X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 31

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 31

ยามที่เฉิงเซ่าซางถูกดึงตัวออกมา ศีรษะกับใบหน้าก็รับไปหลายหมัดแล้ว นางรู้สึกว่าแก้มปวดแสบ หางตาคล้ายถูกชกจนบวมปูด คางก็เหมือนถูกข่วนเป็นรอยแผลเล็กหนึ่งสาย ครั้นหรี่ตามองอิ่นสวี่เอ๋อ เฉิงเซ่าซางก็อดไม่ได้ที่จะลอบชมตนเองว่า วิชาก้นหีบยังไม่ลืมหาย!

ท่ามกลางความชุลมุน นางเห็นแวบๆ ว่าหยวนเซิ่นมีสีหน้าวิตกกังวล หนุ่มน้อยนามโหลวเหยาผู้นั้นราวถูกสายฟ้าฟาด คล้ายได้เปิดกว้างความรู้ในชีวิตขนานใหญ่ อิ่นซื่อที่รีบรุดมาถึงทั้งโกรธทั้งร้อนใจจนกระทืบเท้าไม่หยุด ภายหลังมือไม้ปั่นป่วนกันชั่วขณะหนึ่ง อิ่นสวี่เอ๋อที่ร้องห่มร้องไห้ก็ถูกส่งตัวไปยังห้องปีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ในเรือนหลังของจวนสกุลอิ่นพร้อมกับเฉิงเซ่าซาง ที่นั่นมีอิ่นฮูหยิน เซียวฮูหยิน ตลอดจนวั่นฮูหยินกับวั่นชีชีแม่ลูกที่เพิ่งรุดมาถึง

แรกได้ยินเรื่องนี้อิ่นฮูหยินซวนเซจนเกือบพลัดตกจากขั้นบันได รีบฝากฝังหน้าที่ต้อนรับแขกเหรื่อไว้กับพี่สะใภ้น้องสะใภ้แล้วตรงมาทันที เซียวฮูหยินแลดูยังเยือกเย็นอยู่ ทว่าลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นมาก วั่นฮูหยินแม้มิใช่ผู้เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่อาจวางตัวอยู่นอกเรื่องราว กำลังกระอักกระอ่วนไม่รู้ควรยืนข้างฝ่ายใดดี ผิดกับวั่นชีชีที่ตกลงใจแล้วว่าจะต้องผดุงคุณธรรมอันสูงส่งให้ได้!

อิ่นซื่อรีบรายงานเหตุการณ์สำคัญคร่าวๆ ริมหูแม่ใหญ่ของตนรอบหนึ่ง อิ่นฮูหยินฟังจบค่อยโล่งอกขึ้นบ้าง

มีคนเห็นไม่มากก็ดีแล้ว สาวใช้สองคนเป็นบ่าวสกุลอิ่น นางควบคุมได้อย่างเต็มที่ หยวนเซิ่นกับโหลวเหยาอย่างไรก็เป็นบุรุษ ทั้งมีชื่อเสียงไม่เลว หากเชิญสามีของนางออกหน้าไหว้วาน คนหนุ่มทั้งสองย่อมไม่พูดมากจนถึงกับออกไปข้างนอกเล่าเรื่องหยุมหยิมเช่นแม่นางน้อยตีกันนี้ส่งเดช

สิ่งเดียวที่น่าแปลกอยู่บ้างคือหยวนเซิ่นผู้นั้นคล้ายกระตือรือร้นในเรื่องนี้มากเกินไป หากมิใช่อิ่นซื่อบุตรสาวคนโตใช้วาจาเข้าทีต่อต้านไว้ เขาก็เกือบจะตามเข้ามาด้วยแล้ว หลังจากถูกเกลี้ยกล่อมให้ถอยไป เขายังป้วนเปี้ยนสอบถามอาการบาดเจ็บหลายหน ไม่เห็นเหมือนที่สามีเคยพูดถึงว่า ‘เขาแม้ได้ถวายรับใช้ข้างพระวรกายฝ่าบาทบ่อยครั้ง ประสบความสำเร็จแต่ยังเยาว์ ทว่ากิริยาวาจายังคงรอบคอบสำรวมตน’

ฉะนั้น…หรือว่าคนเราอาจมีความชอบพิกลบางอย่าง? หรือว่าหยวนเซิ่นจะชอบชมดูแม่นางน้อยตีกัน?

ในฐานะมารดาที่มีบุตรสาวอยู่ในวัยเหมาะจะออกเรือน อิ่นฮูหยินมิใช่ไม่เคยคิดหวังจะได้หยวนเซิ่นมาเป็นบุตรเขย ทว่าสามีกลับไม่เห็นดีด้วยแต่อย่างใด บอกว่าหยวนเซิ่น ‘แลคล้ายไม่ไยดีในลาภยศ แท้จริงภายในมีเจตนาอันลุ่มลึก’ วันหน้าตระกูลภรรยาที่เขาเลือกจะต้องพิถีพิถันยิ่งยวด อาจเกี่ยวดองกับพระญาติเชื้อพระวงศ์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด หรือไม่ก็อาจเลือกบุตรีของปราชญ์อาวุโสผู้ลือนามมากบารมีทว่าไกลห่างจากราชสำนัก นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

เดิมความหวังที่อิ่นฮูหยินมีต่อหยวนเซิ่นลดลงกว่าครึ่งแล้ว ผ่านเรื่องในวันนี้เขาได้เห็นบุตรสาวนางตบตีเด็กสาวที่มาจากบ้านสหายของบิดามารดา ก็ทำให้นางดับความคิดหวังนั้นทิ้งโดยสิ้นเชิง

“น้องสาววางใจได้ ไม่มีคนอื่นเห็น เรื่องนี้จะไม่แพร่งพรายไปหรอก” อิ่นฮูหยินซับเหงื่อ เอ่ยปลอบใจเซียวฮูหยิน ก่อนหันหน้าไปดุด่าบุตรสาวอย่างมีโทสะ “เจ้าลูกอกตัญญู! เจ้าทั้งโตกว่าทั้งเป็นเจ้าบ้าน กลับยังตบตีแม่นางน้อยสกุลเฉิง! ตำราอ่านมาเสียเปล่า จรรยามารยาทก็เรียนมาอย่างสูญเปล่าแท้ๆ! ข้าจะไปบอกพ่อเจ้า ดูซิเขาจะลงโทษเจ้าอย่างไร!”

เฉิงเซ่าซางยิ้มร่าอยู่ในใจ…ที่แท้บิดามารดายุคนี้ยามโกรธจนด่าทอบุตรล้วนใช้คำว่า ลูกอกตัญญูกันนี่เอง

ก่นด่าบุตรสาวจบ อิ่นฮูหยินก็เอ่ยกับเฉิงเซ่าซางเสียงอ่อนโยน “เซ่าซางหลานป้า ทำให้เจ้าได้รับความเจ็บช้ำแล้ว เจ้าวางใจได้ ป้าจะให้ความยุติธรรมแก่เจ้าแน่ รอจนงานเลี้ยงวันนี้ยุติ รับรองว่าจะให้เด็กอกตัญญูนี่ลิ้มรสกฎตระกูล!”

เด็กสาวสองคนที่ตีกันแล้วถูกจับแยกล้วนมีสภาพอเนจอนาถ เพียงแต่เฉิงเซ่าซางดูน่าเวทนากว่าอย่างเห็นได้ชัด จมูกเขียวหน้าบวมดุจหัวหมู บนสาบเสื้อยังเปื้อนไปด้วยเลือดกำเดา เปรียบกันแล้วอิ่นสวี่เอ๋อนอกจากผมเผ้าสยายยุ่ง แป้งชาดเลอะเลือน ตามใบหน้าตามมือล้วนปกติดี ประกอบกับคนหนึ่งตัวสูงใหญ่กว่า อีกคนหนึ่งตัวเล็กอ่อนวัยกว่า รูปการณ์จึงชัดแจ้งโดยไม่ต้องอธิบายใดๆ

มีแต่เซียวฮูหยินที่แจ้งใจถึงอุปนิสัยกับฝีมือของบุตรสาว ใต้หล้านี้ผู้ที่ทำให้บุตรสาวนางเสียเปรียบได้มีไม่มากจริงๆ เกรงว่าข้อเท็จจริงคงมิใช่อย่างที่เห็น แต่หากกลบเกลื่อนผ่านไปเช่นนี้ได้ก็ไม่เลวเช่นกัน นางจึงแสร้งเอ่ยปลอบอิ่นฮูหยินอย่างใจกว้าง ขณะเดียวกันก็กำชับให้องครักษ์หญิงประจำตัวไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของเฉิงเซ่าซาง

ครั้นได้ยินคำตำหนิติเตียนเสียงแล้วเสียงเล่า อิ่นสวี่เอ๋อจะยอมรับความผิดไว้ได้อย่างไร ทางหนึ่งร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล อีกทางหนึ่งร้องบอกเสียงรัวว่าตนถูกใส่ร้าย ทว่าก็หาพยานหลักฐานมาหักล้างไม่ได้ นับว่าถูกปรักปรำแทบตายแล้วจริงๆ! ใครจะรู้ว่าตอนนี้เฉิงเซ่าซางกลับเอ่ยขึ้นว่า “เป็นข้าเองเจ้าค่ะที่ตีพี่สวี่เอ๋อก่อน”

อิ่นสวี่เอ๋อเอียงหน้ามามองเฉิงเซ่าซางในอาการตาค้าง

วาจานี้พอกล่าวออกมา ผู้คนในห้องปีกล้วนตระหนกวูบ

หัวใจของอิ่นฮูหยินผ่อนคลายลง คิดในใจว่า แม่นางน้อยแม้อารมณ์ร้าย ตัวคนก็ยังเที่ยงธรรม มีเหตุมีผล

ต่างจากเซียวฮูหยินที่หัวใจเต้นตุบ อารมณ์แสนจะซับซ้อน จับจ้องบุตรสาวที่บาดเจ็บไปทั่วดวงหน้าแต่กลับดูไม่อินังขังขอบแต่อย่างใด

วั่นชีชีที่อยู่อีกด้านร้อนใจแล้ว นางเพียรปัดมือวั่นฮูหยินที่คว้าแขนตนไว้แน่น ก่อนเอ่ยเสียงดัง “น้องเซ่าซางยึดถือเหตุผลเป็นที่สุด นางจะไม่ตีคนส่งเดชเป็นอันขาด นี่ต้องมีสาเหตุแน่นอน เซ่าซาง เจ้าพูดสิ พูดออกมา!”

ที่เฉิงเซ่าซางรออยู่ก็คือคำพูดนี้ ในใจจึงตะโกนก้องว่า สหายช่างมีน้ำใจแท้! จากนั้นก็ถือโอกาสนี้ฟ้องร้องพลางปั้นสีหน้าเข้มแข็ง “นางพูดว่าข้าไม่มีบิดาไม่มีมารดา ไร้การอบรม กระทั่งตัวอักษรก็รู้จักแค่ไม่กี่ตัว หยาบกระด้างเหลือจะกล่าว!”

อิ่นซื่อชำเลืองตาเห็นเซียวฮูหยินหน้าขรึมลงก็ให้ปวดหัวไม่คลาย ระหว่างตบตีแขกกับด่าทอลบหลู่แขก ไม่รู้อย่างใดจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของน้องสาวต่างมารดาน้อยกว่ากัน นางเหลือบมองแม่ใหญ่ของตนอีกหน กลับพบว่าอีกฝ่ายนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ในดวงตาถึงกับเปียกชื้นหลายส่วน

ครานี้อิ่นสวี่เอ๋อไม่อาจร้องว่าถูกปรักปรำได้อีก เพราะนางเคยเอ่ยคำพูดเช่นนี้จริงๆ กระนั้นนางก็ยังอยากจะแย้งเหลือเกินว่าคำพูดเหล่านี้มิใช่เรื่องจริงหรือไร! พูดเรื่องจริงก็ผิดด้วยหรือ! ทว่าเมื่อเผชิญกับสีหน้าไม่ชวนมองของเหล่าผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านบน นางก็ตระหนักได้ว่าขืนพูดออกไปเช่นนี้จะต้องย่ำแย่กว่าเดิมแน่

อิ่นซื่อก้าวออกมาคลี่ยิ้มไกล่เกลี่ย “น้องสาวข้าพูดจาไม่เป็น ล่วงเกินคนไปไม่รู้ตั้งเท่าใดแล้ว ครานี้ถือเสียว่านางพูดผิดไป…”

“พี่สวี่เอ๋อมิได้พูดผิดเลยเจ้าค่ะ ไม่ผิดแม้สักคำสักประโยคเดียว” เสียงของเฉิงเซ่าซางเจือสะอื้นไห้ ตรอมตรมขมขื่น สุดแสนน่าสงสาร “ก็เพราะมิได้พูดผิด ข้าไม่อาจจะโต้แย้ง จึงได้แต่ลงไม้ลงมือ…”

วั่นชีชีฟังจนเดือดดาลสุดระงับ เลือดที่ร้อนระอุพุ่งถึงกระหม่อมในพริบตา

นางปัดการฉุดรั้งของวั่นฮูหยินสุดแรง แล้วกระโดดพรวดออกมาชี้หน้าอิ่นสวี่เอ๋อ “ดังคำว่าตีกันไม่ตีใบหน้า ด่ากันไม่ด่าปมด้อย! เป็นเพราะน้องเซ่าซางเกียจคร้านโง่เขลาจึงไม่ได้อ่านตำราเรียนรู้จรรยาให้ดีอย่างนั้นหรือ เจ้ามักอวดอ้างว่าได้รับการอบรมดีตามอย่างกุลสตรีเมืองหลวง รู้ทั้งรู้ว่าผู้อื่นมีเรื่องเจ็บปวดที่เก็บซ่อนไว้ในใจ เจ้าก็ยังไม่ลดราวาศอก นี่หรือคือการอบรมที่เจ้าอวดอ้าง!”

อิ่นสวี่เอ๋อปากอ้าลิ้นพัน หนนี้นางไม่อาจหักล้างถ้อยคำสวยหรูเต็มปากเต็มคำของวั่นชีชีได้อีก จึงทำได้เพียงร้องตะโกนอยู่ในใจต่อไปว่า สิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงทั้งนั้นนี่ เรื่องจริงทั้งนั้น!

เฉิงเซ่าซางสังเกตสีหน้าฝ่ายตรงข้ามแล้วให้บังเกิดความสงสารนิดๆ…สิ่งที่ไม่อาจพูดที่สุดบนโลกใบนี้ อันที่จริงมักมิใช่คำโป้ปดหรือให้ร้าย หากแต่เป็นเรื่องจริง

ชั่วขณะนี้คนที่เหลือนอกจากเซียวฮูหยินต่างสบตากัน รู้สึกว่าเรื่องราวกระจ่างแจ้งยิ่งแล้ว น่าจะเป็นเพราะอิ่นสวี่เอ๋อเอ่ยวาจาไร้มารยาทก่อน เฉิงเซ่าซางที่เยาว์วัยถูกยั่วยุจึงวู่วามชกหมัดเข้าใส่ น่าเสียดายตัวเล็กแรงน้อย สุดท้ายถูกอิ่นสวี่เอ๋อกดร่างตีไปหนึ่งยก นับอย่างไรก็เป็นเฉิงเซ่าซางที่เสียเปรียบ

วั่นชีชีไม่สนใจสายตาของมารดา ยังคงเติมไฟเข้าไปหนึ่งกอง เล่าเรื่อง ‘พุทรารังนกไหมทอง’ เมื่อครู่ก่อนนั้นออกมาหมดเปลือกในรวดเดียวแล้วเสริมอีกว่า “ท่านป้าอิ่น มิใช่ข้ายุแยงนะเจ้าคะ แต่น้องเฉิงยางก็ถูกนางรังแกเช่นกัน!”

อิ่นฮูหยินมีสีหน้าระทมทุกข์ เอ่ยด้วยท่าทางตาลอย “เฉิงยางเติบโตในบ้านผู้เป็นตา ก็ไม่มีบิดามารดาอยู่ข้างกาย”

วั่นชีชีคาดไม่ถึงว่าอิ่นฮูหยินจะมีท่าทีตอบสนองเช่นนี้ จึงชะงักไปเล็กน้อยก่อนกล่าว “มิผิดเจ้าค่ะ!”

เซียวฮูหยินเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็เบือนหน้า ใช้แขนเสื้อป้องบังแล้วร่ำไห้ “ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง เมื่อแรกหากข้าไม่ทิ้งเซ่าซางไว้ ก็จะไม่เป็นเช่นนี้แล้ว…”

เฉิงเซ่าซางลอบชื่นชมว่า หัวหน้าเซียวแห่งฝ่ายการศึกษาช่างแสดงได้ดียิ่ง อ่อนได้แข็งได้ ยืดได้หดได้ ขึ้นบนได้ถึงแท่นบัญชาการแม่ทัพ ลงล่างได้ถึงเวทีแสดงงิ้ว

มาถึงยามนี้อิ่นฮูหยินกลับเยือกเย็นขึ้นแล้ว นางคารวะเซียวฮูหยินอย่างสง่าภูมิฐาน เอ่ยวาจามีหลักการ “เรื่องนี้เป็นข้าต่างหากที่สอนบุตรสาวไม่เข้มงวด เจ้าวางใจได้ ข้าจะให้คำชี้แจงแก่เด็กทั้งสองแน่นอน วันนี้พวกเราสองสกุลผูกไมตรี อัธยาศัยตรงกัน วันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวไกล น้องสาว เจ้าไม่ควรอำลางานเลี้ยงไปในเวลานี้ จะทำให้ผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องขบขันเอาได้ มิสู้สั่งคนส่งเซ่าซางกลับจวนไปพักฟื้นก่อนจะดีกว่า”

เซียวฮูหยินมีปฏิภาณเพียงนี้ นางมองออกทันทีว่าสีหน้าของอิ่นฮูหยินผิดปกติ ต้องมีเรื่องลับส่วนตัวอย่างอื่นเป็นแน่ ทว่าเมื่อเกี่ยวพันถึงเรื่องในครอบครัวสกุลอิ่นก็ไม่เหมาะที่นางจะยุ่มย่ามให้มากความ นางจึงพาบุตรสาวออกไปโดยไม่ชักช้า

วั่นชีชีกังวลเรื่อง ‘ว่าที่พี่น้องร่วมสาบาน’ จะเสียโฉม จึงทิ้งมารดาไว้แล้วติดตามออกไปด้วย ปากก็งึมงำว่า “บ้านข้ามียาสมานแผลชั้นดี ข้าจะสั่งคนกลับบ้านไปหยิบประเดี๋ยวนี้”

ครั้นเห็นพวกนางออกไปแล้ว อิ่นฮูหยินก็ซวนเซทรุดลงบนม้านั่ง หยาดน้ำตาไหลพราก สีหน้าโศกสลดสุดบรรยาย

อิ่นซื่อตระหนกจนหน้าถอดสี นางกับแม่ใหญ่ผูกพันกันดียิ่ง จึงรีบคุกเข่าตรงหน้าอีกฝ่ายแล้วซักถามเสียงรัวอย่างรุ่มร้อนใจ “ท่านแม่ ท่านแม่เป็นอะไรไปเจ้าคะ!”

อิ่นฮูหยินป้องหน้าด้วยผ้าดิ้นแพร ร่ำไห้ไม่เอ่ยวาจา

มีเพียงวั่นฮูหยินที่ล่วงรู้อดีตของอีกฝ่าย จึงก้าวขึ้นหน้าไปเอ่ยเสียงนุ่มนวล “อาหยวน ผ่านไปแล้วนะ ล้วนผ่านไปหมดแล้ว บัดนี้…เจ้ามีครอบครัวที่สุขสมบูรณ์และก็เป็นย่าคนแล้ว บิดามารดาเจ้าในปรภพรับรู้ จะต้อง…จะต้อง…” พูดๆ อยู่วั่นฮูหยินเองก็ใช้แขนเสื้อป้องใบหน้าร่ำไห้ออกมาเบาๆ

อิ่นฮูหยินซับหยดน้ำตา เดินไปถึงตรงหน้าอิ่นสวี่เอ๋อที่นิ่งงันเป็นไก่ไม้ แล้วเงื้อมือตบหน้าบุตรสาวอย่างแรงหนึ่งฉาด ปรากฏรอยแดงขึ้นบนใบหน้าของอิ่นสวี่เอ๋อในทันที เห็นชัดว่าอิ่นฮูหยินออกแรงหนักเพียงใด

“ท่านแม่!”

“อาหยวน!”

อิ่นซื่อกับวั่นฮูหยินร้องอุทานออกมาพร้อมกัน

อิ่นสวี่เอ๋อถูกตบจนทึ่มทื่อไปทันตา นับแต่เกิดมานางมีบิดามารดารักใคร่ตามใจ มีพี่ชายพี่สาวรักถนอม อย่าว่าแต่ตีลงโทษเลย แม้แต่วาจาแรงๆ สักประโยคก็ไม่เคยเอ่ยกับนาง ครานี้ถูกตบหน้าเป็นหนแรกในชีวิต กระทั่งจะร้องไห้นางก็ถึงกับร้องไม่ออก

อิ่นฮูหยินจับจ้องบุตรสาวในไส้พลางเอ่ยเสียงเย็นชา “แต่เล็กข้าเองก็ไม่มีบิดามารดา ก่อนอายุสิบสองไม่เคยได้อ่านตำราสักม้วน ไม่เคยรู้จักอักษรสักตัว ข้าเองก็หยาบกระด้างเหลือจะกล่าว ไม่คู่ควรจะเป็นมารดาเจ้า! ต่อไปเจ้าอย่ามานับญาติกับข้าเลย ข้าไม่กล้ารับหรอก!”

ท่ามกลางหยาดน้ำที่พร่ามัวดวงตา อิ่นฮูหยินนึกถึงอดีต ตนเองก็เคยถือกำเนิดในรังอันแสนสุข มีครอบครัวที่ครบสมบูรณ์เช่นเดียวกับบุตรสาวในตอนนี้ ใครจะรู้จู่ๆ วันหนึ่งกลับถูกคนป้ายสีจนบ้านแตกสาแหรกขาด นางได้แต่เบิกตามองบิดากับพี่ชายถูกประหารกลางตลาด มารดาทุ่มสุดชีวิตพานางไปซ่อนตัวที่บ้านของวั่นฮูหยิน ไม่นานต่อมามารดาก็ล่วงลับไปอีกคน

เนื่องจากอายุยังน้อยได้รับความสะเทือนใจรุนแรง นางจึงเซื่องซึมทึ่มทื่อมาตลอดหลายปี ยังดีได้วั่นฮูหยินทุ่มเทดูแลปลอบประโลมดุจพี่สาวแท้ๆ กระทั่งปีที่นางอายุได้สิบขวบจึงมีสติแจ่มใสในที่สุด ต่อมาสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ศัตรูถูกกรรมตามสนองแล้ว บิดาของวั่นฮูหยินจึงได้กล้าพานางออกมา ส่งไปยังบ้านผู้เป็นอาที่อยู่แดนไกล

ท่านอากับอาสะใภ้ล้วนเป็นคนเมตตาอารี มองนางเสมือนบุตรสาวแท้ๆ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ กลางดึกภายใต้ผ้าห่ม นางที่เยาว์วัยก็ยังคงพรั่นใจว้าเหว่คะนึงหาบิดามารดา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเด็กสาวที่ข่มเหงนางกลุ่มนั้นเคยเยาะหยันว่านาง ‘ไม่มีบิดามารดาไร้การอบรม’ กี่ครั้งกี่หนแล้วก็สุดจะรู้

อิ่นซื่อกับอิ่นสวี่เอ๋อไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน จึงต่างตะลึงงันไปชั่วขณะ

 

อีกด้านใต้เท้าอิ่นจื้อที่กำลังเลี้ยงแขกอยู่ด้านหน้าได้ยินหญิงรับใช้อาวุโสมารายงานว่าภรรยาของเขาร่ำไห้ปวดร้าวไม่คลาย นอนซมไม่อาจจะลุกขึ้นได้ เขาก็รีบกลับห้องไปดู ภายหลังได้รู้สาเหตุ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตบหน้าบุตรสาวคนเล็กหนึ่งฉาดดังกังวานเช่นกัน จากนั้นด่าว่า “ลูกอกตัญญูที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” ตามด้วยว่ากล่าวสั่งสอนหนึ่งยก ตีมือด้วยไม้เรียว กับลงโทษคัดตำรา…ขาดก็แต่สั่งคุกเข่าในศาลบรรพชน

แม่นางน้อยอิ่นสวี่เอ๋อที่มีชีวิตราบรื่นดังใจมาสิบห้าปี ครานี้ถึงกับได้รับโทษเกือบครบชุดในรวดเดียว

เปรียบกับอิ่นสวี่เอ๋อผู้เผชิญพายุฝนอันขื่นขม เฉิงเซ่าซางทางนี้เรียกได้ว่ามีสายลมอ่อนพาหยดฝนพรำชโลมใจ

ภายหลังกลับถึงจวนสกุลเฉิง อาจู้เห็นคุณหนูบาดเจ็บไปทั้งหน้าทั้งศีรษะก็ปวดใจสุดจะทานทน หลั่งน้ำตาโดยไร้เสียงไปหนึ่งอ่างล้างหน้า ทว่าในขณะที่ช่วยคุณหนูผลัดเปลี่ยนชุดที่ฉีกขาดสกปรก กลับพบว่าใต้ร่มผ้ามีรอยแผลน้อยแสนน้อย ผิวพรรณอันอ่อนละมุนแทบจะสมบูรณ์ไร้ตำหนิ

“ข้าก็บอกแต่แรกแล้ว แผลเหล่านี้ไม่เป็นปัญหา ข้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรนะ” เฉิงเซ่าซางยิ้มตาหยีพลางตบไหล่อาจู้เบาๆ

ทักษะ! กุญแจสำคัญอยู่ที่ทักษะ! แม่นางน้อยแซ่อิ่นผู้นั้นเมื่อแรกมองดูเหมือนอาการไม่หนักหนา แต่เฉิงเซ่าซางรู้ว่าตนเองออกกระบวนท่าที่ร้ายกาจไป ต่อให้ร่างนี้เรี่ยวแรงไม่มาก ก็ต้องทำให้อิ่นสวี่เอ๋อนั่งนอนไม่สบาย กินอันใดล้วนไม่อร่อย

โดยเฉพาะหนึ่งเท้าที่นางเตะใส่ขา กับหลายขยุ้มที่นางหยิกใส่เอวของอิ่นสวี่เอ๋อนั้น อย่างแรกเดินตามแนวทางหนักแน่นกลมกลืนของสำนักเส้าหลิน อย่างหลังยึดตามหลักสายลมไล้ใบหน้าของสำนักอู่ตัง ระดับทักษะเรียกได้ว่าทะลุเกณฑ์ ขั้นต่ำแม่นางน้อยแซ่อิ่นต้องเจ็บไปสามวัน หากเจ็บน้อยไปกว่านั้นหนึ่งวันก็เขียนชื่อเฉิงเซ่าซางกลับหลังได้เลย!

เฉิงเซ่าซางรู้ว่าประเดี๋ยวเซียวฮูหยินกลับมา ยังจะมีศึกหนักรอนางอยู่ หลังล้างเนื้อล้างตัวและกินอาหารกลางวันที่มีผักเนื้ออุดมสมบูรณ์ไปหนึ่งมื้อจึงรีบขึ้นเตียงไปพักผ่อน กอดผ้าห่มหลับสบายไปถึงยามบ่าย ครั้นตื่นขึ้นมาเห็นดวงตะวันคล้อยสู่ทิศตะวันตกค่อยรู้ว่าคนสกุลเฉิงล้วนกลับจวนมาครบทุกคนแล้ว ไม่ผิดจากที่คิด อาจู้เอ่ยอย่างหวั่นวิตกว่าเซียวฮูหยินสั่งให้คุณหนูตื่นแล้วไปยังโถงเก้าอาชาในทันที

เฉิงเซ่าซางหยิบคันฉ่องเล็กแบบมีด้ามจับที่พี่รองเฉิงซ่งเพิ่งมอบให้บานนั้นมาส่องดูซ้ายขวา มองภาพหัวหมูที่เล็กน่ารักในคันฉ่องพลางลอบจุปากชื่นชม รู้สึกว่าหนนี้ตนควบคุมสถานการณ์ได้เหมาะเจาะล้ำเลิศโดยแท้ ผลที่ต้องการก็คือเช่นนี้นี่ล่ะ

ครานี้ความมั่นใจของนางยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 .. 65 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: