X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 1

นี่คือสิ่งปลูกสร้างชั้นเดียวที่ก่อขึ้นด้วยอิฐดินดิบหลังหนึ่ง ทั้งหลังเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านยาวถูกแบ่งออกเป็นสามห้องเท่าๆ กัน ห้องตรงกลางคือโถงรับแขกควบห้องกินอาหารยามมีคนมาก ส่วนห้องอีกสองฟากคือห้องพัก อวี๋ไฉ่หลิงพำนักอยู่ในห้องทิศตะวันออกนี่เอง ห้องพักนี้แสนจะเรียบง่าย ผนังที่ฉาบด้วยดินเหลืองถูกขัดจนเกลี้ยงเกลาสะอาดตา บนพื้นมีเตาไฟทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่หนึ่งเตา ดูเหมือนจะก่อขึ้นจากดินสำหรับปั้นเครื่องดินเผา รูปลักษณ์ภายนอกเรียบง่ายแบบโบราณทว่าให้ความอบอุ่นใช้ได้ทีเดียว ทว่าสิ่งถัดไป…ต่อให้อวี๋ไฉ่หลิงเยือกเย็นเสมอมาก็ยังคงตกใจจนหวิดจะเป็นลม…

ในห้องไม่มีโครงเตียง รวมถึงม้านั่งและเก้าอี้ มีเพียงกระดานไม้เคลือบเงาเรียงตัวอยู่บนพื้นซึ่งยกขึ้นราวขั้นบันไดขั้นหนึ่ง ชิดฝั่งด้านในของห้อง ซ้ำกินพื้นที่ห้องไปถึงหนึ่งในสามส่วน บนนั้นปูฟูกกับผ้าห่มไว้หนึ่งชั้นสำหรับเป็นเครื่องนอน ด้านข้างมีเบาะนุ่นทรงกลมขนาดเล็กไม่กี่ใบทำหน้าที่แทนเก้าอี้ กับโต๊ะเตี้ยทรงสี่เหลี่ยมเล็กๆ อีกหนึ่งตัวสำหรับกินอาหารดื่มน้ำ อวี๋ไฉ่หลิงเคยดูภาพยนตร์เก่าหลายเรื่องของอากิระ คูโรซาวะ* รู้สึกว่านี่ช่างคล้ายกับโครงสร้างของห้องแบบญี่ปุ่นในยุคโบราณอันแร้นแค้น

เมื่อสิบกว่าวันก่อนตอนที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมา นอกจากศีรษะปวดจนแทบระเบิดแล้ว อื่นใดคือเธอยังถูกข้อสันนิษฐานนี้ทำเอาขวัญหนีจนสลบไปอีกรอบ แค้นใจจนแทบอยากจะตายซ้ำอีกหน ความจริงตำบลเล็กๆ ในเจียงหนาน** บ้านเดิมของเธอที่แสนห่างไกลความเจริญนั้นตั้งอยู่ใจกลางที่ลุ่มซึ่งมีภูเขาปิดล้อม ส่งผลให้ร้อยหลี่* ต่างสำเนียง พันหลี่ต่างภาษา คนที่นั่นเคยเจอปีศาจญี่ปุ่น*** ที่ดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงเข้ามารวมแค่สองคน อีกทั้งได้คนหนุ่มสาวที่ต่อมาไปทำงานในเมืองใหญ่ข้างนอกกลับบ้านมาเล่าถึง ทุกคนจึงค่อยรู้ว่ารูปพรรณสัณฐานกับเครื่องแต่งกายแบบนั้นคือปีศาจญี่ปุ่น ผู้ใหญ่บ้านผู้เฒ่าถึงกับร่ายยาวอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น ก่อนสั่งลูกบ้านทั้งหลายว่าถ้าต่อไปเจออีกจะต้องใส่ยาเบื่อหนูลงในมันเทศและหัวไชโป๊ที่มอบให้ปีศาจญี่ปุ่นจึงจะถูกต้อง น่าเสียดายที่ไม่เคยมีปีศาจญี่ปุ่นเข้ามาอีกเลย ยาเบื่อหนูจึงเป็นอันอดใช้ไป

จวบจนหลังก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน รัฐบาลขุดเปิดภูเขา สร้างถนน ต่อสะพาน เจาะอุโมงค์อย่างกว้างขวาง บ้านเดิมของเธอจึงค่อยๆ พัฒนาเป็นตำบลเล็กๆ เพียงแห่งเดียวใจกลางหมู่บ้านภูเขาทั้งสี่ทิศ

“คุณหนู ควรดื่มยาได้แล้วเจ้าค่ะ” สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งถือถาดไม้เนื้อหยาบทรงสี่เหลี่ยมใบหนึ่งเข้ามาในห้อง ก่อนหมุนตัวไปเอ่ยกับเด็กหญิงข้างกายซึ่งยังยกม่านผ้าฝ้ายอันหนักอึ้งค้างไว้ “อาเหมย ปล่อยม่านลงได้แล้ว ข้างนอกหนาว”

อวี๋ไฉ่หลิงรีบดึงสติคืนมา ‘นั่ง’ ตัวตรงให้เรียบร้อย อันที่จริงคือการคุกเข่าให้เรียบร้อยต่างหาก สตรีวัยกลางคนผู้นั้นวางถาดสี่เหลี่ยมลงบนโต๊ะเตี้ย บนถาดมีชามกระเบื้องสองใบหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก ในชามใหญ่เป็นยาต้มร้อนฉุย ส่วนในชามเล็กเป็นผลไม้แช่อิ่มสามเสี้ยว อวี๋ไฉ่หลิงยกชามกระเบื้องขึ้นดื่มเงียบๆ จนหมดในรวดเดียว พาให้รสขมเฝื่อนท่วมท้นช่องปากในทันที มันช่างกลืนยากยิ่งกว่ายาฆ่าแมลงเสียอีก แน่นอนว่าเธอไม่เคยกินยาฆ่าแมลงหรอกนะ

จากนั้นเธอก็หยิบผลไม้แช่อิ่มที่มีเกล็ดน้ำตาลขึ้นมาอมช้าๆ พลางมองพิจารณาสตรีวัยกลางคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงข้ามกัน อีกฝ่ายเคยบอกให้อวี๋ไฉ่หลิงเรียกว่า ‘จู้’ แม้อวี๋ไฉ่หลิงไม่เคยชินที่จะเรียกใครด้วยคำคำเดียว เพราะนี่ทำให้เธอนึกถึงคำเรียกประจำเวลาเถ้าแก่เนี้ยร้านทำผมครบวงจรในตัวตำบลใช้เรียกอ้อนคู่ขาซึ่งมีนับไม่ถ้วน แต่ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้เธอไม่รู้ธรรมเนียมของที่นี่ จึงไม่กล้าเรียกอย่างอื่นส่งเดช วันก่อนเธอเพิ่งจะได้ยินอาเหมยเล่าว่าเด็กน้อยที่อยู่บ้านติดกันทางฝั่งซ้ายฝันร้ายพูดจาเหลวไหล แล้วถูกผู้ทำพิธีหญิงจับกรอกยาอาคมไปหนึ่งกา หวิดจะตายไปครึ่งชีวิตก็ว่าได้ ดังนั้นเธอจึงได้แต่เรียกอ้อมแอ้มไปตามที่สตรีวัยกลางคนผู้นี้บอก ใครจะรู้ว่าต่อมาค่อยค้นพบว่าสามารถเรียก ‘อาจู้’ ได้เช่นกัน

 

* อากิระ คูโรซาวะ (ค.ศ. 1910-1998) เป็นผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง และนักเขียนบทภาพยนตร์ชื่อดังชาวญี่ปุ่น

** เจียงหนาน คือคำเรียกที่ราบลุ่มทางทิศใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ปัจจุบันคือทางใต้ของมณฑลเจียงซู อันฮุย และด้านเหนือของมณฑลเจ้อเจียง

* หลี่ (ลี้) หมายถึงหน่วยมาตราวัดของจีน  เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร

*** ปีศาจญี่ปุ่น เป็นคำเรียกแสดงความเจ็บแค้นที่ชาวจีนมีต่อชาวญี่ปุ่นและทหารญี่ปุ่นในช่วงที่รุกรานจีน

อาจู้มีใบหน้าเหลี่ยม ร่างใหญ่แข็งแรง สีหน้าเคร่งขรึม สวมชุดใยป่านสีขาวเทาแบบชายเสื้อสั้นเย็บติดกับท่อนล่าง เผยให้เห็นขากางเกงตั้งแต่หัวเข่าลงไป คาดว่าเพื่อให้ทำงานได้สะดวก ต่างกับของอวี๋ไฉ่หลิงที่แม้ไม่เห็นผ้าไหมสักส่วนเสี้ยว ทว่าชุดผ้าฝ้ายเนื้อหนาละเอียดก็พันมิดชิดรอบเอวเต็มหนึ่งวงรอบและยาวจนจรดหลังเท้า ส่วนชุดแต่งกายของอาเหมยเด็กหญิงวัยสิบขวบที่อยู่ด้านข้างยิ่งเรียบง่ายเข้าไปใหญ่ สวมเสื้อป่านตัวสั้นบุนุ่น วิ่งเพ่นพ่านไปมาทั่วลานโดยเผยกางเกงลายดอกบุนุ่นเนื้อหนา

เมื่อสิบกว่าวันก่อน ขณะอวี๋ไฉ่หลิงยังนอนกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่บนฟูก เปลือกตาราวหนักนับพันชั่ง* เพียงได้ยินเสียงอันแหลมบาดของสตรีผู้หนึ่งกำลังตะคอกด่า ‘…เจ้ามันหญิงโง่เง่าไร้สามารถ ฮูหยินมอบหมายงานนี้แก่เจ้า เจ้ากลับละเลยถึงขั้นนี้ หากคุณหนูเป็นอันใดไปจริงๆ เอาเจ้าทั้งครอบครัวไปป้อนสุนัขก็ไม่สาสม!’

จากนั้นเสียงสตรีอีกคนก็ตอบเสียงอ่อยๆ ‘เมื่อแรกเป็นท่านสั่งข้าน้อยว่าไม่ต้องไปไยดีนาง ปล่อยให้นางอาละวาดด่าคนปาข้าวของไป นางทำผิดมารับโทษอยู่ที่นี่ ควรดัดนิสัยก่อนค่อยว่ากัน ผู้ใดจะรู้เล่าว่านางกลับเป็นไข้ขึ้นมา…’

สตรีเสียงแหลมบาดหูกล่าวว่า ‘ตัวบัดซบ! ต่อให้นางมีความผิดสักเท่าใดก็เป็นคุณหนูของท่านใหญ่ ถึงคราวให้เจ้ามักง่ายเยี่ยงนี้ได้หรือ!’

อวี๋ไฉ่หลิงสติรางเลือนจวนหลับใหลไปอีกครา รู้สึกเพียงว่ามีคนกำลังป้อนยาให้ตนดื่มอยู่ ตอนนั้นตนมีความมุ่งมั่นที่จะเอาชีวิตรอดอย่างแรงกล้า จึงพยายามกลืนยาลงไป ในห้วงสะลึมสะลือพลันได้ยินเสียงสตรีแหลมบาดผู้นั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นมา ‘ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า นี่เป็นเผือกร้อนลวกมือหัวหนึ่ง ให้ความสำคัญนักไม่ได้ ไม่ให้ความสำคัญเลยก็ไม่ได้เช่นกัน ยามนี้ป่วยจนถึงขั้นนี้แล้วยิ่งไม่มีผู้ใดยอมรับหน้าที่อีก มีแต่เจ้าที่เป็นแม่พระ ไม่กี่วันนี้มาขอร้องข้าไม่เลิกรา…’

ถัดจากนั้นเป็นเสียงอันอ่อนโยนทว่าเนิบนาบของอาจู้ นางตอบปนหัวเราะ ‘หากมิใช่คุณหนูป่วยจนถึงขั้นนี้ งานดีแบบนี้ก็เวียนมาไม่ถึงข้าหรอก ข้าเพียงหวังให้ท่านใหญ่นึกถึงความดีอันน้อยนิดของข้า รอวันหน้าอาเหมยกับอาเลี่ยงของข้าจะได้มีอนาคต’

จากนั้นก็ได้ยินเสียงเหรียญสำริดดังกระทบกันระลอกหนึ่ง ก่อนจะเป็นเสียงพูดอันแหลมบาดของสตรีผู้นั้น ‘ก็ได้ ในเมื่อเจ้ายอมรับช่วงงานนี้ ก็จงทำให้ดีแล้วกัน’ เจ้าของเสียงแหลมบาดพูดจบก็เดินจากไป

อวี๋ไฉ่หลิงนักเรียนที่ได้คะแนนเกือบเต็มในวิชาตรรกศาสตร์ ต่อให้ตอนนั้นตัวร้อนจนสุกแล้วก็ยังคิดวิเคราะห์ได้ว่าร่างนี้ของตนน่าจะเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่สักตระกูลในยุคโบราณที่กระทำความผิดมา ปัจจุบันจึงกำลังรับโทษอยู่ในชนบท ก่อนหน้านี้ผู้ดูแลบกพร่องต่อหน้าที่ เป็นเหตุให้แม่นางน้อยเจ้าของร่างล้มป่วยไข้ขึ้นสูงจนตายจากไป ตนจึงได้กำไรฟื้นมาอยู่ในร่างนี้

แวบแรกที่มองเห็นอาจู้ อวี๋ไฉ่หลิงจำแนกด้วยความรู้อันแสนตื้นเขินที่ตนมีเกี่ยวกับยุคโบราณ วาดหวังเพียงว่าชุดที่สวมอยู่บนร่างอีกฝ่ายจะเป็นชุดชาวธงของราชวงศ์หางเปีย* หรือไม่ก็ชุดของราชวงศ์ถังที่เปิดเผยเนินอก เธอไม่ถือสาแม้แต่น้อยหากต้องแต่งกับสามีที่โกนศีรษะล้านเลี่ยนไปครึ่งแถบ หรือต้องเผยร่องอกท้าสู้อากาศหนาว!

น่าเสียดาย เธอกลับไม่รู้จักโดยสิ้นเชิงว่าชุดอันรัดกุมที่เย็บท่อนบนกับท่อนล่างติดกันชนิดนี้เป็นเครื่องแต่งกายสมัยใดในยุคโบราณ อวี๋ไฉ่หลิงหน้าม่อยคอตกไปสามวัน จวบจนวันที่สี่พักฟื้นจนทุเลาแล้ว ได้ติดตามอาเหมยไปดูขบวนส่งเจ้าสาวหนึ่งหน ถึงค่อยร่าเริงขึ้นมา แน่นอนว่าตอนนั้นอาเหมยไม่รู้แต่อย่างใดไฉนคุณหนูที่ยามปกติอมทุกข์จึงเบิกบานใจขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ

ยามนี้อาจู้เองก็กำลังมองพิจารณาอวี๋ไฉ่หลิง เพื่อให้อาการป่วยหายสนิท หมอจึงใส่ตัวยามาอย่างเต็มที่ ยาต้มที่ขมเฝื่อนเยี่ยงนี้ต่อให้อาจู้ดื่มเองก็ต้องขมวดคิ้ว ถึงอย่างนั้น เว้นเพียงหนแรกที่คุณหนูดื่มแล้วพ่นออกมา ถัดจากนั้นทุกครั้งล้วนแหงนคอดื่มจนหมดในอึกเดียวโดยไม่ร้องขมแม้สักคำ ท่าทางยามกัดฟันเม้มปากนั้นกร้าวแกร่งเข้มแข็งยิ่ง อาจู้นับว่าเงียบขรึมแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าคุณหนูที่เยาว์วัยผู้นี้ยังเงียบขรึมยิ่งกว่า นอกจากพูดคุยกับอาเหมยมากหน่อย ก็มักดูกลัดกลุ้มไม่พูดไม่จาทั้งวี่วัน เหตุใดจึงต่างจากคำพรรณนาที่ข้างนอกพูดกันโดยสิ้นเชิงเล่า…อาจู้นึกฉงนอยู่บ้าง

หลังจากดื่มยาเสร็จ อาเหมยหน้ากลมก็มาพิงร่างข้างกายอวี๋ไฉ่หลิงแล้วพูดจาหว่านล้อม “คุณหนู วันนี้ข้างนอกอากาศอบอุ่น พวกเราไปเที่ยวเล่นกันเถิดเจ้าค่ะ” อวี๋ไฉ่หลิงนั่งคุกเข่าจนระอาแล้วเช่นกัน จึงผงกศีรษะตกลง

 

* ชั่ง (ชั่งจีน) หรือ จิน เป็นหน่วยชั่งของจีน ที่มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน

* ชุดชาวธงคือเครื่องแต่งกายประจำชนชาติแมนจู ราชวงศ์หางเปีย หมายถึงราชวงศ์แมนจูซึ่งบุรุษโกนศีรษะครึ่งหนึ่งแล้วถักผมที่เหลือเป็นหางเปียอยู่ด้านหลัง

อาจู้เอ่ยปนยิ้ม “ไปอาบแดดสักหน่อยก็ดีเจ้าค่ะ เพียงแต่วันนี้ผู้คุ้มกันไม่อยู่ คุณหนูกับอาเหมยห้ามไปไกลนัก ให้อาเลี่ยงตามไปด้วยแล้วกัน”

อวี๋ไฉ่หลิงเหลือบมองอาจู้ด้วยความแปลกใจ สตรีผู้นี้ไม่ใช่คนช่างพูด วันนี้กลับไม่เพียงพูดเยอะ ยังอนุญาตให้อวี๋ไฉ่หลิงออกไปเที่ยวเล่นโดยไม่มีบุรุษที่โตแล้วคอยติดตาม

อาเหมยทำหน้าผีทะเล้นใส่อาจู้ผู้เป็นมารดา ก่อนรีบปรนนิบัติคุณหนูสวมรองเท้าผ้าฝ้ายหัวงอนพื้นหนา ห่มเสื้อคลุมเนื้อหนาให้ จากนั้นสองคนก็จูงมือกันออกไปเที่ยวเล่นอย่างระรื่นชื่นบาน

รอจนก้าวออกมานอกเรือน อวี๋ไฉ่หลิงสูดหายใจเข้ายาวๆ หนหนึ่ง กลิ่นอายของหิมะน้ำแข็งที่ปะทะใบหน้าก็พาให้กลิ่นอายของถ่านไฟที่เหลือในช่องอกถูกสลายจนสิ้น ลมหายใจอันเย็นสดชื่นไหลเข้ามาแทนที่อย่างเปี่ยมล้น เมื่อแหงนหน้ามองผืนฟ้าชนบทตอนเหนือแห่งนี้ ค่อยรู้สึกว่าฟ้าครามเมฆขาวที่เคยอ่านในวัยประถมไม่ใช่คำโป้ปด สามารถเห็นเวิ้งฟ้าที่สูงลิ่วกว้างไกลนั้นสะอาดหมดจดราวน้ำแข็งที่กระจ่างใสได้ อวี๋ไฉ่หลิงก็ให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจอย่างยิ่ง

เด็กสาวเหลียวกลับไปมองเรือนเล็กหลังนี้อีกครา มีรั้วไม้รวกแถบกว้างล้อมตัวเรือนอยู่ห่างๆ หนึ่งวง แม้เป็นเรือนหลังเล็กในชนบท แต่ก็สร้างหลังคาสูงตระหง่าน ห้องสามห้องในเรือนล้วนโอ่โถง ไม่มีกลิ่นอายอันหม่นหมองซึมเซาแฝงอยู่แม้สักนิด เรือนที่กว้างขวางสูงสง่าเช่นนี้ไม่คล้ายบุคลิกของแคว้นวอ* แต่อย่างใด

อวี๋ไฉ่หลิงผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ ทางหนึ่งจูงอาเหมยตัวน้อย ทางหนึ่งพาเด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบที่กำลังกระโดดโลดเต้นอีกคนออกจากลานเรือน ตอนนี้เองเห็นบุรุษบนหลังม้าในชุดทะมัดทะแมงสองคนควบห้อมาแต่ไกล พร้อมกับหิมะที่ฟุ้งขึ้นจากพื้นคละเคล้าฝุ่นเป็นแต้มๆ อาเหมยผู้มีสายตาเฉียบคมเอ่ยขึ้นในทันที “เป็นท่านพ่อ…แล้วก็พี่ชาย” จากนั้นโบกแขนพลางตะเบ็งเสียงร้องเรียก “ท่านพ่อ! พี่ชาย!”

พอสองคนบนหลังม้ามาถึงหน้าประตูลานก็รั้งม้าอย่างคล่องแคล่วแล้วพลิกตัวลงจากม้า ทันทีที่เห็นอวี๋ไฉ่หลิง บุรุษวัยกลางคนที่นำหน้ามาผู้นั้นก็ประสานมือก้มศีรษะคำนับพร้อมกับยิ้มทักทายว่า “คุณหนู”

ชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดสิบแปดปีที่อยู่ด้านหลังประสานมือคำนับตามเช่นกัน

อวี๋ไฉ่หลิงผงกศีรษะรับ ก่อนแหงนหน้าเอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “ฝูอี่กลับมาแล้ว”

บุรุษวัยกลางคนเคราครึ้มเงยหน้ากล่าวพร้อมรอยยิ้มอันแจ่มใส “คุณหนูจะออกไปเดินเที่ยวหรือ เมื่อครู่ข้าเห็นศาลเจ้าริมน้ำข้างหน้ากำลังเซ่นไหว้เทพแห่งลำธาร คุณหนูกับอาเหมยไปชมดูความครึกครื้นก็ดีขอรับ” เขาหันหน้าไปกล่าวกับบุตรชาย “อาเติง เจ้าอย่าเพิ่งกลับเข้าเรือน จงตามคุณหนูไปด้วย”

“ขอรับ” ชายหนุ่มขานรับเสียงเบา จากนั้นปลดสายบังเหียนมอบให้บิดา แล้วเดินตามกลุ่มของอวี๋ไฉ่หลิงออกไปข้างนอก ย่ำไปบนหิมะที่สุมอยู่บางๆ บังเกิดเสียงกรอบแกรบยามเดิน

ฝูอี่ผู้นี้คือสามีของอาจู้ เดิมทียังมีผู้คุ้มกันอีกสองคน อวี๋ไฉ่หลิงได้ยินพวกเขาเรียกฝูอี่ว่า ‘หัวหน้าฝู’ จึงเรียกตามอย่าง ไม่คาดว่าฝูอี่จะตกอกตกใจยิ่ง เป็นตายก็ไม่ยอมให้เรียกเช่นนี้ แรกพบกันเห็นท่าทางเขาใกล้ชิดกับอาจู้ อวี๋ไฉ่หลิงยังหลงนึกว่าเขาเป็นคู่ขาของอาจู้ด้วยซ้ำ นินทาอยู่ในใจไปรอบหนึ่ง ใครจะรู้เล่าว่าเขาเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของอาจู้ต่างหาก

ออกจากเรือนมุ่งไปทางตะวันตกราวสิบกว่านาที ได้ยินเสียงธารน้ำไหลจ๊อกๆ ผสานกับเสียงผู้คนจ้อกแจ้ก แลเห็นลำธารกว้างราวสิบกว่าเมตรสายหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตา น้ำในลำธารใสจนเห็นก้นบึ้ง ระดับน้ำตื้นแค่ครึ่งเมตร บริเวณที่ลึกก็เพียงสามสี่เมตรเท่านั้น แม้เป็นลำธารเล็กๆ ทว่าอุดมสมบูรณ์มิใช่น้อย หนึ่งปีสี่ฤดูมีปลามีกุ้งไม่ขาดช่วง ช่วยจุนเจือความเป็นอยู่ของชาวบ้านได้อย่างมาก ดังนั้นผู้เฒ่าซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตาในหมู่บ้านนี้จึงนำพาผู้คนสร้างศาลเจ้าเล็กๆ หลังหนึ่งที่ริมฝั่งไม่ไกลจากต้นน้ำ เพื่อบูชาเทพแห่งลำธารและป่าเขาทั้งซ้ายขวา หวังใจว่าจะได้รับการปกปักรักษาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้มีปลากุ้งกับพืชผลมากยิ่งขึ้น

 

* แคว้นวอ คือคำเรียกประเทศญี่ปุ่นในสมัยโบราณ

พอมองเห็นศาลเจ้าริมน้ำอยู่เบื้องหน้า อาเหมยก็รีบจูงอวี๋ไฉ่หลิงวิ่งเข้าไปข้างใน ควักเหรียญห้าจู** ออกมาสองเหรียญ ซื้อธูปทำมือหนึ่งกระบอกไม้ไผ่จากหญิงชราผู้ดูแลศาลเจ้าที่อยู่หน้าประตู กับซื้อผลไม้ที่อวี๋ไฉ่หลิงเรียกชื่อไม่ถูกอีกจำนวนหนึ่งจากแม่นางที่คล้องตะกร้าร้องเร่ขายอยู่ แม่นางผู้นั้นเห็นฝูเติงหน้าตาชวนมอง จึงโยนส้มให้เขาหนึ่งลูกก่อนพิศมองพร้อมรอยยิ้มกริ่ม พาให้ดวงหน้าของฝูเติงพลันสีเข้มยิ่งกว่าส้มลูกนั้น อาเหมยจึงเป็นฝ่ายยิ้มพูดว่า “พี่ชายข้าใกล้จะหมั้นแล้ว!”

อวี๋ไฉ่หลิงร่วมเอ่ยเย้า “ในเมื่อเจ้าชอบเขา เหตุใดยังเก็บเงินค่าผลไม้จากพวกเราเล่า”

แม่นางผู้นั้นตอบอย่างตรงไปตรงมา “เขาแม้จะหล่อเหลา แต่ทางบ้านข้ายังต้องกินข้าวอยู่นะ” เหล่าชาวบ้านกับกลุ่มของอวี๋ไฉ่หลิงต่างหัวเราะฮ่าๆ กันครืนใหญ่

ศาลเจ้าที่ว่านี้เป็นเรือนขนาดใหญ่ซึ่งมีโถงหน้าหลังสองห้องประกบกัน เหล่าชาวบ้านเคยเห็นกลุ่มของอวี๋ไฉ่หลิงแล้วหลายหน รู้เพียงว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นคุณหนูของบ้านคนใหญ่คนโตในละแวกใกล้เคียง จึงพากันเปิดทางให้อีกฝ่ายเข้าไป ในโถงด้านหน้าอวลด้วยควันธูปที่ลอยวน แลเห็นบนแท่นสูงตั้งรูปสลักเทพเจ้าหน้าตาดุร้ายลักษณะพิสดารหลายองค์ เจ้าแม่กวนอินไม่คล้ายเจ้าแม่กวนอิน พระเยซูไม่คล้ายพระเยซู ซ้ำข้างเท้าของรูปสลักหินเหล่านั้นยังมีรอยเลือดสาดนองอยู่หลายกอง ด้านข้างคืออ่างไม้ขนาดใหญ่บรรจุเป็ดไก่ที่นอนเหยียดขาตายตาไม่หลับราวสามถึงห้าตัว…อวี๋ไฉ่หลิงส่ายหัวจนนับรอบไม่ถ้วนแล้ว ยุคนี้สมัยนี้รูปสลักเทพเจ้าทำออกมาชวนสะพรึงถึงเพียงนี้ วิธีบวงสรวงก็ช่างหยาบดิบเถื่อน นี่จะทำให้สาวกเข้าถึงห้วงอารมณ์ศรัทธาเทิดทูนจนลืมตัวแล้วควักเงินควักหัวใจให้ได้อย่างไรกันเล่า เด็กสาวแทบอยากจะเข้าไปชี้แนะเหล่าคนดูแลศาลเจ้าให้ทำรูปสลักเทพเจ้าที่มีคิ้วตาโอบอ้อมอารีสักหลายองค์ จัดวางดอกไม้กับปลาทองอีกสักหน่อย แล้วหาคนมาวางท่าขับกลอนสวดคัมภีร์ด้วยล่ะก็ รับรองว่ากิจการจะต้องเฟื่องฟูไปทั่วสี่สมุทร ทรัพย์ไหลมาเทมาทั้งสามลำน้ำ

เพียงแต่ชัดเจนว่านี่เป็นความคิดของอวี๋ไฉ่หลิงผู้เดียว เด็ก สตรีและคนชรารอบด้านต่างรู้สึกดีอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคนบ้างคุกเข่ากราบไหว้ บ้างยืนนอบน้อมพนมมืออธิษฐานงึมงำ อาเหมยรีบยื่นธูปหลายดอกใส่มือคุณหนู แล้วจูงมาคุกเข่าบนเบาะหญ้าสาน

อวี๋ไฉ่หลิงสะทกสะท้อนใจ ชาติก่อนการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้ายของเธอคือตอนที่ไปปีนเขากับรูมเมทอีกสามคน สาวน้อยทั้งสี่ต่างก้มกราบแทบรูปปั้นตรีวิสุทธิเทพ* ด้วยความเคารพ

‘หมวย SMS’ อธิษฐานให้สอบปลายภาคหนนี้คว้าทุนการศึกษาเต็มจำนวนได้อีกครั้ง

‘เจ้เว็บบล็อก’ ภาวนาให้หนุ่มหล่อชั้นเรียนข้างๆ ที่ตนเองแอบชอบอยู่เลิกรากับแฟนสาวไวๆ แล้วมาสะดุดรักแรกพบกับตนเองแทน

‘QQ’ วาดหวังว่าจะได้โอกาสฝึกงานในบริษัท NZND** ล่วงหน้า…

ส่วนอวี๋ไฉ่หลิงวอนขอให้ใบสมัครเข้าพรรคคอมมิวนิสต์ฉบับสิบเอ็ดที่เพิ่งจะเขียนเมื่อวันก่อนผ่านด่านได้เสียที…น้าชายบอกว่าถ้าเธอเข้าได้ จะซื้อโน้ตบุ๊คให้เครื่องหนึ่งเลย

หลังจากพร่ำอธิษฐานจบ สี่คนก็เปล่งเสียง ‘อา-มิด-ตา-พุ้ด’ พร้อมกันแล้วออกไปเที่ยวเล่นอย่างเริงร่า โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าอันแสนพิกลของคุณยายที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างแต่อย่างใด

อวี๋ไฉ่หลิงกราบไหว้และปักธูปเสร็จก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ มองจากแง่มุมนี้นับว่าการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หนนั้นขลังมากทีเดียว ชาติก่อนเธอกล้าหาญผดุงคุณธรรมถึงได้จบชีวิตลง ถ้าหากไม่ตาย มีหรือเธอจะไม่ได้เข้าพรรค! ไม่รู้ว่าความปรารถนาของรูมเมทอีกสามคนเป็นจริงกันบ้างหรือไม่ อวี๋ไฉ่หลิงแสนแค้นใจที่ตนเองดวงไม่ดี เป็ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไป*** เสียอย่างนั้น เธอจึงใช้ถ้อยคำอันเฉียบขาดปฏิเสธอาเหมยที่ชวนเธอเข้าโถงด้านในไปฟังการตีความคำทำนายที่เล่าลือกันในระยะนี้

คราวก่อนเจอผู้ทำพิธีชายผู้นั้น เขายังพูดหลอกล่อให้เธอทำพิธีปัดรังควานอยู่เลย เขาคงจะได้ยินมาเช่นกันว่าเธอเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ถูกผู้อาวุโสขับไล่ออกมา เพ้ย เห็นอวี๋ไฉ่หลิงผู้นี้เป็นไม้ทุบผ้า**** สินะ หากมีเงิน เธอขอไปช่วย ‘ผีเสื้อราตรี’ เอาอย่างพ่ออวี๋ของเธอที่เป็นเศรษฐีใหม่ใจจืดยังดีเสียกว่า แต่จะไม่ขอใช้เงินไปกับนักต้มตุ๋นพวกนี้ ชั่วดีอย่างไรการช่วยผีเสื้อราตรีก็มีส่วนช่วยสร้างสังคมที่กลมกลืนได้ส่วนหนึ่ง

“ทุกคนล้วนบอกว่าผู้ทำพิธีที่อยู่ด้านในผู้นั้นมีอาคมแกร่งกล้ายิ่ง” อาเหมยยุดแขนเสื้ออวี๋ไฉ่หลิงไว้พลางกล่าว

 

** จู เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักของจีนสมัยโบราณ โดย 24 จูเท่ากับ 1 ตำลึง (1 ตำลึงเทียบน้ำหนักประมาณ 31.25 กรัม)

* ตรีวิสุทธิเทพ (ซานชิง) คือสามปฐมเทพสูงสุดตามหลักความเชื่อของลัทธิเต๋า สถิตในดินแดนสูงสุดเหนือจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ได้แก่ หยวนสื่อเทียนจุนแห่งแดนอวี้ชิง (หยกวิสุทธิ์) หลิงเป่าเทียนจุนแห่งแดนซั่งชิง (เหนือวิสุทธิ์) และเต้าเต๋อเทียนจุนหรือไท่ซั่งเหล่าจวินแห่งแดนไท่ชิง (บรมวิสุทธิ์)

** NZND (No Zuo No Die) เป็นคำฮิตบนโลกอินเทอร์เน็ต แปลว่าไม่รนหาเรื่องก็จะไม่ตาย

*** เป็ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไป ใช้เปรียบเปรยถึงสิ่งที่มั่นใจว่าจะได้มาอยู่ในมือแต่กลับสูญเสียไปอย่างคาดไม่ถึง บางครั้งยังหมายถึงยึดกุมโอกาสได้ไม่ดีพอ

**** ไม้ทุบผ้า เดิมหมายถึงไม้ที่ใช้ทุบผ้าขณะซักเพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกง่ายขึ้น ต่อมายังใช้เป็นสแลงหมายถึงคนหัวทึบ หรือมือใหม่อ่อนหัด

อวี๋ไฉ่หลิงจึงปั้นหน้าดุใส่ “หากเก่งกาจเพียงนั้นจริง ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่คงเชิญตัวไปนานแล้ว ยังจะอยู่สถานที่เล็กๆ นี่อีกหรือ” อันที่จริงต่อมาพอกิจการของพ่ออวี๋คนใจจืดใหญ่โตขึ้นก็เริ่มเชื่อเรื่องอำนาจศักดิ์สิทธิ์ทำนองนี้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือต้องหาผู้ที่มีฝีมือแท้จริง จะได้ไม่ปักธูปผิดกระถางไหว้เทพผิดองค์

“นี่ก็พูดยากนะเจ้าคะ ท่านแม่บอกพวกเราว่าแม้แต่เทพเซียนเหยียนที่เคยดูนรลักษณ์ให้ฝ่าบาทยังไม่ยอมเป็นขุนนางเลย ตอนนี้เขาก็เร้นกายอยู่ในชนบท ยามปกติเพียงคลุมเสื้อหนังสัตว์นั่งตกปลาเท่านั้น” อาเหมยมีความรอบรู้ไม่เบา

ฝูเติงแย้งอย่างไม่พอใจ “เทพเซียนเหยียนท่านนั้นเดิมเป็นปราชญ์ผู้ศึกษาปรัชญาข่งจื่อ มีผลงานการค้นคว้าเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน เรื่องดูนรลักษณ์ตีความคำทำนายทายทักเพียงกระทำในยามว่าง มิได้เป็นหมอดูโดยเฉพาะเสียหน่อย”

อาเหมยจึงจำใจตอบตกลงไปเที่ยวเล่นที่ริมลำธารในอาการหน้าม่อย ผิดกับอาเลี่ยงตัวน้อยที่ดีใจยกใหญ่ อวี๋ไฉ่หลิงจึงจูงพาคู่พี่สาวกับน้องชายออกจากศาลเจ้าไปยังลำธารสายนั้น

ไม่ผิดจากที่คิดไว้ ผู้ซึ่งเล่นสนุกหัวเราะคิกคักกันอยู่ริมธารมีแต่เด็กเล็กกับหนุ่มสาววัยแรกรุ่น ยุคนี้ขนบของชาวบ้านล้วนเรียบง่ายสมถะ การละเล่นของเด็กเล็กก็เพียงแค่หยิบฉวยหินที่มีลักษณะเรียบแบนมาปาให้กระดอนไปบนผิวน้ำ หรือทนหนาวอยู่ในลำธารที่เย็นเฉียบเสียดกระดูกเพื่อจับปูกุ้งขนาดเล็กจิ๋วที่ทึ่มทื่อหลายตัว หรือที่ฟุ่มเฟือยที่สุดก็แค่ลงไปเดินย่ำเล่นไปมาในลำธารด้วยรองเท้าไม้ส้นสูงที่ทำเอง เห็นอาเหมยกับอาเลี่ยงสองพี่น้องเล่นกันอยู่ริมฝั่ง อวี๋ไฉ่หลิงก็ถอยหลังหลายก้าวพลางสอดส่ายสายตาไปโดยรอบ กระทั่งเห็นหินกลมก้อนใหญ่ที่ตากแดดจนแห้งสนิทจึงนั่งลงไป โดยมีฝูเติงตามมาอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่พูดจา

อวี๋ไฉ่หลิงปรายตามองเขาปราดหนึ่ง อาจู้เป็นคนนิ่งขรึม หากไม่มีเรื่องสำคัญจะไม่พูดเกินจำเป็นแม้ประโยคเดียว ในบรรดาบุตรชายหญิงสามคนน่าจะมีเพียงฝูเติงที่เหมือนมารดา ซึ่งก็หมายความว่าการที่เธอจะสืบข้อมูลเกี่ยวกับตนเองนั้นมีระดับความยากไม่ใช่ธรรมดาเลย อาเหมยกับอาเลี่ยงยังเด็กเกินไปมักตอบไม่ตรงคำถาม ส่วนผู้ที่รู้เรื่องกลับเป็นน้ำเต้าที่เลื่อยปากออก* ถามมากไปก็กลัวว่าจะทำให้อาจู้มารดาของพวกเขาแตกตื่น

 

ยุคนี้เป็นสังคมที่งมงายยิ่ง อวี๋ไฉ่หลิงมาอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันก็ค้นพบแล้ว

ตั้งแต่เธอหายป่วย อาจู้เชิญผู้ทำพิธีหญิงสองคนมาขับร้องร่ายรำขอบคุณเทพเจ้า พอในลานกั้นห้องครัวเพิ่ม อาจู้ก็ฆ่าลูกแพะหนึ่งตัว ตลอดจนเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาด้วยผลไม้หลายจาน แค่หิมะตกหนักเมื่อสองวันก่อน อาจู้ยังเซ่นไหว้สุราฤดูเหมันต์สองไหด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม ไม่รู้ว่าเพื่อจะขอให้หิมะหยุดโดยเร็ว หรือว่าจะขอให้ตกหนักขึ้นกันแน่ เมื่อวานแสงแดดสดใส หิมะที่สะสมบนพื้นค่อยๆ ละลายหายไปจนเก็บเห็ดเก็บผักได้ อาจู้ก็เชือดเป็ดไก่เป็นๆ อีกหนึ่งคู่ด้วยความยินดี แม้จนบัดนี้อวี๋ไฉ่หลิงยังไม่เคยเห็นเครื่องสังเวยที่เป็นมนุษย์ แต่ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามถามนู่นถามนี่ ที่น่าสงสารเหนืออื่นใดคือจนป่านนี้แม้กระทั่งชื่อของร่างนี้เธอก็ยังไม่รู้เลย

ตอนนี้เองเสียงตะโกนปนหัวเราะก้องของอาเหมยพลันดังมาจากเบื้องหน้า ดูเหมือนมีเด็กชายผู้หนึ่งรังแกอาเลี่ยง อาเหมยจึงเก็บน้ำแข็งที่ยังไม่ละลายก้อนหนึ่งขึ้นจากพงหญ้า ยัดใส่หลังคอเสื้อของเด็กชายผู้นั้นเพื่อแก้เผ็ดแทนน้องชายของตน ส่งผลให้เด็กชายผู้นั้นร้องโวยวายพลางกระโดดโหยงๆ ดุจกุ้งฝอย เรียกเสียงหัวเราะฮ่าๆ ครืนใหญ่จากเด็กเล็กทั้งหลาย

อวี๋ไฉ่หลิงก็หัวเราะออกมาเช่นกัน อันที่จริงเธอซาบซึ้งใจต่อครอบครัวของอาจู้เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อสิบกว่าวันก่อนแม้สติของเธอยังพร่าเลือน แต่ก็สัมผัสได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบด้านไม่ดีแต่อย่างใด ใต้ร่างเป็นฟูกนุ่นบางๆ วางบนไม้กระดานที่แข็งโป๊ก ทั่วห้องหนาวชื้น ในอากาศคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นตุ ทว่านับแต่อาจู้มาถึง เสื้อผ้าบนร่างตลอดจนฟูกผ้าห่มล้วนถูกผลัดเปลี่ยนเป็นวัสดุเนื้อดีที่ทั้งอบอุ่นทั้งนุ่มหนา จากนั้นอาจู้ยังตามหญิงชนบทหลายนางมาร่วมแรงกันขนย้ายเตาที่ให้ไออุ่นขนาดใหญ่เข้ามาอย่างยากลำบาก แล้วจุดเตาจนในห้องมีแต่ไออุ่น ภายหลังปัดกวาดห้องอยู่หลายรอบ อาจู้ยังนำอ้ายเฉ่า* ที่จุดไฟแล้วมารมห้องซึ่งมีขนาดใหญ่เพียงนั้นจนทั่วทุกซอกมุมพร้อมกับตรวจสอบอย่างละเอียดลออ กลัวแต่ว่าจะมีมดแมลงตัวเล็กหลงเหลืออยู่ สุดท้ายยังก่อเตาสำหรับประกอบอาหาร สุมฟืนต้มน้ำแกง ย่างเนื้อให้อวี๋ไฉ่หลิงกินบำรุงทุกวัน เช่นนี้เองอาการป่วยของเธอจึงค่อยดีวันดีคืน ทว่าอาจู้กลับเหน็ดเหนื่อยจนตัวผอมลงหนึ่งวงรอบ

เพียงแต่อาการป่วยที่คร่าชีวิตคนไปหนึ่งชีวิตแล้วนี้มีหรือจะฟื้นตัวได้ง่ายดายปานนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโบราณที่มาตรฐานการแพทย์ยังต่ำเตี้ยอยู่มาก ต่อให้วันนี้อวี๋ไฉ่หลิงจิตใจปลอดโปร่งก็ยังคงรู้สึกอ่อนแรงเป็นพักๆ ไม่อาจเดินเร็ว ได้แต่ก้าวเนิบๆ วันก่อนเพื่อให้เธอเบิกบานใจ อาจู้ยังหาเกวียนมาเล่มหนึ่ง แล้วสั่งให้ผู้คุ้มกันสองคนพาเธอกับอาเหมยไปเที่ยวชมหมู่บ้าน

แม้อวี๋ไฉ่หลิงไม่รู้จักกฎเกณฑ์ในยุคโบราณนัก แต่ก็รู้ว่าหญิงรับใช้อาวุโสในจวนคนใหญ่คนโตมักมีฐานะสูงกว่าบ่าวอื่นๆ กระนั้นสตรีที่รอบคอบรัดกุมไม่ธรรมดาเช่นอาจู้กลับมาอยู่ในเรือนชนบทเสียได้ เรื่องนี้จะต้องมีปัญหาซ่อนอยู่เป็นแน่

แต่ในเมื่อมาแล้วก็จงทำใจให้สบาย คนเราจะต้องอยู่รอดต่อไปก่อน ถึงสามารถคิดอ่านว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้ดี จากนั้นค่อยมารู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายหนาวใจที่ต้องพลัดจากบ้านเกิด อุปนิสัยของอวี๋ไฉ่หลิงรักตนเองและมองโลกบนความเป็นจริงอย่างที่สุด เซลล์รับรู้อารมณ์เศร้าคือสิ่งมีชีวิตที่ใกล้จะสูญพันธุ์แล้วก็ว่าได้ ตอนนี้เธออยู่รอดในสถานการณ์ที่ไม่แน่ชัด ยังจะมีเวลาที่ไหนมาอารมณ์เปราะบางกันเล่า

 

 

* น้ำเต้าที่เลื่อยปากออก ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่พูดน้อยหรือพูดไม่เก่ง

* อ้ายเฉ่า (Artemisia argyi Levl. et Van) เป็นพืชสมุนไพรที่มีกลิ่นฉุน ใช้ทำยาได้ทั้งต้น ส่วนใบ (อ้ายเยี่ย หรือ เฮี่ยเฮียะ) นิยมทำเป็นแท่งใช้สำหรับรมยา นอกจากนี้ยังใช้จุดไฟไล่แมลงและยุงได้อีกด้วย

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 ส.ค. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: