X
    Categories: LOVEทดลองอ่านเจ้าชายฉบับมือสอง

ทดลองอ่าน เจ้าชายฉบับมือสอง บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 6 ลับๆ ล่อๆ

บ้านหลังใหญ่มหึมาที่จะเรียกว่าคฤหาสน์ก็ไม่ผิดนัก แลดูตระหง่านง้ำอยู่ใต้แสงจันทร์สีเงินซีดจางขณะทอดเงามืดบางส่วนลงบนแปลงดอกกุหลาบสีขาวเบื้องล่าง สายลมเย็นพัดโชยมาตลอดเวลาจนชายหนุ่มต้องห่อกายด้วยความรู้สึกหนาว บรรยากาศทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้ปฐวีนึกว่ากำลังหลงเข้าไปในคฤหาสน์เก่าแก่ในนิยายโกธิคที่เคยหยิบขึ้นมาอ่านสักเรื่อง

ไม่สิ ยังขาดเสียงหมาป่าหอนเกรียวกราวอีกอย่างถึงจะครบเครื่อง

บรึ๋ย…ปฐวีไม่เคยนึกว่าจะได้มาเห็นบ้านกุหลาบขาวของคุณย่าบุษยาในบรรยากาศเหมือนบ้านผีสิงอย่างนี้เลย

“หน้าซีดอย่างกับไก่ต้ม ใจเสาะจริงเลยพี่เนี่ย”

เสียงกระซิบจากหญิงสาวที่นั่งยองๆ อยู่ข้างกันทำให้ปฐวีต้องพยายามข่มความกลัวทั้งหลายเอาไว้อย่างสุดความสามารถ ขืนน้ำหนึ่งรู้ว่าเขากลัวผีได้เสียหน้าแย่

สาเหตุที่ทำให้ปฐวีต้องมานั่งซุ่มกันอยู่ในพุ่มไม้มืดๆ อย่างนี้ก็เพราะว่าระหว่างปฐวีกำลังขับรถย้อนกลับมาทางบ้านคุณย่าบุษยา น้ำหนึ่งก็บังเอิญตาดีเห็นไฟสว่างจากหน้าต่างห้องหนังสือของคุณย่าเข้า จึงตัดสินใจดับไฟหน้ารถและขับเข้าไปจอดแอบข้างทางเอาไว้เพื่อดูลาดเลาก่อน

โชคดีที่แสงไฟในบ้านสว่างอยู่แค่เพียงห้องเดียว ไม่ได้เปิดลามมาถึงสวนกุหลาบของคุณย่าด้วย สองหนุ่มสาวจึงยังสามารถหลบซ่อนอยู่ได้อย่างปลอดภัยเหมือนเดิม ปฐวีเห็นเงาคนหลายคนเดินผ่านไปมาที่หน้าต่างก็ชักวิตกกังวลถึงหนังสือและงานเขียนมากมายภายในนั้นของคุณย่าขึ้นมาเป็นกำลัง

“ดีนะที่หนึ่งช่างสังเกต ไม่งั้นจะเจออะไรเข้าก็ไม่รู้ ถ้าเกิดเป็นพวกโจรที่ตั้งใจจะมาปล้นบ้านคุณย่าตอนคุณย่าไม่อยู่นี่ไม่อยากจะคิดเลย ไม่แน่ว่าเด็กที่คุณย่าจ้างมาช่วยงานป้ายวงนั่นแหละที่เป็นสายให้โจรซะเอง”

คำพูดที่ฟังแล้วยิ่งไม่สบายใจทำให้ปฐวีชักจะเริ่มปอดแหกขึ้นมาจริงๆ ตอนแรกก็ตกลงกันดิบดีว่าเขาจะลงมาดูลาดเลาเอง เพราะอรรถเมาหลับจนกรนดังครอกอยู่หลังรถไปเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่รู้น้ำหนึ่งเกิดของขึ้นอะไรขึ้นมาถึงดื้อแพ่งจะตามมาด้วยให้ได้ ครั้นเห็นว่ามัวแต่ทุ่มเถียงกันอยู่อย่างนี้คงไม่ได้ไปบ้านคุณย่าบุษยาแน่ ปฐวีจึงต้องจำใจยอมให้น้ำหนึ่งตามมาอย่างช่วยไม่ได้

หลังจากตอนกลางวันเพิ่งจะกลายเป็นไอ้หนุ่มคลั่งรักมาสดๆ ร้อนๆ ตอนกลางคืนยังต้องมาปะทะโจรห้าร้อยอีก ต้องบอกว่าชะตาชีวิตของเขาช่วงนี้นี่มันยิ่งกว่าดาวพระศุกร์เข้าดาวพระเสาร์แทรกจริงๆ

“โทรแจ้งตำรวจดีไหมผมว่า ขืนพวกมันมีปืนจะไม่รอดเอานะ”

“แล้วถ้าเกิดไม่ใช่โจรล่ะ พี่วีอย่าลืมสิว่าหนึ่งเพิ่งเป็นข่าวเสียๆ หายๆ ไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เอง ไม่พร้อมจะมีข่าวใหม่อย่างไปโทรแกล้งตำรวจหรอกนะ ขายหน้าคนอื่นตายเลย”

“เสียหน้ามันจะเสียกี่รอบก็ได้ แต่เสียชีวิตมันได้แค่ครั้งเดียวนะครับจะบอกให้ ตอนนี้ผมเองก็ไม่พร้อมจะวิ่งไปรับกระสุนแทนใครเสียด้วยสิ ยิ่งเป็นมีดยิ่งน่าหวาดเสียวใหญ่”

ปฐวีพูดพลางทำท่าห่อไหล่

“พี่วีนี่ไม่ไหวจริงๆ หนึ่งไม่เห็นจะกลัวขนาดนั้นเลย”

“อ้าว ผมมันก็แค่ประชาชนคนธรรมดา ไม่ใช่พระเอกอย่างในละครที่คุณหนึ่งเป็นนางเอกนี่ จะได้วิ่งหลบกระสุนไม่โดนซักกะนัด”

น้ำหนึ่งทำเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ ก่อนจะยืนกรานปฏิเสธความคิดของปฐวีเช่นเดิม พร้อมเสริมด้วยเหตุผลยาวเหยียด

“ไม่ล่ะ ยังไงหนึ่งก็ยังไม่อยากแจ้งตำรวจจนกว่าจะรู้จริงๆ ว่านั่นโจรหรืออะไร พี่อย่าลืมสิว่านอกจากสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจที่บ้านคุณย่าตอนนี้แล้ว อาอรรถยังเตือนเราเรื่องพี่พีทเอาไว้ด้วย ถ้าเกิดเขาคิดถูกว่าหนึ่งกับพี่วีมาที่นี่แล้วตามมาดักรอถึงหน้าบ้านคุณย่าพร้อมกับถ่ายรูปเป็นหลักฐานเอาไว้ว่าพี่วีเป็นไอ้หนุ่มคลั่งรักจริงๆ ล่ะ จะทำยังไง”

สำหรับปฐวีที่อยากจะดิ้นให้หลุดจากสถานะไอ้หนุ่มคลั่งรักให้เร็วที่สุด ย่อมไม่ปรารถนาให้เรื่องที่เขาพาน้ำหนึ่งไปไหนต่อไหนเป็นความลับให้คนยิ่งจินตนาการต่อไปในทางร้ายจนพาให้เดือดร้อนไปมากกว่านี้

แต่…ถึงอย่างไรเขาก็ควรรอบคอบไว้ก่อนเพราะยังไม่แน่ใจว่าพีรัชวางแผนอะไรเอาไว้บ้าง เพราะถ้าเรื่องร้อนใจพวกนี้มาจากความคิดของพีรัชจริงล่ะก็ มันไม่มีทางเป็นแค่การแกล้งกันเล่นแน่นอน

ปฐวีคิดแล้วก็ต้องเผลอกำหมัดแน่น เพราะเห็นแก่คุณย่านี่แหละ เขาถึงต้องยอมทนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป

“อ้าว ตอนนี้พี่พีทของคุณหนึ่งกลายเป็นตัวร้ายแทนผมไปซะแล้วเหรอ เปลี่ยนใจเร็วจริง”

นี่ถ้าตรงนี้สว่างอีกนิด ปฐวีคงจะได้เห็นน้ำหนึ่งแยกเขี้ยวใส่เหมือนแวมไพร์สาวแน่นอน เท่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายปากคอเราะรายอะไร แต่พอได้อยู่กับน้ำหนึ่งทีไร ความสามารถอันเร้นลับนี้ก็มักจะโผล่ออกมาของมันเองโดยไม่ตั้งใจทุกที

น้ำหนึ่งทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างไม่พอใจ “หรือจะให้คิดว่าพี่วีนั่นแหละตัวร้าย อยากโดนจับเข้าคุกจริงๆ หรือไง กลับจากบ้านคุณย่าแล้วหนึ่งจะได้รีบดำเนินการให้”

“เออๆ ให้คุณพีทเป็นไปก่อนแล้วกัน ผมไม่ขอรับไว้ล่ะ” ปฐวียกมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้

“ถ้าอย่างนั้นก็หยุดพูดเรื่องไร้สาระก่อนจะมีใครมาได้ยินเข้าจนพาให้เสียเรื่อง”

“รู้แล้วน่า”

ระหว่างนั้นปฐวีก็ลอบมองเสี้ยวหน้างามที่ตกอยู่ในความมืดครึ่งหนึ่งของหญิงสาวไปด้วย บางทีน้ำหนึ่งอาจไม่ได้เป็นแค่คุณหนูเอาแต่ใจนิสัยไม่ได้ความไปเสียทั้งหมดก็ได้

ทว่าปฐวีก็ไม่อยากยอมรับว่าเพราะในวัยเด็กต้องตกเป็นเบี้ยล่างของอีกฝ่ายมาตลอด จึงมีอคติกับน้ำหนึ่งเป็นพิเศษ และวางเธอเอาไว้ให้เป็นแบบนั้นทั้งที่ความจริงมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้

“เอางี้ ถ้าพี่ไม่สบายใจ หนึ่งจะออกไปดูลาดเลาเอง ถ้าเป็นโจรจริงหนึ่งจะรีบกลับมาส่งสัญญาณให้”

“จะบ้าเหรอคุณหนึ่ง ผมจะไปเอง” ปฐวีดึงแขนน้ำหนึ่งเอาไว้ก่อนจะโผล่หน้าพ้นออกไปจากพุ่มดอกกุหลาบที่กำลังซ่อนตัวอยู่

“แต่ถ้านั่นเป็นโจรจริงล่ะ เราจะทำยังไงกันดี” น้ำเสียงของหญิงสาวเริ่มวิตกขึ้นมาจริงๆ

“ก็ช่างมันสิ ทรัพย์สมบัติมันไม่สำคัญเท่ากับชีวิตคุณหนึ่งหรอกนะ แต่ผมว่าโอกาสจะเป็นโจรไม่มากหรอก เพราะโจรที่ไหนมันจะมาเปิดไฟบ้านที่จะปล้นกัน”

“จริงสิ ทำไมหนึ่งถึงคิดไม่ได้นะ”

ก็ไม่เห็นจะน่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะยังไงก็มีแต่เรื่องที่คุณหนึ่งคิดไม่ได้เต็มไปหมดอยู่แล้ว…ปฐวีได้แต่พูดในใจโดยไม่ได้เอ่ยออกไป เพราะยังไม่อยากให้ใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านคุณย่าบุษยาได้ยินเสียงเอะอะจนเสียเรื่องหมด

“แล้วถ้าเกิดนั่นเป็นคุณพีทจริง ยังไงเราก็คงต้องคอยให้เขากลับไปก่อนอยู่ดี”

“นั่นสิ”

น้ำหนึ่งพึมพำตอบ ลึกๆ แล้วเธอเองก็รู้สึกไม่สนิทใจกับพีรัชมาตลอด แต่เพราะเห็นว่าแม่สนิทสนมกับแม่ของพีรัชดีจึงทำเป็นมองผ่านความรู้สึกนี้ไปเสีย หรือไม่เธอก็คงไม่อยากโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังในคฤหาสน์นาราภัทรอันใหญ่โต จึงพยายามทำตัวสนิทสนมกับคนในบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกนั้น

ใครต่อใครอาจพากันอิจฉาว่าน้ำหนึ่งมีชีวิตสวยหรูไม่ต่างจากเจ้าหญิง ทว่ากลับไม่มีใครเคยรู้เลยว่าเธอไม่ได้มีครอบครัวแสนสุขอย่างที่ควรจะเป็น เพราะผู้เป็นเจ้าของอาณาจักรเงินตราอย่างคุณปู่มีภรรยามากกว่าหนึ่งคน มิหนำซ้ำพ่อของเธอก็ยังเจริญรอยตามอีก ถึงแม้จะไม่เคยเปิดเผยให้เธอและแม่ได้รู้เห็นอย่างเป็นตัวเป็นตนก็ตาม

เรื่องราวภายในเหล่านี้จึงเป็นเสมือนรอยตำหนิเล็กๆ อยู่ในใจของน้ำหนึ่งมาเนิ่นนาน

ถ้าเปรียบหัวใจของเธอเป็นกระจกแสนสวย รอยแตกนี้ก็คือตำหนิที่น้ำหนึ่งรู้สึกถึงการมีอยู่ของมันได้ตลอดเวลา ต่อให้เธอจะพยายามไม่สนใจมันอย่างไร ก็ไม่อาจทำให้รอยแตกนั้นหายไปได้อยู่ดี

ผิดกับปฐวี เขาไม่ใช่คนในครอบครัว…เขาเป็นแค่ใครสักคนที่บังเอิญมีชะตาผูกพันกับคุณย่าด้วยความรู้สึกผิดต่อเรื่องในอดีตของท่าน แต่ผู้ชายคนนี้กลับสามารถจุดดวงไฟอันอบอุ่นขึ้นในใจเธอได้อย่างน่าประหลาด กระทั่งตอนนี้ไฟดวงนั้นก็ไม่เคยมอดดับ เพียงแต่ริบหรี่ลงไปตามระยะเวลาของความห่างเหินเท่านั้นเอง

เขาจึงเป็นเสมือนกระจกบานใหม่ที่เธอสามารถจ้องมองตัวเองได้อย่างเต็มตาโดยไม่ต้องกลัวว่าจะได้เห็นรอยตำหนิใดๆ แม้มันอาจไม่ได้ถูกตกแต่งให้สวยงามวิจิตรตระการตาก็ตามที

วินาทีนั้นน้ำหนึ่งเกือบจะบอกออกไปแล้วว่าตอนนี้เธอไม่กล้าเชื่อใจใครอีกแล้วนอกจากปฐวี ก็บังเอิญเห็นแสงไฟในห้องดับลงเสียก่อน

“ไฟดับแล้ว” ปฐวีพึมพำ ก่อนจะสอดสายตามองลอดผ่านพุ่มดอกกุหลาบขาวออกไปอย่างประเมินสถานการณ์ “จะเอายังไงต่อดี หรือจะกลับไปตั้งหลักกันก่อนแล้วค่อยมาใหม่”

“ไม่ หนึ่งอยากจะรู้ว่าใครมันแอบมาเข้าบ้านคุณย่าตอนนี้ หรือไม่ก็ต้องแน่ใจก่อนว่าใช่หรือไม่ใช่พี่พีท”

“งั้น…ลองเสี่ยงอ้อมไปดูหน้าบ้านกันดีไหม ให้มันรู้ดำรู้แดงรู้เหลืองรู้ขาวกันไปเลยดีกว่าว่าใครกันแน่” ปฐวีหันไปเสนอ

“ดำกับแดงก็พอ พี่นี่จริงๆ เลย เวลาแบบนี้ยังจะมีอารมณ์มาพูดเล่นอีก”

ปฐวีเพียงแต่ยิ้มแห้ง ก่อนจะย้ำถามอีกครั้งว่า “ตกลงเอาไง ไปดูเลยไหม”

“พี่จะไปจริงเหรอ ก่อนหน้านี้ยังทำเป็นปอดแหกอยู่เลย”

“อ้าว จะเอายังไงแน่ พอผมจะไปก็ทำเป็นไม่แน่ใจ พอผมไม่ไปก็หาว่าผมปอดแหก”

“งั้นก็รีบไปเลย” น้ำหนึ่งตัดสินใจได้ในทันที

“คุณหนึ่งตามผมมาดีกว่า ผมจะนำไปเอง”

ปฐวีหันไปจับมือน้ำหนึ่งแล้วพาย่องออกไปจากพุ่มต้นกุหลาบด้วยกัน ท่าทางเขาจะมาเยี่ยมคุณย่าบุษยาบ่อยกว่าหญิงสาวอย่างเทียบกันไม่ติด จึงรู้ทางลัดใหม่ๆ ในสวนที่ลับตาคนและพาหญิงสาวเดินผ่านออกไปได้อย่างคล่องแคล่ว คล้ายกับในวันวานเวลาที่เธอร้องไห้บังคับให้เปิดเผยที่ซ่อนลับซึ่งเขาเอาไว้ใช้หนีหน้าเธอ

แต่พอที่ลับหนึ่งถูกเปิดเผย ไม่นานปฐวีก็จะหาที่ใหม่ได้อีกเรื่อยไป ราวกับว่ามันเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของเขา

น้ำหนึ่งรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อมาถึงหน้าบ้านและพบรถสปอร์ตสีดำราคาแพงลิ่วจอดเทียบอยู่

รถพี่พีทจริงๆ ด้วย!

“เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าพี่พีทต้องตามมาถึงที่นี่แน่”

แหมก่อนหน้านี้ใครกันนะที่เพิ่งพูดว่าอย่าเอาพีรัชไปเทียบกับพวกสตอล์กเกอร์ ทีนี้เป็นไงล่ะ กลายเป็นผู้ร้ายตัวเอ้ไปเสียนี่

ช่างมันเถอะ อย่างไรเสียตอนนี้เขากับน้ำหนึ่งก็ถือว่าลงเรือลำเดียวกันแล้ว จะให้พูดแบบนั้นออกไปเพื่อความสะใจก็กระไรอยู่ นี่ถ้าแม่ที่อยู่บนสวรรค์เกิดมาได้ยินความคิดนี้ของเขาเข้าคงต้องต่อว่ากลับมาในฝันยกใหญ่แน่ๆ

“ต้องตามมาถึงบ้านคุณย่าเชียว แถมยังเป็นวันที่คุณย่าไม่อยู่บ้านอีกต่างหาก นี่ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันจะเป็นแค่แผนอยากจะกลั่นแกล้งผมอย่างเดียว ถึงจะแกล้งแรงขนาดจะให้ติดคุกติดตะรางก็เถอะ”

“นั่นสิ…” น้ำหนึ่งกัดริมฝีปากล่างอย่างครุ่นคิด แต่ไม่นานก็ต้องหยุดเอาไว้ก่อนเมื่อเห็นประตูหน้าบ้านกำลังถูกเหวี่ยงเปิดออก

“พากันออกมาแล้ว…”

น้ำหนึ่งหันไปเขย่ามือที่ยังจับกับปฐวีเอาไว้แน่น

ปฐวีเองก็รอคอยอย่างระทึกใจไม่ต่างจากหญิงสาว ก่อนที่จะเห็นพีรัชกำลังเดินลงส้นเท้าออกมาด้วยความหัวเสียอย่างหนัก ใบหน้าบึ้งตึงนั้นดูน่ากลัวไม่เหมือนกับพีรัชที่น้ำหนึ่งเคยรู้จัก

เมื่อไม่ได้อยู่ต่อหน้าลูกพี่ลูกน้องสาวคนสวย พีรัชก็แทบเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จนน้ำหนึ่งไม่กล้าวางใจอีกแล้วว่าเขาจะทำหรือไม่ทำอะไร

ทว่าปฐวีไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด เพราะมันคือตัวตนที่พีรัชมักแสดงออกต่อเขาเสมอ

ผู้ชายอย่างพีรัชนั้นถือว่าเป็นหนุ่มหล่อรวยคนหนึ่งในวงสังคมไฮโซไม่ต่างจากน้ำหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อตอนนี้เขากำลังเป็นที่จับตามองในฐานะนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง จึงมีสาวสวยมาให้ควงแทบจะไม่ซ้ำหน้า แต่ถึงพีรัชจะได้ชื่อว่าเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของนล นาราภัทร ทว่ายายของเขากลับเป็นเพียงเมียน้อยของนล ไม่ใช่เมียที่แต่งงานออกหน้าออกตาอย่างถูกต้องเช่นบุษยา เรื่องนี้จึงเหมือนเป็นปมด้อยเพียงอย่างเดียวที่ทำให้พีรัชไม่เคยนึกพอใจตัวเองได้อย่างเต็มที่สักครั้ง

“ให้ไอ้แก่นั่นมันอยู่ที่นี่จนกว่าจะได้เรื่องก็แล้วกัน ผมว่าเรากลับกันก่อนดีกว่า”

พีรัชหันไปบอกหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่รีบวิ่งกระหืดกระหอบตามมา ซึ่งพอน้ำหนึ่งได้เห็นอย่างชัดเจนก็ต้องเบิกตาโตขึ้นทันที

นั่นมันยายโชติรส ศัตรูคู่แค้นของเธอนี่นา!

ปฐวีอดหันไปมองน้ำหนึ่งไม่ได้ รู้สึกคันปากอยากจะบอกเสียเต็มแก่ว่า เป็นไงล่ะ ชัดเจนพอหรือยัง

เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มในวินาทีต่อมา มันพ่นควันสีเทาเต็มเหยียดเสียจนน้ำหนึ่งแทบจะสำลัก แล้วจึงพุ่งพรวดไปข้างหน้าด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ ได้ยินเสียงล้อดังเอี๊ยดอ๊าดบดกับถนนหน้าบ้านไปจนกระทั่งพ้นประตูรั้ว

ปฐวีมองตามไป คิดในใจว่า ดีขับรถอย่างนี้ ไปตกเหวตายห่าซะจะได้จบๆ เรื่องไป

คนอื่นมักเข้าใจแค่ว่าปฐวีกับพีรัชไม่ค่อยถูกกัน แต่ในความเป็นจริงต้องเรียกว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตถึงจะถูก ทุกวันนี้ที่ปฐวีต้องกล้ำกลืนฝืนทนเรียกว่าคุณพีทก็เพราะเกรงใจคุณนลอยู่ ไม่อย่างนั้นคงเรียกว่าไอ้ห่าพีทไปนานแล้ว

สำหรับปฐวีแล้ว พีรัชเป็นลูกคนรวยประเภทนิสัยแย่เหลือรับ ตอนเด็กเขาจำได้ไม่เคยลืมว่าถูกพีรัชที่มาเยี่ยมคุณย่าบุษยาช่วงปิดเทอมแกล้งหนักจนถึงขั้นเกือบต้องเข้าโรงพยาบาล และจนป่านนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้เอาคืน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่นึกอยากไปข้องเกี่ยวกับคนบ้านนั้นอีก นอกจากคุณย่าที่ออกมาอยู่ไกลถึงเชียงใหม่

ทว่าคนเดียวที่พีรัชไม่กล้าแตะต้องและจำต้องตกเป็นเบี้ยล่างเหมือนกันกับเขาก็คือน้ำหนึ่ง หญิงสาวจึงไม่เคยมีโอกาสได้เห็นนิสัยด้านร้ายกาจของลูกพี่ลูกน้องจนกระทั่งวันนี้

“พี่พีทกลับไปแล้วอย่างนี้ เราก็เข้าไปดูในบ้านได้เลยสิ” พูดจบน้ำหนึ่งก็รีบโดดผลุงออกจากที่ซ่อนทันที

“เดี๋ยว…”

ปฐวีกำลังจะบอกว่าน้ำหนึ่งลืม ‘ไอ้แก่’ ที่พีรัชเพิ่งพูดถึงเมื่อครู่ไปเสียแล้วหรือ หากหญิงสาวก็ออกไปยืนหัวโด่ให้ใครต่อใครเห็นเรียบร้อยแล้ว

“มาสิพี่วี รออะไรอยู่ล่ะ”

คราวนี้น้ำหนึ่งพูดออกมาอย่างเต็มเสียง เพราะกำลังชะล่าใจว่าไม่จำเป็นต้องระวังใครอีกต่อไปแล้ว ก่อนจะพบว่าไฟในบ้านเริ่มสว่างขึ้นใหม่ทีละดวง

เอ๊ะใครเป็นคนเปิดไฟ ก็ไม่มีใครอยู่แล้วนี่นา ความคิดนั้นทำให้น้ำหนึ่งถึงกับหน้าถอดสี จึงรีบหันไปหาปฐวีในทันใด

ตอนนั้นเองก็มีเงาทะมึนของชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นในบ้านและกำลังก้าวฉับๆ ตรงมาทางน้ำหนึ่ง

“คุณหนึ่ง!”

ปฐวีพุ่งพรวดออกไปดึงตัวน้ำหนึ่งให้พ้นจากเงื้อมมือของชายในเงามืดคนนั้นอย่างสุดชีวิต จึงพากันล้มกลิ้งโค่โล่ลงไปบนถนนหน้าบ้านทั้งสองคน แต่คนเอาหลังลงก่อนเป็นปฐวี เขาจึงเจ็บมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

“โอ๊ะ! เป็นอะไรหรือเปล่าครับนั่น”

ไฟหน้าบ้านสว่างพรึ่บเผยให้เห็นโฉมหน้าของ ‘ไอ้แก่’ ที่กำลังชะโงกหน้ามาถามไถ่อย่างเป็นห่วงเป็นใย

น้ำหนึ่งเงยหน้าขึ้นจากอกของปฐวีแล้วหันไปมองเจ้าของเสียงเป็นที่แรก “อ้าว ลุงวิทย์!”

อะไรนะลุงวิทย์

ปฐวีเงยหน้าขึ้นมองบ้าง ครั้นพบว่าเป็นทนายคนเก่าคนแก่ประจำตระกูลนาราภัทรก็นอนแผ่หรากับพื้นต่ออย่างหมดแรง อุตส่าห์เป็นห่วงน้ำหนึ่งแทบตาย กลับต้องมาเจ็บตัวฟรีเสียนี่

“โธ่…คราวหน้าช่วยเปิดไฟก่อนจะเดินมาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ได้ไหมครับ”

น้ำหนึ่งยันตัวลุกขึ้นนั่งบนพื้นเมื่อรู้ตัวว่ากำลังทิ้งน้ำหนักทับร่างของปฐวีอยู่ เพราะเขาใช้แขนช่วยยันเอาไว้ตอนล้มทำให้ตัวเธอแทบไม่มีแม้แต่รอยข่วน แผลถลอกปอกเปิกทั้งหมดจึงไปตกอยู่กับชายหนุ่มแทน

“ลุงเองก็กลัวเหมือนกันนี่ครับ อยู่ๆ มีใครก็ไม่รู้เดินดุ่มๆ มาที่บ้านกลางดึกแบบนี้น่ะ” สุวิทย์เดินมาช่วยดึงปฐวีให้ลุกขึ้นยืนแล้วตบบ่าเบาๆ “แต่อย่างน้อยลุงก็ดีใจนะที่มีคนคอยห่วงใยคุณหนึ่งถึงขนาดนี้อยู่”

สองหนุ่มสาวเผลอมองหน้ากันโดยไม่ตั้งใจ ก่อนน้ำหนึ่งจะเป็นฝ่ายหน้าแดงแล้วเบือนหนีไปทางอื่นก่อน แต่น่าเสียดายว่าตรงนั้นสว่างไม่มากพอจะทำให้ปฐวีมองเห็น

“พูดขอบใจผมสักนิดก็ได้นะ ก่อนที่จะทำเมินใส่ผมน่ะ”

“ทำไมจะต้องขอบใจ หนึ่งไม่ได้ขอซะหน่อย”

ปฐวีฟังแล้วก็ส่ายหน้าอย่างอิดระอา เขาคงทำดีกับน้ำหนึ่งไม่ขึ้นจริงๆ

“แล้วทำไมลุงวิทย์มากับพี่พีทได้ล่ะ จริงสิ เมื่อกี้พี่พีทพูดถึงไอ้แก่…”

“เพิ่งจะนึกได้เหรอครับ” ปฐวีแทรกขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่

“เอาล่ะๆ” สุวิทย์เดินเข้ามาห้าม ก่อนที่ทั้งสองจะทะเลาะกันเอะอะอยู่หน้าบ้าน “เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า”

“ไม่ค่ะ…จนกว่าลุงวิทย์จะบอกมาก่อนว่าทำไมถึงมากับพี่พีทได้”

เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวก่อนหน้านี้เข้าด้วยกันได้ น้ำหนึ่งก็มีท่าทีระแวงสุวิทย์ขึ้นมาทันที เพราะไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะถูกพีรัชซื้อตัวไปแล้วก็ได้

“ลุงไม่ได้มากับคุณพีท แต่เขาบังคับลุงมา ลุงไม่ได้สมัครใจมาเองแม้แต่นิดเดียว”

น้ำหนึ่งหรี่ตามองชายวัยกลางหกสิบอย่างประเมิน ถึงแม้ว่าสุวิทย์จะทำงานให้กับตระกูลนาราภัทรมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ จนเป็นที่ไว้วางใจของคนในครอบครัวมาตลอด รวมถึงคุณย่าด้วย ทว่าสำหรับน้ำหนึ่งในตอนนี้ มันดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว

“เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าครับ จะเชื่อหรือไม่เชื่อยังไงค่อยว่ากันอีกที”

คำเชื้อเชิญที่เหมือนกับว่าเป็นเจ้าของบ้านเสียเองทำให้น้ำหนึ่งไม่ค่อยพอใจนัก

“ว่าแต่…คุณบุษไปไหนเหรอครับ ทำไมไม่อยู่บ้าน” สุวิทย์ถาม

“คุณย่าไม่อยู่ค่ะ ไปเที่ยวยุโรปกับเพื่อน”

“ไปเที่ยวช่วงนี้น่ะเหรอครับ” สุวิทย์เอานิ้วชี้เกาจมูกอย่างครุ่นคิด “เอ…ทำไมไปได้จังหวะจริงๆ นะนี่”

“ว่าแต่ทำไมพี่พีทจะต้องบังคับลุงวิทย์มาที่นี่ด้วยล่ะ”

“เอ่อ…เรื่องนี้ผมว่าอาจจะต้องคุยกันยาวหน่อย จะเข้าไปนั่งคุยในบ้านก่อนไม่ได้เลยเหรอครับ”

น้ำหนึ่งไม่ตอบรับหรือปฏิเสธเพราะสมองกำลังคิดอะไรอย่างอื่นอยู่ ผ่านไปหลายอึดใจจึงเงยหน้าขึ้นถามสุวิทย์ว่า

“ถ้าถึงขั้นพาลุงวิทย์มา ก็มีความเป็นไปได้มากว่าต้องเกี่ยวกับเรื่องมรดกคุณย่า พี่พีทคงไม่ได้กลัวว่าคุณย่าจะยกบ้านหลังนี้ให้พี่วีไปจริงๆ ใช่ไหม”

สุวิทย์ไม่มีท่าทีตกใจเมื่อได้ยินแม้แต่น้อย จึงทำให้น้ำหนึ่งยิ่งแน่ใจว่าตัวเองคิดถูกแล้ว

คุณย่าคิดจะยกบ้านที่คุณย่ารักมากกว่าอะไรทั้งหมดหลังนี้ กับที่ดินมูลค่าไม่ต่ำกว่าร้อยล้านที่เชียงรายให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดเลยอย่างปฐวีจริงๆ หรือนี่!

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน กันยายน 65)

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: