตารูปเมล็ดท้อโค้งลง สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวังมองไปที่หลินซือหย่วนซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “พร้อมกันนั้นก็ต้องการความช่วยเหลือจากพี่หย่วนด้วยเช่นกัน”

“อย่ามองฉันแบบนี้นะ” หลินซือหย่วนยิ้มออกมา “จิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างนายลองถ้าทำท่าแบบนี้แล้วใครจะไปปฏิเสธนายได้ลง”

อเดอลีนเอาเข็มปักไปที่หุ่นแล้วพูดอย่างไม่เห็นด้วย “การแข่งขันเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ถ้าคุณกับฉันยื่นมือเข้าไปยุ่ง มันก็ไม่ยุติธรรมกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่น”

“ไม่ได้ให้พวกคุณช่วยพวกเธอทำอะไรหรอก เพียงแค่เป็นผู้แนะนำเท่านั้นเอง ให้คำแนะนำตอนที่พวกเธอต้องการความช่วยเหลือเท่านั้นก็พอแล้ว”

บริษัทอื่นๆ ก็ทำแบบนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้บริษัทแอลวายเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปจึงไม่ได้ให้คำแนะนำอะไรเลย แต่สองปีนี้มีดีไซเนอร์ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด และการแข่งขันเกี่ยวพันกับหน้าตาของบริษัท โจวไท่หรานจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้

หลินซือหย่วนตอบตกลงแล้ว ส่วนอเดอลีนแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ทั้งสองคนเลือกคนที่ตัวเองต้องดูแล ซึ่งหลินซือหย่วนเลือกฉินย่าหนานอย่างไม่ลังเล

แม้ว่าฉินย่าหนานจะหน้าตาธรรมดา แต่เมื่อแต่งหน้าแต่งตาแล้วก็ยังดูดี ส่วนหน้าของเซียวเซียวดูน่ากลัวไปหน่อย เขากลัวว่ามองเยอะๆ แล้วจะกลับไปนอนฝันร้าย

เมื่อฉินย่าหนานรู้ว่าที่ปรึกษาของตัวเองคือหลินซือหย่วน ส่วนที่ปรึกษาของเซียวเซียวคืออเดอลีนก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไร ถึงแม้ว่าหลินซือหย่วนจะเป็นดีไซเนอร์อันดับต้นๆ ของประเทศ แต่เมื่อเทียบกับอเดอลีนก็ยังต่างชั้นกัน อเดอลีนเป็นผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่นระดับโลก ถ้าหากได้เป็นศิษย์ก็สามารถเชิดหน้าชูตาได้

แต่ต่อหน้าหลินซือหย่วนเธอไม่กล้าแสดงความรู้สึกอะไรออกมา ทำได้เพียงขยันวิ่งไปหาดีไซเนอร์ชุดโอตกูตูร์ ช่วยหลินซือหย่วนทำงานเบ็ดเตล็ดแล้วก็ขอคำแนะนำไปด้วย

 

“ฉันไม่มีอะไรจะสอนเธอนะ ในการแข่งขันเธอจะต้องพึ่งตัวเอง” ด้านเซียวเซียว อเดอลีนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ กับเธอ ในขณะที่มือก็กำลังทำงานไปด้วย “และที่สำคัญฉันเป็นกรรมการในการตัดสิน เพื่อไม่ให้มีข้อครหา ฉันยิ่งไม่มีทางพูดอะไรออกมา”

“ค่ะ” เซียวเซียวรับคำอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะรีบปลีกตัวออกไปจากฝ่ายออกแบบโอตกูตูร์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเซียวเซียวทำให้ฉินย่าหนานรู้สึกว่าตัวเองโชคดีขึ้นมาทันที อย่างน้อยหลินซือหย่วนก็ยังยินดีที่จะให้คำแนะนำแก่เธอ

 

กฎการแข่งขันในการคัดเลือกรอบที่สองออกมาแล้ว เซียวเซียวมองดูลำดับขั้นตอนแล้วก็รู้สึกงงไปเลยทีเดียว การแข่งขันในรอบนี้เป็นการพรีเซนต์เสื้อผ้าที่ออกแบบทั้งเซ็ตและต้องบันทึกวิดีโอทุกขั้นตอน และถ้าเข้าถึงรอบก่อนชิงชนะเลิศ วิดีโอนี้จะถูกตัดต่อให้เป็นวีทีอาร์ก่อนเข้ารายการ

เดิมคิดว่ามีเฉพาะรอบชิงชนะเลิศเท่านั้นถึงจะถ่ายทอดทางทีวี ยังมีเวลาอีกช่วงหนึ่งที่จะให้เธอปรับสภาพร่างกายได้และให้ใบหน้าดีขึ้นสักหน่อย แต่กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ต้องออกทีวีแล้ว ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือก่อนหน้านี้เธอได้บอกกับจั่นหลิงจวินไว้ว่าต้องทำวิดีโอเฉพาะรอบคัดเลือกเท่านั้น ทว่าตอนนี้ต้องเอารูปถ่ายของพวกเขาใส่ในวิดีโอแล้วพรีเซนต์ ซึ่งอาจจะทำให้คนทั้งประเทศได้เห็น แล้วนี่เธอจะทำอย่างไรดี

เซียวเซียวรีบค้นหาไป่ตู้ดู ‘ใบหน้าบวมเพราะสเตียรอยด์ฉีดยาให้หน้าผอมได้ไหม’ และ ‘ฉีดยาละลายไขมันจะทำให้โรคเอสแอลอีกําเริบหรือไม่’ คำตอบที่ได้ก็หลากหลายมาก ท้ายที่สุดคำตอบของหมอออนไลน์แนะนำว่าให้ไปปรึกษาคุณหมอประจำตัวของตัวเอง

นี่ก็ใกล้จะถึงวันที่ต้องไปตรวจร่างกายซ้ำอีกครั้งแล้ว เซียวเซียวจึงนัดหมายบริการนอกสถานที่กับจั่นหลิงจวินเพื่อให้ไปเจาะเลือดเป็นเพื่อนเธอ

“คราวที่แล้วภูมิคุ้มกันต่ำไปหน่อย ครั้งนี้ก็ตรวจอีกทีแล้วกัน” คุณหมอหลี่ดันแว่นคนแก่ของตัวเองขึ้นไปพลางเคาะคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์อย่างช้าๆ

“ได้ค่ะ” เซียวเซียวรับคำอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เธอมองจั่นหลิงจวินที่นั่งอยู่ข้างๆ แวบหนึ่งแล้วถามคุณหมอหลี่เสียงเบาว่า “ฉันกำลังจะเข้าร่วมรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ตอนนี้หน้าฉันบวมจนน่าเกลียดมาก เลยอยากถามว่าจะฉีดยาละลายไขมันสักเข็มนึงได้ไหมคะ”

คุณหมอหลี่ชะงักมือที่กำลังเคาะคีย์บอร์ดด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียวพลางส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋ง “ไม่ได้ๆ สาเหตุของโรคนี้เกิดจากอะไรไม่มีใครบอกได้ ห้ามฉีดอะไรแปลกๆ เข้าไปเด็ดขาด”

“แต่ว่ามันน่าเกลียดมาก” เซียวเซียวทำหน้าท้อแท้หมดอาลัยตายอยาก ปกติกล้องก็มักจะทำให้คนดูอ้วนอยู่แล้ว หน้าใหญ่ๆ ของเธอออกกล้องคงจะเต็มหน้าจอเป็นแน่

“คุณจะเข้าประกวดนางงามเหรอ” เขาถามด้วยเสียงเข้มงวด

“ไม่ใช่ค่ะ เป็นการแข่งขันการออกแบบ” เซียวเซียวแอบเหลือบมองจั่นหลิงจวิน คิดไว้ว่าอีกสักครู่จะคุยกับเขาเรื่องการแข่งขันรอบถัดไป

“คุณไปประชันความสามารถ ไม่ได้ไปประชันความสวยงาม” คุณหมอหลี่ยกนิ้วขึ้นพร้อมแจกแจงเหตุผล “ถูโยวโยว ได้รับรางวัลโนเบล คุณว่ายิ่งใหญ่ไหม ยอดเยี่ยมหรือเปล่า”

“ยิ่งใหญ่ ยอดเยี่ยม” เซียวเซียวพยักหน้าอย่างงงๆ

“แล้วมีคนสนใจหน้าตาของถูโยวโยวหรือเปล่า ไม่สวยหรือดูแก่จึงไม่ได้รับรางวัลโนเบลหรือเปล่า” คุณหมอหลี่ยังคงถามเธอต่อ

“ไม่…ไม่หรอกค่ะ” เซียวเซียวเหยียดมุมปากอย่างไม่พอใจ

“ก็นั่นไง” คุณหมอหลี่แบมือทั้งสองข้างออก “แล้วคุณจะฉีดยาละลายไขมันทำไมอีก”

ในเมื่ออีกฝ่ายพูดเป็นเหตุเป็นผลแบบนี้ แล้วเธอจะพูดอะไรได้อีก

จั่นหลิงจวินเม้มริมฝีปากแน่นพยายามกลั้นยิ้ม

 

หลังจากเจาะเลือดเรียบร้อยแล้วเซียวเซียวก็กลับมาเริงร่าเหมือนเดิม เพราะมีจั่นหลิงจวินอยู่ด้วยเธอจึงไม่ต้องกลัวที่จะเจาะเลือดอีกแล้ว

“ทุกครั้งที่เจาะเลือดคุณก็จะให้ฉันกินลูกอม ทำให้ฉันรู้สึกดีใจที่ได้เจาะเลือด” เซียวเซียวคิดถึงเรื่องที่จะพูดต่อไปและพยายามประจบประแจงจั่นหลิงจวินอย่างสุดชีวิต

“ปกติมาก นั่นก็ยืนยันได้ว่าทฤษฎีการวางเงื่อนไขของพาฟลอฟ ถูกต้อง”

จั่นหลิงจวินพาเธอเดินลัดเลี้ยวไปมา ที่จอดรถใกล้โรงพยาบาลแน่นมาก เขาจึงจอดรถไกลออกไปสักหน่อย ทั้งคู่จึงต้องเดินผ่านถนนกลางสวนสาธารณะ

“พาฟลอฟ…” เซียวเซียวพูดอย่างติดๆ ขัดๆ เพื่อจะตามความคิดผู้ชายคนนี้ให้ทันจึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหา แล้วก็รีบเก็บโทรศัพท์ลงทำท่าเหมือนเข้าใจ “อ๋อ ที่คุณให้ลูกอมฉันกินก็เพื่อจะสร้างปฏิกิริยาตอบรับใหม่ขึ้นมาใช่ไหม” ที่แท้การกินลูกอมก็เป็นวิธีการรักษาอีกรูปแบบหนึ่ง เซียวเซียวรู้สึกผิดหวัง คิดว่าจั่นหลิงจวินจะเอาอกเอาใจเธอเพียงอย่างเดียว อุตส่าห์แอบดีใจอยู่ตั้งนาน

“ก็ไม่ได้ถือเป็นการรักษา เป็นแค่การฝึกน่ะ” จั่นหลิงจวินพยักหน้าบอกให้เซียวเซียวมองไปทางสนามหญ้า

“เหมาเหมา ขอมือ” สามีภรรยาคู่หนึ่งกำลังเล่นกับสุนัขโกลเด้น รีทรีฟเวอร์

สุนัขตัวใหญ่นั่งลงอย่างว่าง่ายก่อนจะยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาให้จับ เมื่อได้จับมือแล้วเจ้าของก็หยิบขนมให้เป็นรางวัลชิ้นหนึ่ง

“โฮ่งๆ”

“ฉัน…” เซียวเซียวเกือบจะพ่นคำหยาบออกมา เธอกำหมัดต่อยไปที่ไหล่ของจั่นหลิงจวิน “นี่คุณเห็นฉันเป็นหมาเหรอ”

ดวงตาของจั่นหลิงจวินมีแววขบขัน และเขาก็นิ่งเงียบเป็นการยอมรับ

เซียวเซียวมองเขาหัวเราะ ตัวเองก็โกรธจนขำแล้วจึงอดที่จะต่อยเขาอีกทีไม่ได้ “ที่คุณฝึกฉันมันคืออะไร ปฏิกิริยาที่เจาะเลือดแล้วดีใจแบบนี้เนี่ย” หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เธอจะกลายเป็นพวกมาโซคิสต์* หรือเปล่า ยินดีที่ได้เจาะเลือด ถ้าไม่ถูกเข็มแทงก็จะรู้สึกไม่สบาย ยังไม่ถึงวันที่จะตรวจร่างกายก็จะต้องไปบริจาคโลหิตเพื่อให้เกิดการตอบสนองความต้องการ…

“ไม่ใช่” จั่นหลิงจวินที่โดนเซียวเซียวทุบตีจนเสื้อผ้ามีรอยยับเต็มไปหมดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คือการสร้างปฏิกิริยาดีใจ มีความสุขทุกครั้งที่ได้พูดกับผม”

เซียวเซียวรู้สึกเหมือนกับมีอะไรบางอย่างพุ่งขึ้นมาที่ศีรษะ ทะลุออกไปบนฟ้าแล้วระเบิดออกเป็นพลุ เธอยืนนิ่งไม่ขยับอย่างทำอะไรไม่ถูก

แล้ววายร้ายอย่างจั่นหลิงจวินก็ทำราวกับไม่รู้ว่าคำพูดของตัวเองทำให้คนอื่นรู้สึกอย่างไร เขาเดินต่อไปยังที่จอดรถอย่างนิ่งเฉย

เป็นเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้เซียวเซียวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปตลอดทาง ลืมเรื่องที่ตั้งใจจะพูดไป เธอพยายามคาดเดาความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของจั่นหลิงจวินว่าเป็นแค่คำล้อเล่นหรือเป็นคำประชด หรือว่ากำลังจะบอกใบ้อะไร

จนกระทั่งรถมาถึงที่หมาย เซียวเซียวก็ตั้งชื่อลูกของเขากับเธอไว้เรียบร้อยแล้ว…

“ตอนบ่ายผลเลือดออก ผมจะไปรับผลเลือดกับคุณนะ” จั่นหลิงจวินปลดล็อกประตูพลางเอ่ยบอกเซียวเซียว “ช่วงนี้อาการคุณดีขึ้นมาก ผมว่าครั้งนี้ก็คงลดปริมาณยาได้”

เซียวเซียวลดปริมาณยาไปแล้วครั้งหนึ่ง จากวันละสิบเม็ดลดเหลือวันละห้าเม็ดเท่านั้น

“คงไม่มั้ง ที่กินยาวันละห้าเม็ดนี่เพิ่งจะแค่สองเดือนเองนะ” เซียวเซียวไม่ได้คาดหวังอะไรนัก ทว่าในใจลึกๆ เธอเองก็อยากจะลดปริมาณยาให้เร็ว เพราะจั่นหลิงจวินเคยพูดไว้ว่าถ้าลดยาลงอีกใบหน้าของเธอก็จะคืนสู่สภาพเดิม

จั่นหลิงจวินไม่พูดอะไร เพียงแต่ยิ้มอย่างมีลับลมคมใน ก่อนจะกดล็อกประตูแล้วขับรถออกไป

เซียวเซียวมองท้ายรถเก๋งสีเงินที่ค่อยๆ ห่างออกไป ไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่าถึงได้รู้สึกว่าช่วงนี้จั่นหลิงจวินยิ้มบ่อยเหลือเกิน

“โอ๊ย ลืมเรื่องสำคัญจนได้” เซียวเซียวตบไปที่หน้าผากตัวเองเมื่อนึกได้ว่ายังไม่ได้พูดเรื่องการแข่งขันรอบถัดไป

 

จั่นหลิงจวินพูดถูกจริงๆ ผลการตรวจครั้งนี้ไม่เลวทีเดียว ค่าแอนตินิวเคลียร์แอนติบอดี* จาก 1:540 ลดลงเหลือ 1:324

นี่ถือเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่มาก หลี่กั๋วต้งก็ยินดีมากเช่นกัน ในแผนกนี้ไม่ค่อยได้เห็นคนไข้ที่กลับไปรักษาตัวที่บ้านแล้วยังรักษาตัวได้ดีเช่นนี้ จากคนไข้ที่ร้องว่าจะหยุดกินยาเหมือนเด็กๆ เปลี่ยนเป็นค่อยๆ หันมาดูแลตัวเองจนร่างกายดีขึ้น เหมือนกับการปลูกต้นกล้าเล็กๆ ไม่ถึงสองปีก็กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ ช่างน่าภูมิใจจริงๆ

“แล้วฉันจะลดปริมาณยาได้ใช่ไหม” เซียวเซียวแอบหันไปมองจั่นหลิงจวินพลางกะพริบตาปริบๆ

จั่นหลิงจวินไม่ได้สนใจเธอ เพียงก้มหน้าบันทึกผลการตรวจครั้งล่าสุด ปกติคนที่ป่วยเป็นโรคเอสแอลอีจะไม่ไปศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ เซียวเซียวเป็นคนไข้คนแรกของเขา ไม่มีข้อมูลอ้างอิงใดๆ จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

“ลด” คุณหมอหลี่พูดเสียงดังแล้วเขียนใบสั่งยาใหม่ ให้เซียวเซียวลดปริมาณสเตียรอยด์ลงเหลือสามเม็ด “ภูมิคุ้มกันของคุณยังต่ำอยู่นิดหน่อย ต้องกินไฮดรอกซีคลอโรควินเพิ่มอีกเม็ด แล้วก็อย่าลืมเพิ่มแคลเซียม”

ไฮดรอกซีคลอโรควินเป็นยาเสริม ไม่ใช่สเตียรอยด์ จะกินเพิ่มอีกเม็ดก็ไม่เป็นไร เซียวเซียวจึงรีบตอบรับทันที

เซียวเซียวดีใจอย่างมากและตั้งใจจะเลี้ยงฉลองกับจั่นหลิงจวินมื้อใหญ่

“เพิ่งจะลดเหลือสามเม็ดเท่านั้นเอง…” พอจั่นหลิงจวินเห็นอาหารที่วางอยู่เต็มโต๊ะก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยเห็นด้วย

“ลดเหลือสามเม็ดได้ สองเม็ดก็ไม่ไกลแล้ว ไม่ต้องกินยาก็คงไม่ไกลแล้วมั้ง” เซียวเซียวประคองใบหน้าใหญ่ๆ ของตัวเอง “หน้าของฉันใกล้จะกลับเป็นปกติแล้ว”

จั่นหลิงจวินยังใจดีไม่ทำลายความหวังของเธอ ทำเพียงแค่ยื่นมือไปยกจานหมูสับผัดซอสออกแล้วเปลี่ยนเป็นหัวไช้เท้านึ่งแทน

“วันนี้เสียเลือดไปตั้งเยอะ จะไม่ให้ฉันบำรุงสักหน่อยเหรอ” เซียวเซียวเบะปากอย่างไม่พอใจ เคี้ยวหัวไช้เท้าเหมือนถูกรังแก

“ถ้าอยากบำรุงถึงหน้าก็กินเข้าไปแล้วกัน” จั่นหลิงจวินหยิบจานนกพิราบย่างและอื่นๆ ออกไป เหลือให้เธอกินแค่ผักและเต้าหู้เท่านั้น

เซียวเซียวมองอาหารเกินครึ่งที่ถูกจั่นหลิงจวินหยิบออกไปพลางคิดอย่างสุขปนเศร้าว่าถ้าตัวเองแต่งงานกับเขาจะต้องกินไม่อิ่มทุกวันหรือเปล่า ช่างเป็นภรรยาตัวน้อยๆ ที่ถูกสามีทรมาน แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเขาคนนี้ไม่ใช่สามีของเธอ แม้แต่โอกาสที่จะถูกทรมานหลังแต่งงานก็ยังไม่มี ไม่มีจริงๆ

จั่นหลิงจวินมองใบหน้าเซียวเซียวที่แดงสลับเขียว บางครั้งก็ทำท่าจะร้องไห้สลับกับทำท่าจะหัวเราะ นึกรันทดว่าศิลปินช่างมีจินตนาการล้นเหลือ ก่อนจะฉีกน่องนกพิราบส่งให้เธอ “กินของที่ไม่มีไขมันสักหน่อยก็ยังพอได้อยู่”

เซียวเซียวตาเป็นประกาย สลัดความคิดฉากที่ถูกทรมานโยนทิ้งไป รีบรับน่องนกพิราบมากัดกินทันที และความอร่อยก็ทำให้เธอคิดถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้

“ใช่แล้ว กติกาการแข่งขันการออกแบบรอบถัดไปออกมาแล้วนะ”

เซียวเซียวพูดถึงเรื่องที่ต้องอัดคลิปวิดีโอนำเสนอผลงานอีกครั้ง พร้อมกับยอมรับถ้าจั่นหลิงจวินไม่ต้องการให้พนักงานเปิดเผยใบหน้า เธอจะคุยกับคณะกรรมการว่าจะใช้โมเสกมาปิดบังใบหน้าไว้

“ถึงแม้ว่ารอบคัดเลือกจะไม่ได้ออกทีวี แต่ถ้าฉันเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ คลิปวิดีโอนี้ก็จะต้องฉายทางทีวี” เซียวเซียวพูดอย่างไม่ต้องการปิดบัง โดยส่วนตัวแล้วเธอต้องอยากให้ใช้ภาพเดิมแน่นอน เพราะการออกแบบของเธอเป็นการออกแบบเฉพาะบุคคล มันไม่เพียงแต่เกี่ยวกับรูปร่าง แต่ยังเกี่ยวกับรูปหน้าและลำคออีกด้วย การปิดบังใบหน้าย่อมมีผลต่อผลงานที่ออกแบบไว้อย่างแน่นอน

“โอกาสโฆษณาดีๆ แบบนี้ทำไมถึงจะไม่ทำล่ะ” จั่นหลิงจวินเคี้ยวเนื้อนกพิราบจนหมดเรียบร้อย เหลือทิ้งไว้เป็นโครงกระดูกทั้งโครง แล้ววางเหมือนกับตอนที่มาเสิร์ฟ

“เอ๋?” เซียวเซียวไม่คิดว่าจั่นหลิงจวินจะคิดอย่างนี้ เธอคิดเอาเองมาตลอดว่าเขาไม่อยากจะทำให้เอิกเกริก

“แต่ว่าอย่าพูดถึงชื่อซังอวี๋ล่ะ” จั่นหลิงจวินพูดอย่างจริงจัง

อย่างไรเสียสโมสรซังอวี๋ก็จัดเป็นสโมสรส่วนตัวชั้นสูง การออกทีวีแม้จะช่วยโฆษณา แต่คนรู้จักมากเกินไปก็ไม่ไหว ซังอวี๋ต้องทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าเมื่อโทรมานัดรับบริการที่ซังอวี๋ คนรอบข้างจะไม่รู้ว่าพวกเขาไปฟิตเนสหรือไปศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ

เมื่อได้รับการยืนยันจากจั่นหลิงจวิน เซียวเซียวก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เตรียมตัวสำหรับการแข่งขันรอบถัดไป

เรื่องแรกคือต้องจัดการกับรูปลักษณ์ของตัวเอง พอลดปริมาณยาแล้ว ในอาทิตย์ถัดมาเซียวเซียวก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเพราะอาการบวมของใบหน้า รอยแตกบนใบหน้าซึ่งเกิดจากใบหน้าที่บวมขึ้นก็หายไปเช่นกัน

ซ่งถังสอนวิธีการไล่น้ำบริเวณใบหน้าให้กับเซียวเซียว ให้เธอทำวันละครั้งทุกเช้า

“ฉันว่าคุณควรจะเปลี่ยนทรงผมนะ” โม่จิงจิงนักจิตวิทยาที่ไม่ค่อยพูด อยู่ในชุดซึ่งดูเป็นมืออาชีพที่เซียวเซียวออกแบบ เสนอความเห็นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จากมุมมองทางด้านจิตวิทยา การมองที่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงจะทำให้มีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ทรงผมที่คอยปิดบังใบหน้ามันสำคัญมาก

“ใช่แล้ว ฉันควรจะตัดผม” เซียวเซียวสะบัดผม

“ซังอวี๋ก็ตัดได้” ซ่งถังพูดขึ้น ทุกคนต่างพากันมองเขาด้วยสายตาแปลกประหลาด “ทำไมล่ะ แฟนผมก็ตัดผมที่นี่นะ”

เซียวเซียวส่งสายตาถามหลี่เหมิง

หลี่เหมิงหัวเราะออกมา “อย่าไปฟังหมอนี่เลย หมอนี่เป็นพวกประหยัดจนขี้เหนียว ไม่อยากจะจ่ายเงินให้แฟนไปตัดผม ระวังเขาจะโกนหัวคุณจนโล้นนะ” ห้องซาลอนของที่นี่มีไว้สำหรับคนไข้ที่ต้องโกนศีรษะ อุปกรณ์ก็มีเพียงปัตตะเลี่ยนธรรมดาๆ เท่านั้นเอง

เซียวเซียวทำเสียงจิ๊จ๊ะ เข้าใจความรู้สึกแฟนสาวของซ่งถัง หากเทียบกับจั่นหลิงจวินที่ไม่ให้เธอกินเนื้อสัตว์ แฟนแบบซ่งถังคงทำให้ทรมานกว่ามาก

 

สุดท้ายเหลียงจิ้งเหยาก็พาเซียวเซียวไปหาช่างทำผมฝีมือเยี่ยมคนหนึ่ง บอกว่าเป็นช่างทำผมให้ดารา ตัดแค่หน้าม้ายังราคาแปดร้อยหยวน

“ทำไมมันแพงขนาดนี้” เซียวเซียวได้ยินราคาแล้วก็อยากจะถอยเลยทีเดียว

“ราคาตามคุณภาพย่ะ ถ้าไม่สวยฉันตัดหัวให้แกเตะแทนลูกฟุตบอลเลย”

เหลียงจิ้งเหยาทั้งดึงทั้งลากทั้งกดเธอลงนั่งบนเก้าอี้ รอไม่นานนักก็มีผู้ชายท่าทางกระตุ้งกระติ้งสวมเสื้อเปิดอกถึงสะดือ กางเกงรัดรูป มีห่วงเจาะอยู่ที่ริมฝีปากเดินนวยนาดเข้ามา

เซียวเซียวมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างกลัวๆ

อาจารย์เควินคนนี้เหมือนช่างตัดผมที่ลงมาจากหอพักในมหาวิทยาลัย ค่าตัดผมเพียงแค่สิบห้าหยวน ดูอย่างไรก็ไม่น่าจะโอเค

“ต้องการผลลัพธ์แบบไหน” ชายท่าทางกระตุ้งกระติ้งหยิบหวีออกมาจากกระเป๋าพลางกรีดกรายนิ้วบนศีรษะของเซียวเซียว

“ฉันต้องการจะปิดหน้าใหญ่ๆ นี้ ถ้าไม่ดัดให้โค้ง…” เซียวเซียวพูดยังไม่ทันจบ ช่างทำผมก็ยื่นนิ้วออกมาส่ายไปมาบอกให้เธอหยุดไม่ต้องพูดต่อ

“ต้องการปิดแก้ม ฉันเข้าใจละ อย่างอื่นเดี๋ยวฉันจัดการเอง เชื่อฉันก็พอ” ช่างทำผมที่แต่งตัวจัดมากยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันไปสั่งให้ลูกน้องสระผมให้เซียวเซียวก่อน

จากนั้นเขาก็ตัดผมข้างแก้มให้สั้น แล้วม้วนผมเข้าด้านในด้วยความร้อนสูง ส่วนที่เหลือก็ตัดให้เป็นชั้นๆ ดูแปลกตา ส่วนที่ต่อจากคางลงมาก็ดัดโค้งๆ

โดยปกติช่างทำผมระดับอาจารย์เควินจะเริ่มดัดตั้งแต่ระดับโหนกแก้มลงมา สำหรับรูปหน้าทั่วๆ ไปแล้วก็ได้อยู่ แต่สำหรับแก้มอ้วนบวมและโหนกแก้มสูงๆ แบบเซียวเซียวแล้วจะได้ผลในทางตรงกันข้าม นั่นยิ่งจะทำให้รู้สึกว่าแก้มใหญ่มาก ในจุดนี้เซียวเซียวก็รู้มานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่พูดกับช่างทำผมอีกฝ่ายก็จะไม่ค่อยสนใจ พวกเขาพยายามแสดงให้รู้ว่าพวกเขาต่างหากที่เป็นมืออาชีพ

นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวเซียวเจอช่างที่ยอมดัดผมตั้งแต่แนวกรามลงมาจึงรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย แล้วที่นี่ก็มีเทคนิคการดัดที่เก่งกาจ สามารถทำให้ผมพองขึ้นมาแต่ไม่แตกลอน

เมื่อมองกระจกเห็นใบหน้าของตัวเองเล็กลงฉับพลัน ดวงตาของเซียวเซียวก็เป็นประกายขึ้นมาทันใด “สุดยอดอ่ะ”

“ยังไม่เสร็จ” ชายใจสาวส่ายนิ้วไปมาพลางปลดกิ๊บที่หนีบอยู่กลางกระหม่อมของเซียวเซียวออก ผมที่ถูกดัดหนีบไว้ก็ทิ้งตัวเป็นลอนลงมาและปิดโหนกแก้มสูงๆ ทำให้เซียวเซียวรู้สึกเหมือนกับได้ใบหน้าเดิมของตัวเองกลับคืนมา

 

วันถัดมาก็เป็นการแข่งขันรอบถัดไป ฉินย่าหนานกำลังยืนคุยกับโจวเชี่ยนอยู่ทางด้านหลังเวที

โจวเชี่ยนก็เข้ารอบนี้มาด้วย มหาวิทยาลัยของพวกเธอเป็นสถาบันสอนออกแบบเครื่องแต่งกายอันดับหนึ่งของประเทศ ทุกปีรับนักศึกษาเข้าเรียนน้อยมาก จึงทำให้คนที่จบจากที่นี่ไปมีแต่หัวกะทิจริงๆ ฉินย่าหนานเป็นคนช่างพูด อยู่ทางด้านหลังเวทีนี้ก็รวบรวมเพื่อนนักเรียนเข้ามาได้หมด นอกจากโจวเชี่ยนแล้วก็ยังมีเพื่อนผู้ชายสมัยเรียนอีกคนที่เข้ารอบมาเหมือนกัน

“ในห้องเราก็มีแกกับเซียวเซียวที่ไปได้สวย” โจวเชี่ยนอวยเธออย่างกระตือรือร้น

ฉินย่าหนานรู้สึกภูมิใจเล็กๆ แต่ก็ยังรู้ว่าควรจะเก็บอาการเอาไว้ จึงยิ้มๆ แล้วหันไปถามเพื่อนชายคนนั้น “ตอนนี้นายทำงานอยู่ที่ไหนล่ะ”

“พอลล่าสาขาประเทศจีน” ชายหนุ่มคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พลางยืดอกโชว์เสื้อเชิ้ตที่มีตราสัญลักษณ์ของบริษัทพอลล่า

พอลล่าเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ของโลก และมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าแอลวาย

เมื่อทั้งสองคนได้ยินเข้าก็ตกใจอยู่บ้าง ต้องเข้าใจว่าแบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่างพอลล่าปกติจะไม่มีแผนกออกแบบอยู่ในต่างประเทศ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะ”

“เพิ่งจะเข้ามา ยังไม่ได้เปิดตัวออกไป” ชายหนุ่มชี้ไปที่ชายอีกคนที่สวมเสื้อเชิ้ตของบริษัทพอลล่าและสวมแว่นดำอย่างภูมิอกภูมิใจ “นั่นคือคุณเหยาซิงโจวซีเนียร์ดีไซเนอร์ของพวกเรา เขาเคยได้รางวัลระดับโลกมาแล้ว พวกเธอต้องระวังเขาหน่อยนะ”

เมื่อเห็นโจวเชี่ยนกับฉินย่าหนานหน้าซีดเผือด ชายหนุ่มจึงหยุดไว้เพียงเท่านี้แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ดาวรุ่นเราล่ะ เธอก็เข้ารอบมาเหมือนกันนี่”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ดาวรุ่น’ โจวเชี่ยนกับฉินย่าหนานก็หันมามองตากัน ในแววตามีความรู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ “เข้ารอบแล้ว ตอนนี้เซียวเซียวสวยกว่าเมื่อก่อนอีก อีกสักพักนายเห็นก็อย่าตกใจล่ะ”

“พวกแกเข้ามากันแต่เช้าเชียว”

เสียงของเซียวเซียวดังขึ้นจากทางด้านหลังในเวลานั้นพอดี ทั้งสามคนจึงหันกลับไปมอง โจวเชี่ยนพลันหน้าบิดเบี้ยวทันที

ผมสีน้ำตาลอมทองที่ดัดเป็นลอนใหญ่ช่วยปิดแก้มใหญ่ๆ ไว้ได้อย่างพอเหมาะ การแต่งหน้าดึงจุดเด่นไปอยู่ที่ดวงตาซึ่งมีขนตางอนงาม การเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำและตื่นเช้าทำให้ผิวพรรณขาวเนียนละเอียด เมื่อเทียบกับดีไซเนอร์ที่มักจะทำงานโต้รุ่งจนขอบตาดำคล้ำ เซียวเซียวดูสดใสมีชีวิตชีวากว่ามาก

“เซียวเซียว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ชายหนุ่มรีบเข้าไปจับมือเซียวเซียวเป็นการทักทาย

ทั้งสองทักทายกันสองสามประโยค บอกสถานะของตัวเองในตอนนี้ เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มทำงานอยู่ที่บริษัทพอลล่าประเทศจีน เซียวเซียวก็แสดงความยินดีด้วยอย่างสุภาพหลายประโยค ฝ่ายชายจึงยิ่งรู้สึกลำพองขึ้นอีก แล้วก็อดที่จะอวดเหยาซิงโจวอีกครั้งไม่ได้

สองคนพูดคุยกันด้วยความสนุกสนาน ทิ้งโจวเชี่ยนและฉินย่าหนานให้ยืนเก้ออยู่ด้านข้าง

ในที่สุดโจวเชี่ยนก็ยืดอกใหญ่ๆ เข้ามา “เซียวเซียว หน้าแกดีกว่าหลายวันก่อนหน้านี้ ไปฉีดยาทำให้หน้าผอมมาใช่ไหม”

โจวเชี่ยนเป็นคนมีน้ำเสียงค่อนข้างหนัก พอพูดออกมาก็เหมือนแดกดัน ทว่าพวกเธอเรียนมาด้วยกันถึงสี่ปี เซียวเซียวจึงชินกับวิธีการพูดแบบนี้ของอีกฝ่ายแล้ว จึงไม่ได้ใส่ใจและล้อเล่นกลับไปว่า “หน้าอกแกก็ใหญ่กว่าเมื่อหลายวันก่อนไม่น้อยนะ ไปยัดซิลิโคนมาหรือเปล่า”

หน้าอกใหญ่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงหลายคนต้องการ แต่เมื่อมาอยู่กับโจวเชี่ยนกลับกลายเป็นปมด้อย นี่จึงทำให้เธอโมโหจนเดือดขึ้นมา “หน้าอกใหญ่แล้วจะทำไม ดีกว่าที่มองแทบไม่เห็นแบบของเธอ ยังกับลูกเกดติดผนังอย่างนั้นแหละ”

ประโยคที่พูดออกมาไม่น่าฟังอย่างมาก เหมือนเป็นการดูหมิ่นแบบต่ำๆ ซึ่งเสียงของโจวเชี่ยนก็ดังมากจนดึงดูดสายตาของคนในบริเวณนั้นให้พากันหันมามอง

ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในที่นั้นทำอะไรไม่ถูก เขาเพียงตั้งใจเดินมาเพื่อจะโอ้อวดหน้าที่การงานเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมาอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบของพวกผู้หญิง จึงหัวเราะแห้งๆ แล้วบอกว่าตัวเองมีธุระขอตัวไปก่อน

“แกเป็นบ้าหรือไง” เซียวเซียวพูดด้วยเสียงเย็นๆ เปลี่ยนกระเป๋าถือไปไว้มือซ้ายเพื่อให้มือขวาที่มีแรงตบคนว่างเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์

“อย่าทะเลาะกันสิ อย่าทะเลาะกัน” ฉินย่าหนานเข้าไปห้ามโดยดึงมือของเซียวเซียวเอาไว้

เซียวเซียวสะบัดมือของฉินย่าหนานออกและถลึงตาใส่โจวเชี่ยน ระหว่างพวกเธอทั้งสามคนพลันตึงเครียดขึ้นมา

“เซียวเซียว” เหลียงจิ้งเหยาสะพายกระเป๋าใบใหญ่เดินเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีจึงรีบพุ่งเข้ามาแล้วผลักฉินย่าหนานออกไปอย่างแรง “นี่จะทำอะไร!”

แม้ว่าเหลียงจิ้งเหยาจะรูปร่างเล็กแต่แรงเยอะมาก เธอผลักฉินย่าหนานจนเซออกไป

เดิมทีฉินย่าหนานกำลังจะโมโห แต่เมื่อหันมาเห็นว่าคนที่ผลักตัวเองเป็นเหลียงจิ้งเหยาจึงไม่กล้าพูดอะไร แม้ว่าตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันแต่เธอก็รู้จักเหลียงจิ้งเหยา และก็รู้ว่าเหลียงจิ้งเหยาคือคุณหนูใหญ่ของต้าเหลียงช่วงซื่อ

“พวกเราแค่ล้อเล่นกันน่ะ” โจวเชี่ยนเข้าไปพยุงฉินย่าหนานแล้วรีบแก้ตัว “ฉันก็พูดจาแบบนี้ เซียวเซียว แกก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ อยู่ๆ ทำไมถึงโมโหขึ้นมาล่ะ”

เซียวเซียวหัวเราะหึๆ “ฉันก็ไม่ได้โมโหอะไรนี่ ยายนมลูกโป่ง” พูดจบเธอก็ลากเหลียงจิ้งเหยาเดินออกไป

นม…ลูกโป่ง นมลูกโป่ง?!

โจวเชี่ยนโมโหจนหน้าดำหน้าแดง แต่เหลียงจิ้งเหยายังอยู่ที่นี่ด้วย เธอจึงไม่อาจจะตามไปเอาเรื่องได้ จึงได้แต่ยืนระงับสติอารมณ์

“อยู่ๆ ทำไมถึงได้กัดยายนั่นแบบนั้น” คนรอบๆ พากันหันมามองพวกเธอ ฉินย่าหนานรู้สึกขายหน้าจึงรีบลากโจวเชี่ยนมายืนตรงมุมห้อง

“ก็เพราะแกไง ฉันเห็นท่าทางของแม่นั่นแล้วก็โมโหแทนแกขึ้นมา” โจวเชี่ยนยังโมโหอยู่ เธอพูดจาด้วยท่าทางที่ไม่อาจทนต่อความอยุติธรรมได้ แต่สาเหตุจริงๆ เป็นเพราะอะไรมีเพียงแต่เธอเท่านั้นที่รู้ ตอนเรียนมัธยมต้นเธอมีหน้าอกใหญ่มาก จึงถูกเพื่อนนักเรียนล้อเลียนบ่อยครั้ง แม้ว่าเมื่อโตแล้วหน้าอกใหญ่จะกลายเป็นข้อดี แต่เธอก็ไม่ชอบให้คนที่สวยและหน้าอกเล็กมาพูดเรื่องนี้ เพราะมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกหัวเราะเยาะ

 

“เหยาเหยา แกมาได้ยังไง” ด้านเซียวเซียวเมื่อแยกจากสองคนนั้นแล้วก็แสดงความดีใจที่เห็นเพื่อนรักมาให้กำลังใจออกมาทันที

“ดูนี่” เหลียงจิ้งเหยาหยิบป้ายเจ้าหน้าที่ออกมาจากกระเป๋าแล้วแขวนคล้องคอไว้ ด้านหน้าเขียนว่า ‘ตัวแทนจากต้าเหลียงช่วงซื่อ ผู้สนับสนุน’

“ต้าเหลียงช่วงซื่อเป็นสปอนเซอร์ให้กับการแข่งขันด้วยเหรอ” เซียวเซียวหยิบป้ายมาดู

“อืม ฉันพูดอยู่ตั้งนานกว่าพ่อจะยอมให้ฉันมางานนี้เพื่อมาเชียร์แกโดยเฉพาะ พอใจไหม” เหลียงจิ้งเหยาทำท่าโอ้อวดพลางเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ

“พระเจ้า ฉันซึ้งใจมาก” เซียวเซียวแกล้งทำท่าซาบซึ้งจนน้ำตาไหล ก่อนจะกอดและหอมแก้มเหลียงจิ้งเหยาไปแรงๆ ทีหนึ่ง

“อี๋…อย่ามาทำหน้าฉันเลอะนะ” เหลียงจิ้งเหยาทำท่าเช็ดหน้าอย่างรังเกียจ จากนั้นก็รื้อของในกระเป๋าออกมา มีทั้งยาอม น้ำแร่ เครื่องสำอาง และยังมีขนมปังอีกสองชิ้นใหญ่ ตามที่เธอได้รับข้อมูลภายในมา การแข่งขันรอบนี้จะยืดยาวไปทั้งวัน โดยใช้วิธีการจับสลากในการจัดลำดับ ถ้าโชคไม่ดีเซียวเซียวอาจจะต้องรอถึงตอนบ่าย

พอเซียวเซียวเห็นอีกฝ่ายยื่นขนมปังให้ก็ยิ่งซาบซึ้งใจจนจะร้องไห้ “ถ้าแกเป็นผู้ชาย ฉันคงจะใช้ร่างกายเพื่อตอบแทนตั้งแต่แรกแล้ว”

“ใครอยากจะแต่งกับแก ทั้งขี้เกียจทั้งตะกละ ตู้เสื้อผ้าก็รกอย่างนั้น” เหลียงจิ้งเหยาแสดงท่ารังเกียจ ทำท่าคิดแล้วก็พูดเพิ่มอีกประโยค “แล้วยังตาถั่วชอบอสรพิษจั่นหลิงจวินอีก”

เซียวเซียวอึ้งไปชั่วขณะ “…”

ฉันมอบใจให้แก่เขาไปแล้ว แต่เขาจะคิดเหมือนกันไหมยังไม่รู้เลย

เมื่อตรวจสอบเพื่อยืนยันตัวตนแล้วจึงจับสลาก เซียวเซียวโชคไม่เลวนัก เธอจับได้หมายเลขกลางๆ ตรงกับเวลากลางวันที่จะพักกินข้าว จึงไม่ต้องรอถึงตอนบ่าย

การแข่งขันรอบนี้มีผู้ตัดสินสามคน โดยทั้งสามนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวตัวหนึ่ง จ้องมองผู้เข้าแข่งขันที่ผลักประตูเข้ามาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ที่นี่เป็นห้องอัดขนาดเล็ก ช่างกล้องและช่างไฟต่างประจำที่กันเรียบร้อย บนหน้าจอกำลังแสดงผลงานของเซียวเซียวที่ส่งเข้าแข่งขัน

“สวัสดีค่ะกรรมการทุกท่าน ดิฉันชื่อเซียวเซียวจากบริษัทแฟชั่นเฮ้าส์แอลวายค่ะ”

เซียวเซียวคาดไม่ถึงว่าจะเจอกรรมการที่เป็นคนรู้จักด้วย นั่นคือศาสตราจารย์เฉินที่สอนวิชาบังคับของเธอสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

เซียวเซียวรู้สึกละอายใจขึ้นมา ปีนั้นเธอตกวิชาของอาจารย์ท่านนี้ วิชานั้นมีคะแนนรายงานที่ต้องส่งตามกำหนดทั้งหมดสี่สิบคะแนน เป็นคะแนนจากรายงานชิ้นใหญ่ตอนสุดท้ายเพียงชิ้นเดียว ตอนนั้นเซียวเซียวทำรายงานเสร็จเรียบร้อยและส่งไปแล้วด้วย แต่ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงไม่ได้รับและให้ศูนย์กับเธอ ไม่ว่าเธอจะพยายามอย่างไรก็ไม่มีทางทำคะแนนสอบได้เต็ม เธอจึงตกวิชานั้นไปโดยปริยาย

หลังจากนั้นเธอยังไปที่ออฟฟิศของอาจารย์ท่านนี้และเถียงกันอยู่นาน แล้วเอารายงานของตัวเองส่งให้อาจารย์ดู ทว่าอย่างไรคนหัวโบราณอย่างศาสตราจารย์เฉินก็ไม่ยอมให้เธอผ่าน สุดท้ายก็มองหน้ากันไม่ติด

ในสถานการณ์แบบนี้ถ้าเป็นคนอื่นได้เจออาจารย์คงจะดีใจมาก แต่เซียวเซียวกลับรู้สึกว่าโชคร้ายจริงๆ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามทำเหมือนอาจารย์ไม่มีตัวตน ก่อนจะเปิดไฟล์ขึ้นมาแล้วเริ่มนำเสนอผลงาน

“เสื้อผ้าเซ็ตนี้เป็นการออกแบบให้กับสถานบำบัดและฟื้นฟูสุขภาพชั้นสูงแห่งหนึ่ง…”

เมื่อพูดถึงผลงานของตัวเองแล้วความมั่นใจก็ค่อยๆ กลับคืนมา

“ชุดกีฬาของนักกายภาพบำบัด ชุดลำลองของนักโภชนาการ ชุดกระโปรงแบบโลลิตาของพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ จุดเด่นของเสื้อผ้าเซ็ตนี้ไม่ได้อยู่ที่ความสวยงามเพียงเท่านั้น แต่อยู่ที่ความหรูหราและการใช้ประโยชน์ได้จริงด้วย

ท่านนี้ก็คือนักบำบัดองค์รวมของสโมสร รูปร่างของเขาสมบูรณ์แบบมาก ใกล้เคียงกับนายแบบ แม้อยากจะดึงจุดเด่นออกมามากกว่านี้ แต่เมื่อคิดถึงความจำเป็นทางด้านอาชีพ รูปร่างที่สะดุดตาจนเกินไปจะส่งผลกระทบต่อความเคร่งขรึมในวิชาชีพทางการแพทย์ของเขา ดังนั้นจึงทำให้บริเวณนี้หลวมมากขึ้น ทำให้เขาดูผอมเพรียวขึ้นอีกหน่อย” เซียวเซียวชี้ไปที่รูปของจั่นหลิงจวินอย่างต่อเนื่อง สัมผัสได้ถึงความชื่นชมจากน้ำเสียงที่พูดออกมา

“ดูแลใส่ใจลูกค้าเหมือนเป็นคนรักเป็นสิ่งที่ดีไซเนอร์ควรจะมี” กรรมการร่างอ้วนที่อยู่ในชุดเสื้อคอจีนพูดออกมา

“เป็นการออกแบบที่อัจฉริยะมาก ฉันชอบมาก” กรรมการผู้หญิงที่ใส่แว่นกรอบทองและสวมชุดกี่เพ้าปรบมือให้กับเซียวเซียวยิ้มๆ

ส่วนศาสตราจารย์เฉินไม่ได้พูดอะไร

จากนั้นกรรมการทั้งสามคนก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันแล้วประกาศผลออกมาตอนนั้น

“ผ่าน!”

เมื่อการนำเสนอของเซียวเซียวจบลงก็ถึงเวลาที่กรรมการจะได้ไปกินข้าวและพักผ่อน เมื่อแสงไฟดับลง ทุกคนก็รู้สึกผ่อนคลายลงทันที

“เฮ้อ…เหนื่อยจัง” กรรมการที่อยู่ในชุดกี่เพ้าบิดขี้เกียจด้วยท่าทางอันสง่างาม

ทั้งสามคนเริ่มพูดคุยกัน เซียวเซียวจึงเตรียมจะปลีกตัวออกไป แต่กลับถูกศาสตราจารย์เฉินเรียกเอาไว้

“เธอเป็นลูกศิษย์ของคุณเหรอ ทำไมไม่บอกก่อนล่ะ” กรรมการอีกสองคนถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

“ก็กลัวว่าถ้าเธอไม่ผ่านผมก็จะขายหน้าน่ะสิ” ศาสตราจารย์เฉินพูดขำๆ ทำเอากรรมการอีกสองคนพากันหัวเราะเสียงดัง การแข่งขันมีกฎของการแข่งขัน ถ้าทักทายกันในขณะที่แข่งขันจะเหมือนกับบังคับให้กรรมการคนอื่นๆ ให้คะแนนสูง ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างแน่นอน

เซียวเซียวพูดแทรกอะไรไม่ได้จึงทำได้เพียงยืนยิ้มอยู่ข้างๆ จนกระทั่งกรรมการทั้งสองคนเดินจากไป ศาสตราจารย์เฉินจึงถามสารทุกข์สุกดิบกับเธอ

“ไม่คิดว่าอาจารย์ยังจำหนูได้” เซียวเซียวรู้สึกอาย

“ทำไมถึงจะจำไม่ได้ คนในออฟฟิศของฉันก็จำเธอได้หมดทุกคน” ศาสตราจารย์เฉินพูดยิ้มๆ ตอนนั้นหญิงสาวคนนี้เข้าไปเรียกร้องในออฟฟิศของเขา ทุกวันนี้เขายังจำท่าทางของเธอในวันนั้นได้อย่างแม่นยำ

เซียวเซียวถูมือไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก “ตอนนั้นหนูยังเด็ก ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร อาจารย์ก็อย่าถือสาเลยนะคะ”

ศาสตราจารย์เฉินยิ้มพร้อมกับโบกไม้โบกมือ เรื่องราวมากมายเมื่อผ่านไปแล้วก็เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ที่ไม่น่าพูดถึงเลยด้วยซ้ำ “เมื่อครู่ฉันเจอฉินย่าหนานทางด้านนอก เธอก็มาแข่งด้วยเหรอ”

“ใช่ค่ะ” เซียวเซียวเห็นว่าอาจารย์ไม่ได้ติดใจเรื่องในอดีตก็โล่งใจ ตอนนั้นเธอเองก็ทำไม่ถูก ทั้งๆ ที่อาจารย์ไม่ได้รับรายงานแต่ยังจะบังคับให้อาจารย์ให้คะแนน เมื่อคิดถึงตอนนั้นก็รู้สึกละอายใจขึ้นมาจริงๆ

“ฉันจำเด็กคนนั้นได้ เรียกร้องมากกว่าเธอเสียอีก” ศาสตราจารย์เฉินพูดพร้อมกับส่ายศีรษะ “หวังว่าครั้งนี้จะละเอียดรอบคอบมากขึ้น อย่าได้เกิดอะไรผิดพลาดอีก”

เอ๋?

สายตาของเซียวเซียวแสดงความสงสัยออกมา

คำพูดของอาจารย์หมายความว่าอะไรกันนะ

บทที่ 12

 “เธอผิดพลาดอะไรเหรอคะ”

“นี่ไม่รู้รึ” ศาสตราจารย์เฉินประหลาดใจ แล้วพูดถึงเรื่องในตอนนั้น

การแข่งขันออกแบบเสื้อผ้าที่จัดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยครั้งหนึ่ง เดิมทีฉินย่าหนานสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ และคณะกรรมการตัดสินก็คาดหวังไว้สูงด้วย เธอมีโอกาสได้รางวัลชนะเลิศสูงมาก แต่สุดท้ายผลงานที่ส่งมาแย่มากราวกับเป็นอีกคนหนึ่ง แม้กระทั่งรอบสิบคนสุดท้ายก็ไม่อาจผ่านไปได้ ต่อมาฉินย่าหนานบอกว่าผลงานการออกแบบของเธอถูกสับเปลี่ยนจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

ตอนนั้นเซียวเซียวเดินทางไปแข่งขันที่ต่างเมืองจึงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น หลายปีที่ผ่านมาฉินย่าหนานก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย

เซียวเซียวตกใจกับเรื่องที่ได้ยินอย่างมาก อยากจะถามรายละเอียดต่อ แต่เมื่อเดินมาจนสุดทางเดิน ศาสตราจารย์เฉินก็ปฏิเสธคำเชิญของเธอ ยืนยันว่าจะไปกินข้าวกล่องที่มีจัดเตรียมไว้ให้ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่อ่อนไหว การเชิญอาจารย์ไปกินข้าวไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไรจริงๆ เซียวเซียวจึงไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ

“อ้อ ใช่แล้ว โจวเชี่ยนที่อยู่ห้องเดียวกับหนูก็เข้าแข่งขันด้วย อาจารย์เจอเธอไหมคะ” ก่อนจะแยกจากกันเซียวเซียวก็ถามขึ้นมา

“เฮอะ” เมื่อพูดถึงโจวเชี่ยน ศาสตราจารย์เฉินก็ดูเหมือนจะโมโหขึ้นมา “ต่อไปเธอก็อยู่ห่างๆ โจวเชี่ยนหน่อยละกัน แล้วอย่าไปบอกใครว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเขาล่ะ”

“หา?!” เซียวเซียวตกใจร้องขึ้นมา

“เขาไปทำงานในบริษัทแบบนั้นนานแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย แรงบันดาลใจทั้งหมดก็ยืมมาจากเสื้อผ้าแบรนด์ใหญ่ๆ จับนั่นมาผสมนี่ น่าขายหน้าเสียจริงๆ” ศาสตราจารย์เฉินพูดอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถอนหายใจแล้วเดินจากไป

บริษัทที่โจวเชี่ยนทำงานอยู่รับผลิตตามคำสั่ง แต่ก็มีแบรนด์ของตัวเอง ทว่าสินค้าแบรนด์ของตัวเองส่วนใหญ่ก็จะก๊อปปี้จากเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ เอาแนวทางของเสื้อผ้าแบรนด์ดังๆ มาแล้วแก้ไข เมื่อทำงานอยู่ในที่แบบนั้นนานๆ ย่อมมีผลกระทบต่อความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการก็จะถูกลดทอนลงไป

เซียวเซียวเดินมาถึงโถงใหญ่ก็เห็นโจวเชี่ยนที่ยืนตาแดงๆ กำลังส่ายหน้าไปมา

การคัดเลือกในรอบนี้ประกาศผลทันที ส่วนรายชื่อจะประกาศลงในเว็บไซต์ของการแข่งขันในวันรุ่งขึ้น อันดับหนึ่งก็คือเหยาซิงโจวซีเนียร์ดีไซเนอร์จากบริษัทพอลล่าประเทศจีน อันดับสองได้แก่เหมยซินดีไซเนอร์อิสระ เซียวเซียวอยู่ในอันดับสาม ส่วนฉินย่าหนานผลงานไม่โดดเด่นจึงอยู่อันดับที่สิบกว่า

ยังดีที่รอบนี้คัดจากสามสิบคนเหลือยี่สิบคน ฉินย่าหนานจึงผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ

“นี่มันอะไรกัน อเดอลีนไม่ได้ให้คำแนะนำอะไรกับเซียวเซียวแม้แต่นิดเดียว เซียวเซียวก็ยังได้ที่สาม แต่ฉันสอนเธอตั้งหลายอย่างกลับได้อันดับนี้มา” หลินซือหย่วนมองดูผลการตัดสินแล้วก็โมโห ระบายอารมณ์ใส่ฉินย่าหนานทันที

“ขอโทษค่ะ…” ฉินย่าหนานโดนดุด่าจนหน้าซีด “ผลงานในรอบคัดเลือกฉันเตรียมตัวอย่างรีบร้อน รอบรองชนะเลิศจะไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน” ไม่รู้ว่าทำไมความต้องการจะเอาชนะของหลินซือหย่วนมีมากกว่าเธอเสียอีก ทำให้ฉินย่าหนานแม้จะรู้สึกกดดันแต่ก็ยังมีความยินดีอยู่ในนั้น ดูเหมือนว่าอาร์ตแอดไวเซอร์จะให้ความสำคัญกับเธอมากจริงๆ

 

แต่อเดอลีนไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับผลงานของเซียวเซียวแม้แต่คำเดียว เพียงพูดเรียบๆ อยู่แค่ประโยคเดียวว่า “มีเพียงที่หนึ่งเท่านั้นถึงจะมีคุณค่า”

หรือพูดให้ชัดก็คือ…นอกจากลำดับที่หนึ่งแล้ว ในสายตาของอเดอลีนนั้นที่เหลือก็เป็นสิ่งไร้ค่า

เซียวเซียวได้แต่แอบปาดเหงื่อก่อนจะตอบรับ “ค่ะ”

 

การแข่งขันรอบรองชนะเลิศจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งเดือนข้างหน้า กติกาการแข่งขันยังไม่ได้ประกาศออกมาจึงไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวอย่างไร งานหลักของเซียวเซียวยังคงเป็นเรื่องการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับคอลเล็กชั่นฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน

แบบสเก็ตช์ผ่านการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ทางผู้บริหารก็ได้ให้ข้อเสนอแนะในการแก้ไข เซียวเซียวให้ทุกคนแก้ไขงานของตัวเองให้เรียบร้อย เมื่อผลงานรอบที่สองออกมาแล้วจึงเปิดประชุมเพื่อเลือกแบบเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็จะสามารถกำหนดขนาด การตัดเย็บและทำแพตเทิร์นได้

“ย่าหนาน แกจะไม่ออกแบบเสื้อผ้าใหม่ๆ มาอีกแล้วรึไง”

สองสามวันนี้เซียวเซียวไม่อยากจะพูดคุยกับฉินย่าหนาน แต่เพราะความจำเป็นในเรื่องงานจึงต้องพูดคุยด้วย แบบสเก็ตช์ถูกคัดทิ้งไปหลายแบบ แผนกออกแบบต้องนำผลงานใหม่ๆ เข้าไปทดแทน

“สองวันนี้ฉันถูกอาร์ตแอดไวเซอร์ให้การบ้านจนหัวหมุนทำไม่ทันแล้ว ไม่มีเวลาทำของใหม่หรอก” ฉินย่าหนานตอบปัดๆ ไป แล้วกระวีกระวาดทำการบ้านที่หลินซือหย่วนสั่งไว้ต่อ

การแข่งขันใหญ่ๆ หลายครั้งที่ผ่านมา รอบรองชนะเลิศจะกำหนดหัวข้อออกมาให้ทุกคนไปทำ แล้วจึงนำผลงานออกมาเปรียบเทียบ หัวข้อจะถูกประกาศออกมาตั้งแต่ต้น แต่ครั้งนี้ไม่ได้ประกาศ ซ้ำยังบอกอีกว่ารอบรองชนะเลิศจะเริ่มถ่ายทอดสดทางทีวี

‘ต้องเป็นการทำเสื้อผ้าบนเวทีแน่ๆ’ หลินซือหย่วนในฐานะที่เป็นซีเนียร์ดีไซเนอร์ซึ่งมีประสบการณ์มากมายคาดเดาหัวข้อของการแข่งขันรอบรองชนะเลิศอย่างมั่นใจ ‘แต่ตัดเย็บเสื้อผ้าบนเวทีจะใช้เวลามากไป เฉพาะแค่ทำแพตเทิร์นก็เสียเวลาไปสองชั่วโมงแล้ว ดังนั้นน่าจะเป็นการแก้ไขเสื้อผ้าเก่า’

‘แก้ไขเสื้อผ้าเก่า?’ ฉินย่าหนานกลอกตาอย่างรวดเร็ว ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่หลินซือหย่วนพูดนั้นมีเหตุผล

หลินซือหย่วนนำเสื้อผ้าเก่าที่ล้าสมัยจากโกดังของบริษัทแอลวายมาให้ฉินย่าหนานแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เป็นเสื้อผ้าที่ทันสมัย

ฉินย่าหนานทุ่มเทเตรียมตัวกับการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ แก้ไขเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าเก่าอย่างลืมวันลืมคืน เมื่อปรับแก้เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็จะนำไปให้หลินซือหย่วนดู ช่วงแรกๆ เธอถูกหลินซือหย่วนดุด่าจนร้องไห้กลับมา หลังจากที่เสียน้ำตาไปหลายครั้งก็ทำให้มีทักษะขึ้นมาได้ สีหน้าของหลินซือหย่วนจึงดูดีขึ้นมาบ้าง แต่เธอก็ยังไม่ละความพยายามลงเพื่อการแข่งขันในครั้งนี้ แม้แต่งานของบริษัทก็ไม่ได้ใส่ใจ

“แม้ว่าฉันจะมีแบบเพียงพอ แต่ในฐานะที่เป็นเฮดดีไซเนอร์ฉันขอเตือนแกไว้ก่อน แกส่งแบบเพียงแค่สี่แบบเท่านั้น แล้วก็ถูกตัดทิ้งไปแล้วแบบหนึ่ง ถ้ามีคนเสนอแบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีก แบบที่เหลือของแกสามแบบนั่นก็เสี่ยงที่จะถูกตัดทิ้ง แล้วถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมา เงินอินเซ็นทีฟซีซั่นหน้าของแกก็จะไม่เหลือเลยนะ” เซียวเซียวกอดอกพร้อมกับบอกถึงผลร้ายที่จะเกิดขึ้น

“อืม” ฉินย่าหนานตอบรับอย่างไม่ใส่ใจแล้วทำงานของเธอต่อไป

รอจนกระทั่งเซียวเซียวเดินจากไปแล้ว จ้าวเหอผิงจึงเดินไปที่โต๊ะของฉินย่าหนาน “ย่าหนาน ไม่ใช่ฉันจะว่าอะไรนะ แต่ในเมื่อยกเดรสชุดนั้นให้เซียวเซียวไปแล้วก็ต้องรีบออกแบบเสื้อผ้ามาหลายๆ ชุดหน่อย แต่ดูสิว่าวันๆ เธอทำอะไรอยู่เนี่ย ถ้าชุดเดรสสุ่ยซานยังอยู่ เธอก็ยังได้เงินโบนัสแน่นอน แต่ไม่มีเดรสชุดนั้นแล้วก็จะไม่เหลืออะไรแน่นอน แล้วเธอจะอยู่ยังไง กินลมอิ่มรึไง”

ชุดเดรสสุ่ยซาน?!

ฉินย่าหนานชะงักมือที่ทำงานอยู่แล้วมองหน้าจ้าวเหอผิงอย่างจริงจัง “คุณว่าถ้าฉันยังมีเดรสชุดนั้นอยู่ก็จะไม่ต้องกินลมใช่ไหม”

“มันแน่อยู่แล้ว ไม่แน่ว่าเดรสชุดนั้นอาจจะเป็นตัวท็อปเซลก็ได้ ชุดอื่นๆ ก็เป็นแค่ตัวประกอบ” จ้าวเหอผิงส่ายหน้า เขาไม่เข้าใจว่าทำไมฉินย่าหนานถึงยกของดีๆ แบบนั้นให้กับเซียวเซียว ถ้าเป็นเขาคงทำใจไม่ได้

ฉินย่าหนานเงยหน้าขึ้นมองเซียวเซียวที่กำลังทำงานวุ่นอยู่ที่โต๊ะ แล้วคิดถึงคำพูดของโจวเชี่ยน ‘ทำไมแกถึงได้จำแต่เรื่องที่แม่นั่นทำดีกับแกแต่ไม่จำเรื่องที่แม่นั่นทำร้ายแกบ้าง แกลืมไปแล้วรึไงว่าเมื่อก่อนแม่นั่นทำยังไงกับแกไว้’

เดิมทีเธอมุ่งคิดแต่เรื่องเงินรางวัลจากการแข่งขัน ขอเพียงแค่ติดหนึ่งในสิบในรอบตัดสิน เธอก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นดีสอง เงินเดือนก็เพิ่มขึ้นอีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แล้วถ้าโชคดีชนะเลิศขึ้นมาก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นเอสหนึ่ง เงินเดือนก็จะเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า เพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้าเธอยอมที่จะปล่อยผลงานเล็กๆ ตรงหน้าไป แต่เซียวเซียวล่ะ เซียวเซียวเป็นเฮดดีไซเนอร์ ต่อให้ผลงานของเธอไม่ถูกคัดเลือกเลยสักชิ้น แต่ก็ยังนับผลงานจากผลงานของทุกคน เรียกได้ว่ามีแต่ได้ไม่มีเสีย

ฉินย่าหนานยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เธอพริ้นต์รูปที่ตัวเองแก้ไขเรียบร้อยแล้วออกมา จากนั้นก็นำไปให้หลินซือหย่วน

“ตัวนี้ใช้ได้ แต่ตัวนี้นี่มันอะไรกัน” หลินซือหย่วนฉีกรูปที่ออกแบบดูเป็นระเบียบเรียบร้อยออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโยนใส่ฉินย่าหนาน “ฉันย้ำกับเธอตั้งกี่ครั้งแล้ว ถ้าต้องการให้ได้คะแนนสูงๆ จะต้องทำให้สุดโต่ง ต้องทำให้สะดุดตา คณะกรรมการกับผู้ชมถึงจะจำเธอได้”

“เอ่อ…ค่ะ” ฉินย่าหนานก้มหน้าเก็บเศษกระดาษขึ้นมา

หลินซือหย่วนขมวดคิ้วมองฉินย่าหนานที่มีท่าทางหมดอาลัยตายอยากก็ยิ่งโมโห รู้อย่างนี้เขาควรจะเลือกเซียวเซียว “ถ้าเป็นแบบนี้เธอก็คงเอาชนะเซียวเซียวไม่ได้ รอบตัดสินก็ไม่ต้องมาหาฉันแล้ว”

ฉินย่าหนานขยำเศษกระดาษ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “คุณหลินคะ สองวันนี้ขอส่งการบ้านน้อยหน่อยได้ไหม ฉันต้องรีบออกแบบเสื้อผ้าซีซั่นถัดไป”

“ตอนนี้การแข่งขันสำคัญที่สุด ชุดเดรสสุ่ยซานของเธอชุดนั้นก็เพียงพอแล้ว” หลินซือหย่วนไม่เห็นด้วย เขาต้องฝึกฉินย่าหนานให้หนักกว่านี้ ไม่ยอมให้เธอทำให้เขาขายหน้าในรอบรองชนะเลิศ ไม่อย่างนั้นคนก็จะพูดว่า ‘ความสามารถของหลินซือหย่วนสู้อเดอลีนไม่ได้’

“ฉันโอนชุดเดรสสุ่ยซานให้เซียวเซียวไปแล้ว หากไม่ออกแบบออกมาเพิ่มอีก ปีหน้าฉันคงไม่มีรายได้อะไร” ฉินย่าหนานพึมพำเบาๆ

“อะไรนะ!” หลินซือหย่วนยืดตัวตรงขึ้นมาพลางร้องถามอย่างไม่อยากเชื่อ

 

ขณะที่ฉินย่าหนานถูกเคี่ยวกรำ เซียวเซียวซึ่งอยู่กับอเดอลีนก็ถูกทิ้งเหมือนปลาตากแห้ง

อเดอลีนไม่ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแข่งขันแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ให้เซียวเซียวทำชุดโอตกูตูร์กับเธอเท่านั้น

เสื้อผ้าชุดนี้ตัดให้กับดาราคนหนึ่ง ดาราคนนี้จะเข้าร่วมงานเทศกาลภาพยนตร์ในเดือนหน้าเลยต้องรีบตัดชุดออกมาให้ทันเวลา ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์จะเป็นผู้รับผิดชอบในการตัดชุดโอตกูตูร์ ทุกขั้นตอนการตัดเย็บครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ต้องมีส่วนร่วมด้วย ส่วนรายละเอียดเล็กๆ มากมายต้องให้เธอเป็นคนลงมือทำ ซึ่งใช้ทั้งเวลาและพลังงานมาก

เซียวเซียวมองหุ่นที่มีผ้าเนื้อดีสีไวน์แดงกลัดไว้ด้วยความชื่นชม

อเดอลีนหันกลับมามองเธอแล้วพูดขึ้นว่า “ลูกค้าคนนี้ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าสีไวน์แดงกับความสวยงาม เธอคิดว่าทำเป็นกระโปรงยาวหรือกระโปรงสั้นถึงจะเหมาะ”

นี่เป็นคำถามในห้องเรียนใช่ไหม

เซียวเซียวดึงสติกลับมาขบคิดด้วยความรวดเร็ว คำถามนี้ดูเหมือนจะถามว่าผ้าสีไวน์แดงควรทำเป็นอะไรดี “ก็ต้องดูว่าเธอจะไปเชิญรางวัลหรือรับรางวัล ถ้าไปเชิญรางวัลก็สวมชุดที่เรียบร้อยหน่อย แต่ถ้าไปรับรางวัลก็ต้องสวมชุดให้สะดุดตา”

แววตาของอเดอลีนแสดงความพึงพอใจในคำตอบที่ได้ยิน “เธอไปรับรางวัล”

“ถ้าอย่างนั้นทำเป็นกระโปรงยาวจะดีกว่า” เซียวเซียวตอบยิ้มๆ

อเดอลีนพยักหน้าก่อนจะสะบัดผ้าผืนนั้นออก พันไปที่หุ่นหนึ่งรอบแล้วทอดผ้าออกไปให้เหมือนกับกระโปรงยาว จากนั้นก็พับกระโปรงด้านหน้าขึ้นมา “ขาของเธอเรียวยาว เผยให้เห็นขาจะทำให้ยิ่งเพิ่มความงดงามมากขึ้น ดังนั้นพวกเราจะทำเป็นกระโปรงหางนกนางแอ่น”

เซียวเซียวอยากจะแปลงร่างเป็นกล้องวิดีโอเพื่ออัดคำพูดทุกคำและการกระทำทุกอย่างของอเดอลีนเอาไว้จริงๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าร่วมการตัดเย็บชุดโอตกูตูร์ในทุกขั้นตอน เมื่ออยู่ในนี้ถึงได้รู้ว่ามีเทคนิคอีกมากมาย พอได้ดูการออกแบบของอเดอลีนจนครบทุกขั้นตอนก็เสนอตัวเข้าไปช่วยในการตัดเย็บ เรียนรู้วิธีการปักหมุดติดกลิตเตอร์ อเดอลีนไม่ได้สนใจเธอนัก ปล่อยให้เธอวิ่งเข้าวิ่งออกฝ่ายออกแบบโอตกูตูร์ตามใจชอบ

 

แบบในล็อตที่สองของเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนออกมาก่อนการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ เซียวเซียวจึงทำตามขั้นตอนโดยแจ้งผู้บริหารเพื่อเปิดประชุมหารือเกี่ยวกับสินค้าตัวใหม่ สรุปแบบสุดท้ายออกมา และหารือเกี่ยวกับการออกแบบแอ็กเซสซอรี่

“ล็อตแรกเสนอแบบมาทั้งหมดเจ็ดสิบเอ็ดแบบ ในล็อตนี้มีทั้งหมดสิบสามแบบที่ไม่ผ่าน ยี่สิบห้าแบบต้องปรับปรุง และที่ผ่านการคัดเลือกสามสิบสามแบบ…” เซียวเซียวรวมยอดผลงานแล้วโชว์ขึ้นมาโดยเรียงลำดับตามหมายเลข

ด้านหน้าของทุกคนมีแท็บเลต เนื้อหาที่หน้าจอแสดงขึ้นมาเหมือนกับที่เซียวเซียวกำลังนำเสนออยู่ และยังสามารถกดเข้าไปดูรายละเอียดได้อีกด้วย

หลินซือหย่วนกดเข้าไปดูเดรสสุ่ยซานชุดนั้น ดูชื่อเจ้าของอย่างละเอียด เมื่อเห็นเป็นชื่อของเซียวเซียวก็โมโหขึ้นมาทันที “คุณเซียว คุณอธิบายหน่อยซิว่าทำไมชุดเดรสสุ่ยซานถึงได้อยู่ในชื่อของคุณ”

“หืม?” อเดอลีนจำเดรสสุ่ยซานชุดนั้นได้ดี เธอรีบเปิดกลับไปหน้านั้นอย่างรวดเร็วแล้วค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา “ฉันจำได้ว่ามันเป็นของคุณฉิน”

“ถูกต้องค่ะ มันเคยเป็นผลงานของฉินย่าหนาน แต่เมื่อเดือนก่อนๆ เธอโอนผลงานนี้ให้กับฉันแล้ว คุณสามารถตรวจสอบบันทึกการโอนในระบบได้” เซียวเซียวดึงรูปนั้นขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเห็นชื่อเจ้าของผลงานชิ้นนั้นอย่างเปิดเผย

“เป็นไปได้ยังไง ชุดเดรสสุ่ยซานเป็นผลงานที่คุณฉินภูมิใจมาก จะโอนให้คุณได้ยังไง” หลินซือหย่วนปักใจเชื่อว่าเซียวเซียวต้องถือว่าตัวเองเป็นเฮดดีไซเนอร์แล้วกลั่นแกล้งฉินย่าหนานแน่นอน

อเดอลีนมองเซียวเซียวที่พูดอย่างเปิดเผย คิดว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ เพราะเซียวเซียวไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่เห็นชัดเจนเช่นนี้ จึงหันไปถามฉินย่าหนาน “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

เมื่อทุกคนหันมาจ้องมองฉินย่าหนาน เธอจึงตื่นเต้น พูดอย่างตะกุกตะกักและไม่ชัดเจนว่า “ก็เซียวเซียวถูกใจ ฉันก็เลยให้ไป”

ผู้บริหารที่เดิมทีเชื่อมั่นในตัวเซียวเซียวตอนนี้สีหน้ากลับเปลี่ยนในฉับพลัน “แค่ถูกใจชุดนี้ นี่ก็เพียงพอจะชี้ให้เห็นว่ากำลังข่มขู่”

อเดอลีนสูดหายใจเข้าลึก มองเซียวเซียวด้วยความผิดหวัง “ตอนที่เข้ามาบริษัทใหม่ๆ ฉันก็เคยพูดไว้แล้ว หากนิสัยของดีไซเนอร์อยู่เหนือพรสวรรค์แต่อยู่ต่ำกว่าคุณธรรม ก็ไม่สมควรเป็นดีไซเนอร์”

เซียวเซียวมองท่าทางของฉินย่าหนานก็รู้สึกเดือดขึ้นทันที “ฉินย่าหนาน กรุณาพูดให้ชัดเจนด้วย เดรสชุดนี้เธอให้ฉันเอง แลกเปลี่ยนกับที่เอาจัมพ์สูทของฉันไปเข้าแข่งขัน อะไรที่เรียกว่าฉันถูกใจกัน”

ฉินย่าหนานมองเซียวเซียวอย่างคาดไม่ถึง คิดว่าเซียวเซียวจะพูดตามที่ตกลงกันไว้ว่าเป็นชุดที่พวกเธอออกแบบด้วยกัน จากนั้นเธอจะได้รับลูกต่อได้ไม่ยาก ไม่คิดว่าเซียวเซียวจะขายเธอแบบนี้ สีหน้าของฉินย่าหนานซีดขาวราวกับกระดาษ “เอ่อ…ใช่ค่ะ”

เมื่อเธอทำท่าทางแบบนี้ ผู้บริหารก็ยิ่งไม่เชื่อ ท่าทางแบบนี้ยิ่งเหมือนกับโดนรังแก

“คุณเซียว ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายชี้แจงหรือมีหลักฐานว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม ก็ต้องเอาเดรสชุดนี้คืนให้กับคุณฉิน” ในที่สุดผู้อำนวยการหลัวอวี้ที่นั่งเงียบอยู่นานก็เอ่ยปากขึ้น นี่เป็นขอบข่ายของการบริหารจัดการ เขาต้องพูดอะไรบ้าง

เซียวเซียวกำหมัดแน่น เรื่องนี้หากไม่พูดให้ชัดเจน มันไม่ได้เป็นปัญหาแค่ผลงานเพียงชิ้นเดียว แต่มันจะเป็นรอยด่างในชีวิตดีไซเนอร์ของเธอ

“หลักฐานงั้นเหรอ ฉันมีแน่นอน” เซียวเซียวยิ้มเย็นพลางหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์

 

เมื่อได้ยินว่าเซียวเซียวมีหลักฐาน ฉินย่าหนานหัวใจพลันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม รีบคิดทบทวนทันทีว่าตัวเองได้เหลือหลักฐานอะไรไว้หรือไม่ เมื่อคิดแล้วก็พบว่าไม่มี ทั้งหมดนี้มีแต่การรับคำด้วยปาก นอกเสียจาก…

ตายแล้ว เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงข้อความในโปรแกรมแชตของบริษัทก่อนหน้านี้ จึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู ฉินย่าหนานเย็นวาบไปทั้งตัว ข้อความที่เธอคุยกับเซียวเซียวบอกย้ำเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน

ฉินย่าหนานมองเซียวเซียวเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือกับคอมพิวเตอร์ คิดว่าอีกฝ่ายจะแสดงบันทึกการพูดคุยของพวกเธอทั้งคู่ขึ้นมา จึงรีบคิดหาวิธีรับมือ ตอนนี้มีการทำบันทึกการพูดคุยปลอมขึ้นมามากมาย เธอก็แค่ไม่ยอมรับเท่านั้น…

‘ใช่ แกก็รู้นี่ว่าเดรสชุดนั้นเป็นผลงานที่ดีที่สุดของฉันในซีซั่นนี้ มันต้องขายดีแน่ๆ’

ยามนั้นเองเสียงของฉินย่าหนานก็ดังผ่านลำโพงออกมาอย่างชัดเจนในห้องประชุมขนาดเล็ก ฉินย่าหนานเงยหน้าขึ้นอย่างงงๆ มองไปที่คลิปวิดีโอบนหน้าจอโปรเจ็กเตอร์อย่างไม่อยากเชื่อสายตา

‘เหลือเวลาสมัครอีกไม่ถึงยี่สิบวัน ฉันต้องรวบรวมให้ครบห้าชุด ขอร้องแกล่ะเซียวเซียว ถ้าแกตกลงฉันจะไปจัดการโอนผลงานให้แกทันที’ ภาพมีการขยับขึ้นมากวาดให้เห็นใบหน้าที่กำลังอ้อนวอนของฉินย่าหนาน

‘ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ว่าแกเอาจัมพ์สูทของฉันไปแข่งขันคงไม่ค่อยดีมั้ง’

ห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบสงัด ผู้บริหารที่จะเอาผิดเซียวเซียวเมื่อครู่หน้าม้านไปทันที โดยเฉพาะหลินซือหย่วนนั้นใบหน้าคล้ำจนเขียวไปเลยทีเดียว

“ฉินย่าหนาน! ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน” หลินซือหย่วนตะคอกถามฉินย่าหนานที่กำลังก้มหน้าอยู่ “แล้วที่เธอพูดกับฉันที่ห้องโอตกูตูร์ล่ะ”

หลัวอวี้ได้ยินประโยคนี้เข้าก็เข้าใจเรื่องราวในทันที ต้องเป็นฉินย่าหนานที่มาฟ้องอาร์ตแอดไวเซอร์ก่อน อีกฝ่ายถึงได้ตั้งใจดูชื่อเจ้าของเดรสสุ่ยซานชุดนั้น ฉินย่าหนานคนนี้ช่างโง่เง่าเสียจริงๆ เมื่อคิดถึงคำพูดที่ตัวเองพูดออกไปเมื่อครู่ หลัวอวี้จึงรีบพูดขึ้นมาอีกประโยค “ดูเหมือนว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม…”

พูดยังไม่ทันจบอเดอลีนก็ยกมือขึ้นบอกให้เขาหยุดพูด

‘มันจะเป็นอะไรไป นี่ก็แค่ใช้ตรวจสอบคุณสมบัติรอบแรกเท่านั้น กติกาการแข่งขันรอบนี้ประกาศออกมาช้ามาก ฉันกล้าพูดเลยว่าต้องมีคนไม่น้อยกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่ซื้อแบบของคนอื่นมาเพื่อให้ได้ครบตามจำนวน’

หน้าจอโปรเจ็กเตอร์ยังคงฉายคลิปวิดีโอ คำพูดของฉินย่าหนานที่พูดออกมาเข้าหูอเดอลีนอย่างไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ร่องแก้มของอเดอลีนชัดเจนขึ้น ผู้ช่วยของอเดอลีนสังเกตเห็นก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

“ใช้ผลงานของคนอื่นเข้าร่วมการแข่งขันเป็นการทรยศต่ออาชีพดีไซเนอร์ จัดการเอาเดรสสุ่ยซานชุดนี้ออกจากระบบ ซีซั่นถัดไปจะไม่มีเดรสชุดนี้เด็ดขาด และจะเป็นชื่อของใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น” อเดอลีนพูดเสียงไม่ดังทว่ามีความน่าเกรงขามอยู่ในนั้น ทุกคนก็ได้แต่พยักหน้ายอมรับ

เซียวเซียวดึงสายเชื่อมออก ไม่พูดอะไรต่อแม้แต่คำเดียว การถอดเดรสชุดนั้นออกจากระบบเท่ากับเป็นการตัดลดผลงานของเธอด้วย ถือเป็นการลงโทษที่เธอละโมบโลภมากเล็กๆ แล้วกัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองสีหน้าอเดอลีน เห็นชัดว่ายังมีภาคต่อ เธอจึงเลือกที่จะหุบปากให้สนิท

“โมนิก้า” อเดอลีนเปล่งเสียงเรียกผู้ช่วยของตน อีกฝ่ายจึงรีบเดินขึ้นมาข้างหน้า “นำเรื่องนี้ไปแจ้งกับคณะกรรมการการแข่งขัน ให้พวกเขาคัดชื่อฉินย่าหนานออกจากการแข่งขัน”

“ไม่ อย่าคัดชื่อฉันออกนะคะ” ฉินย่าหนานทำอะไรไม่ถูก ตาแดงขึ้นมาทันที “เพราะมีเวลาจำกัดมาก ฉันออกแบบทั้งห้าชุดไม่ทัน ถึงได้แลกเปลี่ยนกับเซียวเซียว แต่นั่นมันเป็นเพียงจัมพ์สูทชุดเดียวเท่านั้น ขอเพียงมีเวลาให้ฉันอีกหน่อย ฉันก็ออกแบบมันได้ ฉันขอร้องล่ะ ได้โปรดอเดอลีน ให้โอกาสฉันอีกสักครั้งนะ”

หลัวอวี้รั้งโมนิก้าไว้ ส่งสายตาไปยังเลขาฯ ให้รีบไปแจ้งกับซีอีโอ แล้วตัวเองก็ลุกขึ้นยืนข้างๆ อเดอลีนพร้อมกับขอร้อง “อเดอลีน อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม เรื่องภายในเราก็จัดการกันภายในได้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจะไม่ดีกับบริษัทเรานะ”

บริษัทแอลวายมีดีไซเนอร์เข้ารอบไปเพียงสองคนเท่านั้น ถ้าหากเหลือเซียวเซียวเพียงคนเดียว มันดูเสี่ยงเกินไป

ขณะที่ยืนนิ่งอยู่นั้น โจวไท่หรานที่กำลังทำธุระอยู่ทางด้านนอกก็โทรศัพท์เข้ามา อเดอลีนเดินออกจากห้องประชุมเพื่อรับโทรศัพท์ คนที่เหลือก็ได้แต่มองหน้ากัน

“เฮอะ” หลินซือหย่วนร้องออกมา เขาลุกขึ้นยืนแล้วปรายตามองฉินย่าหนาน “ต่อไปเธอไม่ต้องไปที่ห้องโอตกูตูร์ เธอทำให้ฉันพิสูจน์ความจริงได้ข้อหนึ่งว่าความงามอาจจะเป็นเพียงเปลือกนอก แต่ความอัปลักษณ์เป็นสิ่งที่ภายนอกและภายในเหมือนกัน” พูดจบเขาก็กระแทกประตูออกไป

“ฮือๆๆๆ” การดูถูกอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้ทำให้ฉินย่าหนานร้องไห้อย่างสติแตกออกมาทันที ตอนนี้เธอรู้สึกผิดที่ทำไปแล้วจริงๆ ในเมื่อยกเดรสชุดนี้ให้เซียวเซียวไปแล้ว เธอก็ไม่ควรจะละโมบคิดเอากลับมาเป็นของตัวเอง “เซียวเซียว เราพูดกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงไม่บอกว่าพวกเราสองคนออกแบบด้วยกันล่ะ”

เซียวเซียวหัวเราะอย่างเข่นเขี้ยว “ฉินย่าหนาน เธอเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า เมื่อครู่อาร์ตแอดไวเซอร์ถามเธอก่อน แล้วเธอพูดว่ายังไง ถ้าเธอพูดว่านี่เป็นผลงานที่เราสองคนร่วมกันออกแบบ เรื่องนี้ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นแล้วจริงไหม”

ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังต้องเสียข้าวสารล่อ* ยังจะมาโทษว่าไก่ไม่ให้ความร่วมมืออีก คนแบบนี้ช่าง

เพื่อนร่วมแผนกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไม่มีใครกล้าพูดอะไร แม้แต่จ้าวเหอผิงที่สนิทกับฉินย่าหนานก็ไม่ได้พูดปลอบใจอะไรเธอ จึงไม่มีใครออกมาช่วยพูดให้เธออีก

ผ่านไปครู่ใหญ่อเดอลีนก็เดินกลับเข้ามาอีกครั้ง สีหน้ายังคงดูไม่ดีเหมือนเดิม “เรื่องการแข่งขันผู้บริหารจะปรึกษาหารือกันอีกที สำหรับการลงโทษฉินย่าหนานที่ทำผิดกฎ คุณหลัว คุณมาประกาศเองแล้วกัน” พูดจบอเดอลีนก็หมุนตัวเดินจากไป ไม่ได้ยืนกรานที่จะแจ้งเรื่องฉินย่าหนานกับคณะกรรมการ แสดงว่าโจวไท่หรานขอร้องไว้ได้สำเร็จ

หลัวอวี้ก้มหน้ามองโทรศัพท์ อ่านข้อความคำสั่งที่ซีอีโอส่งมาพลางถอนหายใจแล้วบอกให้ทุกคนนั่งลง จากนั้นเขาจึงเดินไปด้านหน้า

“เรื่องราวในครั้งนี้พวกคุณทั้งสองคนต่างต้องรับผิดชอบ หลักใหญ่อยู่ที่ฉินย่าหนาน จากการหารือกันของผู้บริหาร ตัดสินใจเอาผลงานการออกแบบของฉินย่าหนานออกจากระบบทั้งหมด รวมทั้งเดรสสุ่ยซานชุดนั้นด้วย โบนัสปลายปีลดลงครึ่งหนึ่ง” หลัวอวี้พูดแล้วปรายตาไปมองเซียวเซียว เป็นเพราะลดปริมาณสเตียรอยด์บวกกับทรงผมที่เปลี่ยนไปจึงทำให้เธอดูสวยขึ้นกว่าเก่า เสียงของหลัวอวี้จึงอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว “แบบที่ไม่ครบก็ต้องรบกวนให้คุณเซียวร่วมมือกันกับทุกคนออกแบบเพิ่มเติมด้วย”

เซียวเซียวพยักหน้าเป็นการยอมรับผลการตัดสินในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะสูญเสียจัมพ์สูทไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ฉินย่าหนานก็สูญเสียจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว อีกทั้งเซียวเซียวยังได้รู้จักโฉมหน้าที่แท้จริงของคนคนนี้ มิตรภาพระหว่างเรียนก็คงจบลงแต่เพียงเท่านี้

“ฉินย่าหนาน ต่อไปก็ทางใครทางมัน” ขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องประชุม เซียวเซียวก็หันมาพูดกับฉินย่าหนานอย่างจริงจัง ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยทั้งสองมีความสุขที่ได้ออกไปเดินซื้อของด้วยกัน เวลาหางานก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ แต่แล้วความสุขความทุกข์ในชีวิตก็สูญสลายไปกับเดรสสุ่ยซานชุดนั้น เหมือนหมอกที่สลายไปในอากาศ

จากนั้นดูเหมือนว่าฉินย่าหนานจะได้รับความกระทบกระเทือนใจมากจึงยื่นใบลาพักร้อน ก่อนการแข่งขันรอบรองชนะเลิศก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย

 

การนำเสนอผลงานครั้งที่สองได้ตัดสินลงมาแล้ว เนื่องจากผลงานของฉินย่าหนานถูกคัดทิ้งทั้งหมด ผลงานที่ผ่านการคัดเลือกจึงเหลือเพียงสี่สิบเจ็ดแบบ เสื้อผ้าในซีซั่นใหม่จะต้องมีไม่น้อยกว่าห้าสิบแบบ เซียวเซียวจึงได้แต่กระตุ้นให้ทุกคนพยายามช่วยกันออกแบบออกมา

เซียวเซียวนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องของตัวเองพลางยกมือขึ้นกุมศีรษะอย่างคิดไม่ตก เสื้อผ้าธรรมดาทั่วๆ ไปก็ยังพอทำเนา แต่นั่นคือชุดเดรสสุ่ยซานที่จะใช้เป็นตัวทำตลาด ซึ่งเธอจะต้องออกแบบตัวทำตลาดใหม่ออกมาแทนในระยะเวลาสั้นๆ ช่างเป็นเรื่องยากจริงๆ

ในขณะที่กำลังกลัดกลุ้มอยู่นั้นเซียวเซียวก็พลันเหลือบตาไปมองภาพที่ติดอยู่บนผนัง นั่นคือภาพนักเปียโนที่เธอถ่ายไว้ ซึ่งต่อมาเธอใช้เศษผ้าชิ้นเล็กๆ แปะเข้าไปแล้วมอบให้มู่เจียงเทียน เธอจึงเปิดคอมพิวเตอร์หาภาพต้นฉบับมาดูอย่างละเอียด ก่อนจะใช้โปรแกรมทำให้แสงอาทิตย์สว่างมากๆ แสงอาทิตย์ก็จะมีลักษณะเหมือนน้ำตกที่ไหลลงมา จากนั้นก็หมุนภาพแล้วพับให้เป็นทรงกระโปรง ลำแสงของดวงอาทิตย์จึงกลายเป็นลายเส้นของกระโปรง

แสงอาทิตย์สามารถนำพามาซึ่ง ‘ชีวิตใหม่’ ในภาพนั้นแสงอาทิตย์ส่องผ่านกระจกสีจนทำให้เกิดลำแสงสีต่างๆ เมื่อดึงเอาลำแสงสีเขียวและสีเหลืองออกมาใช้ก็เข้ากับหัวข้อและรูปแบบของซีซั่นนี้ได้อย่างดีเยี่ยม

 

วันรุ่งขึ้นเซียวเซียวไปที่ซังอวี๋

“ฉันอยากจะเอาภาพนี้ไปใช้บนเสื้อผ้าที่จะออกแบบ คุณว่าคุณมู่จะเห็นด้วยไหม” เซียวเซียวยืนอยู่หน้าห้องเปียโนพลางถามจั่นหลิงจวินอย่างไม่มั่นใจนัก

“คุณพรีเซนต์ในรอบคัดเลือกเป็นยังไงบ้าง” จั่นหลิงจวินมองไปที่ประตูไม้แกะสลักของห้องเปียโนที่ปิดสนิท ไม่ได้ตอบคำถามทว่าย้อนถามกลับ

“ดีมาก ฉันยังเน้นในความหล่อเหลาของคุณด้วย” เซียวเซียวพยายามประจบโดยชมเขาอย่างไม่สนใจอะไร “กรรมการชมว่าฉันเป็นอัจฉริยะเลยล่ะ”

จั่นหลิงจวินหรี่ตามองเธอ ไม่ได้กล่าวยอมรับหรือปฏิเสธ ก่อนจะรูดการ์ดแล้วเปิดประตูห้องเปียโนเข้าไป เสียงเปียโนที่ลื่นไหลก็ลอยออกมา ห้องเปียโนถูกล็อกเอาไว้ มีเพียงจั่นหลิงจวินที่มีสิทธิ์เปิด ตอนนี้เซียวเซียวถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา เมื่อครู่ที่จั่นหลิงจวินถามเป็นการพูดก่อนจะเปิดประตู

เมื่อกี้ถ้าไม่ได้ชมเขาว่าหล่อจะเป็นยังไงนะ

เซียวเซียวกัดฟันอย่างโกรธๆ เธอแอบมองจั่นหลิงจวินแต่ก็ไม่กล้าถามอะไรออกมา ก่อนจะผลักประตูเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ฉันอยากจะเอาภาพนี้ไปเป็นแบบในการออกแบบเสื้อผ้าชุดใหม่ในซีซั่นหน้า แต่คุณวางใจได้นะคะ ฉันจะใช้แต่ในส่วนของแสงอาทิตย์ ไม่เอาภาพของคุณไปใช้แน่นอน ได้ไหมคะ” เซียวเซียวอธิบายให้มู่เจียงเทียนฟัง

“เดิมมันก็เป็นภาพของคุณ เชิญตามสบาย” มู่เจียงเทียนลุกขึ้นยืนแล้วยกมือขึ้นผายออก

เซียวเซียวยิ้มแล้วจับกระโปรงทำท่าย่อตัวลงไป “ขอบคุณค่ะ”

แม้ว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็น แต่เธอก็ตอบกลับอย่างมีมารยาทและทำด้วยความตั้งใจ จากนั้นก็เดินออกไปอย่างมีความสุข

แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่มู่เจียงเทียนก็รับรู้ได้ถึงการกระทำของเซียวเซียว ใบหน้าเย็นชาจึงอดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้

แม้เวลาจะผ่านไปนานแล้วแต่รอยยิ้มก็ยังคงไม่เลือนหายไป

“ฉันเขียนบทเพลงใหม่ขึ้นมา นายอยากฟังไหม” มู่เจียงเทียนถามจั่นหลิงจวินที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“ไม่ฟัง” จั่นหลิงจวินตอบด้วยสีหน้าไม่พอใจ

มู่เจียงเทียนไม่ได้สนใจอีกฝ่าย เขานั่งลงแล้วเริ่มบรรเลงเพลง เสียงทำนองที่อ่อนโยนทอดยาว สอดแทรกด้วยโน้ตเสียงสูง ก็เหมือนกับตาน้ำเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางภูเขาใหญ่ ทั้งกว้างใหญ่และเล็กแคบ มีทั้งความโดดเดี่ยวและความครึกครื้นอยู่ด้วยกัน

“เพราะไหม” เล่นไปเพียงไม่กี่ห้องดนตรีมู่เจียงเทียนก็หยุดเล่นแล้วเอ่ยถาม

“อืม” จั่นหลิงจวินตอบรับแล้วหมุนตัวเตรียมจะเดินออกไป “ซ้อมไปเถอะ ผมไม่ชอบฟังพี่เล่นเปียโน” เขาไม่ชอบฟังคนเล่นเปียโนโดยเฉพาะเมื่อคนคนนั้นคือมู่เจียงเทียน

“หลิงจวิน” มู่เจียงเทียนเรียกเขา ก้มหน้าวางมือลงบนคีย์บอร์ดเปียโนเบาๆ แล้วกดช้าๆ ทว่าหนักแน่นเสียงดังตึ๊ง “อยู่กับคุณทานตะวันให้เยอะหน่อยเถอะ ทั้งนายและฉันต้องการการช่วยเหลือ”

ในแววตาจั่นหลิงจวินมีความเจ็บปวดผ่านเข้ามาครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ปิดตาทั้งสองข้างลง “ในโลกนี้ไม่มีใครช่วยผมได้ เธอคนนั้นก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน”

หลังจากเขาพูดจบเซียวเซียวก็วิ่งกลับเข้ามาอย่างร่าเริง แล้วยัดบัตรสิบใบลงไปในมือของจั่นหลิงจวิน “บัตรเข้าชมการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ พวกคุณจะไปเชียร์ฉันใช่ไหม”

การแข่งขันรอบรองชนะเลิศมีการถ่ายทอดสดทางทีวี แต่ก็สามารถไปชมยังสถานที่จัดการแข่งขันได้ เดิมทีผู้เข้าแข่งขันหนึ่งคนจะได้บัตรเพียงสองใบ แต่ในฐานะสปอนเซอร์เหลียงจิ้งเหยาจึงได้มาเยอะ

จั่นหลิงจวินกำบัตรไว้ในมือ แววตามีรอยยิ้มขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว คำปฏิเสธมาถึงที่ปากแต่ไม่รู้ว่าโดนผีหรือเทพเจ้าแปลงสารให้เป็น “ไปสิ”

มู่เจียงเทียนแสร้งกระแอมไอแล้วเอ่ยถาม “เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ”

ในที่สุดรูปชุดกระโปรงชุดใหม่ก็ทำเสร็จออกมาอย่างรวดเร็ว เซียวเซียวถือโอกาสตอนที่ทำงานอยู่ในแผนกโอตกูตูร์ส่งรูปให้อเดอลีนดูก่อน

ชุดที่มีแสงอาทิตย์สาดส่อง ลำแสงขนาดใหญ่ทอดตัวจากเข็มกลัดสีรุ้งที่หน้าอกทางด้านซ้ายยาวลงมาด้านล่าง กลายเป็นแถบสีเขียวและสีเหลือง ผสานกับการบานและการหุบของกระโปรง การใช้สีกับจีบของกระโปรงอย่างบ้าบิ่นเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ซึ่งเป็นสีที่ดูกลมกลืนกับใบเหอฮวนและดอกซานซู่ตามธรรมชาติ

อเดอลีนสวมแว่นตากรอบทองพิจารณามองอย่างละเอียดแล้วร้องขึ้นด้วยความยินดีและประหลาดใจ “ฉันชอบเข็มกลัดติดหน้าอกนี้มาก เธอคิดออกมาได้ยังไง ช่างอัจฉริยะจริงๆ”

ปัจจุบันการออกแบบเครื่องแต่งกายที่เป็นที่ยอมรับนั้นนอกจากดีไซเนอร์บ้าระห่ำสองคนจากดีแอนด์จีแล้ว ก็ไม่ค่อยมีใครใช้สีมากกว่าสามสีบนเสื้อผ้า ภาพโดยรวมของชุดกระโปรงชุดนี้ค่อนข้างทึม ใช้สีเขียวสนามหญ้ากับสีเหลืองมะนาวซึ่งเป็นสีที่ใกล้เคียงกัน มันควรจะทำให้รู้สึกไม่มีชีวิตชีวาสักเท่าไร แต่เมื่อใช้สีแรงๆ ของเข็มกลัดที่มีสีถึงเจ็ดสีเรียงกันได้อย่างเหมาะสม ติดอยู่ที่จุดรวมของลายเส้นด้านบน จึงทำให้ดูเหมือนหน้าต่างที่เปิดออกรับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา กระโปรงที่บานและหุบก็ทำให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น เป็นชุดกระโปรงที่สะดุดตาอย่างมาก

เซียวเซียวรู้สึกเขินเมื่อได้รับคำชม เธอเปิดภาพที่มาของเข็มกลัดจากโทรศัพท์มือถือ นั่นก็คือภาพหน้าต่างกระจกสีแบบโบราณนั่นเอง

“โอ้พระเจ้า นักเปียโนอายุน้อย” อเดอลีนรับโทรศัพท์มือถือมามองภาพตรงหน้าอย่างหลงใหลแล้วพูดเสียงแผ่วเบา “เขาต้องโดดเดี่ยวและหมดหวังมาก”

เซียวเซียวอึ้งงันไปเล็กน้อย ตอนนั้นเธอได้ฟังเสียงดนตรีจึงสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกของมู่เจียงเทียน แต่อเดอลีนเพียงแค่เห็นภาพด้านหลังก็รับรู้ความรู้สึกนั้นได้ ความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของครีเอทีฟไดเร็กเตอร์นี่ขั้นเทพจริงๆ

“ตอนนี้เขาดีขึ้นมากแล้วค่ะ” เซียวเซียวมองไอดอลสมัยมัธยมของตนพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างภูมิใจว่า “เขาจะเป็นโชแปง”

“ชุดกระโปรงชุดนี้สุดยอดมาก เธอตั้งชื่อให้ด้วยสิ” อเดอลีนส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้เซียวเซียว อนุมัติให้ชุดกระโปรงชุดนี้ผ่านในทันที

“งั้นก็เรียกว่า ‘ดวงตะวันของฉัน’ แล้วกันค่ะ” เซียวเซียวกะพริบตาอย่างน่าเอ็นดู

อเดอลีนอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเข้าใจ “มาจากเสียงดนตรี มาจากดวงตะวัน เพอร์เฟ็กต์”

 

เมื่อจัดการกับปัญหาเรื่องชุดที่จะใช้ทำตลาดได้แล้ว เซียวเซียวก็รู้สึกโล่งอก ตอนค่ำกลับมาถึงบ้านก็อาบน้ำอุ่น พอกหน้าด้วยมาสก์ นอนลงบนเตียงแล้วอัพเดตความเคลื่อนไหวของเพื่อนๆ ขณะเดียวกันก็หยิบถุงมันฝรั่งทอดกรอบมาเปิดออกกิน

 

หลี่ต้าจ้วง หลี่เหมิง : ไขมันในร่างกายลดเหลือ 9.7 โอ้เย่

ซ่งถังเมียว : ทำไมสาวสมัยนี้ถึงไม่ห่วงตัวเองบ้าง อ้วนขนาดนี้แล้วยังจะกินอีก

จากนั้นก็ส่งรูปที่เขาถ่ายด้านหลังของสาวอ้วนคนหนึ่งในขณะที่เดินถนนตามมาทันที สาวอ้วนคนนั้นมีขนาดตัวเท่าซ่งถังสองคนรวมกัน ในมือยังถือถุงไก่ทอดเดินไปกินไปอีกด้วย

เซียวเซียวหยิบมันฝรั่งทอดที่เพิ่งเข้าไปในปากออกมา

ยามนั้นเองโม่จิงจิงนักจิตวิทยาก็แชร์ลิงก์ ‘ไม่หิวแต่ยังอยากกิน สาเหตุทางด้านจิตใจควรค่าแก่การศึกษา’ มา

แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ

เซียวเซียวมองถุงมันฝรั่งที่เธอเพิ่งเปิดออกอย่างเสียดาย

กินแค่แผ่นเดียวคงไม่เป็นไรหรอก กรุบๆ อร่อยจังเลย

เซียวเซียวไม่ได้กินขนมกรุบกรอบมานาน รู้สึกซาบซึ้งใจจนน้ำตาแทบจะไหล ทว่าวันมะรืนก็คือวันแข่งขันรอบรองชนะเลิศ เพื่อความงามในวันนั้นเธอจึงยอมตัดใจปิดถุงมันฝรั่งทอด แล้วหยิบแอปเปิ้ลที่อยู่ในตู้เย็นออกมากินแทน

พอกลับมาเปิดโทรศัพท์อีกทีก็พบข้อความขอเป็นเพื่อนจากหานตงอวี่

หานตงอวี่?!

เซียวเซียวเกือบจะลืมคนคนนี้ไปแล้ว เพราะตอนนี้หัวใจของเธอมีแต่จั่นหลิงจวินเพียงคนเดียว แฟนเก่าอะไรนั่นก็ถูกลบออกจากความทรงจำไปจนหมดสิ้น

แต่จะว่าไปหานตงอวี่ก็ไม่ได้ทำผิดอะไรมากมาย เขาก็แค่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่พอ ไม่รู้จักดูแลเอาใจใส่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เรื่องของตัวเองต้องมาก่อนเสมอ ตอนเธอนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล เธอก็รู้สึกโกรธเขาอยู่บ้าง ต่อมาเมื่อคิดได้ก็ไม่ได้ติดใจอะไรและไม่ได้มีอารมณ์โกรธด้วย ก็เหมือนลมพัดเมฆหมอกให้สลายไปเท่านั้น

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้โกรธแค้นอะไรเขาแล้ว แต่เซียวเซียวก็ไม่ได้มีนิสัยที่จะติดต่อแฟนเก่าอยู่ ช่องทางการติดต่อก็ลบไปตั้งนานแล้ว แล้วก็ไม่มีทางจะเพิ่มกลับมาด้วย จึงกดปฏิเสธทันทีแล้วกินแอปเปิ้ลต่อ

กริ๊งๆๆๆ

ฉับพลันโทรศัพท์ก็มีเสียงเรียกเข้า เป็นหมายเลขที่เซียวเซียวไม่รู้จัก เมื่อกดรับสายเธอก็ได้ยินเสียงดนตรีดังกระหึ่มมาตามสาย

“เซียวเซียว ฉันเองนะ” เสียงเหมือนคนเมาของหานตงอวี่ดังขึ้น

เซียวเซียวขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจและคิดจะวางสาย แต่ก็รู้สึกว่าเป็นการเสียมารยาทจึงเอ่ยปากต่อไป “มีอะไรหรือเปล่า”

“ฉันเรียนจบแล้ว เลิกกับผู้หญิงคนนั้นแล้วด้วย ตอนนี้มาฝึกงานที่ปักกิ่ง” หานตงอวี่สูดจมูก “เธอพูดเองไม่ใช่เหรอ ฉันเรียนจบแล้วอยากจะให้หางานทำที่ปักกิ่ง”

ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนอยู่กันคนละเมือง หานตงอวี่คิดอยากจะอยู่ในเมืองที่ตัวเองเรียนหนังสือนั้นต่อไป อยากให้เซียวเซียวลาออกจากงานแล้วไปทำงานที่เมืองนั้น แต่เซียวเซียวไม่ยอม และยังหวังว่าหานตงอวี่จะมาทำงานที่ปักกิ่ง ตอนคบกันอย่างไรก็ไม่ยอมมา เมื่อเลิกกันแล้วก็ทำได้ทันที นี่คิดจะประชดกันใช่ไหม

เซียวเซียวไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งใจอะไร “อ้อ ยินดีด้วยนะ”

หานตงอวี่ไม่คิดว่าเธอจะเย็นชาเช่นนี้ จึงนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันมาร้องคาราโอเกะกับเพื่อนๆ เธอมาร้องเพลงด้วยกันนะ”

เซียวเซียวนับถือความคิดของผู้ชายที่เห็นตัวเองเป็นใหญ่คนนี้จริงๆ ตอนนี้ก็สามทุ่มเข้าไปแล้ว จะให้เธอไปร้านคาราโอเกะที่ไม่รู้จักเพียงลำพัง ไปร้องเพลงกับกลุ่มผู้ชายที่ไม่รู้จัก ช่างเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ “ไม่ไป ถ้าไม่มีอะไรฉันวางสายแล้วนะ”

หานตงอวี่ได้ยินเธอปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยก็โมโหขึ้นมา “ผู้หญิงที่ทำงานมานานแล้วแบบพวกเธอ ไม่ใช่ว่าทุกคืนก็จะไปอยู่ในผับในบาร์เหรอ ทำเป็นคนดีไปได้”

“ไสหัวไปซะ!” เซียวเซียวเดือดขึ้นมาและกดวางสายไปในทันที

ทว่าหานตงอวี่ก็ยังโทรกลับมาอีก เซียวเซียวจึงกดตัดสายทิ้ง โทรติดต่อกันสามครั้งเธอก็กดทิ้งทั้งหมด เซียวเซียวโมโหมาก โทรศัพท์ยี่ห้อผลไม้ไม่มีการทําแบล็กลิสต์ เธอจึงกดปิดเครื่องเสียเลย

หานตงอวี่โทรติดต่อเซียวเซียวไม่ได้จึงเปิดรายชื่อในมือถือคิดจะโทรหาเหลียงจิ้งเหยาเพื่อนสนิทของเซียวเซียว เมื่อคิดถึงคุณหนูที่พูดจาโผงผางคนนั้นแล้วก็รู้สึกสยอง จึงกดเลื่อนต่อไปจนกระทั่งเจอชื่อโจวเชี่ยน

ส่วนเซียวเซียวก็ไม่ได้สนใจอีกว่าหานตงอวี่จะทำอะไร

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 พ.ย. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 28

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: