บทที่ 3
การเดินทางในป่าไม่ได้ลำบากอย่างที่เจ้าหญิงลลิสสาจินตนาการไว้แม้แต่น้อย แม้ทางเดินจะไม่ได้ปูเรียบเหมือนถนนลาดยาง แต่ก็ไม่ได้ขรุขระเต็มไปด้วยรากไม้เครือเถาวัลย์ ทุกอย่างรอบกายเงียบงัน ผิดกับบรรยากาศของป่าที่ควรมีเสียงนกเจื้อยแจ้วหรือแมลงกรีดเสียงร้องอย่างที่เคยดูในหนังสารคดี
“ลุงว่าป่ามันเงียบผิดปกติไหม”
“ไม่เห็นแปลกเลย ป่าก็แบบนี้แหละ”
“แต่มันเงียบเกินไปนะลุง ปกติในป่ามันควรมีเสียงนกร้อง เสียงแมลงอะไรสักอย่างไม่ใช่เหรอ”
“พวกมันอาจจะหลับก็ได้”
“กลางวันแสกๆ เนี่ยนะ”
‘ลุง’ ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะบอกได้ยังไงว่าตลอดเส้นทางที่ลัดเลาะผ่านมานั้น มีคนของเขาคอยถางทางล่วงหน้าและซุ่มตัวคุ้มกันอยู่ เป็นเหตุให้ไม่มีสัตว์ป่าเข้าใกล้ รอบกายเลยเงียบงันเช่นนี้
“รีบเดินเถอะ เดี๋ยวจะถึงชายแดนมืด”
“ลุงว่าทางเดินในป่ามันเดินง่ายเกินไปไหม ตอนออกจากกระท่อมพื้นดินมันยังเละเป็นโคลนอยู่เลย แต่เดินไปเดินมาทำไมพื้นดินถึงมีใบไม้คลุมพื้นตลอดทาง ดูเหมือนมีคนถางทางไว้ให้เลย”
“แถวนี้เป็นเส้นทางเดินป่า และเป็นเส้นทางที่พวกชาวบ้านเก็บของป่าผ่านไปยังชายแดน มันก็เลยเรียบแบบนี้ไงล่ะ”
เจ้าหญิงน้อยพยักหน้าคล้อยตาม “เดี๋ยวนะลุง แล้วเรื่อง…”
“เรียกลุงอยู่นั่นแหละ ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าฉันไม่แก่ขนาดเป็นลุงเธอสักหน่อย”
ดวงตากลมโตสุกใสจับจ้องรอยยับย่นและรอยยับย่นบนใบหน้าคนตัวใหญ่
ตีนกาเพียบขนาดนี้ไม่ให้เรียก ‘ลุง’ จะให้เรียก ‘ปู่’ รึไง!
แต่เธอไม่ได้ถ่ายทอดความคิดนั้นออกไป เพราะไม่อยากให้คนฟังเสียกำลังใจ เธอยังต้องพึ่งพา ‘ลุง’ จนกว่าจะถึงชายแดน
“พักแถวนี้ก่อนแล้วกัน” ลุงแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบ ชี้มือไปที่โขดหินข้างหน้า “เธอไปนั่งที่โขดหินนั่นสิ เดี๋ยวฉันไปหาอะไรมาให้กิน”
“ลุงไปนานไหม ไกลรึเปล่า”
อีกฝ่ายส่ายหน้า หยิบมีดด้ามกะทัดรัดออกจากข้างเอวแล้วส่งให้ถึงมือ
“ไม่ไกลหรอก เธอเก็บไว้ป้องกันตัวแล้วกัน”
“ขอบคุณนะลุง”
แล้วลุงก็เดินลับหายผ่านแนวพุ่มไม้ไป ทิ้งให้เจ้าหญิงน้อยเหลียวซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวัง พอแน่ใจว่าปลอดภัยเธอก็วางมีดลงข้างตัว ก่อนหยิบเขี้ยวเสือขึ้นหมุนไปมาเพราะรู้สึกผิดสังเกตตั้งแต่ทีแรกแล้ว
“มีรอยบากตรงมุมนี้ด้วยเหรอ”
ยังไม่ทันจะได้หาคำตอบ เสียงสวบสาบก็ดังกระชั้นเข้ามาทำให้เจ้าหญิงน้อยวางเรื่องเขี้ยวเสือแล้วคว้ามีดสั้นขึ้นกระชับมือ ทว่าคนที่เดินลัดเลาะผ่านสุมทุมพุ่มไม้กลับไม่ใช่คนอื่น
“ทำไมลุงกลับมาเร็วนักล่ะ แล้วนี่มัน…”
เจ้าหญิงน้อยเพ่งมองกระบอกไม้ไผ่สองกระบอกซึ่งคล้องอยู่ที่ข้อมือของเขา สลับกับใบบัวขนาดใหญ่บนฝ่ามือสองข้าง ฝั่งหนึ่งบรรจุผลไม้ดูสดใหม่ ขณะที่อีกข้างมีปลาย่างส่งกลิ่นหอมฉุยวางอยู่สี่ตัว
“น่ากินไหม”
หญิงสาวพยักหน้ารับ แต่ความสงสัยยังไม่หายไปจากดวงตาสุกใส “ลุงเอาของพวกนี้มาจากไหน”
“เก็บมาจากในป่า”
“ลุงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที แต่หาทั้งผลไม้ ตกปลาแถมยังย่างเสร็จสรรพเลยเนี่ยนะ”
“เธอลืมไปรึเปล่าว่าฉันเป็นคนภูเขา ป่าคือบ้านและห้องทำงานของฉัน” ฟังดูน่าหมั่นไส้ แต่มันก็เข้าเค้าอยู่ “แค่หาผลไม้ ตักน้ำ และแทงปลาในลำธารเอามาย่างให้ ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงนักหรอก และที่สำคัญ ฉันหายไปครึ่งชั่วโมง ไม่ใช่สิบนาที”
เจ้าหญิงน้อยไม่ได้สวมนาฬิกาจึงไม่มีประจักษ์พยาน ก็แค่สงสัย “แต่ทำไมเรารู้สึกว่าแป๊บเดียวเองล่ะ”
“เพราะเธอมัวแต่ใจลอยน่ะสิ” ลุงพูดจบก็ยื่นกระบอกไม้ไผ่ซึ่งบรรจุน้ำมาเต็มกระบอกให้ “กินน้ำสิ เธอคงจะเหนื่อยแล้ว”
หญิงสาวยอมรับซื่อๆ ความเหนื่อยล้าจากการเดินบนรองเท้าส้นสูงเป็นระยะทางไกลทำให้เธอเมื่อยและเหนื่อยมากจริงๆ ทันทีที่กระบอกไม้ไผ่จ่อปากเธอก็กรอกน้ำสะอาดเข้าปากไม่หยุด ความเย็นฉ่ำของหยาดน้ำทำให้ความเหนื่อยล้าลดทอนลงไปเยอะ
“ลุงแบ่งกระบอกนี้ไปดื่มสิ”
“เธอกินเถอะ เมื่อกี้ฉันดื่มน้ำจากลำธารไปแล้ว”
“งั้นเก็บไว้ระหว่างเดินทางแล้วกัน”
หลังจากนั้นเจ้าหญิงน้อยก็บิเนื้อปลาส่งเข้าปาก รสชาติดี กลิ่นหอมกรุ่น ไม่เหม็นคาว ทั้งยังมีกลิ่นและรสของเกลือกับพริกไทยเด่นชัดมาก
“กลางป่าแบบนี้ลุงไปเอาเกลือกับพริกไทยมาจากไหน”
ลุงซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาปอกเปลือกลูกสาลี่ชะงักกึก ก่อนกระตุกถุงหนังใบเล็กที่เอวยกขึ้นอวด
“เกลือกับพริกไทยอยู่ในถุงนี้”
“ลุงพกเกลือกับพริกไทยติดตัวเนี่ยนะ”
“ไม่เห็นจะแปลก คนภูเขาเวลาเดินป่าก็พกเกลือพกพริกไทยติดตัวทั้งนั้น มันเป็นเครื่องชูรสอาหาร จับสัตว์อะไรได้ก็เอามาแล่ โรยเกลือกับพริกไทยแล้วย่างกินประทังชีวิต”
เธอไม่เคยเป็นคนภูเขา จึงไม่รู้จะสรรหาคำใดมาค้าน เลยก้มหน้าก้มตาแกะปลาย่างจนเหลือแต่เนื้อ โดยแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งของเธอ ส่วนอีกฝั่งของลุง
“กินปลาสิลุง เราแกะให้”
ลุงเงยหน้าขึ้นจากผลสาลี่ก่อนยิ้มบางๆ “ขอบใจ เธอกินเถอะ”
“ส่วนนี้ของเรา ส่วนนั้นของลุง เรากินไม่หมดหรอก ผลไม้พวกนี้ไม่ต้องปอกหรอก เรากินทั้งเปลือกได้”
เจ้าหญิงลลิสสาขยับตัวมานั่งบนโขดหินใกล้ลุง ก่อนวางใบบัวคั่นระหว่างเราสองคน ทอดตามองเนื้อผลไม้ที่ถูกเฉือนติดเปลือกออกไปมากด้วยรอยยิ้มขบขัน
หลังจัดการมื้ออาหารแล้ว ลุงก็ลุกไปหยิบกิ่งไม้ใบไม้มามัดเข้าหากันก่อนคว้ามีดสั้นเฉือนผ้าเนื้อหนาจากเสื้อคลุมของเขามาทำอะไรสักอย่าง ดูคร่าวๆ แล้วคล้ายรองเท้าประดิษฐ์
“ใส่สิ”
“ลุงทำรองเท้าให้เราเหรอ”
ลุงพยักหน้า บุ้ยใบ้ไปที่รองเท้าส้นสูงที่เธอสวมอยู่
“เปลี่ยนซะจะได้เดินสบายหน่อย”
เจ้าหญิงลลิสสาทำตามอย่างว่าง่าย รอยแดงจากส้นรองเท้ากัดปรากฏเป็นประจักษ์พยานความยากลำบากในการเดินของเธอ เธอจำต้องซ่อนความเจ็บเอาไว้ไม่ให้ลุงกังวล แต่ก็ไม่พ้นสายตาช่างสังเกตของเขาอยู่ดี
“เจ็บรึเปล่า รองเท้ากัดเหรอ”
“นิดหน่อยเอง เราทนได้ ใส่ได้พอดีเลยนะลุง ขอบใจมาก ไว้ถึงพูรัมแล้วเราจะให้พี่วตีกับพี่ราชตอบแทนลุงอย่างงามเลย”
“ไม่ต้องหรอก ฉันได้ค่าตอบแทนแล้ว”
“ฝ่าบาทให้เงินลุงเยอะเลยเหรอ”
“ค่าตอบแทน…ประเมินราคาไม่ได้หรอก”
เจ้าหญิงลลิสสาไม่อยากเสียมารยาทละลาบละล้วงถามเงินค่าจ้าง จึงตัดบทเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น การเดินทางโดยมีลุงเคียงข้าง ช่วยสร้างความอุ่นใจและปลอดภัยให้จนเธอผ่อนคลาย คุยไปยิ้มไปตลอดทาง
“อีกนานไหมลุงกว่าจะถึงชายแดน”
“น่าจะอีกสักชั่วโมง เธอเหนื่อยแล้วเหรอ”
“ไม่เป็นไร เรายังไหว ว่าแต่…ลุงมีมือถือไหม เราอยากโทรบอกพี่ราชให้ส่งคนมารับหน่อย”
“ฉันจัดการให้แล้ว”
“ลุงรู้เหรอว่าพี่ราชคือใคร”
ลุงเลิกคิ้วสูง สีหน้าเลิ่กลั่กของเขาทำให้เจ้าหญิงลลิสสามุ่นคิ้ว ดวงตากลมโตจดจ้องคนตัวโตไม่วางตา
“ฉันหมายถึงฉันแจ้งไปทางด่านชายแดนแล้ว เขาคงแจ้งต่อทางวังเอง”
“เรื่องที่เราหายตัวไปออกสื่อไหม”
“ก็มีบ้าง”
“ในแง่ดีหรือไม่ดี”
“ไม่ต้องสนใจหรอก รู้แค่ว่าฉันส่งเธอถึงญาติๆ ของเธออย่างปลอดภัยก็พอ ส่วนเรื่องข่าว ปล่อยให้พวกผู้ใหญ่จัดการเถอะ”
“ถ้างั้นเราขอยืมมือถือลุงหน่อยได้ไหม เราอยากคุยกับพี่วตี”
“ในป่าไม่มีสัญญาณหรอก”
“ถ้าในป่าไม่มีสัญญาณ แล้วลุงติดต่อคนทางชายแดนได้ไง”
“คนของฉันติดต่อ ฉันมีหน้าที่แค่พาเธอไปส่งให้ถึงชายแดนเท่านั้น”
เจ้าหญิงลลิสสาคร้านจะซักไซ้หาคำตอบ เพราะคิดว่าลุงคงหาข้ออ้างมาแก้ตัวได้อยู่ดี จึงเดินตามเขาไปเงียบๆ กระทั่งเขาชี้มือไปที่อาคารก่อด้วยอิฐสีเทาซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ในระยะไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกลมาก
“นั่นไง…บ้านของฌาร์มาน”
“บ้าน? เราว่ามันเหมือนหอคอยมากกว่านะลุง”
“จะว่างั้นก็ได้ ตอนวัยรุ่นฌาร์มานเคยอยู่บนนั้น”
“ทำไมถึงอยู่บนหอคอยล่ะ ไม่กลัวตกรึไง”
ลุงกระตุกยิ้ม รอยขมขื่นพาดผ่านดวงตาสีดำจัด เสียดายที่เจ้าหญิงน้อยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตา
“ฌาร์มาน…ไม่มีทางเลือกนักหรอก”
น้ำเสียงหม่นเศร้าทำให้เธอเอะใจ เงยหน้าขึ้นมองเสี้ยวหน้าของลุง แนวกรามบดเข้าหากันจนขึ้นเป็นรอยนูนข้างแก้มราวกับว่าเขาคือคนที่ถูกจองจำอยู่ในหอคอยเสียเอง
“ลุงรู้จักฝ่าบาทดีจังนะ”
“ถ้าฉันบอกว่าฉันเคยเป็นอาจารย์เขาล่ะ”
“ลุงน่าจะสี่สิบกว่า ฝ่าบาทก็คงต้นสี่สิบ แล้ว…”
“ฉันแค่สามสิบเก้า!”
“ก็เกือบสี่สิบนั่นแหละ อายุห่างกันนิดเดียว ลุงจะเป็นอาจารย์ของฝ่าบาทได้ยังไง”
“ไม่เกี่ยวกับอายุสักหน่อย”
“งั้นลุงสอนวิชาอะไร”
“วิชาชีวิต”
ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเหมือนถูกกวนประสาทจนอยากจะวาดมือขึ้นฟาดสักป้าบ แต่ที่ทำได้ก็เพียงชี้มือไปที่หอคอยสีทึมแห่งนั้น
“แล้วตอนนี้หอคอยนั่นใช้ทำอะไร”
“เป็นตำหนักชายแดน ฌาร์มานชอบอยู่ที่นั่น สวยและสงบมาก ไว้มีโอกาสจะพาไปดู”
“ไปวันนี้ไม่ได้เหรอลุง จากตรงนี้ก็ดูไม่ไกลนี่นา”
“มองจากตรงนี้เหมือนไม่ไกล แต่เดินเข้าจริงแล้วหลายชั่วโมง มันอยู่คนละทางกับด่านชายแดนด้วย ไปเถอะ เดี๋ยวจะมืด ป่านนี้รานีคงร้อนใจแย่แล้ว”
“พี่วตีมาด้วยเหรอ”
“มาสิ เธอเป็นลูกสาวคนโตไม่ใช่เหรอ” เจ้าหญิงลลิสสาพยักหน้าหงึกหงัก ความสดใสผุดพรายขึ้นมาบนดวงหน้าใส “สนิทกับรานีมากเหรอ”
“สนิทสิ ตั้งแต่ทูลหม่อมย่าสิ้น ทูลหม่อมปู่ก็ประทับอยู่แต่ในตำหนักฤดูร้อน พี่ราชกับพี่วตีเลยดูแลเรามาตลอด เราสนิทกับพี่วตีมาก คงเพราะพี่วตีนิสัยลุยๆ เหมือนกับเรา ก็เลยคุยกันถูกคอ”
“รานีปัทมาวตีน่ะเหรอลุยๆ”
“ที่สุดเลยล่ะ พี่วตีคือไอดอลของเราเลยนะ เป็นผู้หญิงฉลาด แล้วก็คอยช่วยงานพี่ราชเยอะมาก เคยได้ยินไหมว่าเบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชายมักมีผู้หญิงอยู่เบื้องหลัง พี่วตีนี่แหละเบื้องหลังของพี่ราช”
“แล้วเธอล่ะ เจอคนที่อยากเป็นเบื้องหลังให้รึยัง”
คำถามนี้ทำให้เรียวคิ้วสวยเลิกขึ้นสูง ก่อนส่ายหน้ายิ้มๆ
“ยังหรอก เรายังไม่เจอผู้ชายโชคร้ายคนนั้น!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.