บทที่ 13
ทุกวันหลิ่วเหมียนถังนั่งอยู่ในร้าน นอกจากไล่แมลงวันก็เริ่มศึกษาวิธีดีดลูกคิดคำนวณกับนายบัญชี
รอเรียนรู้ได้ผิวเผิน นางก็เริ่มคำนวณค่าใช้จ่ายของบรรดาลูกจ้างด้วยตนเอง
หลังคำนวณบัญชีโดยละเอียดคิ้วเรียวก็ขมวดแน่น
นางรู้สึกว่าวันเวลาที่เผาผลาญเงินไปวันๆ ทว่าไม่มีเงินเข้าเช่นนี้ ไม่อาจเป็นแผนการระยะยาวได้แน่นอน
บางครั้งมีลูกค้าเข้ามาก็มักจะกวาดตามองแวบเดียวแล้วออกไป หลิ่วเหมียนถังเคยเรียกรั้งลูกค้าบางส่วนไว้อย่างเกรงใจ ถามพวกเขาว่ารู้สึกไม่พอใจร้านที่ตรงใด
มีลูกค้าอยู่คนสองคนที่พูดความจริง บอกว่าเครื่องเคลือบดินเผาภายในร้านไม่มีความแปลกใหม่ ต่างเป็นสินค้าทั่วไป ทว่าขายราคาแพงกว่าร้านอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงไปซื้อที่ร้านอื่น ไม่มีความคิดจะซื้อจากร้านของนาง
เมื่อได้ยินคำตอบของลูกค้าหลิ่วเหมียนถังก็กลับไปนอนคิดอยู่หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็พาหลี่มามาออกไปสำรวจแหล่งสินค้าของร้านอื่นๆ ดูว่าจะคิดหาวิธีทำให้กิจการเปลี่ยนไปดีขึ้นได้หรือไม่
เครื่องเคลือบดินเผาในตำบลส่วนใหญ่ออกมาจากโรงเตาเผาที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วตำบล พวกเครื่องเคลือบดินเผาที่ถวายขึ้นไปไม่มีทางหมุนเวียนอยู่ในหมู่ชาวบ้านแต่แรก สินค้าที่วิจิตรประณีตหน่อยล้วนส่งให้ร้านค้าเก่าแก่ขายโดยเฉพาะ ร้านทั่วไปอยากมีส่วนร่วมเพียงใดก็ไม่มีสิทธิ์
และถึงแม้เครื่องเคลือบดินเผาที่หยาบกระด้างหน่อยจะราคาถูก แต่ได้กำไรน้อยมาก หากเลือกวิธีขายปริมาณมากกำไรต่อชิ้นน้อย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกพ่อค้าเร่ตั้งแผงขายอยู่ที่ตรอกหน้าบ้านตน เป็นพวกคนที่ไม่อาจจ่ายค่าใช้จ่ายในร้านได้
หลิ่วเหมียนถังเดินสำรวจติดต่อกันหลายวัน ยิ่งเดินยิ่งรู้สึกหมดความมั่นใจ สงสัยว่าเหตุใดสามีต้องละทิ้งบ้านเมืองเดิมมาทำการค้าที่นี่ด้วย มิหนำซ้ำยังค้าขายเครื่องเคลือบดินเผาที่ไม่มีความโดดเด่นใดๆ อีกต่างหาก เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อไปนานวันเข้าร้านค้าจะต้องขาดทุนเข้าเนื้ออย่างแน่นอน โชคดีที่การซ่อมบำรุงคลองภายในจะทำให้ราคาร้านค้าสูงขึ้น ถึงเวลาอาศัยโอกาสที่ทำเลร้านราคาสูงปล่อยเช่าออกไปก็ยังมีเงินพอให้ใช้ชีวิต
ถึงแม้เงินค่าเช่าจะสู้เงินจากการค้าขายไม่ได้แน่ๆ แต่ถ้ามัธยัสถ์ก็ยังพอใช้ชีวิตอยู่ได้ แต่เกรงว่าจะเลี้ยงดูบ่าวรับใช้ไว้ไม่ไหว
สามีคุ้นชินกับการมีบ่าวรับใช้ข้างกายแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะปรับตัวได้หรือไม่ ส่วนบ่าวหญิงวัยกลางคนในบ้านก็อายุมากแล้ว ถ้าเกิดสกุลชุยเลิกจ้างขึ้นมา เกรงว่าพวกนางจะหาครอบครัวดีๆ ทำงานต่อได้ยาก…
นางเพิ่งจะคุยโวกับหลี่มามาไปว่าวันหน้ามีเนื้อให้กินคำโต ไม่ทันไรกลับต้องไล่พวกนางกลับบ้าน เพียงแค่คิดก็รู้สึกทำใจลำบากแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงสำรวจให้ทั่วอีกรอบหนึ่งอย่างไม่ยอมตัดใจ หวังว่าจะคิดวิธีการใดออก เพียงแต่เดินจนขาหมดแรง ชายกระโปรงเปรอะโคลนชื้นแฉะบนถนนดินแล้วก็ยังคิดหาวิธีชั้นยอดอะไรออกมาไม่ได้
ถ้าเกิดร้านไปไม่รอดจริงๆ นางก็ได้แต่ให้เงินเกษียณพวกหลี่มามามากหน่อย เพื่อวันหน้าพวกนางจะได้ไม่ไร้ที่พึ่งพิง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เงินทองที่เหลืออยู่ในกล่องเครื่องประดับของตนก็จะเหลือไม่มาก ทว่ายังดีที่สกุลชุยมีร้านค้าอยู่ ถึงอย่างไรก็พอฝืนใช้ชีวิตให้ผ่านไปได้
เมื่อคิดเช่นนี้หลิ่วเหมียนถังก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก ไม่อยากเปลืองกำลังขาไปมากกว่านี้จึงตัดสินใจย้อนกลับไปที่ตำบลหลิงเฉวียน
แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจากข้างหลัง “แม่นางหลิ่ว รอก่อน!”
หลิ่วเหมียนถังเหลียวมองไปตามเสียง ที่แท้เป็นท่านหมอเทวดาจ้าวเฉวียนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
พูดไปแล้วจ้าวเฉวียนอยู่ที่นี่เพราะมาตามหายอดฝีมือที่เร้นตัวจากทางโลก
ปกตินอกจากจ้าวจยาอวี๋ชำนาญศาสตร์การแพทย์แล้ว ยังชำนาญพวกด้านภาพวาดและอักษรมากเช่นกัน แต่เขาไม่ค่อยสนใจภาพวาดอักษรของผู้มีชื่อเสียงสักเท่าใด ชอบทำตัวเป็นป๋อเล่อ* ที่รู้จักมองคน เป็นผู้สูงศักดิ์ของบัณฑิตยากจนมากที่สุด
หากสายตาแหลมคมของเขาตามหาจิตรกรยอดฝีมือที่ไม่มีผู้คนสนใจจากในร้านขายภาพวาดพบ นั่นต่างหากถึงจะขับเน้นความยอดเยี่ยมของท่านโหวอย่างเขาได้
วันนี้ในร้านขายภาพวาดของอำเภอข้างเคียง จ้าวเฉวียนค้นเจอภาพดอกบัวในฤดูร้อนภาพหนึ่ง ผู้วาดเป็นบัณฑิตที่สอบไม่ผ่านขุนนางผู้หนึ่ง มีนามที่ใช้สำหรับวาดภาพว่า ‘เฮิ่นปี่จวีซื่อ’
ภาพวาดไม่ได้มีราคา ต่อให้ภายหลังร้านนำมาใส่กรอบก็มีราคาแค่ครึ่งตำลึงเท่านั้น เอาไว้ขายไปยังบ้านนอก ตกแต่งกำแพงบ้านโล้นๆ
แต่จ้าวเฉวียนรู้สึกว่าภาพที่ดูไม่สะดุดตานี้มีฝีพู่กันสง่างาม เลือกใช้สีสันได้โดดเด่น หากจิตรกรมีโอกาสจะต้องได้เป็นจิตรกรชั้นสูงแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงมาตามหาคนในหมู่ชาวบ้านตามที่อยู่ที่บัณฑิตผู้นั้นทิ้งไว้อย่างตื่นเต้น
นึกไม่ถึงว่าแม้จะตามหาบัณฑิตผู้วาดภาพดอกบัวไม่พบ แต่กลับได้พบดอกบัวดอกงามในใจแทนเสียได้ เขาเอ่ยปากเรียกหลิ่วเหมียนถังอย่างกระตือรือร้นทันที
ทุกวันนี้เวลาหลิ่วเหมียนถังได้เจอจ้าวเฉวียน ในใจจะลอบระวังตัวขึ้นมา สามีเตือนนางว่าท่านหมอเทวดาจ้าวมิใช่สุภาพชน ชอบกินหญ้าจากรังของสหายมากที่สุด นางย่อมต้องหลีกเลี่ยงบ้าง
ดังนั้นครั้งนี้พอได้พบกันหลิ่วเหมียนถังจึงไม่ได้ยิ้มแย้มต้อนรับเหมือนวันวาน เพียงย่อตัวคารวะเขาตามมารยาทด้วยสีหน้าบึ้งตึง จากนั้นเอ่ยกับหลี่มามา “เจ้าไปบอกท่านหมอเทวดาจ้าวทีว่าพวกเรายังมีธุระ ไม่อาจเสียเวลาอยู่ต่อ ต้องขอตัวก่อนแล้ว”
จ้าวเฉวียนรู้สึกประหลาดใจ ทั้งๆ ที่ตนยืนอยู่ตรงหน้าหลิ่วเหมียนถังแล้วแท้ๆ นางจะลำบากให้หลี่มามาส่งต่อคำพูดไปไย
แต่เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งดวงตาเฉียบแหลมค้นพบหยกที่ถูกฝังอยู่บ้านนอกก้อนหนึ่ง ในใจย่อมระริกระรี้เป็นธรรมดา อยากจะโอ้อวดความยอดเยี่ยมของตนเองต่อหน้าหญิงงาม แล้วก็ไม่ถือสาต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปเย็นชากะทันหันของนาง เพียงรีบเอ่ยว่า “วันนี้ข้ามาหายอดฝีมือที่ซ่อนเร้นตัวตนผู้หนึ่ง กำลังกลุ้มใจที่ไม่มีใครช่วยดูว่าข้ามองผิดไปเองหรือไม่ ประจวบเหมาะแม่นางหลิ่วอยู่ที่นี่พอดี รบกวนช่วยดูภาพวาดภาพนี้ด้วย”
พูดจบเขาก็สั่งให้บ่าวรับใช้ที่ตามอยู่ข้างกายไปหยิบกระบอกภาพลงมาจากรถม้า จากนั้นกางให้หลิ่วเหมียนถังดูประหนึ่งถวายสมบัติ
เดิมทีหลิ่วเหมียนถังไม่สนใจสักนิด เพียงแค่กวาดตามองผ่านๆ แต่ตอนที่สายตาตกลงบนภาพวาดกลับนิ่งงันไป
แม้นางจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทว่าเพราะบิดากับพี่ชายต่างชอบพวกภาพวาดและของเล่นโบราณ นางจึงพอจะรู้เรื่องอยู่บ้าง แม้ไม่อาจพูดได้ว่าเชี่ยวชาญเรื่องภาพวาดอักษร แต่ยังคงพิจารณาผลงานชั้นสูงชั้นต่ำออก
ดอกบัวภาพนี้เลือกใช้สีเรียบง่าย ทว่ากลับขับเน้นความบริสุทธิ์ของดอกบัวออกมาได้ โดยเฉพาะภาพหางแมลงปอแตะผิวน้ำ สร้างระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ บนผิวทะเลสาบ เกิดความเคลื่อนไหวในความเงียบงัน ดูน่าสนใจอย่างมาก
หลิ่วเหมียนถังมองนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง พลันโน้มตัวลงมองสำรวจแมลงปอตัวนั้นอย่างตั้งใจ
จ้าวเฉวียนเห็นนางสนใจก็รู้สึกลำพองใจอย่างมาก เขาเอ่ยปากถาม “เป็นอย่างไรบ้าง ดูสง่างามบริสุทธิ์มากใช่หรือไม่ ข้ามั่นใจว่าหากคนผู้นี้มีผู้สูงศักดิ์มาสนับสนุน จะต้องเจริญก้าวหน้า มีชื่อเสียงขจรไกลเป็นแน่…แม่นางหลิ่วเต็มใจร่วมเดินทางไปกับข้า เป็นพยานในช่วงเวลาที่ยอดฝีมือท่านนี้ได้พบกับผู้รู้ใจหรือไม่”
หลิ่วเหมียนถังค่อยๆ เหยียดตัวขึ้นตรง ก่อนเอ่ยกับหลี่มามาที่อยู่ด้านข้างว่า “เจ้าถามท่านหมอเทวดาหน่อยว่าจิตรกรท่านนี้บ้านอยู่ที่ใด ไกลจากที่นี่หรือไม่”
หลี่มามาตระหนักดีว่าเหตุใดหลิ่วเหมียนถังจึงทำตัวเหินห่างกับท่านหมอเทวดาเช่นนี้ ในใจพลันลอบสงสารเจิ้นหนานโหวผู้ตกเป็นเหยื่อ จากนั้นเอ่ยตามคำพูดของหลิ่วเหมียนถังออกไปอีกรอบ
จ้าวเฉวียนเห็นหลิ่วเหมียนถังมีเจตนาเดินทางไปกับตนเองจึงดีใจมาก รีบเอ่ยตอบ “ไม่ไกลๆ! อยู่ในตำบลข้างหน้านี้เอง หากพวกเราเดินทางเร็วหน่อย ก่อนดวงอาทิตย์ตกดินก็สามารถเดินทางกลับตำบลหลิงเฉวียนได้ ไม่มีทางเสียเวลากินอาหารเย็นของแม่นางหลิ่ว…แน่นอนว่าถ้ากลับไปไม่ทัน ข้าเองก็รู้จักเหลาสุราริมน้ำรสชาติเยี่ยมแห่งหนึ่ง ข้าสามารถเชิญเจ้าไปนั่งชมทะเลสาบ ลิ้มรสสุราอาหารได้”
หลิ่วเหมียนถังได้ยินแล้วแอบขมวดคิ้ว รู้สึกว่าท่านหมอเทวดาจ้าวนิสัยมีปัญหาจริงๆ มิเช่นนั้นมีหรือจะบุ่มบ่ามชวนภรรยาของสหายไปกินอาหารตามลำพัง?
นางไม่อยากขึ้นรถม้าของจ้าวเฉวียน จึงกลับไปนั่งรถเทียมลาของตนเอง ตามอยู่ข้างหลังรถม้าของจ้าวเฉวียนไปช้าๆ
จ้าวเฉวียนรู้ว่าหลิ่วเหมียนถังนึกว่าตนเองเป็นภรรยาของชุยจิ่ว หญิงสาวผู้หนึ่งออกมาข้างนอกย่อมต้องหลีกเลี่ยงคำครหา จึงไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด
เพียงแต่ในใจเขายิ่งชมชอบความสง่างามของหญิงสาวผู้นี้ แทบอยากให้นางมาอยู่เคียงคู่กันในเร็ววัน ออกเดินทางไปทั่วขุนเขาธารา ตามหาจิตรกรชั้นเลิศที่เร้นตัวอยู่ ใช้ชีวิตดั่งคู่รักเทพเซียนไปด้วยกัน
รอเดินทางไปตามถนนริมทุ่งนาได้ไม่ไกลก็มองเห็นกระท่อมฟางโกโรโกโสแห่งหนึ่ง
ได้ยินว่าบัณฑิตผู้นั้นพำนักอยู่ที่นี่เอง
หลังจ้าวเฉวียนลงจากรถม้าก็สั่งให้บ่าวรับใช้เคาะประตูถามหาเจ้าของบ้าน
แต่บ่าวรับใช้ยังไม่ทันเคาะประตู เจ้าของบ้านก็ปรากฏตัวขึ้นก่อนแล้ว
คนผู้นั้นเป็นบัณฑิตที่สวมเสื้อตัวยาวเก่าขาดมองสีสันเดิมไม่ออก ดูไปก็อายุสี่สิบกว่า หนวดเครายุ่งเหยิง จอนผมหงอกขาว กำลังปัดชายชุดขุดดินอยู่ในลานบ้านอย่างงกๆ เงิ่นๆ เมล็ดพันธุ์ในดินเพิ่งจะงอกต้นอ่อนเล็กๆ ออกมา กำลังโบกไหวไม่หยุดท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ
เมื่อได้ยินคนเรียกบัณฑิตผู้นั้นเหลือบสายตาขึ้นเล็กน้อย หลังชำเลืองมองแขกที่มาเยือนก็พรวนดินต่อไปเงียบๆ
พวกยอดฝีมือนิสัยแปลกๆ ป๋อเล่อจ้าวเฉวียนพบเห็นมามากแล้ว เพียงแค่เอ่ยถามอยู่ข้างนอกประตูอย่างเกรงใจ “ท่านใช่เฮิ่นปี่จวีซื่อที่ขายผลงานให้กับร้านภาพวาดของอำเภอข้างเคียงหรือไม่”
เมื่อได้ยินเขาถามบัณฑิตวัยกลางคนที่พรวนดินจึงเผยอเปลือกตาขึ้นเอ่ยตอบรับ
จ้าวเฉวียนเห็นว่าตามหาถูกคนจึงรีบแสดงเจตนาที่มาหา เปิดเผยว่าตนเองชื่นชมฝีมือสูงส่งของเขา ตั้งใจมาเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้หลังบัณฑิตผู้นั้นมองสำรวจเขาไปหนหนึ่งถึงโยนจอบทิ้งแล้วเดินมาเปิดประตูให้
มองออกว่าชีวิตของท่าน ‘เฮิ่นปี่’ ผู้นี้ไม่ได้สุขสบาย ภายในบ้านไม่มีโต๊ะเก้าอี้ดูดีสำหรับรับแขกเลยจริงๆ จึงปูเสื่อลงบนพื้นที่ราบเรียบในลานบ้าน เชิญบรรดาแขกมานั่งขัดสมาธิคุยกันแทนเสียเลย
หลิ่วเหมียนถังเป็นหญิงสาวย่อมไม่สะดวกจะนั่งร่วมเสื่อกับพวกเขา จึงยืนอยู่เงียบๆ ด้านข้างกับหลี่มามา
ส่วนน้ำชาก็ไม่เห็นบัณฑิตยกมาวาง ยังเป็นบ่าวรับใช้ของจ้าวเฉวียนเห็นว่าบนเสื่อว่างเปล่าเกินไป กลัวว่าเจ้านายตนเองจะหิวกระหาย จึงนำกล่องขนมที่พกมาเองจัดวางไว้ ทั้งยังใช้เตาถ่านบนรถม้าต้มน้ำชาอีกด้วย
บัณฑิตผู้นี้ไม่เกรงใจสักนิด กินอย่างตะกรุมตะกราม เริ่มจากกินขนมในกล่องไปมากกว่าครึ่งก่อน ดูสภาพแล้วอาหารสามมื้อก็เหมือนจะไม่เพียงพอ
รอกินอิ่มไปพอสมควรสีหน้าของบัณฑิตก็ดีขึ้นมาก สามารถพูดคุยเรื่องภาพวาดกับจ้าวเฉวียนอย่างเป็นมิตรได้แล้ว
ทว่าหลังจ้าวเฉวียนกางภาพดอกบัวออก เอ่ยน้ำไหลไฟดับถึงความเห็นของตนเองเกี่ยวกับภาพวาด สีหน้าของบัณฑิตผู้นั้นก็ยิ่งผิดหวังลงเรื่อยๆ
หลังจ้าวเฉวียนพูดจบ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย “ขอบคุณสำหรับคำชมของใต้เท้า แต่ท่านไม่ใช่ผู้ที่เข้าใจภาพวาดนี้ ใกล้มืดแล้ว เชิญกลับไปเถอะ!”
จ้าวเฉวียนกำลังพูดติดลม ใครจะคาดว่ากลับถูกเฮิ่นปี่จวีซื่อผู้นี้สาดน้ำเย็นราดใส่ศีรษะ ช่างชวนให้เสียอารมณ์จริงๆ
หากเป็นปกติเขาจะมองว่าบัณฑิตผู้นี้แค่นิสัยเสียเฉยๆ แต่ตอนนี้ถูกต่อว่าว่าเป็นคนที่ไม่เข้าภาพวาดเบื้องหน้าหญิงงาม ช่างน่าอับอายนัก นิสัยของลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์พลันปรากฏชัดในทันที เขาถลึงตาเอ่ย “ข้าพูดผิดไปตรงที่ใด ขอเชิญท่านชี้แนะด้วย เหตุใดจู่ๆ ถึงมาบอกว่าข้าไม่เข้าใจภาพวาดเล่า”
ขณะนั้นเองหลิ่วเหมียนถังที่ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้างมาโดยตลอดตั้งแต่เข้ามาในบ้านพลันเอ่ยปาก “ท่านผู้นี้ ผู้น้อยมีความรู้สึกบางอย่างต่อภาพวาดนี้เช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านจะเต็มใจฟังหรือไม่”
เฮิ่นปี่จวีซื่อติดนิสัยรักสันโดษ ไม่ได้สนใจมองความงามที่ใครๆ ต่างชื่นชมมากเท่าไร จนกระทั่งหลิ่วเหมียนถังเอ่ยปาก เขาถึงได้สะบัดเศษขนมบนชุดพลางเอ่ย “ขอเชิญฮูหยินรีบพูดด้วย ประเดี๋ยวข้ายังต้องไปผ่าฟืนทำอาหารต่อ”
หลิ่วเหมียนถังเดินไปตรงหน้าภาพวาด ชี้นิ้วเรียวออกไปยังแมลงปอตัวนั้นพร้อมเอ่ย “ข้าเหมือนจะเห็นทัศนียภาพหนึ่งในดวงตาของแมลงปอ…เป็นสตรีผู้หนึ่งยืนชมดอกบัวอยู่บนสะพาน ภาพนั้นสะท้อนอยู่ในแววตาแมลงปอพอดี”
เมื่อนางพูดออกมาจ้าวเฉวียนได้ยินแล้วนิ่งอึ้ง เพ่งดูไปที่ภาพวาด ก่อนจะบอกให้บ่าวรับใช้เอาแว่นขยายที่เป็นเครื่องราชบรรณาการจากเมืองบริวารมาให้ทันที
แว่นขยายนี้เป็นของที่ได้รับพระราชทานมา สามารถขยายตัวอักษรได้ เหมาะกับคนแก่ที่ตาฝ้าฟาง แม้จ้าวเฉวียนอายุยังน้อย แต่บางครั้งเวลาแกะสลักอักษรก็จะใช้ ดังนั้นจึงเก็บไว้ในหีบบนรถม้ามาโดยตลอด เอาไว้ใช้ฆ่าเวลา
บัดนี้ได้ยินคำพูดของหลิ่วเหมียนถัง เขารีบรับแว่นขยายจากบ่าวรับใช้มาส่องมองบนแววตาแมลงปอ…
นี่ไยมิใช่เล่า! ในดวงตาแมลงปอที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองกลับมีสะพานน้อยคู่ต้นหลิวกับคนงามร่างอรชรอ้อนแอ้นยืนถือร่มอยู่!
บทที่ 14
นึกไม่ถึงว่าในดวงตาเท่าเมล็ดถั่วของแมลงปอจะซ่อนความลับเอาไว้อยู่!
ตรงจุดนี้จ้าวเฉวียนยังมองไม่ออกจริงๆ
ดูท่าเฮิ่นปี่จวีซื่อผู้นี้จะภาคภูมิใจในจุดนี้มาก ดังนั้นจึงไม่เกรงใจต่อป๋อเล่อจ้าวเฉวียนที่มองไม่ออกถึงความยอดเยี่ยมของภาพวาด
แต่เฮิ่นปี่จวีซื่อคาดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ยืนเงียบๆ มาโดยตลอดจะค้นพบความลับของภาพวาด ช่างเป็นผู้รู้ใจที่หาได้ยากของเขาจริงๆ
ดังนั้นเฮิ่นปี่จวีซื่อจึงมองไปที่หลิ่วเหมียนถังอย่างชื่นชม ก่อนลูบเครากล่าว “แม่นางผู้นี้สายตาดีนัก”
หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ นางเองก็ไม่รู้ว่าสายตาตนเองดีเพียงนี้ ตอนแรกแค่เห็นว่าดวงตาของแมลงปอดูสว่างแปลกๆ จึงตั้งใจมองสำรวจ ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยกับวิธีการวาดภาพแบบซ่อนความลับไว้นี้ ทว่าในเวลาอันสั้นก็ยังนึกอันใดไม่ออก
ถึงอย่างนั้นภาพวาดนี้ก็ดึงดูดความสนใจของนาง จึงตามจ้าวเฉวียนมาหาจิตรกรท่านนี้ด้วยกัน
แน่นอนว่านางไม่ได้น่าเบื่ออย่างจ้าวเฉวียนที่อยากจะเป็นป๋อเล่อที่รู้จักมองคน
ต่อให้ภาพนั้นจะงดงามกว่านี้ก็ต้องวาดลงไปบนเครื่องเคลือบดินเผาก่อนค่อยว่ากัน หากบัณฑิตท่านนี้เป็นเหมือนที่จ้าวเฉวียนบอก สามารถมีชื่อเสียงโด่งดังได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นพวกจานชามกับแจกันที่เขาวาดภาพลงไป มิใช่ว่าจะขายได้ราคาแพงยิ่งขึ้นหรอกหรือ
แต่ในสายตาของเฮิ่นปี่จวีซื่อกลับมองไม่ออกว่าหญิงออกเรือนอายุน้อยผู้อ่อนหวานงามสง่าท่านนี้จะเป็นคนค้าขายที่มีผลประโยชน์บังตา แค่รู้สึกว่านอกจากภรรยาที่ตายไปของตนเอง ในที่สุดก็มีผู้รู้ใจที่สายตาเฉียบแหลมปรากฏขึ้นอีกคนแล้ว
แต่หลิ่วเหมียนถังอดรนทนไม่ไหวบอกถึงเจตนาที่ตนมาหาในทันที คิดเพียงอยากเชิญอีกฝ่ายมาช่วยวาดภาพลงบนเครื่องเคลือบดินเผาของตนเอง นางยินดีจ่ายค่าตอบแทนให้ในราคาสูง
จ้าวเฉวียนไม่ได้ค้นพบความลับเป็นคนแรก นอกจากนึกอับอายแล้ว ความจริงในใจยิ่งปีติยินดีกว่าเดิม ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็เป็นคนพบยอดฝีมือระดับนี้ก่อน เดิมหลงคิดว่าบัณฑิตผู้นี้มีแต่ความสง่างาม ตอนนี้ดูแล้วฝีพู่กันเองก็ยอดเยี่ยมที่สุด หากนำผลงานนี้ไปเปิดเผยต่อหน้าผู้อื่น วันเวลาที่จะกลายเป็นยอดฝีมือที่มีคนไล่ตามก็ใกล้แค่เอื้อมแล้ว!
แต่จ้าวเฉวียนยังไม่ทันพูดคุยถึงอนาคตอันรุ่งเรืองกับบัณฑิตผู้นี้ หลิ่วเหมียนถังก็จะให้อีกฝ่ายไปทำงานชั้นต่ำอย่างช่างฝีมือก่อนแล้ว ช่างเป็นการดูถูกยอดฝีมือจริงๆ!
เขาตระหนักดีว่านิสัยของบัณฑิตผู้นี้แปลกประหลาด กลัวว่าเขาจะไล่คนอีกจึงรีบเอ่ยกับหลิ่วเหมียนถัง “ฮูหยินช่างเหลวไหลจริงๆ! บัณฑิตสูงส่งอย่างเขาจะทำงานช่างได้เยี่ยงไร หากเจ้าขาดจิตรกรวาดภาพบนเครื่องเคลือบดินเผา ในตรอกงานฝีมือใกล้ๆ มีอยู่ให้ทั่ว เจ้าอยากจ้างสักกี่คนก็ได้ทั้งนั้น ข้าออกค่าจ้างให้ก็พอแล้ว!”
หลิ่วเหมียนถังเห็นว่าเริ่มสายแล้ว นางเองก็ไม่อยากอยู่ในลานบ้านเดียวกับจ้าวเฉวียนนานเกินไป จึงสนใจแค่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมากับเฮิ่นปี่จวีซื่อผู้นี้ “ผู้อาวุโส บอกท่านตามตรง บ้านข้าเปิดร้านขายเครื่องเคลือบดินเผาแต่กิจการไม่ดีนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ คงต้องปิดร้านลง แต่ร้านแห่งนี้เป็นกิจการแรกที่สามีของข้าเปิดหลังย้ายมาจากเมืองหลวง หากปิดกิจการไปทั้งอย่างนี้ในใจเขาจะต้องได้รับความสะเทือนใจเป็นแน่ ภรรยาอย่างข้าช่วยอะไรเขาไม่ได้มาก เพียงแค่อยากเชิญฝีมือสูงส่งของท่านมาช่วยเหลือ วาดผลงานชั้นเลิศให้แก่ร้านเพื่อสร้างชื่อเสียง และเพื่อให้สู้กับร้านเครื่องเคลือบดินเผาเก่าแก่เหล่านั้นได้ วันหน้าจะได้นำสินค้าชั้นเลิศมาขายได้มากขึ้น หากสามารถกระตุ้นกิจการครอบครัวขึ้นใหม่ได้สำเร็จ ข้าจะจดจำบุญคุณจนวันตาย ตอบแทนท่านอย่างจริงใจแน่นอน!”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดจากใจประโยคนี้สร้างความประทับใจแก่เฮิ่นปี่จวีซื่อเพียงใด เขาตั้งใจมองหลิ่วเหมียนถังที่มีท่าทีมุ่งมั่นแล้วถาม “ท่านจะจ่ายเงินเท่าไร”
หลิ่วเหมียนถังคิดถึงทุนทรัพย์อันน้อยนิดของที่บ้านแล้วรู้สึกไม่มั่นใจ ถามกลับแทน “ท่านต้องการเท่าไร”
ไม่รอให้เฮิ่นปี่จวีซื่อต่อราคา จ้าวเฉวียนที่กลัวว่าเขาจะลดทอนค่าตนเองถลึงตาเอ่ยแทรกทันที “ภาพวาดของท่านสามารถขายให้ข้าได้ ข้าเต็มใจจ่ายหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อซื้อภาพของท่าน!”
ล้อเล่นอันใดกันอยู่! ไฉนยังมีสามีนางได้รับความสะเทือนใจจนหมดกำลังใจนั่นอีก เกรงว่าเจ้าคนสกุลชุยนั่นล่อโจรไม่ได้เสียทีเลยร้อนใจจนหงุดหงิดมากกว่ากระมัง!
หากเป็นเรื่องอื่นยังดี แต่ว่าเขาไม่อยากให้ละครหลอกลวงของชุยสิงโจวมาทำให้ยอดฝีมือผู้หนึ่งต้องเสียเวลา!
บัณฑิตสูงศักดิ์ฐานะยากจนที่มาจากบ้านนอกถึงจะทำให้คนประทับใจได้มากที่สุด จะให้พูดว่าเป็นช่างฝีมือที่วาดภาพให้ร้านเครื่องเคลือบดินเผาได้อย่างไร จ้าวเฉวียนไม่มีทางปล่อยให้ยอดฝีมือท่านนี้เต็มใจพาตนเองไปตกต่ำเด็ดขาด!
หลิ่วเหมียนถังเองก็เบิกตากว้าง นางนึกไม่ถึงว่าหมอคนหนึ่งจะกล้าขึ้นราคาตัดหน้าเช่นนี้!
แม้จะได้ยินสามีบอกว่าครอบครัวของเขามีภรรยาและอนุมากมาย ไม่น่าจะมีปัญหาด้านการเงิน แต่จ่ายเงินหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อซื้อภาพวาด นั่นไม่ใช่เสียสติไปแล้วหรือ เขาฟุ่มเฟือยเช่นนี้ ไม่กลัวว่าอนาคตจะต้องพาภรรยาและอนุออกไปขอทานหรือไร
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือนางจ่ายราคาหนึ่งร้อยตำลึงไม่ไหว จ้าวเฉวียนไม่ใช่คนดีจริงๆ ด้วย! ทำลายเรื่องดีๆ ของนางไปเสียอย่างนั้น!
ยามนั้นหลิ่วเหมียนถังไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องมารยาทอีก นางยากจะข่มความโกรธในใจเอาไว้ จึงถลึงตาใส่จ้าวเฉวียนไปหนหนึ่ง
จ้าวเฉวียนผู้นั้นเพิ่งช่วยยอดฝีมือที่กำลังจะตกต่ำไว้ได้ทันท่วงที ยังไม่ทันจะลำพองใจก็ถูกหลิ่วเหมียนถังถลึงตาใส่ แววตาดั่งคมมีดนั้นทำเอาเขาตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา
เป็นแม่นางที่ดุเหลือเกิน แต่เวลาถลึงตาก็ยังดูดีเพียงนี้…
ในตอนนั้นเองเฮิ่นปี่จวีซื่อพลันเอ่ยปากขึ้น “เวลาข้าขายให้ร้านขายภาพวาดก็จะขายภาพละสี่สิบอีแปะ* แม่นางจ่ายราคานี้ให้ข้าก็พอแล้ว”
ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมาหลิ่วเหมียนถังก็ดีใจจนออกนอกหน้า ขณะที่จ้าวเฉวียนโง่งมไปโดยสมบูรณ์
จ้าวเฉวียนปวดใจ ขยี้เท้าถาม “เหตุใดท่านต้องยอมให้ตนเองตกต่ำด้วย”
แต่เฮิ่นปี่จวีซื่อกลับเดินเข้าไปในกระท่อมฟางด้านข้าง นั่นน่าจะเป็นสถานที่ที่ปกติเขาใช้วาดภาพ ได้เห็นเขาหยิบกระบอกภาพม้วนหนึ่งจากในถังไม้มากางออก ก่อนมองอย่างเศร้าใจขณะเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางท่านนี้คล้ายกับภรรยาที่เสียไปของข้ามาก นางร้องขอภาพวาดแทนสามี ความจริงใจนี้ช่างน่าประทับใจ ข้าย่อมต้องช่วยนาง”
จ้าวเฉวียนเดินไปดูอย่างสิ้นหวัง เมื่อได้เห็นภาพสตรีบนม้วนภาพวาดของเฮิ่นปี่จวีซื่อ เขาก็แทบโมโหจนจมูกเบี้ยว
ถึงแม้ด้วยใจลำเอียงของผู้เป็นสามีจะปรับแต่งลายเส้นของภรรยารักไปรอบหนึ่ง แต่สตรีผู้นี้เอวหนาหน้าเป็นลูกพลับ…จะต้องตาบอดถึงขั้นใดกันเชียวถึงรู้สึกว่าคล้ายกับหลิ่วเหมียนถังที่เอวคอดใบหน้ารูปไข่?
ในใจกำลังโมโหจ้าวเฉวียนจึงตะคอกอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ฮูหยินท่านเหมือนแม่นางหลิ่วตรงที่ใดกัน!”
เฮิ่นปี่จวีซื่อน้ำตาคลอเอ่อ เหมือนจะสะเทือนใจเข้าจึงเอ่ยเสียงสั่น “แววตาคล้ายกันอย่างยิ่ง…”
สมัยภรรยาของเขามีชีวิตอยู่ไม่เคยปล่อยให้เขาทำงานบ้านสักนิด นางรับผิดชอบทุกอย่างเอง ช่วยประคับประคองครอบครัวเอาไว้ เป็นสตรีมากความสามารถที่มีชื่อเสียง
หากภรรยายังอยู่เขาจะต้องตอบรับราคาสูงที่จ้าวเฉวียนเสนอมาแน่นอน สร้างชื่อเสียงขจรไกลให้ภรรยารักหมดสิ้นความลำบาก
แต่ภรรยารักป่วยตายไปแล้ว ไม่มีใครแบ่งปันความสุขเมื่อประสบความสำเร็จของเขาอีก จะต้องการชื่อเสียงพวกนั้นไปไย บ้านหลังใหญ่งดงามก็สู้กระท่อมฟางที่ภรรยารักซ่อมแซมขึ้นมาทีละเล็กละน้อยนี้ไม่ได้ นอกจากอยู่ที่นี่แล้วเขาก็ไม่เต็มใจจะไปที่ใดทั้งนั้น
ไม่สู้เขาออกแรงกำลังอันน้อยนิดช่วยเหลือหญิงออกเรือนอายุน้อยที่มีใจช่วยเหลือสามี แบกรับภาระครอบครัวเช่นเดียวกันดีกว่า
หลังหลิ่วเหมียนถังพูดคุยตกลงกับเฮิ่นปี่จวีซื่อเรียบร้อย ด้วยกลัวว่าจ้าวเฉวียนจะสร้างปัญหา นางจึงจ่ายเงินมัดจำไปก่อนหนึ่งตำลึง
บัณฑิตผู้นี้เดิมสกุลเฉิน ชื่อตัวเดียวว่า ‘สือ’ แม้ท่านเฉินจะไม่ได้เรียกร้องราคาแพง แต่หลิ่วเหมียนถังก็ไม่อยากเอาเปรียบเขา จึงตกลงไว้เรียบร้อยว่าหากภาพวาดอันประณีตช่วยให้กิจการร้านนางดีขึ้นได้ นางจะเพิ่มเงินให้เขามากขึ้นอีก
หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่าขอเพียงเส้นทางการค้าเป็นไปด้วยดี วันหน้าค่าตอบแทนที่นางมอบให้ท่านเฉินจะไม่ใช่แค่ร้อยตำลึงอย่างแน่นอน
น่าสงสารจ้าวเฉวียนที่มาอย่างตื่นเต้น แต่ต้องกลับไปอย่างหดหู่ ตอนที่สะบัดแขนเสื้อเดินขึ้นรถม้า เขาไม่ชายตามองหลิ่วเหมียนถังเลยสักครั้ง คิดว่าคงหงุดหงิดเข้าให้แล้ว จึงแค่เลียนแบบหลิ่วเหมียนถังด้วยการเรียกบ่าวรับใช้ตนเองมาส่งต่อข้อความแทนเขา “เจ้าไปบอกแม่นางหลิ่วว่านางทำตัวเช่นนี้จะน่าหงุดหงิดเกินไปแล้วจริงๆ ข้าไม่มีทางยกโทษให้นางแน่!”
พูดจบท่านโหวก็เดินเข้าไปในรถม้าอย่างโมโห
เช่นนี้ก็ดีเลย หลิ่วเหมียนถังไม่ได้กลัวจะแตกหักกับท่านหมอเทวดาจ้าวเสียหน่อย ถึงอย่างไรสามีก็ไม่ให้นางคุยกับจ้าวเฉวียน นางไม่แยแสสักนิด เพียงแค่เดินทางกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี
ตามหาจิตรกรฝีมือดีพบ มีสมบัติประจำร้านที่จะสร้างชื่อเสียง ร้านเครื่องเคลือบดินเผาของนางก็ไม่ต้องกลืนหายไปท่ามกลางร้านธรรมดาทั่วไปแล้ว!
ถึงเวลานั้นช่วงที่สามีตั้งใจศึกษาศาสตร์การเดินหมากล้อมก็จะมีบ่าวรับใช้ให้เรียกใช้ พวกหลี่มามาเองทำงานจนเกษียณแล้วอยู่ในบ้านสกุลชุยต่อ
ความปรารถนาของหลิ่วเหมียนถังไม่นับว่าสูงส่ง เพียงอยากอยู่เฝ้าบ้านตนเอง ใช้ชีวิตแต่ละวันให้ผ่านไปดีๆ เท่านั้น
วันรุ่งขึ้นหลิ่วเหมียนถังไปเลือกโรงเตาเผาที่เนื้อเครื่องเคลือบดินเผาค่อนข้างเนียนละเอียดจากในบรรดาโรงเตาเผาที่ผลิตสินค้าหลายโรง ให้พวกเขาส่งเครื่องเคลือบดินเผาสีขาวสะอาดชุดหนึ่งมาให้ท่านเฉินใช้วาด
แต่หลิ่วเหมียนถังที่เตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ มุ่งมั่นจะทำการใหญ่สักครั้งกลับถูกลูกจ้างโรงเตาเผาที่มาส่งจานเคลือบสีขาวสาดน้ำเย็นเข้าใส่เต็มๆ
เมื่อลูกจ้างผู้นั้นได้ยินว่าจานเหล่านี้จะนำไปให้ท่านเฉินวาดภาพ จึงเอ่ยเตือนชุยฮูหยินผู้ไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนทำเครื่องเคลือบดินเผาอย่างปรารถนาดี
“ชุยฮูหยิน การวาดภาพลงบนจานไม่เหมือนกับวาดลงกระดาษที่สามารถวาดได้ดั่งใจอยาก เพราะเนื้อเครื่องเคลือบดินเผาลื่นเกินไป ลายบุปผาขนาดเท่าเมล็ดถั่วยังต้องจุ่มสีซ้ำห้าหกครั้ง สีเหล่านั้นเองก็ไม่ได้แห้งซึมลงได้ทันทีเหมือนบนกระดาษ กว่าจะแห้งต้องใช้เวลานานกว่าบนกระดาษมากนัก…มิหนำซ้ำหลังลงลายเส้นแล้วยังต้องเข้าเตาเผาก่อนถึงค่อยลงสีต่อได้ เสียเวลาอย่างยิ่ง ต่อให้ท่านวาดเสร็จแล้ว หากระหว่างนั้นควบคุมความร้อนของเตาเผาไม่ดี เครื่องเคลือบดินเผาก็อาจจะร้าวแตกได้…”
พูดมาถึงตรงนี้ลูกจ้างโรงเตาเผาผู้นั้นก็ส่ายหน้าพลางกล่าว “หากฮูหยินไม่เชื่อสามารถสืบข่าวดูได้ ทั่วทั้งตำบลมีร้านเครื่องเคลือบดินเผาวาดมืออยู่ร้านเดียวคือร้านเก่าแก่สกุลเฮ่อที่สืบทอดฝีมือมาแต่บรรพบุรุษ ทว่าร้านนั้นส่งของไปให้เชื้อพระวงศ์! ปณิธานของท่านนับว่ายิ่งใหญ่ เพียงแต่จะเกินจริงไปแล้ว!”
ลูกจ้างพูดจบก็ส่ายหน้าแล้วกลับไปทำงานที่โรงเตาเผาต่อ
บัดนี้หลิ่วเหมียนถังนับว่าเข้าใจว่าอะไรเรียกอยู่คนละแวดวงดั่งอยู่ภูเขาคนละลูก
เดิมนางคิดอาศัยฝีพู่กันชั้นยอดของท่านเฉินวาดลงบนจาน จะได้กระตุ้นกิจการครอบครัว ทำให้ร้านค้าขายดิบขายดีขึ้นมาได้ ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองคิดตื้นเขินเกินไปแล้ว
คิดมาถึงตรงนี้นางก็หันกลับไปเอ่ยกับท่านเฉินที่อยู่ด้านข้างมาโดยตลอด “ท่านเฉิน ท่านเองก็ได้ยินแล้ว ต้องขออภัยด้วยจริงๆ หากไม่ใช่รับปากข้า ท่านก็สามารถรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงจากท่านจ้าวได้…ในเมื่อการวาดลงบนจานดินเผาเคลือบนั้นเป็นไปไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าจะไปขออภัยท่านจ้าวด้วยตนเอง ให้เขาซื้อภาพวาดของท่านตามเดิม…หากเขาไม่ซื้อ…ข้าก็จะมอบเงินก้อนหนึ่งเป็นค่าชดเชยให้ท่าน เพียงแต่จำนวนนั้นคง…ไม่อาจเทียบกับท่านจ้าวได้…”
ท่านเฉินกำลังนั่งกินอาหารกลางวันที่หลี่มามานำมาให้หลิ่วเหมียนถังอยู่ที่โต๊ะ ช่วงนี้หลี่มามาอารมณ์ดี มักจะทำเนื้อให้หลิ่วเหมียนถังกินเสมอ วันนี้ที่ทำมาคือหมูสามชั้นตุ๋นที่ตุ๋นจนเนื้อเปื่อยนุ่มเป็นสีแดงวาววับ หนังสะท้อนแสงยั่วยวนผู้คน เพียงยื่นตะเกียบไปคีบก็จะเด้งขึ้นมา
เฮิ่นปี่จวีซื่อไม่ได้กินอาหารรสเลิศระดับนี้มานานแล้ว นั่นเรียกได้ว่าราบคาบในอึดใจเดียว! หลังเขากินเนื้อจนเกลี้ยงยังรวบเคราไปด้านข้าง หยิบแป้งมาจุ่มน้ำแกงเนื้อก้นชามกินต่ออีก
เมื่อได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยความละอายใจของหลิ่วเหมียนถัง ท่านเฉินก็เช็ดปากก่อนโบกไม้โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ยังไม่เคยลองฮูหยินจะตัดใจง่ายๆ ได้เยี่ยงไร ในเมื่อการวาดมือจำเป็นต้องวาดไปเผาไป เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะไปที่โรงเตาเผา เฝ้าเตาไว้และทดลองดู ขอเพียงฮูหยินมาส่งข้าวให้ข้าวันละสองมื้อก็พอแล้ว”
ในเมื่อท่านเฉินเต็มใจเหน็ดเหนื่อยลองดู หลิ่วเหมียนถังย่อมซาบซึ้งใจมาก กำชับให้หลี่มามาทำอาหารให้เขา ทุกมื้อจะต้องมีปลามีเนื้อจึงจะเหมาะสม
หลี่มามาไม่มีความสนใจในเรื่องกระตุ้นกิจการบนถนนสายเหนือขึ้นอีกครั้งสักนิด แต่เมื่อเห็นหลิ่วเหมียนถังกระตือรือร้นเช่นนี้ นางก็ไม่คิดห้ามปราม
ในเมื่อเป็นคนที่เหลือช่วงเวลาดีๆ อยู่อีกไม่มากแล้วก็ให้นางได้ทำตามใจเป็นพอ เกิดหาเงินขึ้นมาได้จริงๆ ไม่แน่ว่าท่านอ๋องอาจจะยกเงินให้นาง หญิงสาวไร้ที่พึ่งอย่างนางจะได้มีทรัพย์สมบัติติดกายบ้าง
บทที่ 15
เพียงแต่หลี่มามาเป็นบ่าวรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของท่านอ๋อง ต่อให้จะรู้สึกเห็นใจหลิ่วเหมียนถังมากกว่านี้ก็ยังต้องนำทุกเรื่องที่นางทำ รวมถึงว่าได้เจอกับผู้ใดและพูดอะไรไปบ้างในชีวิตประจำวันไปรายงานอย่างละเอียดต่อชุยสิงโจวอยู่ดี
ชุยสิงโจวได้ยินเรื่องกิจการเงียบเหงา ไม่มีใครมาแสดงตัวว่ารู้จักหลิ่วเหมียนถังก็ไม่ได้พูดอะไร
ในเมื่อคิดอยากตกปลาใหญ่ก็ต้องมีความอดทนมากพอ เพื่อโจรกบฏอย่างลู่เหวิน เขาเต็มใจจะเปลืองกำลังไปบ้าง
เขารู้ประวัติของลู่เหวินไม่มากนัก แต่ตอนที่บุกไปทลายรังโจร ในใจเขาพลันเกิดความรู้สึกเสียดายขึ้นมา เป็นความเสียดายที่ ‘เหตุใดวิญญูชนจึงกลายเป็นโจร’
แม้โจรกบฏผู้นั้นจะไม่เดินบนทางที่ถูกต้อง แต่ก็เป็นอัจฉริยะในด้านการวางแผนจัดทัพ เคยบีบคั้นแม่ทัพใต้บังคับบัญชาเขาตกสู่ทางตันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ชำนาญกลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม* พวกกลยุทธ์ลอบกัดโดยเฉพาะ
เดิมทีเขาไม่เห็นกลุ่มที่เหมือนอีกามารวมตัวกันอยู่ในสายตาสักนิด แต่พอได้เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาเสียเปรียบอย่างหมดรูปก็กระตุ้นความอยากเอาชนะของเขาขึ้นมา จึงเข้าร่วมศึกด้วยตนเอง บัญชาการกองทัพลงมือโจมตีกะทันหันจากระยะไกลใส่โจรอวดดีกลุ่มนั้น ชิงรังโจรมาได้ ทำลายความเหิมเกริมของโจรกบฏลู่เหวินลงอย่างโหดร้าย
พอโจรกบฏผู้นั้นกับลูกน้องเสียรังเก่าไปก็เป็นเหมือนสุนัขเสียบ้าน ในตอนที่หลบหนีการไล่ล่าถึงได้ทิ้งหลิ่วเหมียนถังที่บาดเจ็บหนักไว้
แม้โจรกบฏนั่นจะหนีการไล่ล่าไปได้ จากนั้นรวบรวมกำลังคนกลับมาเอาคืนอย่างเสียสติ แต่ไม่รู้ว่าโดนทำให้ตกใจจนขี้ขลาดเข้าหรือไร ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ถึงมักลงมืออย่างสะเพร่า ตกเป็นรองมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกวันนี้โจรกระจอกพวกนั้นไม่อาจก่อความวุ่นวายให้เจินโจวได้เท่าไรนัก แต่ชุยสิงโจวกลับอยากจับเป็นลู่เหวินให้ได้มาโดยตลอด เพื่อดูว่าโจรที่ต่อสู้พอฟัดพอเหวี่ยงกับตนเองผู้นี้เป็นคนอย่างไรกันแน่
เพื่อสิ่งนี้เขาถึงได้จัดเตรียมเบี้ยอย่างหลิ่วเหมียนถังโดยไม่นึกรำคาญใจ
ครั้งแรกที่พบหลิ่วเหมียนถังซึ่งถูกโยนทิ้งลงแม่น้ำ หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นชุยสิงโจวเข้าเมืองหลวงไปรับตำแหน่ง บังเอิญช่วยนางขึ้นมาได้พอดี หญิงสาวผู้นี้คงจมลงแม่น้ำเป็นอาหารปลาไปแล้ว
ภายหลังมีลูกน้องของลู่เหวินที่ยอมศิโรราบจำได้ว่าหญิงสาวผู้นี้คือภรรยารักของลู่เหวิน ชุยสิงโจวถึงได้สนใจดูแล ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ทั้งยังพานางมาที่ตำบลหลิงเฉวียนหลังนางมีเรี่ยวแรงเดินทางไหว
หญิงสาวงดงามเช่นนี้ หากไม่ได้กำลังหลบหนี ลู่เหวินก็น่าจะตัดใจทิ้งนางไม่ลง
ชุยสิงโจวโอบกอดความคิดเช่นนี้ไว้ ด้วยรู้สึกว่าเบี้ยอย่างหลิ่วเหมียนถังยังต้องเก็บไว้อีกสักระยะหนึ่ง งิ้วสามีภรรยาบนถนนสายเหนือเองก็ต้องรักษาเอาไว้ต่อ
ดังนั้นหลังผ่านไปห้าวัน เมื่อเห็นว่าไม่อาจอ้างเหตุผลศึกษาศาสตร์การเดินหมากล้อมมาใช้เพื่อไม่กลับบ้านได้อีก ชุยสิงโจวถึงได้ให้โม่หรูเตรียมชุดลำลองมาผลัดเปลี่ยนแล้วออกจากค่ายทหารไป
อากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้นบ้างแล้ว ลมกลางคืนพัดปะทะใบหน้าพาให้รู้สึกเย็นสบาย ดังนั้นยังกลับไปไม่ถึงถนนสายเหนือชุยสิงโจวก็ให้คนบังคับจอดรถม้า เขาจะลงไปเดิน อาศัยสายลมกลางคืนช่วยผ่อนคลายจิตใจเสียหน่อย
เพราะคำนวณเวลาไว้อย่างแม่นยำ ตอนที่ชุยสิงโจวกลับถึงบ้านบนถนนสายเหนือจึงเป็นเวลาดึกมากตามเดิม บรรดาเพื่อนบ้านที่นั่งพูดคุยกันอยู่หน้าประตูก็เก็บเก้าอี้แยกย้ายกันกลับไปนอนแล้ว
เขามาเงียบๆ แล้วค่อยจากไปแต่เช้าอีกครั้ง จะได้ไม่เป็นปัญหาอะไร
เพียงแต่ครั้งนี้ถนนสายเหนือที่ควรจะเงียบเหงาไร้ผู้คนกลับมีเงาคนขยับไหวอยู่
ชุยสิงโจวหูดี เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงส่งสัญญาณมือให้โม่หรูที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นหลบไปซ่อนตัวตรงหัวมุมอย่างรวดเร็ว ฟังเสียงคนพูดคุยกันที่ด้านหน้า
“มารดามันเถอะ ทั่วทั้งตำบลหลิงเฉวียนไม่มีหญิงสาวคนใดที่ข้าจะจัดการไม่ได้! ดูนางวางท่าทางใหญ่โตเพียงนั้น ทั้งยังพอเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง ยังหลงคิดว่าเป็นคนในครอบครัวทหารประจำการเจินโจวเสียอีก! นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเพียงภรรยาพ่อค้าขายเครื่องเคลือบดินเผาคนหนึ่ง! หากข้าไม่ได้นอนกับนาง มิใช่ว่าเสียชื่อหมดหรือ”
คนที่พูดประโยคนี้เป็นหลานชายหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ที่เมื่อไม่กี่วันก่อนแทะโลมหลิ่วเหมียนถังกลางถนนผู้นั้น
นับตั้งแต่เขาโดนหลิ่วเหมียนถังใช้ปิ่นแทงคอก็พักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ทำตัวดีๆ อยู่ระยะหนึ่ง
เมื่อครอบครัวถามว่าเขาบาดเจ็บได้อย่างไร เขาก็ไม่กล้าตอบว่ามาจากเรื่องแทะโลมหญิงสาว แค่เชิญหมอมาห้ามเลือดพันแผล ตอบอย่างคลุมเครือไปว่าเดินไม่ทันระวังถูกไม้ไผ่ข้างทางบาดเป็นแผลถึงได้ปิดบังจนผ่านพ้นไป
แต่รอหลังบาดแผลหายดีออกจากบ้านก็ได้มาเจอร้านค้าแห่งใหม่ในตำบลพอดี เขาจึงนำคนของตนไปร่วมชมความครึกครื้นด้วย
นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นหลิ่วเหมียนถังที่กำลังดีดลูกคิดอยู่ด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน
โฉมงามหน้าตาแฉล้มกว่าเมื่อวันนั้น แต่หลานชายหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์กลับตกใจจนไม่กล้าเดินเข้าใกล้
บนเรือนผมดั่งเมฆายังเสียบปิ่นไว้อยู่ ถ้าเกิดถูกนางลงมืออำมหิตอีกครั้งก็แย่แล้ว!
เพียงแต่เมื่อรู้ว่าสามีนางทำงานอะไร ในใจคุณชายผู้นี้ก็มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น
ก็แค่พ่อค้าต่างถิ่นที่ไร้อำนาจสนับสนุน ไม่มีอันใดน่ากลัวแม้แต่น้อย! มิหนำซ้ำยังได้ยินว่าสามีของหญิงสาวผู้นี้ไม่ทำงานทำการ มักจะไม่อยู่บ้าน ภายในบ้านเองก็ไร้บุรุษ
นี่เป็นเนื้อโอชาที่ไร้เจ้าของโดยแท้ หากเขาไม่ได้กินก็จะน่าเสียดายเกินไปแล้ว!
ตอนที่ยังไม่ได้ครอบครอง พวกหญิงสาวก็มักจะยึดมั่นในเรื่องความบริสุทธิ์ รอให้นางได้สัมผัสความรู้สึกนั้นเมื่อใด เพียงได้นอนด้วยกันสักครั้งก็จะติดใจรสชาติและตามตอแยขึ้นมาเอง
สำหรับการลักลอบคบชู้แอบนอนกับภรรยาผู้อื่น คุณชายเสเพลผู้นี้ชำนาญเป็นอย่างยิ่ง
เขาแค่ต้องเตรียมบันไดดีๆ ปีนข้ามกำแพงไป คลำหาเตียงให้เจอก็พอ! ขอเพียงเป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้วสามียังไม่อยู่บ้าน ต่อให้โดนเอาเปรียบก็ไม่กล้าโวยวาย ได้แต่กล้ำกลืนน้ำตายอมรับ ไม่อย่างนั้นหากร้องเรียกคนกลางดึกชื่อเสียงของนางก็ไม่มีเหลือเช่นกัน
เมื่อคิดว่าหญิงสาวผู้นี้เหมือนจะเป็นวรยุทธ์อยู่บ้าง ลูกน้องสองคนของเขาจึงเตรียมควันยาสลบให้อย่างใส่ใจ รอประเดี๋ยวเข้าไปในบ้าน เป่าควันเข้าไปผ่านกระดาษหน้าต่าง นางก็จะเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบ* แล้ว!
วันนี้หลานชายหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ส่งคนมาสำรวจ รู้ว่าบุรุษสกุลชุยไม่ได้กลับมาบ้านอีกแล้ว ดังนั้นจึงเตรียมพร้อมมาลักลอบเข้าบ้านผู้อื่น บ่าวชายคนหนึ่งแบกบันไดวางไว้ข้างนอกกำแพงบ้านสกุลชุยบนถนนสายเหนือพร้อมเฝ้าไว้
รอเข้าสู่ยามวิกาลเขาก็ให้บ่าวชายประกอบบันได เตรียมจะคลำทางเข้าไป
เมื่อนึกถึงเรือนร่างอรชรของหญิงงาม คุณชายผู้นี้ก็ตื่นเต้นจนตัวสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่ได้ ปากพึมพำปลุกเร้าให้กำลังใจตนเอง จากนั้นก็เตรียมจะเข้าไปทำมิดีมิร้าย
แต่เขาไม่รู้ว่าธุระของตนกำลังถูกชุยสิงโจวที่ซ่อนตัวอยู่ตรงหัวมุมถนนมองเห็นอย่างชัดเจน
ตอนแรกชุยสิงโจวหลงคิดว่าเป็นโจรกบฏที่อดทนรอไม่ไหว ลอบมาพบหลิ่วเหมียนถังแล้ว ดังนั้นจึงซ่อนตัวโดยไม่ขยับ รอคนผู้นั้นปีนข้ามกำแพงไปก่อนค่อยว่ากัน
แต่ขณะนั้นเององครักษ์ลับที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ บ้านสกุลชุยบนถนนสายเหนือก็แอบมาหา กระซิบรายงานท่านอ๋องถึงฐานะของผู้ที่มาว่าก็คือหลานชายหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ที่โดนหลิ่วเหมียนถังแทงบาดเจ็บในตอนนั้น ภูมิหลังของอีกฝ่ายบรรดาองครักษ์ลับเองก็สืบมากระจ่างชัดแล้ว เป็นคุณชายเสเพลในตำบล ชอบเกี้ยวพาหญิงสาวดีๆ ทว่าไม่เกี่ยวข้องกับโจรกบฏเลยสักนิด
คนผู้นี้ชอบพาคนมาเดินเตร็ดเตร่ทำท่าทางลับๆ ล่อๆ อยู่ข้างนอกร้าน องครักษ์ลับจึงแบ่งสมาธิมาจับตาดูเขาเสียหน่อย
วันนี้บ่าวรับใช้ของคนผู้นี้ไปซื้อหญ้าไล่ยุงกับกำยานหลับใหลจากร้านขายยามา เมื่อผสมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันสามารถทำเป็นควันยาสลบได้ นอกจากนี้บ่าวชายยังจัดยาบำรุงพลังหยางให้เจ้านายตนเอง ได้ยินว่าน้ำสามถ้วยต้มเหลือถ้วยเดียว หลังดื่มไปแล้วก็จะตระหง่านมิรู้ล้ม รับรองว่าทำให้หญิงสาวเข่าอ่อนระทวยแน่นอน…
ชุยสิงโจวฟังคำพูดขององครักษ์ลับจนขมวดคิ้วแน่น ในใจเข้าใจขึ้นมาทันทีว่าคนที่ปีนกำแพงมีธุระอะไร
แม้ผู้ที่อยู่ในบ้านหลังนั้นจะไม่ใช่หญิงสาวของเขาไหวหยางอ๋อง แต่ในหลายวันมานี้หลังได้ทำความรู้จักนางมากขึ้น เขาก็รู้แล้วว่าหลิ่วเหมียนถังไม่มีทางเป็นหญิงสาวใจง่ายอย่างแน่นอน
แม้หญิงสาวผู้นี้จะเสียเกียรติไปแล้ว แต่นางจดจำไม่ได้สักนิด บัดนี้คิดเพียงว่าตนเองเป็นภรรยาของครอบครัวทั่วไป หากถูกโจรผู้นี้กระทำการสำเร็จ นางเกิดอับอายจนรับไม่ได้ กระทั่งคิดไม่ตกฆ่าตัวตายขึ้นมา มิใช่จะทำให้เขาเสียแผนล่อศัตรูหรอกหรือ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ชุยสิงโจวไม่พูดอะไรแต่ก้าวปราดไปถึงกำแพง ยกมือขึ้นฟาดท้ายทอยบ่าวสองคนที่คอยดูต้นทางอยู่ตรงกำแพงจนสลบ
เขาเองก็ไม่เคาะประตู แค่ออกแรงที่เอวแล้วสะกิดปลายเท้า พริบตาเดียวก็ลอยข้ามกำแพงข้ามไปลานบ้านแล้ว
รอเขาลงมาบนพื้นก็รีบเดินไปหน้าห้องของหลิ่วเหมียนถัง เห็นหน้าต่างกระดาษถูกเจาะเป็นรูเรียบร้อย กระบอกไม้ไผ่ท่อนหนึ่งตกอยู่บนพื้น
ส่วนประตูห้องของแม่นางหลิ่วเปิดกว้าง โจรเด็ดบุปผาย่องเข้าไปข้างในแล้ว
ชุยสิงโจวก้าวยาวๆ เข้าไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เตรียมจะกระชากตัวคุณชายเสเพลลงจากเตียง
เพียงแต่ชั่วเวลาถัดมาพลันเกิดเสียงร้องโหยหวนดังมาจากในห้อง ตามด้วยประกายโลหะวาบขึ้น มีบางสิ่งพุ่งมาใส่เขา
ชุยสิงโจวยกแขนกัน รู้สึกว่าแขนถูกบางสิ่งลวกใส่ เจ็บจนเขาขมวดคิ้วพร้อมเปล่งเสียงทุ้มออกมา
ขณะนั้นโม่หรูปีนบันไดข้ามกำแพงเข้ามาแล้วเช่นกัน กำลังตะโกนเรียกหลี่มามาเสียงดัง แสงไฟภายในลานบ้านก็ถูกจุดสว่างขึ้นมาทันที
“สามี?…เหตุใดจึงเป็นท่าน”
ชุยสิงโจวกำลังคิดยกเท้าถีบคนลอบโจมตี กลับพบหลิ่วเหมียนถังกำลังถือกาทองแดงมองมาที่เขาด้วยน้ำตาคลอหน่วย
ส่วนหลานชายหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ที่ลอบเข้ามาก็กำลังดิ้นเร่าพร้อมสบถด่าด้วยเนื้อตัวเปียกชุ่ม ใบหน้าแดงก่ำมีไอร้อนลอยออกมาคล้ายถูกน้ำเดือดสาดใส่อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อได้เห็นไฟในบ้านสกุลชุยจุดสว่างไสว เขาก็ไม่มีเวลาสนใจอาการเจ็บ คิดแต่รีบร้อนหนีออกไปข้างนอก ทว่าถูกชุยสิงโจวถีบกระเด็นอย่างไม่เกรงใจ ตัวลอยไปกระแทกกับโต๊ะเสียงดังโครมก่อนนอนกองอยู่บนซากโต๊ะเละเทะ
ที่แท้ตอนที่โจรผู้นี้ลอบเข้ามา หลิ่วเหมียนถังยังไม่นอน
งานวาดภาพของท่านเฉินไม่มีความคืบหน้าเสียที กิจการในร้านค้าก็ไม่เห็นวี่แววจะดีขึ้น ล้วนชวนให้คนยากจะข่มตานอนหลับ นับประสาอะไรกับที่นางรู้ว่าสามีมักกลับบ้านมาดึกดื่น ไม่แน่ว่าอาจเรียกให้ไปเปิดประตู ดังนั้นจึงแค่งีบหลับตาทำเป็นนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ
ผลปรากฏว่านางได้ยินเสียงสวบสาบดังมาจากในลานบ้าน แรกเริ่มยังหลงคิดว่าสามีกลับมาจึงรีบลุกขึ้นจะไปต้อนรับ แต่ตอนที่เดินไปถึงประตูก็ได้เห็นหน้าต่างมีแสงสว่างลอดเข้ามา กระดาษหน้าต่างถูกคนเจาะเป็นรูแล้ว
นางหยุดยืนนิ่ง สายตามองดูกระบอกไม้ไผ่สอดตามเข้ามา ในใจกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันควัน มีพวกต่ำช้าลอบเข้ามา
ท่านตาของนางเปิดสำนักคุ้มภัย เดินทางไปทั่วยุทธภพ มีลูกไม้อันใดไม่เคยพบเห็นบ้าง หลิ่วเหมียนถังโตมากับการฟังมารดาเล่าเรื่องราวในยุทธภพของท่านตา จึงรู้จักพวกลูกไม้สามานย์ต่ำช้าพวกนี้เป็นอย่างดี
นางมองควันหนาถูกเป่าเข้ามา ในใจคิดจะตะโกนเรียกคนก็ไม่รู้ว่าข้างนอกมีคนอยู่มากเพียงไร ยิ่งไม่รู้ว่าพวกหลี่มามาโดนโจรคุมตัวไว้แล้วหรือไม่
ดังนั้นนางจึงไม่กล้าแหวกหญ้าให้งูตื่น ทันแค่รีบหลบไปอยู่ด้านหลังฉากบังลมแล้วใช้ผ้าชุบน้ำในถังมาปิดใบหน้าป้องกันไม่ให้โดนฤทธิ์ของควันยาสลบ จากนั้นก็หยิบกาทองแดงที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่บนเตาถ่าน สบโอกาสหลังโจรเข้ามาแล้วก็สาดใส่ศีรษะอีกฝ่ายเต็มๆ
แต่ข้างหลังโจรยังมีคนตามมาอีก!
หลิ่วเหมียนถังเลยโยนกาน้ำไปลวกใส่ผู้ที่ตามมา ย่อมคิดไม่ถึงว่าจะลวกโดนสามีตนเองเข้า!
รอหลี่มามาจุดโคมไฟในลานสว่างไสว โม่หรูเองก็ลากตัวบ่าวรับใช้สองคนที่สลบอยู่ข้างนอกประตูเข้ามา หลิ่วเหมียนถังถึงได้เข้าใจว่าที่แท้สามีกลับบ้านมาเจอโจรกำลังปีนกำแพงพอดี ถึงได้ปีนกำแพงข้ามมาช่วยนางก่อน
ถึงแม้ไม่ได้เห็นท่วงท่าองอาจตอนสามีปีนกำแพง แต่ฝ่าเท้าที่เขาถีบใส่โจรเมื่อครู่นี้ก็ช่างเฉียบขาดดุดันมาก เต็มไปด้วยกลิ่นอายของลูกผู้ชาย หลิ่วเหมียนถังเห็นแล้วแทบใจละลาย
หมัดเท้าของสามีไม่ได้อ่อนแอปวกเปียกสักนิด ช่างดุดันน่าเกรงขามอย่างแท้จริง!
* ป๋อเล่อ หมายถึงคนที่มีสายตาแหลมคมในการคัดสรรคนมีฝีมือ มีความสามารถ เดิมเป็นคำเรียกผู้ที่มีความสามารถในการคัดเลือกยอดอาชาในสมัยโบราณ
* อีแปะ (เหวิน) คือหน่วยเงินสำริด (เป็นเหรียญที่มีรู) ซึ่งมีค่าเล็กที่สุดในหน่วยเงินตราสมัยโบราณของจีน โดย 1000 อีแปะเท่ากับ 1 ตำลึง
* ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม เป็นชื่อกลยุทธ์การทำสงครามที่ใช้หลอกล่อข้าศึกว่าจะบุกไปทางตะวันออก แต่ความจริงบุกไปทางตะวันตก เป็นการบุกโจมตีที่ศัตรูคาดไม่ถึง ต่อมาใช้เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่าต่อหน้าพูดอย่าง ลับหลังทำอีกอย่าง
* เรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบ เป็นสำนวน หมายถึงการตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ไม่ได้รับความช่วยเหลือ
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนธันวาคม 65)
Comments
comments
No tags for this post.