บทที่ 136
เฉิงเซ่าซางรู้สึกคล้ายตนเองถูกวางอยู่ในโม่หินอันแสนหนักอึ้ง ขณะที่แกนกลางกับจานโม่ค่อยๆ หมุนบดไป ฟันเฟืองบนล่างของเครื่องโม่ก็สบเข้ากันดังกลุกๆ เฉกซี่ฟันคมกริบชวนสะพรึงในปากของสัตว์ร่างยักษ์ที่กำลังบดเคี้ยวกระดูกของนางให้แหลกลาญ ขณะเดียวกันก็รู้สึกคล้ายตกอยู่ในหลุมถ่านไฟ ถูกไม้เสียบร่างพลิกย่างผิวเนื้อเส้นเอ็นของนางซ้ำไปซ้ำมา ภายหลังกระเสือกกระสนดิ้นรนในขุมนรกอันไร้ขอบเขตเช่นนี้อยู่เนิ่นนาน นานเสียจนราวกับไม่มีวันสิ้นสุด นางจึงค่อยๆ ฟื้นตื่นมาจนได้
เบื้องนอกยังคงมืดมิดไปทั่วบริเวณ ที่แท้ยังเป็นราตรีเดิม หรือว่า…นี่นางสลบไปหนึ่งกลางวันเต็มๆ จนเข้าสู่ค่ำคืนอีกครั้งแล้ว
ด้วยการรับภาพอันเชื่องช้า นางมองเห็นอาจู้ร่ำไห้เรียกพวกสาวใช้มาพันแผล ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ป้อนน้ำ และส่งยาให้นาง จากนั้นการรับเสียงก็ฟื้นฟูมาทีละน้อย นางเริ่มได้ยินเสียงถกเถียงอันดุเดือดที่เบื้องนอก มีทั้งบุรุษสตรี ทั้งผู้เฒ่าผู้เยาว์ ทั้งคุ้นเคยและแปลกหู…ท่ามกลางดวงแสงจากโคมถือกับคบไฟที่ส่ายไหวปะปนกัน ในเสียงต่างๆ มากมายนั้นยังแทรกปนด้วยเสียงปะทะกันของอาวุธ
เฉิงเซ่าซางพลันสะดุ้งเฮือก นางหวาดกลัวเสียงนี้
ภาพแต่ละฉากของเมื่อคืนฉายวาบขึ้นในห้วงสมองดุจโคมม้าหมุน ม้าห้อตะบึง…ทวนวงเดือนทอง…แสงจันทร์บนเนินเขา…เสียงร้องตะโกนปานฟ้าคำรามของแม่ทัพทหารหาญหลายร้อยนาย…กระแสลมโบกชุดแพรสีแดงเข้มดั่งโลหิตบนร่างของเขา พาให้ลวดลายปี้อั้นสีทองอ่อนประหนึ่งมีชีวิตขึ้นมา…เขาท้าลมหนาวรุกไปเบื้องหน้าอย่างห้าวหาญ ทรงพลังเด็ดเดี่ยว และมิได้เหลียวหลังมาอีก
บนนิ้วมือนางเริ่มสัมผัสได้ถึงขนสัตว์อันอ่อนนุ่ม ครั้นก้มหน้ามองดูก็พบว่าเป็นเสื้อคลุมขนสัตว์ที่เขาห่อหุ้มไว้บนร่างของนางนั่นเอง เสื้อคลุมตัวใหญ่กว้างเนื้อหนานุ่มแน่นนี้ ครึ่งหนึ่งปูอยู่บนเตียง ครึ่งหนึ่งเลื่อนหล่นอยู่บนพื้นกระดาน
อาจู้เห็นเช่นนี้ก็รีบมาดึงเสื้อคลุมตัวนั้นหมายจะหอบเอาไป กลับไม่คาดว่านิ้วมือของเด็กสาวจะขยุ้มเสื้อคลุมไว้แน่นราวฝังใยเหล็กเข้าไปกระนั้น อาจู้ไม่กล้าฝืนกระตุก เพราะนิ้วมือของเด็กสาวเต็มไปด้วยบาดแผล ในสิบนิ้วมีถึงแปดนิ้วพันผ้าพันแผลไว้
ตอนนี้เองเสียงเรียกอันแหลมกังวานของเซียวฮูหยินที่เบื้องนอกก็ดังมาให้ได้ยิน “องค์ชายสาม! โปรดรักษาเกียรติด้วยเพคะ แม้องค์ชายมีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ ทว่าด้านในคือห้องนอนบุตรสาวคนเล็กของหม่อมฉัน จะทรงบุกรุกเข้าไปได้อย่างไร!”
ถัดมาเป็นเสียงตะโกนอันทุ้มหนักเปี่ยมพลังของเฉิงสื่อ ใจความล้วนใกล้เคียงกัน
องค์ชายสามน่าจะมาพร้อมกับทหารจวนองค์ชายซึ่งมีอาวุธครบมือ ทว่าไม่มีพระราชโองการที่เกี่ยวเนื่อง ดังนั้นเฉิงสื่อสามีภรรยาจึงได้ต่อต้านจนถึงบัดนี้
สองฝ่ายโต้เถียงกันอีกหลายประโยค ดูเหมือนองค์ชายสามจะร้อนใจแล้ว ท่ามกลางเสียงอาวุธกระทบกระทั่งกันรุนแรงระลอกหนึ่ง รองเท้าหนังหุ้มข้ออันหนักอึ้งก็ย่ำขึ้นมาบนทางระเบียงหน้าประตู จากนั้นบานประตูไม้อันงามประณีตก็ถูกพลังมหาศาลกระแทกเปิดทันใด…สายลมราตรีอันเหน็บหนาวกรอกทะลักเข้ามาอย่างเหิมเกริม พัดพึ่บพั่บจนกลิ่นยากับกลิ่นคาวเลือดภายในห้องสลายกระเจิง
องค์ชายสามอยู่ในชุดนักรบอันทะมัดทะแมง ทั่วใบหน้าเหนื่อยล้า เรือนผมรุ่ยร่าย เกี้ยวทองคำบิดเอียง รองเท้าหุ้มข้อที่ยาวตั้งตรงเปรอะไปด้วยโคลนเลน ดูเหมือนจะเร่งเดินทางมาไกล…ยามนี้เขายืนอยู่กลางห้องชั้นใน กำลังใช้สายตาขุ่นแค้นจับจ้องเด็กสาวที่สยายเรือนผมนั่งอยู่ตรงขอบเตียง องครักษ์สี่คนที่ห้อมล้อมข้างกายเขาล้วนชักดาบกระบี่ออกจากฝัก กระไอดุร้ายท่วมท้นร่าง
เหล่าสาวใช้ในห้องต่างตื่นผวาจนแตกฮือ บ้างหลบหลังฉากบังลม บ้างตัวลีบอยู่ที่มุมห้อง อาจู้ฝืนประคองเนื้อตัวที่สั่นเทิ้มยืนขวางอยู่เบื้องหน้าเตียง ทั่วทั้งห้องมีเพียงเฉิงเซ่าซางที่นั่งนิ่งไม่ไหวติง โดยมีเหลียนฝางกับเฉี่ยวกั่วขดร่างอยู่แทบเท้าผู้เป็นคุณหนู
“…เขาตายแล้วหรือ” เฉิงเซ่าซางเงยหน้ามององค์ชายสาม พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงอันแหบแห้งของตนเอง
องค์ชายสามเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว สองตาบรรจุไฟโทสะลุกโชน “เจ้ายังมีหน้ามาถาม?! เสียแรงที่เขาปักใจงมงายต่อเจ้า เจ้าถึงกับฟ้องร้องเรื่องของเขาอย่างไร้ไมตรี เจ้ามันสตรีต่ำช้า ใจจืดเห็นแก่ตัว!”
เฉิงเซ่าซางเอียงหน้าลงนิดๆ “เนินเขาลูกนั้นเมื่อก่อนหม่อมฉันเคยไปเดินเล่นชมธรรมชาติ หน้าผาด้านล่างไม่สูงนัก ทั้งผนังผายังมีต้นสนงอกโย้อยู่จำนวนมาก หนก่อนผนังผาของภูเขาเสี่ยวเยวี่ยโล่งเตียนเยี่ยงนั้น เขายังพาหม่อมฉันลงหยั่งพื้นได้อย่างปลอดภัย หนนี้…” นางส่ายหน้าช้าๆ “ก็พูดยากนะ เขาบาดเจ็บเสียแล้ว ท่าร่างไม่แน่ว่าจะแคล่วคล่องเช่นที่เคยเป็น”
องค์ชายสามโกรธจนลมในช่องอกพลิกตลบ แทบอยากเค้นคอเด็กสาวเจ้าเล่ห์แล้งน้ำใจผู้นี้ให้ตายไปเสีย
เฉิงเซ่าซางเงยหน้าขึ้นอีกครา พร้อมกับน้ำเสียงอันอ่อนล้า “วันนี้ที่ทรงบุกเข้าจวนสกุลเฉิง คงมิใช่เพียงหมายจะต่อว่าหม่อมฉัน มิสู้เลือกตรัสเรื่องสำคัญก่อนจะดีกว่า…เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่เพคะ”
องค์ชายสามสูดหายใจเข้าลึกๆ “ยังมีชีวิตอยู่ เฉินอันกั๋วให้คนหน่วยพยัคฆ์เผ่นใช้เชือกโรยตัวลงไปตรวจดูแล้ว ตอนนี้เขาตกเข้าไปในโพรงถ้ำแคบแห่งหนึ่งตรงก้นผา ไม่อาจขยับเขยื้อน”
เฉิงเซ่าซางฟังความนัยในวาจานี้ออก จึงถามว่า “เหตุใดไม่ดึงตัวเขาขึ้นมารักษาให้ดีเล่า”
องค์ชายสามตะคอกเสียงกร้าวอย่างสุดจะข่มกลั้น “เพราะผนังถ้ำขรุขระ กลิ้งเข้าไปง่ายแต่ออกมาได้ยาก ซ้ำเขาบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจผูกเชือกลากดึงออกมาตรงๆ จำเป็นต้องส่งคนกลุ่มใหญ่ลงไปเจาะเปิดถ้ำจึงจะค่อยๆ หามขึ้นมาได้! ทว่าเมื่อคืนเขากระทำผิดอุกฉกรรจ์…สังหารบิดา ใช้ทหารโดยพลการ แอบอ้างคำสั่งเบื้องบน…สร้างความแตกตื่นจนหวิดจะทำให้ค่ายใหญ่ที่มีกำลังพลมากทั้งตะวันออกและตะวันตกสองแห่งปั่นป่วนไปด้วย! ตอนนี้เรื่องสะเทือนไปทั่วราชสำนักแล้ว เช้านี้มีขุนนางสำคัญถึงสิบแปดคนร่วมกันเข้าชื่อกล่าวโทษ ต้องการจะให้ประหารเขา!”
เฉิงเซ่าซางตะลึงมององค์ชายสาม “ดังนั้น…จนป่านนี้เขาก็ยังอยู่ที่ก้นผา ไม่มีใครกล้าหามเขาขึ้นมา ถูกหรือไม่เพคะ”
องค์ชายสามเดือดดาลสุดระงับ เดินปราดหลายก้าวไปคว้าต้นแขนของเด็กสาว หิ้วตัวนางขึ้นมาแล้วด่ากราด “ล้วนเป็นเพราะเจ้าสตรีต่ำช้า! หากไม่ใช่เจ้าฟ้องร้อง เขาจะลงเอยในสภาพนี้ได้อย่างไร!”
เฉิงเซ่าซางใบหน้าซีดขาว แขนเล็กถูกบีบจนเจ็บร้าว กระนั้นน้ำเสียงกลับเป็นปกติ “เช่นนั้นองค์ชายสามทรงหวังให้เขาลงเอยเช่นไรเล่า หนีเตลิดไปสุดหล้าแล้วปกปิดชื่อแซ่? หรือว่างานลุล่วงแล้วพาดกระบี่เชือดคอตาย?”
องค์ชายสามลำคอตีบตัน
“เขาต้องการทำอันใด นับแต่รู้ว่าหลิงอี้ไปจัดงานวันเกิดที่คฤหาสน์นอกเมืองหม่อมฉันก็รู้แล้ว สังหารบิดา โยกย้ายทหารโดยพลการ เรื่องเมื่อคืนไม่มีทางจะยุติลงด้วยดี ต่อให้เขาสมปรารถนา แล้วบทสรุปเล่าจะเป็นเยี่ยงไร”
เฉิงเซ่าซางสบรับสายตาขององค์ชายสาม ขณะที่แผลบนแผ่นหลังเริ่มปวดแปลบ
“หลบหนี หรือไม่ก็รั้งอยู่” นางเอ่ยเนิบๆ “ทว่าทั่วหล้าล้วนเป็นแผ่นดินของฝ่าบาท เขาจะหลบหนีไปที่ใดได้เล่า จะให้ทรยศหนีเข้าพื้นที่สู่จง? หรือจะให้ไปเข้ากับชนต่างเผ่าทางเหนือที่โม่เป่ย*? หรือไม่ก็ปกปิดชื่อแซ่อยู่ในป่าเขา อยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด วันๆ เฝ้ารอว่าหลังจากฝ่าบาทเสด็จจากไป องค์ชายสามทรงสำเร็จการใหญ่ แล้วเขาจะได้ออกมาอีกครา?”
แววตาของเด็กสาวอ้างว้างทว่ามองทะลุลึกซึ้ง องค์ชายสามถึงกับไม่อาจประสานสายตากับนางได้
“องค์ชายทรงรู้จักตัวตนของเขาชัดแจ้งยิ่งกว่าหม่อมฉัน เขาจะไม่ยินยอมพร้อมใจแน่หากต้องเอาชีวิตรอดไปวันๆ อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ลับๆ ล่อๆ เขาขอยอมตายก็จะไม่มีทางยินยอมพร้อมใจ”
องค์ชายสามคลายฝ่ามือออก วางร่างเด็กสาวกลับไปที่ขอบเตียง แล้วเดินห่างออกมาสองก้าว
“เมื่อเขารั้งอยู่ก็คือยอมให้จับกุม หรือไม่ก็ขอตายยุติเรื่องราว” เฉิงเซ่าซางลูบคลึงแขนที่ถูกบีบจนเจ็บระบม “แต่เขาจะไม่จบชีวิตตนเองต่อหน้าหม่อมฉันหรอก”
องค์ชายสามหันขวับมาเอ่ยถากถาง “เจ้าช่างคาดการณ์แม่นยำดุจเทพเซียน ไม่ว่าอันใดก็รู้ทั้งสิ้น!”
เฉิงเซ่าซางเงยหน้าสบตาตอบ “หม่อมฉันรู้ เพราะเขาไม่อาจหักใจทำให้หม่อมฉันตื่นกลัว”
องค์ชายสามสะบัดหน้าไปอย่างฉุนเฉียว ไม่พูดจาแต่อย่างใด
“ในเมื่อต้องถูกจับเข้าคุกตัดสินโทษ เช่นนั้นเรื่องบางอย่างเขากระทำน้อยลงเท่าไร ย่อมจะยิ่งดีเท่านั้น”
เฉิงเซ่าซางอ่อนแรงอยู่บ้าง ไม่แคล้วเริ่มหอบหายใจ “หม่อมฉันจงใจเรียกให้แม่ทัพเฉินแห่งหน่วยพยัคฆ์เผ่นไปทูลแจ้งฝ่าบาท ใจคิดว่าเขามีมิตรภาพอันดีกับพวกเราเสมอมา ย่อมจะไว้ไมตรีให้สามส่วน ไม่คาดว่า…เฮ้อ แม่ทัพเกราะเขียวผู้นั้นเป็นใครกันเพคะ”
“คนผู้นั้นมีชื่อเสียงทัดเทียมกับเฉินอันกั๋ว เมื่อสามปีก่อนเขานึกว่าเสด็จพ่อจะมอบหน่วยทหารส่วนพระองค์ให้กับเขา ใครจะรู้เสด็จพ่อกลับมอบให้จื่อเซิ่ง! เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง วันหน้าข้าจะสั่งสอนเขาเอง!” องค์ชายสามโกรธจนกำหมัด หันมาถลึงตาจ้องเด็กสาวอีกครา “เจ้าไม่ต้องมาพูดเสียมีเหตุผลน่าฟัง หากจื่อเซิ่งตายไป ล้วนเป็นเพราะเจ้าทำร้ายเขา!”
เฉิงเซ่าซางเอ่ยเสียงเบา “หากเขาตายไป หม่อมฉันชดใช้ชีวิตให้แล้วกัน องค์ชายพอพระทัยหรือไม่เล่า”
องค์ชายสามไม่ตอบคำ ยังถลึงตาใส่นางต่อ
เฉิงเซ่าซางกล่าว “อันที่จริงตรัสว่าล้วนเป็นเพราะหม่อมฉันทำร้ายเขา นี่ไม่ถูกต้องแต่อย่างใด คืนนี้ที่ทรงรุ่มร้อนดั่งถูกไฟแผดเผา เกรงว่าเพราะทรงรู้สึกผิดบาปอยู่เช่นกัน…ความจริงหม่อมฉันมีถ้อยคำสามประโยคอยากจะมาทูลถามองค์ชายตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
องค์ชายสามเอาสองมือไพล่หลัง สีหน้าเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “สามประโยคใดเล่า”
“ประโยคแรก…สระน้ำในสุสานตงไป่หนาวหรือไม่ ประโยคที่สอง…ทิวทัศน์บนเจดีย์เยี่ยนหุยดีหรือไม่ ประโยคที่สาม…นานหลายปีเพียงนี้ พวกท่านสองคนเสแสร้งเหนื่อยหรือไม่”
องค์ชายสามพลันหน้าเปลี่ยนสี “เจ้ารู้ทั้งหมดแล้ว?”
เฉิงเซ่าซางยึดจับมือของอาจู้ พยุงกายยืนขึ้นอย่างยากลำบากราวหญิงชราวัยเจ็ดแปดสิบผู้หนึ่ง “วาจาเหล่านี้มิสู้สนทนากันระหว่างทาง ความจริงต่อให้องค์ชายไม่เสด็จมา หม่อมฉันก็จะเข้าวังอยู่แล้ว ตอนนี้โปรดให้หม่อมฉันได้ล้างหน้าล้างตาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ถ้าอย่างไรองค์ชายเองก็จัดแต่งอาภรณ์อยู่ที่จวนสกุลเฉิงสักหน่อยเถิด ประเดี๋ยวเข้าเฝ้าฝ่าบาท ชุดแต่งกายไม่เรียบร้อยมิแคล้วเป็นการไม่เคารพ”
องค์ชายสามจับจ้องนางครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยเน้นทีละคำ “หากเจ้าพูดหักล้างแทนเขาได้ดี ข้าจะไม่ถือสาหาความอันใดกับเจ้าแล้ว! แต่หากเจ้ากล้ามีพฤติกรรมปลิ้นปล้อนเฉไฉแม้เพียงนิด วันหน้าข้าจะเอาชีวิตเจ้าแน่!”
ยามราตรีดึกสงัดบนท้องถนนอันโล่งว่างหนาวยะเยือก ทหารองครักษ์หนึ่งกลุ่มขี่ม้าไปอย่างเงียบขรึม บนแผ่นหินสีเทาอมเขียวบังเกิดเสียงเกือกม้าย่ำกุบกับแช่มช้า รอบรถม้าหนึ่งคันซึ่งถูกโอบล้อมอยู่ตรงกลางนั้นเว้นพื้นที่ว่างหนึ่งวง คงเหลือเพียงคนผู้หนึ่งขี่ม้าติดตามอยู่ด้านข้าง…เฉิงเซ่าซางห่มเสื้อคลุมขนสัตว์เนื้อนุ่มแน่น เปิดหน้าต่างรถค้างไว้แล้วสนทนากับองค์ชายสามที่อยู่เบื้องนอก
“เขาเคยหลุดปากพูดว่ารัชทายาทช่วยเขาขึ้นจากน้ำที่เย็นเฉียบเสียดกระดูก ในใจจึงซาบซึ้งมาตั้งแต่นั้น หม่อมฉันรู้สึกอยู่ตลอดว่าถ้อยคำนี้ไม่ถูกต้องตรงที่ใดสักอย่าง…ภูเขาถูเกากว่าครึ่งมีน้ำพุร้อน ต่อให้เป็นช่วงหนาวจัดของฤดูเหมันต์ น้ำในสระก็ยังคงอบอุ่น อีกอย่างที่ประทับของฝ่าบาทมีหรือจะจำเพาะเลือกบริเวณที่ไม่มีน้ำพุร้อน เช่นนี้ประโยคนั้นของเขาเป็นเรื่องใดกันเล่า
ทว่ากลับกันช่วงต้นฤดูวสันต์ในปีที่องค์ชายสามทรงถูกความเย็นเล่นงานจนไข้ขึ้นสูง สระน้ำในสุสานตงไป่คงยังมีแผ่นน้ำแข็งลอยอยู่บนผิวน้ำยากจะละลายกระมัง ปีนี้ใต้เท้าจื่อเซิ่งอายุครบยี่สิบสอง ตอนห้าหกขวบเขากับฮั่วฮูหยินพลัดหายไปด้วยกัน หนีเอาชีวิตรอดอยู่ภายนอกสองปี กลับมาได้ไม่กี่เดือนฮั่วฮูหยินก็ฟั่นเฟือนล้มป่วย เขาถูกฝ่าบาทรับตัวเข้าวัง พอดีเป็นเรื่องเมื่อสิบสี่ปีก่อนตอนที่เขาอายุราวแปดขวบ องค์ชายสาม…ความจริงแล้วผู้ที่ช่วยชีวิตเขาคือท่านสินะ”
องค์ชายสามเงียบงันเป็นนาน ค่อยตอบเสียงเบา “เจ้าพูดมาไม่ผิด ปีนั้นจื่อเซิ่งเพิ่งเข้าวัง แปลกแยกไม่เข้าพวก ไม่รู้เหตุใดวิ่งไปถึงริมสระน้ำที่ปลอดคนแล้วพลาดลื่นไถลลงไป ยังดีเขาคว้าหญ้าแห้งหลายต้นที่ริมตลิ่งไว้แน่น ข้าเองก็แปลกแยกไม่เข้าพวกมาแต่เล็ก หลบหาความสงบอยู่ตรงนั้นพอดี เห็นเหตุการณ์นี้จึงตรงไปดึงเขาขึ้นมา”
“ดังนั้นอาภรณ์ครึ่งร่างขององค์ชายจึงเปียกปอน กลับไปก็ถูกความเย็นเล่นงานจนไข้ขึ้นสูง” เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะ “นับแต่นั้นพวกท่านก็ลอบไปมาหาสู่กัน กล่าวเช่นนี้องค์ชายทรงมี ‘ปณิธานอันยิ่งใหญ่’ แต่วัยเยาว์แล้วน่ะสิ?”
องค์ชายสามถลึงตาใส่เฉิงเซ่าซางปราดหนึ่งอย่างเยียบเย็น “เอาจิตใจของคนต่ำทรามมาวัดน้ำใจของวิญญูชน! ฮองเฮากับเสด็จแม่ข้าเป็นเช่นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง องค์ชายองค์หญิงของสองตำหนักก็ไม่นับว่าใกล้ชิดกัน ทว่าจื่อเซิ่งถูกเลี้ยงดูอยู่ในตำหนักฉางชิว ข้ากับเขาไม่อยากถูกคนชำเลืองมองจึงไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้”
“เช่นนั้นเรื่องที่รัชทายาทช่วยคนขึ้นจากน้ำก็เป็นความเท็จ?” เฉิงเซ่าซางมุ่นหัวคิ้ว
องค์ชายสามกล่าว “ตอนนั้นจื่อเซิ่งเพิ่งหัดว่ายน้ำเป็นได้ไม่นาน เห็นสระน้ำบนภูเขาถูเกาอบอุ่นจึงลงน้ำไปฝึกกลั้นหายใจ ใครจะรู้รัชทายาทนึกว่าเขาจมน้ำ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ ‘ช่วย’ เขาขึ้นมา เสด็จพ่อทราบเรื่องแล้วดีพระทัยยิ่ง ในหมู่ขุนนางราษฎรก็กล่าวขวัญเป็นเรื่องอันดีงาม พากันชื่นชมว่ารัชทายาทดูคล้ายบัณฑิตอ่อนแอ แท้ที่จริงมีน้ำใจหาญกล้า จื่อเซิ่งไม่สะดวกใจจะหักล้าง จึงปล่อยให้ผิดแล้วผิดเลย”
เฉิงเซ่าซางลอบทอดถอนใจ ความเข้าใจผิดหลายอย่าง…เพียงดูงดงามเท่านั้น
“เรื่องบนเจดีย์เยี่ยนหุย เจ้ามองออกได้อย่างไรกัน” องค์ชายสามไม่ลดละ
“มิสู้องค์ชายทรงบอกหม่อมฉันก่อน พวกท่านเริ่มคิดเรื่องปลดรัชทายาทตั้งแต่เมื่อใด” เฉิงเซ่าซางยื่นปลายนิ้วมาสัมผัสสายลมราตรีที่โชยเอื่อย
องค์ชายสามขบคิดชั่วครู่ ก่อนยอมรับตรงๆ “แรกเริ่มไม่ได้คิดถึงเรื่องปลดรัชทายาทหรอก…น่าจะเป็นสองสามปีหลังจากรัชทายาทแต่งงาน ข้ากับจื่อเซิ่งเพิ่งอายุสิบกว่า แค่ไม่พอใจที่คนสกุลเดิมของชายารัชทายาทก่อกรรมทำเข็ญในเมืองหลวง เมื่อแรกรัชทายาทไม่รู้แต่อย่างใด ต่อมาพวกเราลอบจัดการให้เจ้าทุกข์ได้ฟ้องร้องต่อหน้ารัชทายาท ใครจะรู้คนสกุลซุนกลอกกลิ้งเล่นลิ้น ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตาย ซ้ำย้อนเล่นงานหาว่าผู้อื่นป้ายสีพวกตน…จื่อเซิ่งโกรธจนหายใจหอบถี่ จึงพูดเปิดโปงความผิดของคนสกุลซุนต่อหน้ารัชทายาทด้วยตนเอง…”
“จุๆๆ” เฉิงเซ่าซางสั่นศีรษะระรัว “ตอนนั้นชื่อเสียงของชายารัชทายาทยังดียิ่ง ผู้คนล้วนชื่นชมว่า ‘จรรยาเพียบพร้อมเข้าที จิตใจบริสุทธิ์ดุจหญ้าหอม ละเอียดอ่อนดุจกล้วยไม้’ เกรงว่ารัชทายาทคงยากจะลงมือได้”
องค์ชายสามเหลือบมองเด็กสาวในรถปราดหนึ่ง “มิผิด ต่อให้ภายหลังความผิดปรากฏชัด รัชทายาทก็ติดขัดที่ชายาของตนมาร่ำไห้วอนขอความเมตตา ยังคงลังเลอยู่เฉยเช่นเดิม…ชายารัชทายาทนับว่าลงทุนเข้าเนื้อทีเดียว ว่ากันว่าเสียเด็กในครรภ์ไป สุดท้ายเป็นเสด็จพ่อลงมือเอง ถึงค่อยขับบิดา พี่ชาย กับเครือญาติสกุลซุนโขยงใหญ่กลับภูมิลำเนาไปในที่สุด”
ตอนนี้ขบวนรถเข้าใกล้ประตูของกำแพงวังทักษิณแล้ว ครั้นประตูทรงโค้งสูงเลื่อนผ่านเหนือศีรษะไปเรียบๆ ก็เผยให้เห็นจันทร์สกาวกลมเกลี้ยง สีแห่งรัตติกาลครามเข้ม หอธนูสองฟากตั้งตระหง่านสูงลิ่ว หลังคาบนยอดหอแหลมนั้นคล้ายใกล้จะเหยียดถึงจันทราก็มิปาน
“สรรพชีวิตไร้ความผิด ราษฎรน่าเวทนายิ่ง ชั่วชีวิตของพวกเขาเพียงหวังให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล หวังให้การปกครองสุจริตโปร่งใส ทั้งครอบครัวจึงจะได้สุขสงบปลอดภัย กินอิ่มสวมอุ่น หากวันใดเกิดภัยแล้ง น้ำท่วม ตั๊กแตนระบาด หรือทางการละโมบกดขี่ทารุณ วันนั้นพวกเขาก็จะพลันบ้านแตกสาแหรกขาด คนสกุลซุนเป็นเพียงตระกูลผู้มีอำนาจในท้องถิ่นทั่วไป ไหนเลยจะเคยเห็นความรุ่งโรจน์ของเมืองหลวง จึงพลันหลงระเริงลืมตัว ไม่รู้จักบันยะบันยัง ตั้งแต่เสด็จพ่อปูนบำเหน็จให้ตระกูลของชายารัชทายาทจนกระทั่งขับออกจากเมืองหลวงไปนั้น ในชั่วเวลาสั้นๆ เพียงสองปีเศษ กลับมีหลายสิบครัวเรือนถูกฮุบที่นา คนนับร้อยถูกจับเป็นบ่าวทาส…ข้าจำได้ว่ามีแม่นางน้อยผู้หนึ่งอายุไล่เลี่ยกับเจ้าถูกน้องชายแท้ๆ ของชายารัชทายาทฉุดคร่าเข้าจวน ตอนที่ศพนางถูกโยนออกมา ผิวเนื้อไม่มีสักส่วนที่สมบูรณ์ดี” นัยน์ตาขององค์ชายสามดำทะมึน ต่อให้เรื่องผ่านมาหลายปีก็ยังยากจะอำพรางโทสะ
เฉิงเซ่าซางขมวดคิ้ว “หวังฉุนนั้นแล้วไปเถิด แม้แต่โหลวจิงที่มีตำแหน่งผู้ช่วยพระอาจารย์รัชทายาทก็มองเฉยๆ เยี่ยงนี้น่ะหรือ”
องค์ชายสามเผยยิ้มหยัน “ช่วงต้นของราชวงศ์ก่อน เหล่าขุนนางเลือกสนับสนุนเหวินฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ สาเหตุใหญ่ข้อหนึ่งก็คือตระกูลมารดากับตระกูลภรรยาของเหวินฮ่องเต้ล้วนอ่อนแอขาดกำลังทรัพย์กำลังคน ส่วนราชวงศ์นี้ยังไม่ต้องเอ่ยถึงขุนนางในราชสำนัก ลำพังขุนนางประจำตำหนักบูรพาเองก็อาจหวังให้สกุลซุนถูกเนรเทศด้วยซ้ำไป”
“รัชทายาทยังคงวางเฉย?”
“ย่อมจะไม่ รัชทายาทพี่ชายใหญ่ของข้าเสียใจมาก ร่ำไห้ไปหนึ่งยก ไม่พูดไม่จากับชายาสามเดือน ทั้งมอบเงินจำนวนมากแก่ครอบครัวของแม่นางน้อยผู้นั้น อืม ราษฎรที่ถูกคนสกุลซุนทำร้ายล้วนได้รับค่าบำรุงขวัญในภายหลัง…ขอเพียงยังรอดชีวิตอยู่ล่ะก็” องค์ชายสามไม่วายเหน็บแนม
เฉิงเซ่าซางไม่เอ่ยคำอีก
“ด้วยคำนึงถึงหน้าตาของว่าที่ประมุขแผ่นดิน เสด็จพ่อได้แต่ขับคนสกุลซุนออกจากเมืองหลวงไปเงียบๆ ค่อยให้ขุนนางที่ภูมิลำเนาของพวกเขาลงโทษ หึๆ!” องค์ชายสามเปล่งเสียงหัวเราะเย็นชาติดๆ กัน “ข้าไม่สนใจที่พวกเขาแก่งแย่งชิงดี แต่ไม่ควรจะเอาราษฎรผู้บริสุทธิ์มาเป็นเครื่องมือ!”
เฉิงเซ่าซางอดไม่ได้ต้องเอ่ยเสียงเบา “องค์ชายอย่ากริ้วไปเลย”
“ข้าไม่โมโหหรอก” องค์ชายสามตอบ “เพราะระหว่างที่คนสกุลซุนกลับภูมิลำเนา เจอหินภูเขากลิ้งลงมาบนเส้นทางแคบ เจ็บตายไปไม่น้อย โดยเฉพาะน้องชายสองคนของชายารัชทายาท ล้วนถูกอัดกระแทกจนกลายเป็นเนื้อบดแล้ว”
เฉิงเซ่าซางเงยหน้ามองคนบนหลังม้าปราดหนึ่ง “สวรรค์มีตาโดยแท้”
องค์ชายสามกล่าว “มิผิด สวรรค์มีตา…เอาล่ะ อย่ามัวพูดร่ำไร ถึงตาเจ้าตอบแล้ว”
เฉิงเซ่าซางถอนหายใจ “จะว่าไปก็ไม่มีอันใดแปลกพิสดาร องค์ชายทรงเคยเห็นกระบวนท่า ‘นางแอ่นเหินวน’ ยอดวิชาประจำตระกูลของชุยโหวหรือไม่เล่า เพียงเขย่งแตะปลายเท้าไม่กี่คราก็เหินวนบนต้นไม้หนึ่งรอบได้ดุจนางแอ่นเลย”
“เจ้าฟังมาผิดแล้ว นั่นไม่ใช่ยอดวิชาประจำตระกูลชุย ข้าเคยได้ยินลุงรองของข้าบอกว่า…นั่นเป็นวิชาที่บิดาของชุยโหวซื้อจากจอมยุทธ์พเนจรผู้หนึ่งในราคาหลายร้อยเฉียน ต่อมาจอมยุทธ์พเนจรผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสตายไป สกุลชุยยังจัดงานศพให้เขาด้วย” องค์ชายสามเปิดโปงความจริงอย่างเอาจริงเอาจังยิ่ง
เฉิงเซ่าซางอับจนถ้อยคำ…องค์ชายสาม อุปนิสัยนี้ของท่านจะต้องปรับปรุงเสียบ้างจริงๆ ดังคำว่า ‘เปิดโปงกันไม่เปิดโปงข้อบกพร่องส่วนตน’ ท่านไม่เคยได้ยินเลยหรือ
“ไม่ว่ายอดวิชานั้นมีที่มาเช่นไร ด้วยน้ำใจไมตรีของชุยโหว มีหรือจะไม่สอนแก่บุตรชายของฮั่วฮูหยิน ดูจากอายุของคุณชายน้อยสกุลชุยทั้งสองที่เหินวนต้นไม้ได้หนึ่งรอบ เช่นนั้นด้วยความสามารถของใต้เท้าจื่อเซิ่ง การเหินร่างวนรอบเจดีย์ก็คงจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่เขากลับบอกหม่อมฉันว่า…เขาเองก็กำลังแอบฟังคำสนทนาลับของคนในห้องอยู่ ซ้ำได้ยินไม่ชัดแต่อย่างใด…นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า!”
เฉิงเซ่าซางไม่แคล้วยิ้มเศร้า “หม่อมฉันควรจะคิดได้ตั้งแต่แรก มิน่าเล่า จิตใต้สำนึกจึงมักไม่ยอมเชื่อถือเขา” นางหยิบหยกวงแหวนครึ่งซีกออกจากอกเสื้อ ลูบไล้เบาๆ ไปบนนั้นซึ่งคงเหลือเพียงอักษร ‘รั่ว’* …หยกนี้เขาคืนให้นางตอนที่สองคนผูกพันกันแน่นแฟ้น
“หม่อมฉันได้ยินในห้องมีเสียงสองเสียง ก็นึกไปว่าข้างในมีคนสองคน อันที่จริงควรจะมีสามคนต่างหาก ซึ่งคนที่สามก็คือใต้เท้าจื่อเซิ่ง! เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทันทีที่สัมผัสได้ว่านอกห้องมีคนก็กระโดดออกจากหน้าต่าง ใช้วิชา ‘นางแอ่นเหินวน’ อ้อมมาถึงหน้าต่างของตัวเจดีย์อีกด้านที่อยู่เบื้องหลังหม่อมฉัน ครั้นเห็นว่าเป็นหม่อมฉัน เขาก็รีบแสร้งทำทีว่ากำลังแอบฟังอยู่ ทั้งยังหักหยกวงแหวนของหม่อมฉันเพื่อขู่ให้กลัว คาดว่าหยกอีกครึ่งซีกคงอยู่ในมือเขานั่นเอง”
ขณะผ่านหอสังเกตการณ์อันสูงโอฬารแต่ละชั้น เงาดำก็พาดลงบนหนึ่งม้ากับหนึ่งรถไปครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้เบื้องหน้าคือตำหนักฉงหมิงอันใหญ่โตสว่างไสวทางทิศตะวันตกของวังทักษิณแล้ว
องค์ชายสามเงียบงันไปเนิ่นนานก่อนกล่าว “เจ้าทายไม่ผิดสักนิด วันนั้นในห้องบนเจดีย์มีสามคนจริงๆ คือข้า จื่อเซิ่ง และอาจารย์โอวหยางกวน เพียงแต่…พวกเราไม่ได้จะคิดร้ายต่อรัชทายาท วันนั้นพวกเราแค่หารือเรื่องที่ตราประทับของตำหนักบูรพาหายไป ยังคาดคะเนกันอยู่ไม่รู้ว่าเป็นตระกูลใดลงมือ”
“ข้อนี้หม่อมฉันเชื่อ” เฉิงเซ่าซางเอ่ย
เมื่อรถม้าจอดสนิท ผู้บังคับรถซึ่งทั้งหูหนวกและเป็นใบ้ก็ยกม้านั่งสำหรับรองเหยียบมาจัดวาง ให้เด็กสาวจับตัวรถก้าวลงมา ฝ่ายองค์ชายสามก็ค้อมเอวลงจากม้าเช่นกัน
เฉิงเซ่าซางยืนมั่นคงแล้วสบตาองค์ชายสามตรงๆ “เคยมีคนบอกหม่อมฉัน นับแต่ขุนนางใช้เล่ห์สกปรกเปลี่ยนตัวรัชทายาท เป็นเหตุให้อู่ฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อนฆ่าล้างจนธารเลือดนอง ก็ไม่มีใครกล้าชิงตำแหน่งว่าที่ประมุขแผ่นดินด้วยวิธีใส่ร้ายป้ายสีอีก ถ้าเช่นนั้น…ขอเพียงฝ่าบาทตั้งพระทัยไม่เปลี่ยน ตำแหน่งของรัชทายาทก็ย่อมแข็งแกร่งยากจะทำลาย รัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้อ่อนโยนอ่อนแอเช่นกันก็ยังได้สืบบัลลังก์เลย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงรัชทายาทของพวกเรา
เอ่ยให้ชัดขึ้นก็คือ…คู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกท่านแท้จริงแล้วไม่ใช่รัชทายาท หากแต่เป็นฝ่าบาท เช่นนั้นวิธีใดเล่าจึงจะทำให้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระทัยได้ ในเมื่อไม่อาจใส่ร้ายป้ายสี ไม่อาจยุแยงตะแคงรั่ว ก็ได้แต่ใช้ยุทธวิธีอันตรงไปตรงมา
พวกท่านต้องการทำให้ฝ่าบาททรงเห็นชัดแจ้ง…ว่ารัชทายาทไม่เหมาะจะเป็นเจ้าเหนือหัวจริงๆ”
เฉิงเซ่าซางมองดูตำหนักใหญ่อันสว่างเรืองรองตรงหน้า ก่อนก้มลงลูบชุดกระโปรงบนร่างให้เรียบ “ดังนั้นเมื่อคืนใต้เท้าจื่อเซิ่งจึงคิดว่าไหนๆ ตนเองกำลังจะฆ่าล้างสกุลหลิงทั้งตระกูลแล้ว ก็มิสู้ช่วยองค์ชายสามกระทำการใหญ่ให้เสร็จสิ้นไปพร้อมกันเสียเลย”
นางยกยิ้มน้อยๆ “นับจากเมื่อคืน เกรงว่าฝ่าบาทคงไม่ต่างจากเกาฮ่องเต้ในอดีตยามได้เห็นสี่ผู้เฒ่าแห่งภูเขาซังซาน* รู้ว่าสถานการณ์ไม่อาจกอบกู้ ลิขิตฟ้าไม่อาจขัดขืน ผู้ซึ่งนั่งตำแหน่งว่าที่ประมุขแผ่นดินได้มั่นคงก็ย่อมจะนั่งได้มั่นคง ผู้ซึ่งนั่งได้ไม่มั่นคงก็ไม่มีทางจะนั่งมั่นคงไปได้”
“จื่อเซิ่ง จื่อเซิ่ง…” องค์ชายสามร่างสั่นสะท้าน สองตามีหยาดน้ำขังคลอ “เขาไม่ควร…ไม่ควรเลย…”
“เขาเป็นคนเช่นนี้นี่เอง” เฉิงเซ่าซางดวงหน้าขาวดุจสีหิมะ รูปร่างบอบบาง “ทั้งผ่าเผยทั้งเก็บงำ ทั้งห้าวหาญทั้งละเอียดอ่อน เขาเต็มใจสละชีวิตช่วยหม่อมฉันได้ ทว่าก็ทอดทิ้งหม่อมฉันได้อย่างไม่ลังเลแม้สักนิด…”
นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย ให้ความชื้นในดวงตาร่วงริน ยามที่เงยหน้าขึ้นอีกครา นางชี้มือไปยังตำหนักใหญ่เบื้องหน้า “ฝ่าบาททรงเลือกประชุมที่นี่ รูปการณ์คงมิใช่เล็กๆ องค์ชายสามมิสู้ตรัสเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หม่อมฉันได้รู้สักหน่อย”
องค์ชายสามมองไปเบื้องหน้า ก่อนตอบเสียงหนัก “วันนี้ตั้งแต่เช้า ขุนนางสำคัญสิบแปดคนก็เข้าชื่อกันกล่าวโทษจื่อเซิ่ง ชุยโหวซึ่งพักฟื้นอาการป่วยอยู่ที่บ้านรู้ข่าวก็รีบเข้าวังมาทูลขอพระเมตตา ทว่าชุยโหวกลับชี้แจงสาเหตุออกมาไม่ได้ เสด็จพ่อกริ้วหนักเป็นทุนเดิมจึงไม่ยอมรับฟังเขา ยืดเยื้อเช่นนี้ถึงยามบ่าย เฉินอันกั๋วนำทหารส่วนตัวของจื่อเซิ่งกลับมาถึงเมืองหลวง ข้ากับชุยโหวไปสอบสวนแล้วค่อยได้ยินว่า…”
เขายากจะเลือกถ้อยคำ คล้ายยังกังขายิ่ง “อันใดคือบิดาของจื่อเซิ่งไม่ใช่หลิงอี้! เช่นนั้นจะเป็นใครได้อีก ยังมีคำว่าชำระแค้นแทนบิดามารดาอะไรนั่น ข้า…ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ชุยโหวเองก็ไม่รู้ที่มาที่ไป พวกเราจึงไปเรือนดอกซิ่งเพื่อจะสอบถามหญิงชราผู้หนึ่ง…”
“อาเอ่า?” เฉิงเซ่าซางถาม
“ถูกต้อง ก็คือนาง ใครจะรู้หลังจากฮั่วฮูหยินถึงแก่กรรม จื่อเซิ่งได้ส่งนางไปพักผ่อนใช้ชีวิตบั้นปลายในชนบทแล้ว ชั่วครู่ชั่วยามพวกเราจะเสาะหาคนพบได้อย่างไร!” องค์ชายสามร้อนใจจนคิ้วตั้งสูง
“ต้าซือคงไช่อวิ่นพูดว่า…บุตรชายของฮั่วฮูหยินอาจตายในการศึกอันโกลาหลไปตั้งแต่แรก จื่อเซิ่งเป็นเด็กที่นางเก็บมา นายกองเถียนพูดว่า…จื่อเซิ่งอาจเป็นทายาทตระกูลศัตรูของหลิงอี้ แอบอ้างสวมรอยมาสิบกว่าปี การกระทำเมื่อคืนก็เพื่อล้างแค้น ทว่าที่พูดกันเยอะที่สุดคือ…จื่อเซิ่งคับแค้นแทนฮั่วฮูหยิน จึงได้สังหารบิดาผู้ให้กำเนิด…สรุปคือตอนนี้เรื่องราวไม่ชัดแจ้ง พูดกันไปต่างๆ นานา!
เดิมเสด็จพ่อหมายนำตัวจื่อเซิ่งกลับมาซักถาม ทว่าขุดภูเขาเจาะถ้ำใช้แรงงานมากเหลือเกิน บางคนจึงพูดว่าไหนๆ จื่อเซิ่งก็มีโทษตาย มิสู้ปล่อยให้เขาอยู่ก้นผาไปตามยถากรรม…ยื้อกันอยู่เช่นนี้จนฟ้ามืด! ข้าจึงได้แต่ไปสอบสวนทหารส่วนตัวของจื่อเซิ่งอีกครั้ง จนบัดนี้เหลียงชิวฉี่ที่เป็นหัวหน้าก็ยังหมดสติไม่ฟื้น อีกคนที่ชื่อ ‘อาเฟย’ พูดจาสับสนไม่ปะติดปะต่อ สุดท้ายเขาบอกว่าเจ้าน่าจะรู้เรื่อง”
เฉิงเซ่าซางหัวเราะขมขื่นหนึ่งเสียง “มิผิด หม่อมฉันรู้เรื่องจริงๆ เกรงว่าตอนนี้แม้แต่ใต้เท้าจื่อเซิ่งก็รู้มากไม่เท่าหม่อมฉัน หม่อมฉันคิดได้กระจ่างทั้งหมดแล้ว”
นางพูดพลางยกเท้าเดินมุ่งไปยังตำหนักใหญ่เบื้องหน้า องค์ชายสามยุดแขนนางไว้ก่อนถามเสียงเย็น “เจ้ามีความมั่นใจหรือไม่”
เฉิงเซ่าซางถูกฉุดดึงจนซวนเซ เอียงกายยืนได้มั่นคงค่อยเอ่ยเรียบๆ “หม่อมฉันเคยพูดไปแล้ว หากเขาไม่อาจอยู่รอด หม่อมฉันจะชดใช้ชีวิตให้เขา…เป็นอย่างไร”
เวลานี้องค์ชายสามรุ่มร้อนจนไฟโทสะลุกโพลง มีหรือจะทนมองอาการไม่ยี่หระของนางได้ เขาต่อว่าด้วยเสียงที่กดให้เบาลง “อย่ามาพูดจาเหลวไหลนะ! จื่อเซิ่งอุตส่าห์ควักหัวใจให้เจ้า ที่แท้เจ้าเคยยืนในมุมของเขา แล้วคิดอ่านแทนเขาสักน้อยนิดหรือไม่! ยามที่ภัยใหญ่มาเยือน สิ่งที่เจ้าคิดถึงก่อนคือทำอย่างไรให้สกุลเฉิงอยู่นอกเหนือเรื่องราว ยามนี้เจ้าพูดได้มีเหตุมีผลทุกคำ เรียบเรียงได้ชัดแจ้ง ราวกับเป็นคนนอกเหตุการณ์ผู้หนึ่ง! เจ้ารู้บ้างหรือไม่ อันใดเรียกว่า ‘ห่วงใยจนว้าวุ่น’ อันใดเรียกว่า ‘ร่วมเป็นร่วมตาย’ หรือว่าเลือดของเจ้ามันเย็นชืด…”
ฟังมาถึงประโยคนี้ เฉิงเซ่าซางไม่อาจข่มกลั้นได้ต่อไป หยกวงแหวนครึ่งซีกในมือพลันถูกขว้างลงพื้นอย่างหนักหน่วง สิ้นเสียงเคร้งหนึ่งหน หยกก็แหลกกระจาย!
“หม่อมฉันบ่มสุราเป็น!” หน้าอกนางยุบพอง ความโกรธเกรี้ยวท่วมท้น ในสองตาดุจมีสะเก็ดไฟโลดเต้น
องค์ชายสามตะลึงงัน
“…หม่อมฉันสามารถบ่มสุรารสเข้มข้นบริสุทธิ์ที่สุดในเมืองหลวง! แต่หม่อมฉันรู้ว่าฝ่าบาททรงส่งเสริมความมัธยัสถ์ การบ่มสุราต้องสิ้นเปลืองเสบียงจำนวนมาก ไม่อาจเผยแพร่ไปทั่วได้ หม่อมฉันประดิษฐ์กังหันวิดน้ำเป็น กังหันวิดน้ำที่หม่อมฉันประดิษฐ์สะดวกคล่องตัวกว่าของโรงช่างโรงใด ประหยัดแรงคนแรงสัตว์ลงได้ถึงสามส่วน ทว่าเพราะหม่อมฉันเป็นสตรี นอกจากรับบำเหน็จเป็นเงินทองที่นาจำนวนหนึ่ง กลับไม่อาจเป็นขุนนางได้ หม่อมฉันยังก่อเตาเผากระเบื้องเป็น แผ่นกระเบื้องที่หม่อมฉันเผาออกมาแข็งแกร่งทนทานเช่นเดียวกับของวังหลวง แต่กลับประหยัดฟืนและแรงคนลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง!
มีหรือไม่มีหลิงปู้อี๋ หม่อมฉันล้วนเป็นคนผู้หนึ่งซึ่งยังมีลมหายใจดีอยู่ และมีบิดามารดากับพี่น้องที่ต้องดูแล! ไม่อาจเป็นเพราะหม่อมฉันคือสตรี จึงสมควรถูกคนคุกคามเค้นถามว่า ‘บุรุษของเจ้าจะตายแล้ว เหตุใดเจ้าไม่ไปตายเป็นเพื่อนเขา’!
ยิ่งไม่อาจเป็นเพราะหม่อมฉันคือสตรี ตั้งแต่ต้นจนจบจึงถูกปิดบัง ไม่รู้กระทั่งว่าที่สามีชื่อแซ่อันใดเป็นคนเช่นไร สามวันก่อนแต่งงานเพิ่งเดาความจริงที่เหมือนอสนีผ่ากลางฟ้าแจ้งนี้ออกเอง แต่ก็ยังไม่อาจคั่งแค้น ไม่อาจโกรธเกรี้ยว หาไม่ก็คือใจจืดไร้น้ำใจเห็นแก่ตัว
เขาปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างควักหัวใจให้ หม่อมฉันก็จะผ่าร่างควักหัวใจออกมาคืนให้แก่เขา! เขาช่วยชีวิตหม่อมฉันไว้ หม่อมฉันก็จะตอบแทนด้วยชีวิต! คืนนี้หากหม่อมฉันช่วยชีวิตเขาไม่ได้ หม่อมฉันจะเอาชีวิตชดใช้ จะไม่รักตัวกลัวตายเป็นอันขาด!
หากมีสักวันที่หม่อมฉันอยากจะตาย นั่นต้องเป็นเพราะหม่อมฉันเบื่อหน่ายชีวิตแล้ว ไม่ใช่เพราะจำเป็นต้องไปร่วมเป็นร่วมตายกับผู้อื่น! หลิงปู้อี๋คือบุรุษที่หม่อมฉันชมชอบมากที่สุดของที่สุดในใต้หล้านี้ กระนั้นหม่อมฉันก็ยังคงเป็นตัวหม่อมฉันเอง!”
สองไหล่ของเด็กสาวแบบบาง สั่นระริกปานปีกผีเสื้อ ทว่ารักษาท่วงทีที่หยัดตรงไว้ บนดวงหน้าอันซีดขาวเปราะบางมีน้ำตาหยดแล้วหยดเล่ากลิ้งเผาะๆ ลงมาเปียกสาบเสื้อ…ความแกร่งกร้าวที่ใกล้เคียงกับการฟันฝ่าโดยลำพังนี้กลับกอปรเป็นความทะนงตนอันเปี่ยมเสน่ห์ชนิดหนึ่ง
* โม่เป่ย หมายถึงพื้นที่ตอนเหนือของทะเลทรายโกบี
* อักษร ‘รั่ว 弱’ (อ่อนแอ) เป็นครึ่งหนึ่งของอักษร ‘เหนี่ยว 嫋’ (อ่อนช้อย) ซึ่งเป็นชื่อเล่นของเฉิงเซ่าซาง
* สี่ผู้เฒ่าแห่งภูเขาซังซาน เดิมคือสี่ในเจ็ดสิบราชบัณฑิตเอกของฉินสื่อหวง (จิ๋นซีฮ่องเต้) เนื่องจากไม่พอใจการปกครองอันทารุณของฉินสื่อหวง พวกเขาจึงเร้นกายบนภูเขาซังซาน ฮั่นเกาจู่ปฐมฮ่องเต้ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (หรือก็คือเกาฮ่องเต้ที่ผู้เขียนอ้างอิงถึง) เคยเชิญสี่ผู้เฒ่ามารับราชการทว่าถูกปฏิเสธ ในขณะที่พระองค์มีความคิดจะเปลี่ยนตัวรัชทายาท ฝ่ายของรัชทายาทเชิญสี่ผู้เฒ่ามาได้สำเร็จ พระองค์จึงเลิกล้มความคิด เพราะเห็นว่ารัชทายาทมีฐานะมั่นคงถึงขั้นได้รับการสนับสนุนจากปราชญ์ที่ลือนามแล้ว หากเปลี่ยนตัวรัชทายาท ราชสำนักอาจระส่ำระสายได้ สุดท้ายรัชทายาทก็ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ฮั่นฮุ่ยตี้
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนพฤษภาคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.