X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 7 บทที่ 159

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 159

การประชุมยุติลง ฮ่องเต้ประกาศเลิกประชุมด้วยสีหน้าไม่พอใจ ขณะเดียวกันก็เรียกตัวขุนนางสำคัญคนสนิทสี่ห้าคนไปหารือต่อที่วังอุดร เดิมพระองค์จะเรียกฮั่วปู้อี๋ไปด้วย ทว่าเหลือบเห็นสีหน้ารัชทายาทดำทะมึนดุจก้นหม้อจึงปรายตามอบภารกิจให้บุตรบุญธรรม ความจริงฮั่วปู้อี๋ไม่อยากไปที่ใดทั้งสิ้น เขาอยากจะรุดกลับจวนไปจัดการลั่วจี้ทงเสีย แต่ในเมื่อโชคไม่ดีถูกบิดาบุญธรรมหน่วงเหนี่ยว เขาก็ได้แต่ติดตามรัชทายาทกลับตำหนักบูรพา

“กระทำชั่วตามอำเภอใจ กำเริบเสิบสาน บังอาจนัก!” รัชทายาทดึงพระมาลาของตนออกในคราวเดียว ปาลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้ไข่มุกแวววาวดุจหิมะหลายลูกกลิ้งกลุกๆ ตกลงบนพื้น

ท้ายตำหนักบูรพา ในโถงประชุมมีผู้คนนั่งอยู่ซ้ายขวาฝั่งละสามสี่คน พวกเขาบ้างเป็นขุนนางสวมชุดเข้าเฝ้าสีแดงตัดดำ บ้างเป็นที่ปรึกษาสวมชุดยาวแขนกว้าง ยามนี้ฟังออกว่ารัชทายาทโกรธกริ้วก็พากันเอ่ยคล้อยตาม

“รัชทายาทตรัสถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ” คนผู้หนึ่งยืดกายประสานมือ กล่าวเสียงกังวาน “ราชสำนักประกาศคำสั่งรังวัดที่ดิน จุดประสงค์คือจะตรวจสอบจำนวนที่ดินกับแรงงานในแต่ละอำเภอ เมือง และมณฑล เพื่อให้เอื้อต่อการควบคุมเก็บอากรในภายหน้า อันคำว่า ‘ใต้หล้า’ คือ ‘ใต้หล้าของแว่นแคว้น’ อันคำว่า ‘แว่นแคว้น’ คือ ‘แว่นแคว้นของราชสำนัก’ เดิมทีการตรวจสอบจำนวนที่ดินกับแรงงานก็เป็นสิ่งที่ราชสำนักพึงกระทำอยู่แล้ว ถึงกับมีคนกล้าตั้งข้อสงสัย!”

คนอีกผู้หนึ่งเอ่ยสนับสนุนเสียงดัง “มิผิด! ไฟสงครามลุกลามหลายสิบปี ในที่สุดบัดนี้ใต้หล้าก็ผนวกเป็นหนึ่ง หมดสิ้นเหตุวุ่นวายเสียที ทว่าจำนวนที่ดินกับแรงงานที่ราชวงศ์ก่อนบันทึกไว้ต่างจากในยามนี้มาก หากไม่เพิ่มการตรวจสอบ จะปกครองบ้านเมืองได้เช่นไร!”

ชายหนุ่มผู้มีคิ้วตาดุดันหัวเราะเสียงเย็นชา “ทุกท่านยังพูดไม่ถูกจุดสำคัญ! ที่ดินกับแรงงานเดิมทีไร้เจ้าของ เหตุที่คำสั่งรังวัดที่ดินถูกคนรุมต่อต้านเพราะมีคนกลัวว่าราชสำนักจะจำกัดการควบรวมที่ดินและการสะสมบ่าวไพร่ของพวกเขามิใช่หรอกหรือ! รอจนที่ดินกับแรงงานทั่วหล้าตกเป็นของตระกูลใหญ่จนหมดสิ้นจริงๆ ราชสำนักจะไปเก็บอากรจากที่ใด จะไปหาใครมาเป็นแรงงานเกณฑ์! ถึงตอนนั้นใต้หล้ายังจะใช่ใต้หล้าของราชสำนักอยู่อีกหรือ!”

“เซ่าเฉิงระวังคำพูดด้วย!” ราชบุตรเขยรองซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งแรกด้านล่างขวามือของรัชทายาทเตือนเสียงเบา “อย่าได้พูดเสียน่ากลัวเกินจริง ถึงขั้นนี้แล้วเมื่อไรกัน วาจานี้หากแพร่ออกไปจะไม่ดีกับเจ้าเอง”

เดิมรัชทายาทกำลังจะโพล่งชมชายหนุ่มนามเซ่าเฉิงผู้นั้น ทว่าถูกพี่เขยรองของตนขัดเสียก่อน จึงเปลี่ยนมาเอ่ยถาม “จื่อเซิ่ง เจ้าว่าอย่างไร”

ฮั่วปู้อี๋ซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งแรกด้านล่างซ้ายมือของรัชทายาทตอบปนยิ้ม “ที่ทุกท่านกล่าวมาล้วนถูกต้อง”

“ข้าไม่อาจเห็นพ้องกับคำกล่าวของฟู่หม่าตูเว่ยเป็นอันขาด ยามนี้ใต้หล้าเพิ่งเป็นปึกแผ่น เดิมก็ไม่ควรมีการควบรวมที่ดินกับแรงงาน เห็นชัดว่าเป็นตระกูลใหญ่เหล่านั้น…” เซ่าเฉิงแย้งเสียงก้อง

“ทุกท่านโปรดฟังข้าสักคำ” บัณฑิตวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยแทรกขึ้น “คำกล่าวเมื่อครู่ของท่านทั้งสองหากเอ่ยในที่ประชุมใหญ่วันนี้ จะต้องถูกผู้อื่นวิจารณ์ทั้งคู่แน่ บ้างจะต้องหาว่าตระกูลของราชบุตรเขยเป็นขุนนางระดับสูงมาหลายชั่วคน ที่ดินกับแรงงานที่มาพึ่งพิงล้วนยากจะนับได้ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงได้พูดราวกับไม่หนักหนา บ้างจะต้องหาว่าเซ่าเฉิงมีฐานะทางบ้านยากไร้ กำลังเฝ้าคอยตระกูลผู้มั่งมีคายที่ดินออกมาเพื่อจะได้ฮุบเป็นของตน”

เซ่าเฉิงโกรธเกรี้ยว “วาจาเหลวไหล!”

ราชบุตรเขยรองกล่าว “จื่อเซิ่ง แล้วเจ้าเล่า”

ฮั่วปู้อี๋มองสีท้องฟ้าที่เบื้องนอก “ล้วนมีเหตุผล”

“ฮึ่ม!” รัชทายาททุบหนึ่งกำปั้นบนหน้าตักของตนเอง “เสด็จพ่อทรงเมตตาเกินเหตุ ตระกูลใหญ่ที่มีกำลังพลเหล่านั้นมีทั้งคน ทั้งที่ดิน ทั้งอาวุธ ต่อหน้าขุนนางราชสำนักถึงกับลั่นวาจาสามหาวว่าจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งรังวัดที่ดินเด็ดขาด! ส่วนขุนนางท้องถิ่นก็ถึงกับหวาดกลัวพวกเขา ซ้ำยังรับสินบน ปล่อยปละให้พวกเขาปกปิดไม่รายงาน เอาจำนวนที่ขาดนั้นยกยอดไปบนศีรษะของชาวบ้านสามัญทั้งหมด ทำให้ชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้แบกรับภาระถูกเกณฑ์แรงงานรวมถึงอากรอันหนักอึ้ง ฮึ ข้าว่าจะกลายเป็นทางการบีบคั้นให้ราษฎรต้องลุกฮืออีกครั้งแล้ว!”

ราชบุตรเขยรองยิ้มกล่าว “รัชทายาททรงมองในแง่ดีสิ…นี่เห็นชัดว่าตระกูลใหญ่ทั่วแผ่นดินไม่อาจใช้มือเดียวบังฟ้า ขุนนางทุจริตทั่วหล้าไม่อาจจับมือกันเหนียวแน่น พอมีคนสมคบกับผู้มีอำนาจในท้องถิ่น เป็นภัยต่อราษฎร จึงได้มีขุนนางที่ซื่อตรงเปี่ยมปณิธานรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม รายงานเหตุละเมิดกฎหมายเหล่านี้ต่อราชสำนักในชั่วไม่กี่วัน”

ชายหนุ่มคิ้วเข้มตาโตอีกผู้หนึ่งเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงกังวาน “นับจากแต่งกับองค์หญิง ถ้อยคำที่พูดออกจากปากของฟู่หม่าตูเว่ยกล่าวได้ว่าเสนาะหูทุกประโยค ดั่งได้อาบไล้สายลมวสันต์ทีเดียว!”

หลายคนในโถงหัวเราะครืน ผิดกับเซ่าเฉิงที่ถามว่า “ขอบังอาจทูลถามรัชทายาท ทรงคิดจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

รัชทายาทตอบเสียงหนัก “ข้าอยากทูลเสนอเสด็จพ่อ ตระกูลใหญ่ทั้งหมดที่มีการปกปิดไม่รายงานล้วนต้องเอาโทษ ที่ควรตัดศีรษะก็ตัดศีรษะ ที่ควรล้างตระกูลก็ล้างตระกูล!”

วาจานี้พอกล่าวออกมา กลุ่มที่มีเซ่าเฉิงเป็นผู้นำต่างโห่ร้องเสียงดังว่าดี ราชบุตรเขยรองกลับท้วงว่า “รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นว่าเช่นนี้ไม่เหมาะ ฝ่าบาทเองก็ทรงไม่เห็นพ้องด้วยหรอก” หลายคนด้านหลังของเขาต่างคิดเห็นเช่นเดียวกันนี้

รัชทายาทมองไปทางฮั่วปู้อี๋ ฮั่วปู้อี๋ก็เหลียวมองโดยรอบ ส่งผลให้ผู้คนล้วนเงียบเสียง แรกเริ่มเขาคิดว่ามิสู้ให้บิดาบุญธรรมเป็นผู้ ‘สั่งสอน’ บุตรชายด้วยตนเอง ทว่าเห็นแก่ที่ฮ่องเต้กับรัชทายาทล้วนให้ความใกล้ชิดกับตน ฮั่วปู้อี๋จึงจำต้องข่มอารมณ์กล่าว “รัชทายาท กระหม่อมขอถามหนึ่งประโยค หากสืบแล้ว พบว่าตระกูลใหญ่ทั่วหล้ามีถึงแปดเก้าส่วนที่ปกปิดจำนวนแรงงานกับที่ดิน รัชทายาทก็จะทรงตัดศีรษะล้างตระกูลทั้งหมดหรือไร”

เห็นรัชทายาทไม่พูดจา เซ่าเฉิงก็เอ่ยเสียงดัง “อู่ฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อนประกาศ ‘คำสั่งอพยพสู่เม่าหลิง’* บัญชาให้ตระกูลใหญ่ทั่วหล้าทยอยอพยพ หมายบั่นทอนขุมกำลังของผู้มีอำนาจเหล่านี้ เหตุใดฝ่าบาทของพวกเราจะทรงทำบ้างไม่ได้!”

คนผู้หนึ่งเยาะหยัน “อู่ฮ่องเต้ยังเป็นพวกบ้าสงครามด้วย หรือเจ้าก็อยากให้ฝ่าบาททรงเอาอย่าง?”

“เจ้า…” เซ่าเฉิงเดือดดาล

“พอที!” รัชทายาทปราม

ในโถงเงียบสงัดไปทั่วบริเวณ รัชทายาทกวาดมองคนทั้งหมดรอบหนึ่งค่อยเอ่ยเสียงขรึม “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน ฟู่หม่าตูเว่ยกับจื่อเซิ่งรั้งอยู่ที่นี่”

คนที่เหลือขานรับบัญชา โขกศีรษะแล้วเรียงแถวถอยออกไป มีเพียงเซ่าเฉิงที่ยังเป็นเดือดเป็นแค้น สุดท้ายจึงถูกสหายขุนนางฉุดดึงออกไปด้วยกัน

เมื่อในโถงคงเหลือเพียงสามคน รัชทายาทก็มองฮั่วปู้อี๋ด้วยหางตา “เจ้าวางตัวอยู่นอกเรื่องราว ไม่วิตกแม้แต่น้อย หรือเจ้าไม่กลัวว่าตระกูลใหญ่ที่มีกำลังพลเหล่านั้นจะทำลายบ้านเมืองและราษฎร”

ฮั่วปู้อี๋เอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “เป็นธรรมดาที่ตระกูลใหญ่ส่วนมากจะไม่คล้อยตาม ทว่า ‘แผนการปกครองใหม่’ ของลี่ตี้ราชวงศ์ก่อนก็ยังติดตาของพวกเขาอยู่ เกิดโวยวายจนฝ่าบาททรงพระอารมณ์ร้อนขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็กลัวเช่นกันว่า ‘ข้อกำหนดที่ดินกษัตริย์’* ซึ่งกำหนดให้ขุนเขาลำน้ำตลอดจนที่ดินทั่วหล้าตกเป็นของราชสำนักนั้นจะหวนคืนมาอีกครา ตอนนี้ฝ่าบาทเพียงแต่รับสั่งให้รังวัดที่ดิน พวกเขาก็แค่อิดออดไปตามเรื่อง ขอเพียงฝ่าบาททรงแสดงให้เห็นว่าตั้งพระทัยเด็ดขาดแล้ว พวกเขาก็จะฟังพระบัญชาเอง”

รัชทายาทถามอีก “เหตุใดเสด็จพ่อทรงไม่อาจเอาอย่าง ‘คำสั่งอพยพสู่เม่าหลิง’ เล่า”

ฮั่วปู้อี๋คิดในใจ…เพราะเหตุใดน่ะหรือ รอจนฝ่าบาททรงโบยลงโทษท่านหนักๆ สักยก ท่านก็จะเข้าใจแล้ว หากโบยหนึ่งยกยังไม่พอ สองยกเลยก็ได้ กระนั้น…เขากลับยังคงชี้แจงออกมาช้าๆ อย่างมีน้ำอดน้ำทน

“ก่อนที่เกาฮ่องเต้ของราชวงศ์ก่อนจะรวมแผ่นดินได้เป็นปึกแผ่น ใต้หล้าเผชิญภัยสงครามร่วมหลายร้อยปี เริ่มจากยุคที่อยู่ใต้การปกครองของโอรสสวรรค์ราชวงศ์โจว เหล่าเจ้าศักดินาก็รบพุ่งกันไม่หยุดหย่อนแม้ชั่วครู่เดียว ต่อมาช่วงที่ฉินสื่อหวงกวาดล้างพันธมิตรหกแคว้น การรบพุ่งก็เกิดขึ้นอีก น่าสะท้อนใจนัก สงครามยุติได้เพียงไม่นาน เหล่าผู้กล้าก็ลุกฮือต่อต้านการปกครองอันโหดเหี้ยมของราชวงศ์ฉิน การรบพุ่งเกิดขึ้นอีกครา ไม่ง่ายเลยกว่าเซี่ยงอ๋องจะโค่นล้มราชวงศ์ฉินลงจนได้ น่าแค้นที่เขาอวยยศแก่เหล่าเจ้าศักดินาอย่างไม่เป็นธรรม ส่งผลให้ไม่นานต่อมาเกาฮ่องเต้ก่อการต่อต้านเซี่ยงอ๋อง การรบพุ่งดำเนินต่อไป สุดท้ายเซี่ยงอ๋องเชือดคอตายริมแม่น้ำอูเจียง กลุ่มผู้กล้าที่เข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดินในคราแรกเหลือจำนวนไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือนับ ครั้นราชวงศ์ใหม่สถาปนาขึ้น เกาฮ่องเต้ก็บุกตีแทบจะทั่วแผ่นดินอีกรอบเพื่อไล่กำจัดบรรดาอ๋องต่างแซ่ สมัยที่หลี่ว์ฮองเฮากับเหวินฮ่องเต้ครองอำนาจค่อยมีหยุดพักฟื้นบำรุงกำลัง กระทั่งสมัยของจิ่งฮ่องเต้จึงจัดการบรรดาอ๋องร่วมแซ่ไปอีกยกหนึ่ง นับจนถึงตอนนั้นใต้หล้าผ่านการรบรามาหลายต่อหลายปี อย่าว่าแต่ชาวบ้านสามัญระทมทุกข์ แม้แต่ตระกูลใหญ่ผู้มีอำนาจก็เหลือลมหายใจไม่กี่เฮือกแล้ว…”

“เจ้าพูดเรื่องเหล่านี้ทำอันใด” รัชทายาทมุ่นคิ้ว

ฮั่วปู้อี๋ตอบ “ความหมายของข้าคือ…เรื่องนี้ก็ต้องตำหนิฝ่าบาทด้วยที่ไม่ดี”

“จื่อเซิ่งอย่าได้พูดส่งเดช” ราชบุตรเขยรองเตือนอย่างเคร่งเครียด

ฮั่วปู้อี๋ทอยิ้มอ่อนโยน “ฝ่าบาททรงพระปรีชาเกินไป ผนวกใต้หล้าได้เร็วเกินควร การสร้างใหม่บนซากปรักหักพัง…ความจริงแล้วง่ายดายยิ่งกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์ที่คงอยู่เดิม เหตุที่อู่ฮ่องเต้สามารถประกาศใช้ ‘คำสั่งอพยพสู่เม่าหลิง’ ข้อแรกเพราะเขามีอุปนิสัยเคร่งครัดไร้ไมตรี ข้อสองเพราะตระกูลใหญ่ในขณะนั้นแข็งแกร่งน้อยกว่าทุกวันนี้ลิบลับ พูดให้ชัดคือ…จริงอยู่ภายหลังลี่ตี้ชิงบัลลังก์ ใต้หล้าโกลาหลหนัก ทว่าโกลาหลไม่นาน ท่ามกลางภัยสงครามตระกูลใหญ่เหล่านี้ก็แค่บาดเจ็บถึงกระดูกเส้นเอ็น ยังไม่ย่อยยับถึงรากฐาน…เพียงแต่นี่เป็นถ้อยคำที่บาดใจ มีหรือจะไปพูดข้างนอกได้”

รัชทายาทเงียบงันไม่พูดจา ราชบุตรเขยรองค่อยโล่งอกขึ้นเล็กน้อย

“ราชวงศ์ของพวกเราสืบแผ่นดินต่อจากราชวงศ์ก่อน ย่อมผนวกรวมแผ่นดินเดิมได้เร็วขึ้นมาก ทว่าก็สืบทอดข้อเสียหลายอย่างของราชวงศ์ก่อนมาด้วย ตระกูลใหญ่อย่างสกุลโหลว สกุลเหลียง สกุลหยวน สกุลเกิ่ง อ้อ ยังมีสกุลโต้วของราชบุตรเขยรอง ล้วนไม่ใช่ตระกูลที่ฝ่าบาททรงปลุกปั้นขึ้นมา ตรงกันข้าม ตอนที่ทรงสถาปนาแคว้นยังได้รับความช่วยเหลือมากมายจากตระกูลใหญ่เหล่านี้ อย่างสกุลหยวนกับสกุลเหลียงต่างนำพื้นที่หลายเมืองมาเข้าร่วมกับฝ่าบาท อย่างท่านลุงของราชบุตรเขยรอง ในตอนนั้นก็ปกครองสี่เมืองแถบเหอซี ราษฎรอยู่รอดปลอดภัย กำลังทหารกล้าแข็ง มิใช่ผู้ที่สิ้นไร้ไม้ตอก สิ้นหนทางให้เดินเสียหน่อย กระนั้นเขาก็ยังคงมาเข้าร่วมกับฝ่าบาทด้วยความจริงใจ รัชทายาท ท่านจะให้ฝ่าบาททรงทำเช่นไรเล่า

ยามที่ผู้อื่นมาเข้าร่วม หรือว่าฝ่าบาทไม่ได้ทรงรับไว้? หลายปีที่ผ่านมาใต้เท้าทั้งหลายทำงานรอบคอบแข็งขัน ทั้งปกครองเมืองทั้งออกรบเพื่อฝ่าบาท ปราศจากความผิดใดๆ ท่านจะให้ฝ่าบาททรงเงื้อดาบสังหารในทันทีเลยหรือ เอะอะก็บีบคั้นขุนนางที่มีคุณความชอบให้ถึงที่ตาย ประหารวงศ์ตระกูลของพวกเขาสามชั่วโคตร เรื่องพรรค์นี้ไม่ใช่ฮ่องเต้พระองค์ใดก็ทำได้หรอกนะ อย่างน้อยฝ่าบาทของพวกเราก็ทรงทำไม่ได้”

รัชทายาทพลันนึกถึงโจวย่าฟู* ก็อดไม่ได้ที่จะลอบถอนใจ

ราชบุตรเขยรองขอบตาเปียกชื้น โค้งคำนับให้ฮั่วปู้อี๋จากใจจริง “ถ้อยคำนี้ของจื่อเซิ่ง ข้าขอขอบคุณตรงนี้ก่อน!” ครั้นเงยหน้าขึ้น เขาค่อยกล่าวต่อ “คำว่าขุนนางที่มีคุณความชอบ เอ่ยแล้วชวนฟัง แต่กลับปฏิบัติตัวได้ยาก และไม่แปลกที่ในพระทัยฝ่าบาทกับรัชทายาทจะหวั่นวิตก เรื่องรังวัดที่ดินจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อเสถียรภาพของบ้านเมือง เพียงแต่พวกข้าตระกูลผู้มีคุณความชอบเหล่านี้มีบุตรหลานมาก บางคราจึงไม่แคล้วเกิดเหตุไม่คาดฝัน…ซึ่งไปขวางงานใหญ่ของราชสำนักเข้า…”

“พอแล้ว” รัชทายาทขึงตาใส่พี่เขยรอง “ท่านคือท่าน ทางบ้านคือทางบ้าน หากไม่ใช่เพื่อหลีกทางให้ญาติผู้พี่คนนั้นของท่าน ท่านคงไม่ต้องเก็บตัวมาจนบัดนี้ ขับกลอนแต่งลำนำกับพี่หญิงรอง อยู่ว่างไปวันๆ หรอก”

ราชบุตรเขยรองยิ้มกล่าว “ความจริงขับกลอนแต่งลำนำ ผ่านวันเวลาอย่างสบายใจ ก็เป็นอิสระอย่างหนึ่ง”

“ท่านน่ะพอทีเถิด!” รัชทายาทเอ่ยอย่างหัวเสีย หันกลับมามองฮั่วปู้อี๋อย่างสงสัยอยู่บ้าง “ไฉนข้ารู้สึกว่า…วันนี้เจ้าดูอารมณ์ดี…ดีอย่างยิ่ง?”

“อ้อ อย่างนั้นหรือ” คิ้วยาวของฮั่วปู้อี๋เชิดขึ้นอย่างองอาจ นัยน์ตาชวนมองดุจห้วงน้ำ แม้มิได้กล่าวอันใดมาก ทว่ากลับทำให้ผู้อื่นสัมผัสได้ชัดเจนถึงความเบิกบานผ่อนคลายบนร่างของเขา

ราชบุตรเขยรองหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง ครั้นรัชทายาทถามเขาว่าหัวเราะด้วยเหตุใด เขาก็ตอบว่า “รัชทายาทคงยังไม่รู้ หลายวันก่อนจื่อเซิ่งไหว้วานข้าสืบข่าวว่าเจ้าเมืองสวีวั่นซงไป่รังวัดที่ดินเรียบร้อยดีหรือไม่”

ชั่วขณะรัชทายาทนึกสาเหตุของการสืบข่าวนี้ไม่ออก ราชบุตรเขยรองจึงเอ่ยเตือนความจำ “เจ้าเมืองวั่นเป็นพี่น้องร่วมสาบานของแม่ทัพเฉิง”

รัชทายาทชะงักไปเล็กน้อย ก่อนร้องอ้อหนึ่งคำด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ

ฮั่วปู้อี๋เอ่ยอย่างนุ่มนวล “ขอเรียนถามราชบุตรเขย ทางเจ้าเมืองวั่นสถานการณ์เป็นเช่นไร”

ราชบุตรเขยรองตอบปนยิ้ม “เจ้าวางใจได้ ข้าสืบข่าวมาถี่ถ้วนแล้ว เจ้าเมืองวั่นไม่ถูกกับเครือญาติ เครือญาติสกุลวั่นจึงไม่อาจอาศัยอำนาจของเจ้าเมืองวั่นไปข่มเหงใคร การรังวัดที่ดินของสกุลวั่นแห่งอำเภอสุยราบรื่นอย่างยิ่ง ส่วนทางเมืองสวี เจ้าเมืองวั่นมีทั้งกำลังคนกำลังทรัพย์ ทั้งไม่กลัวผู้มีอำนาจในท้องถิ่นคุกคาม ทั้งไม่ละโมบในสินบนของผู้อื่น การรังวัดที่ดินในเมืองสวีจึงราบรื่นมากเช่นกัน”

ฮั่วปู้อี๋วางใจลง จากนั้นพลิกสีหน้าในทันที “ราชบุตรเขยน่าโมโหโดยแท้ ในอดีตท่านสอบถามกิจวัตรความเคยชินขององค์หญิงรองจากข้า ตลอดมาข้าไม่เคยเอาไปบอกผู้ใด ไม่นึกเลยว่าเพียงเบือนหน้า ท่านกลับแพร่งพรายเรื่องที่ข้าไหว้วานเสียอย่างนั้น เอาเถิด ข้าคงต้องแจ้งฝ่าบาทกับรัชทายาทบ้างแล้ว รัชทายาท ท่านรู้หรือไม่ ตอนนั้นขณะที่ฝ่าบาทยังไม่ทันพระราชทานสมรสให้ ราชบุตรเขยก็อยู่ในอุทยานกับองค์หญิง…”

“หยุดๆ!” ราชบุตรเขยรองร้อนใจจนหน้าแดงคอแดง “ได้ๆๆ ล้วนเป็นความผิดของข้า! เจ้าอย่าพูดต่อเชียวนะ เห็นแก่ที่แต่เล็กมาองค์หญิงดีกับเจ้าไม่น้อย และเห็นแก่ที่คราวก่อน…โอ๊ะ…”

เขาพลันฉุกคิดได้เรื่องหนึ่ง “จริงด้วย ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย! รัชทายาท ข้าจะบอกท่านให้ เมื่อสามปีก่อนข้าอุตส่าห์ดั้นด้นบุกป่าฝ่าดงไปเยี่ยมเจ้าคนผู้นี้ที่เมืองชายแดน ใครจะรู้ เขาถึงกับทำเป็นไม่รู้จักข้า! สร้างความลำบากให้ข้าหาเขาอยู่ในค่ายหนึ่งวันเต็มๆ ยังหลงนึกว่าตนเองมาหาผิดที่ด้วยซ้ำ!”

ฮั่วปู้อี๋เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ก็ผู้ใดใช้ให้ท่านแต่งตัวทองอร่ามเยี่ยงนั้นเล่า เมืองชายแดนกันดารหนาวเหน็บ เหล่านายทัพพลทหารขัดตาที่สุดก็คือบุตรหลานตระกูลขุนนางที่แต่งชุดงามหรู!”

ในที่สุดรัชทายาทก็กลั้นไม่ไหว เปล่งเสียงหัวเราะพรืด ต่อเมื่อหัวเราะจบจึงปรับสีหน้าเคร่งขรึม “ตามความเห็นของจื่อเซิ่ง เสด็จพ่อจะทรงลงโทษผู้มีอำนาจในท้องถิ่นที่ขัดขืนคำสั่งรังวัดที่ดินเช่นไร”

ฮั่วปู้อี๋ขบคิดก่อนตอบ “ฝ่าบาทจะทรงลงโทษบรรดาเจ้าเมืองที่ปกปิดจำนวนที่ดินกับแรงงานก่อน คาดว่าต้องสังหารหลายคนทีเดียว…ว่ากันถึงที่สุดแล้ว พวกเขาต่างหากคือขุนนางสำคัญที่ราชสำนักแต่งตั้ง ในเมื่อมองเมินกฎหมาย พวกเขาก็ควรรับโทษก่อนใคร จากนั้นเมื่อราชสำนักเร่งรังวัดที่ดินต่อ ค่อยดูท่าทีของผู้มีอำนาจในท้องถิ่นอีกที หากนับแต่นี้ยอมถอย ปฏิบัติตามคำสั่งโดยดีก็แล้วไป แต่หากยังดันทุรังไม่เปลี่ยน หรือถึงขั้นใช้กำลังพลก่อความไม่สงบ…” เขาไม่ได้พูดต่อ เพียงใช้ประกายเยียบเย็นที่ก้นบึ้งดวงตา ประกาศชัดถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่

รัชทายาทผงกศีรษะ เขาเองก็คิดเช่นนี้ นี่สอดรับกับความเคยชินของบิดาบังเกิดเกล้าที่ชอบมอบทางรอดหนึ่งสายให้ผู้อื่นได้เลือกเดินใหม่อีกครั้ง เขาถามขึ้นอีก “พี่เขยเล่าคิดเห็นเช่นไร”

ราชบุตรเขยรองยังคงถือผ้าแพรซับเหงื่อที่แตกพลั่กเพราะถูกฮั่วปู้อี๋เขย่าขวัญเมื่อครู่ ครั้นได้ยินคำถามจึงตอบปนเหน็บแนม “เจ้านี่น่ะ เว้นแต่เรื่องแต่งงานของตนเอง อย่างอื่นไม่ว่าเรื่องใหญ่หรือเล็กมักเดาคลาดเคลื่อนไปไม่ไกลหรอก”

เรื่องเป็นงานเป็นการสนทนากันพอสมควรแล้ว ฮั่วปู้อี๋ก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา เดิมทีรัชทายาทยังอยากถามสองประโยคว่าเรื่องแต่งงานคืบหน้าไปถึงที่ใด ทว่าถูกราชบุตรเขยรองใช้สายตายับยั้งไว้ก่อน จึงทำเพียงมองส่งฮั่วปู้อี๋จากไป

ขณะมองส่งเงาหลังอันสูงเพรียวปราดเปรียวของฮั่วปู้อี๋ ราชบุตรเขยรองอดสะท้อนใจไม่ได้ “หากมิใช่หลิงอี้โจรสุนัขนั่นก่อกรรมทำชั่ว ทำให้คนในครอบครัวของจื่อเซิ่งตายอนาถ จื่อเซิ่งก็คงจะเป็นชายหนุ่มที่แต่งกายเฉิดฉายร่าเริงเปิดเผยที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ เฮ้อ โชคชะตากลั่นแกล้งคนแท้ๆ”

รัชทายาทถอนใจเช่นกัน

 

ครั้นกลับถึงจวน ได้ยินว่าลั่วจี้ทงยังไม่จากไป ฮั่วปู้อี๋ก็กลับห้องไปเปลี่ยนสวมชุดลำลองก่อนค่อยออกมา

ลั่วจี้ทงนั่งอยู่ที่โถงปีกในอาการกระสับกระส่าย รอจนเห็นฮั่วปู้อี๋เข้ามา นางก็ลุกขึ้นอย่างเคร่งเครียด

ฮั่วปู้อี๋เดินตรงเข้ามาโดยไม่เหลือบแลนาง “เดิมข้านึกว่าเจ้ารู้ทั้งหมดแล้ว ไม่นึกว่าวันนี้ตอนประชุมขุนนาง ค่อยได้ยินว่าบิดาเจ้ายังอยู่ที่นอกเมือง ข้าจึงคิดว่า…เจ้าคงยังไม่รู้ว่าข้าพูดอันใดกับบิดาเจ้าไปบ้าง”

ลั่วจี้ทงพลันโพล่งตะโกน “ข้าเห็นรอยกัดบนแขนของเฉิงเซ่าซางแล้ว!”

ฮั่วปู้อี๋หมุนตัวมามองนางชั่วครู่ จากนั้นเลิกแขนเสื้อของตนเองขึ้นช้าๆ บนต้นแขนขวามีรอยฟันซึ่งกลายเป็นแผลเป็น ออกสีชมพูคล้ำหนึ่งวง

“เป็นเช่นนี้จริงๆ เป็นเช่นนี้จริงๆ เสียด้วย” ลั่วจี้ทงทรุดนั่งลง เอ่ยพึมพำ “ข้าก็ว่าไฉนท่านลูบแขนขวาเป็นประจำ” จบคำนี้นางพลันเงยหน้าขวับ “หลายปีมานี้ท่านไม่เคยลืมเลือนนาง?!”

ฮั่วปู้อี๋เงียบเป็นการยอมรับโดยนัย

“ท่าน…เหตุใดท่านทำกับข้าเยี่ยงนี้” ลั่วจี้ทงน้ำตารื้นเกาะขนตา “แต่เล็กท่านไม่ยอมให้ผู้อื่นเข้าใกล้แม้น้อยนิด แต่กลับยอมให้ข้าก้าวก่ายงานในที่พักของท่าน ข้านึกว่าท่านยินดียอมรับข้าแล้ว ที่แท้กลับกลายเป็นเพียงความฝันครั้งใหญ่! ท่าน…ท่านหลอกลวงข้าสาหัสนัก!”

ฮั่วปู้อี๋เอ่ยแก้ “หลอกลวงยังนับไม่ได้ ควรเรียกว่า ‘ชี้นำให้เข้าใจผิด’ ”

ลั่วจี้ทงหลั่งน้ำตากล่าว “ท่านทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน! ข้าปฏิบัติกับท่านด้วยหัวใจจริง ท่านไม่ยินดีจะรับไว้ก็ช่างเถิด ไยต้องหลอกลวงข้าจนวัยสาวล่วงเลยเปล่าไปหลายปี!” นางทอดมองไปด้วยดวงตาที่มีหยาดน้ำปริ่มล้น “หลายปีเพียงนี้…ท่านไม่มีเยื่อใยต่อข้าแม้ส่วนเสี้ยวเชียวหรือ”

ฮั่วปู้อี๋คิดเล็กน้อย ก่อนตอบเรียบๆ “ไม่มี”

ลั่วจี้ทงใบหน้าเผือดขาว

“เจ้ากับข้ารู้จักกันเนิ่นนานก่อนที่เซ่าซางจะปรากฏตัว เห็นแก่ที่หลายปีมานี้เจ้ามีประโยชน์กับข้า วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เข้าใจแจ่มแจ้ง” ฮั่วปู้อี๋เอาสองมือไพล่หลัง ยืนอยู่ริมหน้าต่าง “ข้ารู้เช่นเห็นชาติองค์หญิงห้ามานานมากแล้ว ทั้งอำมหิต ใจแคบ ฟุ้งเฟ้อถือดี มักมากในราคะ ทว่าแม่นางลั่วผู้แต่ไรมาได้ชื่อว่าจรรยางามเปี่ยมเหตุผล กลับคลุกคลีกับนางได้กลมเกลียวยิ่ง เจ้าว่า…ข้าจะมองเจ้าเยี่ยงไร”

ลั่วจี้ทงโอดครวญอย่างไม่อาจยอมรับได้ “ข้าทำเพื่อบิดา พี่ชาย กับคนในครอบครัว! บุตรหลานสกุลลั่วธรรมดาสามัญ หากข้าไม่อาจพึ่งพิงองค์หญิงห้า เซวียนไทเฮามีหรือจะทรงพูดจาแทนคนบ้านข้า!”

“ดังนั้นเจ้าจึงเพียงมององค์หญิงห้าโบยนางกำนัลน้อยที่ไร้ความผิดจนตายคาที่ มองดูแม่นางน้อยที่แอบมองข้าถูกทำให้จมน้ำตายในทะเลสาบ จากนั้นเจ้ายังช่วยองค์หญิงห้าปกปิดเบื้องพระพักตร์เซวียนไทเฮา?!”

ลั่วจี้ทงพลันจนคำพูด

ฮั่วปู้อี๋แววตาเฉยเมย “เพียงแต่…ตอนนั้นข้านึกว่าเจ้าเป็นแค่สตรีทั่วไปที่หลงอาวรณ์ในอำนาจ จวบจนราวห้าปีกว่าที่แล้วอดีตเซวียนฮองเฮาทรงให้จัดเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพ ข้าค่อยรู้ว่าตนเองมองพลาดไปที่ไม่เคยนึกว่าเจ้าเป็นพวกใจคอเหี้ยมเกรียม” เขายกมุมปาก เอ่ยถากถาง “ข้าขอถามเจ้า ชุนเถียวสาวใช้คนสนิทของเจ้าตายได้อย่างไร”

ลั่วจี้ทงตระหนกระคนสงสัยไม่คลาย ปากก็พูดติดอ่าง “นะ…นาง…เป็นองค์หญิงห้าที่…”

ฮั่วปู้อี๋เยาะหยัน “ใครๆ ล้วนนึกว่าองค์หญิงห้าเป็นผู้ลงมือ กระทั่งหลังจบเหตุข้าพบว่าไม่ถูกต้อง สตรีที่มาจากตระกูลขุนนางเก่าอย่างเจ้า บ่าวรับใช้คนสนิทย่อมจะไม่ซื้อมาจากข้างนอกส่งเดช บ่าวส่วนใหญ่ล้วนทำงานในสกุลลั่วทั้งครอบครัวสินะ แม้แต่เซ่าซาง สาวใช้คนสนิททั้งหมดยังเป็นบุตรสาวของบริวารภายใต้ปกครองของแม่ทัพเฉิงเลย แล้วชุนเถียวสาวใช้ที่ผู้เฒ่าผู้เยาว์ทั้งบ้านล้วนถูกควบคุมอยู่ในกำมือสกุลลั่ว มีหรือจะถูกองค์หญิงห้าซื้อตัวได้ง่ายๆ

อีกอย่างหลังจากเรื่องแดง ไม่ช้าองค์หญิงห้าก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าปรักปรำเซ่าซาง ด้วยนิสัยของนางที่ป่าเถื่อนไร้เหตุผลและไม่คำนึงถึงสิ่งใด ย่อมจะไม่เปลืองแรงไปฆ่าปิดปากสาวใช้ผู้หนึ่ง เพราะนางไม่ได้กลัวถูกเปิดโปงแม้แต่น้อย ผู้ที่ต้องการฆ่าชุนเถียวปิดปากคือเจ้าสินะแม่นางลั่ว น่าเสียดาย รอจนข้าสืบพบพิรุธ เจ้าก็กำลังจะออกเรือนไปไกลถึงแดนพายัพแล้ว”

ลั่วจี้ทงปาดน้ำตา แค่นหัวเราะกล่าว “เห็นทีท่านมีข้อสรุปในตัวข้าอยู่ก่อนแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดยังยอมให้ข้าเข้าใกล้ท่านเล่า”

“หากเจ้าเป็นสตรีที่ดี จิตใจงาม มีเมตตาธรรมจริงๆ ล่ะก็ ข้าจะหลีกลี้เจ้าให้ไกลๆ แน่นอน”

ลั่วจี้ทงเอ่ยอย่างเจ็บแค้น “ท่านเห็นแต่ข้อเสียของข้า กลับไม่เห็นข้อดีของข้าแม้สักนิดหรือ ข้ารักษาคำมั่น ปรนนิบัติสามีผู้ล่วงลับกับบิดามารดาสกุลจย่าอย่างสุดใจกาย…”

ฮั่วปู้อี๋เปล่งเสียงหัวเราะประชด “แม่นางลั่วอย่าเสแสร้งเลย เจตนาของเจ้าผู้อื่นทายไม่ออก ทว่าปิดบังข้าไม่ได้หรอก ช่วงหลายสิบปีมานี้สกุลลั่วอ่อนแอไร้ฝีมือ การแต่งงานของสตรีในตระกูลล้วนใช้เพื่อเกี่ยวดองกับผู้มียศมีอำนาจ อาหญิงกับพี่สาวน้องสาวของเจ้าล้วนยอมรับชะตา ทว่าเจ้าไม่ยินยอม ดังนั้นทั้งที่รู้อยู่ว่าบุตรชายสกุลจย่าขี้โรค เจ้าก็ยังทำเป็นยืนหยัดในสัจจะคุณธรรม ต้องการจะออกเรือนไป จากนั้นมารยาว่าเจ็บช้ำสารพัดทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น จนบิดามารดาเจ้ารับปากว่าตอนที่เจ้าแต่งงานใหม่จะให้เจ้าตัดสินใจเองทุกสิ่ง เป็นอย่างไร ข้าพูดมาไม่ผิดกระมัง”

ในช่องอกของลั่วจี้ทงดุจถูกไฟแผดเผา ตอบเสียงดังว่า “ใช่แล้วอย่างไรเล่า แต่งงานหนแรกเชื่อฟังบิดา แต่งงานหนที่สองตามแต่ใจตน รอจนข้าเป็นม่ายก็จะเป็นยามที่ข้าได้ตัดสินใจเองแล้ว ข้าคิดอ่านเพื่อตนเองมีอันใดผิด! ท่านนึกว่าข้าไม่เคยสืบเรื่องของบรรดาครอบครัวที่เมื่อแรกต้องการจะแต่งข้าหรือ วงศ์ตระกูลเหล่านั้นดูดีก็จริงอยู่ ทว่าคนที่ยินดีจะแต่งข้าล้วนเป็นทายาทที่ไม่เอาไหน ต่างหวังจะให้ข้าไปสั่งสอนบุตรชายของพวกเขาน่ะสิ! สกุลจย่าก็เป็นตระกูลสูงศักดิ์ หากข้าต้องแต่งกับพวกไม่เอาไหนนั่น มิสู้แต่งไปสกุลจย่ายังดีกว่า อย่างน้อยข้าก็จะได้แต่งงานใหม่ในไม่ช้า! ท่านรู้หรือไม่ ข้าอิจฉาเฉิงเซ่าซางมากเพียงใด แม้นางชาติตระกูลสู้ข้าไม่ได้ ทว่าบิดามารดาคิดอ่านแทนนางด้วยใจจริง นางเกิดมาโฉมงาม บิดามารดากลับไม่เคยคิดจะเอานางไปประจบผู้มียศมีอำนาจเลย!”

ฮั่วปู้อี๋คิดถึงหญิงสาวผู้นั้นก็คลี่ยิ้มอันละมุนละไมโดยไม่รู้ตัว “ความจริงเป็นเพราะบิดามารดาของนางกลัวว่านางจะก่อเรื่องเป็นที่ขายหน้า ถึงได้ไม่กล้าจับนางแต่งไปตระกูลสูงศักดิ์ ผิดกับเจ้าที่เสแสร้งเก่งเกินไป จรรยาเพียบพร้อมเอย เอื้ออารีเข้าใจเหตุผลเอย คนในบ้านย่อมตบแต่งเจ้าเข้าตระกูลดีๆ สิ บางทีเจ้าควรจะเรียนรู้จากเซ่าซาง หัดทำลายชื่อเสียงบ้าง อ้อ ไม่ได้ เจ้าหัดไม่ได้หรอก เจ้าหวงแหนชื่อเสียง หวงแหนอนาคต อย่างใดก็หักใจสละไม่ลง สุดท้ายจึงมีแต่สละชีวิตของผู้อื่นทิ้งไป”

ลั่วจี้ทงหนาววูบ “ท่านหมายความเช่นไรกัน”

ฮั่วปู้อี๋เอ่ยเน้นทีละคำ “อดีตสามีของเจ้า จย่าชีหลางคุณชายเจ็ดสกุลจย่า ตายอย่างไรกันแน่”

ลั่วจี้ทงเห็นฟ้าดินหมุนคว้างพักหนึ่ง กระทั่งจะทรงกายยังแทบทรงกายไม่อยู่ “ทะ…ทะ…ท่าน…” นางตั้งสติ “ข้าไม่ได้ทำอันใดทั้งสิ้น ท่านจะใส่ความกันอย่างร้ายแรงเพียงเพราะหมายจะสลัดข้าทิ้งไม่ได้นะ!”

“ข้าไม่เคยปล่อยเกาทัณฑ์โดยไร้เป้า” ฮั่วปู้อี๋จับจ้องนางดุจเล็งใส่ใจกลางเป้าธนู สายตาเย็นเยียบไร้ไมตรี “ทุกคนพูดกันว่าภรรยาของจย่าชีหลางเป็นสตรีที่มีคุณธรรมล้ำเลิศเป็นที่หนึ่งในใต้หล้า แต่ข้ากลับรู้ตื้นลึกหนาบางของเจ้าดี ในอดีตตำหนักฉางชิวมีหมอหลวงชราร่างกายอ่อนแอผู้หนึ่ง เจ้าเคยตามติดอยู่ข้างกายเขาหลายเดือน ข้าจำได้ว่าหมอหลวงผู้นั้นสันทัดด้านปรุงอาหารสมุนไพร บางสิ่งที่ออกฤทธิ์ขัดกัน ทั้งจำแนกได้ยากและไม่มีผู้ใดล่วงรู้ แต่เขาล้วนรู้กระจ่างแจ้ง

ภายหลังจย่าชีหลางลาโลก หมอหลวงที่ชุยโหวพาไปเมืองชายแดนด้วยผู้นั้นเคยทักอย่างแปลกใจ ภาวะร่างกายอ่อนแอของจย่าชีหลางนั้นเป็นมาตั้งแต่ในครรภ์ เขาเคยเห็นมาหลายกรณี และเคยไปรักษาที่จวนสกุลจย่า รู้สึกว่ายังไม่ถึงขั้นประคองตัวไม่พ้นอายุยี่สิบ

บิดามารดาของจย่าชีหลางดูแลบุตรชายคนเดียวผู้นี้รัดกุมยิ่ง อาหารการกินในตอนนั้นน่าจะยังมีจดบันทึกอยู่ แม่นางลั่ว หากข้าให้พวกเขานำอาหารที่เจ้าเคยให้จย่าชีหลางกินไปทดสอบดู เจ้าเดาซิว่าผลจะเป็นเช่นไร อืม คนทั่วไปอาจแค่ไม่สบาย ทว่าใช้กับจย่าชีหลางผู้อ่อนแอขี้โรค กลับเพียงพอจะทำให้ถึงที่ตายแล้ว”

ลั่วจี้ทงร่างโงนเงนแทบจะทรุดฮวบ เอ่ยวิงวอนอย่างโศกสลด “ข้าไม่ได้เจตนา ข้าทำไปก็เพื่อท่านนะคุณชายสิบเอ็ด! ข้าชมชอบท่านมาแต่เล็ก เห็นท่านมาถึงมณฑลเหลียงโจวในสภาพทั้งป่วยไข้ทั้งบาดเจ็บ ข้าจึงอยากไปดูแลท่าน! ข้าปล่อยวางท่านไม่ลง!”

ฮั่วปู้อี๋มองนางอย่างเย็นชา “เซ่าซางแม้ปากร้าย ทว่านางไม่เคยทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ส่วนเจ้าปากพูดจาเสียน่าฟัง ยามทำร้ายผู้อื่นกลับไม่เคยกริ่งเกรง จย่าชีหลางมีความผิดอันใด บิดามารดาสกุลจย่าสูญเสียบุตรชายในวัยชราเป็นความอยุติธรรมถึงเพียงใด!”

“เดิมเขาก็ต้องตายอยู่แล้ว!” ลั่วจี้ทงตะโกนแย้ง

“คนเราล้วนต้องตาย ต่างกันแค่อายุยาวสั้น” ฮั่วปู้อี๋สวนกลับเสียงเฉียบขาด “หมอหลวงพูดว่าเขาเคยเห็นผู้ที่มีภาวะร่างกายอ่อนแอแบบเดียวกับจย่าชีหลาง เนื่องจากดูแลได้เหมาะสม เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่มิเพียงสามารถแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตร ยังมีชีวิตได้ถึงอายุสี่สิบกว่าปี อืม เพียงแต่เจ้าคงจะรอไม่ไหวแน่ๆ”

ลั่วจี้ทงลุกขึ้นยืนตรง ปาดน้ำตาแรงๆ ก่อนเยาะหยันตนเอง “ดีๆๆ ในเมื่อท่านเห็นข้าเป็นเช่นงูเงี้ยวแมงป่อง เหตุใดจึงไม่เปิดโปงการกระทำของข้าเล่า!”

“เพราะเจ้าเคยช่วยชีวิตอาเฟยไว้หนึ่งหน”

ลั่วจี้ทงตะลึงงัน

ฮั่วปู้อี๋กล่าว “บิดากับท่านลุงท่านอาของสองพี่น้องสกุลเหลียงชิวล้วนติดตามท่านพ่อข้าออกรบจนตัวตาย ข้าย่อมต้องปลอบขวัญดูแลหญิงม่ายกับบุตรกำพร้าของพวกเขา ปีนั้นหากไม่ใช่เจ้าปล่อยสุนัขที่สูดกลิ่นได้เป็นเยี่ยมออกค้นหา อาเฟยก็แข็งตายกลางเทือกเขาหิมะไปแล้ว…ดังนั้นข้าจึงไม่ได้บอกสกุลจย่า”

ลั่วจี้ทงดวงตาลุกวาว ใครจะรู้ประโยคถัดมากลับทำลายความหวังของนางลงทันที

“ทว่าเมื่อวานข้าได้บอกบิดาเจ้าไปแล้ว รอจนเขาเข้าเมืองกลับถึงจวนก็จะลงโทษเจ้า” ฮั่วปู้อี๋กล่าว “ข้ายังบอกบิดาเจ้าว่า…ให้แต่งเจ้าไปไกลๆ ห้ามกลับมาอีกจนชั่วชีวิต หรือไม่ก็กักบริเวณเจ้าเสีย สรุปคือเจ้าช่วยชีวิตอาเฟยหนึ่งหน ข้าไว้ชีวิตเจ้าหนึ่งครา นับว่าหายกันแล้ว”

หัวใจลั่วจี้ทงหนาวยะเยือก เอ่ยในอาการตะลึงค้าง “ขะ…ข้าไม่เข้าใจ ในเมื่อท่านรู้ทุกสิ่งอย่าง เหตุใดยังยอมให้ข้าเข้าใกล้ท่าน ซ้ำทำให้ข้า ทำให้คนทั้งหมดล้วนเข้าใจผิดว่าท่านยินดีจะแต่งกับข้า ในเมื่อท่านไม่ได้ยินดีจะแต่งกับข้าเลย แล้วไยต้อง…”

นางจรดมองสองตาที่ดำมืดของฮั่วปู้อี๋ หัวใจก็ให้สั่นกระตุก “อ๊ะ ข้าเข้าใจแล้ว ข้ารู้แล้ว ท่านใช้ข้าเป็นตัวหลอก ท่านจงใจ!”

ฮั่วปู้อี๋ยืนอยู่ริมหน้าต่าง หันหลังให้แสง “ตั้งแต่ห้าปีก่อนข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยมือจากเซ่าซาง ข้ามุ่งหวังว่านางจะไม่ได้รับความอยุติธรรมอีก ได้ออกเรือนไปอย่างดี มั่นคงปลอดภัยไปทั้งชีวิต ข้าไม่อยากเป็นอุปสรรคของนาง และไม่อาจปล่อยให้ฝ่าบาทกับรัชทายาทขัดขวางนางเช่นกัน เมื่อมีเจ้าอยู่ ทุกคนจึงจะวางใจเรื่องข้าเสียที”

ลั่วจี้ทงยังคงกังขา “แต่ว่า…ท่านประวิงเวลาได้ชั่วครู่ชั่วยาม ไม่อาจประวิงเวลาได้ชั่วชีวิต! รอจนเฉิงเซ่าซางออกเรือนไป ท่านก็ต้องแต่งภรรยาวันยังค่ำ ต่อให้ไม่ใช่ข้าก็ต้องเป็นผู้อื่น ท่านไยต้อง…” เสียงพูดของนางพลันขาดตอน

ฮั่วปู้อี๋คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม นางเข้าใจได้ในพริบตา เอ่ยอย่างไม่กล้าเชื่อ “ทะ…ท่านไม่คิดจะแต่งกับสตรีนางใดทั้งสิ้น! ไม่ๆ นี่เป็นไปไม่ได้ ท่านยังต้องสืบเชื้อสายของบรรพชนอีก สกุลฮั่วถูกล้างตระกูล ท่านจะเห็นแก่ตัวทำให้สายเลือดนี้ขาดสะบั้นลงได้อย่างไร!”

“เหตุใดจึงไม่ได้เล่า” ภายใต้แสงตะวันที่ลอดผ่านลายฉลุบนหน้าต่าง ใบหน้าหันข้างของฮั่วปู้อี๋สมบูรณ์ปานหยกเย็น “เมื่อร้อยพันปีก่อน บนโลกไม่มีสกุลฮั่วอันใดเสียหน่อย”

ลั่วจี้ทงโกรธเกรี้ยวสุดบรรยาย ช่องอกแทบจะแตกระเบิด เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “พวกเราล้วนถูกท่านหลอกเสียแล้ว! ฮ่าๆๆ ทว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงปล่อยให้ท่านทำเหลวไหลแน่ รัชทายาทก็ต้องกริ้วแทบเป็นแทบตายเช่นกัน ท่าน…ท่าน…”

ฮั่วปู้อี๋ทอดสายตามองไกลออกไปนอกหน้าต่าง แววตาเรียบเย็นลุ่มลึก “ขอเพียงข้าไม่อยากแต่งงาน ก็ย่อมจะมีวิธี หากข้าแต่งภรรยา จะต้องเป็นเพราะข้าพึงใจในสตรีนางนั้น ไม่ใช่เพราะสาเหตุอื่นใด” เช่นเดียวกับคู่บิดามารดาของเขาที่มีความรัก ความเอื้ออาทร และความผูกพันอันลึกซึ้งต่อกัน

ไม่ว่าจะผจญผ่านไฟเลือดกับทุกข์ภัยมาสักเท่าใด จนแล้วจนรอดในหัวใจของเขายังคงมีหนุ่มน้อยผู้ดื้อรั้นหยิ่งทะนงอาศัยอยู่ เขาปรารถนาจะได้รับความรักแบบเดียวกับคู่ของบิดามารดา ปรารถนาจะให้บุตรธิดาในอนาคตของเขาได้เป็นเช่นเขาหกพี่น้อง ถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้เพราะความรักอันจริงใจและดีงาม ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ที่พัวพันกันหรือเพื่อจะสืบสกุล

ดังนั้นเขาจึงไม่เคยตำหนิอาหญิงฮั่วจวินหวาเลย แม้นางดวงตามืดบอดมองคนผิดไป ทว่าความตั้งใจของนางที่หมายจะแต่งกับบุรุษที่รักชอบนั้นไม่ได้ผิด

ฮั่วปู้อี๋รู้สึกว่าสิ่งที่ควรพูดล้วนพูดจบแล้ว จึงเอ่ยปิดท้าย “เจ้าช่วยชีวิตอาเฟยหนึ่งหน ข้าก็ไว้ชีวิตเจ้าหนึ่งครา เจ้าเคยให้ร้ายเซ่าซาง ข้าก็ใช้เจ้าเป็นตัวหลอกมาหลายปี บัดนี้บุญคุณความแค้นสะสางจนสิ้น แม่นางลั่ว ลากันตรงนี้ ไปดีๆ นะ ไม่ส่ง” จบคำเขาก็สะบัดแขนเสื้อจากไป ภายใต้แสงตะวันสีทองที่คล้อยสู่ทิศประจิม เรือนกายอันสูงเพรียวนั้นยิ่งหล่อเหลาเหนือสามัญ

ลั่วจี้ทงพิศมองอย่างงมงาย ในใจทั้งเจ็บทั้งเป็นแผล

นางรู้ว่าตนเองไม่ได้มองคนผิด คนในดวงใจของนางต่างจากบุรุษทั้งมวลในใต้หล้านี้ ภายใต้ท่าทีอันเงียบขรึมเยือกเย็น เขามีความรักอันร้อนแรงและบริสุทธิ์ที่สุดในใต้หล้า น่าเสียดาย…ความรักนี้กลับมิได้เป็นของนาง

“มีเรื่องหนึ่งข้าต้องบอกท่าน!” นางพลันตะโกนก้องใส่เงาหลังของฮั่วปู้อี๋พร้อมกับความประสงค์ร้ายล้นอก “รอยฟันบนแขนขวาของเฉิงเซ่าซางรอยนั้นใกล้จางหายเต็มทีแล้ว เกรงว่าในใจของนาง…ท่านก็คงถูกลืมหมดจดแล้วเช่นกัน”

ฝีเท้าของฮั่วปู้อี๋ชะงักกึก เขาไม่ได้หมุนตัวมา เพียงเอ่ยสองประโยคเรียบๆ “เห็นทีเมื่อแรกข้าจะกัดเบาไป เพียงแต่…นี่ไม่ต้องรบกวนแม่นางลั่วเป็นกังวลหรอก”

ลั่วจี้ทงทรุดฮวบ นั่งกองกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: