X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 7

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเงยหน้าขึ้นในอาการทึ่มทื่อ มองลูกสะใภ้เดินออกไปแล้วปิดประตูหน้าต่างตามหลังอย่างแน่นหนา ในห้องคงเหลือแม่ลูกสกุลเฉิงเพียงสองคน ถ่านไฟในอ่างสำริดเคลือบทองกระหวัดลายงูเศียรระกานั้นส่งเสียงแตกเพียะพะแผ่วเบา

เฉิงสื่อผ่อนสองแขนที่เกร็งแน่น ค้อมกายประคองฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไปนั่งบนเก้าอี้พับ เปลี่ยนจากเมื่อครู่ที่แข็งกระด้างเย็นชามาเอ่ยด้วยสุ้มเสียงอันอ่อนโยน “ท่านแม่ขอรับ ท่านไม่ได้เจอลูกมาสิบปีแล้ว ท่านดูสิว่าลูกหน้าตาเปลี่ยนไปหรือไม่”

น้ำเสียงอันนุ่มนวลของประโยคเกริ่นนำนี้เซียวฮูหยินสอนย้ำถึงเจ็ดแปดรอบ เขารู้สึกว่าตนเองทำออกมาได้เข้าขั้นยิ่งยวด

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงได้ยินวาจานี้ก็พลันหลั่งน้ำตาดุจสายฝน ยื่นฝ่ามือที่สั่นเทาไปลูบใบหน้าของบุตรชายซึ่งผจญความทุกข์ยากจนหยาบกร้าน ให้รู้สึกทั้งปวดใจทั้งขุ่นแค้น “เจ้า…เจ้าลูกไร้มโนธรรม!”

นางเห็นริมจอนผมของบุตรชายเริ่มย้อมด้วยสีเกล็ดน้ำค้าง ยามจากไปยังเป็นชายหนุ่มสดใสในวัยยี่สิบกว่า ยามกลับมากลายเป็นแม่ทัพหนุ่มใหญ่ที่ดูเกรงขามจนแปลกหน้าเสียแล้ว นางจึงถามเต็มเสียงว่าช่วงที่ผ่านมาเขาสบายดีหรือไม่ บาดเจ็บอันใดมาหรือเปล่า ชั่วขณะนั้นสองแม่ลูกพูดความในใจต่อกันมากมาย ทว่าเอ่ยปลอบประโลมไปเพียงไม่กี่ประโยค ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกลับอดไม่ได้ที่จะตัดพ้อขึ้นมา

“เจ้าเป็นบุตรชายคนแรก เป็นเลือดเนื้อที่หลุดออกมาจากร่างของแม่ แม่จะไม่ห่วงหาเจ้าได้อย่างไร! ทว่าหัวใจเจ้าล้วนมอบให้ภรรยาเจ้าไปทั้งดวงแล้ว ไม่มีแม้ส่วนเสี้ยวเหลือให้ยายแก่คนนี้อีก!” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยิ่งคิดยิ่งโศกเศร้า “สิบปีมานี้เจ้าเคยส่งสารไม้ไผ่กลับมารวมแล้วแค่ไม่กี่ซีก เนื้อความไม่ใช่ห่วงใยเหนียวเหนี่ยว ก็มีแต่คำพูดชวนงงงวยฟังไม่รู้เรื่อง เจ้า…เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าแม่ผ่านวันเวลามาอย่างไร…”

เฉิงสื่อฉีกยิ้ม “ลูกก็อยากเขียนถึงท่านแม่หลายๆ ประโยค แต่ท่านแม่ไม่รู้หนังสือนี่ขอรับ” พูดมาถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็ขรึมลง “ลูกไม่ยินดีให้เก่อซื่อเปิดอ่านถ้อยคำที่ลูกส่งถึงท่าน”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงซับน้ำตาพลางกล่าว “เจ้าเห็นนางขัดตาเพียงนี้เชียว? ก็แค่…ชื่อชื่อหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือไร”

เฉิงสื่อเอ่ยเสียงหนัก “ชั่วเอ๋อร์อายุไม่ถึงสองขวบก็จากไปแล้ว เก่อซื่อกลับทำดียิ่ง เพิ่งคลอดแม่นางรองก็ตั้งชื่อว่าเฉิงชั่ว เช้าจรดค่ำเอาแต่เรียกชั่วเอ๋อร์ๆ* นางมีเจตนาใดเล่า”

เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงย่อมรู้ อักษรสองตัวออกเสียงเดียวกัน เก่อซื่อที่โง่เขลานึกว่าบุรุษต้องให้ความสำคัญกับบุตรชาย อันที่จริงเมื่อแรกฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็คิดเช่นเดียวกันนี้ เดิมเก่อซื่อเพียงหมายจะทิ่มแทงใจเซียวฮูหยิน ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วคนที่เสียใจที่สุดกลับเป็นเฉิงสื่อ

เด็กหญิงตัวน้อยผู้นั้นขาวนวลดั่งทาแป้ง ชวนมองปานหยกสลัก ไม่เพียงมีดวงตางามกระจ่างละม้ายเซียวฮูหยิน ยังมีคิ้วเข้มหน้าผากกว้างละม้ายเฉิงสื่อ ตอนนั้นเฉิงสื่อเป็นพ่อคนครั้งแรก รักล้นใจจนไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไรจึงจะดี เซียวฮูหยินหลังคลอดร่างกายอ่อนแอ ในบ้านไม่มีหญิงรับใช้อาวุโสเหลือให้ใช้สอย เมื่อใดมีเวลาว่าง เฉิงสื่อจะมัดผ้าหุ้มตัวเด็กไว้กับอ้อมอกของเขาแล้วพาเดินไปด้วยกันทุกที่ ทว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่สกุลเฉิงกำลังยากลำบากที่สุด เพียงพอจะดูแลชีวิตประจำวันให้อิ่มอุ่นเท่านั้น นับประสาอะไรกับของบำรุงต่างๆ หลายสิ่งอย่างล้วนไม่อาจคำนึงถึง เฮ้อ…

 

* แม่นางใหญ่บุตรสาวของเฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินใช้อักษร ‘ชั่ว娖’ ซึ่งหมายถึงสุขุมเรียบร้อย ส่วนแม่นางรองบุตรสาวของท่านรองกับเก่อซื่อใช้อักษร ‘ชั่ว 婥’ ซึ่งหมายถึงอรชรบอบบาง

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเป็นคนหยาบกระด้าง เรื่องราวผ่านไปหลายปีค่อยพอจะมองความเจ็บปวดที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของบุตรชายออก เพียงแต่มาคิดดูอีกที คนฉลาดอย่างเซียวฮูหยินถึงกับไม่เคยพูดอันใดเลย จงใจปล่อยให้เก่อซื่อก่อเรื่องใหญ่แล้วก็ยังไม่รู้ตัว เห็นชัดว่าสตรีนางนี้ร้ายกาจอดกลั้นได้เก่งถึงเพียงใด

“แม่เคยพูดกับน้องสะใภ้เจ้าไปแล้ว แต่นางบอกว่าชื่อนั้นเป็นความประสงค์ของนายท่านผู้เฒ่าเก่อ ไม่สะดวกใจจะขัดผู้เป็นบิดา” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงอดไม่ได้ที่จะพูดจาแทนเก่อซื่อหนึ่งประโยค แม้นางไม่ชอบลูกสะใภ้รองเช่นกัน แต่อย่างน้อยการแต่งงานนี้นางก็เป็นคนจัดการให้

เฉิงสื่อแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “นางก็รู้จักแต่เอาบิดานางมาบังหน้า หากมิใช่นายท่านผู้เฒ่าเก่อเป็นคนซื่อตรงจริงใจ ทั้งเมื่อก่อนเคยช่วยเหลือลูกไว้มาก ลูกคงเรียกให้น้องรองหย่านางทิ้งแต่แรกแล้ว! ฮึ สตรีพรรค์นี้ วันทั้งวันเอาแต่จงใจหาเรื่อง ปากมากช่างยุ แทบอยากให้ทั้งบ้านหาความสงบสุขไม่ได้ นางถึงจะสมใจกระมัง ครอบครัวดีๆ ครอบครัวหนึ่งกลับถูกคนพรรค์นี้ก่อกวนจนเละเทะ!”

เฉิงสื่อยิ่งคิดยิ่งฉุน “ไม่กี่วันก่อนลูกไปดูน้องรอง ทั่วร่างเขามีแต่ความท้อแท้ ทุกเรื่องล้วนไม่ยุ่งเกี่ยว ราวกับผู้เฒ่าแก่หง่อมก็ไม่ปาน…”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสอดปากกล่าว “เดิมทีเจ้ารองก็ไม่ช่างพูด วัยเด็กเขา…”

เฉิงสื่อตัดบท “ถึงไม่ช่างพูด ก็ไม่ใช่เป็นคนซึมเซาไร้วิญญาณ! วัยเด็กแม้เขาเงียบขรึม แต่ก็ยังปีนต้นไม้ยิงนก ตอนที่ลูกเริ่มจัดตั้งกองกำลัง เขาก็ตระเวนช่วยผูกสัมพันธ์กับผู้คน มีอย่างใดด้อยกว่าผู้อื่นกันเล่า!” ดังคำกล่าวว่าพี่ชายคนโตเสมือนบิดา น้องชายน้องสาวเหล่านี้ก็ไม่ต่างกับบุตรชายหญิงของเฉิงสื่อ เขาด่าว่าได้ แต่มีหรือจะยอมให้ผู้อื่นมาดูเบา

“แต่งได้ตัวเสนียดลิ้นยาวมาเป็นภรรยา วันๆ ชี้จมูกติเตียนสามีว่านี่ก็ไม่ได้ความนั่นก็ไม่เอาไหน แล้วน้องรองยังจะทำเรื่องใดสำเร็จไปได้อีก!” เฉิงสื่อฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะเล็กที่อยู่ข้างเก้าอี้พับ ส่งผลให้โต๊ะเล็กเกิดเสียงเอี๊ยดเบาๆ “เมื่อแรกไม่ควรละโมบในทรัพย์ของสกุลเก่อเลยจริงๆ ทำร้ายน้องรองเข้าเสียแล้ว!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมองโต๊ะเล็กเคลือบเงาเขียนลายกระเรียนสีดำตัวนั้นโยกคลอนนิดๆ นี่เป็นโต๊ะที่นางสั่งให้ช่างฝีมือทำเลียนแบบโต๊ะในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าวั่นเพื่อนบ้านของนางอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทุกครั้งที่ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นตบโต๊ะ ชายชาตรีสูงใหญ่เช่นแม่ทัพวั่นก็ยังต้องขดร่างหมอบคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะวิงวอนมารดาไม่หยุด นางเคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าวั่นมีโทสะหลายหน รู้สึกอิจฉายิ่งนัก คิดว่าหากตนเองควบคุมบุตรชายได้อยู่หมัดเช่นนั้นบ้างก็คงดี น่าเสียดายโต๊ะที่นางยังไม่มีโอกาสได้ใช้เลยสักครั้งบัดนี้ถูกบุตรชายประเดิมใช้ไปก่อนแล้ว

“จะว่าไปล้วนเป็นความผิดของท่านแม่ เมื่อแรกลูกยังลังเลอยู่ บอกว่าต้องดูความประพฤติของแม่นางสกุลเก่อสักหน่อยก่อน แต่ท่านแม่กลับรีบร้อนตอบตกลงไปแล้ว!” เฉิงสื่อนึกขึ้นมาก็ผุดไฟโกรธลุกท่วมท้อง ตอนนั้นเพราะเขาแต่งกับเซียวฮูหยินทำให้มารดาไม่พอใจ เรื่องเกี่ยวดองกับสกุลเก่อเขาจึงไม่กล้ายืนกรานหนักนัก

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงร้อนตัว ลอบทอดถอนใจ…บุตรชายคนโตเป็นผู้ใหญ่เกินวัยตั้งแต่ยังเยาว์ แบกภาระความเป็นอยู่ของคนในบ้าน ฉายแววเป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่อายุน้อยๆ แล้ว พอมีเรื่องที่ยากจะคลี่คลาย นางยังต้องไปถามความเห็นให้เขาตัดสินใจ เช่นนี้นางจะตบโต๊ะสำแดงบารมีออกได้อย่างไรกัน

“ลูกรู้ ท่านแม่อยากจุนเจือท่านน้า จึงหมายตาสินเจ้าสาวของน้องสะใภ้สกุลเก่อ! น้องสะใภ้กลับนึกว่าเป็นหยวนอีที่เอาของนางไปกินใช้ ฮึ ข้าเฉิงสื่อผ่าเผยยืนผงาดสู้ฟ้าได้ ต่อให้ย่ำแย่สักเพียงใดก็ไม่มีทางเอาสินเจ้าสาวของน้องสะใภ้มาเลี้ยงดูภรรยาหรอก!” เฉิงสื่อตำหนิออกมาประเด็นแล้วประเด็นเล่า “เพื่อหน้าตาของสกุลต่ง ลูกไม่เคยพูดเปิดโปง ท่านน้ากลับยังกระหยิ่มได้ใจ!”

พอเอ่ยถึงน้องชาย ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ขึ้นเสียงสูง “แล้วจะให้เบิกตามองน้าชายเจ้าหิวตายทั้งครอบครัวหรือไรกัน!”

สองแม่ลูกมีรูปร่างกับความฉุนเฉียวที่ไม่แพ้กัน ยามตะเบ็งเสียงขึ้นมาจึงเหี้ยมหาญกินกันไม่ลง

เฉิงสื่อตอบกลับทันทีอย่างไม่เกรงใจ “ที่นาเท่าๆ กัน ผู้อื่นเก็บเกี่ยวข้าวเปลือกได้สิบโต่ว ท่านน้าได้เพียงสามสี่โต่ว แต่ไรมาการทำไร่ทำนาพึ่งพาความขยันขันแข็งจึงจะมีผลเก็บเกี่ยวที่ดี ตัวท่านน้าเองไม่หนักเอาเบาสู้ กลับเรียกร้องอาหารชั้นเลิศทุกมื้อ แค่กินผักป่าข้าวหยาบมื้อเดียวก็ปรี่มาร้องห่มร้องไห้กับท่านแม่แล้ว ยังจะมีหน้าโทษผู้อื่นอีก?!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแก้ต่างอย่างยากลำบาก “แต่เล็กมาน้าชายเจ้าไม่เคยทำงานหนัก ซ้ำร่างกายอ่อนแอ ไหนเลย…”

“บ้านเมืองระส่ำระสาย เมืองอื่นข้างนอกถึงขั้นสลับบุตรกันกินเป็นอาหารแล้ว ท่านน้ายังอุตส่าห์ทำตัวสูงส่ง! พวกข้าพี่น้องทั้งชายหญิงเริ่มทำงานกันตั้งแต่กี่ขวบ!” เฉิงสื่อกล่าวเสียงเย็นชา “ตอนที่อาซวี่ขึ้นเขาไปขุดหาผักป่าเพิ่งจะเป็นเด็กหญิงอายุสี่ห้าขวบ มีหนหนึ่งหวิดจะถูกสุนัขป่าคาบไปแล้วด้วยซ้ำ สิบนิ้วของนางแตกไม่เหลือดีสักนิ้วเดียว ตกค่ำยังต้องหัดจับเข็มเย็บปัก เจ็บจนกระทั่งนอนไม่หลับ ก็ไม่เห็นท่านแม่จะปวดใจ!”

แต่ไรมาหากครอบครัวอัตคัดขัดสน ผู้ที่ได้รับความลำบากที่สุดย่อมไม่พ้นบุตรชายหญิงคนโต ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสุดจะแก้ต่างได้อีก จึงรีบคว้าประเด็นหนึ่งมาตอบโต้ “เช่นนั้นเซียวเฟิ่งเล่า! เขาเองก็ดีแต่กินไม่ทำงานการ เจ้ายังหาเลี้ยงมาตลอดจนเติบใหญ่เลย ทั้งส่งเขาเล่าเรียน ทั้งแต่งภรรยาให้เขาด้วย!”

เฉิงสื่อขึ้นเสียงสูงเช่นกัน “ตอนที่สกุลเซียวเกิดเรื่อง อาเฟิ่งเพิ่งจะกี่ขวบกัน ยังเด็กกว่าน้องสามอีก อย่างน้อยตอนนั้นบ้านเราก็ไม่อดอยากแล้ว แม้แต่น้องสามลูกยังแข็งใจใช้สอยไม่ได้ แล้วมีหรือจะเรียกอาเฟิ่งทำงาน! แต่ท่านน้าอายุเท่าไรแล้ว น้องต่งหย่งอายุเท่าไรแล้ว มักกินคร้านทำ เกรงว่ากระทั่งกล้าข้าวก็คงไม่รู้จักกระมัง!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงฝืนกลืนโทสะลงไปก่อนกล่าว “ได้ เรื่องนี้ให้แล้วไป เช่นนั้นที่เจ้าช่วยฟื้นฟูสกุลเซียวเล่า สกุลเซียวตกอับจนมีสภาพไหนแล้ว คฤหาสน์ใหญ่โตถูกพวกโจรเผาวอดไปแต่แรก เจ้าก็ยังสร้างขึ้นใหม่…”

“ท่านแม่ไม่ต้องพูดแล้ว!” เฉิงสื่อตัดบทอย่างเฉียบขาด “ต้องเป็นเก่อซื่ออีกแน่ที่บอกท่าน หญิงลิ้นยาวนี่!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงหันหน้ามา ทว่าไม่มองดวงตาของบุตรชาย เฉิงสื่อเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ลูกไม่กลัวที่จะบอกท่านแม่หรอก ข้าไม่เพียงช่วยอาเฟิ่งสร้างคฤหาสน์สกุลเซียวขึ้นใหม่ ยังซื้อคืนที่นาจำนวนไม่น้อยที่ตอนนั้นสกุลเซียวขายออกไปด้วย บ่าวรับใช้เก่าแก่ของสกุลเซียวที่สามารถหาเจอก็ล้วนไถ่ตัวคืนกลับมาด้วย!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงโกรธจัดจนหายใจหอบถี่ มือชี้ไปยังบุตรชาย “เจ้า!…เจ้า!…”

เฉิงสื่อเอ่ยอย่างภาคภูมิ “หยวนอีพูดแต่แรกว่านางจะแต่งกับบุรุษที่สามารถช่วยนางกอบกู้สกุลเซียว ให้นางเป็นวัวเป็นม้าล้วนได้ทั้งสิ้น หากข้าไม่อาจทำได้ นางจะไปหาผู้อื่นแต่งแทน! ข้าก็รับปากนางในทันที” นึกถึงความทุกข์ยากของภรรยาในตอนนั้น เฉิงสื่อเผยสีหน้าไม่อาจทานทน กระทั่งสุ้มเสียงยังอ่อนโยนแล้ว “หยวนอีน่าสงสารนัก คุณหนูสกุลเซียวผู้สูงส่งกลับถูกบีบคั้นจนถึงขั้นนั้น”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแค้นใจที่เหล็กมิอาจกลายเป็นเหล็กกล้า* ออกแรงเงื้อกำปั้นทุบใส่ไหล่ของบุตรชายไปหนึ่งที “เจ้าเด็กไม่เอาไหน! หญิงแต่งงานหนที่สองเยี่ยงนั้น ซ้ำบ้านแตกสาแหรกขาด ทรัพย์สินล้วนขายจนหมดสิ้น เจ้ายังหวงแหนเพียงนี้รึ! นางไม่แต่งกับเด็กทึ่มเช่นเจ้า ยังจะแต่งกับผู้ใดได้”

“ก็ลูกหวงแหนของลูก!” เฉิงสื่อกุมไหล่ที่ปวดแปลบนิดๆ พลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ตั้งแต่แรกพบนางในคฤหาสน์สกุลเซียวตอนที่ลูกยังเยาว์ ลูกก็หวงแหนนางแล้ว นอกจากนาง ไม่ว่าหญิงใดลูกล้วนไม่คิดจะแต่งทั้งสิ้น ยังดีที่ใต้หล้าโกลาหลหนัก หาไม่ลูกจะมีโชคดีนี้ที่ใดกัน!”

วาจาพลันหันเหไปอีกทาง เขาพูดเปลี่ยนประเด็นว่า “ท่านแม่อย่าได้เอ่ยคำเอาเปรียบเช่นนี้เลย สกุลเซียวแม้ตกยาก แต่ผู้ที่อยากจะแต่งกับหยวนอีก็ใช่ว่าไม่มี ท่านคิดว่านางคืออาซีหรือไร เพิ่มสินเจ้าสาวจำนวนมากให้ตั้งหนสองหนกว่าจะแต่งออก”

เอ่ยถึงเฉิงซีบุตรสาวคนเล็ก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ห่อเหี่ยว ได้แต่ถอนหายใจอย่างเดียว

เฉิงสื่อกล่าวต่อ “หยวนอีเป็นสตรีที่เก่งกล้าไม่แพ้บุรุษ นางพูดได้ทำได้ หลายปีที่ผ่านมานางติดตามลูกฟันฝ่าลมฝน ขึ้นภูเขาดาบลงทะเลเพลิง กี่ครั้งกี่หนที่ชีวิตลูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย ยังดีมีหยวนอีถึงสามารถประคับประคองผ่านมา!”

 

* แค้นใจที่เหล็กมิอาจกลายเป็นเหล็กกล้า หมายถึงคนที่ตนตั้งความหวังไว้ไม่เอาไหนไม่รักดี ตนจึงรู้สึกขัดใจและร้อนใจอยากให้เขาพัฒนา

“ใช่ๆๆ จะบนฟ้าก็ดี บนดินก็ดี มีแต่ภรรยาเจ้าผู้เดียวที่ดีเลิศประเสริฐสุด!” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดใส่อารมณ์ แม้จะรู้อยู่ว่าเป็นความจริง นางก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้

“หยวนอีย่อมจะดีเลิศ!” เฉิงสื่อพูดเสียงก้อง “ท่านแม่เงยหน้าออกไปดูสิ บัดนี้ในบรรดาท่านโหว** กับแม่ทัพที่สร้างคุณความชอบ มีถึงเจ็ดในสิบมาจากตระกูลใหญ่ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นอยู่แต่เดิม หากมิใช่ค้าขายมีเงินทอง ก็เป็นตระกูลขุนนางหลายชั่วคน สามส่วนที่เหลือนั้นแม้มีพื้นเพยากไร้ ทว่ามารับใช้ฝ่าบาทตั้งแต่แรกๆ มีคุณูปการติดตามฝ่าบาทบุกเบิกราชวงศ์ แต่กับครอบครัวพวกเราเล่า”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงรู้ว่าคำกล่าวนี้มิใช่เรื่องเท็จ เดิมสกุลวั่นที่อยู่ข้างบ้านก็เป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในมณฑลบ้านเกิด บิดาผู้ล่วงลับของแม่ทัพวั่นทิ้งเงินก้อนโต แพรพรรณ ที่นา กับบริวารไว้ให้จำนวนมาก นี่ก็คือทุนรอนสร้างตัวของแม่ทัพวั่น

“การจัดตั้งกองกำลังต้องอาศัยสิ่งใด ต้องมีคน ต้องมีเงิน ต่อให้ลูกสามารถสะบัดแขนเรียกระดมคนหนุ่มได้กลุ่มหนึ่ง แต่เบี้ยหวัดทหารกับเสบียงกองทัพเล่า เหล่านักรบเจ็บตายก็ต้องดูแลมอบเงินบำรุงขวัญ จะให้มองบุตรกำพร้าภรรยาม่ายของพวกเขาหิวตายไปต่อหน้าต่อตาหรือไร ไม่ทำให้ผู้อื่นเสียกำลังใจไปด้วยหรือ เดิมทีครอบครัวของพวกเราเป็นเพียงชาวนาที่มีเสบียงเหลืออยู่บ้าง เพียงพอจะเอาออกมาเลี้ยงกองทัพที่ใดกันเล่า!” เพียงนึกถึงความยากลำบากเมื่อแรกเริ่ม สุ้มเสียงของเฉิงสื่อก็ติดขัด “บุกเมืองตีป้อมค่ายแม้มีสิ่งของที่ยึดได้กับสิ่งที่คหบดีมอบให้ แต่ก็ไม่อาจเที่ยวขูดรีดไปทั่ว หากชื่อเสียงฉาวโฉ่ จะต่างอันใดกับพวกโจร! น่าแค้นใจที่บ้านเกิดของพวกเราไร้ซึ่งปราณมังกร ไม่ว่าจะฝ่าบาทหรือวีรบุรุษหลายท่านที่โลดแล่นบนแผ่นดินขณะนั้น ถึงกับไม่มีสักท่านอยู่ละแวกใกล้ๆ เลย”

ตำแหน่งที่ตั้งของบ้านเกิดทำให้เฉิงสื่อกลัดกลุ้มยิ่ง เขาไม่ใช่คนมีใจทะเยอทะยาน เมื่อแรกเพียงอยากเร่งหาลูกพี่ที่เข้าทีสักคนเพื่อจะเข้าพวกด้วย จากนั้นรับใช้จนเต็มกำลัง ให้ได้มาซึ่งตำแหน่งขุนนางสักตำแหน่งก็เพียงพอ ทั้งที่บ้านเกิดก็เป็นดินแดนอันงดงาม ไฉนจำเพาะไม่มีลูกพี่ใหญ่ออกมาเป็นผู้นำเล่า

“นับแต่ลี่ตี้ชิงบัลลังก์ส่งผลให้ผู้กล้าทั่วหล้าลุกฮือต่อต้าน จวบจนลูกได้ผูกมิตรกับแม่ทัพวั่น ในช่วงสิบกว่าปีสั้นๆ นี้ มีกองกำลังจำนวนมากเท่าใดที่ชูธงก่อการแล้วถูกบดขยี้โดยไร้สุ้มเสียง เมื่อวานยังดื่มสุรากินเนื้อ มีสตรีโฉมงามรายล้อม วันนี้ศีรษะกลับถูกแขวนข้างประตูเมือง หรือไม่ก็บนด้ามธงรบ บุตรภรรยากับผู้เฒ่าผู้เยาว์มิใช่ถูกทอดทิ้งท่ามกลางศึกสงคราม ก็คือตายอนาถ หยวนอีบอกลูกว่าพวกเราไม่อาจเอาอย่างพฤติกรรมของพวกโจรที่เพียงหมายสุขสมใจชั่วขณะ คนตัวใหญ่มีวิธีปะทะแบบคนตัวใหญ่ คนตัวเล็กมีวิธีเอาตัวรอดแบบคนตัวเล็ก”

เฉิงสื่อลุกขึ้นเดินไปมาอยู่ในห้อง เสียงพูดก็ดังขึ้นกว่าเก่า “ตอนนั้นทุกเสี้ยวของสิ่งที่ได้มาล้วนต้องคำนวณใช้อย่างระมัดระวัง ไหนจะต้องซ่อมอาวุธกับกำแพงเมือง ไหนจะต้องรักษาเยียวยาคนเจ็บ ไหนจะต้องตระเวนชักจูงผู้มีความสามารถ! สกุลเฉิงของพวกเราไม่ได้มีบารมียิ่งใหญ่เสียหน่อย ถือดีอันใดให้วีรบุรุษผู้กล้ามาเข้าร่วม นอกเสียจากอาศัยชื่อเสียงคุณธรรมอันดีงามว่าเมตตาชาวบ้านรักทหารดุจบุตร! ตัวหยวนอีเองก็กินใช้กระเหม็ดกระแหม่ แม้แต่แพรพรรณต่วนไหมที่ยึดได้ก็ล้วนเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นเสบียงอาหาร หากมิใช่เป็นเช่นนี้ ชั่วเอ๋อร์…ชั่วเอ๋อร์ก็คงจะไม่…”

พอนึกถึงบุตรสาวคนโต เฉิงสื่อก็ลำคอตีบตันอย่างช่วยไม่ได้ “เช่นนี้เอง ทางหนึ่งลูกจึงต่อต้านพวกโจรกับทหารแตกพ่ายจากต่างถิ่นที่หมายจะปล้นสดมภ์ฝ่ายเรา อีกทางหนึ่งปลอบขวัญดูแลคนในภูมิลำเนา จนกระทั่งตระกูลใหญ่กับชาวบ้านหลายอำเภอโดยรอบยอมรับในชื่อเสียงของลูก ลูกถึงค่อยๆ หยั่งรากฐานจนได้ และไม่ถึงกับลงเอยเช่นเดียวกับพวกโจร ท่านแม่มักรู้สึกว่าลูกมีเงิน แล้วไม่ยอมควักออกมาให้ท่านแม่จับจ่าย กลับหารู้ไม่ว่าลูกยากลำบากนัก!”

ความจริงฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมิได้รักในเงินทอง เพียงแต่หลังจากเซียวฮูหยินแต่งเข้าสกุลมา เห็นบุตรชายมอบทุกสิ่งให้เซียวฮูหยินจัดการ ในใจนางจึงบังเกิดความริษยาเท่านั้นเอง คำกล่าวอ้างเหล่านี้เมื่อก่อนนางก็เคยได้ยิน แต่มักรู้สึกว่าบุตรชายกำลังเฉไฉ ทีให้เงินภรรยาไม่มีอิดออด ทีจะให้มารดากลับอ้างนู่นอ้างนี่ ดังนั้นนับวันโทสะของนางจึงยิ่งทบทวี ครานี้เห็นบุตรชายน้ำตาคลอหน่วย ฟังแล้วจึงเชื่อถึงเก้าส่วน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดอึกอัก “ต่อมาก็มีแม่ทัพที่มีชื่อเสียงหลายคนมาดึงตัวเจ้าไปเข้าร่วมด้วยมิใช่หรือ”

“ดึงตัว?! ฮึ ให้ไปตายแทนเสียมากกว่า!” เฉิงสื่อเอ่ยเสียงเย็นชา “ก่อนหน้าที่จะเจอกับแม่ทัพวั่น ลูกพลาดท่าเสียทีมาไม่รู้กี่หน พวกที่ตั้งชื่อฟังดูใหญ่โตเป็นแม่ทัพใหญ่อะไรนั่น รู้ว่าลูกชาติกำเนิดต่ำต้อยก็ไม่เห็นลูกอยู่ในสายตา คนที่พูดจาน่าฟังยังจะนำเงินทองอัญมณีมาชวนว่า ‘ขอเชิญท่านไปร่วมหารือการใหญ่’ คนที่วางโตหน่อยดีแต่พูดปากเปล่า ไม่มีเสบียงให้สักตั้นก็จะเรียกลูกไปฟังบัญชารับใช้พวกเขาแล้ว!”

 

** โหว คือบรรดาศักดิ์ลำดับที่สองในบรรดาศักดิ์ขุนนางห้าขั้นของจีน อันได้แก่ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน ตามลำดับ

เฉิงสื่อขึงตาใส่มารดาพลางเอ่ย “ยังดีหยวนอีมีไหวพริบระวังป้องกันมาโดยตลอด นางบอกลูกว่า ‘บุกตะลุยแนวหน้านั้นง่าย ขุนนางดีเลือกนายนั้นยาก จะบุ่มบ่ามฝากฝังครอบครัวกับคนพวกนั้นไม่ได้เด็ดขาด’ ด้วยเหตุนี้ลูกจึงให้พวกท่านแม่ซ่อนตัวอยู่ที่บ้านเกิดเรื่อยมา หากเกิดเหตุไม่เข้าที ลูกกับหยวนอีก็จะสามารถนำทหารม้าเกราะเบาปลีกตัวหนีมาได้ทันที ความจริงเป็นเช่นนี้ แต่ท่านแม่กลับตัดพ้อลูกทั้งวี่วัน หาว่าพาหยวนอีไปเสพสุขอยู่ข้างกายคนเดียว ปล่อยให้พ่อแม่พี่น้องลำบากอยู่ชนบท! ต่อมาผูกมิตรกับแม่ทัพวั่น ลูกก็ลงแส้เร่งม้ารับพวกท่านแม่มาจากชนบทแล้วมิใช่หรือไร!”

ในที่สุดผิวหน้าหนาของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ผุดสีแดงเรื่อด้วยความละอาย เอ่ยอย่างวางหน้าไม่สนิท “มิน่าเล่า ไฉนนานปีที่ผ่านมาสื่อเอ๋อร์จึงจัดให้พวกเราทั้งครอบครัวพักอยู่ติดกับสกุลวั่นเสมอ”

“หยวนอีมีสายตาแหลมคม ก่อนหน้านี้บรรดา ‘แม่ทัพใหญ่กำราบโจร’ อันใดนั่น นางมองพิจารณาไม่กี่วันก็บอกว่าใช้ไม่ได้ มิใช่ตามองสูงแต่หัวกลวงโหวงไร้ฝีมือ ก็คือใจดำอำมหิตไม่เห็นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคน มีเพียงแม่ทัพวั่น แม้ความสามารถอาจมิใช่ที่หนึ่งในใต้หล้า ทว่าผ่าเผยมีคุณธรรม โอบอ้อมใจกว้าง ลูกสนับสนุนเขาเต็มที่ ผนวกขุมกำลังสองกลุ่มเข้าด้วยกัน ย่อมจะเบิกทางรอดหนึ่งสายในกลียุคนี้ได้ หากมิใช่เป็นเช่นนี้ มีหรือจะสามารถคอยจนถึงวันที่ได้เข้าร่วมถวายความภักดีต่อฝ่าบาท”

เอ่ยถึงความดีของภรรยา เฉิงสื่อก็ยิ่งฮึกเหิมมีเหตุผลเต็มเปี่ยม “สกุลวั่นเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลเป็นอันดับหนึ่งในอำเภอสุย ไม่นับบริวารของแม่ทัพวั่น ลำพังฮูหยินผู้เฒ่าวั่นเองก็มีองครักษ์ผู้คุ้มกันถึงหนึ่งร้อยกว่าคน โจรทั่วไปไม่มีปัญญาประชิดตัว เพียงพอจะอารักขาสตรีในบ้านแล้ว หยวนอีโน้มน้าวลูก บอกว่าในเมื่อร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับแม่ทัพวั่นแล้ว ก็มิสู้ฝากฝังครอบครัวกับเขา ทั้งได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย ยังเป็นการแสดงความจริงใจของฝ่ายเรา ดีพร้อมทั้งสองทาง”

พูดมาถึงตรงนี้ เฉิงสื่อเว้นช่วงเล็กน้อย เพ่งมองมารดาแน่วนิ่ง “สกุลเฉิงมีวันนี้ได้ หยวนอีมีผลงานใหญ่หลวง ในกระโจมทัพวันนั้นลูกได้ลั่นคำสาบานร้ายแรงเอาไว้ หากชาตินี้ผิดต่อหยวนอี ขอให้ไม่ตายดี!”

เขารู้สึกว่าตนเองแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสู้อดทนฟังบุตรชายชื่นชมภรรยาอยู่เป็นนาน แทบจะข่มกลั้นไม่ไหวตั้งแต่แรก นางมีนิสัยไม่ทนใครมาแต่ไหนแต่ไร เกลียดที่สุดเวลามีใครยกเหตุผลยิ่งใหญ่มากดทับนาง ต่อให้ในใจยอมรับนับถือแล้ว ปากก็จะไม่ยอมพ่ายแพ้

ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถูกฤทธิ์น้ำส้ม* พุ่งประดัง ลืมกระทั่งเรื่องน้องชายสกุลต่ง จึงเอ่ยอย่างคับแค้น “เจ้าอ้าปากก็หยวนอี หุบปากก็หยวนอี แล้วแม่เล่า แม่มีชีวิตที่ดีหรือไม่ดี เจ้าเคยคิดถึงบ้างหรือไม่!”

“กินดีสวมอุ่น ลาภยศสรรเสริญ ท่านแม่จะมีอันใดไม่ดีเล่า” น่าเสียดายชั่วชีวิตนี้ความละเอียดอ่อนละมุนละไมทั้งหมดที่เฉิงสื่อมีล้วนแต่ใช้จนสิ้นไปกับเซียวหยวนอีผู้เดียว จึงไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่ามารดากำลังไม่พอใจอันใดอยู่กันแน่

หยาดน้ำใสในดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแทบจะหยดเผาะลงมา “ในบรรดาบุตรชายหญิงห้าคน แม่รักใคร่ห่วงใยเจ้ากับเจ้าสามมากที่สุด แต่หลังจากพวกเจ้าทยอยแต่งงานแล้วก็ห่วงหาแต่ภรรยา มีคำพูดใดล้วนบอกภรรยาเท่านั้น ไม่ไยดีแม่อีกเลย ตักแม่ว่างเปล่า หัวใจว่างโหวง ยังจะมีชีวิตที่ดีไปได้อย่างไร!”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีพื้นเพเป็นหญิงชาวนา ไม่หวั่นเกรงความลำบากเหนื่อยยาก เพียงแต่นับจากบุตรชายคนโตจัดตั้งกองกำลัง ไม่ว่ากระทำเรื่องใดตนล้วนไม่ได้รู้เห็น ตรงข้ามกับเซียวฮูหยินที่อยู่ข้างกายเขาทุกเวลา ไม่มีเรื่องใดที่นางไม่รู้ กลับเป็นตนที่กลายเป็นคนนอกอย่างเห็นได้ชัด

เฉิงสื่อรู้สึกว่าคำตัดพ้อของมารดายากจะเข้าใจได้ “บุรุษแต่งภรรยามีครอบครัวก็ต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว แม้กระทั่งยามล่วงลับ ท่านแม่ก็จะฝังร่างร่วมกับท่านพ่อ ส่วนพวกเราบุตรชายก็จะฝังร่างร่วมกับภรรยาของตน”

เขาเว้นวรรคเล็กน้อย ครั้นแลเห็นแววตาเคืองขุ่นของมารดาก็ตีความนัยไปประเด็นอื่นอย่าง ‘ฉลาดล้ำ’ “นับแต่ท่านพ่อจากไป ท่านแม่เปล่าเปลี่ยวเพียงใดลูกย่อมรู้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านแม่มีใครพึงใจแล้วหรือไม่ หากว่ามี ไยไม่แต่งงานใหม่เล่าขอรับ” ในใจเขาคิดว่าขอเพียงมารดาชมชอบ ต่อให้สนับสนุนสินเจ้าสาวมากหน่อยก็ไม่เป็นไร สมควรให้มารดาได้สุขสำราญในบั้นปลายจึงจะถูก

ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงซึ่งเดิมเปียกชื้นจนกลายสภาพเป็นป่าฝนชุกแล้วนั้น พลันแห้งผากเป็นทะเลทรายในชั่วอึดใจ จ้องมองบุตรชายด้วยนัยน์ตาโกรธเกรี้ยวปานลูกเพลิง

เฉิงสื่อยังคงรู้สึกไปเองว่าตนนั้นใจกว้างยิ่ง “ท่านแม่มิต้องเหนียมอายไปหรอก ท่านเหนื่อยแรงเหนื่อยใจเพื่อสกุลเฉิง ลูกๆ ล้วนเห็นอยู่ในสายตา หากท่านจะแต่งงานใหม่ ลูกกับน้องชายสองคนจะไม่มีคำพูดอื่นเป็นอันขาด ยิ่งไปกว่านั้นสกุลเฉิงมีสมาชิกบางตา หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ภายหน้าท่านแม่ให้กำเนิดน้องชายน้องสาวคนใหม่แก่พวกเราก็เป็นเรื่องดีงาม ลูกจะปฏิบัติกับพวกเขาดุจพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันอย่างแน่นอน!”

ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็เหลืออด ยกโต๊ะเล็กเคลือบเงาตัวนั้นขว้างไปหาเฉิงสื่ออย่างแรง “เจ้าเด็กบ้า ไสหัวไปให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้! วันหน้าหากเจ้าด่วนจากไปก่อน รับรองข้าจะเสาะหาคนดีให้ภรรยาเจ้าแต่งงานใหม่ แล้วคลอดลูกใหม่ออกมาอีกโขยงหนึ่ง!”

นี่ก็คือประโยคปิดท้ายการพูดคุยความในใจของแม่ลูกที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสิบปีคู่นี้

 

อีกด้านหนึ่งชิงชงกำลังบีบนวดไหล่ให้เซียวฮูหยินอย่างเบามือ ครั้นได้ยินเสียงตะโกนอันคลุมเครือแว่วมาเป็นระยะจากจุดที่ไม่ไกลนัก นางก็เอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “ใต้เท้ากับฮูหยินผู้เฒ่าล้วนเป็นคนเสียงดัง ไม่รู้พูดคุยกันเป็นเช่นไรบ้าง หวังเพียงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะกลับใจ คนในครอบครัวสมัครสมานย่อมจะเป็นการดี”

เซียวฮูหยินโค้งมุมปากขึ้นนิดๆ ก่อนกล่าว “หนีไม่พ้นคุยเรื่องเก่าเก็บหยุมหยิม แรกเริ่มใช้ไม้แข็งไปแล้ว ยามนี้ก็ควรใช้ไม้อ่อนบ้าง ข้าให้ใต้เท้ายกย่องความเหนื่อยยากในอดีตของท่านแม่ให้มากๆ เน้นพูดคุยถึงชีวิตในอดีตว่าแม่ลูกพึ่งพาประคับประคองกันมาอย่างไร เอ่ยถึงข้ากับสกุลเซียวให้น้อย สองคนแม่ลูกยังจะมีเรื่องใดผ่านไปไม่ได้อีกเล่า”

ชิงชงคิ้วตาแต้มยิ้ม “นายหญิงปราดเปรื่อง หนนี้ใต้เท้าต้องทำสำเร็จแน่”

 

* น้ำส้ม (หมัก) เปรียบเปรยถึงอารมณ์ริษยา โดยมากมักใช้กับความรู้สึกระหว่างชายหญิง จึงแปลว่าหึงหวงด้วย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: