บทที่ 32
เฉิงเซ่าซางเริ่มจากเปลี่ยนมาสวมชุดชวีจวีกลางเก่ากลางใหม่เนื้อผ้าอ่อนนุ่มแนบลำตัว สั่งคนไปแจ้งเซียวฮูหยินว่าตนกำลังไป จากนั้นย่างฝีเท้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน ครั้นเดินไปได้ครึ่งทาง นางขบคิดเล็กน้อยก็เรียกให้เหลียนฝางไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายทั้งสาม ทั้งบอกเหลียนฝางว่าเล่าสถานการณ์ให้ร้ายแรงหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา…เกิดตนถกเถียงจนไฟลุกขึ้นมา ย่อมต้องเตรียมกลุ่มผู้ดับเพลิงไว้ให้พร้อมสรรพ
เมื่อไปถึงโถงเก้าอาชา แลเห็นเฉิงสื่อสามีภรรยานั่งสูงตรงตำแหน่งประธาน เฉิงจื่อกับซังซื่อนั่งอยู่ด้านข้าง แต่ละคนมีสีหน้าต่างกันไป
เซียวฮูหยินกลั้นใจรออย่างเคร่งขรึม สีหน้าบ่งชัดว่าจะต้อง ‘ถกกับเจ้าให้กระจ่าง’ ผิดกับซังซื่อที่โปรยยิ้มเย้ามาให้ ส่งสายตาบ่งบอกว่า ‘ข้ามาช่วยเจ้า’ พาให้ในใจเฉิงเซ่าซางซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
ฝ่ายเฉิงจื่อกำลังฝืนกลั้นหาว เดิมทีเขาอยากนอนยามบ่ายสักหน่อย ทว่าภรรยาจะมาชมดูศึกประลองกำลังระหว่างคู่แม่ลูกนี้ให้ได้ เขาจึงได้แต่ติดตามมา
มีเพียงเฉิงสื่อแม้จะรับรู้แต่แรกว่าเกิดเรื่องใดขึ้น กระนั้นทันทีที่เขาเห็นบุตรสาวก็ยังคงร้องเสียงหลง “เหนียวเหนี่ยว! ไหนบอกว่าแค่ทะเลาะกัน เด็กแซ่อิ่นนั่นถึงกับตีเจ้าจนเป็นเยี่ยงนี้! ลูกพ่อ เจ้าเจ็บหรือไม่”
นายท่านผู้เฒ่าเฉิงรูปงามจนเป็นที่ตกตะลึงไปทั่ว ทว่าตนในฐานะบุตรชายคนโตกลับไม่ได้รับสืบทอดมาแม้แต่น้อย ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าวัยเด็กเฉิงสื่อเสียดายเพียงใด กว่าเขาจะได้บุตรสาวโฉมงามมาสักคนเช่นนี้ง่ายดายหรือไร แต่เด็กแซ่อิ่นกลับยังมาบ่อนทำลายกันอีก หรือจะเป็นเพราะริษยา?!
เดิมเซียวฮูหยินกลั้นลมหายใจปั้นหน้าเคร่งขรึมเที่ยงธรรม พอได้ยินถ้อยคำของสามี ความพยายามก็พลันพังทลาย นางหันขวับไปมองเขาอย่างจนใจ “แม่นางสกุลอิ่นก็ถูกตีบาดเจ็บเช่นกัน ท่านอย่าเอาแต่ห่วงลูกตนเองสิ!”
เฉิงสื่อคลางแคลง “ใบหน้าของแม่นางน้อยสกุลอิ่นก็ถูกตีจนมีสภาพนี้?” เขาชี้มือไปยังใบหน้าของเฉิงเซ่าซางที่บวมเป่งดั่งหัวหมู
เซียวฮูหยินลำคอตีบตัน เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยตอบได้ “นาง…นางบาดเจ็บตรงจุดอื่น”
“แม่นางน้อยตีกันหมัดอ่อนเท้าเบา ไม่มีทางเจ็บหนักหรอก จะสามารถทำให้ซี่โครงหรือว่ามือเท้าหักกันได้อย่างไรเล่า ยังจะมีจุดอื่นสำคัญไปกว่าใบหน้าอีกหรือ!” ฝ่ามือใหญ่ของเฉิงสื่อตบลงบนโต๊ะอย่างแสนเจ็บแค้น “เหนียวเหนี่ยวยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมายเลยนะ! หากใบหน้านี้รักษาไม่หาย ข้าไม่เลิกรากับคนสกุลอิ่นแน่!” ด้วยเหตุนี้ในโถงจึงได้ยินแต่เสียงคำรามก้องของเฉิงสื่อ ทั้งฟังแล้วยังมีเหตุผลยิ่ง
เซียวฮูหยินอับจนถ้อยคำ ถึงกับลืมไปว่าตนเองจะพูดอันใด
ความจริงด้วยเป็นคนทำงานเก่งเจนจัด นางมีหรือจะไม่ระวังในจุดนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าองครักษ์หญิงประจำตัวนางที่แตกฉานการเยียวยาแผลภายนอกผู้นั้นได้ยืนยันแล้วว่าแผลไม่เป็นอันใดใหญ่โต ก่อนหน้าจะส่งเฉิงเซ่าซางกลับจวนยังพาแวะไปร้านหมอที่เชื่อถือได้ ทั้งหมอก็พูดว่าพอหายดีแล้วบนใบหน้าจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
สำหรับส่วนที่อยู่ใต้ร่มผ้า…อาจู้ก็ได้มารายงานแต่แรกแล้ว
ซังซื่อก้มหน้ากลั้นยิ้ม เฉิงจื่อค้อนภรรยาหนึ่งขวับ เขาก็บอกแต่แรกแล้วว่ามีพี่ใหญ่อยู่ หลานสาวมีหรือจะเสียเปรียบ!
เซียวฮูหยินไม่ไปสนใจหัวข้อที่สามีกำลังพาหลงประเด็น นางปรับอารมณ์เสร็จก็ถามบุตรสาวตรงๆ “เซ่าซาง แม่ถามเจ้า วันนี้เจ้ารู้ผิดหรือไม่”
“…ถูกตีจนเป็นเยี่ยงนี้แล้ว เจ้ายังจะเอาผิดนาง?”
“ลูกรู้ผิดเจ้าค่ะ”
เฉิงสื่อกับเฉิงเซ่าซางเปล่งเสียงโดยพร้อมเพรียง จากนั้นสองพ่อลูกก็เบิกตามองกัน
เซียวฮูหยินปวดหัวยิ่ง ทุ่มแรงผลักสามีออกห่าง เป็นการสั่งให้เขาหุบปาก เสร็จแล้วนางค่อยเอ่ยต่อ “ดี เซ่าซาง เช่นนั้นเจ้าว่ามา เจ้าผิดตรงที่ใด”
เฉิงเซ่าซางเงยหน้ายืดอกตอบ “ไม่ว่าผู้อื่นจะฉีกหน้าลบหลู่ลูกเช่นไร ลูกล้วนไม่ควรลงไม้ลงมือ ท่านพ่อท่านแม่วางใจได้ ต่อไปเว้นแต่ตอบโต้กลับ ลูกจะไม่ต่อยตีกับผู้อื่นอีกเจ้าค่ะ”
ด้วยคาดไม่ถึงว่าบุตรสาวจะรับผิดอย่างเฉียบขาดเช่นนี้ เซียวฮูหยินจึงลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าว “เช่นนั้นเจ้าตั้งใจจะแก้ไขอย่างไร”
“แก้ไขอย่างไร…” เฉิงเซ่าซางเบ้ปาก “ไม่ต้องแก้แล้วกระมังเจ้าคะ ไหนๆ ต่อไปลูกก็น่าจะไม่ค่อยไปมาหาสู่กับพวกนาง คงเจอกันอีกไม่กี่หน มีไมตรีผิวเผินแค่เพียงผงกศีรษะทักทายกันก็พอ”
ผู้คนในโถงต่างตะลึงงัน เซียวฮูหยินขมวดคิ้วถาม “วาจานี้เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
เฉิงเซ่าซางอยากจะเปิดใจกับบิดามารดาเรื่องอนาคตนานแล้ว ตอนนี้โอกาสเหมาะเจาะ นางจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ด้วยชาติตระกูลของสกุลอิ่น วันหน้าพี่สวี่เอ๋อต้องแต่งเข้าวงศ์ตระกูลที่ทัดเทียมกันในเมืองหลวง ส่วนลูกหากมิใช่กลับชนบท ก็คือแต่งเข้าตระกูลผู้มีความรู้ในป่าเขา ต่อไปยังจะพบหน้ากันอีกสักกี่หน”
กล่าวง่ายๆ ว่าตระกูลสามีในอนาคตของนางหากมิใช่แบบสกุลเก่อที่เป็นตระกูลใหญ่ในชนบท มีเงินมีอำนาจมีบารมีในท้องถิ่นทว่าห่างไกลจากราชสำนัก ก็ต้องเป็นตระกูลคหบดีที่เพาะปลูกสุจริตและให้ความสำคัญกับการศึกษา หากมีผู้เล่าเรียนประสบผลสำเร็จ อาจไต่เต้าไปถึงระดับสกุลเดิมของซังซื่อ สามารถเขียนตำรานำเสนอหลักคิดของตนและเปิดภูเขารับศิษย์ ทว่าหากการเรียนธรรมดา…เช่นนั้นก็มีแต่ธรรมดาสามัญไปทั้งชีวิต
คำตอบนี้พอกล่าวออกมา เซียวฮูหยินเริ่มจากชะงักกึก ก่อนมองไปทางสามีเป็นอันดับแรก ใครจะรู้เฉิงสื่อก็มีสีหน้าแข็งค้างเช่นกัน ต่อเมื่อเห็นแววตาอันเจิดจ้าของภรรยามองมา จึงค่อยรีบโบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่ได้พูดอันใดเลยนะ!” ตัวเขาเองก็ตกใจมาก เห็นกันอยู่ว่านี่เป็นคำพูดที่พวกเขาสามีภรรยาหารือกันเป็นส่วนตัว ไฉนบุตรสาวจึงล่วงรู้ได้เล่า!
“พี่ใหญ่ ท่านหลุดปากพูดไปใช่หรือไม่” เฉิงจื่อหัวเราะซ้ำเติมเฉิงสื่อ
ดวงตาพิโรธของเฉิงสื่อถลึงกลับไปทันที “เจ้าเด็กนี่ หุบปากไปเสีย! ควรไม่ควรพูด ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ!”
เฉิงเซ่าซางเอ่ยเจืออารมณ์ยิ้มเยาะตนเอง “ที่แท้ท่านพ่อท่านแม่ก็ตั้งใจไว้เช่นเดียวกัน คิดเห็นไปในทางเดียวกันพอดีเลยเจ้าค่ะ” นางคิดแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
เซียวฮูหยินเบือนหน้าไปไม่พูดจา เฉิงสื่อกระอักกระอ่วนยิ่ง ส่วนเฉิงจื่อเพิ่งรู้ตัวว่าพลั้งปาก จึงไม่กล้าจะมองพี่ชายคนโต
มีเพียงซังซื่อที่เอ่ยด้วยถ้อยคำอันนุ่มนวล “เหนียวเหนี่ยว เจ้าทายออกได้อย่างไรหรือ” ขนบของผู้คนยุคนี้เปิดกว้าง มิได้ห้ามเด็กสาวเอ่ยกับญาติมิตรถึงความต้องการจะออกเรือน
“นี่มีอันใดทายยากหรือเจ้าคะ”
เฉิงเซ่าซางคลี่ยิ้มน้อยๆ “ปีหน้าข้าก็จะปักปิ่นแล้ว ท่านแม่วางแผนงานล่วงหน้าเสมอมา จะต้องคิดอ่านไว้แล้วเป็นแน่ ท่านแม่ไม่สอนข้าปลอบขวัญทหารใต้บังคับบัญชา ผูกใจคนในครอบครัวของพวกเขา นั่นเพราะวันหน้าตระกูลสามีของข้าจะไม่มีทหารบริวาร ท่านแม่ไม่สอนข้าเกี่ยวกับลำดับสายตระกูลและธรรมเนียมการคบค้าของชนชั้นสูง นั่นเพราะวันหน้าข้าจะไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนเหล่านี้ พักนี้ท่านแม่กลับหยิบสมุดบัญชีของเรือนสวนมาให้ข้าดูหลายม้วน ยังนำผู้ดูแลสองสามคนมาชี้แจงงานในเรือกสวนไร่นากับข้าด้วย เรื่องอ่านตำราเขียนอักษรก็ยังคงกวดขันข้าโดยตลอด…ทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อการนี้หรอกหรือ”
ฟังเด็กสาวร่ายยาวจนจบ สามีภรรยาสองคู่ในโถงต่างมองหน้ากันไปมา ผ่านไปเนิ่นนานเห็นพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ล้วนเงียบงัน เฉิงจื่อจึงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เหนียวเหนี่ยว เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉิงเซ่าซางตอบอย่างผ่อนคลาย “ข้ารู้สึกว่าความคิดนี้ของท่านพ่อท่านแม่ดียิ่งเจ้าค่ะ” อันที่จริงนางเคยขบคิดปัญหาข้อนี้นานแล้ว แน่นอนว่านางพิจารณาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานในอนาคต
เฉิงสื่ออึกอัก อยากจะบอกเหลือเกินว่า ‘นี่ไม่ใช่ความคิดของพ่อนะ’ แต่ในที่สุดก็ยังคงข่มกลั้นไว้
ไม่คาดเฉิงเซ่าซางกลับมีสีหน้าจริงจัง เอ่ยกับเฉิงสื่ออย่างเป็นการเป็นงาน “ท่านพ่อ ท่านรู้จักลูกดี รู้ว่าลูกไม่ยอมเสียเปรียบใคร ทั้งชอบคิดการใหญ่ ภายหน้าตอนที่ท่านเลือกคู่ครองให้ลูก ต้องดูอุปนิสัยของคนทั้งบ้านเลยนะเจ้าคะ เลือกที่อารมณ์เย็นโอนอ่อนผ่อนตาม อย่าได้มายุ่มย่ามมัดมือมัดเท้าลูกเชียว หาไม่ลูกได้ตีกับผู้อื่นหัวร้างข้างแตกแน่! วันข้างหน้าจะใช้ชีวิตอย่างไร ลูกมีความคิดของลูกเองเจ้าค่ะ”
เมื่อมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับทรัพย์สินที่มั่นคง นางก็จะอยู่ในเรือนสวนทำการทดลองความคิดของตนได้ดังใจหวัง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเกษตร พันธุ์พืช หรือสินค้าฟุ่มเฟือย ให้เวลานางห้าปี นางมีความมั่นใจว่าจะทำให้ฐานะการเงินของทางบ้านพลิกโฉมครั้งใหญ่
ไหนๆ นางก็รำคาญที่จะพบเจอแม่นางน้อยปากพล่อยกลุ่มนั้น อยู่ว่างรู้จักแต่พูดไร้แก่นสาร ไม่ใช่เอ่ยถึงดอกไม้แซมผม ก็ต้องเอ่ยถึงอาภรณ์ เครื่องประดับ แป้งชาด ของว่าง แล้วก็ชายหนุ่ม ไม่สร้างสรรค์เลยสักนิด หากหวังพึ่งพาพวกนาง ความปรารถนาที่จะเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งแข็งแกร่งจะเป็นจริงไปได้อย่างไรกัน!
ถ้อยคำเอ่ยมาถึงตรงนี้ ดูเหมือนอันใดก็ล้วนไม่ต้องพูดแล้ว เห็นสีหน้าแน่ใจของบุตรสาว ในใจเซียวฮูหยินก็อัดอั้นอย่างรุนแรง
นางรู้สึกว่าบุตรชายสี่คนรวมกันยังทำให้นางโมโหได้ไม่เท่าบุตรสาวคนเดียวนี้เลย ปัญหาคือหากเฉิงเซ่าซางพูดผิดนางย่อมโกรธ ทว่าเมื่อเฉิงเซ่าซางพูดถูกทั้งหมดนางก็ยังคงโกรธ ซ้ำไม่รู้ด้วยว่าตนเองกำลังโกรธอันใดอยู่
“เช่นนั้นหากแม่ให้เจ้าไปขออภัยแม่นางอิ่นเล่า” เซียวฮูหยินสองมือค้ำยันหน้าตักพลางโพล่งถามขึ้น
“ลูกไม่ไปเจ้าค่ะ” เฉิงเซ่าซางตอบอย่างกระชับชัดเจน “อิ่นสวี่เอ๋อพูดจาทำร้ายคน ถูกตีก็สมควรแล้ว จริงอยู่ว่าลูกไม่ควรลงมือก่อน อย่างมากต่อไปลูกคอยหลบเลี่ยงนางก็แล้วกัน แต่หากนางยังคงอุตส่าห์พาตัวมาชวนตี ก็ไม่อาจจะโทษลูกแล้ว!”
เห็นท่าทีพยศดื้อรั้นของบุตรสาว เซียวฮูหยินก็ยืนพรวดขึ้นเอ่ยเสียงเย็น “ขวัญกล้านัก! แม่จะดูซิว่าเจ้าจะรู้ผิดหรือไม่ องครักษ์…”
เสียงเรียกยังไม่ทันขาดคำ เฉิงหย่งสามพี่น้องที่เพิ่งรุดมาถึงโถงเก้าอาชาได้ยินเข้าพอดี จึงรีบพุ่งตัวเข้ามา เฉิงหย่งกับเฉิงซ่งกอดขาเซียวฮูหยินไว้คนละข้าง พากันพูดเสียงรัว
“ท่านแม่โปรดระงับโทสะ”
“เหนียวเหนี่ยวเพิ่งถูกต่อยตีมา จะโบยลงโทษนางซ้ำไม่ได้เชียว”
เฉิงเซ่ากงไม่มัวพูดพร่ำทำเพลง ฉุดดึงเฉิงเซ่าซางแล้วพาวิ่งไปเบื้องนอกทันที เซียวฮูหยินยังไม่ทันได้พูดสักประโยค คู่แฝดก็วิ่งหายไปดั่งควันสายหนึ่งแล้ว
เซียวฮูหยินโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เตะบุตรชายเท้าละหนึ่งคน “จงไสหัวไปให้หมด! ใครบอกกันว่าข้าจะโบยนาง!”
เฉิงหย่งกับเฉิงซ่งตะลึงค้าง เมื่อครู่พวกเขาฟังจากที่เหลียนฝางเล่าความ ยังนึกว่าคับขันถึงขั้นไม้พลองกระทบร่างแล้วด้วยซ้ำ
เฉิงสื่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างตบไหล่บุตรชายสองคนก่อนพูดอย่างสบายอารมณ์ “วางใจได้ วันนี้ท่านแม่ของพวกเจ้าไม่ได้คิดจะโบยลงโทษเหนียวเหนี่ยวจริงๆ นางเพียงเรียกให้อาชิงเตรียมแผ่นไม้ไว้จำนวนหนึ่ง น่าจะลงโทษเหนียวเหนี่ยวคัดอักษรเท่านั้น”
เฉิงสื่อพูดพลางเหลือบมองภรรยา เซียวฮูหยินก็ขึงตากลับไปอย่างหัวเสีย
“พวกเจ้ายังไม่รีบไสหัวไป? รออยู่รับโทษหรือ!” เฉิงสื่อตะคอกใส่ บุตรชายสองคนก็ถอยออกจากโถงไปอย่างรีบร้อนลนลาน
เฉิงสื่อหันไปด้านข้าง มองน้องชายคนเล็กกับน้องสะใภ้ที่กลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น ในใจพลันผุดความคิดหนึ่ง ทว่าตอนนี้เก็บเงียบไว้ก่อน ปากกล่าวเพียงว่า “พวกเจ้าสองคนยังอยากจะชมงิ้วอีกนานเท่าใด จงกลับไปเดี๋ยวนี้!”
ซังซื่อกลั้นหัวเราะ เดิมทีนางกลัวเฉิงเซ่าซางจะถูกเซียวฮูหยินลงโทษ อยากช่วยผ่อนคลายสถานการณ์บ้าง ใครจะรู้กลับได้ชมงิ้วสนุกหนึ่งฉาก ยามนี้งิ้วจบแล้ว นางจึงรีบสะกิดเรียกสามี คารวะกล่าวอำลา
ก่อนจะก้าวออกจากประตูโถง ซังซื่อพลันเหลียวกลับมากล่าว “เซ่าซางยังคงไร้เดียงสาเหลือเกิน”
ชั่วขณะเซียวฮูหยินกับเฉิงสื่อไม่อาจเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ทว่าซังซื่อมิได้ชี้แจงเสริมก็ออกจากประตูไปกับเฉิงจื่อแล้ว
ในโถงเก้าอาชายามนี้คงเหลือเพียงสามีภรรยาสองคน
เซียวฮูหยินยังคงโกรธจนหน้าอกยุบพองอย่างรุนแรง เฉิงสื่อจึงใช้สองมือกดพาร่างภรรยานั่งลงช้าๆ ก่อนยิ้มประจบ “ข้าพูดไว้อย่างไร บอกแล้วว่าอย่าหาความหงุดหงิดใจใส่ตัว เจ้าก็ไม่ยอมฟัง หลายวันนี้เจ้ายังมองไม่ออกหรือ เหนียวเหนี่ยวก่อนลงมือล้วนคิดคำแก้ต่างไว้ก่อนแล้ว เจ้าไม่อาจโบยนางได้สักหน่อย นอกจากอารมณ์เสียเปล่าๆ แล้ว ยังจะได้ผลดีอันใดเล่า” แม้กำลังโน้มน้าวภรรยา ทว่าในถ้อยคำก็อำพรางความภาคภูมิใจไว้ไม่มิด
เซียวฮูหยินตัดพ้อ “มิใช่พวกท่านพ่อลูกหรอกหรือที่ให้ท้ายนาง ซ้ายขวางขวากั้น กลัวแต่ว่าข้าจะกินนางลงไป! หากทำแบบสมัยที่พวกหย่งเอ๋อร์ยังเล็ก ยอมให้ข้างัดโทษโบยออกมา ไม่ใช่จะโบยจริง แค่ขู่ขวัญเสียบ้างก็ยังดี ดูซินางจะกลัวหรือไม่!”
“บุตรสาวจะโบยลงโทษเหมือนบุตรชายได้อย่างไรกัน ร่างกระจิริดของเหนียวเหนี่ยวจะทานรับได้กี่ไม้” เฉิงสื่อไม่เห็นพ้อง “เมื่อแรกเจ้าก็พูดเองว่าบุตรชายหญิงนั้นแตกต่าง บุตรชายอาจก่อภัยใหญ่ บุตรสาวเพียงแค่ออกเรือน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การลงโทษย่อมเหมือนกันไม่ได้”
เซียวฮูหยินโมโหจนสลัดมือของสามีออกแล้วขึงตากล่าว “ดีนักนะ ท่านมารอดัดหลังข้าอยู่ตรงนี้ เป็นข้าที่ติดค้างบุตรสาว ท่านจึงตั้งใจจะงัดเรื่องนี้มาช่วยให้นางรอดตัวจนชั่วชีวิตเลยใช่หรือไม่!”
“เอาล่ะๆ ไม่พูดแล้วๆ ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรไปหาพี่วั่นก่อนเวลา หากมิใช่ต้องการไปพร้อมกันสองบ้าน พวกเราไปสกุลอิ่นสายหน่อย งานเลี้ยงเริ่มแล้ว นักกายกรรมแสดงแล้ว มีผู้ใหญ่อยู่ด้านข้าง กลุ่มแม่นางน้อยมีหรือยังจะเกิดเรื่องชวนกลุ้มมากเช่นนี้ได้!” เห็นภรรยาโกรธแล้วจริงๆ เฉิงสื่อก็รีบขยับเข้าไปปลอบโยน
วาจาชวนฟังกล่าวจนสิ้น ปลอบโยนอยู่เป็นนาน เฉิงสื่อค่อยยิ้มกล่าว “ความจริง…ข้ายังนึกว่าวันนี้เจ้าจะตำหนิเหนียวเหนี่ยวเรื่องที่นางต่อว่าแม่นางสกุลอิ่นต่อหน้ากลุ่มแม่นางน้อยเสียอีก ใครจะรู้เจ้ากลับไม่เอ่ยถึงสักประโยค เป็นอย่างไร เจ้าเองก็รู้สึกว่าเหนียวเหนี่ยวต่อว่าได้ดีกระมัง”
แม้ถูกสามีคาดเดาความในใจได้ถูกเผง เซียวฮูหยินก็ยังคงไม่ยอมแพ้ “นั่นเป็นเพราะพวกท่านพ่อลูกมาก่อกวน ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องถามนางว่าเหตุใดพูดคุกคามผู้อื่นเยี่ยงนั้น ไม่กลัวจะก่อเรื่องให้สกุลเฉิงหรือไร ข่มทนสักนิดไม่ได้เลยเชียวหรือ!”
“ไม่ต้องแสดงแล้ว เป็นสามีภรรยากันมาหลายสิบปี ข้ายังไม่รู้จักเจ้าอีกหรือ หากเจ้ายอมกล้ำกลืนข่มทน ปีนั้นก็คงไม่เรียกให้ข้าไปอุดกั้นลำน้ำฮ่วนสุ่ย ท่วมกระโจมส่วนตัวของคนแซ่โต้วนั่นไปกว่าครึ่งหรอก” เฉิงสื่อเอ่ยกลั้วหัวเราะหึๆ
เซียวฮูหยินพูดอย่างแง่งอน “ท่าน…คนไร้มโนธรรม! คนแซ่โต้วนั่นหยามหยันท่านในงานเลี้ยง ท่านกลับยอมอดทนข่มกลั้น! ท่านอาของเขาให้ความสำคัญต่อท่าน เขาก็เป็นเดือดเป็นแค้น คนไร้ฝีมือนั่น สุดท้ายผู้เป็นอาก็เดือดร้อนเพราะเขา!”
“แต่ผู้ที่แม่นางน้อยสกุลอิ่นหยามหยันไม่ใช่เหนียวเหนี่ยวสักหน่อย เป็นยางยางต่างหาก” เฉิงสื่อตบหน้าขาหัวเราะร่วน ก่อนจะประชิดใกล้ดวงหน้าภรรยา “เจ้ารู้สึกมาตลอดว่าเหนียวเหนี่ยวอุปนิสัยไม่ดีนัก ทว่ายามสำคัญนางกลับยอมปกป้องญาติผู้พี่ของตน ไม่ปล่อยให้ผู้อื่นข่มเหงได้เป็นอันขาด หากนางเงียบไม่ส่งเสียง นั่นสิถึงจะไร้คุณธรรมน้ำใจ!”
เซียวฮูหยินนิ่งไม่พูดจา เนิ่นนานค่อยเอ่ยอย่างปากแข็ง “คนครอบครัวเราคำนึงถึงไมตรีพี่น้องมาแต่ไหนแต่ไร ลูกอกตัญญูนั่นยังนับว่าไม่นอกคอก” นางเว้นเล็กน้อยก่อนถอนหายใจ “ต่อมาข้าจูงชีชีมาถามเหตุการณ์อย่างละเอียดแล้ว เฮ้อ ยางยางยังคงอ่อนแอไปสักหน่อย ต่อให้ไม่อาจตอบโต้ในทันที ภายหลังก็น่าจะพูดถ้อยคำตามสถานการณ์สักสองประโยคจะได้ไม่ถูกผู้อื่นดูเบา เพียงแต่น้ำคำของเหนียวเหนี่ยวยังคงคมกริบเกินไป ไม่กลัวผูกศัตรูเสียบ้างเลย…”
“กลัวอันใดเล่า เป็นเพราะข้ากลัวอิ่นจื้อ? หรือเป็นเพราะพวกเราไปประจบประแจงสกุลอิ่น?” เฉิงสื่อเชิดหน้ายืดอกกล่าว “สกุลอิ่นบุตรหลานมากเพียงนั้น ย่อมจะมีคนที่ชอบสวมชุดนักรบไม่ชอบเล่าเรียน พวกเราสองสกุลต่างมีสิ่งที่ต้องการจากกันและกัน สองฝ่ายเท่าเทียม ถือสิทธิ์อันใดให้พวกเราต่ำกว่าหนึ่งขั้น! วันนี้หากมิใช่เหนียวเหนี่ยวโต้กลับไปซึ่งหน้า รอแม่นางน้อยกลุ่มนั้นกลับบ้านไปเล่าให้ญาติผู้ใหญ่ฟัง ต่อไปข้าเฉิงสื่อยังจะเงยหน้าได้อยู่หรือ”
เซียวฮูหยินทอดถอนใจก่อนเอ่ยอย่างวิตก “หนนี้แล้วไปเถิด สกุลอิ่นพวกเรายังตอแยไหว อีกอย่างผู้อื่นก็ใจกว้าง แต่วันหน้าหากเป็นตระกูลที่พวกเราตอแยไม่ไหวเล่า ขืนเหนียวเหนี่ยวบุกตะลุยเปะปะเยี่ยงนี้อีกจะทำเช่นไร”
เฉิงสื่อจงใจเอ่ยเย้าภรรยาอย่างแสนมองโลกในแง่ดี “หากเป็นตระกูลที่พวกเราตอแยไม่ไหว เหนียวเหนี่ยวก็ไม่ต้องไป ให้ยางยางไปร่วมงานเลี้ยง จะอย่างไรนางก็กล้ำกลืนข่มทนแน่ ฮูหยินเห็นว่าเป็นอย่างไร”
หนนี้เซียวฮูหยินมิได้แยแสคำหยอกเย้าของสามี เงียบงันครู่หนึ่งก่อนจะพลันเอ่ย “ราชวงศ์ก่อนมีบุตรหลานตระกูลขุนนางอยู่ผู้หนึ่ง ทุกคนในครอบครัวเป็นผู้มีอำนาจวาสนา ต่อมาตัวเขาเองก็ได้แต่งกับองค์หญิง ใครจะรู้ว่าสามีภรรยาสองคนอุปนิสัยไม่เข้ากัน มีปากเสียงกันทุกวัน สุดท้ายราชบุตรเขยผู้นั้นอดทนคำหยามหมิ่นขององค์หญิงไม่ไหว สังหารองค์หญิงในดาบเดียว ฮ่องเต้กริ้วหนัก ราชบุตรเขยผู้นั้นตลอดจนบิดามารดาจึงถูกพระราชทานความตายพร้อมกัน”
เฉิงสื่อฉงน “เจ้าต้องการจะพูดอันใด”
เซียวฮูหยินมองไปที่ข้างประตูก่อนเบาเสียงพูด “ข้าเคยบอกแล้ว ข้าวางใจจะตบแต่งยางยางเข้าตระกูลใดก็ได้ ท่านยังหาว่าข้าลำเอียง อันที่จริงข้ารู้แจ้งแก่ใจว่านี่เป็นวาจาที่สะเทือนอารมณ์และผิดต่อน้องรองอย่างยิ่ง พูดแบบไม่ชวนฟังคือหลังจากยางยางออกเรือนไป เลวร้ายที่สุดของที่สุดก็แค่ถูกรังแกแล้วไม่กล้าตอบโต้ วันใดทนต่อไปไม่ไหว หย่ากลับบ้านมาก็หมดเรื่อง ทว่าเหนียวเหนี่ยวเล่า นางจะต้องสู้ตายสักตั้งแน่ ส่วนใหญ่เคราะห์ภัยก็มักจะจุดชนวนขึ้นเช่นนี้นี่เอง!”
เฉิงสื่อไม่อาจโต้แย้ง สุดท้ายจึงเอ่ยอย่างจนใจ “ถ้าอย่างไร…พวกเราหาครอบครัวสามีที่อารมณ์เย็นโอนอ่อนผ่อนตามอย่างที่เหนียวเหนี่ยวบอกดีหรือไม่ เพียงแต่เหนียวเหนี่ยวรับปากพวกเราแล้วว่าต่อไปจะไม่ต่อยตีกับผู้อื่นอีกนี่”
ในน้ำเสียงของเซียวฮูหยินถึงกับแฝงความอ่อนแรงอยู่หลายส่วน “นึกไม่ถึงจริงๆ ในชีวิตของข้าเซียวหยวนอีจะต้องหวั่นวิตกว่าบุตรสาวจะไปต่อยตีกับใคร…จริงสิ พวกเซ่ากงพาเหนียวเหนี่ยวไปที่ใดกันแน่ ดูเหมือนข้างนอกหิมะจะตกแล้ว เรียกนางกลับห้องของนางเถิด ข้าจะไม่กินนางหรอก ยังมีซุ่นหวา…เฮ้อ ข้าเข้าใจความหมายของประโยคที่นางพูดทิ้งท้ายแล้ว”
จริงอยู่บุตรสาวมีไหวพริบแหลมคม ไม่ละโมบในเกียรติอันจอมปลอม จวนสกุลอิ่นวิจิตรตระการตาก็ไม่เห็นนางมีท่าทีอิจฉา ทั้งยังรู้จักรักพี่น้อง ทว่านางไร้เดียงสามากจริงเสียด้วย นางยังไม่เคยประจักษ์ว่าอำนาจที่แท้จริงนั้นปิดฟ้าคลุมดินจนสุดจะหลบเลี่ยงถึงเพียงใด ยามอยู่เบื้องหน้าอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ความเป็นกับความตาย เกียรติยศกับอัปยศ ล้วนเป็นเรื่องของวาจาประโยคเดียว
ตรงข้ามกับความคิดของสามี นี่เป็นหนแรกในชีวิตที่เซียวฮูหยินบังเกิดความลังเลต่อการตัดสินใจของตน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.