บทที่ 5
เสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นหินขัดดังตึกตักจากการเดินกลับไปกลับมาด้วยสีหน้าร้อนใจ ตรงข้ามกับผู้เป็นเจ้านายที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น มือหนาลูบขนเจ้าเสืออ้วนที่นั่งอยู่บนพรมสีดำ ดวงตาสีน้ำตาลจุดดำยิบหยีลงยามผู้ที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกลูบขนให้อย่างอ่อนโยน
“ทรงนิ่งเฉยอยู่ได้ยังไงพ่ะย่ะค่ะ ข่าวออกโครมๆ แบบนั้น”
“แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงล่ะปานเดย์”
“รับสั่งมาสิพ่ะย่ะค่ะ จะให้กระหม่อมสั่งปิดหนังสือพิมพ์ สั่งให้เล่นข่าวอื่นหรือไม่ก็ตั้งทีมไอโอมาเบี่ยงเบนความเห็นของประชาชนก็ได้”
“ฉันจะห้ามความคิดคนได้ยังไง”
“แล้วจะปล่อยให้เจ้าหญิงน้อยรับเรื่องนี้ลำพังเหรอพ่ะย่ะค่ะ”
ปานเดย์เม้มปากเมื่อมหาราชาผงกศีรษะขึ้นจากพนักพิงด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย
“เรื่องบางอย่างมันมีจังหวะของมัน รีบร้อนไปจะเสียงานเปล่า”
ปานเดย์เป็นมหาดเล็กประจำพระองค์ของมหาราชาฌาร์มานมาเป็นสิบปี รู้อารมณ์ของเจ้านายดีว่าโปรดหรือไม่โปรดอะไร แต่หากเป็นเกมการเมืองหรือการรับมือศัตรู ปานเดย์มักจะตามไม่ค่อยทันเจ้านายเสมอ
“แต่นี่ผ่านมาตั้งห้าวันแล้ว อย่างน้อยฝ่าบาทก็น่าจะรับสั่งให้สำนักข่าวเพลาๆ ข่าวนี้บ้างนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าฉันทำเช่นนั้นก็เข้าทางคาจาลสิ พวกมันเล่นงานลิสสาเพื่อชิ่งกระทบฉัน ข่าวถึงโจมตีว่าฉันไร้ความสามารถ แค่เจ้าหญิงพูรัมก็ดูแลไม่ได้ แล้วจะดูแลประชาชนได้ยังไง พวกมันเอาเรื่องนี้มาตีข่าวให้ฉันกับพูรัมแตกคอกัน เพราะอยากให้ฉันเสียมิตรประเทศสำคัญไป”
“ฝ่าบาทหมายถึงกลุ่มบาดัลเหรอพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้มีแค่กลุ่มบาดัล แต่คูชรีก็ร่วมด้วย”
กลุ่มบาดัลเป็นกลุ่มที่รวบรวมชนชั้นนำระดับประเทศไว้ด้วยกัน โดยมีรานีคาจาลเป็นหัวหอกสำคัญ ซึ่งเผลอๆ อาจมีรานีจากคูชรีที่เป็นอริกับมหาราชาฌาร์มานร่วมมือด้วย
“ทางโน้นคงรอจังหวะนี้มานาน พอลิสสาบินมาร่วมงานเลยใช้แผนลักพาตัว แล้วโยนความผิดให้ฉันรับผิดชอบ โดยเลือกใช้คนจากคูชรีเพื่อปัดสวะให้พ้นตัวว่ากลุ่มบาดัลไม่เกี่ยวข้อง”
“ร้ายกาจมาก!”
มหาราชาแค่นยิ้มหยัน “คาจาลทำเรื่องเลวร้ายกว่านี้มาตั้งมาก นี่แค่เสี้ยวนึง แกไม่เห็นต้องตกใจ”
“ว่าแต่ฝ่าบาททรงติดต่อไปทางพูรัมรึยังพ่ะย่ะค่ะ ทางนั้นว่ายังไงบ้าง” ฌาร์มานส่ายหน้า “อย่างน้อยฝ่าบาทควรอธิบายให้ทางพูรัมเข้าใจนะพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้แล้วล่ะน่า แกออกไปก่อนเถอะ”
ปานเดย์ทำความเคารพผู้เป็นนายก่อนก้าวฉับๆ ออกจากห้องไป ทิ้งเจ้าเหนือหัวไว้กับเจ้าเสืออ้วนวัยสองขวบกว่า
“โทรดีไหมเกอร์”
ฌาร์มานลูบหัวเสือโคร่งเบงกอลที่เลี้ยงมาตั้งแต่ตัวเล็กเท่าต้นแขน แต่บัดนี้ตัวใหญ่จนเขาอุ้มแทบไม่ไหว เจ้าเสืออ้วนเงยหน้า แยกเขี้ยวแหลมอวดก่อนทิ้งตัวลงนอนพังพาบกับพื้น แกว่งหางอย่างสบายอารมณ์
ขณะที่เจ้าของเสือกลับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นติดตามตัว สัญญาณจีพีเอสในเขี้ยวเสืออันใหม่ที่เขาสับเปลี่ยนตอนคืนให้ลลิสสาหลังออกมาจากกระท่อมฉับไวขึ้นกว่าอันเก่าที่เคยแอบสับเปลี่ยนสมัยช่วยชีวิตอีกฝ่ายไว้ในวัยสิบเก้าปี
“ข่าวลือขนาดนี้ ยังมีแก่ใจขี่ม้าอีกเหรอลิสสา”
‘ไปขี่ม้า ไม่ต้องตาม เดี๋ยวกลับเอง’
เจ้าหญิงลลิสสาทิ้งข้อความไว้ให้พี่เลี้ยงมันจูก่อนแอบออกมาขี่ม้าตามลำพัง เธอขลุกอยู่ที่อุทยานเกือบสองชั่วโมง แต่แล้วความสงบก็ถูกรบกวนเมื่อขบวนองครักษ์ออกตามหากันจ้าละหวั่นจนเธอต้องขี่ม้ากลับตำหนักในที่สุด
“ลิสสาแค่ออกไปขี่ม้าเล่น ทำไมต้องยกโขยงมาขนาดนี้ด้วยนะพี่มันจู”
หญิงสาวชักสีหน้าใส่พี่เลี้ยงซึ่งยืนรออยู่หน้าตำหนัก
“ทรงหายไปเกือบสองชั่วโมง จะไม่ให้ร้อนใจได้ยังไงล่ะเพคะ”
“ลิสสาส่งข้อความบอกพี่มันจูแล้วนี่นา”
“โทรศัพท์ของหม่อมฉันแบตฯ หมดน่ะสิเพคะ อย่างน้อยก็น่าจะแจ้งนางกำนัลคนอื่นไว้ด้วย แอบออกไปในสถานการณ์แบบนี้มันอันตรายนะเพคะ”
“ตายเสียได้ก็ดี ใครๆ จะได้เลิกเห็นลิสสาเป็นหมากในกระดานเสียที”
“โธ่ ใครจะกล้าคิดแบบนั้นล่ะเพคะ”
“เยอะแยะ เปิดเฟซบุ๊กก็เจอแล้ว”
แค่ออกไปขี่ม้าให้พ้นสายตาใคร่รู้ของเหล่านางกำนัลยังถูกตามตัวกลับ ตกลงเธอเป็นเจ้าหญิงหรือนักโทษกันแน่ ความขุ่นเคืองที่ยังอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจทำให้เจ้าหญิงน้อยเร่งฝีเท้า หมายจะเดินหนีกลับห้องนอน แต่ฝีเท้าก็เป็นอันต้องสะดุดเมื่อเสียงพูดคุยดังลอดมาจากโต๊ะน้ำชาในห้องนั่งเล่น
“พวกนักการเมืองทำไปเพราะหวังผลเลือกตั้ง คนนึงพูดแล้วได้ซีน คนอื่นก็หิวแสงทำตามๆ กัน เรื่องของราชวงศ์เป็นอาหารปากของประชาชนอยู่แล้ว พี่จะห้ามอะไรได้”
“แต่ลูกสาวหม่อมฉันเป็นเหยื่อนะเพคะ ฝ่าบาทไม่คิดจะทำอะไรเพื่อลิสสาบ้างรึไง”
“ไม่ใช่ไม่ทำ พี่แค่รอเวลาให้อารมณ์ของประชาชนเย็นลงกว่านี้”
“อย่างน้อยก็น่าจะรับสั่งให้นักข่าวเขียนข่าวเพลาๆ ลงหน่อย ฝ่าบาทเป็นมหาราชานะเพคะ”
“ขืนเราสั่งห้ามออกข่าว พวกนั้นก็หันมาโจมตีว่าเราใช้อำนาจบาตรใหญ่ ปิดหูปิดตาประชาชน ทีนี้ล่ะประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็คงพานเกลียดราชวงศ์น่ะสิวตี”
แม้จะเห็นด้วย แต่ในใจของมหารานีแห่งพูรัมกลับยังไม่หายขุ่นใจ
“แล้วจะปล่อยไว้แบบนี้เหรอเพคะ ลิสสามีแต่เสียกับเสีย หม่อมฉันมั่นใจว่าสองวันที่ลิสสาหายไปไม่มีเรื่องเสื่อมเสียเกิดขึ้น”
“พี่รู้ว่าลิสสาปลอดภัย ฌาร์มานยืนยันกับพี่เอง เชื่อพี่เถอะวตี อีกไม่นานอะไรๆ จะดีขึ้นเอง”
“แล้วทรงคุยกับลิสสารึยังเพคะ”
“ลิสสาไม่ยอมเจอพี่น่ะสิ ไม่รู้โกรธอะไรนักหนา”
“ก็ทรงบังคับให้ลิสสาไปร่วมงานวันเกิดมหาราชาทำไมล่ะเพคะ”
“พี่หวังดีหรอก”
รานีปัทมาวตีถอนหายใจ “ทรงเลิกจับคู่ลิสสากับมหาราชาได้แล้วนะเพคะ มหาราชาย่างสี่สิบแล้ว แต่ลูกสาวของหม่อมฉันแค่ยี่สิบเอ็ด ห่างกันตั้งเกือบยี่สิบปี ทรงคิดอะไรอยู่ถึงจับคู่ลิสสากับชายแก่”
“พูดซะเสียเลย ฌาร์มานแค่สามสิบเก้าเองวตี ยังไม่แก่เสียหน่อย ในสายตาของเรา ฌาร์มานเหมาะกับลิสสามาก เราเชื่อว่าฌาร์มานจะปกป้องคุ้มครองลิสสาได้”
“แต่หม่อมฉันรับปากรานีอุษมาไว้ก่อนท่านสิ้นว่าจะดูแลลิสสาเหมือนลูก เพราะฉะนั้นอย่าทรงบีบให้ลิสสาไปดูตัวอีก หม่อมฉันไม่ยอมแน่”
“พี่ก็แค่…”
“ส่งลิสสาไปงานวันเกิดมหาราชา อ้างว่าเป็นตัวแทนพูรัม แต่แท้จริงแล้วทรงวางแผนจะให้สองคนนี้ทำความรู้จักกัน อย่าคิดว่าหม่อมฉันรู้ไม่ทันนะ” มหาราชาแห่งพูรัมยิ้มแห้งๆ เมื่อถูกรานีคู่ใจอ่านออกจนหมดเปลือก “สาวๆ กุณฑ์ชาลาสวยๆ เยอะแยะ เหตุใดต้องมายุ่งกับลิสสา หรือว่าทรงมีรสนิยมชอบเด็ก”
“ฌาร์มานไม่ใช่คนแบบนั้น แล้วอีกอย่างหมอนั่นวันๆ ทำแต่งาน จะเอาเวลาไหนไปยุ่งกับผู้หญิง”
“หรือไม่ก็อาจจะโปรดเพศเดียวกันเหมือนที่คนเขาลือกัน”
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
“ฝ่าบาทเป็นแค่พระสหายนะเพคะ ไม่ได้อยู่กับมหาราชาตลอด ทรงแน่พระทัยได้ยังไง”
“พี่รู้ก็แล้วกันน่าว่าฌาร์มานไม่ได้ชอบเพศเดียวกัน ฌาร์มานเป็นพวกฝังใจ รักแล้วรักเลย”
“แปลว่าทรงมีคนรักอยู่แล้วเหรอเพคะ”
สีหน้าของมหาราชาอาเมียร์เหมือนคนน้ำท่วมปาก จะเอ่ยตอบอะไรก็เข้าตัวไปเสียหมด
“เอาเป็นว่าฌาร์มานเหมาะสมกับลิสสามาก พี่เชื่อว่าเขาจะปกป้องคุ้มครองลิสสาได้”
“ทรงคิดแต่ในมุมของผู้ชาย คิดไหมว่าลิสสาจะทุกข์แค่ไหนหากต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก”
“พี่ถึงส่งลิสสาไปเจอฌาร์มานก่อนไงล่ะ ถ้าลิสสาไม่ชอบ พี่ก็ไม่บังคับ”
“ทรงยอมรับแล้วใช่ไหมเพคะว่าเป็นแผนของพระองค์” บางครั้งมหาราชาอาเมียร์ก็อยากให้รานีของพระองค์ใสซื่อ อ่อนต่อโลก ไม่ใช่รู้ทันพระองค์ไปเสียทุกเรื่อง “ทรงทำแบบนี้ทางโน้นจะคิดว่าพูรัมหมดหนทางถึงกับต้องส่งเจ้าหญิงไปแต่งงาน ไปเป็นตัวประกันทางการเมือง”
“เหลวไหล ตัวประกันอะไรกัน ฌาร์มานไม่คิดแบบนั้นหรอก”
“ไม่รู้แหละ อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะเพคะ หม่อมฉันจะปกป้องลูกสาวของหม่อมฉันทุกวิถีทาง”
น้ำเสียงหนักแน่นของรานีปัทมาวตีทำให้พายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำอยู่ในใจของเจ้าหญิงลลิสสาอ่อนกำลังลงจนเป็นลมเย็นอ่อนๆ ชวนชื่นใจ
นับตั้งแต่ทูลกระหม่อมย่าสิ้นพระชนม์ด้วยโรคหัวใจเมื่อหลายปีก่อน ทูลกระหม่อมปู่ก็ลั่นวาจาว่าจะประทับอยู่แต่ในตำหนักฤดูร้อนเพื่อประพฤติพรหมจรรย์แบบนักบวช รานีปัทมาวตีจึงไปรับเธอมาประทับที่วังหลวง มหารานีรักและดูแลพระองค์เหมือนลูกสาวแท้ๆ กระทั่งเธอขอไปเรียนต่อที่อังกฤษ
‘เรียนที่อินเดียดีกว่าไหมลิสสา เดี๋ยวนี้การศึกษาที่นั่นทัดเทียมกับลอนดอนเลยนะ’
มหาราชาค้าน เจ้าหญิงลลิสสาจึงหันไปเกาะแขนอ้อนแม่บุญธรรม
‘พี่วตีขา ช่วยลิสสาด้วย’
แน่นอนว่าแม่บุญธรรมที่รักเธอเหมือนลูกสาวแท้ๆ มีหรือจะไม่ออกหน้าช่วยสุดตัว
‘อินเดียกับพูรัมใกล้กันแค่นี้จะได้อะไรนักเชียว หม่อมฉันเห็นว่าไปเรียนที่ลอนดอนจะช่วยเปิดโลกให้ลิสสา ได้รู้จักผู้คน เผลอๆ จะได้คอนเน็กชั่นอีกเพียบนะเพคะ’
‘อยากได้คอนเน็กชั่นก็ให้ทูตของเราจัดการไป เป็นผู้หญิงเรียนเยอะๆ สุดท้ายก็ต้องแต่งงานอยู่ดี’
‘พี่วตีช่วยด้วยค่ะ ลิสสาไม่อยากแต่งงาน’
‘อย่าลืมสิเพคะว่ารานีอุษมายกลิสสาให้เป็นลูกสาวของหม่อมฉัน ฝ่าบาทเป็นแค่พี่ชาย เพราะฉะนั้นสิทธิ์ขาดการตัดสินใจเป็นของหม่อมฉัน ถ้าลูกสาวหม่อมฉันไม่อยากแต่ง ใครก็บังคับไม่ได้ทั้งนั้น’
‘พี่ก็ไม่ได้บอกให้แต่งวันนี้พรุ่งนี้เสียหน่อย’
‘เรียนจบกลับมาแล้วลิสสาอยากกลับมาทำงานพัฒนาศิลปวัฒนธรรมในประเทศค่ะพี่วตี ลิสสาไม่อยากแต่งงาน’
‘จ้ะ ไม่แต่งก็ไม่แต่ง’ รานีปัทมาวตีพยักหน้าเห็นด้วยก่อนถลึงตาใส่สวามี ‘ลูกสาวหม่อมฉันเป็นคนเก่งมีความสามารถ เรียนจบมาแล้วอยากกลับมาทำงานพัฒนาประเทศก็ถูกแล้ว จะรีบแต่งไปทำไมเพคะ’
‘ไม่ได้รีบ พี่ก็แค่…แค่นี้ลิสสาก็ร้ายกาจจนหาผู้ชายมาแต่งด้วยไม่ได้แล้วนะวตี แสบแบบนี้ผู้ชายที่ไหนจะรับมือไหว’
‘แต่งไม่ได้ก็ไม่ต้องแต่ง ลูกสาวคนเดียว หม่อมฉันเลี้ยงได้’
เจอคำขาดแบบนี้เข้า มหาราชาแห่งพูรัมซึ่งเกรงใจมหารานีเป็นทุนเดิมถึงกับถอนหายใจแรงๆ
‘ตามใจกันตั้งแต่ทูลหม่อมย่าจนมาถึงวตี ลิสสาถึงรั้นไม่ฟังใครแบบนี้’
รับสั่งจบก็เดินตึงตังจากไป ทิ้งให้เจ้าหญิงลลิสสาอยู่กับรานีปัทมาวตีลำพัง
‘ลิสสาทำให้พี่วตีกับพี่ราชทะเลาะกันใช่ไหมคะ’
‘ไม่ต้องไปสนใจหรอก ดุไปงั้นเอง ที่จริงก็ห่วงลิสสานั่นแหละ ไปไกลหูไกลตาใครจะดูแล’
‘พี่วตีอยากให้ลิสสาเรียนใกล้ๆ เหมือนพี่ราชเหรอคะ’
‘พี่รักลิสสาเหมือนลูกก็ต้องอยากให้ลิสสาเรียนใกล้ๆ เป็นธรรมดา แต่อนาคตเป็นของลิสสา ลิสสาต้องตัดสินใจเอง พี่จะคอยซัพพอร์ตลิสสาเอง’
‘ลิสสารักพี่วตีที่สุดในโลกเลยค่ะ’
เจ้าหญิงลลิสสาวาดวงแขนกอดรานีปัทมาวตีไว้ด้วยความดีใจ รานีปัทมาวตีลูบศีรษะพลางหยอกยิ้มๆ
‘เดี๋ยวลิสสาไปเรียนที่โน่น เจอหนุ่มๆ ถูกใจก็รักแฟนมากกว่าพี่อยู่ดี’
‘ไม่มีทางหรอกค่ะ พี่ราชยังบอกเองเลยว่าไม่มีหนุ่มคนไหนรับมือลิสสาได้’
คำพูดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในความคิดของเจ้าหญิงลลิสสามากระทั่งปัจจุบัน เธอเรียนเพื่อกลับมาพัฒนาประเทศเล็กๆ อย่างพูรัม ไม่ใช่เพื่อแต่งงานกับมหาราชาที่เต็มไปด้วยเรื่องอื้อฉาวสักหน่อย
“ใครจะไปยอมแต่งด้วย ชิ!”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.