บทที่ 65
ลู่เซี่ยนร้อนใจแทบไฟไหม้ ทว่าความทุกข์ในใจนี้กลับไม่อาจระบายปรึกษากับใคร ตอนที่คนของไหวหยางอ๋องมาเรียกตัวเขาก็ได้แต่บากหน้าไปหา
ครั้งนี้เข้าพบไหวหยางอ๋อง ไม่ใช่สภาพงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัวอย่างครั้งก่อนอีก ท่านอ๋องนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือที่เต็มไปด้วยกองเอกสาร สวมกวนหยกเข็มขัดทอง กำลังก้มหน้าตรวจแก้เอกสารด้วยท่าทางมีสมาธิตั้งอกตั้งใจ
ลู่เซี่ยนเข้าไปแล้วคุกเข่าคารวะท่านอ๋องก่อน หลังผ่านไปนานก็ยังไม่เห็นไหวหยางอ๋องเงยหน้าขึ้น ได้แต่คุกเข่าอยู่อย่างนั้นด้วยความกระวนกระวายใจ
จวบจนครึ่งค่อนวันไหวหยางอ๋องถึงเงยหน้าเอ่ยนิ่งๆ “เหตุใดท่านลู่ยังคุกเข่าอยู่อีก รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า”
ลู่เซี่ยนรู้ว่าไหวหยางอ๋องกำลังวางอำนาจใส่เขา แต่ต่อหน้าท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ระดับนี้ ชาวบ้านทั่วไปอย่างเขานับเป็นอะไรกัน ได้แต่รีบเอ่ยขอบคุณโดยไม่กล้าลุกขึ้นมาจริงๆ
ชุยสิงโจวโบกมือ ให้โม่หรูยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้ลู่เซี่ยนนั่งลง
ลู่เซี่ยนถึงได้ลุกขึ้นแล้วหย่อนก้นนั่งลงตรงขอบเก้าอี้อย่างอึดอัด
ชุยสิงโจวถามอย่างสนิทสนมว่าบาดแผลก่อนหน้านี้ของลู่เซี่ยนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ทั้งยังถามว่าท่านผู้เฒ่าลู่สุขภาพแข็งแรงดีหรือไม่
รอพูดคุยเรื่องจิปาถะในบ้านจนแทบไม่เหลืออะไรให้คุยอีก ลู่เซี่ยนจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนอย่างทนไม่ไหว “หลานสาวของข้าน้อยไม่รู้ความ มารบกวนท่านอ๋องอยู่นาน วันนี้ข้าน้อยจะพานางกลับไปทันทีจะได้ไม่เสียเวลาพักผ่อนของท่านอ๋อง”
ชุยสิงโจวยิ้มน้อยๆ “นางเป็นห่วงบาดแผลที่ขาของข้าถึงได้มาหา ไม่นับเป็นการรบกวนอะไร อีกอย่างข้าเลี้ยงดูนางก็ไม่ใช่เพียงวันสองวันแล้ว แค่ไม่กี่วันนี้ไม่นับเป็นอันใดได้…”
ประโยคเช่นนี้ได้ยินแล้วทำให้ไม่รู้ว่าควรจะต่อความอย่างไรดี ลู่เซี่ยนกัดฟันไม่ต่อความ แต่เอ่ยว่า “หากไม่มีอะไร ข้าน้อยขอตัวลา พาหลานสาวกลับไปก่อนแล้ว”
ชุยสิงโจวนั่งพิงเก้าอี้ นิ้วยาวเคาะโต๊ะขณะเอ่ย “ได้ยินว่าระยะนี้ที่บ้านสกุลลู่มีแม่สื่อไปเยือนไม่ขาดสาย ท่านลู่รีบร้อนกลับไปเช่นนี้ ตั้งใจจะดูตัวให้เหมียนถังต่อไปหรือ”
ลู่เซี่ยนตกใจ ทั้งยังประหลาดใจที่ไหวหยางอ๋องรู้เรื่องราวความเคลื่อนไหวของบ้านสกุลลู่ เขาคาดเดาเจตนาของไหวหยางอ๋องไม่ออกจึงเอ่ยเสียงเบา “มิใช่เช่นนั้น เพียงกลัวว่าผู้อาวุโสที่บ้านจะร้อนใจ…”
ชุยสิงโจวผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็ดี ผู้อื่นไม่ทราบ ทว่าท่านลู่ทราบดีว่าระหว่างเหมียนถังกับข้าขาดเพียงกราบไหว้ฟ้าดินเป็นสามีภรรยาเท่านั้น สายสัมพันธ์สามีภรรยาสองปีใช่อะไรที่บอกให้ลืมก็ลืมได้ที่ใดกัน นางอยู่ที่บ้านสกุลลู่อย่างว่าง่ายยังดี แต่หากให้นางแต่งงานไปเงียบๆ โดยไม่บอกไม่กล่าว จะให้ข้าเอาศักดิ์ศรีไปวางไว้ที่ใด”
ลู่เซี่ยนเป็นคนพูดไม่เก่ง แม้จะรู้สึกว่าคำพูดของไหวหยางอ๋องออกจะเหลวไหล ทว่าในเวลาอันสั้นกลับไม่รู้ว่าควรโต้แย้งอย่างไร กอปรกับท่านอ๋องเอ่ยด้วยท่าทีมั่นอกมั่นใจจนทำให้ฟังดูมีเหตุผลอยู่บ้าง
แต่..อิงตามความหมายของเขา หลิ่วเหมียนถังมิใช่ว่าต้องเป็นหญิงทึนทึกแต่งงานไม่ได้อีกแล้วหรือ
ลู่เซี่ยนจึงรวบรวมความกล้าเอ่ย “การแต่งงานของเหมียนถัง ข้าน้อยเองก็ตัดสินใจไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้อาวุโสที่บ้าน ท่านอ๋องเองก็พูดแล้วว่าเหมียนถังกับท่านไม่ใช่คู่สามีภรรยาที่ผ่านการกราบไหว้ฟ้าดิน พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยก็คือ…ลักลอบคบกัน ไม่ว่าไปอยู่ที่ใดมาก็ไม่นับ ตอนแรกท่านอ๋องก็ส่งเหมียนถังกลับบ้าน นับจากนี้มีอิสระในการแต่งงาน ทั้งสองคนไม่ติดค้างกันแล้วมิใช่หรือขอรับ”
ชุยสิงโจวขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเย็น “ท่านเป็นผู้อาวุโสของเหมียนถัง เหตุใดจึงสาดน้ำสกปรกใส่คุณหนูบ้านตนเองเช่นนี้ นับประสาอะไรกับที่เหมียนถังเป็นคนดีมาก หากรู้ว่าท่านพูดถึงนางเช่นนี้มิใช่จะเสียใจหรือ อีกอย่างท่านรู้ทั้งรู้ว่านางเคยเป็นคนของข้า กลับตั้งใจจะยกนางให้บุรุษอื่นเช่นนี้ นี่ท่านตั้งใจจะทำอันใด หากสามีในอนาคตของนางรับรู้เรื่องนี้เข้าจะสร้างความลำบากให้นางอย่างไรอีก”
ลู่เซี่ยนย่อมรู้ถึงความลำบากในตอนนี้ของหลิ่วเหมียนถัง แต่ต่อให้บุรุษทั้งโลกตายไป หลิ่วเหมียนถังก็ไม่อาจแต่งให้ไหวหยางอ๋องอยู่ดี!
หากในวันหน้าชุยสิงโจวได้รู้เรื่องที่หลิ่วเหมียนถังเคยทำในอดีต…แค่คิดขึ้นมาลู่เซี่ยนก็หลั่งเหงื่อเย็นเต็มหน้าผากแล้ว
แต่เรื่องโต้คารมเขาไม่อาจพูดเอาชนะไหวหยางอ๋องได้ ขณะนั้นจึงร้อนใจจนเผยกลิ่นอายชาวยุทธ์ จ้องตาพลางถาม “เช่นนั้นความหมายของท่านอ๋องคือจะให้เหมียนถังของข้าน้อยเสียเวลาจนตายหรือ”
ชุยสิงโจวโบกมือสั่งโม่หรูรินน้ำชาให้ลู่เซี่ยนอีกถ้วย “ดูท่านลู่พูดเข้าสิ เหมียนถังแค่ทะเลาะกับข้าเฉยๆ นางคงไม่อาจเอาแต่ทำตัวตามอารมณ์ ไม่สนใจข้าตลอดไปกระมัง เพียงแต่ตอนนี้ข้ายุ่งกับงาน ไม่มีเวลามาจัดการเรื่องนี้ แต่หากตอนที่ข้ากำลังทุ่มเทชีวิตเพื่อบ้านเมือง กลับถูกคนเล่นงานทำให้เสียสตรีของตนเองไป ต่อให้ข้าลงไปอยู่ยมโลกก็จะไม่ยอมปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแน่!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เรียกว่าตัดสินบทสรุปให้แล้ว ความหมายโดยคร่าวๆ คือคนสามารถพาไปได้ ทว่าห้ามแต่งงาน!
หลังลู่เซี่ยนออกมาจากห้องหนังสือของไหวหยางอ๋อง โม่หรูพาเขาไปยังเรือนแยกแห่งหนึ่งของคฤหาสน์ ทันทีที่เขาเข้าไปในเรือนก็ได้เห็นหลิ่วเหมียนถังกำลังถอดไม้ดามมือเท้าออก
หลายวันมานี้มือเท้าของนางมีเรี่ยวแรงกว่าแต่ก่อนมากนัก แม้ไม่อาจแข็งแรงเทียบเท่าสมัยก่อน แต่ใช้ชีวิตประจำวันได้ไม่เป็นปัญหา
เพียงแต่กลัวว่าเส้นเอ็นจะเคลื่อนอีกถึงได้ดามไม้ไว้ตลอดเวลา ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ใส่ไม้ดามจะเคลื่อนไหวไม่สะดวก นางเลยถอดไม้ดามออกก่อนเสียเลย
ลู่เซี่ยนไม่มีเวลาสนใจถามไถ่เรื่องมือเท้าของหลิ่วเหมียนถัง เขาเอ่ยอย่างร้อนใจ “เหตุใดเจ้ามาอยู่กับเขาอีกแล้วเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้เขาพูดอะไรกับข้า”
หลิ่วเหมียนถังสั่งให้สาวใช้ที่ปรนนิบัตินางออกไปก่อน รอภายในห้องไม่มีใครแล้วถึงได้เอ่ยกับท่านลุงใหญ่ “ไม่ว่าท่านอ๋องจะพูดอะไรท่านแค่คิดเสียว่าเขาผายลมก็พอ ข้าให้ปี้เฉ่ากับฟางเซียเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว สามารถเดินทางกลับซีโจวได้ทุกเมื่อเจ้าค่ะ”
ลู่เซี่ยนตบตัก “แต่เขาเป็นไหวหยางอ๋องนะ! สำหรับชาวบ้านอย่างพวกเรา หนึ่งประโยคของเขาเท่ากับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ พวกเราจะเห็นเป็นการผายลมได้อย่างไร เขา…เขาหมายห้ามไม่ให้เจ้าแต่งกับคนอื่น!”
หลิ่วเหมียนถังฟังคำพูดผยองอวดดีของชุยสิงโจวมานานแล้ว ไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย เพียงพับเสื้อผ้าไปพลางอธิบายกับท่านลุงใหญ่ด้วยสีหน้าสบายๆ “เขาก็แค่พยายามรักษาศักดิ์ศรีตนเอง ตอนอยู่ที่ด่านอู่หนิงข้าไม่ควรกลับไปก่อน รอเขาเอ่ยปากไล่ก็ดีไปแล้ว ตอนนี้ท่านอ๋องเสียศักดิ์ศรี รับไม่ได้ที่ตนเองถูกทิ้งก่อน จึงต้องการเรียกศักดิ์ศรีกลับมา เขาเองก็อายุไม่น้อยแล้ว รอสงครามที่ซีเป่ยจบลง มารดาเขาย่อมจัดการเรื่องแต่งงานให้เขา พอเขาแต่งภรรยามีบุตรเมื่อไร ไฉนเลยจะว่างมาสนใจคนอื่นอีก”
หลิ่วเหมียนถังพูดอย่างผ่อนคลาย แต่ลู่เซี่ยนกลับรู้สึกว่าคำพูดของชุยสิงโจวไม่คล้ายกำลังล้อเล่น “อย่างนั้นหากเขาเอาแต่คิดถึงเจ้า เจ้าก็จะไม่แต่งงาน? หลายวันมานี้เจ้ากับเขา…”
มีบางเรื่องที่คนเป็นลุงไม่อาจจะถามไถ่จริงๆ ลู่เซี่ยนร้อนใจจนหนวดกระดิก
หลิ่วเหมียนถังกลับช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้ท่านลุงใหญ่อย่างเข้าอกเข้าใจ “ในเมื่อข้ารู้ว่าเขาไม่ใช่สามีข้า ย่อมไม่มีทางร่วมห้องกับเขาอีก ตอนนี้แค่ให้เวลาทำใจกับเขา ค่อยๆ แยกจากกันเท่านั้น”
สมัยนั้นลู่เซี่ยนแต่งภรรยาตามคำสั่งของบิดามารดา เกี่ยวกับเรื่องความรักชายหญิงที่คบๆ เลิกๆ พวกนี้ นั่นเป็นเรื่องที่แม้แต่ได้ยินยังไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่ตอนนี้หลิ่วเหมียนถังมีท่าทีใจเย็นสบายใจก็ให้รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ได้ร้ายแรงขนาดที่เขาคิด แต่จะให้หลิ่วเหมียนถังไม่แต่งงาน…
“แล้วถ้าหากเขาไม่แต่งงานเสียที เจ้ามิใช่จะหาบ้านสามีไม่ได้หรอกหรือ สตรีไม่เหมือนบุรุษ ไม่อาจเสียเวลาได้นะ!”
หลิ่วเหมียนถังกลับยิ้มน้อยๆ “ท่านลุงใหญ่คิดมากไปแล้วจริงๆ หากเป็นหญิงสาวดีๆ มีเงินทองติดกาย ข้างกายก็จะเต็มไปด้วยเด็กหนุ่มคอยช่วยเหลือเช่นกัน อีกทั้งข้ายังรูปโฉมไม่ได้แย่ อนาคตหาเงินให้ได้มากๆ ก็พอ ไม่แน่ว่าอาจเจอคนที่ดีกว่าเขาก็ได้…”
ลู่เซี่ยนรู้สึกว่าหลิ่วเหมียนถังเป็นโรคเดียวกับมารดานาง มองบุรุษแต่ภายนอก ยามนั้นหัวข้อสนทนาพลันเปลี่ยนไปเป็นเรื่องจะพิจารณาความเก่งกาจของบุรุษอย่างไรแทน
เห็นท่านลุงใหญ่เสียสมาธิ หลิ่วเหมียนถังถึงลอบโล่งใจ
ความจริงเรื่องที่ชุยสิงโจวเสียใจที่พวกเขาเลิกรากันอย่างรีบร้อนเกินไปอยู่เหนือความคาดหมายของนางจริงๆ
แต่ไม่ว่าอย่างไรชาตินี้ระหว่างนางกับเขาก็ไร้วาสนา หลายวันมานี้เป็นเพียงภาพงดงามแสนสั้นของบุปผาในกระจก จันทราในน้ำเท่านั้น เก็บความทรงจำไว้ให้กันและกันมากขึ้นเท่านั้น
ในเมื่อขาของเขาไม่เป็นอะไร เช่นนั้นนางเองก็สบายใจแล้ว
หลังจากนี้นางจะต้องจดจำไว้เสมอว่าชุยสิงโจวไม่ใช่ชุยจิ่วคนตกอับที่นางเข้าใจผิดผู้นั้น นี่คือบุรุษที่ถูกกำหนดมาให้ทำการใหญ่ สุขภาพของเขาไม่จำเป็นต้องให้นางเป็นห่วง
ครั้งนี้ตนเองจุ้นจ้านมาที่นี่ ไปเย้าแหย่เขา ครั้งหน้าจะต้องจดจำไว้ ไม่สนใจเขาอีกเป็นพอ
จากคำพูดของท่านลุงใหญ่ลู่เซี่ยน ตอนนี้นางสามารถกลับไปได้แล้ว
แต่ชุยสิงโจวกลับให้ท่านลุงใหญ่ค้างอยู่อีกสองสามวัน ดื่มด่ำกับน้ำพุร้อนและอาหารรสเลิศของโยวโจวให้เต็มคราบก่อนค่อยจากไป
สงครามที่ซีเป่ยเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนแล้ว
หลินซือเยวี่ย…หรือก็คือองค์หญิงที่มีนามเดิมว่า ‘ฉุนเยวี่ย’ ได้รับการแต่งตั้งจากต้าเยี่ยนอย่างเป็นทางการ กลายมาเป็นกษัตรีแห่งชนเผ่าชาวหมาน ส่วนอากู่ซั่นถูกผู้ใต้บังคับบัญชาของชุยสิงโจวไล่ล่าไปถึงตอนเหนือของภูเขาหิมะ ทำอะไรไม่ได้ไปนานแล้ว
ชุยสิงโจวใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็ปราบปรามความไม่สงบของซีเป่ยลงได้ มีคุณงามความดีทางการศึกโดดเด่น ตามหลักควรกลับเมืองหลวงไปรายงานตัว รวมถึงส่งมอบอำนาจทางการทหาร
แต่ทุกวันนี้เป็นเพราะขาได้รับบาดเจ็บ เขาสามารถพักรักษาตัวอยู่ที่โยวโจวได้อย่างสง่าผ่าเผย ดื่มด่ำช่วงเวลาสบายผ่อนคลายอันหาได้ยากตลอดเกือบปีที่ผ่านมา
บัดนี้แม้จะเป็นช่วงต้นเดือนสอง แต่เพราะตำแหน่งที่ตั้งของโยวโจว ฤดูใบไม้ผลิจึงมาเยือนอย่างอบอุ่นเป็นพิเศษ บนเนินดินนอกโยวโจวเต็มไปด้วยดอกผีเสื้อผลิบาน
สีม่วงอาบย้อมเนินดินกลายมาเป็นทะเลดอกไม้สุดลูกหูลูกตา ชักนำให้ชายหญิงนับไม่ถ้วนจับคู่กันมาท่องเที่ยว เมื่อเจอพุ่มดอกไม้บานสะพรั่งก็ปูเสื่อนั่งลงบนพื้น ดื่มสุราเลิศรส กินอาหารที่นำมาด้วยตนเอง ชื่นชมความงามของฤดูใบไม้ผลิ
ไหวหยางอ๋องออกไปในชุดลำลอง แม้จะพาบ่าวรับใช้มาด้วยมาก แต่เขาไม่มีอะไรแตกต่างจากบรรดาลูกหลานตระกูลร่ำรวยที่รวมกลุ่มกันมาเหล่านั้น
เพียงแต่บาดแผลที่ขาของเขายังไม่หายดี ยังคงต้องใช้ไม้เท้า
เมื่อมองไปไกลๆ เห็นคุณชายหล่อเหลาสง่างามในชุดบัณฑิตสวมกวนหยก ทว่ากลับเดินกะเผลก ช่างชวนให้คนรู้สึกเสียดายจากใจ
และหญิงสาวในชุดสีขาวที่ยืนอยู่ข้างกายคุณชายท่วงท่าไม่ธรรมดาผู้นั้น ยิ่งชวนให้คนละสายตาไม่ลง
ในฤดูใบไม้ผลิสตรีนิยมแต่งตัวสดใส เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด น่าเสียดายที่สีดอกไม้กำลังงดงาม ชุดจัดจ้านเกินไปจะทำให้มองไม่เห็นความงามแทน
แต่เมื่อสีขาวยืนเด่นอยู่ในทะเลดอกไม้สีม่วงอ่อนผืนนี้กลับดูพอดิบพอดี รวมกับตัวคนที่งดงาม เอวคอดกิ่ว เรือนผมสีดำขลับเกล้ามวย ยามมองไปไม่มีผู้ใดไม่กลั้นหายใจ รู้สึกว่าภูตดอกไม้กระโดดออกมาจากทะเลดอกไม้แล้ว
ลู่เซี่ยนไม่ได้ตามไปด้วย แต่นั่งอยู่บนเสื่อที่อยู่ห่างจากพวกเขาสองคนไม่ไกล
คนคู่นั้นที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำไม่รู้กำลังพูดคุยอะไรกัน เห็นเพียงหลิ่วเหมียนถังทำให้ไหวหยางอ๋องหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่ตัวหลานสาวคล้ายจะโมโหมาก
ต่อมาไหวหยางอ๋องยื่นมือไปจับมือของหลิ่วเหมียนถังอย่างไม่เหมาะสม แกว่งมือนางไปมาราวกับกล่อมเด็กน้อย
ลู่เซี่ยนมองจนร้อนใจ ลุกขึ้นเตรียมจะเข้าไปจับทั้งสองคนแยกจากกัน
แต่ยังไม่ทันลุกจนสุดก็ถูกบ่าวโม่หรูที่อยู่ด้านข้างสกัดเข้าให้ “โอ๊ะ ท่านลู่ บ่าวเพิ่งอุ่นสุราให้ท่านเรียบร้อย ท่านรีบดื่มตอนที่ยังร้อนอยู่เถอะขอรับ!”
ลู่เซี่ยนร้อนใจจนติดอ่าง “ดะ…ดะ…ดื่มอะไรเล่า! เขา…เขาจับ…จับ…”
โม่หรูมองตามมือของเขาไป ยามนี้ท่านอ๋องไม่ได้จับมือของคุณหนูหลิ่วแล้ว แต่ชวนนางนั่งยองๆ ริมแม่น้ำ ใช้กิ่งไม้กิ่งหนึ่งเขียนบางอย่างบนชายหาด
ศีรษะของทั้งสองคนค่อนข้างใกล้ชิดกัน ไม่รู้กระซิบกระซาบอะไร มีสภาพตัวติดกันแบบคู่ชายหญิงที่จับมือกันมาท่องเที่ยวฤดูใบไม้ผลิอย่างเห็นได้ชัด
โม่หรูมองอยู่สักพักก็รู้สึกว่าช่างเป็นคู่ที่รื่นตานัก ก่อนหันกลับมาเอ่ยกับลู่เซี่ยน “บ่าวขอเอ่ยประโยคที่ไม่เหมาะสมเสียหน่อย สมัยที่อยู่ด่านอู่หนิง หากไม่ใช่ว่าท่านผู้อาวุโสโผล่มากะทันหัน ท่านอ๋องของพวกเรากับคุณหนูหลิ่วดีต่อกันยิ่งยวด ผลปรากฏว่าพอท่านโผล่มาก็ทำเอาวุ่นวายไปหมด ซ้ำไม่บอกกล่าวสักคำก็แอบพาคนหนีไป…ทำเอาท่านอ๋องของพวกเราเคว้งคว้างจนนอนไม่หลับ! โชคดีที่ท่านอ๋องของพวกเราเป็นคนมีความสามารถ มีสมาธิ มีความอดทนมากพอ สู้ศึกจนชาวหมานหนีหัวซุกหัวซุน ไม่อย่างนั้นแค่จากเรื่องที่ท่านพาคุณหนูหลิ่วจากไปเงียบๆ จนรบกวนให้ท่านอ๋องเสียสมาธิตรงจุดนี้ก็ลงโทษท่านฐานสร้างความปั่นป่วนให้กองทัพได้แล้ว!”
ลู่เซี่ยนเป็นคนซื่อเกินไป โดนคำพูดโม่หรูทำเอาโมโหจนหายใจไม่ออก ค้างอยู่ในลำคอ “ลง…ลง…”
ปี้เฉ่าที่อยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็ทนไม่ไหว ช่วยพูดแทนนายท่านใหญ่ของตนเองทันที “ลงโทษกับผีสิ! ท่านอ๋องของพวกเจ้าเกรงอกเกรงใจนายท่านใหญ่พวกเราด้วยซ้ำ ผีน้อยอย่างเจ้ากลับแต่งเรื่องหลอกคนออกมา! ขอถามท่านโม่ ตอนนี้ท่านเป็นแม่ทัพหรือท่านที่ปรึกษา เปิดปากปิดปากก็เอาแต่สั่งลงโทษคน?”
โม่หรูไม่ยอม โต้เถียงกับปี้เฉ่าขึ้นมาทันที
สุดท้ายเป็นหลี่มามาเอ็ดพวกเขาเสียงเบาด้วยสีหน้าดำทะมึน “ทำอะไรกัน! ถ้ายังทะเลาะกันต่อ กลับไปก็ไปรับโทษโบยกันให้หมด!” เช่นนี้ทั้งสองถึงได้หยุดการปะทะฝีปากของพวกเขาลงได้
คราวนี้ลู่เซี่ยนแอบมองไปอีกที สองคนนั้นเดินไปไกลมากแล้ว เขาก้าวย่ำไปที่ริมแม่น้ำเมื่อครู่นี้ เห็นบทกวีชดช้อยบทหนึ่งเขียนอยู่บนพื้น
‘คืนก่อนนิทราฝัน จารจำเพียงแสงโคมสลัว พบกันอีกครั้งแสนสั้น เฝ้ารอจะได้ครองคู่ในเร็ววัน…’
บทกวีบทนั้นเขียนแล้วช่างเผยความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มเสียจริง!
สมัยวัยหนุ่มลู่เซี่ยนไม่เคยแต่งบทกวีเกี้ยวสาว แต่บิดาเขาเคยพูดว่าพวกบัณฑิตตัวเหม็นคือพวกหน้าไม่อายมากที่สุด เดิมควรเป็นความรู้สึกส่วนตนระหว่างชายหญิงก็ยังเขียนป่าวประกาศออกมา ดีไม่ดียังจะกลายเป็นวรรคทองให้ผู้คนเล่าลือกันไปนับพันปีอีกต่างหาก
สามารถเขียนประโยคแทะโลมเช่นนั้นได้ ไม่ใช่ของดีอะไรทั้งนั้น!
วันนี้ดูแล้วบิดาเขาช่างฉลาดเฉลียวเพียงใด แต่หญิงสาวอายุน้อยก็ดันตกหลุมพรางเช่นนี้กันหมด
ลู่เซี่ยนกลัวจริงๆ ว่าหลานสาวตนเองจะถูกไหวหยางอ๋องที่เขียนบทกวีแทะโลมเป็นปลุกปั่นจนหัวหมุนอีกครั้ง ต้านทานการตามตอแยเกี้ยวพานของอีกฝ่ายไม่ไหว ยอมรับปากเป็นอนุไป
ความจริงไหวหยางอ๋องเขียนบทกวีลงบนหาดด้วยความรู้สึกที่ผุดขึ้นกะทันหัน แต่ก่อนตอนที่ญาติผู้น้องเขียนบทกวีให้เขาใต้แสงจันทร์ เขายังมีสีหน้ารำคาญใจ คิดว่ามีเวลาว่างมาใคร่ครวญเรื่องพวกนี้เสียที่ใดกัน
แต่บัดนี้ถึงได้รู้สึกตัว ตอนที่ตนเองเขียนบทกวีถ่ายทอดความรู้สึกบทนี้ก็สามารถเขียนออกมาได้โดยไม่ต้องคิด
น่าเสียดายที่หลิ่วเหมียนถังไม่ตอบรับความรู้สึก เห็นบทกวีแล้วกลับไม่พอใจขึ้นมาแทน
“เอาแต่พองแก้มจนใกล้จะเป็นซาลาเปาอยู่แล้ว ไม่ใช่ตกลงกันแล้วหรือว่าวันนี้ออกมาเที่ยวจะคิดถึงแต่เรื่องมีความสุข ไม่พูดเรื่องที่ทำให้หมดสนุก” ชุยสิงโจวจับมือนางเดินไปพลางเอ่ยไปพลาง
ความจริงเวลาหลิ่วเหมียนถังโมโหเองก็น่าดูชมมาก ระลอกคลื่นน้ำระยิบระยับสะท้อนเรืองรองอยู่บนใบหน้าของนาง สีคิ้วล้วนปกคลุมอยู่ในแสงสว่าง
หลิ่วเหมียนถังถอนหายใจเอ่ย “ปัญหาของสำนักคุ้มภัยมีมากเกินไป หลายเรื่องต้องให้ข้าจัดการด้วยตนเอง ไม่อาจเสียเวลาได้จริงๆ ขอท่านอ๋องโปรดเข้าใจ อนุญาตให้ข้ากับท่านลุงใหญ่เดินทางกลับในวันพรุ่งนี้ด้วย”
ชุยสิงโจวหยุดเดิน เอ่ยว่า “ไม่ใช่ตกลงกันแล้วว่าจะอยู่ต่ออีกสักพักหรือ”
หลิ่วเหมียนถังก้มหน้า หลุบตาพูด “ท่านแค่พูดเอาเอง ข้าไม่ได้ตอบตกลงเสียหน่อย”
ชุยสิงโจวลากเสียงยาว “แต่ก่อนทุกครั้งที่ข้าจะไป เจ้าล้วนตัดใจไม่ได้สารพัด บัดนี้เป็นอะไรไป จะต้องรีบแยกจากข้าให้ได้…”
หลิ่วเหมียนถังเบือนหน้าหนีเอ่ยเสียงเย็น “แต่ก่อนข้าเป็นแค่คนโง่งม ถูกหลอกลวงแล้วก็ยังไม่รู้ตัว ตอนนี้เติบโตขึ้นมาอีกปี จะเอาแต่โง่เขลาต่อไปคงไม่ได้ หากท่านอ๋องรู้สึกไม่พอใจก็เชิญตามหาคนใหม่ จากรูปโฉมและความสามารถของท่านอ๋อง สามารถหาคนที่เต็มใจเย็บเสื้อผ้า ทำอาหาร ยกถาดเสมอคิ้วให้ท่านได้อย่างแน่นอน”
ชุยสิงโจวสูดหายใจเข้า รู้ดีว่าพอพูดถึงหัวข้อนี้เมื่อไร ตนเองไม่มีโอกาสจะชนะได้เลย ดังนั้นจึงโอนอ่อนน้ำเสียงลง ตบหลังมือนางเบาๆ พร้อมเอ่ย “พอแล้ว แต่ก่อนเป็นความผิดของข้า ข้าไม่ควรหลอกลวงเจ้า ในเมื่อเจ้าจะไปข้าก็จะไม่รั้งอยู่อีก ถึงอย่างไรอีกไม่นานข้าก็จะไปซีโจว…เจ้าไม่ต้องคิดอะไรแล้ว เรื่องทุกอย่างหลังจากนี้ให้ข้าเป็นคนจัดการเอง รอพวกเรากลับไปเจินโจว ทุกอย่างล้วนสามารถทำตามที่เจ้าต้องการ…”
หลิ่วเหมียนถังไม่พูดอะไร ถึงอย่างไรนางก็ไม่มีทางตามเขากลับไปเจินโจว หากเขายังคิดรับนางเป็นอนุ วันหน้าก็จะมีสักวันที่เขายอมตัดใจ
ในวันรุ่งขึ้นหลิ่วเหมียนถังตามท่านลุงใหญ่ขึ้นเรือ จุดที่ต่างจากการไปโดยไม่ลาที่ด่านอู่หนิง ครั้งนี้ชุยสิงโจวเป็นฝ่ายมาส่งทั้งสองคนตรงท่าเรือด้วยตนเอง
“ครั้งนี้ข้าให้หลี่มามาตามเจ้ากลับไปด้วย” ชุยสิงโจวชี้ไปยังหลี่มามาที่สะพายห่อสัมภาระอยู่ด้านข้างพร้อมเอ่ย
หลิ่วเหมียนถังได้ยินว่าเขาจะให้หลี่มามาตามมาด้วยก็เอ่ยปากทันที “ไม่เป็นไร ใช่ว่าที่บ้านสกุลลู่ไม่มีบ่าวรับใช้เสียหน่อย ข้าไม่ได้ขาดแคลนคนคอยปรนนิบัติหรอกนะ”
ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าหลี่มามาคือหูตาที่ชุยสิงโจวส่งมาจับตาดูตนเอง ดังนั้นต่อให้บ่าวหญิงอาวุโสทำอาหารอร่อยกว่านี้นางก็ไม่กล้ารับไว้!
ชุยสิงโจวกลับเอ่ยว่า “ไม่ขาดคนปรนนิบัติ? แล้วเหตุใดเจ้าจึงทำตนเองผ่ายผอมลงเพียงนี้ ทุกสามวันห้าวันก็อยากกินอาหารที่หลี่มามาถนัดทำ แต่ก็รังเกียจว่าฝีมือห้องครัวสกุลลู่ของเจ้าแย่เกินไป ตอนนี้เจ้าตัวตามเจ้ากลับไป เจ้าอยากกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น นอกจากนี้…อยากเรียนรู้มารยาทก็ให้มามาทุ่มเทสอนเจ้าได้ เป็นสตรีคงไม่อาจเรียนรู้แต่หมัดเท้าโดยไม่รู้เรื่องมารยาทกระมัง”
หลิ่วเหมียนถังฟังมาถึงตรงนี้ก็แสดงออกอย่างอ้อมค้อมว่าตนเองเปิดสำนักคุ้มภัย เวลาดื่มชากับพวกลูกน้องให้ใช้ถ้วยชายังรู้สึกเสแสร้ง ใช้ชามใหญ่ถึงจะสาแก่ใจ บรรดามารยาทที่หลี่มามาสอนมา ส่วนใหญ่ใช้เวลาเหล่าคุณหนูและฮูหยินเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชา ส่วนนางคาดว่าวันหน้าจะไม่ได้ใช้
ชุยสิงโจวเห็นนางแย้งตนเองอีกแล้ว สีหน้าก็ดำทะมึนลงอย่างห้ามไม่ได้ “เอาเป็นว่าข้ายกคนให้เจ้าแล้ว หากเจ้าไม่พอใจนางก็หานายหน้ามาขายนางไปแล้วกัน”
ตอนที่ไหวหยางอ๋องเอ่ยประโยคนี้ หลี่มามายืนอยู่ด้านข้างนี้เอง ต่อให้ท่านอ๋องพูดว่าจะให้นายหน้าขายตัวนาง เอวก็ยังคงเหยียดตรง กระทั่งขนคิ้วยังไม่ขยับ
สมเป็นท่าทางของหมัวมัวแห่งจวนอ๋องจริงๆ ไม่ตื่นตระหนกกับอะไรง่ายๆ!
เพียงแต่บ่าวหญิงอาวุโสมองมาที่คุณหนูหลิ่วด้วยแววตาลุ่มลึก สีหน้าเองก็ดำคล้ำ
หลิ่วเหมียนถังรู้สึกว่าหลี่มามาอายุมากเพียงนี้ ได้รับความตกใจเข้าจะไม่เป็นการดี จึงหันไปพูดกับนาง “ท่านอ๋องกำลังล้อเล่น ข้าจะขายมามาได้อย่างไร…”
หลี่มามาตอบอย่างสุภาพนอบน้อม “ท่านอ๋องกล่าวถูกแล้ว หากคุณหนูรู้สึกว่าบ่าวภักดีไม่พอ ไม่ต้องพูดเรื่องขายเลย การโบยตายเองก็สมควรแล้วเจ้าค่ะ!”
เรื่องโบยบ่าวรับใช้จนตายน่าจะเป็นวิชาที่สืบทอดกันมาในจวนอ๋องจวนโหวเช่นกัน หลี่มามาเอ่ยเสียงดังฟังชัดราวกับกินถั่วกรอบ
ฟางเซียกับปี้เฉ่าได้ยินแล้วพากันหดคอ
เพราะเมื่อก่อนเวลาหลี่มามาสั่งสอนพวกนาง ไม่ได้เคยพูดเพียงครั้งเดียวว่าจากสภาพไม่รู้จักความก้าวหน้าของพวกนางสองคน หากเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องจวนโหวก็คงถูกม้วนใส่เสื่อไปโยนทิ้งสุสานศพไร้ญาตินานแล้ว!
แต่ก่อนพวกนางนึกว่าหลี่มามาพูดล้อเล่น มาตอนนี้ถึงได้รู้สึกตัวช้า ตอนที่หลี่มามาพูดประโยคนี้แฝงกระไอสังหารอยู่จริงๆ
เมื่อคิดถึงว่าครั้งนี้บ่าวหญิงหน้าดำคล้ำจะตามไปด้วย สองสาวใช้ต่างมีสีหน้าเศร้าหมอง
ถัดมาไหวหยางอ๋องยังกำชับอีกรอบอย่างวางใจไม่ลง
ที่สำคัญที่สุดคือได้รับจดหมายของเขาเมื่อไรจะต้องตอบกลับทันที หากเป็นเหมือนแต่ก่อนที่กระทั่งรับจดหมายยังไม่ยอมรับเขาจะไม่ยอมทนเด็ดขาด!
กว่าจะขึ้นเรือได้ช่างแสนยากเย็น ลู่เซี่ยนมองไหวหยางอ๋องที่ยังยืนอยู่ตรงท่าเรือไม่ไปที่ใดก็หันไปถามหลิ่วเหมียนถังอย่างหวั่นใจ “เจ้าว่าท่านอ๋องจะยอมปล่อยมือหรือไม่”
หลิ่วเหมียนถังไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินไปที่หัวเรือ มองหยาดน้ำซึ่งกระเซ็นขึ้นมาข้างลำเรือเงียบๆ
เขาจะปล่อยมือหรือไม่เป็นเรื่องของเขา แต่ชีวิตของนางต้องให้ตัวนางเองเป็นผู้วางแผนใช้ชีวิตผ่านไป
รอหลังกลับไปนางจะขยันขันแข็งเก็บเงินให้มากๆ
เพราะว่าการเป็นหญิงสาวทึนทึกนั้นไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือทั้งทึนทึกและยากจน
เมื่อคิดเช่นนี้การแยกจากครั้งนี้ก็ไม่ได้มีความรู้สึกสงบนิ่งแต่ภายนอกแต่ข้างในหนักอึ้งเหมือนกับครั้งแรกอีก
ดังนั้นดูแล้ว ข้อเสนอให้ค่อยๆ คุ้นชินกับการแยกกันจำพวกนี้ของชุยสิงโจวมีประโยชน์อยู่บ้างจริงๆ หลิ่วเหมียนถังรู้สึกเพียงว่ายังไม่ทันกลับไปก็มีเรื่องมากมายรอให้ทำแล้ว
ตลอดเส้นทางเดินเรือไม่มีเรื่องราวให้พูดคุย หลังผ่านไปหลายวันก็กลับไปถึงเขตแดนซีโจว
เพราะตอนที่หลิ่วเหมียนถังจากไปบอกว่าตนไปจัดการเรื่องในสำนักคุ้มภัย แม้จะทำให้ท่านผู้เฒ่าเป็นกังวลบ้างทว่าก็มีเหตุผล มีเพียงนายท่านใหญ่ที่ไล่ตามไปด้วยความเป็นห่วง คนอื่นๆ กลับไม่รู้สึกผิดปกติอะไร
เพียงแต่ครั้งนี้คุณหนูหลิ่วกลับมาได้พาบ่าวหญิงหน้าดำคล้ำมาด้วยอีกคน ชักนำให้ลู่ชิงอิงเบ้ปากเอ่ยอย่างห้ามไม่ได้ “วางท่าใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เสียจริง สาวใช้สองคนยังไม่พอรับใช้ กลับซื้อตัวบ่าวหญิงมาอีกคน! ข้าเห็นว่านางดูเหมือนคุณหนูตระกูลขุนนางเสียยิ่งกว่าบุตรสาวของผู้ว่าการอำเภออีก!”
ขณะนี้ครอบครัวบ้านรองกำลังกินอาหาร ลู่มู่ได้ยินบุตรสาวเอ่ยอย่างอิจฉาก็ถลึงตาเอ่ย “ท่านโหวจ้าวผู้นั้นต้องตาเหมียนถัง รอนางกลายไปเป็นอนุสูงศักดิ์ของจวนโหวเมื่อไร ย่อมต้องมีท่าทางยิ่งกว่าหลานสาวของผู้ว่าการอำเภออย่างเจ้า! ลูกพี่ลูกน้องเจ้าเป็นคนร้ายกาจ หากเจ้าพูดเช่นนี้ต่อหน้านาง รอดูว่านางจะละเว้นเจ้าง่ายๆ หรือไม่!”
ลู่ชิงอิงเบ้ปากเอ่ย “ท่านพ่อมองในแง่ดีเกินไปแล้ว คนที่ท่านโหวต้องตาจะได้ยกเกี้ยวเข้าจวนกันหมดหรือไร ข้าได้ยินจากคุณชายซูว่าในจวนท่านโหวจ้าวมีอนุเยอะมาก จะสูงศักดิ์หรือไม่ พอคนเยอะเข้าก็ล้วนต่ำชั้นทั้งนั้น…ไม่แน่ท่านโหวจ้าวอาจแค่อยากนอนกับนางเท่านั้นก็ได้!”
บทที่ 66
ลู่มู่รู้จักนิสัยของบุตรสาวตนเองดี ชอบเปรียบเทียบกับหลิ่วเหมียนถังเสียทุกด้าน คำพูดอิจฉาริษยาของเด็กๆ พวกนี้เขาย่อมไม่สนใจ แค่ปล่อยให้บุตรสาวพูดไป
เรื่องที่ทำให้ลู่มู่กังวลที่สุดคือช่วงก่อนหน้านี้หลิ่วเหมียนถังตัดเบี้ยเกษียณของคนเก่าแก่สกุลลู่ไปจนหมด
ความจริงคนเหล่านี้ไม่ได้สนใจเอาแต่รับเงินของตนเอง เนื่องจากมีหลายคนขณะที่ได้รับผลประโยชน์จากสกุลลู่ก็ได้จัดเตรียมส่วนกตัญญูต่อนายท่านรองลู่ไว้อีกส่วนด้วย
ยกตัวอย่างเช่นเฒ่าเฉาที่ทำกิจการขนส่งทางเรือ ตอนแรกที่สกุลเฉาเปลี่ยนไปเปิดกิจการขนส่งทางเรือก็ได้รับคำอนุญาตเงียบๆ จากเขา ทุกครั้งที่มาถึงวันเทศกาลหรือวันสิ้นปี ลู่มู่จะได้รับส่วนแบ่งก้อนใหญ่
ทุกวันนี้กิจการขนส่งทางเรือของสกุลเฉาถูกหลิ่วเหมียนถังเบียดเบียนจนดูไม่ได้ ลู่มู่เองก็เสียเงินก้อนใหญ่ไปด้วย
ลู่มู่ถามตนเองว่านี่ไม่ใช่การละโมบ แต่เป็นเพราะสมองของบิดาเขาคร่ำครึเกินไปจริงๆ ไม่ยอมให้พี่น้องแยกบ้าน ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนให้ชายชราอย่างบิดาเขาเป็นผู้แบ่งสันปันส่วน
ครอบครัวใหญ่คนเยอะ ภาระเองก็ย่อมมาก เมื่อเห็นว่าเรือลำใหญ่ของสกุลลู่ใกล้จะแล่นได้ไม่เร็วอีก หากตนเองแยกตัวออกไปใช้ชีวิตได้ ไม่ใช่ว่าจะเบาสบายกว่าหรือ
พูดถึงเรื่องสมองเขาฉลาดกว่าพี่ชายไม่ใช่แค่ร้อยเท่า แต่ติดขัดที่วันหน้าพี่ชายเป็นคนรับสืบทอดกิจการครอบครัว ไม่ว่าอะไรก็เทียบพี่ชายไม่ได้
สมัยที่ลู่มู่ยังไม่แต่งงานก็ยังดี แนวคิดยังคงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับครอบครัว ทว่าหลังแต่งงานกับเฉวียนซื่อ เขาถูกลมข้างหมอน* ของภรรยาเข้า ตนเองที่เดิมทีหัวไวเจ้าเล่ห์อยู่แล้วเลยค่อยๆ เกิดความคิดเป็นอื่นขึ้นมา
ดังนั้นที่สำนักคุ้มภัยตกอับลงรวดเร็วเพียงนั้น จึงเกี่ยวข้องอย่างมากกับการที่ลู่มู่ทำพฤติกรรมขโมยของที่ตนเองเฝ้า แอบโยกย้ายกิจการบางอย่างไป
เนื่องจากเขามีสายสัมพันธ์อันดีต่อพวกคนเก่าแก่ของสำนักคุ้มภัย บรรดาคนเก่าแก่เหล่านั้นพอได้รับผลประโยชน์ก็เต็มใจช่วยเขาแก้ไขสถานการณ์ต่อหน้าท่านผู้เฒ่า
ทว่ายามนี้หลิ่วเหมียนถังเป็นคนดูแลบัญชีเบี้ยเกษียณของคนทั้งกลุ่ม ตัดค่าใช้จ่ายของคนจำนวนนับไม่ถ้วนไปก้อนใหญ่ คนเหล่านี้สูญเสียผลประโยชน์ย่อมต้องมาหาลู่มู่ให้ช่วยคิดหาวิธี
ลู่มู่จะมีวิธีการอันใดได้ คงไม่อาจควักเงินของตนเองมาชดเชยให้พวกเขากระมัง
ดังนั้นลู่มู่จึงได้แต่เสนอความคิดให้พวกเขาหาโอกาสไปโวยวายกับหลิ่วเหมียนถัง
ในเมื่ออย่างไรเสียหญิงสาวต่างสกุลคนหนึ่งอย่างนางย่อมไม่อาจล่วงเกินท่านปู่ท่านลุงมากมายเพียงนี้ ไม่แน่ว่าพวกเขาโวยวายรุนแรงสักหน่อย ท่านผู้เฒ่าอาจออกหน้าบอกให้หลิ่วเหมียนถังยอมผ่อนปรนด้วยซ้ำ!
แต่พวกเขาปรึกษากันเสร็จเรียบร้อย ตัวหลิ่วเหมียนถังกลับไปข้างนอกไม่กลับมาเสียที
อดทนอดกลั้นอยู่นานมาก ถึงได้ยินข่าวเรื่องคุณหนูสกุลหลิ่วกลับมาพร้อมขบวนเรือแล้ว
กลุ่มคนเก่าแก่นำโดยคนสกุลเฉานัดแนะวันกันเรียบร้อย อาศัยโอกาสที่หลิ่วเหมียนถังออกไปยังลานยิงธนูของซีโจวไปดักรอนาง ในเมื่อครั้งก่อนท่านเฉาถูกท่านผู้เฒ่าด่าทอมา รู้ว่าท่านผู้เฒ่าลำเอียงเข้าข้างหลานสาว เลยได้แต่มากดดันลับหลังท่านผู้เฒ่าเช่นนี้
วันนี้หลิ่วเหมียนถังมาลานยิงธนูเพื่อจะฝึกฝนทักษะการยิงธนูที่ละทิ้งไปนาน
ชุยสิงโจวให้ธนูคันเล็กกับนาง เพราะว่าทำมาเป็นพิเศษ ติดตั้งสายที่ยืดหยุ่นสูง ต่อให้เป็นเด็กแรงน้อยก็ยังใช้ได้
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เส้นเอ็นข้อมือของหลิ่วเหมียนถังเสียหายรุนแรง กระทั่งยกมือยังยกไม่ขึ้น ตอนนี้ข้อมือดีขึ้นมาบ้างจึงมาลองดู
เดี๋ยวนี้พวกกลุ่มฟั่นหู่ถูกชุยสิงโจวลดขั้นมาเป็นลูกจ้างสำนักคุ้มภัยของหลิ่วเหมียนถังไปแล้ว ตอนนี้ติดตามอยู่ข้างกายหลิ่วเหมียนถัง ช่วยวางเป้ายิง หยิบคันธนูให้เงียบๆ
เหตุผลที่ท่านอ๋องยังเก็บพวกเขาไว้ก็เกี่ยวข้องกับความเจ้าเล่ห์ของหลิ่วเหมียนถัง ไหวหยางอ๋องมองออกว่าลูกไม้ของหลิ่วเหมียนถังมีมากเกินไป หากเปลี่ยนเป็นองครักษ์ลับกลุ่มใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับนาง เกรงว่าจะตกหลุมพรางนางอยู่ดี
มิสู้ให้กลุ่มฟั่นหู่ที่เจอมาทุกลูกไม้แล้วติดตามต่อ เชื่อว่าชาตินี้พวกเขาไม่มีทางกินอะไรที่รับมาจากมือหลิ่วเหมียนถังแล้ว
แน่นอนว่าพวกฟั่นหู่ถูกลดขั้นเป็นลูกจ้าง ชุยสิงโจวย่อมส่งองครักษ์ลับอีกชุดมาแอบปกป้องหลิ่วเหมียนถังแทน
คนพวกนี้เป็นคนแปลกหน้า ไม่ต้องกลัวว่าหลิ่วเหมียนถังจะคิดแผนการมาสลัดพวกเขาทิ้งอีก
หลิ่วเหมียนถังรู้สึกผิดต่อองครักษ์ฟั่น จึงทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบพวกเขาอย่างใส่ใจ น่าเสียดายที่พวกฟั่นหู่ดูเหมือนปรึกษากันมาแล้ว นอกจากจำเป็นมิเช่นนั้นจะไม่พูดคุยกับคุณหนูหลิ่วแต่อย่างใด ป้องกันไม่ให้ตกหลุมพรางอะไรของคุณหนูหลิ่วอีก
วันนี้หลิ่วเหมียนถังสวมชุดนายพรานสีดำ สายคาดเอวหนังผืนกว้างรัดเอวให้คอดกิ่วกว่าเดิม ทำให้ทรวงอกเด้งก้นงอน เรือนผมก็เกล้าเป็นทรงหางม้าทิ้งตัวโค้งลงมาหลังศีรษะอย่างดูคล่องแคล่ว รองเท้าขี่ม้าหนังหุ้มสูงขึ้นมาถึงน่องขา ท่อนขาเรียวชวนให้คนมองจนไม่อาจละสายตา
ตอนที่บรรดาคนเก่าแก่รีบเดินทางมาถึงลานยิงธนู ภาพที่เห็นคือหลิ่วเหมียนถังถือธนูคันหนึ่งที่มีขนาดประมาณสองฝ่ามือเล็งยิงต่อเนื่องไปยังเป้าที่ตั้งไว้ห่างไปราวร้อยเมตร
ธนูคันนั้นราวกับของเล่น เป็นของสำหรับให้สตรีกับเด็กน้อยไว้เล่นสนุกฆ่าเวลาจริงๆ
กลุ่มบุรุษที่ออกเดินทางทั่วเหนือจรดใต้อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปากอย่างดูถูก
ท่านเฉาตะโกนนำออกไป “นางหนูหลิ่ว เจ้าช่างเป็นผู้สูงศักดิ์งานยุ่งจริงๆ! ให้คนเฒ่าคนแก่อย่างพวกเราหาตัวได้ยากเย็นนัก!”
หลิ่วเหมียนถังไม่แม้แต่จะเหลือบแลพวกเขา สนใจเพียงเล็งไปยังไหใบใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปเท่านั้น
ท่านเฉาไม่พอใจท่าทีเมินเฉยเช่นนี้ของนาง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโห “วันนี้ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อตัวข้าเอง แต่เพื่อพี่น้องคนอื่นๆ นางหนูอย่างเจ้าถือสิทธิ์อะไรมาตัดเบี้ยเกษียณที่สกุลลู่มอบให้พวกเราทิ้ง! หากวันนี้เจ้าไม่บอกเหตุผลมาก็ไม่ต้องคิดจะไปที่ใดทั้งนั้น!”
ผลปรากฏว่าคุณหนูสกุลหลิ่วไม่ได้ตอบคำ ทว่าบ่าวหญิงหน้าดำคล้ำคนหนึ่งก้าวออกมา มองประเมินพวกเขาด้วยสีหน้าเย็นชาก่อนเอ่ย “ไม่ทราบว่านายท่านผู้นี้เรียกคุณหนูของพวกเราว่า ‘นางหนู’ เช่นนี้ ท่านเป็นผู้อาวุโสคนใดของนางหรือ”
ท่านเฉาถูกบ่าวหญิงที่โผล่ออกมากะทันหันทำให้ตกใจ จ้องตาเขม็งตอบ “สมัยก่อนข้าเป็นผู้คุ้มภัยของท่านตานาง สมัยนั้นท่านผู้เฒ่าเคยเจออันตราย หากไม่ใช่เพราะข้า…”
หลี่มามาได้ฟังแล้วคิ้วแทบจะพาดเฉียงขึ้นมา “ในเมื่อเป็นผู้คุ้มภัยซึ่งถือเป็นลูกน้องของท่านผู้เฒ่าลู่ ถ้าอย่างนั้นก็คือลูกจ้าง! พวกลูกจ้างอย่างพวกท่านช่างวางท่าใหญ่โตนัก ถึงกับกล้าเรียกหลานสาวแท้ๆ ของท่านผู้เฒ่าว่านางหนู! นางเป็นสาวใช้ในบ้านพวกท่านหรือไร แต่ละคนหนวดเคราหงอกขาวเต็มใบหน้า กลับไม่มีความน่าเคารพยำเกรงสักนิด อีกอย่างจงยืนห่างไปอีกสักหน่อย! อย่าให้กลิ่นเหม็นเน่าของโลงผุลอยเหม็นคลุ้งมาถึงคุณหนูของพวกเรา!”
พูดกันตามตรงกลุ่มผู้คุ้มภัยชราเหล่านี้อาศัยว่าตนเองมีความดีความชอบสูง ไม่ต้องพูดถึงยามอยู่ต่อหน้าหลิ่วเหมียนถัง ต่อให้อยู่เบื้องหน้านายท่านใหญ่กับนายท่านรองสกุลลู่เองพวกเขาก็ใช้อายุมากดข่มเหมือนกัน
แต่บัดนี้พวกเขากลับถูกหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งด่าทอ มันน่าโมโหหรือไม่!
ท่านเฉาถึงได้ตั้งใจมองบ่าวหญิงตรงหน้า
เห็นได้ว่าบ่าวหญิงผู้นี้บุคลิกไม่ธรรมดาจริงๆ จอนผมเรียบแปล้ไม่มีผมหลุดลงมาสักเส้น เอวเหยียดตรงแหน็ว ท่ายืนแฝงความเย่อหยิ่ง ตอนที่มองท่านเฉาแววตานั้นเสมือนเห็นอุจจาระสุนัขอย่างไรอย่างนั้น
แม้หญิงวัยกลางคนจะอายุมาก แต่ยังคงแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ต่างหูกับกำไลที่นางสวมใส่เป็นชุดเดียวกันซึ่งทำมาจากหยกเนื้อดี เสื้อผ้ากับรองเท้ามองดูธรรมดา แต่เนื้อผ้าราคามิสามัญ
แม้แต่ภรรยาที่บ้านเขายังดูดีเทียบเท่าบ่าวหญิงผู้นี้ไม่ได้
ในเวลานั้นกลุ่มชายชราถูกบ่าวหญิงอาวุโสคนหนึ่งทำให้ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
แต่ท่านเฉาได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ถลึงตาเอ่ย “บ่าวคนหนึ่งอย่างเจ้ากล้าพูดเช่นนี้กับข้าหรือ!”
หลี่มามาเป็นบ่าวรับใช้ชั้นสูงของจวนอ๋อง หลังเก็บหอมรอมริบมาหลายรุ่น บุตรชายที่บ้านเปิดร้านค้าด้วยซ้ำ หากถกกันโดยละเอียด กลับมีทุนทรัพย์หนายิ่งกว่าบ้านท่านเฉาเสียอีก
ดังนั้นพอได้เห็นกลุ่มผู้คุ้มภัยหยาบคายกลุ่มนี้ กิริยาท่าทางของหลี่มามาจึงเต็มไปด้วยความดูถูก แค่นเสียงเย็นเอ่ย “ท่านนับเป็นตัวอะไร ต่อให้ผู้ช่วยนายอำเภอของซีโจวหลี่กวงไฉมาที่นี่ ข้าก็จะพูดจาเช่นนี้เหมือนกัน”
ประโยคนี้ของหลี่มามาทำให้ท่านเฉาหัวใจกระตุกวาบ ในเดือนนี้ซีโจวเปลี่ยนผู้ช่วยนายอำเภอคนใหม่ แต่ประกาศแต่งตั้งยังส่งมาไม่ถึงซีโจว ท่านเฉาเองก็ได้ยินผู้ช่วยนายอำเภอคนเก่าแอบบอกมาถึงรู้ว่าผู้ช่วยนายอำเภอคนใหม่ชื่อหลี่กวงไฉ
แต่เรื่องที่เป็นความลับเพียงนี้บ่าวหญิงข้างกายหลิ่วเหมียนถังกลับพูดออกมาได้ในทันที เห็นได้ว่าหลิ่วเหมียนถังผู้นี้จะต้องมีขุนนางคอยช่วยเหลือ!
ทว่าคนเก่าแก่คนอื่นๆ ไม่ได้รู้เบื้องลึกเบื้องหลังด้วย ได้ยินชื่อที่บ่าวหญิงอาวุโสพูดออกมาส่งๆ ซึ่งไม่ใช่ชื่อผู้ช่วยนายอำเภอของที่นี่ก็พากันหัวเราะครืนออกมา! รู้สึกว่านางถลกหนังเสือมาทำเป็นธง* หลอกให้คนตกใจเล่น!
บรรดาคนเก่าแก่กลุ่มนี้ต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่พิถีพิถันด้านมารยาท จู่ๆ มาถูกตัดเส้นทางทำมาหากิน ในใจย่อมโมโห กอปรกับนึกดูถูกหลิ่วเหมียนถัง จึงคิดแต่อยากก่อเรื่องใหญ่ให้นางหวาดกลัว
คำโบราณว่าไว้เด็กดื้อต้องดื่มนมมารดาเยอะๆ ได้รับการสั่งสอนให้มากๆ ก่อนหน้านี้ตอนที่นายท่านใหญ่ลู่ร้องจะลดเงิน พวกเขาเองก็ก่อเรื่องจนล้มเหลวไปทั้งเช่นนี้!
บัดนี้เปลี่ยนมาเป็นนางหนูคนหนึ่ง คอยดูเถอะ พวกเขาจะทำให้นางตกใจแล้วค่อยไปร้องไห้โวยวายหน้าบ้านสกุลลู่อีกที รับรองว่าครั้งนี้สกุลลู่จะถูกเล่นงานจนหักเงินไม่สำเร็จอีกเหมือนเดิม
แต่ไม่รอให้พวกเขาเข้าใกล้ หลิ่วเหมียนถังพลันยิงลูกธนูดอกหนึ่งออกมา ได้ยินเสียงเพล้งดังขึ้น ไหใบใหญ่ที่อยู่ห่างสามสิบจั้ง** ใบนั้นถูกยิงแตกกระจาย
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง หลิ่วเหมียนถังเปลี่ยนทิศยิงลูกธนูออกมาอีกดอก ลูกธนูดอกนี้ยิงผ่านหมวกผ้าโปร่งของชายชราที่นำทัพมาหาเรื่อง แรงของธนูคันเล็กนั้นน่าตกใจ ทำให้เขาเสียหลักหงายหลัง จากนั้นร่างปักตรึงอยู่บนลำต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง
ชายชราผู้นั้นตกใจจนหน้าซีดดุจกระดาษ มีเพียงเขาที่รู้ว่าเมื่อครู่นี้ลูกธนูดอกนั้นเฉียดหนังศีรษะเขามาก ขอเพียงเฉกว่านี้ไปนิดเดียว สมองของเขาก็จะถูกยิงกระจุยเช่นเดียวกับไหใบใหญ่แล้ว
หลิ่วเหมียนถังสะบัดมือคล้ายไม่พอใจกับลูกธนูดอกนี้ของตนเอง จากนั้นกวาดตามองพวกคนเก่าแก่ที่มาหาเรื่องไปรอบพลางเอ่ย “คำโบราณที่ว่าข้าวสารหนึ่งกระบวยสร้างบุญคุณ ข้าวสารหนึ่งหาบสร้างความแค้น*** มีเหตุผลจริงๆ ด้วย เงินทองของสกุลลู่นับว่าเลี้ยงดูสุนัขป่าตาขาวไม่รู้จักอิ่มอย่างพวกท่าน เหตุใดถึงตัดเบี้ยของพวกท่าน ข้าเขียนแจกแจงรายละเอียดชัดเจนในจดหมายของแต่ละท่านแล้ว พวกท่านกลับยังมีหน้ามาหาเรื่อง! ในเมื่อไว้หน้าให้แล้วไม่รับไว้ก็อย่าได้โทษข้า หากข้าจะเขียนรายละเอียดที่พวกท่านดูดเลือดสกุลลู่ออกมาเป็นกระดาษคำฟ้องส่งไปที่ว่าการ ให้ชาวบ้านซีโจวช่วยตัดสินดูว่าสกุลลู่ควรมอบเงินให้ต่อหรือไม่!”
บรรดาคนเก่าแก่หลายคนรุมกันเข้าไปช่วยคนที่ถูกปักตรึงอยู่กับต้นไม้ลงมาแล้วมองลูกธนูดอกนั้นอีกที นึกไม่ถึงว่าจะเป็นหัวธนูตะขอสั่งทำพิเศษ หากยิงถูกคนตอนที่ดึงออกมาจะเกี่ยวเนื้อหลุดออกมาเป็นชิ้นด้วยซ้ำ
พวกเขาเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัวภายหลังขึ้นมา ชี้หน้าตำหนิหลิ่วเหมียนถังอย่างโมโห “เจ้า!…เจ้ากล้าลงมือทำร้ายคนได้อย่างไร!”
หลิ่วเหมียนถังแสร้งขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างขลาดกลัว “หญิงสาวอ่อนแออย่างข้าถูกคนป่าเถื่อนอย่างพวกท่านล้อมไว้จะไม่กลัวได้หรือ พวกท่านเสียงดังกันเพียงนี้ ข้าตกใจจนมือสั่นยิงธนูออกไปโดยไม่รู้ตัว หากพวกท่านเสียงดังกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่แน่ข้าอาจยิงออกไปอีกหลายดอกก็ได้ ถ้าเล็งเป้าพลาดไปเพียงนิด ไม่รู้เหมือนกันว่าวันหน้าใครจะมารับเงินของสกุลลู่แทนพวกท่าน!”
หลังเอ่ยประโยคนี้จบนางพาดลูกธนูเล็งไปที่พวกเขาอีกครั้ง ซ้ำข้อมือเพรียวบางยังสั่นไม่หยุด ลูกธนูหลายดอกถูกยิงออกมาสะเปะสะปะ ถึงขั้นที่หลายดอกเฉียดผ่านหน้าพวกเขาไป
คนเหล่านี้เคยได้ยินเรื่องหลิ่วเหมียนถังมือเท้าได้รับบาดเจ็บมา ทว่าไม่รู้ว่าอาการนางดีขึ้นมากแล้ว เห็นนางเล็งเป้าด้วยมือสั่นๆ ต่างตกใจหลบกันอลหม่าน
หลิ่วเหมียนถังยังคงไม่หยุดพูด “ท่านปู่หลี่ อนุคนงามคนที่สี่ของท่านเงินไม่พอใช้แล้วใช่หรือไม่ หากท่านยอมถูกยิงทีหนึ่ง ท่านย่าคนที่สี่ของข้าก็ร่ำรวยแล้ว ไม่แน่ว่าอาจมากพอสำหรับสินเจ้าสาวไว้แต่งงานใหม่ด้วยซ้ำ เอ้อ ท่านลุงจ้าว อย่าหลบสิ! น้องชายภรรยาท่านไม่ได้ติดหนี้พนันหรอกหรือ หากท่านถูกยิง ข้าจะช่วยน้องชายภรรยาท่านใช้หนี้ให้…”
เมื่อเป็นเช่นนี้กองกำลังเรียกร้องเบี้ยเกษียณที่เดิมมีศัตรูร่วมกันก็แตกกระเจิงทันที เหล่าชายชราปากร้องด่าโหวกเหวกว่า “นางหญิงบ้า” ก่อนวิ่งหนีกันไปทั้งอย่างนี้
และตอนที่ท่านเฉากลับไปยังไม่ลืมตะโกนเสียงดังอย่างร้อนตัว “เจอกันที่ที่ว่าการก็ที่ว่าการสิ! เกรงว่าถึงเวลาเรื่องอัปลักษณ์ของท่านลุงรองเจ้าจะปิดบังไว้ไม่อยู่ ดูว่าบ้านรองของพวกเจ้าจะปล่อยยายหนูอกตัญญูอย่างเจ้าไปง่ายๆ หรือไม่!”
รอคนเหล่านั้นแยกย้ายไปกันหมด หลี่มามารีบสั่งฟางเซียไปหยิบถุงน้ำแข็งมาประคบมือของหลิ่วเหมียนถังทันที “ท่านหมอกำชับมาแล้วว่าห้ามคุณหนูใช้ข้อมือมากเกินไป แม้ธนูคันนี้จะน้ำหนักเบา แต่อย่างไรก็เมื่อยมือ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
หลิ่วเหมียนถังนั่งอยู่บนเสื่อปล่อยให้สาวใช้ยุ่งวุ่นวายกันไป บนใบหน้ากลับเป็นรอยยิ้มที่ปิดไม่มิด นางจำไม่ได้แล้วว่าตนเองไม่ได้สัมผัสอารมณ์สาแก่ใจเช่นนี้มานานเพียงใด
ความรู้สึกที่สองมือค่อยๆ มีเรี่ยวแรงกลับมาให้ความรู้สึกอิ่มเอมใจเสียยิ่งกว่าทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำเสียอีก
หลี่มามาเห็นนางยิ้มเป็นเด็กก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เหมือนกัน ก่อนถาม “คุณหนู เย็นนี้มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษหรือไม่”
หลิ่วเหมียนถังตอบอย่างรวดเร็ว “ข้าอยากกินข้าวราดแกงมะเขือม่วงตุ๋นเนื้อแพะ แล้วก็กุ้งทอดดอกพุดตานฝีมือหลี่มามา”
โรคเก่าของหลี่มามากำเริบ เดิมอยากพูดถึงความพิถีพิถันของการจับคู่อาหารให้หลิ่วเหมียนถังฟังสักหน่อย อย่างเนื้อแพะจับคู่กับอาหารทะเลเช่นนี้ ถือว่ามีรสอร่อยไปในทางเดียวกัน ไม่มีตัวกลางช่วยกลมกล่อม เป็นวิธีสั่งอาหารแบบพวกครอบครัวของคนที่รวยขึ้นมากะทันหัน
แต่พอคิดอีกทีคุณหนูอุตส่าห์อารมณ์ดี อยากกินอะไรก็ต้องได้กินอย่างนั้นอยู่แล้ว! ดังนั้นนางจึงยิ้มแย้มรับปาก ในใจใคร่ครวญเอาเองว่าสามารถทำเครื่องเคียงปรับรสชาติออกมาได้
หลิ่วเหมียนถังจู่ๆ ก็ถามหลี่มามาว่ารู้เรื่องผู้ช่วยนายอำเภอคนใหม่ของซีโจวได้อย่างไร หลี่มามารีบเอ่ย “ผู้ช่วยนายอำเภอท่านนี้ท่านอ๋องจัดเตรียมมาด้วยความเป็นห่วงที่ว่าการซีโจว ทุกวันนี้บ้านของท่านอยู่ที่ซีโจว ท่านอ๋องย่อมจัดเตรียมขุนนางน้ำดีที่ดูแลเอาใจใส่มาปกครองที่นี่ ไม่ว่าเรื่องอะไรจะได้ดูแลคุณหนูได้…”
รอยยิ้มของหลิ่วเหมียนถังลดทอนลงไปเล็กน้อย
เมื่อก่อนนางมองสามีไม่ว่าอะไรก็ดี แต่ตอนนี้คิดดูแล้วนับว่าโดนอุจจาระสุนัขบดบังสายตาแล้ว!
ทุกวันนี้แยกจากกันถึงได้รู้ว่าบุรุษรูปงามดั่งเทพเซียนความจริงมีข้อเสียเต็มไปหมด นิสัยเผด็จการพูดหนึ่งไม่เป็นสอง ชอบควบคุมทุกอย่างเช่นนี้ เหตุใดเมื่อก่อนนางถึงได้ไม่รู้สึกตัวกัน
เมื่อถึงช่วงเวลากินอาหารเย็น เฉวียนซื่อกับบุตรสาวลู่ชิงอิงมาหานางในเวลากินข้าวพอดี
หลิ่วเหมียนถังย่อมเชิญท่านป้าสะใภ้รองกับญาติผู้น้องมากินข้าวด้วยกันตามมารยาท
ลู่ชิงอิงมองกับข้าวบนโต๊ะอย่างตกตะลึง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าหลิ่วเหมียนถังคนเดียวกินทั้งหมดนี่ จากที่นางเห็นเวลาทุกคนในครอบครัวสกุลลู่รวมตัวกันกินข้าว อาหารยังไม่พิถีพิถันเท่าบนโต๊ะหลิ่วเหมียนถังในตอนนี้เลย!
มิหนำซ้ำการจัดวางเช่นนั้น จานกุ้งทอดวางหางกุ้งซ้อนทับกัน ประดับด้วยดอกบัวแกะสลักจากหัวไช้เท้า ข้างใต้หม้อดินเผาหอมหม้อหนึ่งเผาด้วยถ่านไม้ไผ่ชั้นดี ปริมาณเครื่องเคียงมีไม่มาก แต่ไม่ว่าจะมองจานใดต่างดูวิจิตรประณีต สีสันจับคู่ดูดี น้ำมันสีใสกระจ่าง ต่อให้เป็นเหลาสุราที่ดีที่สุดของซีโจวยังจัดแต่งจานเช่นนี้ออกมาไม่ได้เลย!
เฉวียนซื่อเองก็มองจนโง่งม ก่อนเอ่ยอย่างอิจฉา “หลังยายหนูหลิ่วได้รับความไว้วางใจจากท่านผู้เฒ่าให้ดูแลบัญชีสกุลลู่แล้ว บรรยากาศก็แตกต่างออกไปจริงๆ…ไฉนข้ามองแล้วรู้สึกราวกับเข้ามาในเหลาสุราสักแห่งเลย!”
ความหมายโดยนัยคือหลิ่วเหมียนถังใช้เงินของสกุลลู่อย่างสุรุ่ยสุร่าย
หลิ่วเหมียนถังทอดถอนใจในใจเล็กน้อย ความจริงนางก็คาดไม่ถึงว่าหลี่มามาจะทำออกมาประณีตเพียงนี้
ด้วยเหตุผลเดียวกับที่หลิ่วเหมียนถังดีใจที่ยิงธนูได้หลังมือบาดเจ็บไม่อาจยิงธนูได้มานาน ผู้มีความสามารถอย่างหลี่มามาที่ถูกบังคับให้ปลอมตัวเป็นบ่าวหญิงของตระกูลพ่อค้ามาโดยตลอด ก็อดทนจนทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
นึกถึงสมัยก่อนนางเคยตามฉู่ไท่เฟยเข้าวังหลวงไปเห็นงานเลี้ยงในวัง บวกกับว่าตัวคนมีนิสัยรอบคอบ ไม่ว่าอะไรแปลกใหม่ล้วนไตร่ตรองโดยละเอียด สามารถวิเคราะห์ออกมาด้วยตนเองได้เจ็ดแปดส่วน อาหารที่ทำออกมาพูดได้ว่าโดดเด่นกว่าจวนอ๋องใหญ่ๆ ทุกแห่ง
ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยปิดบังฐานะอีก หลี่มามาแสดงความสามารถทั้งหมดที่มีออกมาจนสิ้น แค่ผักใบเขียว หัวไช้เท้า เนื้อปลากุ้งทั่วไป แต่พอผ่านฝีมืออันละเอียดลออก็เปรียบเสมือนหญิงสาววัยงามสะพรั่งกลายมาเป็นหญิงงามล่มเมืองในพริบตาเดียว
ความจริงหลิ่วเหมียนถังรู้ว่าอาหารทั้งโต๊ะนี้ของหลี่มามาไม่ได้เปลืองเงินมากเท่าไร แต่หน้าตาโดดเด่นเกินไป ยากจะไม่ให้คนอิจฉาตาร้อน
เห็นเฉวียนซื่อหลุดเอ่ยคำพูดอิจฉาออกมา หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ เอ่ย “ไฉนเลยเจ้าคะ! ข้าเพียงแค่พิถีพิถันเล็กน้อย สั่งให้คนจัดจานเท่านั้น อาหารทั้งหมดบนโต๊ะล้วนรับวัตถุดิบมาจากส่วนกลางทั้งสิ้น เพราะว่าข้าแยกห้องครัวเล็กมาเอง ค่าเตากับฟืนไฟจึงออกเงินด้วยตนเองเช่นกัน หากท่านป้าสะใภ้รองรู้สึกว่าวัตถุดิบที่ข้ารับมาไม่ประหยัดมากพอ เช่นนั้นวันหน้าเงินค่าวัตถุดิบของข้า ข้าออกเองก็ได้”
เฉวียนซื่อได้ยินแล้วสีหน้าโอนอ่อนลงทันใด ยิ้มแย้มเอ่ย “ท่านป้าเองก็มองออกว่าเจ้าไม่ชอบกินอาหารฝีมือห้องครัวใหญ่ หลายวันก่อนเห็นเจ้าผอมลงไปกับตา…หากเจ้าจะเปิดครัวแยก แล้วซื้อวัตถุดิบเองก็ดี คิดอยากกินอะไรจะได้สะดวกสักหน่อย…”
หลิ่วเหมียนถังจะออกเงินซื้อวัตถุดิบเองย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เฉวียนซื่อยินดีที่จะได้ประหยัดไปส่วนหนึ่ง
หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ เอ่ยต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งนี้ข้าจะให้ฟางเซียไปรับบัญชีมาจากเรือนท่านป้าสะใภ้ ดูว่าเงินค่าวัตถุดิบน้ำมันฟืนไฟที่ข้ามอบให้ยังเหลืออีกเท่าไร ถึงเวลาท่านป้าสะใภ้รองมอบให้นางพร้อมสมุดบัญชีก็พอเจ้าค่ะ”
เฉวียนซื่อหน้าเปลี่ยนสี นึกไม่ถึงว่ายายหนูหลิ่วเหมียนถังจะงกเพียงนี้ กระทั่งเงินที่จ่ายไปแล้วยังต้องการเอาคืน
หลิ่วเหมียนถังมองตอบนางอย่างสง่าผ่าเผย นางไม่ได้อยากหน้าเลือดเพียงนี้ แต่มีเงื่อนไขคือจะต้องเป็นคนที่รู้จักรับน้ำใจคน
แต่สายตาของท่านป้าสะใภ้รองตื้นเขินเกินไป ไม่ใช่คนจิตใจดีงาม
ต้องรู้ว่าตอนแรกนางให้เงินท่านป้าสะใภ้รองไปหนึ่งร้อยตำลึง ไม่ต้องพูดว่าวันนี้นางกินเนื้อแพะไปกี่ชั่งเลย ต่อให้กินทุกมื้อก็ยังไม่เป็นปัญหา
แต่อีกฝ่ายมาพูดจากระทบกระทั่งตนเอง ใส่ร้ายอ้อมๆ ว่าตนเองยักยอกเงินบัญชีนอกของสกุลลู่มาใช้ ถ้าอย่างนั้นหลิ่วเหมียนถังก็จะคำนวณต่อหน้านางโดยละเอียดเสียหน่อย
เฉวียนซื่อโมโหจนหน้าตึง ลู่ชิงอิงรีบช่วยแก้ไขสถานการณ์แทนมารดา “ดูญาติผู้พี่พูดเข้า ครอบครัวเดียวกันจะแยกกันกินเป็นสองครอบครัวได้อย่างไร ท่านเปิดห้องครัวของตนเองก็เปิดไปเถอะ แต่วัตถุดิบจะซื้ออะไรแปลกใหม่พิสดารเองอีกหรือ ยังมิสู้เลือกซื้อด้วยกันเหมือนเดิม หากท่านอยากกินอะไรเป็นพิเศษค่อยบอกป้าเฝิงคนซื้อวัตถุดิบก็พอ”
พูดจบยังสะกิดมารดา ให้นางอย่าได้ลืมเป้าหมายที่มาที่นี่ในวันนี้
วันนี้เฉวียนซื่อจิตใจว้าวุ่น ส่งผลให้หงุดหงิดใจ จึงรักษาสีหน้าไว้ไม่อยู่ พอถูกบุตรสาวตักเตือนเข้าถึงได้นึกเป้าหมายที่ตนเองมาออก นางจึงปรับสีหน้าให้โอนอ่อนลงพลางเอ่ย “ญาติผู้น้องเจ้าพูดถูก ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจะพูดเหมือนเป็นสองครอบครัวได้อย่างไร…เพียงแต่พวกคนแก่ที่ข้างนอก แม้จะติดตามสกุลลู่ของพวกเรามาทั้งชีวิต ท้ายที่สุดก็ไม่ใช่คนสกุลลู่ เจ้าพูดจาไม่เคารพพวกเขา พวกเขาตัดพ้อว่าท่านพ่อไม่ได้สั่งสอนหลานสาวอย่างเจ้าให้ดี วันนี้ข้าได้ยินท่านลุงรองเจ้าบอกว่าเจ้าเอาธนูไปข่มขู่พวกเขา…หากเรื่องนี้กระจายออกไป คนอื่นจะพูดได้ว่าครอบครัวพวกเราอกตัญญู”
หลิ่วเหมียนถังให้ปี้เฉ่าตักแกงมะเขือม่วงตุ๋นเนื้อแพะร้อนกรุ่นให้นางหนึ่งชาม ลิ้มรสชาติแกงสดใหม่ไปอึกหนึ่งก่อน ทั้งยังคีบกุ้งทอดกิน จากนั้นกินแกงอีกหนึ่งอึก รอท้องอุ่นวาบขึ้นมาแล้วถึงได้เอ่ยปาก “เดิมข้าคิดว่าพวกเขาจะไปฟ้องท่านลุงใหญ่ข้า หรือมากที่สุดก็ไปร้องไห้โวยวายกับท่านตาข้าเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะไปฟ้องท่านลุงรองแทน…พวกเขาสนิทกับท่านลุงรองน่าดูนี่!”
เฉวียนซื่อรู้สึกว่าหลิ่วเหมียนถังเป็นเด็กฉลาดหลักแหลมมาก นี่ไม่ใช่ว่ากำลังหลอกถามนางหรอกหรือ ดังนั้นนางถลึงตาเอ่ยทันที “ทั่วทั้งสกุลลู่มีท่านลุงรองเจ้าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมากที่สุด คนพวกนี้เลยมาหาเขา มีอะไรสนิทไม่สนิทกัน…แต่ท่านลุงรองเจ้ามองว่าความแค้นพึงละทิ้งไม่พึงผูก เดิมทีพวกเขาสำนึกในบุญคุณของสกุลลู่ หากเจ้าทำตัวไม่สนใจมิตรภาพเช่นนี้ เกรงว่าจะทำลายชื่อเสียงของสกุลลู่ได้”
หลิ่วเหมียนถังได้ฟังก็เข้าใจความหมายของท่านป้าสะใภ้รองแล้ว
ต้องเป็นเพราะเรื่องที่นางบอกว่าจะไปฟ้องที่ว่าการถูกคนเหล่านั้นนำไปเล่าต่อให้ท่านลุงรองฟัง ท่านลุงรองถึงได้รีบร้อนส่งภรรยากับบุตรสาวมาเป็นทัพหน้า ลองหยั่งเชิงหลิ่วเหมียนถังดูก่อน
หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าวันนี้คำพูดที่พวกคนเก่าแก่เอ่ยทิ้งท้ายไว้ล้วนแฝงเรื่องราวอยู่ ยามที่สำนักคุ้มภัยเผชิญปัญหา มือไม้ของท่านลุงรองไม่นับว่าสะอาดสะอ้าน
ดังนั้นทุกวันนี้ในขณะที่ทั่วทั้งสกุลลู่เต็มไปด้วยความอัตคัด จึงมีแต่บ้านรองที่ใช้ชีวิตอู้ฟู่ แต่ความร่ำรวยของครอบครัวพวกเขากลับพูดว่ามาจากสินเจ้าสาวของเฉวียนซื่อ ไม่ต้องช่วยชดเชยให้ส่วนกลางอย่างสง่าผ่าเผย…
หากท่านตารู้เข้าไม่รู้ว่าจะโมโหมากเพียงใด…ความจริงท่านลุงใหญ่เองก็น่าจะรู้เรื่องแต่แรก เพียงแต่ติดที่ความเป็นพี่น้องจึงช่วยปิดบังให้เขาเท่านั้น
มิน่าถึงมีคนพูดว่าขุนนางสุจริตเองก็ยากจะตัดสินถูกผิดเรื่องในบ้าน เพราะคำว่า ‘สายสัมพันธ์’ หนักหนาเกินไป ต่อให้เวลาอยู่ข้างนอกจะฆ่าฟันเลือดเย็น แต่พอกลับมาที่บ้านก็ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง ไม่อาจจัดการขั้นเด็ดขาดได้
แต่ตอนนี้ท่านลุงรองขวัญกล้าเกินไป ซ้ำยังไม่รู้ตัวว่าทำผิด หากนางยอมให้เขาเหมือนท่านลุงใหญ่ ไม่ช้าก็เร็วจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสกุลลู่ได้
คิดมาถึงตรงนี้หลิ่วเหมียนถังไม่ได้รีบร้อนพูดตรงๆ เพียงเอ่ยกับเฉวียนซื่อว่า “ท่านไปบอกกับท่านลุงรองว่าไม่ต้องช่วยพูดให้พวกสุนัขป่าตาขาวแล้ว สำนักคุ้มภัยเป็นเลือดเนื้อทั้งชีวิตของท่านตาข้า ไม่อาจปล่อยให้พวกมุสิกไร้มโนธรรมกัดกินไปจนหมด เมื่อก่อนที่เคยกินเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็จงคายออกมาให้ข้าทั้งหมด ข้าอาจจะอารมณ์ดียอมลืมตาข้างหลับตาข้าง แต่หากตั้งใจจะละโมบกินจนพุงกาง…ถึงเวลานั้นอยากมาตีสนิทเป็นท่านลุงท่านปู่อะไรข้า…ข้าดูที่เหตุผล ไม่ดูที่บุคคล!”
หลิ่วเหมียนถังเองก็พูดจาแฝงความนัย ระหว่างที่พูดบนใบหน้าก็ประดับรอยยิ้มเย็นมองตรงไปยังเฉวียนซื่อ
เฉวียนซื่อเสมือนถูกงูเพ่งเล็ง ถึงกับถูกบรรยากาศของนางกดดันจนไม่กล้าขยับตัว
สุดท้ายยังไม่ทันได้กินข้าวสักคำก็รีบพาบุตรสาวลู่ชิงอิงกลับไปแล้ว
หลิ่วเหมียนถังไม่รู้เหมือนกันว่าท่านลุงรองจะเข้าใจความคิดนางหรือไม่ แต่ว่าตักเตือนอ้อมๆ เช่นนี้ไปรอบหนึ่ง เขาจะได้รู้จักสงบเสงี่ยมลงบ้าง
วันรุ่งขึ้นหลิ่วเหมียนถังตื่นค่อนข้างสาย หลังนอนอยู่ในผ้าห่มอย่างเบื่อหน่ายสักพักก็ตัดสินใจจะไปเดินดูที่ท่าเรือเสียหน่อย
ช่วงนี้นางซื้อเรือลำใหม่มาสองลำ วันนี้สามารถลองลงน้ำได้พอดี นางจะต้องไปตัดผ้าแพรแดงที่ผูกไว้กับสมอเรือด้วยตนเอง ผ่านพิธีการก่อนลงน้ำเสียหน่อย
ดังนั้นหลังลุกจากเตียงหลิ่วเหมียนถังรำหมัดในลานเรือนตนเองก่อนหนึ่งรอบ วิชาหมัดชุดนี้เป็นท่าคว้าจับที่สมัยก่อนหลิ่วเหมียนถังเคยดูชุยสิงโจวฝึกฝนอยู่ที่ลานบ้านบนถนนสายเหนือ
นางเห็นบ่อยเข้าก็แอบจดจำท่าทางไว้ในใจ เพียงแต่วิชาหมัดที่ดูเรียบง่าย รอตนเองรำออกมาเองจริงๆ ถึงได้รู้ว่าหมัดนี้เปลืองกำลังอย่างมาก หากใช้วิชาออกมาถูกต้องเพียงไม่นานก็จะปวดเมื่อยมือเท้า เหงื่อออกท่วมตัว
ดังนั้นหลังหลิ่วเหมียนถังล้างหน้ากินข้าวเสร็จแล้วขึ้นไปบนเกี้ยว นางก็นั่งหมดแรงอยู่ในเกี้ยว รอถึงที่หมายแล้วลงมาก็มีสภาพอ่อนล้าต้องให้คนช่วยประคอง
สภาพบอบบางน่าทะนุถนอมเช่นนี้ถูกคนที่เพิ่งลงมาจากเรือโดยสารเห็นเข้าพอดี
สุยอ๋องคลี่ยิ้มลึกซึ้ง รู้สึกว่าตนเองช่างมีวาสนากับลู่เหวินผู้นี้ ไม่อย่างนั้นเขาเพิ่งมาถึงซีโจวจะเจอกับนางทันทีได้อย่างไร
* ลมข้างหมอน หมายถึงคำพูดที่ภรรยาหรือหญิงอันเป็นที่รักโน้มน้าวสามีของตนที่ข้างหมอน
* ถลกหนังเสือมาทำเป็นธง หมายถึงแอบอ้างบารมีผู้อื่นมาปกป้องตนเอง ข่มขู่ผู้อื่น
** จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร
*** ข้าวสารหนึ่งกระบวยสร้างบุญคุณ ข้าวสารหนึ่งกระสอบสร้างความแค้น เป็นสำนวนจีน หมายถึงในเวลาเดือดร้อนหากให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายเล็กน้อย เขาจะจดจำเป็นบุญคุณ แต่หากทำต่อไปเรื่อยๆ จนเลิกไปในสักวันด้วยเหตุผลบางอย่างเขาจะกลายมาเป็นโกรธแค้นแทน เพราะได้รับมาจนเคยชิน เห็นเป็นเรื่องปกติแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.