3
ปัจจุบัน
ประเทศไทย
เพล้ง!!
เสียงแก้วแตกก้องดังท่ามกลางคำรามฟ้าด้านนอกทำให้บรรยากาศครึ้มๆ พลันขมุกขมัวยิ่งกว่าเดิม และตอนที่มาลารินเผลอก้าวถอยหลัง ก็ไม่มีใครหรือแม้แต่ตัวหญิงสาวเองได้ทันสังเกตเห็นเลยว่ารองเท้าไร้ส้นคู่นั้นจะบางจนไม่อาจต้านปลายแก้วแหลมชิ้นใหญ่ ซึ่งกระเด็นไปรอสร้างบาดแผลในตำแหน่งราวจับวาง ก่อนเสียบลึกถึงผิวเนื้อทันทีที่เท้าเหยียบลง ห้วงขณะนั้น ดวงตาซึ่งแบกรับร่องรอยของความโศกเศร้าจับจ้องผู้มาใหม่นิ่งงัน และคั่งค้างดุจเป็นรูปปั้น ขณะที่กีรติกลับทำได้เพียงสลับมองทั้งสองด้วยประหลาดใจ
คำว่า ‘ไม่ได้เจอกันนานนะ’ ที่พี่ชายเพิ่งเอ่ยติดอยู่ในหัวเด็กหนุ่ม พร้อมๆ กับความสงสัยผุดวาบซึ่งแม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ตัว แล้วไหนจะยังสายตาที่พี่กวินใช้มองคุณลีนั่นอีก…กีรติไม่เคยเห็นใครมีสายตาเกลียดชังสาดซัดปานว่าจะฆ่าให้ตายได้มากมายถึงเพียงนี้ ราวกับไม่ใช่ความรู้สึกฉาบฉวย หากแต่บ่มเพาะข้ามผ่านเวลามาเนิ่นนาน ทว่าจะนานเท่าใด…เขากลับไม่อาจบอกได้เลย
“คุณลีรู้จักกับพี่วินด้วยเหรอครับ”
กีรติไม่อาจปล่อยความสงสัยทิ้งไว้ กระนั้นคนถูกถามก็ไม่ได้ละสายตากลับมายังเขา วิธีที่หญิงสาวมองกวินไม่เหมือนการจับจ้องเพื่อครุ่นคิดและไม่แม้แต่จะมีอารมณ์ใดๆ ให้ตีความ คล้ายกับว่ามาลารินมองทะลุร่างสูงไปยังสุดปลายความทรงจำกับเพียงติดค้างอยู่เช่นนั้น เหมือนหนังสือที่ถูกกางทิ้งไว้ขณะที่คนอ่านกลบฝังตัวเองไว้ใต้ซากระเกะระกะของความคิด
แมวอ้วนบนเบาะเงยหน้าขึ้นมาก่อนหาวหวอด มันหันไปหาเจ้าของร้านกาแฟสาวก่อนร้องเหมียวคำเดียวสั้นๆ เพิกเฉยต่อบรรยากาศหนักอึ้งขณะวางเหนียงลงพาดเบาะแล้วใช้ดวงตาปรือมองสถานการณ์ตรงหน้า พอดีกับที่มาลารินหลุดคืนสู่สติ เธอเงียบชั่วครู่ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่รู้สิคะ…จำไม่ได้”
ราวกับไม่แปลกใจในคำตอบที่ได้รับ กวินเหยียดยิ้มหยัน แค่นหัวเราะในลำคอ แล้วหันมาสำรวจมองภายในร้านแทน
“นี่เหรอร้านกาแฟที่แกบอกว่าดีนักดีหนา” เขาเอ่ยถามน้องชายพลางเหลือบไปยังร่างระหงเพียงเสี้ยวขณะ “งั้นๆ ไม่เห็นจะดูวิเศษวิโสตรงไหน”
มาลารินไม่ได้ตอบโต้ ความจริงคือไม่มีใครรู้ว่าหล่อนคิดอะไรอยู่ด้วยซ้ำตอนที่เบือนหน้าออกไปมองหยดฝนไหลลู่นอกหน้าต่าง
…และไม่มีใครรู้ด้วยว่าดวงตาสีเทาประหลาดคู่หนึ่งจะลอบมองเท้าซึ่งถูกเศษแก้วฝังรอยไว้อยู่นานเพียงใด หรือสังเกตว่าเขาเห็นมันตั้งแต่เลือดยังไม่ผุดซึม จวบจนตอนนี้ที่เริ่มแต้มสีแดงฉานออกมาจากเท้าของอีกฝ่าย จับจ้องอยู่เช่นนั้น เงียบงันไร้วาจา กระทั่งกีรติเริ่มมองตามแล้วเพิ่งจะสังเกตเห็นนั่นเอง
“คุณลีครับ แผล…”
เด็กหนุ่มรีบกุลีกุจอลุกขึ้นด้วยความตกใจ ตั้งท่าจะเข้าไปช่วยเก็บเศษแก้วบนพื้นด้วยความเป็นห่วงโดยไม่รู้สักนิดว่ากำลังถูกผู้เป็นพี่ชายจับจ้องทุกการกระทำ ขณะที่มาลารินซึ่งเพิ่งจะรู้สึกตัวกลับก้มมองหยดเลือดของตนก่อนเงยหน้าขึ้นยิ้มจางๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณติอย่าเข้ามาเลย เดี๋ยวจะเหยียบเศษแก้วไปด้วย…”
“แผลแค่นั้นไม่ตายหรอก”
เสียงเอ่ยราบเรียบทำให้หญิงสาวชะงัก กวินจ้องไปยังประกายคลุมเครือใต้แพขนตาพร้อมกระซิบเสียงเบา เหยียดหยัน ชัดเจนทุกถ้อยคำ
“คนแบบนี้ไม่มีความรู้สึกให้เจ็บปวดด้วยซ้ำ”
เหมือนเสียงเม็ดฝนจะหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม เมื่อหญิงสาวเลือกที่จะสบตาอีกฝ่ายก่อนเอ่ยช้า ชัด ราวกับไม่ใส่ใจ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นต้องเกี่ยวพันกันแม้ในฐานะลูกค้ากับเจ้าของร้าน
“ฉันค่อนข้างเลือกคนที่จะใช้ความรู้สึกด้วยน่ะค่ะ”
โดยไม่รอฟังคำตอบโต้ มาลารินก็ผลุบหายเข้าไปเอาอุปกรณ์เก็บกวาดหลังร้านครู่สั้นๆ เดินออกมาอีกครั้งก็จัดการเศษแก้วโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นสบตาใครอีก และกลับเป็นกวินเสียเองที่เริ่มลุกโชนด้วยโทสะ ทว่าก่อนซากป่นละเอียดข้างในจะถูกขยี้เหยียบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้ง เสียงกรุ๋งกริ๋งจากกระดิ่งประตูพร้อมผู้มาใหม่ก็เรียกความสนใจของทุกคนเสียก่อน
เสียงเกรี้ยวกราดของท้องฟ้าค่อยๆ เคลื่อนห่างไปแล้ว หากสายฝนก็ยังพรูพร่างไม่ขาดสาย ยามที่เด็กชายในวัยราวสิบขวบกับชุดนักเรียนเปียกปอนของเขาก้าวเข้ามาพลางกวาดมองบรรยากาศในร้านด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะวิ่งเข้าไปหามาลารินอย่างตื่นตระหนกเมื่อเห็นรอยเลือดและเศษแก้ว
“แม่…เจ็บตรงไหนมั้ยฮะ”
ที่สุดแล้วก็เป็นตอนนั้นแหละ ที่รอยยิ้มอ่อนหวานของหญิงสาวหนึ่งเดียวพลันระบายอ่อนจาง
“ทำไมเปียกขนาดนี้ล่ะรัน”
มาลารินถามกลับพลางลูบเรือนผมชื้นๆ นั่น และไม่มีทีท่าจะอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ความเป็นแม่อันเปี่ยมล้นตรึงความสนใจของเธอมายังคนตรงหน้าแทบทั้งหมด
“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว อย่าเสียงดังล่ะ คุณยายงีบอยู่”
แม้จะมีท่าทีละล้าละลังด้วยทั้งเป็นห่วงและอยากช่วยเก็บกวาด ทว่าสุดท้ายเด็กชายก็พยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนวิ่งหายเข้าหลังร้านไป โดยไม่รู้เลยว่าตลอดเวลานั้นจะมีชายร่างสูงคนหนึ่งจับจ้องตนอยู่อย่างตกตะลึง…
ตะกอนอารมณ์เก่าก่อนถูกกระตุ้นจนขุ่นคลั่ก กับเพียงผลักดันให้กวินสาวเท้าเข้าไปหาหญิงสาวทันทีโดยไม่สนแม้เศษแก้วบนพื้น เขากระชากแขนของเธออย่างแรงจนกีรติที่ลอบจับจ้องการกระทำนั้นอยู่รีบลุกเข้าไปห้ามก่อนจะถูกเจ้าของร่างสูงสะบัดแทบล้ม กวินไม่ได้หันไปมองน้องชายด้วยซ้ำ ดวงตาสีเทาคมกริบ บาดลึก ถลึงจ้องคนตรงหน้าด้วยทั้งโกรธแค้นและสับสน
“เด็กนั่นใคร!!”
มาลารินมองเรียวแขนซึ่งถูกแรงบีบจนแดงเถือกของตนเพียงแวบสั้นๆ ก่อนเบนสายตาที่ไม่มีใครอ่านออกกลับมาสบอีกฝ่าย แล้วจึงตอบโดยไม่คิดปิดบัง
“ลูกชายของฉัน”
“กับใคร!!”
ชายหนุ่มตะคอกแข่งเสียงฝนด้านนอก เหมือนรอยซึ่งแหลกละเอียดมาเนิ่นนานกลับถูกขยี้ให้เป็นผงในทันทีทันใดโดยไร้สัญญาณเตือน ป่นสลายกับเหลือไว้แต่เพลิงไหม้ไร้ทางดับ…กวินมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวตรงหน้า ดวงตาที่ดูชื้นชุ่มด้วยหยดน้ำบางๆ เคลือบอยู่ตลอดเวลานั่น ดวงตาที่ลึกเร้นด้วยสีดำสนิทราวไร้สิ้นสุดอย่างที่เคยทำให้เขาดิ่งร่วงลงไปและติดค้างในมืดบอดตลอดกาล…ใช่ ดวงตาคู่นี้…ดวงตาแบบที่เด็กชายคนเมื่อครู่ได้ครอบครองไม่มีผิดเพี้ยน ดวงตาที่ต้องมีสายเลือดเดียวกันเท่านั้นจึงจะเหมือนได้!
แล้วพลันรู้สึกเหมือนบางอย่างฉีกขาด เหมือนจะเป็นรอยแผลที่ไม่เคยหายดีข้างใน…สักแห่งหรือจะเป็นทั่วทุกแห่งจนไม่มีที่ว่างเหลือพอเมื่อตระหนักว่าไร้ซึ่งส่วนเสี้ยวของเขาในตัวเด็กชายคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นจมูก ริมฝีปาก กระทั่งสีตาหรือเส้นผม ไม่เลย ไม่มีเลยแม้แต่น้อย เด็กนั่นกับเขาไม่มีสิ่งใดให้เกี่ยวข้อง…ต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันอย่างสิ้นเชิง
พันธนาการแน่นหนาระหว่างความเคียดแค้นกับความเจ็บปวดจนไม่รู้ว่าชีวิตหนึ่งของคนเราจะเจ็บไปได้มากกว่านี้อีกหรือไม่กระหวัดพันหัวใจ ผลักดันให้กวินเผลอบีบแขนของเธอจนแทบจะหักคามือ เป็นเหตุให้มาลารินต้องค่อยๆ มุ่นคิ้วด้วยปวดปลาบ
“พี่วิน! ทำอะไรน่ะ”
กีรติที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างรีบพุ่งเข้าไปห้ามอีกครั้ง เขาผลักเจ้าของร่างสูงออก พาตัวเองยืนกั้นกลางเพื่อสลับมองทั้งสองด้วยความสงสัยอัดแน่นและไม่อาจทนให้ผู้เป็นพี่ชายแสดงอาการเกรี้ยวกราดใส่ผู้หญิงที่ตนหลงรักอีกต่อไป…นี่มันไม่ถูกต้อง ไม่เลยสักนิด
“แกรู้อยู่แล้วเหรอว่าผู้หญิงคนนี้มีลูก”
ร่างสูงไม่ได้ดันทุรังก้าวเข้าไปทำท่าคุกคามใดๆ อีก เขาเบือนความสนใจมาตะคอกใส่น้องชายราวจะระบายโทสะใส่ไปด้วยอีกคน แววตาคู่คมปรากฏรอยเย้ยหยันกึ่งจะคาดคั้น
“ทั้งๆ ที่แกรู้อยู่แล้วเนี่ยนะ!”
“อย่ามาทำตัวก้าวร้าวในร้านของฉัน”
มาลารินเอ่ยอย่างสะกดกลั้น หญิงสาวสะบัดทิ้งท่าทางสงบเงียบแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยประกายตาแข็งกร้าว ปราศจากความกริ่งเกรง…และเพราะสายตาเช่นนี้เองที่ทำให้กวินต้องชะงักค้าง พร้อมๆ กับความรู้สึกราวถูกกระชากลงสู่ก้นเหวความทรงจำอีกครั้ง เขาจำได้ เรียกว่าไม่เคยลืมเลยจะถูกกว่า มันเป็นสายตาของคนสู้ตายที่เคยเอาแต่จดจ้องเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในโมงยามครั้งเรื่องราวบ้าๆ นี่เพิ่งจะเริ่มต้น ใช่ เธอเคยมองเขาแบบนี้…ในอดีตเนิ่นนานมาแล้ว
“เธอทำได้ยังไง”
ชายหนุ่มกระซิบแผ่วโดยไม่รู้ตัว ในชั่วแวบหนึ่งคล้ายจะกลับไปเป็นเด็กวัยรุ่นในบ้านที่มีต้นแม็กโนเลียบานสะพรั่งหลังนั้น…
“…เธอทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง…”
มาลารินนิ่งงันก่อนจะกะพริบประกายบางอย่างแวบสั้นๆ เป็นครั้งแรก แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อร่างสูงของกวินพลันเซถอยด้วยแรงผลักแบบทุ่มสุดตัวจากเด็กชายศรันย์ที่อยู่ในชุดเปลี่ยนใหม่ เพื่อให้ได้กางแขนปกป้องเธอไว้ด้วยใบหน้าขมึงทึง
“อย่าทำแม่นะ! อย่าทำ อย่าทำแม่ลีของผม!” เมื่อเห็นว่าคำตอบที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบ เด็กน้อยก็ทั้งผลักทั้งตีจนร่างสูงต้องถอยร่นจนติดประตู ท่าทางสู้ตายราวได้มรดกมาจากมารดาในอดีตไม่ผิดเพี้ยน “ออกไปเลยนะ ผู้ใหญ่ใจร้าย ออกไปเลย!”
ฝนยังคงสาดลงมาไม่ขาดสายตอนที่กวินถูกดันออกจากร้านกาแฟ และทั้งหมดที่เขาทำคือยืนอยู่เช่นนั้น นิ่ง เนิ่นนาน เพื่อใช้ดวงตาสีเทาจับจ้องเจ้าของร่างระหงด้านในอย่างเงียบงัน ท่ามกลางเงาม่านสลัวสีหม่นกับตะกอนร้อยพันสับสน ดั่งคั่งแค้นที่รังแต่จะเพิ่มขึ้นทุกการบีบอัดของหัวใจ
ไม่เป็นไร
ชายหนุ่มกระซิบบอกตัวเอง หยาดฝนพรูพรมจนทั้งร่างเริ่มเปียกชื้น แต่กลับไม่ได้อยู่ในความสนใจสักนิด เวลานี้เขาคิดอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
…ไม่เป็นไร เขาเจอเธอแล้ว ต่อไปนี้ผู้หญิงคนนั้นจะหนีเขาไปไหนไม่ได้อีกแล้ว!
10 ปีที่แล้ว
เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
“ออกไป!”
เสียงทุ้มประกาศกร้าว ออกคำสั่งอย่างเป็นนิสัยทันทีที่ประณตฝากแต่เพียงรอยยิ้มให้กำลังใจก่อนทิ้งทั้งมาลารินและเขาไว้ในบ้านเพียงสองคน…อย่างกับว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงได้อย่างนั้นแหละ กวินหยามหยันอยู่ในใจ เจ้าของดวงตาสีเทาประหลาดชำเลืองหญิงสาวอีกครั้งพร้อมชี้มือไปยังประตูบ้านด้วยท่าทางยโสถือดี
หากเธอไม่รู้ว่าเขามันเป็นไอ้ตัวแสบมากแค่ไหน กวินก็จะทำให้เห็นเอง
“ขนข้าวของออกจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
“ฉันแค่ทำตามหน้าที่ และคนที่ให้หน้าที่นี้กับฉันก็คือพ่อของนาย” ร่างระหงยักไหล่ ซ้ำยังตอบโต้ด้วยคำพูดแสบร้อนไม่ยิ่งหย่อนกัน “ไม่ใช่คนจ่ายเงิน ไม่ต้องมาสั่ง”
“อ๋อ พวกหิวเงินนี่เอง”
เด็กหนุ่มแค่นยิ้ม ย่นย่อระยะห่างด้วยการสาวเท้าเข้าไปใกล้เพื่อพิจารณาคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง…กับอีแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่ไม่มีอะไรน่าดึงดูดสักอย่างจะไปเอาความกล้าจากไหนมากมายมาทำตัวขวางหูขวางตาเขาได้นอกจากกระหายเงิน แต่จะว่าไปไอ้โลกสับปะรังเคใบนี้มันก็หมุนไปด้วยการแลกเปลี่ยนที่ตีค่าเป็นวัตถุมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา เหมือนฝูงปลาที่เอาแต่ว่ายพล่านกับอ้าปากโง่ๆ รอคนโปรยอาหารนั่นไง คนมันก็เฮงซวยและเต็มไปด้วยความโลภไม่จบสิ้นเหมือนๆ กันหมดนั่นแหละ…
ด้วยเดียดฉันท์จากตะกอนขุ่นลึกข้างใน โดยไร้สัญญาณเตือน กวินก็พลันคว้ากระเป๋าของเธออย่างรวดเร็วเพื่อก้าวออกจากบ้านแล้วเขวี้ยงมันทิ้งอย่างเหยียดๆ ให้ตกแบ็บอยู่ข้างซากกุหลาบแห้งกรังกลางสวน ก่อนจะเปิดกระเป๋าสตางค์แล้วกำธนบัตรทั้งหมดข้างในโปรยตามออกไป มองกระดาษสูงค่าเหล่านั้นปลิวว่อนกระจัดกระจายทั่วบริเวณ เพื่อจะได้หันกลับไปแสยะยิ้มใส่เจ้าของร่างระหงซึ่งกำลังตกตะลึงกับการกระทำของเขาอยู่ไม่ไกลกัน สะใจท่วมท้นข้างในจนสั่นกระเพื่อม
“ถ้าหิวเงินนักก็ตามไปเก็บแล้วจะไปไหนก็ไป”
มาลารินตะลึงค้าง ดวงตาของเธอเบิกกว้าง และทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
แม้จะไม่ต่างไปจากคาดไว้เท่าใดนัก ทว่าทันทีที่หญิงสาวปรี่ไปก้มเก็บเงินซึ่งระเกะระกะทั่วบริเวณอย่างไร้ศักดิ์ศรี ความโกรธก็พลันแล่นระลอกอีกครั้งข้างใน…ไม่ผิดจากที่เขาคิดไว้สักนิด ยายนี่ก็แค่หนึ่งในคนประเภททาสเงินที่เดินพล่านแทบชนกันตามท้องถนนทั่วไปนั่นแหละ
กวินเหยียดหยันและตัดสินใจว่าคงไม่ทิ้งเวลาไปกับการมองภาพน่าสมเพชเช่นนี้อีก ดวงตาสีเทาฉายประกายดูแคลนก่อนพาตนกลับเข้าบ้านเสียให้พ้นๆ ทั้งยังไม่ลืมล็อกประตูบ้านอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันไม่ให้คนน่ารังเกียจเช่นนั้นเข้ามาวุ่นวายอีก ก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟาแล้วหลับตากลืนม่านหม่นภายใน…เพียงเพื่อจะด่าทอโลกใบนี้อีกครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับความเกลียดชังและไม่ยินยอม อย่างที่เขาทำมาตลอด…
ทุเรศสิ้นดี กับอีแค่เงินไม่เท่าไหร่ก็ซื้อความตั้งใจที่ว่าหนักแน่นเป็นนักหนานั่นได้แล้ว…พวกคนหิวเงินน่ารำคาญ…
ผัวะ!!
“เฮ้ย!”
ร่างสูงสะดุ้งโหยง ความรู้สึกถึงบางสิ่งฟาดลงมาบนใบหน้าเรียกสติของเด็กหนุ่มกลับคืนทันที กวินรีบลืมตาด้วยไม่ทันตั้งรับจริงแท้ แล้วพลันสบเข้ากับลูกแก้วสีดำสนิทคู่หนึ่งซึ่งกำลังจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย พร้อมความรู้สึกประหลาดใจผุดวาบเมื่อเห็นว่ามาลารินยืนอยู่ตรงหน้าเขา ได้อย่างไรหรือตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบชัด ลุกโชนด้วยท่าทางแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ที่ชวนให้อะไรบางอย่างข้างในถูกสะกิด เพื่อสุดท้ายนั้นเขาจะพลันหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเห็นว่าสิ่งที่อีกฝ่ายโยนใส่ตนก็คือเหล่าธนบัตรซึ่งเพิ่งจะปลิวกระจายราวใบไม้แห้งพวกนั้น
ยายนี่กล้าดียังไง…
“ถ้าไม่ได้ทำงานหาเงินเองก็อย่ามาหว่านเล่นแบบนี้”
หญิงสาวเอ่ยอย่างสะกดกลั้น แวบหนึ่งคล้ายว่ายังเหลือถ้อยคำเผ็ดร้อนอีกมากมายให้ระบายออกมา แต่ก็กักเก็บเอาไว้เท่านั้นพร้อมการกอดอกและเชิดหน้าขึ้นราวจะประกาศว่าไม่ยินยอม ขณะที่กวินเองก็โกรธไม่ยิ่งหย่อนกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีเรื่องประหลาดใจมากกว่า
“เข้ามาได้ไงวะ”
“อ๋อ”
อีกฝ่ายว่าพลางระบายยิ้มกว้างอย่างเปิดเผยพร้อมชูพวงกุญแจขึ้นหรา ส่งเสียงกรุ๋งกริ๋งคล้ายยียวน
“ไม่รู้เหรอว่าพี่ประณตเอากุญแจสำรองให้ฉันหมดทุกดอกแล้ว”
เรียวมือรีบเก็บกำอย่างว่องไวเมื่อกวินตั้งท่าจะคว้าคืน ไม่สนใจประกายโทสะวาวโรจน์แม้แต่น้อยในตอนที่เธอกระชับถือกระเป๋าเดินทางของตนแน่น ก่อนเดินเข้าห้องว่างตรงข้ามบันไดอย่างมั่นคงซ้ำยังมิวายหันกลับมาคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายจนตาหยี
“แย่หน่อยนะที่เงินซื้อฉันไม่ได้ถ้าไม่มากพอ ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ…กวิน ตันติณรงค์!”
“โอ๊ย! ขำอะ ทำไมตลกแบบนี้”
เสียงหัวเราะก้องดังทั่วโถงทางเรียกสายตาโดยรอบให้จับจ้องหญิงสาวและชายร่างสูงที่มาด้วยกันทันที มาลารินยิ้มขอโทษขอโพยพลางกระทุ้งศอกใส่อีกฝ่ายจนคนขำสะบัดหน้าไปคิกคักให้ต้นคามีเลียใกล้กันแทน ขณะที่รื้นรางของสายลมพัดมาจางๆ เมื่อทั้งสองก้าวออกจากเขตอาคารศิลปะแล้วเดินเลี้ยวเลียบทางเท้าริมถนนนอกเขตมหาวิทยาลัย ผ่านต้นไม้สูงเรียงรายกับกลิ่นอายชื้นๆ ของท้องฟ้าสีตะกั่วยามคล้อยบ่าย
“ตลกอะไรกัน ซวยล่ะสิไม่ว่า” หญิงสาวเบ้ปาก กลอกตานึกย้อนภาพเหตุการณ์เมื่อวานก่อนบ่นอุบ “เธอต้องเห็นสายตาเด็กนั่นซะก่อน อย่างกับเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก”
“แสดงว่าจักรวาลหมุนเธอไปเจอเพื่อช่วยเค้าเลยนะเนี่ย ตั้งแต่เรื่องที่คลับคราวก่อนแล้ว” ฮวนยังคงหัวเราะคิกคัก
“อ๋อเหรอ งั้นก็แสดงว่าจักรวาลเองก็หมุนตานั่นมาทำให้ชีวิตฉันมีแต่เรื่องซวยๆ น่ะสิ”
มาลารินไหวไหล่แสดงท่าทีไม่อินังขังขอบ…ในเมื่อเธอคิดอย่างที่พูดจริงๆ
กวินคือความสลับซับซ้อนกึ่งๆ จะอหังการที่ยากจะเข้าใจในสายตาของหญิงสาว ภาพหว่านเงินทิ้งราวเห็นเป็นของไร้ค่ากับสีหน้าดูแคลนเมื่อเห็นเธอวิ่งลงไปเก็บธนบัตรยังฝังค้างอยู่ในหัว กระนั้นแผ่นหลังของเขายามพาตัวเองเดินกลับเข้าบ้านก็ยังมีอะไรบางอย่างที่อ่านไม่ออกอยู่ และกับอาการเช่นนั้นก็กลายมาเป็นคำถามซึ่งค้างคาในใจว่าทำไมหนอ…ทำไมเด็กวัยเพียงสิบแปดจึงได้แตกร้าวและเอาแต่ห่อพันตัวเองไว้กับความเกลียดชังถึงขนาดนี้
“แล้วนี่ได้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กบ้างรึยัง”
ฮวนเอ่ยถามขณะที่ไฟอนุญาตข้ามถนนจากอีกฟากปรากฏพร้อมเสียงสัญญาณเร่งเร้า เรียกให้มาลารินต้องรีบรุดขนาบตามเพื่อนสนิทไปทั้งๆ ที่ปากยังเล่าไม่หยุด
“เมื่อวานตานั่นหนีออกไปเกือบทั้งคืน วันนี้เห็นมีเรียนช่วงบ่ายฉันเลยทำข้าวเช้าทิ้งไว้ให้ก่อนมาเข้าคลาส”
“เหมือนซ้อมมีลูกเลยเนอะ”
“เป็นการเลี้ยงลูกที่เงินดีมาก บอกเลย”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักพลางปลงใจกับตัวเอง เธอไม่ได้มีความตั้งใจจะไปจุ้นจ้านตามหาผลึกความลับอันคลุมเครือของเด็กหนุ่มเลยสักนิด…อย่างน้อยในห้วงเวลานั้นก็ยังไม่คิด หมายมาดของมาลารินยึดเพียงการปิดบังเรื่องของเกวรากับเก็บเงินจ่ายค่าเทอมเท่านั้น ทว่าจนแล้วจนรอดยามที่เธอมองย้อนกลับไปก็ยังไม่อาจให้คำตอบตัวเองได้ว่าความตั้งใจเดิมเหล่านั้นเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ และรูปรอยของเรื่องราวผิดเพี้ยนไปขนาดนั้นได้อย่างไร…
อาจจะเป็นตอนนั้นกระมัง…ตอนที่เธอผินหน้าหลบการปลิดร่วงของใบไม้แห้งกรอบแล้วบังเอิญเห็นรถสปอร์ตคุ้นตาเยื้องกัน กับเจ้าของร่างสูงที่มั่นใจนักหนาว่าคงกำลังนั่งเรียนอยู่ที่ไหนสักแห่งแต่กลับมาปรากฏตรงหน้า เขามองไม่เห็นเธอด้วยซ้ำตอนที่มาลารินรีบผละจากเพื่อนรักแล้วพุ่งเข้าไปเกาะกระจกรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับราวตุ๊กแก
“ทำไมไม่ไปเรียน!”
“เฮ้ย!”
เด็กหนุ่มอุทานด้วยความตกใจทันทีที่สบเข้ากับการปะทะของดวงตาวาวโรจน์ เขาลืมกดล็อกรถด้วยซ้ำ และนั่นก็ทำให้มาลารินรีบถือโอกาสเปิดประตูผางก่อนจะพบถุงช็อปปิ้งแบรนด์เนมสำหรับผู้หญิงระเกะระกะมากมายบนเบาะว่าง หญิงสาวหรี่ตาครุ่นคิด กวาดมองออกไปก็เห็นร่างแน่งน้อยของเกวราที่กำลังเดินอ้อนแอ้นเข้าร้านทำเล็บใกล้กัน แล้วพลันได้ให้แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ โดยไม่รู้ตัว ขำนิดหน่อย แต่ฉุนมากกว่า
“นี่โดดเรียนมาจีบสาวเหรอ”
“อย่ามายุ่ง จะไปไหนก็ไป” อีกฝ่ายมีสีหน้าต่อต้านชัดเจน
อาจเพราะเตรียมใจตั้งรับคำพูดทำนองนี้อยู่แล้ว มาลารินจึงตอบรับคำไสส่งนั้นด้วยการพาตัวเองเข้าไปนั่งบนเบาะข้างคนขับ ซ้ำยังหันไปเอ่ยกับอีกฝ่ายหน้าตาเฉย
“จะไปตึกธุรกิจ ไปส่งหน่อย” ว่าพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ “เร็วๆ สิ เดี๋ยวคลาสก็เริ่มก่อนหรอก”
“บ้าอะไรวะเนี่ย!”
กวินตั้งท่าโวยวาย ดวงตาสีเทาจับจ้องคนตรงหน้าราวกับอยากบีบคอเธอให้จบเรื่องไปเสีย ก่อนจะได้ให้ชะงักเมื่ออีกฝ่ายมองกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้านด้วยแววตาไร้เล่ห์กลแตกต่างจากเมื่อครู่ มาลารินเลิกแสดงทีท่ายียวนแล้วเปลี่ยนมากล่าวกับอีกฝ่ายอย่างจริงจังแทน
“ฉันถูกส่งมาให้ดูแลนาย จะให้ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนทั้งๆ ที่เห็นนายโดดเรียนต่อหน้าได้ไง”
เป็นเสี้ยวสั่นไหวกระจ้อยร่อย แวบขึ้นแล้วพลันจางหายกลับเข้าไปในดวงตาสีควันบุหรี่ ตอนที่เขานิ่งค้างไปครู่ขณะ ก่อนแค่นยิ้มหยามเหยียดดังเดิม
“ก็แค่ถูกจ้างมา อย่าทำเป็นพูดดีหน่อยเลย”
“เออ! เพราะถูกจ้างไงถึงต้องทำงานให้คุ้มค่าจ้าง” มาลารินสะบัดหน้าพรืด หันไปกดกระจกป้องปากบอกเพื่อนชาวโคลอมเบียนเสียงดัง “ไปก่อนนะฮวน มีงานด่วน”
ฮวนหรี่ตาเข้ามาพิจารณาเด็กหนุ่มครู่สั้นๆ ก่อนยิ้มกว้าง ทำปากขมุบขมิบแบบที่อ่านได้ว่า ‘ย่ะ ยายแม่ลูกอ่อน’ ก่อนจะโบกมือลากึ่งๆ ไล่พัลวัน แต่กลับเป็นเจ้าของร่างสูงเองที่กำลังหงุดหงิดแทบระเบิด กวินเดินลงจากรถ ปิดประตูดังปังใหญ่ราวจะบอกเป็นนัยว่าเขาไม่มีอารมณ์มาเล่นสนุกกับใครทั้งสิ้น ก่อนเดินอ้อมมาอีกด้านหมายจะดึงกึ่งบังคับให้หญิงสาวซึ่งจู้จี้น่ารำคาญเป็นนักหนาออกไปให้พ้นๆ ทว่ากลับต้องคั่งค้างกว่าเดิมเมื่อมาลารินรีบพาตัวเองปีนไปนั่งฝั่งคนขับอย่างรวดเร็วพร้อมยิ้มที่กว้างกว่าเดิม
“ฉันยึดรถนายได้แล้ว”
“เฮ้ย! ออกมานะ”
เห็นชัดว่าการกระทำของเธอไม่ได้อยู่ในความคาดคิดของอีกฝ่าย คราวนี้กวินตกใจจริงๆ แบบที่ไม่ทันได้ตั้งรับสักนิด โดยเฉพาะคำพูดประโยคต่อมาของเธอ
“ขึ้นรถเร็ว พี่สาวคนนี้จะพาไปส่งถึงหน้าห้องเรียนเอง” คนยึดพวงมาลัยว่าพลางยักคิ้ว ซ้ำยังยื่นข้อต่อรองที่ง่ายดายอย่างยิ่ง หากกลับน่ารำคาญใจอยู่มากโข “ถ้าอยากได้กุญแจรถคืนก็ต้องรอจนจบคลาส”
“น่ารำคาญว่ะ”
“เออ รู้ตัว”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นพ้องและทำให้ความบาดหมางชะงักไปอย่างง่ายดายเช่นนั้น เมื่อสุดท้ายเด็กหนุ่มที่ตกอยู่ในฐานะไร้ข้อต่อรองก็ยอมขึ้นรถด้วยท่าทีอันปราศจากความยินยอมอย่างสุดแสน ดวงตาสีเทาเบนมาทางมาลารินแวบสั้นๆ สาดประกายแข็งกร้าวพร้อมถ้อยคำสบถมากมายไหลวน สุดท้ายก็มีบทสรุปท่ามกลางความคิดขบถนับร้อยพันนั้นว่าจนแล้วจนรอดหญิงสาวก็ยังสามารถขับรถมาส่งเขา ประกบเดินขึ้นตึก ยืนรอกระทั่งก้าวเข้าห้องเรียน หรือแม้แต่ยามที่ลอบผินหน้าออกไปมองผ่านช่องกระจกเล็กๆ ตรงประตู ก็ยังเห็นยายบ้าน่ารำคาญนั่นนั่งยิ้มแฉ่งรออยู่ข้างนอกอย่างไม่มีทีท่าจะลุกไปไหน
…และมันทำให้เขานึกถึงสตรีผู้หนึ่งในอดีตซึ่งเคยจูงมือเดินไปส่งโรงเรียนอนุบาลเมื่อนานมาแล้ว เป็นภาพผาดผ่าน กะปลกกะเปลี้ยเลือนรางเข้ามาในความทรงจำ แบบนี้เลย ยืนยิ้มมองเขาเดินเข้าโรงเรียนจนลับตา ตั้งแต่ครั้งที่กวินยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ จิตใจดี และหวาดกลัวต่อโลกบ้าๆ นี่
…ใช่ บ้า บ้ากันให้หมด ทั้งยายนั่น โลกใบนี้ และตัวเขาเอง
โพล้เพล้สุดท้ายเริ่มทอไอแดดอ่อนตอนที่คาบเรียนเสร็จสิ้น เด็กหนุ่มเพิ่งเดินออกจากห้องก่อนต้องชะงักทั้งที่ไม่ได้คาดหวังเมื่อเห็นว่ามาลารินยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตรงนั้น ก้มหัวสับเงาโงนเงนอยู่ในนิทราจนผมประบ่าลุ่ยลงแทบไม่เหลือทรง หลับโดยไม่รับรู้ถึงสายตาของเพื่อนร่วมคลาสคนอื่นๆ ซึ่งทยอยเดินออกมาจนหมด บางคนหลุดขำ บางคนสลับมองระหว่างเขาและเธอราวสนใจใคร่รู้ก่อนจะรีบจากไปเมื่อเห็นดวงตาคู่คมจ้องกลับ สุดท้ายนั้นก็เป็นเด็กหนุ่มเองนั่นแหละที่หันกลับมาพินิจคนตรงหน้า นิ่งชั่วขณะ ปราศจากเหตุผล
แล้วก็เป็นอีกครั้ง โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ภาพผุดของทิวสนฤดูใบไม้ผลิกับเนินหญ้ากว้างไกลในความทรงจำกระเว้ากระแหว่งวัยเยาว์ก็ปรากฏอย่างไร้สาเหตุ รื้นๆ ขึ้นกับกลิ่นกำเนิดใหม่ของดินชื้นหอมนั่น เป็นอายไอสงบเย็นพร้อมลมระลอกหนึ่งวูบผ่าน แล้วกวินก็พลันนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งอีกครั้ง กับคลื่นผมสีทองราวรวงข้าว และวงหน้าเลือนรางซึ่งเหลือไว้เพียงรอยยิ้มอ่อนหวาน เอื้อนเอ่ยเสียงแผ่วจาง
‘…วินซ์…วินเซนต์…เด็กดีของแม่…’
ไอหมอกสลักสลัวเคลื่อนเข้าโอบล้อม พร้อมแว่วเสียงหัวเราะตกค้าง ค่อยๆ ห่างไกลออกไป…ออกไปสุดสายตา
กวินชะงัก มองเห็นครึ้มเมฆขยับบังแสงอัสดงจนกลายเป็นท้องฟ้าสีหม่นเศร้าด้านนอก และตระหนักขึ้นตอนนั้นเองว่าเขาเพิ่งจะถูกความทรงจำกัดกินอย่างที่เคยเป็นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า…ความทรงจำแสนสุขวัยเยาว์ ก่อนจะถูกคนพวกนั้นกระชากทิ้งไม่เหลือดี
เด็กหนุ่มหันกลับมาพิจารณาคนตรงหน้าอีกครั้ง ภาพทุ่งหญ้าปลิดคว้างจางหาย เหลือแต่ตะกอนขุ่นข้องอวลอล ก่อนที่รอยยิ้มจะเหยียดแสยะ
รู้จักกวิน ตันติณรงค์น้อยไปแล้ว…
และท่ามกลางความเงียบจนได้ยินแต่อากาศผิวแผ่วด้านนอก ร่างสูงก็ค่อยๆ ยื่นมือไปค้นกระเป๋าผ้ายู่ยี่ราคาถูกของคนหลับอย่างระมัดระวัง หยิบเอาทั้งกุญแจรถของตนกับกุญแจบ้านที่เธอภูมิใจนักหนาว่ามีทุกดอกออกมา เหลือบตากลับไปก็เห็นว่ามาลารินยังไม่รู้สึกตัวจนได้ให้กระตุกยิ้มขึ้นอีกครั้งก่อนกระซิบแผ่ว
“ช่วยไม่ได้ เธอเริ่มก่อนเองนะ”
กวินมองออกไปยังเงาเมฆครึ้มด้านนอก สายลมตื่นๆ หอบหนึ่งสะบัดแมกไม้ของฤดูกาลให้ระริกไหว พัดพาไอฝนหนักๆ ในอากาศราวร้องเตือน เมื่อเด็กหนุ่มมองกุญแจในมือตนอีกครั้ง ชั่งใจครู่สั้นๆ โดยไม่รู้ว่าความลังเลนั้นมาจากไหน ก่อนสุดท้ายจะกำแน่นพร้อมเดินจากไป
…ทิ้งร่างระหงให้หลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราวไว้เพียงลำพัง
ซ่า…
ฝนสายแรกสาดลงพอดีตอนที่กวินมาถึงบ้าน
เด็กหนุ่มล็อกประตูแน่นหนาทันที เงามืดยามเย็นโรยตัวปกคลุมทั่วบริเวณและเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจจะเปิดไฟสักดวงตอนทิ้งตัวลงบนโซฟา ขณะมองผ่านกระจกไปยังแม็กโนเลียต้นใหญ่ในสวนหลังบ้านไหววูบกลางห่าฝนจนดูคล้ายชายชราเงอะงะ แล้วฉับพลันนั้นเอง ไอ้อาการเฮงซวยบ้าๆ นั่นก็คืบคลานเข้ามาทั้งที่ฟ้ายังไม่มืดดีด้วยซ้ำ
…อาการที่มักจะเกิดทุกครั้งยามมีฝนตกตอนกลางคืน อาจเพราะเมฆหนักๆ ทะมึนหม่นพวกนั้นกระมัง ใช่ ใช่แน่ๆ
เฮงซวยฉิบ
กวินหลับตา กลืนข่มมายาภาพในหัว มันเริ่มต้นด้วยหมอกจางๆ ที่ขดม้วนตัวอย่างอ้อยอิ่ง ปกคลุมไปทั่วก่อนคลายตัวลงระเรี่ยบนพื้น และทำให้เม็ดเหงื่อผุดซึมยามรู้สึกคล้ายตนกลับไปเป็นเด็กชายตัวน้อยอีกครั้ง วิ่งสะเปะสะปะหลงทางท่ามกลางม่านเงาของสถานที่แปลกหน้า ความมืดปกคลุมรอบกายแต่กลับคล้ายมีสายตาจับจ้องจากทุกทิศทาง กวินจำความกลัวนั้นได้ เขาตะโกนหาแม่ แต่ไม่…ไม่มีเสียงตอบกลับมา แม่ไม่อยู่ ไม่มีใครอยู่ที่นั่น นอกจากเขาที่ล่มร้างลงในอาการหวาดผวาอย่างเดียวดายกับพายุฝนไร้ปรานีข้างนอก ที่เอาแต่ร้องก้องราวโลกจะพัง เด็กชายสั่นสะท้าน อาจร้องไห้ด้วยซ้ำถ้าจำไม่ผิด เขาไม่อยากถูกทิ้งเอาไว้ตรงนั้น กวินต้องการความช่วยเหลือ ใครสักคน…ใครก็ได้
พลันหนึ่งร่างเรืองรองก็ปรากฏผ่านหางตาจากปลายโถงทาง เรือนผมสีทองเป็นคลื่นพลิ้วในเงาสลักสลัวเรียกให้เด็กหลงทางได้มองจ้อง
…แม่
เหมือนแม่ของเขามิผิดเพี้ยน กวินค่อยๆ ลุกขึ้นยืน สองขาขยับเดิน สะดุดเท้าเล็กน้อย ตุปัดตุเป๋กว่าจะบังคับตัวเองให้มั่นคงได้ จากกระซิบอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกลับกลายเป็นตะโกนร้องเรียก
แม่!
แต่แม่ไม่ได้หันมา เด็กชายเริ่มออกวิ่งไปยังร่างตรงหน้าพร้อมเสียงฟ้าคำรามไล่หลัง เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าภาพของแม่จะสลายไปในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง ขณะที่บ้านหลังใหญ่กลับคล้ายค่อยๆ บิดเบี้ยวรูปร่างกับเอาแต่จะส่งเสียงหัวเราะเยาะเขาจากทุกทิศทุกทาง
…แม่!
กวินร้องเรียกอีกครั้งก่อนได้ให้ชะงักค้าง เมื่อร่างนั้นพลันผลุบหายเข้าไปในประตูดำทะมึน พร้อมเสียงกรีดร้องแหลมหู ก้องดัง โหยหวนลากยาว กระชั้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาวิ่งตามเข้าไป…เข้าไปในความมืดอนธการนั่น…
พึ่บ!!
แสงไฟสว่างโร่ดึงสติของเด็กหนุ่มกลับคืนทันที มันบาดจ้าเข้ามาในดวงตาอย่างไม่ทันได้ตั้งรับจนทำให้เขาต้องขมวดคิ้วพลางยกมือป้อง เสียงลมฝนกลับมากระหน่ำชัดเจนรอบกาย และรู้สึกได้ถึงเหงื่อซึมชื้นกับลมหายใจหอบกระชั้นจนทำให้กวินต้องเป่าลมทางปาก ปลายนิ้วคล้ายจะเย็นและชาจากอาการเกร็งตึงไปทั้งตัว
“นั่งทำอะไรมืดๆ เนี่ย ทำไมไม่เปิดไฟ”
เสียงที่ไม่อยากยอมรับว่าคุ้นหูเรียกร่างสูงให้หันไปมองทันที มาลารินยืนอยู่ตรงนั้น เยื้องประตูหน้าบ้านข้างสวิตช์ไฟพลางใช้มือสางเรือนผมเปียกปอนของตนอย่างลวกๆ หญิงสาวคลายปมคิ้วตอนที่สบตากับเขาก่อนยิ้มกว้างอย่างเปิดเผย…ราวทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องสามัญอย่างที่สุด กระทั่งการที่เขาขโมยกุญแจและทิ้งเธอให้ตากฝนกลับบ้านคนเดียวนี่ด้วย
“เข้ามาได้ไงวะ”
เด็กหนุ่มพึมพำ ครั้งนี้เขาประหลาดใจจริงๆ กับการปรากฏตัวของคนตรงหน้า กวินจำได้ชัดเจนว่าเขาหยิบทุกอย่างออกมาแล้วแน่ๆ
“อ๋อ”
ราวกับอ่านใจออก คนถูกถามพลันชูกุญแจขึ้นหรา ซ้ำยังมีรอยยิ้มประกอบคำอธิบายโดยไม่ขาดตกบกพร่อง
“นายไม่รู้หรอกว่าฉันปั๊มกุญแจสำรองไว้กี่ดอก แล้วซ่อนไว้ตรงไหนบ้าง”
เพียงเท่านั้นเจ้าของบ้านก็สบถพรืดใหญ่ขณะที่อีกฝ่ายกลับไม่คิดเอาความเรื่องถูกทิ้งตอนเผลอหลับ เธอมองข้ามอาการหงุดหงิดนั้นแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้พลางพินิจใบหน้าของเขาอย่างละเอียด
“เป็นอะไรรึเปล่า หน้าซีดๆ”
มันเป็นคำถามเรียบง่ายธรรมดาสามัญอย่างที่สุด แต่กลับทำให้คนฟังชะงักไปชั่วขณะ พร้อมสะเก็ดอารมณ์ขุ่นมัวประสมกระดากด้วยอับจนท่าที นานมากแล้วที่ไม่มีใครถามเขาเช่นนี้จนกระทั่งเด็กหนุ่มไม่รู้วิธีตอบ เกินครึ่งของสิ่งที่กวินได้รับตลอดชีวิตคือคำสั่ง ไม่ใช่คำถาม หนำซ้ำมันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธอด้วยซ้ำหากจะว่าไป ไหนจะเรื่องเมื่อตอนบ่ายนั่นอีก วุ่นวายน่ารำคาญเสียทุกอย่าง ยายผู้หญิงจุ้นจ้าน
“อย่ามายุ่ง” น้ำเสียงยามตอบของเด็กหนุ่มค่อนข้างกระด้าง
“หิวข้าวมั้ย กินอะไรรึยัง”
มาลารินเพิกเฉยต่อท่าทีต่อต้านนั้น เธอผละจากการก้มหน้าจ้องอีกฝ่ายมาเท้าสะเอวเพื่อครุ่นคิดครู่สั้นๆ ก่อนจะเดินเข้าไปมะงุมมะงาหราหาของในครัวพลางส่งเสียงบอกทั้งที่มือยังค้นไม่หยุด
“ไม่มีของสดเลย กินมาม่าไปก่อนแล้วกันนะ”
“บอกว่าอย่ามายุ่ง! รำคาญ!”
กวินตะเบ็งเสียงตอบกลับอย่างหมดความอดทน เขาไม่ได้หันไปมองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดวงตาสีเทาราวควันบุหรี่เบนไปจับจ้องเงาแม็กโนเลียที่โอนเอนตามลมฝนด้านนอก ก่อนจะตกลงไปในช่องว่างของการครุ่นคิดเมื่อตระหนักได้ว่าพายุเบื้องหน้ายังคงกระหน่ำซัดท่ามกลางความมืดเหมือนเมื่อครู่ ทว่าตอนนี้กลับมีบางอย่างแตกต่างออกไป…บ้านของเขาสว่างด้วยแสงไฟ ไร้ซึ่งความเงียบงันดังก่อนหน้า และหยดเหงื่อก็ค่อยๆ ระเหยหายไปบ้างแล้ว หากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหลงเหลือก็คงจะเป็นตะกอนขุ่นคลั่กของความทรงจำเก่าๆ นั่นกระมัง แต่ความจริงมันก็ลอบหมุนอุตลุดในหัวอย่างไม่หยุดพักเช่นนี้มาเนิ่นนาน…นานเสียจนเขาหาจุดเริ่มต้นไม่เจอเสียแล้ว
แล้วในจังหวะเดินทางของความคิด พลันกลิ่นต้มยำกุ้งหอมฉุยก็อวลอบไปทั่วบ้าน ดึงสติของเด็กหนุ่มกลับคืนเมื่อเจ้าของร่างระหงยกชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาพร้อมรอยยิ้มกว้าง มาลารินวางมันอย่างระมัดระวังบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟาพลางแจกแจงโดยไม่สนใจสีหน้าขมึงทึงของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“ร้อนนะ อย่าลืมเป่าด้วย”
“ก็บอกว่าไม่กิน”
ราวกับคาดเดาคำตอบเอาไว้แล้วล่วงหน้า หญิงสาวจึงเพียงพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทีเปิดรับ ก่อนเสนอเงื่อนไขแสนง่ายดายอย่างที่คงจะคิดมาตั้งแต่แรก
“ถ้านายยอมกิน ฉันก็จะกลับเข้าไปอยู่เงียบๆ ในห้องและไม่มาจ้ำจี้จ้ำไชอะไรอีกคืนนี้ แต่ถ้ายังดื้อแพ่งก็คงต้องทนลูกตื๊อน่ารำคาญอีกนานเพราะฉันจะเกาะนายไม่ปล่อยเลย”
กวินเบนสายตาไปยังร่างที่ยังเปียกปอนของเธอครู่สั้นๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็คงไม่คิดว่าลูกแก้วสีดำสนิททั้งสองข้างจะกำลังจับจ้องตนอย่างตรงไปตรงมาและนำพาภาพเมื่อครั้งที่เธอช่วยเขาจากการถูกรุมทำร้ายให้ผุดขึ้นในความทรงจำ แล้วสะเก็ดความรู้สึกบางอย่างที่แม้แต่เขาเองยังไม่เข้าใจก็ทำให้เด็กหนุ่มไม่หันมองคู่สนทนาอีก ร่างสูงเพียงปรายสายตาออกไปยังสายฝนด้านนอกพลางเอ่ยราบเรียบ
“จะไปไหนก็ไป”
มาลารินกะพริบตาปริบ เธอเข้าใจความหมายโดยทันทีแต่ก็ยังมิวายกำชับว่า “อย่าลืมกินนะ” แล้วจึงค่อยทิ้งอีกฝ่ายไว้ตามลำพัง
…กระทั่งหญิงสาวเข้าห้องแล้วนั่นแหละที่เสียงตะเกียบกระทบชามค่อยดังก๊อกแก๊กขึ้น เจ้าของร่างระหงชะงัก เอียงคอฟังพร้อมส่ายหน้าระอา ก่อนที่ดวงตาซึ่งถูกมองว่าธรรมดานักหนาจะพลันทอประกายครุ่นคิดจางราง…เมื่อนึกย้อนไปถึงท่าทางสั่นเทาราวสัตว์บาดเจ็บ เสียงสะอื้นแผ่วเบาท่ามกลางสายฝนและความมืด กับถ้อยกระซิบคำเดิมซ้ำๆ ที่เธอได้ยินเขาเอ่ยโดยไม่รู้ตัว
…แม่…แม่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 พ.ย. 64 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.