บทที่ 33
ยามนี้เฉิงเซ่าซางผู้รักพี่น้องกำลังยืนแหงนหน้ามองฟ้าอยู่ตรงปากถนน ปุยหิมะที่เล็กละเอียดโปรยปรายลงมาจากผืนฟ้า ซึมซาบลงบนใบหน้ากับลำคอ ให้สัมผัสอันชื้นเย็น และพาให้หัวใจนางยิ่งมีแต่ความเลื่อนลอย
ครึ่งเค่อก่อนพี่ชายฝาแฝดเฉิงเซ่ากงพานางไปลี้ภัยชั่วคราวที่เรือนของพี่ชายทั้งสาม จากนั้นตัวเขาเองก็วิ่งกลับโถงเก้าอาชาไปสืบข่าว เฉิงเซ่าซางนั่งยองอยู่หน้าเตาไฟ บังเอิญเจอฝูเติงที่เพิ่งช่วยเฉิงซ่งเก็บเกาทัณฑ์คันธนูเสร็จเดินเข้าห้องมา
สหายเก่าหวนมาพบกัน ไม่แคล้วโอภาปราศรัย เฉิงเซ่าซางจึงได้รู้จากฝูเติงว่าฝูเลี่ยงไปติดตามอยู่ข้างกายน้องเล็กเฉิงจู้แล้ว ฝูเติงเองก็ได้รู้จากเฉิงเซ่าซางว่าอาเหมยสูงขึ้น จากนั้นฝูเติงอดไม่ได้ที่จะถามว่าเหตุใดเฉิงเซ่าซางจึงมาอยู่ที่นี่ รอจนรับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังแล้ว เขาก็ยิ่งเป็นกังวล
“ผู้ที่นายหญิงหมายจะลงโทษยังไม่เคยพลาดมาก่อน” แววลำบากใจฉายเกลื่อนใบหน้าของฝูเติง “ข้าน้อยติดตามบิดาอยู่ใต้บังคับบัญชาใต้เท้ามานานปี ทุกคราที่นายหญิงจะลงโทษโบยคุณชาย ไม่ว่าคุณชายท่านใดไปซ่อนอยู่ที่ใด ล้วนตามตัวกลับมาลงโทษต่อได้เสมอ”
ครานี้เฉิงเซ่าซางนั่งไม่ติดแล้ว
ด้วยการถามอันกระตือรือร้นของนาง ฝูเติงจึงบรรยายอย่างสัตย์ซื่อว่าการลงโทษโบยนั้นดำเนินการเช่นไร จะสร้างความเจ็บปวดถึงขั้นใดบ้าง ตลอดจนความถี่ในการร้องโอดโอยของเหล่าคุณชาย ความเร็วที่แผลจะสมานหายดี และสภาพการฟื้นฟูของใจกายภายหลังแผลหายดีแล้ว
เจตนาเดิมของฝูเติงคืออยากบอกให้คุณหนูรู้ว่าหลบพ้นชั่วครู่ชั่วยามไม่อาจหลบพ้นไปชั่วชีวิต ต่อต้านอย่างดันทุรังมิสู้ปรับท่าทีไปรับผิดด้วยความจริงใจ จากนั้นมารดากับบุตรสาวคืนดีกันดุจเดิม
ใครจะรู้ว่าความคิดของเฉิงเซ่าซางกลับเป็น ‘สารภาพลงโทษสถานเบา…เข้าค่ายแรงงานขนอิฐ ต่อต้านลงโทษสถานหนัก…กลับบ้านไปขึ้นปีใหม่’*
เอ่ยตามสัตย์จริง นางรักถนอมร่างกายนี้ของตนมาก อย่าให้กลายเป็นว่าไม่ถูกอิ่นสวี่เอ๋อต่อยตี แต่ต้องมาย่อยยับในกำมือของเซียวฮูหยินเล่า ด้วยใจสั่นหวั่นผวาชั่วแล่น นางจึงตัดสินใจทันทีว่าจะทำแบบสมัยเด็ก ออกไปหลบคลื่นลมก่อน
แรกเริ่มฝูเติงตระหนกจนหน้าถอดสี พูดยับยั้งไปหนึ่งรอบ เห็นคุณหนูยังคงตัดสินใจแน่วแน่ จึงได้แต่คุ้มกันนางออกมาด้วยกัน สองคนออกมาทางประตูข้างของจวนสกุลเฉิง แม้ฉุกละหุกฝูเติงก็ยังไม่ลืมจูงม้าออกมาสองตัว ทว่ารอจนเดินออกมาราวห้าหกสิบจั้ง เฉิงเซ่าซางค่อยพบว่าการกระทำนี้ของตนแสนจะไม่เข้าท่า
อย่างแรก…นางขี่ม้าไม่เป็น
อย่างที่สอง…บนร่างนางไม่ได้สวมเสื้อคลุมขนสัตว์สำหรับออกมาข้างนอก ที่เท้าสวมอยู่ก็ยังเป็นรองเท้าหัวงอนพื้นนุ่มปักลายสีมรกตอ่อนคู่นั้น
อย่างที่สาม…ข้างนอกระดับความเย็นติดลบ ซ้ำร้ายมีหิมะลงเม็ดแล้วด้วย
อย่างสุดท้าย…ที่นี่ไม่ใช่ตรอกในภูมิลำเนาเดิมของนาง…ปากตรอกของที่นั่นจะมีแผงเกี๊ยวน้ำ ริมทางมีแผงโหยวตุนจื่อ** ท้ายตรอกมีแผงเต้าหู้เหม็น เดินไปอีกไม่กี่ก้าวยังจะมีห้องฉายหนังที่เจ้ใหญ่หัวหน้ากลุ่มเปิดกิจการด้วย
ตอนนี้ใกล้ถึงยามอาทิตย์อัสดงแล้ว เหนือหลังคาเรือนทั้งใกล้ไกลล้วนปรากฏควันไฟจากการหุงต้มอาหาร ผู้คนบนท้องถนนบางตา ร้านอาหารโรงเตี๊ยมอันใดที่จะแวะพักชั่วคราวได้ล้วนอยู่ในย่านที่กำหนดเท่านั้น ไม่เหมือนยุคหลังที่พบได้บนถนนทุกแห่ง
นางกับฝูเติงมองหน้ากันไปมา ฝูเติงแสนละอายใจที่ตนกระทำการไม่รอบคอบ
เฉิงเซ่าซางมิได้โทษเขาเลย ฝูอี่กับอาจู้อบรมบุตรชายมาเป็นทหาร มิใช่เป็นผู้ติดตามประจำตัวเหล่าคุณชาย ดังนั้นนางจึงชักจะลังเลแล้วว่าตนควรกลับจวนแต่โดยดีหรือไม่ ต่อให้ถูกตีถูกโบยหนึ่งยกก็ยังดีกว่าถูกความเย็นเล่นงานจนป่วยไข้เป็นไหนๆ
จะว่าไปนางเองก็เคยชินกับวันเวลาที่มีสาวใช้ผู้ติดตามแล้ว ชาติก่อนออกมาข้างนอกนางกล้าไม่พกกุญแจบ้านกับกระเป๋าสตางค์เมื่อไรกัน ตอนนี้ดียิ่ง ไม่ว่าลมพัดฝนตกหรือหิมะโปรยย่อมจะมีสาวใช้ที่ตามหลังมารีบกางร่มห่มเสื้อคลุมและถามไถ่นางอย่างเอาใจใส่
จากฟุ้งเฟ้อสู่มัธยัสถ์นั้นยากเข็ญ…คำกล่าวนี้ช่างเป็นความจริงโดยแท้
เฉิงเซ่าซางยิ้มเยาะตนเอง ขณะคิดจะยอมจำนนกลับจวนแล้วนั้น กลับได้ยินเสียงกระพรวนรถม้าอันคุ้นหูระลอกหนึ่งดังมา
ตามด้วยเสียงชายหนุ่มที่คุ้นหูยิ่งกว่า “เฉิงเซ่าซาง!”
เฉิงเซ่าซางเงยหน้ามองไป เห็นหยวนเซิ่นห่มเสื้อคลุมกันลมขนสัตว์ชะโงกครึ่งร่างออกมาจากรถม้างามหรูของสกุลหยวนคันนั้น ผิวหน้าสีขาวหิมะของเขาถูกแช่เย็นจนปรากฏสีแดงอ่อนๆ หนึ่งชั้นแล้ว แรกเห็นเฉิงเซ่าซางเขายินดียิ่งยวด ก่อนเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ไฉนเจ้าสวมชุดออกมาเพียงแค่นี้เล่า รีบเข้ามาในรถม้าก่อน!”
ฝูเติงลังเลเล็กน้อย วันนั้นสกุลเฉิงเลี้ยงแขก เขาก็เคยเห็นหยวนเซิ่น แม้รู้ว่าคนผู้นี้มิใช่คนร้าย แต่ถึงอย่างไร…
เฉิงเซ่าซางกลับไม่มัวสนใจมากเพียงนั้น รีบเดินขึ้นหน้าไปหลายก้าว ปีนขึ้นรถม้าสกุลหยวนในไม่กี่ที หยวนเซิ่นคลี่ยิ้มละไมเบี่ยงกายเปิดทางให้นางเข้ามา ผู้บังคับรถซึ่งนั่งอยู่ตรงหัวรถยังโยนเสื้อคลุมผ้าสักหลาดตัวหนึ่งให้ฝูเติงอย่างเอาใจใส่ยิ่ง ฝูเติงรับมาคลุมร่างเงียบๆ พลิกกายขึ้นม้าแล้วจูงม้าอีกตัวติดตามอยู่ข้างรถไปช้าๆ ในใจเป็นห่วงสุขภาพคุณหนู เขายังจำได้ดี เมื่อไม่กี่เดือนก่อนมารดาของเขาเหนื่อยยากเพียงใดกว่าจะช่วยชีวิตน้อยๆ ของคุณหนูกลับมาได้
สภาพของเฉิงเซ่าซางไม่สู้ดีจริงๆ ระดับความเปราะบางของร่างนี้เกินกว่าที่นางคาดคิดไว้ เพียงชั่วเวลาสั้นๆ นี้นางก็ถูกแช่เย็นจนปลายนิ้วจรดช่องอกราวกับจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว โชคยังดีรถม้าของคุณชายตระกูลขุนนางไม่เพียงมีรูปลักษณ์อันงามหรู ในตัวรถยังมีครบทุกสิ่งอันพึงมี…โต๊ะหนังสือ โต๊ะข้าง โคมผนังหนังแพะ กระถางไฟใบเล็กที่ทำจากเหล็กกล้าไร้สนิมตกแต่งด้วยไม้ถง* ฉลุลายวิจิตร แม้แต่ผนังรถยังหุ้มด้วยผ้าต่วนแพรกำมะหยี่อันอ่อนนุ่มหนึ่งชั้น น่าเสียดายปลายนิ้วของเฉิงเซ่าซางแข็งทื่อไปแล้ว สัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อยถึงความรู้สึกอันนุ่มสบายนั้น
หยวนเซิ่นขมวดคิ้วมองนาง เด็กสาวตัวน้อยหนาวจนสั่นเทิ้ม ปุยหิมะบนจอนผมหลอมละลายพาให้เปียกชื้นนิดๆ เพียงแต่ดวงหน้าบวมจมูกเขียวจากการถูกชกต่อยทำให้มองไม่ออกว่าสีหน้านางเป็นเช่นไร
เขาขยับแขนอยากจะถอดเสื้อคลุมขนสัตว์บนร่างตนไปห่มกายนางยิ่งนัก ขณะรู้สึกว่าอาจเป็นการจาบจ้วงเกินไป ไม่คาดกลับเห็นนางจัดการกระตุกผ้าขนแกะผืนหนึ่งที่ปูบนผนังมากอดแนบอกแล้ว
หยวนเซิ่นอึ้งงัน คลายนิ้วมือที่จับเสื้อคลุมขนสัตว์อยู่ออก “เจ้าคิดจะไปที่ใดหรือ”
“ท่านแม่จะโบยข้า ข้าจึงหลบออกมา” เฉิงเซ่าซางเอ่ยหน้านิ่วพลางขยับเข้าใกล้กระถางไฟเท่าที่จะทำได้เพื่อรับไออุ่น “ใครจะรู้ว่าไม่ได้พกพาสิ่งใดออกมาเลย มิสู้กลับจวนไปยังดีเสียกว่า”
หยวนเซิ่นขมวดคิ้วกล่าว “อย่าเพิ่งกลับไปเลย พวกเรานั่งต่อสักพักเถิด” เห็นนางเป็นเช่นนี้เขาก็ทนไม่ไหวจริงๆ เดิมทีเขายังมีเรือนพักสองสามแห่งให้คนหลบซ่อนได้ เพียงแต่ทำเช่นนั้นไม่เหมาะสมแต่อย่างใด…
เฉิงเซ่าซางพยักหน้าทันที นางเองก็ต้องการจะขบคิดว่าก้าวถัดไปควรทำเช่นไรต่อ
หยวนเซิ่นฉวยง่ามเหล็กที่อยู่ข้างกระถางไฟมาเขี่ยถ่านช้าๆ “แผนยอมเจ็บตัวนี้ไม่เลวเลย ก่อนที่ข้าจะออกจากจวนสกุลอิ่น ได้ยินว่าแม่นางอิ่นไม่สบาย มิได้ปรากฏตัวในงานเลี้ยง” ความจริงเขาตั้งใจสืบข่าวมาเป็นพิเศษ
เฉิงเซ่าซางที่ค่อยยังชั่วขึ้นเสียทียืนกรานไม่ยอมรับ “แผนยอมเจ็บตัวอันใดกัน ข้าอายุน้อยวู่วามง่าย ทนถูกแม่นางอิ่นยั่วโทสะไม่ไหวจึงได้เสียกิริยา คุณชายหยวนโปรดระวังคำพูดด้วย”
หยวนเซิ่นวางง่ามเหล็กลง ลังเลชั่วครู่ค่อยหยิบป้านสุราไม้เคลือบเงาพวยบานลายนางแอ่นใบหนึ่งจากถุงอุ่นที่อยู่ด้านหลัง เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนรินสุราข้าวที่ร้อนกรุ่นครึ่งถ้วยยื่นส่งให้เฉิงเซ่าซาง
เฉิงเซ่าซางหงุดหงิดกับท่าทีระมัดระวังของเขา นางใช้มือข้างหนึ่งกดผ้าขนแกะไว้ มืออีกข้างรับถ้วยสองหูใบนั้นมาแล้วบิดข้อมือดื่มหมดถ้วยในรวดเดียว ผู้เคยตั้งปณิธานเป็นอันธพาลหญิงจะดื่มสุราไม่เป็นได้อย่างไร ก่อนมัธยมต้นนางเคยลิ้มลองเบียร์ สุราเหลือง สุราขาว รวมถึงสุราองุ่นปลอมผสมน้ำตาลมาแล้ว สุราข้าวนิดเดียวเท่านี้ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง
“แค่กๆๆ…แค่ก…” เฉิงเซ่าซางไอโขลกอย่างหนัก ไอจนน้ำตาแทบจะเล็ดออกมา เอาเถิด นางลืมตัวไปอีกแล้ว
หยวนเซิ่นทั้งฉุนทั้งขัน ฝ่ามือกางออกแล้วกำแน่น ข่มใจไว้ไม่ไปลูบแผ่นหลังของเด็กสาว
“ในเมื่อรู้ว่าทำร้ายศัตรูหนึ่งพันจะบ่อนทำลายตนเองแปดร้อย* แล้วไยต้องใช้แผนชั้นเลวเยี่ยงนี้เล่า” เขาเอ่ยเสียงเบา “จริงอยู่แม่นางอิ่นผู้นั้นถูกตำหนิลงโทษ ทว่าเจ้าปลีกตัวโดยไม่สึกหรอได้หรือไร”
เฉิงเซ่าซางไอแทบเป็นแทบตาย ก่อนจะเงยหน้ายิ้มเยาะ “ ‘ปลีกตัวโดยไม่สึกหรอ’ เป็นถ้อยคำสำหรับผู้มีที่พึ่งพิงจึงจะกล่าวได้ คุณชายหยวนรู้สึกว่าข้าคล้ายเช่นนั้นหรือ” นางไม่เชื่อหรอกว่าคนที่เดินหนึ่งก้าวมองล่วงหน้าไปสามก้าวเฉกเช่นหยวนเซิ่นจะไม่เคยสืบสถานภาพของนาง
หยวนเซิ่นกลับเอ่ยเรียบๆ “ผู้คนในใต้หล้าใช่ว่าล้วนมีบุพการีญาติสนิท แต่ในเมื่อเกิดมาบนโลกนี้แล้วก็จะต้องทุ่มสุดกำลังใช้ชีวิตไปให้ดี”
เฉิงเซ่าซางอัดอั้นตันใจ…ชาติก่อนนางก็ใช้ชีวิตของนางอยู่ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นอันธพาลหญิงหรือเป็นนักเรียนแถวหน้า ทุกวันนางล้วนพากเพียรเต็มที่ ยามที่เห็นอยู่ว่าอนาคตกำลังสดใส ใครจะรู้สวรรค์กลับส่งนางมาเริ่มต้นใหม่อีกรอบ!
หยวนเซิ่นเห็นนางไม่พูดจา จึงเอ่ยด้วยถ้อยคำอันอ่อนโยน “ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไปเถิด หนนี้ใช่ว่าผิดไปเสียทั้งหมด วันหน้าหากมิใช่ผู้ที่มีเรื่องบาดหมางกับสกุลเฉิง ก็คงจะไม่เจาะจงหาเรื่องเจ้าเป็นแน่”
เฉิงเซ่าซางกล้อมแกล้มผงกศีรษะค่อยเอ่ยถาม “จริงสิ ไฉนท่านมาอยู่หน้าประตูจวนข้าเล่า” จวนนางไม่ใช่ย่านการค้าเสียหน่อย ผู้ที่พำนักอยู่ซ้ายขวาไม่ใช่คหบดีก็เป็นผู้ที่เพิ่งจะรับตำแหน่งขุนนาง
นึกไม่ถึงว่าหยวนเซิ่นกลับไม่ตอบ ซ้ำเฉไฉไปเรื่องอื่น “ความจริง…วันนี้ข้ายังมีคำพูดจะบอกเจ้า เดิมทีมารดาข้าคิดว่าอีกสองวันจะเชิญสตรีในสกุลเฉิงไปชมดอกเหมยที่จวน ใครจะรู้เล่าว่า…”
“ชมดอกเหมย? มารดาของท่านไม่ไถ่ถามเรื่องทางโลกมิใช่หรือ” เฉิงเซ่าซางประหลาดใจยิ่ง
จะว่าไปหยวนฮูหยินก็นับเป็นเรื่องอัศจรรย์เรื่องหนึ่งในเมืองหลวง ทั้งที่เป็นถึงนายหญิงตราตั้งภรรยาของผู้ว่าการมณฑลขั้นหนึ่ง สกุลเดิมกับสกุลสามีก็ล้วนเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ ทว่าไม่รู้เหตุใดจึงลั่นวาจาออกจากวงสังคมไปฝึกเต๋า ไม่พบแขกไม่เลี้ยงแขก กระทั่งงานเลี้ยงในวังก็ยังอ้างว่าป่วยไม่เข้าร่วม เว้นแต่ไม่มีทางเลือกจำเป็นต้องเข้าวังไปขอบพระทัยรับบำเหน็จเป็นครั้งคราวแล้ว ก็แทบจะไม่มีผู้ใดมีโอกาสได้พบเจอนางเลย ระดับความสันโดษเป็นรองเทพเซียนเหยียนยอดคนผู้ไม่ยึดติดทางโลกนั้นเพียงเล็กน้อย
เอ่ยเกินจริงสักหน่อยก็กล่าวได้ว่าการเชิญแขกคนนอกจัดเลี้ยงใหญ่ครั้งล่าสุดของจวนสกุลหยวนคืองานครบขวบของคุณชายใหญ่หยวนเซิ่น นานปีที่ผ่านมานอกจากงานเลี้ยงส่วนตัวขนาดเล็กเพื่อรับรองญาติมิตรประปรายแล้ว แม้กระทั่งพิธีครอบเกี้ยวของหยวนเซิ่นก็ยังจัดที่บ้านอาจารย์ของเขา
หยวนเซิ่นปั้นหน้าดุ “ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ เจ้าตัดบทขณะผู้อื่นพูดกับเจ้าได้อย่างไร” หลังจากขึงตาจนเฉิงเซ่าซางหน้าเจื่อนหุบปากไปแล้ว เขาค่อยเอ่ยต่อ “เดิมมารดาข้าจะเชิญมารดาเจ้าไปสังสรรค์ที่จวน ทว่าวันมะรืนฝ่าบาทจะเสด็จตรวจการหัวเมืองตะวันออก ทรงเรียกตัวเป็นการด่วนให้อาจารย์กับข้าตามเสด็จ จึงได้แต่รอข้ากลับมาก่อน” เขาสังเกตท่าทีตอบสนองของนาง ราวกับมองเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้นเอง
คาดไม่ถึงว่ากระบวนความคิดของเฉิงเซ่าซางจะแปลกไม่เหมือนใครยิ่ง “เอ๋? ท่านจะไปข้างนอกทางบ้านก็จัดเลี้ยงไม่ได้แล้ว? บ้านท่านตอนนี้ท่านเป็นคนคุมสินะ!”
เฉิงเซ่าซางกังขาอยู่ในใจ หรือว่าท่านพ่อเฉิงกรุยเส้นทางอนาคตไว้ดีเยี่ยมจนสกุลหยวนอยากมาคบหาด้วย? ขณะเดียวกันนางก็ชี้มือไปยังชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าสายตาพลางเอ่ยเย้า “ในเมื่อมารดาท่านไม่ชอบคุมเรือน เหตุใดท่านไม่รีบแต่งภรรยาแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เกิดความไม่สะดวกเหล่านี้”
หยวนเซิ่นคิดในใจ…ไม่มีคนจัดการที่ใดกันเล่า วัยเด็กมีอาสะใภ้ในตระกูลช่วยดูแลงานเหล่านี้ เพียงแต่อาสะใภ้ผู้นั้นคุมเรือนไม่กี่ปีก็ลำพองใจขึ้นเรื่อยๆ มิเพียงมือไม้ไม่สะอาด ยังกล้าลอบสมคบกับสตรีตระกูลอื่น
ภายหลังขับอาสะใภ้ผู้นั้นไปแล้ว เขาที่อายุยังน้อยจึงเริ่มดูแลงานในจวนเอง บ่มเพาะผู้ดูแลคนใหม่และกำหนดกฎระเบียบใหม่ อันที่จริงทั้งหมดนี้ไม่ยากนัก เพียงแต่เมื่อเขาค่อยๆ เผยประกายในราชสำนัก ส่งผลให้การคบค้าผูกสัมพันธ์มีความจำเป็นขึ้นทุกที จึงค่อยพบว่าไม่สะดวกจริงๆ เสียด้วย
หยวนเซิ่นทำเป็นขุ่นเคืองนิดๆ “เจ้านึกว่าแต่งภรรยาคือการซื้อผักหรือว่าเลือกแตงกันเล่า นั่นไม่ใช่แค่การผูกไมตรีระหว่างสองตระกูล วันหน้าภรรยาข้ายังจะเป็นนายหญิงใหญ่ของสกุลหยวนแห่งเจียวตง ย่อมต้องเป็นกุลสตรีที่สง่างาม สงสารผู้อ่อนแอเห็นใจผู้เฒ่าผู้แก่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงงานเซ่นไหว้ ต้อนรับแขก และเป็นผู้นำของเหล่าสะใภ้…”
เห็นแววช่างติเกลื่อนใบหน้าของเขา เฉิงเซ่าซางก็แย้งอยู่ในใจ…มารดาท่านก็เป็นนายหญิงใหญ่ อยู่ในเมืองหลวงยังปลีกวิเวกได้ตั้งสิบกว่าปี ฝึกเต๋าจนใกล้จะบรรลุเป็นเซียนแล้ว สกุลหยวนก็ยังดีอยู่ไม่ใช่หรือไร เพียงแต่นางก็แจ้งใจว่าหยวนฮูหยินเป็นเช่นนี้จะต้องมีสาเหตุที่เป็นความลับ หลายสิบปีก่อนใต้หล้าระส่ำระสายหนัก ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
“ได้ คุณชายหยวนสูงส่งเลอเลิศ ภรรยาย่อมต้องเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้านี้ ท่านค่อยๆ เลือกไปเถิด” นางเอ่ยเสียงเรียบเย็น
หยวนเซิ่นขึงตาจ้องเฉิงเซ่าซางพลางเอ่ยเน้น “ที่สำคัญเป็นพิเศษคือต้องใจกว้างรู้จักโลก แยกแยะผิดถูกได้ชัดแจ้ง ห้ามทำเช่นเจ้าที่พอพูดคุยไม่ลงรอยก็ตะบันหมัดเข้าใส่ วันหน้าต่อยตีจนแขกเต็มจวนหนีหายจะทำเช่นไร”
แรกเริ่มเฉิงเซ่าซางหมายจะประชดกลับไป ทว่าต่อมารู้สึกตงิดๆ ว่าไม่ถูกต้อง…นี่ใช่คำหยอกเอินหรือไม่นะ
ไม่รอจนนางคิดได้กระจ่างและอ้าปากตอบ เสียงตะโกนเรียก “เซ่าซางๆ!” ก็ดังจากเบื้องนอกเข้ามาให้ได้ยินก่อน
นางตะลึงไปเล็กน้อยค่อยจำแนกเสียงนั้นออก จึงพูดโพล่งอย่างห้ามไม่อยู่ “เป็นพี่รองของข้า!”
คิดว่าเฉิงซ่งมาตามหานาง จะต้องเป็นเพราะเรื่องในบ้านมีบทสรุปแล้ว เฉิงเซ่าซางจึงหน้าบานตะลีตะลานปีนออกจากรถม้าเองโดยไม่รอให้หยวนเซิ่นตอบสนอง เห็นฝูเติงที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้างมีแววยินดีฉาบทั่วใบหน้าเช่นกัน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรกับคุณหนูที่หนีออกจากบ้าน ยามนี้จึงรีบร้องตอบกลับเสียงดัง “คุณชายรอง พวกเราอยู่ตรงนี้ขอรับ!” จากนั้นก็เรียกให้ผู้บังคับรถม้าหยุดรถ
ครั้นสองเท้าของเฉิงเซ่าซางสัมผัสพื้นอย่างมั่นคง นางก็หันกลับไปคลี่ยิ้ม ย่อเข่าคารวะหยวนเซิ่นที่ยื่นร่างออกมาจากตัวรถ “ขอบคุณคุณชายยิ่งนักที่ช่วยเหลือ หาไม่รอจนยามที่พี่รองมาตามหาข้า ข้าคงแข็งตายไปก่อนแล้ว!”
จบคำนางก็หันหน้าจะออกเดิน ทว่าหยวนเซิ่นร้องเรียกนางไว้ ฉวยกระปุกหยกขาวใบเล็กจากอกเสื้อ ส่งมาถึงมือเฉิงเซ่าซางแล้วเอ่ยเสียงเบา “นี่เป็นยาขี้ผึ้งหยกม่วงที่หมอยาในจวนเป็นผู้ปรุงขึ้น เจ้า…ทาตรงที่เป็นแผลนะ”
คราวนี้ไม่รอให้เด็กสาวเอ่ยลา หยวนเซิ่นสั่งเบาๆ คำเดียว ผู้บังคับรถผู้นั้นก็กระตุ้นม้าแล่นรถจากไป
เฉิงเซ่าซางยืนตะลึงอยู่กับที่ สองมือประคองกระปุกหยกขาวใบนั้นไว้ ด้านบนยังคงกรุ่นไออุ่นจากร่างของเขา ดังนั้น…ความจริงแล้วเขาตั้งใจมาเตร็ดเตร่อยู่แถวจวนสกุลเฉิงก็เพื่อจะมอบยารักษาแผลให้นาง และแวะกล่าวอำลาไปต่างเมือง?
ไม่ทันไรเฉิงซ่งก็รุดมาตามเสียงร้องบอกของฝูเติงแล้ว
ครั้นเฉิงเซ่าซางหันหน้าไปมอง คิ้วตานางก็พลันอาบไปด้วยรอยยิ้ม ยังคงเป็นพี่น้องของนางที่เชื่อถือได้ ที่แท้เฉิงซ่งจงใจไม่ขี่ม้า บังคับรถม้าขนาดกะทัดรัดคันหนึ่งออกมาเป็นพิเศษ
“เด็กโง่! อากาศหนาวเยี่ยงนี้ เจ้าสวมเสื้อบางๆ ก็ยังอุตส่าห์ออกมา ไม่สู้กลับบ้านไปถูกท่านแม่โบยยกหนึ่งยังดีเสียกว่า!” เฉิงซ่งทางหนึ่งอบรมน้องสาวเสียงดัง แค้นใจที่เหล็กมิอาจกลายเป็นเหล็กกล้า อีกทางหนึ่งก็หอบเสื้อนอกขนเตียวของเฉิงเซ่ากงลงจากรถม้ามาห่มร่างให้เฉิงเซ่าซาง ก่อนหันไปสั่งผู้ติดตามที่อยู่ข้างรถ “เจ้าจงไปตามหาคุณชายใหญ่กับคุณชายสาม บอกว่าข้าหาคุณหนูพบแล้ว ให้พวกเขาวางใจกลับจวนไปเถิด”
“อาเติง เจ้าก็ทึ่มนัก คุณหนูขี่ม้าไม่เป็น เจ้าไม่รู้หรือไร!” เฉิงซ่งตีหนึ่งฝ่ามือบนหลังของฝูเติง เอ่ยจบค่อยถามด้วยความแปลกใจ “คุณหนูขี่ม้าไม่เป็น แล้วพวกเจ้าสองคนออกมาไกลเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เขามองพิจารณาสีหน้าของน้องสาวขึ้นลง ดูไม่คล้ายอาการคนที่ถูกแช่แข็งจนแย่แล้วเลย
ฝูเติงเผยอริมฝีปาก ทว่าไม่กล้าพูดจา ทำเพียงเหลือบมองคุณหนูของตน
เฉิงเซ่าซางคลี่ยิ้มขณะคลุมเสื้อนอก ฉวยจังหวะพลิกมือสอดกระปุกหยกขาวใบนั้นเข้าอกเสื้อ ก่อนตอบด้วยสีหน้าไม่อินังขังขอบ “ออกจากประตูบ้านมาไม่นานข้าก็เจอรถม้าของคุณชายซั่นเจี้ยน คุณชายซั่นเจี้ยนเจตนาดีให้ข้านั่งรถชั่วระยะทางหนึ่ง…หากพี่รองไม่เชื่อ ถามอาเติงได้ นี่เป็นความจริง!”
เฉิงซ่งหันหน้าไป เห็นฝูเติงรีบผงกศีรษะขานรับ ในใจก็ให้ฉงน “คุณชายซั่นเจี้ยนมีน้ำใจเพียงนี้เชียว?”
เฉิงเซ่าซางสวมเสื้อนอกเสร็จก็เริ่มปีนขึ้นรถม้า “ผู้อื่นเจตนาดี พี่รองยังจะคลางแคลง ท่านว่าเขามุ่งหวังอันใดจากพวกเราสกุลเฉิงเล่า หรือว่ามุ่งหวังในรูปโฉมของข้า?” นางชี้ไปที่ใบหน้าของตนเองซึ่งบวมฉึ่งดุจหัวหมู “ไม่เช่นนั้น ท่านไปบอกกับทุกคนแล้วกัน”
“ช่างเถิด! เรื่องนี้อย่าให้ท่านแม่รู้จะเป็นการดีกว่า” เพียงนึกถึงศึกใหญ่ระหว่างคู่มารดากับบุตรสาว เฉิงซ่งก็ปวดหัวจี๊ด บ้านผู้อื่นมีแม่เสือแค่ตัวเดียว บ้านเขากลับมีถึงสองตัว เมื่อใดปะเหมาะเกิดเรื่อง ถ้อยคำเพียงสะกิดก็เป็นอันต้องปะทะหนักหนึ่งหน
ในเมื่อไม่อาจให้มารดาล่วงรู้ เช่นนั้นก็อย่าบอกผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ด้วยจะดีที่สุด เฉิงซ่งคิดแล้วตัดสินใจจะบอกเพียงพี่ใหญ่เฉิงหย่งผู้ปิดปากสนิทคนเดียว
เฉิงเซ่าซางปีนขึ้นไปถึงตำแหน่งของผู้บังคับรถแล้วถามด้วยน้ำเสียงประจบ “พี่รอง ท่านแม่หายเคืองแล้วกระมัง พวกเรากลับบ้านกันเถิด”
เฉิงซ่งย้อนถามโดยไม่สนใจคำถามของน้องสาว “เจ้านั่งรถม้าสกุลหยวน เดิมทีคิดจะไปที่ใดเล่า”
“ไปย่านเต๋อฮุยหาร้านอาหารสักร้าน กินไปพลางรอดูไปพลาง ไม่แน่หากท่านแม่เห็นข้าหนีหาย อาจจะไม่โบยข้าแล้ว”
เฉิงซ่งเหลือกตา “วางใจเถอะ เดิมทีท่านแม่ก็ไม่ได้คิดจะโบยเจ้า หนนี้นางแค่จะลงโทษเจ้าคัดอักษร!”
เฉิงเซ่าซางอับจนถ้อยคำ หัวหน้าเซียวเป็นตายไม่ยอมเลิกราจริงๆ นางถอนหายใจก่อนกล่าว “ก็ได้ เช่นนั้นกลับไปคัดอักษร…”
“ยังจะคัดอันใดอีก” ไม่คาดเฉิงซ่งกลับสะบัดแส้ออกรถม้า “พี่ใหญ่ไปแอบดูทางน้าชิงแล้ว ท่านแม่ให้เตรียมแผ่นไม้ไว้ตั้งหลายร้อยแผ่น ทุกแผ่นล้วนใหญ่เท่ากระถางดินเผา ขีดเส้นตารางถี่ยิบกว้างยาวช่องละครึ่งชุ่น จะให้เจ้าคัดให้หมดภายในสามวัน ซ้ำต้องคัดให้สวยด้วย ไม่เช่นนั้นอาจยังมีบทลงโทษอื่น!” พวกเขาพี่น้องก็ล้วนโตมาเช่นนี้
เฉิงเซ่าซางตระหนกจนหน้าถอดสี “เยอะเพียงนี้เชียว? ข้าคัดไม่หมดหรอก!” นี่คัดด้วยพู่กันนะ หนำซ้ำหากคัดไม่สวย เซียวฮูหยินยังจะล้างแผ่นไม้ ผึ่งแห้งแล้วส่งมาให้นางคัดใหม่ด้วย
“เช่นนั้นพวกเราทำอย่างไรดีเจ้าคะ” นางกระเถิบไปข้างกายพี่รองแล้วเอ่ยอย่างน่าสงสาร
เฉิงซ่งขึงตาใส่นางปราดหนึ่ง “ยังจะทำอย่างไรได้ ก็ไปหลบน่ะสิ ให้ท่านพ่อเกลี้ยกล่อมดูก่อน หลบพ้นช่วงไม่กี่วันนี้ไป ท่านแม่อาจผ่อนผันขยายเวลาให้เจ้าหลายวัน!”
“แล้วจะไปหลบที่ใดได้เล่า”
“จวนสกุลวั่น!”
* ‘สารภาพลงโทษสถานเบา…เข้าค่ายแรงงานขนอิฐ ต่อต้านลงโทษสถานหนัก…กลับบ้านไปขึ้นปีใหม่’ เป็นคำเสียดสีกระบวนการสอบสวนของตำรวจ โดยบอกผู้กระทำผิดว่าถ้าสารภาพจะได้รับโทษสถานเบา สุดท้ายโทษสถานเบาก็ยังคงต้องเข้าสถานกักกันไปใช้แรงงานหนัก ส่วนที่บอกว่าผู้ปากแข็งต่อต้านจะได้รับโทษสถานหนักนั้น กลับมักได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านเพราะตำรวจหาหลักฐานมาเอาผิดไม่ได้
** โหยวตุนจื่อ เป็นของกินเล่นริมทางแถบมณฑลเจียงซู มณฑลเจ้อเจียง และนครเซี่ยงไฮ้ เป็นการเทน้ำแป้งลงในทัพพีเหล็กราวหนึ่งในสามส่วน ใส่ไส้จนเต็มทัพพีแล้วราดน้ำแป้งคลุมด้านบน ทอดในน้ำมันจนแป้งเหลืองกรอบ มีสองชนิดหลักคือไส้หวานเป็นถั่วเขียวกวน ไส้เค็มเป็นหัวไช้เท้าขูด
* ไม้ถง (Paulownia fortunei หรือ Paulownia tomentosa) เป็นไม้ยืนต้นที่พบได้หลายภูมิภาคในประเทศจีน ใช้ทำยาได้ เนื้อไม้ทนชื้นไม่เปลี่ยนรูปแตกงอ และมีน้ำหนักเบาที่สุดชนิดหนึ่ง
* ทำร้ายศัตรูหนึ่งพันจะบ่อนทำลายตนเองแปดร้อย หมายถึงสูญเสียทั้งสองฝ่าย ในการรบฝ่ายที่สังหารข้าศึกได้มากกว่าดูเหนือกว่าก็จริง แต่ก็เสียกำลังคนไปไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.