X
    Categories: ชายาแม่ทัพหยามไม่ได้ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ชายาแม่ทัพหยามไม่ได้ บทที่ 3-บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 3

ด้านนอกลานเรือนของเนี่ยหยวนหวา เนี่ยฮูหยินกับผีผาสาวใช้ของเนี่ยชิงหลวนกำลังยืนรออย่างร้อนใจ

พอเห็นเนี่ยชิงหลวนเดินออกมา เนี่ยฮูหยินกับผีผาก็รีบเดินเข้าไปหาทันที

“หลวนเอ๋อร์” เนี่ยฮูหยินคว้ามือทั้งสองข้างของนางไว้ ถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง “เมื่อครู่นางเรียกให้เจ้ารั้งอยู่เพียงลำพัง นางทำอะไรเจ้าหรือไม่”

หลายปีมานี้เนี่ยหยวนหวาทำอะไรเนี่ยชิงหลวนมาบ้าง เนี่ยฮูหยินย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เพราะหวั่นเกรงที่เนี่ยหยวนหวาเป็นบุตรีของเนี่ยฮูหยินคนก่อน ตระกูลฝั่งท่านตาของนางก็นับว่ามีอำนาจ เนี่ยฮูหยินจึงไม่กล้าลงมือทำอะไร

เนี่ยชิงหลวนจึงเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนกับความเอื้ออาทรที่เนี่ยฮูหยินมีให้อยู่บ้าง

จะว่าไปนางก็เป็นมารดาแท้ๆ ของเจ้าของร่างที่ตนได้มาอาศัย ตลอดหลายปีมานี้นางปฏิบัติต่อเนี่ยชิงหลวนด้วยดีอย่างแท้จริง ทว่าพอหวนนึกถึงเรื่องที่เนี่ยฮูหยินกับซิ่นหยางโหวทำลงไปในอดีต เนี่ยชิงหลวนก็รู้สึกว่าเนี่ยฮูหยินช่างเหมาะสมกับคำว่า ‘สาวชาเขียว’ ที่ภายนอกดูบริสุทธิ์ดุจดอกบัวขาวจริงๆ

เนี่ยชิงหลวนไม่เชื่อว่าในตอนที่เนี่ยฮูหยินมาหาซิ่นหยางโหว นางไม่มีความคิดจะมาเป็นภรรยาอีกคนของท่านโหว ไม่เช่นนั้นตอนที่นางตกพุ่มม่าย อยู่บ้านสามีต่อไม่ได้ก็ควรจะกลับไปบ้านมารดาสิ ไฉนต้องมาขอพึ่งพิงซิ่นหยางโหว นอกจากนี้หลังจากนางกับซิ่นหยางโหวกลิ้งบนผ้าปูเตียง เมื่อใดที่เนี่ยฮูหยินคนก่อนส่งคนมาขับไล่นางออกไปจากจวนโหว เรื่องก็มักจะบังเอิญแพร่ไปถึงหูซิ่นหยางโหวได้ทุกครั้ง สุดท้ายนางยังได้อุ้มท้องจนขึ้นเป็นภรรยาเอกอีก

หากบอกว่านางเป็นผู้มีความดีและใสซื่อบริสุทธิ์ สุนัขผ่านมาได้ยินเข้าก็ยังต้องหัวเราะ

เนี่ยชิงหลวนค่อยๆ ดึงมือของตนเองออกจากมือเนี่ยฮูหยินด้วยความรู้สึกซับซ้อน ลอบถูมือกับเสื้อผ้าของตนเอง จากนั้นจึงพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรสำคัญ พี่สาวก็แค่เรียกข้าไว้คุยอะไรด้วยสักหน่อยเท่านั้นเอง”

เนี่ยฮูหยินรีบถาม “นางพูดอะไรกับเจ้าหรือ”

“นางบอกว่าข้าทั้งเฉลียวฉลาดทั้งน่ารัก ต่อไปรอให้นางได้เป็นฮองเฮาเสียก่อน แล้วจะแต่งตั้งข้าให้เป็นองค์หญิง”

ที่เนี่ยชิงหลวนโกหกเช่นนี้เพราะนางไม่อยากให้เนี่ยฮูหยินเป็นกังวล เรื่องแย่ๆ อย่างการมีดาบห้อยอยู่เหนือหัวพร้อมฟาดฟันลงมาทุกคืนวันนั้นให้นางรับรู้เพียงผู้เดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องให้เนี่ยฮูหยินต้องพลอยเป็นห่วงไปด้วย นอกจากนี้นางไม่ชอบเล่าเรื่องของตนเองให้ผู้อื่นฟังเลยจริงๆ

เห็นได้ชัดว่าขืนทำเช่นนั้นความเป็นส่วนตัวของนางก็คงไม่เหลือ

“พูดจริงหรือ” เนี่ยฮูหยินดูจะไม่เชื่อคำพูดนี้พลางถามกลับอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า “นางจิตใจดีถึงเพียงนี้เชียว หลวนเอ๋อร์ อย่ามาหลอกแม่เลย”

เนี่ยชิงหลวนจึงกล่าวว่า “โธ่ ข้าจะหลอกท่านแม่ไปเพื่ออันใดกัน ว่าไปแล้วเราต่างก็เป็นพี่น้อง เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ นางยังจะทำอะไรข้าอีกเล่า”

ผีผาได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเอามือตบอก ทำสีหน้ายินดียิ่งหลังดูตื่นตกใจในตอนแรก บอกว่า “โอ้โห คุณหนูเจ้าคะ เมื่อครู่นี้คุณหนูทำเอาข้าตกใจแทบแย่ ยังคิดว่าที่คุณหนูใหญ่รั้งตัวคุณหนูไว้เพียงลำพัง ไม่แน่อาจหาทางกลั่นแกล้งทรมานคุณหนูก็เป็นได้”

เนี่ยชิงหลวนชายตามองสาวใช้ที่อายุไล่เลี่ยกัน แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “กลั่นแกล้งทรมานข้า? เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่าคุณหนูของเจ้าเป็นพวกกระดูกเหล็กหนังทองแดง อยากจะกลั่นแกล้งข้าหรือ คงต้องคิดดูให้ดีก่อนว่าตนเองมีกำลังพอจะทำได้หรือไม่”

สาวใช้นามว่า ‘ผีผา’ ผู้นี้ติดสอยห้อยตามเนี่ยชิงหลวนมาตั้งแต่อายุได้เพียงห้าขวบ จะเรื่องสามทรรศนะหรือคุณธรรมความดีล้วนถูกนางกล่อมเกลาจนบิดเบี้ยวไปเสียหมด ได้ยินนางพูดมาเช่นนี้ สาวใช้มิเพียงไม่รู้สึกถึงลับลมคมใน กลับกันยังพูดเสริมอย่างพอใจยิ่ง “นั่นสิเจ้าคะ คุณหนูของข้าเก่งกาจ ใครจะมางัดข้อกับคุณหนูข้าที่กระดูกแข็งถึงเพียงนี้ ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าก้อนหินด้วยซ้ำ แข็งแกร่งจนสุนัขไม่กล้ากัด ขืนมากัดคงฟันหักแน่”

เนี่ยชิงหลวนถึงกับเอ่ยคำใดไม่ออก

เห็นได้ชัดว่าเป็นคำชม แต่เหตุใดฟังแล้วพิลึกชอบกลเล่า

เนี่ยฮูหยินมองดูสองนายบ่าวพูดจาหยอกล้อขำขันไม่เอาจริงเอาจังเช่นนี้ ก็รู้ว่าคงสอบถามความจริงจากปากเนี่ยชิงหลวนไม่ได้ ตอนนี้จึงยอมเลิกราไปก่อน ไม่ซักไซ้ไล่เลียงต่อ

เด็กผู้นี้ก็เหลือเกิน ตั้งแต่เล็กแต่น้อยก็รู้สึกว่าไม่สนิทสนมกัน ไม่ว่านางผู้เป็นมารดาจะทุ่มเทกายใจสักเท่าใด ลูกก็ยังวางตัวไม่ห่างเหินแต่ไม่สนิทสนมด้วย บางครั้งยังถึงกับคิดว่าชะรอยตนเองคงติดหนี้อันใดไว้กับลูกตั้งแต่ชาติปางก่อน ชาตินี้จึงต้องมาชดใช้ให้

เฮ้อ…สมแล้วที่เขาว่ามีรักย่อมมีทุกข์

เนี่ยฮูหยินพูดเตือนเนี่ยชิงหลวนอีกหลายประโยค จากนั้นก็จับมือไห่ถังประคองตัวเดินกลับไป

เนี่ยชิงหลวนเองก็พาผีผากลับไปยังเรือนของตนเองเช่นกัน

 

ดอกล่าเหมยสีเหลืองที่มุมกำแพงเพิ่งจะแย้มบานรับหิมะอยู่หยกๆ เพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียวกลิ่นอายแห่งวสันต์ก็เต็มเปี่ยมเมื่อดอกซิ่งสีชมพูระเรื่อเบ่งบานเต็มกิ่ง

เดือนสาม ห้วงยามที่วสันตฤดูกำลังเจิดจรัส เนี่ยหยวนหวาออกเรือนไปเป็นพระชายาองค์รัชทายาท

ตอนที่นางออกไปพ้นจวนโหว เนี่ยชิงหลวนรู้สึกได้ทันทีว่าท้องฟ้าดูกว้างไกล ทะเลแผ่ไพศาล พาให้สภาพจิตใจดีขึ้นมากทีเดียว

อย่างน้อยนับแต่นี้ไปนางก็ไม่ต้องกังวลว่าในอาหารที่กินจะมีสิ่งปลอมปน ไม่ต้องกังวลว่าจะมีงูซ่อนอยู่ยามเลิกผ้าห่มเข้านอน หรือจะมีแมงป่องคลานออกมาจากใต้หมอน

แค่นึกถึงวันเวลาหลายปีที่ผ่านมา เนี่ยชิงหลวนก็รู้สึกว่านางอาจเขียนประวัติศาสตร์ที่อาบด้วยเลือดและน้ำตาออกมาได้ยาวเป็นเล่มทีเดียว

เรื่องเหล่านี้แต่ละตัวอักษรเขียนด้วยเลือดและน้ำตาอย่างแท้จริง นิยายปู้ปู้จิงซินมีเรื่องเช่นนี้หรือไม่เล่า

ยามเย็นวันที่เนี่ยหยวนหวาออกเรือนไป เนี่ยชิงหลวนกินข้าวอย่างตะกรุมตะกรามเข้าไปถึงสามชาม

ผีผาคอยดูอยู่ข้างๆ อย่างเป็นห่วง สุดท้ายอดไม่ได้ต้องออกปากเตือน “คุณหนู กินมากเช่นนี้ไม่กลัวท้องไส้จะระเบิดออกมาหรือเจ้าคะ”

เนี่ยชิงหลวนเคี้ยวตุ้ยๆ มิได้สำรวมกิริยาสักนิด “ข้าดีใจ กินมากหน่อยจะต้องกลัวอะไร”

“แต่เมื่อก่อนตอนที่คุณหนูเคยบอกว่าไม่ดีใจก็กินมากอยู่แล้วนี่เจ้าคะ ไม่ดีใจก็กินมาก ดีใจก็ยังกินมาก โธ่ คุณหนู ถ้ากินเช่นนี้ต่อไป ช้าเร็วต้องกลายเป็นหมูแน่เจ้าค่ะ”

เนี่ยชิงหลวนรู้สึกอับจนคำพูด ได้แต่คิดว่าสาวใช้ผู้นี้ไม่รู้จักพูดจาดีๆ เลยจริงๆ

แต่แล้วจู่ๆ ผีผาก็หัวเราะ “คุณหนู ข้ารู้ว่าท่านดีใจเพราะคุณหนูใหญ่ออกเรือนไปแล้ว เมื่อครู่ข้าแค่ล้อคุณหนูเล่นเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”

จากนั้นนางก็ถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น “คุณหนู ข้าเติมให้อีกชามดีหรือไม่เจ้าคะ”

เนี่ยชิงหลวนวางตะเกียบ ขืนยังกินเช่นนี้ต่อ นางได้กลายเป็นหมูจริงๆ แน่

พอเห็นนางไม่กินแล้ว สาวใช้ก็เข้ามาเก็บชามกับตะเกียบแล้วทำความสะอาด จากนั้นชงชาถ้วยหนึ่งมาให้ ก่อนจะหยิบโถเคลือบก้นขาวที่ใส่เมล็ดแตงมาให้อย่างรู้งาน

สองนายบ่าวนั่งแทะเมล็ดแตงพลางพูดคุยสัพเพเหระกัน

เนี่ยชิงหลวนพลันรู้สึกเสมือนได้เปล่งเสียงร้องเพลงเกษตรกรทาสขับขานเพลงปลดปล่อยก็ไม่ปาน สีหน้ายิ้มแย้มพลางพูดว่า “โธ่ ผีผา ไม่รู้หรือว่าตั้งแต่ข้าสี่ขวบ ก็หวังเพียงให้เนี่ยหยวนหวาออกเรือนไปให้พ้นๆ รอแล้วรอเล่ามาถึงสิบเอ็ดปี รอเสียจนผมแทบจะหงอกหมดหัวอยู่แล้ว”

ผีผาจึงว่า “คุณหนู ไม่คิดหรือว่าคุณหนูใหญ่ออกเรือนไปแล้ว ต่อไปในจวนโหวก็จะไม่มีใครครุ่นคิดหาทางจะจัดการกับคุณหนู หรือหาทางสังหารคุณหนูได้อีกแล้ว”

เนี่ยชิงหลวนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเบิกบาน

ผีผาถ่มเปลือกเมล็ดแตงออกมาแล้วพูดอย่างเย็นชา “คุณหนู ข้าคร้านจะพูดแล้ว ท่านมักจะบอกว่าตนเองเป็นคนเฉลียวฉลาด เหตุใดมองเหตุผลในเรื่องนี้ไม่ออก อย่าลืมสิเจ้าคะ บัดนี้คุณหนูใหญ่ออกเรือนไปแล้วก็จริง แต่คนที่นางแต่งงานด้วยคือองค์รัชทายาทเชียวนะเจ้าคะ รู้หรือไม่องค์รัชทายาทหมายความว่าอันใด คนที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้ในอนาคตอย่างไรเล่า ในภายภาคหน้าคุณหนูใหญ่จะได้เป็นฮองเฮา แค่ช่วงที่นางได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาทจะหาทางจัดการท่านก็ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ ไม่ต้องพูดถึงตอนที่นางได้ขึ้นเป็นฮองเฮา จะบี้ท่านให้ตายเหมือนบี้มดก็ยังทำได้ เชื่อหรือไม่เล่า”

เชื่อสิ เหตุใดจะไม่เชื่อ แต่คนเราไม่จำเป็นต้องเอาแต่คิดในแง่ร้ายกับทุกเรื่องก็ได้กระมัง

เนี่ยชิงหลวนโต้ตอบอย่างมองโลกในแง่ดี “แม้จะบอกว่าฮ่องเต้มีพระโอรสเพียงพระองค์เดียว แต่พระองค์ก็มีพระอนุชาด้วยนี่นา ซ้ำยังมีพระอนุชาตั้งหลายองค์ เมื่อพระปิตุลาเข้มแข็งแต่พระนัดดาอ่อนแอ รอจนพระองค์สวรรคตไปอย่างกะทันหัน ถึงตอนนั้นใครจะได้เป็นฮ่องเต้ก็ยังมีสองทางให้เลือก อีกอย่างต่อให้องค์รัชทายาทได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จริงๆ เจ้าคิดว่าการจัดการตำหนักในเป็นเรื่องง่ายหรือ เด็กน้อยเอ๋ย ช่างไร้เดียงสาจนไม่รู้อะไรบ้างเลย ที่ที่มีสตรีอยู่รวมกันมากนี่ไม่ต้องหวาดหวั่นหรอกหรือ ทั้งคมดาบเงากระบี่ที่มองไม่เห็น คนกินคนไม่ใช่เรื่องแปลก เจ้าคิดว่าเนี่ยหยวนหวาจะได้ขึ้นแท่นเป็นฮองเฮาได้อย่างสบายๆ หรืออย่างไร ต่อให้นางได้เป็นฮองเฮาแล้วก็ต้องหาทางนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นให้ได้อย่างมั่นคง ต่อให้นางนั่งได้มั่นคงดีแล้ว วันนี้ต้องจัดการพระสนมผู้นี้ วันพรุ่งต้องจัดการนางกำนัลผู้นั้น ยังต้องพยายามสอดเท้าข้างหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชสำนักข้างนอก นางจะเหลือกำลังพอมาจัดการข้าอีกหรือ ที่ข้ากินเอร็ดดื่มอร่อยเล่นสนุกเพลิดเพลินก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว”

ผีผาไม่ชอบพูดจาอ้อมค้อม นางจึงสาดน้ำเย็นออกมาโดยไม่ลังเลเช่นนี้

“แต่คุณหนูเจ้าคะ ท่านไม่คิดหรือว่าด้วยนิสัยและวิธีการของคุณหนูใหญ่ ต่อให้สตรีในตำหนักในจะร้ายกาจสักเพียงใด คงมีแต่นางที่จะได้กินคนอื่น ไม่มีใครได้กินนางกระมัง อีกอย่างจากนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นของนาง ต่อให้เหน็ดเหนื่อยจนแทบคลาน ก็คงนอนคิดว่าจะทำอย่างไรท่านจึงจะรู้สึกว่าตายเสียยังดีกว่ามีชีวิตอยู่ ดังนั้นข้าขอเตือนว่าท่านจงมุ่งมั่นคิดหาทางเอาตัวรอดจากเงื้อมมือมารของคุณหนูใหญ่ให้ได้จะดีกว่า”

ในที่สุดเนี่ยชิงหลวนก็ฟังคำพูดผีผาเสียจนหมดอารมณ์จะแทะเมล็ดแตง

ในฐานะคนที่ต่อสู้กับเนี่ยหยวนหวาด้วยสติปัญญาอย่างกล้าหาญมาถึงสิบเอ็ดปี มีหรือนางจะไม่รู้ว่าเนี่ยหยวนหวาเป็นคนเช่นไร

แต่นางมักชอบมองเรื่องทั้งหลายในแง่ดี

ดูเอาสิ ตอนแรกเนี่ยหยวนหวาคิดแต่จะหาทางสังหารนางให้ตายเสีย แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นอยากให้นางอยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น

อันที่จริงเนี่ยชิงหลวนก็รู้ดีว่าเนี่ยหยวนหวาคิดอะไร

เนี่ยหยวนหวาคงคิดว่าความตายนั้นง่ายเกินไปสำหรับเนี่ยชิงหลวน จึงมุ่งมั่นคิดหาทางจัดการนางให้อ่วมเสียก่อน ปล่อยนางมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว รอจนถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยลงมือสังหาร

นี่ก็เหมือนกับการที่แมวจับหนูได้แต่กลับไม่รีบร้อนจะกินเข้าไป เอาแต่หยอกล้อเหยื่อเล่นอย่างช้าๆ จนตนเองรู้สึกหนำใจ เมื่อความแค้นในอกถูกระบายออกมาหมดแล้ว จึงค่อยสวาปามนางเข้าไปเต็มปากเต็มคำ

เนี่ยชิงหลวนเอามือลูบลำคอตนเอง ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกราวกับว่าดาบที่เนี่ยหยวนหวาแขวนไว้ห้อยต่ำลงมาอีกหนึ่งชุ่น

 

สองเดือนผ่านไปเนี่ยชิงหลวนก็ยิ่งรู้สึกว่าดาบที่แขวนไว้เหนือศีรษะเล่มนั้นแกว่งต่ำลงกว่าเดิมอีกหนึ่งชุ่น

นั่นเพราะฮ่องเต้หลงอันตี้ได้ส่งขันทีน้อยผู้หนึ่งมาแจ้งข่าว ฮ่องเต้มีพระประสงค์จะให้ซิ่นหยางโหวพาสมาชิกตระกูลทุกคนทั้งเด็กและเฒ่าชราเข้าวังไปฉลองงานเลี้ยงพระญาติในวันเทศกาลตวนอู่*

หรือพูดอีกอย่างคือในวันเทศกาลตวนอู่จะต้องได้พบหน้าเนี่ยหยวนหวาอย่างแน่นอน

คิดจะเล่นงานข้าในงานเลี้ยงพระญาติกระมัง

เนี่ยชิงหลวนร้องถามฟ้าอย่างไร้สุ้มเสียง นางหวังตัดขาดกับเนี่ยหยวนหวา ตลอดชีวิตนี้ไม่ขอไปมาหาสู่กันอีก กลับต้องไปกินข้าวร่วมกันทั้งที่ไม่มีเหตุจำเป็นเช่นนี้ นางยังจะกินลงหรือ

บทที่ 4

ที่เรียกว่างานเลี้ยงฉลองพระญาติในวันเทศกาลตวนอู่นั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงลูกไม้ประการหนึ่งของฮ่องเต้หลงอันตี้เท่านั้น

ตระกูลที่ได้รับเชิญมาในวันนี้ จะมากน้อยย่อมมีความเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ หรือที่ได้รับการขนานนามว่าราชตระกูล และผู้ที่สามารถขึ้นเป็นราชตระกูลได้ย่อมมีอำนาจและอิทธิพลในมือ ด้วยเหตุนี้จะไม่ให้ฮ่องเต้หลงอันตี้พยายามโน้มน้าวให้พวกเขามายืนฝั่งเดียวกับพระองค์ได้หรือ

คุณสมบัติหนึ่งของผู้เป็นฮ่องเต้คือต้องเชี่ยวชาญในการสร้างสมดุล ฮ่องเต้หลงอันตี้ก็เป็นผู้ที่ชื่นชอบสร้างสมดุลเช่นนี้

งานเทศกาลตวนอู่คราวนี้ ในนามอ้างว่าเป็นการกินเลี้ยงในหมู่พระญาติ แต่โดยนัยแล้วหมายถึงการหนุนสถานะของราชตระกูลให้สูงเด่น ทว่าผ่านไปได้ไม่ถึงสองวันฮ่องเต้หลงอันตี้ก็หาข้ออ้างเชิญขุนนางระดับสูงมาร่วมกินอาหารด้วย หวังใช้งานเลี้ยงครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ‘ตัวข้าประหนึ่งน้ำฟ้าพร่างพรมลงมาสู่ผู้คนอย่างเท่าเทียม ในความคิดของข้า พวกเจ้าล้วนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน’

เป็นเช่นนี้มาหลายปีจนทุกคนคุ้นชินเสียแล้ว เรื่องที่แปลกจึงไม่นับว่าแปลกแต่อย่างใด

เนี่ยชิงหลวนเองก็ติดตามซิ่นหยางโหวกับเนี่ยฮูหยินเข้าวังไปด้วย

วังหลวงแห่งนี้นางเคยเข้ามาแล้วสองครั้ง ล้วนเป็นตอนที่ฮ่องเต้หลงอันตี้เชิญทุกคนมากินเลี้ยงทั้งที่ไม่มีกิจธุระอันใด เมื่อก่อนนางเข้ามาด้วยฐานะบุตรีของขุนนางใหญ่ แต่คราวนี้นางมีฐานะเป็นสมาชิกของราชตระกูลแล้ว

งานเลี้ยงเทศกาลตวนอู่ครั้งนี้จัดขึ้นที่อุทยานตงเน่ย

อุทยานตงเน่ยปลูกดอกเสาเย่าไว้ทั่ว ดังนั้นจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ‘อุทยานเสาเย่า’

ตอนที่เนี่ยชิงหลวนกับบิดามารดาไปถึงอุทยานตงเน่ยนั้น สมาชิกราชตระกูลส่วนใหญ่ก็มาถึงแล้ว

แม้จะบอกว่าฮ่องเต้หลงอันตี้มีเหล่าพระญาติที่เป็นชายซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นชินอ๋องจำนวนไม่น้อย แต่พระญาติเหล่านี้ถูกส่งไปอยู่ตามดินแดนศักดินาของตนนานแล้ว หากไม่มีคำสั่ง ไม่ต้องกลับมาเมืองหลวง ฮ่องเต้หลงอันตี้เองก็มิได้เรียกให้พวกเขาเร่งเดินทางกลับมานับหลายพันหลี่ เพื่อร่วมงานเลี้ยงฉลองเทศกาลตวนอู่

ในบรรดาสมาชิกราชตระกูลขณะนี้ หากว่ากันด้วยเรื่องสถานะแล้ว ครอบครัวของซิ่นหยางโหวจึงถือว่าสูงศักดิ์มากที่สุด

ดังนั้นพอเหล่าสมาชิกราชตระกูลในอุทยานเห็นซิ่นหยางโหวกับครอบครัวเดินเข้ามาถึง ไม่ว่าก่อนหน้าจะพูดคุยเรื่องไร้สาระหรือหลบชมดอกเสาเย่าอยู่ด้านข้างก็ตามที ถึงตอนนี้ล้วนพากันเข้ามาห้อมล้อมครอบครัวของซิ่นหยางโหวและเอ่ยทักทายพวกเขาด้วยคำพูดต่างๆ นานา

ซิ่นหยางโหวรู้สึกมีหน้ามีตาถึงที่สุด อดไม่ได้ที่จะเหยียดแผ่นหลังให้ตรง คำพูดคำจาก็ฟังดูทะนงในศักดิ์ขึ้นมาบ้าง

เนี่ยชิงหลวนเดินตามซิ่นหยางโหว ได้ลิ้มลองประสบการณ์จันทราท่ามกลางหมู่ดาวด้วยตนเอง ก่อนถูกเหล่าสมาชิกหญิงของราชตระกูลดึงไปทางโน้นทีลากมาทางนี้ทีพลางต่างสรรหาคำพูดมายกยอปอปั้น

พูดประจบเอาใจกันเสียจนนางเริ่มจะรำคาญ จึงหาข้ออ้างลากตัวผีผาไปหลบอยู่หลังดงดอกเสาเย่า

สองนายบ่าวไม่สนใจจะรักษากิริยา ตัดสินใจนั่งยองหลบอยู่หลังดงของเสาเย่าสีม่วงอันดกดื่น

ผีผาซับเหงื่อที่หน้าผากแล้วว่า “คุณหนู ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนท่านเคยบอกข้าว่าหญิงคนหนึ่งเทียบได้กับเป็ดห้าร้อยตัวตอนนั้นข้าไม่เชื่อ แต่ตอนนี้เชื่อแล้วเจ้าค่ะ”

เนี่ยชิงหลวนรวบชุดกระโปรงสีม่วงดอกติงเซียงเข้ามาอีกหน่อย กันมิให้ใครที่อยู่ด้านนอกเห็นชายชุดแล้วรู้ว่าหลังดงดอกเสาเย่ามีคนหลบอยู่ ก่อนตอบกลับไป “ก็ใช่น่ะสิ เจ้านับดูที ข้างนอกมีเป็ดสักกี่ตัว”

ผีผาชะโงกออกไปมองเกือบครึ่งศีรษะอย่างระวังตัว ก่อนจะกางนิ้วขึ้นนับ สุดท้ายทำสีหน้างุนงง “คุณหนู มีมากเหลือเกิน ข้านับไม่ถูกหรอกเจ้าค่ะ”

เนี่ยชิงหลวนหัวเราะ “ข้าพูดเฉยๆ เจ้ากลับจริงจัง ไม่ต้องนับหรอก ถ้ามีเป็ดไม่ถึงหมื่น ก็คงมีสักแปดเก้าพันเห็นจะได้”

จู่ๆ ก็มีเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นเหนือกระหม่อม “เป็ดอะไรกันหรือ”

แสงแดดสาดส่องลงมาพอดี อาบชุดปักลวดลายหรูหราสีน้ำตาลอมเหลืองของคนผู้นั้นจนเจิดจ้ากระจ่างตา

ผีผาหันไปพูดกับเนี่ยชิงหลวน “เป็นฉินซื่อจื่อ* เจ้าค่ะ”

ฉินซื่อจื่อมีนามว่า ‘ฉินชิง’ เป็นบุตรชายคนโตของฉินกั๋วกง* ประจำรัชสมัยนี้ บัดนี้มีอายุได้ยี่สิบสามปี ทว่าท่าทางเปี่ยมด้วยสง่าราศีเฉกเช่นขุนนางในเมืองหลวง

ตระกูลของฉินกั๋วกงกับซิ่นหยางโหวคบหาเป็นสหายกันมาอย่างยาวนาน จะบอกว่าสองตระกูลมีสัมพันธ์ใกล้ชิดแนบแน่นก็ไม่เป็นการกล่าวเกินจริง เนี่ยชิงหลวนไม่เพียงรู้จักฉินชิงผู้นี้ ซ้ำยังสนิทสนมกับเขามากด้วย

ในวัยเด็กก็เคยทะเลาะกันมาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง

รอยยิ้มใสซื่อผุดขึ้นบนใบหน้าเนี่ยชิงหลวนทันที “ที่แท้ก็พี่ใหญ่ฉินนี่เอง”

ฉินชิงเองก็ส่งยิ้มไร้พิษภัยกลับไปให้นางเช่นกัน แล้วจึงถามต่อ “เมื่อครู่พวกเจ้าพูดเรื่องเป็ดอะไรกันหรือ”

เนี่ยชิงหลวนคิด เป็ดที่นางพูดถึงเมื่อครู่ มารดาของฉินชิงก็อยู่ในจำนวนห้าร้อยตัวนั้นด้วย จึงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว “อ้อ เมื่อครู่นี้ข้าพูดกับผีผาเรื่องเป็ดย่างที่หอชิงเฟิงน่ากินนัก วันหน้าควรหาโอกาสไปกินเป็ดย่างกันสักมื้อ”

ฉินชิงไม่นึกสงสัยอะไรอีกจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “อีกสักสองสามวันขอเชิญไปกินด้วยกัน”

เขาว่าแล้วก็ค้อมกายลงเล็กน้อย ยื่นมือข้างขวามาให้ รอยยิ้มประดับมุมปากพลางเอ่ย “พื้นนี่เฉอะแฉะนัก ลุกขึ้นเถอะ”

เนี่ยชิงหลวนส่งมือให้เขาแต่โดยดี ฉินชิงคว้าจับไว้แล้วดึงนางให้ลุกขึ้น

ทว่าไม่มีใครฉุดให้ผีผาลุก จึงจำต้องตะเกียกตะกายลุกขึ้นเอง

ฉินชิงดึงเนี่ยชิงหลวนลุกขึ้นแล้ว แต่ยังจับมือนางไว้ไม่ปล่อย กลับกันเขานิ่วหน้าถาม “เหตุใดมือเจ้าเย็นเฉียบนัก”

เนี่ยชิงหลวนไม่มีทางบอกเขาแน่ว่าที่มือตนเป็นเช่นนี้เพราะใกล้เป็นระดู จึงได้แต่แสร้งพูดเป็นอื่นไป “อ้อ อาจเพราะอีกสักครู่จะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว ข้าตื่นเต้น มือก็เลยเย็นน่ะ”

ฉินชิงนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “อีกสักครู่มาอยู่ข้างข้าสิ เจ้าจะได้ไม่ตื่นเต้น”

เนี่ยชิงหลวนแอบล้อเขาอยู่ในใจ พี่ใหญ่ คิดว่าตัวเจ้านิ่งสุขุมดุจผืนทะเลราบเรียบหรือ อยู่ข้างๆ เจ้าแล้วจึงไม่ต้องตื่นเต้น

นางกำลังจะออกปากบอกว่านางขอกลับไปอยู่ข้างๆ บิดามารดาของตน กลับรู้สึกได้ว่ามีคนมากระตุกชายแขนเสื้อหลายที พอนางหันไปมองดู…เป็นผีผานั่นเอง

“คุณหนู” ผีผาเขยิบเข้ามาใกล้ กระซิบบอกว่า “องค์รัชทายาทกับพระชายามาแล้วเจ้าค่ะ”

เนี่ยชิงหลวนหันมองตามสายตาของผีผา พบองค์รัชทายาทหลี่จิ่งหยวนกับเนี่ยหยวนหวากำลังเดินผ่านประตูวงจันทร์เข้ามาในอุทยาน

ผู้คนในอุทยานตงเน่ยพากันคุกเข่าลงทันที ปากร้องถวายความเคารพ “องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พระชายาทรงพระเจริญพันปี”

เนี่ยชิงหลวนก็คุกเข่าไปกับทุกคนด้วย

รอจนองค์รัชทายาทตรัสว่าลุกขึ้นยืนได้ นางจึงค่อยลุกขึ้น

เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็สบสายตาเนี่ยหยวนหวาที่มองมาพอดี

สายตาเนี่ยหยวนหวากวาดมองทั่วร่างของนางหลายรอบ จากนั้นหันไปมองฉินชิง เลื่อนสายตาลงจับจ้องที่มือข้างขวาของฉินชิงอยู่นาน มุมปากปรากฏลักษณะคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วจึงค่อยถอนสายตากลับไป

แม้ฉินชิงจะสวมเสื้อแขนกว้าง แต่ก็ไม่อาจบดบังมือขวาที่ยังกุมมือเนี่ยชิงหลวนได้มิด หากมีคนคิดมากมาเห็นเข้า คงพอจับสังเกตอะไรบางอย่างได้

ในตอนนั้นเองเนี่ยชิงหลวนก็สะบัดมือจากมือของฉินชิง ทำไม้ทำมือบอกลา ก่อนหลบไปหาซิ่นหยางโหวกับมารดาที่ยืนอยู่อีกด้านพร้อมกับผีผา

หลังองค์รัชทายาทกับพระชายาเข้าไปนั่งในที่ของตนแล้ว ผู้คนในอุทยานย่อมพากันเข้าไปห้อมล้อม คราวนี้คนที่เป็นจันทราท่ามกลางหมู่ดาวได้เปลี่ยนเป็นองค์รัชทายาทกับพระชายาแทน

เนี่ยชิงหลวนไม่สนใจจะทำตัวเป็นดาวดวงหนึ่งในหมู่ดาวทั้งหลาย ดังนั้นจึงเลือกสถานที่เงียบสงบเพื่อนั่งหลบผู้คน

แต่นั่งได้ไม่นาน หนึ่งในจันทราสองดวงก็เดินเข้ามาหา

เนี่ยหยวนหวานั่งลงบนเก้าอี้กลมตัวหนึ่งตรงข้ามเนี่ยชิงหลวนแล้วมองดูนาง

เนี่ยชิงหลวนรู้ดีว่าเนี่ยหยวนหวาต้องมาหาเรื่องให้นางเดือดเนื้อร้อนใจเป็นแน่ จึงทำสีหน้ารังเกียจแล้วเบือนหน้าหนี ไม่คิดจะมองคนตรงหน้า

เนี่ยหยวนหวามองประเมินนางอยู่รอบหนึ่งก่อนเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน “สีหน้าน้องสาวดูไม่สู้ดี คิดแล้วช่วงนี้น่าจะใช้ชีวิตอย่างดีมิใช่หรือไร”

ชายกระโปรงของเนี่ยชิงหลวนมีใบไม้ติดอยู่ เป็นใบไม้ที่ติดมาตอนนางนั่งยองอยู่ในดงดอกเสาเย่า นางก้มลงหยิบใบไม้ใบนั้น สองนิ้วหนีบก้านใบไม้บอบบางถือเล่น อีกด้านก็ตอบคำถามเนี่ยหยวนหวาอย่างคร้านๆ “พี่สาว…ท่านไม่อยู่ที่บ้าน ข้าย่อมใช้ชีวิตอย่างดี กินดื่ม นอนหลับ เที่ยวเล่นแสนสบาย ดูสิ ข้าอ้วนขึ้นด้วย”

เนี่ยหยวนหวาหัวเราะ ชายแขนเสื้อกว้างสีแดงเข้มลายดอกไม้ปักดิ้นทองปัดกลีบดอกเสาเย่าที่เพิ่งร่วงหล่นลงบนกระโปรงของนาง “ดูท่าแล้วน้องสาวไม่ได้คิดถึงข้าเลยสักนิด พี่สาวเสียใจจริงๆ”

เนี่ยชิงหลวนรังเกียจท่าทางเสแสร้งของเนี่ยหยวนหวายิ่งนัก คิดอยากทำให้นางอยู่ไม่สุขบ้าง

เนี่ยชิงหลวนเงยหน้าขึ้น พลันเห็นว่าในบรรดาผู้คนที่รายล้อมองค์รัชทายาทมีสตรีในอาภรณ์ชาววังหลายนางยืนอยู่ด้วย แต่ละนางล้วนแล้วแต่หน้าตางดงามสดใส มีเสน่ห์ตรึงใจ

เนี่ยชิงหลวนจึงยิ้มพลางว่า “ท่านมีน้องสาวมากถึงเพียงนี้ ยากนักที่จะมีใจนึกถึงข้า น้องสาวคนนี้รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก”

เนี่ยชิงหลวนพูดจบก็ทิ้งใบเสาเย่าลงกับพื้น แย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “อ้อ ว่าไปแล้วพี่สาวช่างโชคดี ตอนอยู่ที่จวนโหวแต่ละวันมีเพียงข้าผู้เป็นน้องสาวคอยอยู่เป็นเพื่อนเล่นคลายเหงา หลังแต่งกับองค์รัชทายาท พระองค์คงกลัวท่านจะเหงา จึงได้หาน้องสาวมาให้มากมายเช่นนี้ ยามค่ำคืนคอยอยู่ปรนนิบัติองค์รัชทายาท พอกลางวันก็มาเฝ้ารับใช้ท่าน ท่านคงได้ใช้ชีวิตอย่างไม่เปล่าเปลี่ยว ได้ยินว่าน้องสาวคนหนึ่งให้กำเนิดพระโอรสแด่องค์รัชทายาทแล้วด้วย แต่งไปแล้วได้เป็นมารดาของผู้อื่นเช่นนี้ ท่านคงต้องรู้สึกยินดีเป็นแน่”

องค์รัชทายาทหลี่จิ่งหยวนมีพระสนมมากมาย ก่อนแต่งงานกับเนี่ยหยวนหวาก็มีพระโอรสอยู่ก่อนแล้วคนหนึ่ง เรื่องนี้มิใช่ความลับในราชสำนักแต่อย่างใด

ในที่สุดสีหน้าเนี่ยหยวนหวาก็แปรเปลี่ยน แม้แต่เครื่องประทินผิวที่ตบแต่งมาอย่างประณีตก็ยังปิดไม่มิด

เนี่ยชิงหลวนแค่นหัวเราะอย่างดูแคลน

ต่อให้เป็นหญิงที่สามารถประนีประนอมต่อผู้คนเพียงใด แต่ต้องกลายเป็นแม่ของบุตรผู้อื่นหลังตบแต่งได้ไม่นานเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ

ทว่าไม่ช้า สีหน้าเนี่ยหยวนหวาก็กลับมาเป็นปกติ

“น้องสาว เจ้ายังวาจาแหลมคมไม่เปลี่ยน” เนี่ยหยวนหวาทำทีเป็นทอดถอนใจทีหนึ่งแล้วจึงว่า “พอแต่งงานเข้ามาก็มีน้องสาวกลุ่มใหญ่รายล้อม ทั้งมีเด็กชายคนหนึ่งมาเรียกข้าว่าแม่ ความรู้สึกเช่นนี้น้องสาวคงอยากลิ้มลองบ้างกระมัง”

เนี่ยชิงหลวนหัวใจเต้นตุบๆ รับรู้โดยสัญชาตญาณว่าเนี่ยหยวนหวาจะต้องมีแผนร้ายเป็นแน่

จริงดังคาด ชั่วครู่ถัดมาเนี่ยหยวนหวาก็แย้มยิ้มชนิดที่ทำให้เนี่ยชิงหลวนคิดอยากจะใช้รองเท้าฟาดไปสักที

“เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเป็นธุระหาบุรุษเช่นนี้มาแต่งงานให้กับเจ้าก็แล้วกัน” นางเงียบไปสักพักก่อนพูดต่อ “คนทั่วเมืองหลวงย่อมรู้กันดีว่าฉินกั๋วกงซื่อจื่อไม่มีทั้งอนุภรรยาและบุตรชาย เจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ฉินกั๋วกงซื่อจื่อไปเสียเล่า”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 2 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: