X
    Categories: ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวันทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน เล่ม 1 บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3

เฉินวั่งซูเห็นระบบเงียบไปก็รู้สึกแน่ใจถึงแปดเก้าส่วน

เห็นทีนางจะคิดไม่ผิด ขอเพียงองค์ชายเจ็ดนึกเสียใจก็เป็นอันใช้ได้ ส่วนเขาจะนึกเสียใจที่ตนเองตามืดบอด โปรดปรานอนุทอดทิ้งภรรยา หรือว่าถูกเฉินวั่งซูตบหน้าเพียะๆ จนนึกเสียใจที่ล่วงเกินนาง…จะอย่างใดก็ได้ทั้งนั้น

ผ่านไปเป็นนานระบบถึงได้พูดขึ้นว่า ‘เรื่องนี้มีระดับความยากสูงมาก คุณคิดดีแล้วหรือไม่’

เฉินวั่งซูปรับสีหน้าให้เป็นงานเป็นการก่อนจะกล่าวว่า ‘แม้จะได้อยู่ด้วยกันไม่นาน แต่คนสกุลเฉินซื่อตรงอย่างมาก เฉินวั่งซูก็มิได้ชอบพอในตัวองค์ชายเจ็ด ชาติก่อนยังสะอิดสะเอียนไม่พออีกหรือ ยังอยากให้ตนเองสะอิดสะเอียนต่ออีกรอบ? การล้างตัวให้ชายเส็งเคร็งเป็นงานของน้ำยาล้างห้องน้ำ การกล่อมเกลาชายเส็งเคร็ง ทำให้เขากลับตัวกลับใจเป็นงานของพระพุทธองค์ ปุถุชนคนอ่อนแออย่างฉันอย่าไปทำจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าของเขาให้อยากอาเจียน เกิดใครมาเห็นเข้าจะนึกว่าฉันแพ้ท้องตลอดสามร้อยหกสิบห้าวัน’

เฉินวั่งซูพูดเองก็ขำเอง

‘ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้คิดอย่างนี้…’ เสียงอิเล็กทรอนิกส์ของระบบทำให้เฉินวั่งซูฟังแล้วถึงกับหมดคำกล่าว

เฉินวั่งซูลูบคาง มองจุดที่เหยียนเจวี๋ยยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ‘อืม จะโทษก็ต้องโทษที่ตัวร้ายหล่อเหลาเกินไป!’

ไม่ใช่นางหลงใหลในความงามจนหน้ามืดตามัวหรอกนะ

ตำนานหลิ่วอิงนั้นยาวยิ่ง ได้ชื่อว่าเป็นมหากาพย์ของสตรี ไม่รู้ว่านางต้องอยู่ที่นี่ถึงกี่ปี ในเมื่อมีหนทางสายที่สองแล้วไยต้องยอมอดทนอดกลั้น อย่างน้อยถ้าเกิดล้มเหลวขึ้นมาแล้วยังมีคนงามอยู่ในอ้อมอก นั่นก็ไม่เลวร้ายนัก

“เมื่อครู่ข้าเผลอทำไม้หล่นใส่ศีรษะคุณชายเหยียน เขาก็ไม่ได้โกรธเคือง ไม่เห็นมีทิฐิทะนงตนเหมือนอย่างคำเล่าลือ” เฉินวั่งซูเก็บสายตากลับมา เลิกทำอวดเก่ง ปล่อยเรื่องเปิดหน้าต่างให้เป็นหน้าที่ของสาวใช้ ส่วนตนเองก็กลับมานั่งลงข้างหลี่ซื่อ

หลี่ซื่อได้ยินคำพูดนี้ก็มุ่นหัวคิ้ว กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “นั่นเป็นพวกกระสอบหญ้าปักลายบุปผา มีคำกล่าวว่าบิดาพยัคฆ์ไม่ให้กำเนิดบุตรสุนัข แม้แม่ทัพเหยียนจะมีชาติกำเนิดไม่สูงนัก แต่ก็เป็นวีรบุรุษ

เหยียนเจวี๋ยกลับดีนัก เกิดมาได้สิบหกปีกลับไม่เคยทำเรื่องเป็นโล้เป็นพายแม้แต่เรื่องเดียว ทำให้บิดาเขาขายหน้าจนสิ้นแล้ว มิเช่นนั้นเขาเป็นถึงบุตรชายคนโตสายตรง แล้วเหตุใดผู้คนถึงไม่ค่อยอยากจะเรียกเขาว่ากั๋วกงน้อยเล่า”

เฉินวั่งซูอึ้งงันไปเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าเอ่ยว่า “ท่านแม่กล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”

เหยียนเจวี๋ยไม่เสียแรงที่เป็นยอดตัวร้าย แม้แต่สตรีที่อยู่เรือนหลังอย่างหลี่ซื่อยังจงเกลียดจงชังเขา

ฮู่กั๋วกงนามเหยียนหลินผู้นั้นเป็นโจรภูเขา มีกองกำลังเกรียงไกรครอบครองพื้นที่แถบหนึ่ง ขาดเพียงมิได้ลุกฮือขึ้นก่อกบฏ ยามที่แคว้นเป่ยฉีมารุกรานเขาได้ยกพลมาช่วยราชสำนัก และโด่งดังขึ้นจากการสู้รบในครั้งนั้น หลังผิงอ๋องขึ้นครองราชย์เรื่องแรกที่ทำคือสถาปนาเขาเป็นฮู่กั๋วกงโดยที่บุตรหลานสามารถสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อได้

ฮู่กั๋วกงประจำการอยู่ที่เมืองชายแดน เป็นสิบปียังไม่เคยเหยียบย่างเข้าเมืองหลินอันแม้แต่ก้าวเดียว กลายเป็นเหยียนเจวี๋ยที่ได้สำเริงสำราญกับเกียรติยศและความโปรดปรานทั้งหมดแทน

บิดาเป็นวีรบุรุษ ส่วนมารดาบังเกิดเกล้าของเหยียนเจวี๋ยที่จากโลกนี้ไปตั้งแต่ให้กำเนิดเขาก็เป็นโจรหญิงผู้ห้าวหาญ ทว่าบุตรชายกลับเป็นคนขี้ขลาดตาขาว

ก่อนเหยียนหลินจะได้รับการสถาปนาเป็นกั๋วกง เหยียนเจวี๋ยก็ถูกเลี้ยงดูมาในรังโจร อีกทั้งยังถูกเลี้ยงดูมาแต่ตัว ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน ช่วงแรกที่เข้าเมืองหลินอันเขาไม่รู้จักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียวยังไม่พอ ยังถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องถวายบังคมฮ่องเต้อย่างไร

หลังเติบใหญ่ยิ่งมีพฤติกรรมแปลกประหลาดไร้เหตุผล ทำอะไรเหลวไหล รังแกบุรุษข่มเหงสตรี ชนไก่ลักสุนัข ล้วนเป็นเรื่องปกติ

ถ้าหากเฉินวั่งซูไม่เคยอ่านเนื้อหาคร่าวๆ ของตำนานหลิ่วอิงคงได้คิดว่าเหยียนเจวี๋ยไม่เอาถ่านถึงปานนี้จริงๆ

ทว่าเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนที่ไม่มีดีสักอย่างผู้หนึ่งจะเป็นหัวหน้าของฝ่ายตัวร้าย เป็นคู่ปรับตัวฉกาจขององค์ชายเจ็ดในนิยายได้อย่างไรเล่า

เหยียนเจวี๋ย…เขาเป็นหมาป่าห่มหนังแกะ

“เจ้าอย่าเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ ไป ระยะนี้ฮู่กั๋วกงฮูหยินกำลังหาคู่หมายให้เขาอยู่ เจ้าดูเอาเถอะว่าสตรีสูงศักดิ์ทั่วทั้งเมืองใครจะกล้าเอาตัวเข้าไปประสมโรงบ้าง ล้วนแต่อยากเอาเทียบชะตาตกฟากไปเปลี่ยนกับคนอื่น หรือไม่ก็โกหกว่ามีโรคภัยไข้เจ็บกันทั้งนั้น ฮู่กั๋วกงฮูหยินผู้นั้นเป็นมารดาเลี้ยง ทั้งยังมีบุตรชายที่เกิดจากตนเองอยู่ข้างกาย สถานการณ์ในจวนนั้นซับซ้อนนัก อีกไม่กี่วันนางก็จะจัดงานเลี้ยงวสันต์แล้ว และเพราะองค์ชายเจ็ด เจ้าเองก็เลยได้รับเทียบเชิญเช่นกัน…”

ครั้นหลี่ซื่อเอ่ยถึงองค์ชายเจ็ดในอกก็ให้รู้สึกอึดอัดก่อนโทสะจะตีขึ้นมาอีกครั้ง

“ช่างเถอะ ไม่พูดถึงเขาแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็หมั้นหมายไปแล้ว พวกเราเป็นตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่มีสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับแม่ทัพฝ่ายบู๊เหล่านั้น”

เฉินวั่งซูยิ้มน้อยๆ คีบเนื้อปลาให้หลี่ซื่อด้วยท่าทางน่ารักว่าง่าย ก่อนจะส่งสายตาให้เฉามามาที่อยู่ข้างๆ

เฉามามาเป็นหัวหน้าบ่าวหญิงสูงวัยข้างกายหลี่ซื่อ ได้รับความไว้วางใจจากหลี่ซื่อเป็นอันมาก

เมื่อได้รับสัญญาณจากเฉินวั่งซูแล้ว เฉามามาก็หยิบยกเรื่องน่ายินดีมาพูดทันที “ข้าเห็นว่าฮูหยินมีใจลำเอียงให้คุณหนูรองจนสิ้นแล้วนะเจ้าคะ เยี่ยนเกอเอ๋อร์ก็ชอบกินปลากุ้ยเช่นกัน กลับไม่เห็นท่านชวนเขามาที่หอกวนไห่นี้เลย ยังดีที่บัดนี้เขาแต่งภรรยาแล้ว รอเขาได้บุตรชายตัวอ้วนๆ เมื่อไร ฮูหยินอย่าได้ลำเอียงอีกนะเจ้าคะ”

หลี่ซื่อได้ยินชื่อของเฉินฉางเยี่ยนผู้เป็นบุตรชายคนโตก็มีท่าทางสดชื่นคึกคักในทันใด “นางเฒ่านี่ ถึงกับมาพูดกระแหนะกระแหนข้าแล้ว ยามนี้เยี่ยนเกอเอ๋อร์เป็นขุนนางได้รับเบี้ยหวัด ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็มอบร้านค้าและที่นาให้เขาแล้ว มีเงินให้ใช้ไม่ขาดมือเชียวล่ะ เขาออกไปงานเลี้ยงพบปะผู้คนอยู่ข้างนอกแทบทุกสามวันห้าวัน อิสรเสรีเหลือประมาณ ข้ามีวั่งซูเป็นบุตรสาวผู้เดียว เช่นนี้…ไม่เอ็นดูนางแล้วจะให้เอ็นดูผู้ใด”

นางพูดพลางสำทับด้วยความยินดีปรีดิ์เปรมอีกว่า “ทว่าเหยาซื่อเป็นคนสุขภาพร่างกายดี หากให้กำเนิดทายาทได้โดยเร็วก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีใหญ่หลวงของสกุลเฉินแล้ว”

เฉินวั่งซูฟังพลางนึกถึงคนในครอบครัวขึ้นมา

บิดาของนางมีนามว่าเฉินชิงเจี้ยน ครั้งกระโน้นก็เคยสอบได้จิ้นซื่อ หลังจากเฉินเป่ยผู้เป็นปู่ของนางสนองพระราชโองการคุ้มกันชาวเมืองหนีทัพเป่ยฉีที่มารุกรานจนตัวตายไป เฉินชิงเจี้ยนก็ไว้ทุกข์ตามประเพณีถึงสามปี บัดนี้ดำรงตำแหน่งรองเสนาบดีกรมพิธีการ

หลี่ซื่อกำเนิดในตระกูลทรงอำนาจ เป็นเครือญาติกับฮูหยินผู้เฒ่าชุยซื่อ หลังหลี่ซื่อแต่งงานเข้ามาได้ให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวอย่างละสองคน บุตรชายคนโตมีนามว่าเฉินฉางเยี่ยน สอบได้จิ้นซื่อในรัชสมัยปัจจุบัน ครึ่งเดือนก่อนก็เพิ่งจะแต่งงานกับเหยาซื่อ ส่วนบุตรสาวคนโตนั้นได้จากไปก่อนวัยอันควรในคราวอพยพลงใต้ จึงเหลือเฉินวั่งซูเป็นคุณหนูเพียงผู้เดียว

บุตรชายคนเล็กมีนามว่าเฉินฉางเกอ อายุอ่อนกว่าเฉินวั่งซูเพียงหนึ่งปี บัดนี้กำลังเล่าเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาซงชิง และต้องเดินบนเส้นทางการสอบขุนนางดุจเดียวกัน

หากมิใช่วันหน้าต้องแต่งงานออกไป เฉินวั่งซูอยู่ในจวนก็เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของบิดามารดา อีกทั้งยังมีชีวิตสุขสบายอย่างยิ่งยวด

สองแม่ลูกกินข้าวในหอกวนไห่เสร็จก็ขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับจวน

 

เฉินวั่งซูพิงผนังรถม้าพลางหรี่ตาลง เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวันนี้นางได้ประสบผ่านความตายมาหนหนึ่งและได้รับความสะเทือนใจติดต่อกันสองสามครั้ง ทำให้ชักจะอ่อนเพลียแล้วจริงๆ มิหนำซ้ำหนทางข้างหน้าก็ยากลำบาก จำเป็นต้องวางแผนให้ดี

แม้นางจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต้องการจะถอนหมั้น แต่การแต่งงานนี้เป็นฮ่องเต้ออกปากกำหนดมาเอง ผู้เป็นฮ่องเต้พูดแล้วไหนเลยจะคืนคำได้ ต่อให้องค์ชายเจ็ดผู้นั้นพอใจในตัวหลิ่วอิงก็ใช่ว่าปัจจุบันจะมีจิตปฏิพัทธ์ลึกซึ้งเสียเท่าไร มิเช่นนั้นเฉินวั่งซูในชาติก่อนจะกลายเป็นฮองเฮาได้อย่างไร

ต่อให้สกุลเฉินยกเฉินเป่ยออกมาทวงบุญคุณ ฮ่องเต้พระองค์นั้นก็คงเพียงแค่ประหารหลิ่วอิงที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญเพื่อรักษาหน้าของทั้งสองฝ่าย การจะยกเลิกการหมั้นหมายนั้นยากเย็นถึงปานนี้

ยิ่งไปกว่านั้นดูจากท่าทีและคำพูดของหลี่ซื่อ ถึงนางจะไม่แต่งงานกับองค์ชายเจ็ดแล้วก็คงไปแต่งกับเหยียนเจวี๋ยไม่ได้อยู่ดี ในใจหลี่ซื่อคุณชายเหยียนกับองค์ชายเจ็ดล้วนเป็นเสมือนหนูตัวโตที่ดีแต่เดินหลบอยู่ในท่อ ฝากผีฝากไข้อันใดไม่ได้

อีกประการหนึ่งอยู่ดีๆ เหยียนเจวี๋ยมีหรือจะมาสู่ขอนาง

หากนางต้องการเล่นงานองค์ชายเจ็ดจนต้องคุกเข่าร้องเรียกบิดาขอให้นางยกโทษให้ก็จำต้องร่วมมือกับเหยียนเจวี๋ยตัวร้ายอันดับหนึ่ง

“งานเลี้ยงวสันต์นั่นปะไร” เฉินวั่งซูส่งเสียงรำพึงรำพันเบาๆ คราวต่อไปที่เขาและนางจะได้พบกันก็คือที่งานเลี้ยงวสันต์ในจวนฮู่กั๋วกงแล้ว

บทที่ 4

กลับมาจากหอกวนไห่เฉินวั่งซูก็หลับเป็นตาย จวบจนดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินถึงได้ตื่นขึ้นมา

นางเคยชินกับการเป็นสัตว์กลางคืน ยิ่งดึกยิ่งคึก ตอนนี้พักเอาแรงพอแล้วก็อยากจะลุกขึ้นโหนสลิงร้องโอเปร่า ทำให้ชาวต้าเฉินได้รู้ว่าใครคือราชินีคาราโอเกะ

แน่นอนว่านางเพียงแต่คิดอยู่ในสมอง ทำให้ระบบตกอกตกใจเล่นเท่านั้น

หอเล็กที่เฉินวั่งซูพักอาศัยตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของสวน เมื่อเปิดหน้าต่างไม้สลักลายจะมองเห็นดอกซิ่งที่ปลูกเป็นหย่อมใหญ่อยู่ตรงมุมกำแพง

“ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง” เฉินวั่งซูเปล่งเสียงสะท้อนใจ ดูเอาเถอะๆ แม้แต่สวรรค์ยังเห็นด้วยกับการมอบบุปผางามเช่นนางให้แก่เหยียนเจวี๋ย เหลือเพียงใบเขียวไว้ให้องค์ชายเจ็ด

“คุณหนู บ่าวมาปรนนิบัติล้างหน้าสวมเสื้อผ้าให้ท่าน ก่อนหน้านี้จ้าวมามาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่ามาหา บอกว่าหากคุณหนูตื่นแล้วให้ไปเรือนผิงคังสักหน่อยเจ้าค่ะ”

ผู้พูดเป็นสาวใช้ประจำตัวอีกคนของเฉินวั่งซู นามว่า ‘ไป๋ฉือ’

มู่จิ่นฝีปากคมคาย ทั้งยังพอรู้วรยุทธ์หมัดมวย นางจึงพาออกนอกจวนด้วยประจำ ส่วนไป๋ฉือเป็นคนสุขุมละเอียดรอบคอบ งานในเรือนของเฉินวั่งซูจึงล้วนมอบให้นางดูแล

เฉินวั่งซูขมวดคิ้วเล็กน้อย “ได้บอกหรือไม่ว่ามีธุระอันใด”

ไป๋ฉือช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่จวนให้เฉินวั่งซูอย่างคล่องแคล่วว่องไว แล้วเกล้าผมเป็นมวยที่ดูน่ารักน่าเอ็นดู จากนั้นก็ลดเสียงลงตอบว่า “จ้าวมามามิได้พูดอะไร แต่คิดว่าคงเกี่ยวกับเรื่องที่ป่าท้อวันนี้ ตอนเที่ยงพอนายหญิงใหญ่ออกมาจากเรือนฮูหยินผู้เฒ่า จ้าวมามาก็ตามหลังมาที่นี่ทันทีเลยเจ้าค่ะ”

เฉินวั่งซูแววตาวูบไหวก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ

ขณะนี้เป็นเวลาพลบค่ำ อาทิตย์กำลังตกดิน โลกทั้งใบประหนึ่งถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงสีส้มอันอบอุ่น เฉินวั่งซูลงจากหอเล็ก ยืนรับลมพลางสูดหายใจลึก ในอากาศปราศจากมลพิษ สดชื่นจนนางไม่คุ้นชินอยู่บ้าง ยามก้าวเดินก็รู้สึกตัวลอยๆ

 

เรือนผิงคังอันเป็นเรือนเล็กของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิน ฟังจากชื่อเรือนเหมือนเป็นร้านขายยา แต่เมื่อเดินมาใกล้กลับเหมือนอุโบสถในวัด

กลิ่นกำยานอบอวลเต็มเรือนกลบกลิ่นหอมบางเบาของดอกไม้ ทำให้รู้สึกคล้ายว่าสิ้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว

“คุณหนูรองมาแล้วหรือเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าอยากให้ท่านกินอาหารเย็นด้วยกันเจ้าค่ะ” พอเข้าประตูเรือนมาจ้าวมามาก็เดินมาต้อนรับ

เฉินวั่งซูพยักหน้า ก่อนเดินตามหลังนางไป

จ้าวมามาผู้นี้เป็นบ่าวที่ติดตามฮูหยินผู้เฒ่าเฉินมาจากตระกูลเดิม เป็นที่นับหน้าถือตายิ่งยวดในจวนแห่งนี้ นางไม่ได้มีหน้าตาอ่อนโยนใจดีแม้แต่น้อย กลับออกจะดูเหมือนบ่าวหญิงสูงวัยผู้ร้ายกาจในละครยอดฮิตเสียมากกว่า

เฉินวั่งซูอดจะจ้องดูมือนางไม่ได้ ทว่าในมือกลับมิได้ซ่อนเข็มเอาไว้ มีเพียงสร้อยประคำที่ถูกลูบคลำจนมันวาวหนึ่งพวง

หรงมามา…ไม่ใช่สิ จ้าวมามาเปิดม่านให้เฉินวั่งซูเสร็จก็หยุดฝีเท้า “คุณหนูรองเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ”

เฉินวั่งซูยิ้มให้นาง ในใจให้พรั่นพรึงอยู่เล็กน้อย แต่มิได้แสดงออกมา

มิใช่ฝีมือการแสดงของนางไม่ได้เรื่อง แต่เนื้อเรื่องที่ระบบให้มานั้นย่อแล้วย่ออีกจริงๆ นอกจากข้อมูลขององค์ชายเจ็ดที่เป็นพระเอกกับหลิ่วอิงที่เป็นนางเอก แล้วก็เหยียนเจวี๋ยตัวร้ายอันดับหนึ่งกับเฉินวั่งซูตัวร้ายอันดับสอง คนอื่นๆ กลับไม่ให้มาแม้แต่ชื่อแซ่

และในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมท่านย่าเข้มงวดกวดขันกับนางอย่างยิ่งยวดมาแต่ไหนแต่ไร มิได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันนัก

“คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ” เฉินวั่งซูทำความเคารพอย่างเรียบร้อย

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง กำลังจับพู่กันเขียนอักษร นางดูมีอายุราวห้าสิบกว่า เพราะดูแลตนเองได้ดีจึงยังมองออกได้รำไรว่าขณะยังสาวก็คงจะเป็นคนงามแห่งยุคผู้หนึ่ง

บุคลิกท่าทางแสดงความมีชาติตระกูลออกมาชัดทุกอณู สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือเมื่อครั้งกระโน้นฮูหยินผู้เฒ่าเฉินได้สูญเสียสามีรวมถึงบุตรชายในอุทรอีกสองคนไปภายในวันเดียว ส่งผลให้เส้นผมกลายเป็นสีขาวไปทั้งศีรษะ

“นั่งสิ รู้หรือไม่ว่าเรียกเจ้ามาด้วยเรื่องใด”

เฉินวั่งซูเม้มปาก ไม่กล้านั่งเต็มบั้นท้าย “หลานกระทำการไม่เรียบร้อย ทำให้ท่านย่าต้องกังวลใจแล้วเจ้าค่ะ”

คราวนี้ชุยซื่อถึงได้เงยหน้าขึ้นมา มองเฉินวั่งซูปราดหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ “เจ้าก็ฉลาดนี่ ศึกษาตำรามากเพียงไรก็สู้มีประสบการณ์จริงไม่ได้ นับตั้งแต่หมั้นหมายเจ้าก็กระทำการหุนหันพลันแล่น ไม่มีการวางแผนเหมือนที่แล้วๆ มา”

ไม่รอให้เฉินวั่งซูโต้แย้ง ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็กล่าวต่ออีกว่า “ย่ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจ ผู้อื่นเลือกการแต่งงานเองได้ แต่อยู่ดีๆ เจ้าก็ถูกเลือกสามีให้ ซ้ำอีกฝ่ายยังไม่มีอะไรให้เชิดหน้าชูตาได้อีก”

เฉินวั่งซูอึ้งงัน มองไปยังฮูหยินผู้เฒ่าเฉินด้วยอารามประหลาดใจ

นางหาใช่คนในราชวงศ์ต้าเฉินไม่ ยามด่าเชื้อพระวงศ์จึงรู้สึกเหมือนกินข้าวดื่มน้ำ ปราศจากความเกรงกลัว แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกับหลี่ซื่อ…ช่างเป็นยอดหญิงในหมู่สตรี จริงใจตรงไปตรงมาโดยแท้!

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ก็มิได้แย้มยิ้มแม้แต่น้อย กลับแค่นเสียงแล้ววางพู่กันในมือลงอย่างแรง

“วันหน้าเจ้าออกไปนอกจวนอย่าได้เที่ยวพูดเชียวว่าเจ้าเคยโตมาภายใต้การเลี้ยงดูของปู่เจ้า ในเมื่อเจ้ารู้ว่าวันนี้กระทำการไม่เรียบร้อย เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าไม่เรียบร้อยตรงที่ใด

สิ่งที่เจ้าไม่สมควรทำเป็นอันขาดก็คือการทิ้งร่องรอยไว้ ใต้ฟ้านี้ไม่มีกำแพงใดไม่มีหู เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่มีใครรู้จักคนที่อยู่ข้างกายเจ้า ตัดต้นไม้ก็ดี ขุดคูก็ช่าง ล้วนแต่เป็นเรื่องเล็ก แต่ไยต้องทิ้งจุดอ่อนไว้โต้งๆ เช่นนั้น

ซ้ำยังพูดว่าคณิกาชั้นสูงอะไรอีก คณิกาชั้นสูงก็เป็นสิ่งที่เจ้าไปเกลือกกลั้วให้ตัวแปดเปื้อนได้หรือ ได้สะใจชั่วครู่ชั่วยาม แต่มีประโยชน์อันใด ผู้อื่นทุ่มสุดตัวเพื่อสร้างสถานการณ์ได้หนหนึ่งก็สามารถสร้างสถานการณ์หนที่สองได้ เจ้ามิใช่เสียแรงเปล่าหรือไร

ทำได้แค่นี้? มีอะไรน่าภูมิใจนักหนา เจ้าได้เล่นงานถึงตาย ทำให้องค์ชายเจ็ดต้องทรงยอมถอนหมั้นแล้ว? หรือว่าลงมือหมดจด ทำให้นางแพศยานั่นไม่มีโอกาสท้าทายเจ้าได้แล้วหรือ”

เฉินวั่งซูเบิกตาโตยิ่งกว่าเดิม ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินผู้นี้เปิดปากทีก็บาดลึกถึงใจ!

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินคล้ายว่านึกถึงเรื่องเก่าอะไรขึ้นได้จึงมิได้เอ่ยคำใดเป็นนานสองนาน นางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบให้ชุ่มคอ ก่อนยกมือทำท่ากะประมาณที่กลางอากาศ “ตอนอยู่ที่ตงจิงเจ้าเพิ่งจะสูงเท่านี้ เด็กคนอื่นในจวนล้วนรู้สึกว่าปู่เจ้าเข้มงวด ยามอ่านตำราก็ยังดูโหดร้ายทารุณ น่ากลัวยิ่งยวด มีเพียงเจ้าที่เกาะติดเหมือนเป็นหาง ดึงอย่างไรก็ดึงไม่หลุด ย่ารู้ว่าปู่เจ้าจะต้องอยากเห็นเจ้ามีความสุขสำราญปลอดภัยไปชั่วชีวิต”

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินอ้าปาก แต่ที่สุดแล้วก็มีบางเรื่องมิได้พูดออกมา

นางยกถ้วยชาขึ้นดื่มไปอีกอึกก่อนจะกล่าวต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดสกุลเฉินเราถึงเข้มงวดกับการสั่งสอนบุตรสาวให้มีกิริยาวาจาเหมาะสมเป็นกุลสตรี”

มือเฉินวั่งซูดึงมุมกระโปรงเบาๆ นางเพิ่งมาถึงที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก มีความสะเพร่าเกินไปบ้าง ข่มใจไม่ไหวไปชั่วขณะจริงๆ ที่นี่มีใครไม่ใช่คนที่ไม่มีหน้ามีตาทางสังคมบ้างเล่า “เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก ต้องทำตนให้ไร้ที่ติเสียก่อนจึงจะได้รับความอิสรเสรี”

ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะดื่มชาด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจมากขึ้น “ในเมื่อเจ้ารู้ ย่าก็ไม่พูดให้มากความแล้ว การภักดีมิใช่ภักดีอย่างเบาปัญญา การกตัญญูมิใช่กตัญญูอย่างเบาปัญญา การมีคุณธรรมก็ย่อมมิใช่มีคุณธรรมอย่างเบาปัญญา ได้ยินแม่เจ้าบอกว่าเรื่องในวันนี้เจ้าห้ามไม่ให้นางเอะอะจนเป็นเรื่องใหญ่ คิดว่าเจ้าคงจะคิดตกแล้วถึงได้ไม่คัดค้านการแต่งงานไปยังจวนองค์ชายเจ็ด”

เรื่องหลังบ้านมีอะไรน่ากลุ้มเสียที่ใด ชีวิตจะเป็นอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้เป็นนายหญิง

เฉินวั่งซูกะพริบตา จ้องมองฮูหยินผู้เฒ่าเฉินอย่างละเอียดมากขึ้น

ดีมากๆ หน้าแดงเปล่งปลั่ง มีพลังเต็มเปี่ยม แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นผู้ที่รับความกระทบกระเทือนใจไหว

“ท่านย่า เกรงว่าท่านคงเข้าใจเรื่องนี้ผิดไปอยู่บ้างเจ้าค่ะ หลานตั้งใจจะถอนหมั้นองค์ชายเจ็ดเจ้าค่ะ”

น้ำชาในปากฮูหยินผู้เฒ่าเฉินถูกพ่นพรวดออกมา

เฉินวั่งซูรีบหลบ น้ำชาจึงถูกพ่นลงพื้น

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: