บทที่ 160
คืนนั้นเฉิงเซ่าซางพลิกตัวไปมาตลอดคืน รุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สางก็ส่งคนไปถ่ายทอดคำพูดที่จวนสกุลหยวน ระบุชื่อให้หยวนเซิ่นตัวเด่นของวันนี้มาส่งนางกลับเข้าวัง ดังนั้นหยวนเซิ่นจึงสั่งบ่าวเตรียมรถม้าที่เลี่ยมขอบด้วยหยกทองอันน่าโอ้อวดคันหนึ่ง หน้าระรื่นรุดมาจวนสกุลเฉิงก่อนเวลาประชุมเช้า ผลลัพธ์กลับได้ยินคู่หมั้นที่สองตาบวมเป่งเรียกร้องให้เขาถอนหมั้นด้วยสีหน้าอันจริงจัง
“เจ้าว่าอะไรนะ!” หยวนเซิ่นสงสัยว่าตนเองฟังผิดไป “วานซืนเจ้ายังพูดอยู่ว่าจะไม่ถอนหมั้นเด็ดขาด นี่เพิ่งผ่านไปหนึ่งวันสองคืน เจ้าก็กลับคำเสียแล้ว? นี่เป็นเพราะเจ้านอนเกินเวลาใช่หรือไม่” ไม่กี่วันนี้เนื่องจากท้องถิ่นมีคนคัดค้านคำสั่งรังวัดที่ดิน เป็นเหตุให้ราชสำนักยุ่งเหยิง ฮั่วปู้อี๋น่าจะไม่มีเวลาเล่นลูกไม้นี่
เฉิงเซ่าซางใช้มือข้างหนึ่งยันผนังรถ ก่อนเอ่ยยืนยัน “ท่านไม่ได้ฟังผิด ข้าขอเตือนท่าน รีบถอนหมั้นเสียเถิด ชักช้าเกรงว่าจะย่ำแย่”
“เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรขึ้น เป็นใครที่มาหาเจ้า” หยวนเซิ่นหัวไวยิ่ง
เฉิงเซ่าซางบอกเรื่องที่ลั่วจี้ทงมาเยือน หยวนเซิ่นก็มีสีหน้าหนักอึ้ง “…เร็วถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่มีเยื่อใยกับลั่วซื่อแม้สักนิด ข้านึกว่าติดขัดที่ลั่วซื่อ เขาคงไม่สะดวกใจจะพลิกโฉมหน้าในทันทีหรอก”
เฉิงเซ่าซางไม่พูดจา เพียงพลิกตัว นั่งลงพิงผนังรถ
หยวนเซิ่นทุบกำปั้นใส่ฝ่ามือ ก่อนเอ่ยเย้ยหยัน “แต่นี่ก็ไม่แปลกพิสดารอะไร ไหวอันอ๋องไทเฮากับตงไห่อ๋องทรงให้ความสนิทชิดเชื้อและไว้วางพระทัยต่อเขาถึงเพียงใด เขาฮั่วปู้อี๋บทจะหักหลังทั้งสองพระองค์ ก็หักหลังทันทีไม่ใช่หรอกหรือ!”
เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าวาจานี้บาดหู แต่กลับโต้แย้งไม่ออก
หยวนเซิ่นก่นด่าอย่างคั่งแค้นเบาๆ รอบหนึ่ง จากนั้นจงใจเอ่ยล้อเล่น “ต่อให้เขาตัดขาดกับลั่วซื่อแล้ว เจ้ามาเรียกให้ข้าถอนหมั้น มันหมายความว่าอย่างไร หรือว่าพอเขาไม่มีพันธะแต่งงาน เจ้าก็จะโผไปหาเขา?”
“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คนเช่นนี้” เฉิงเซ่าซางแค่นหัวเราะ “ในชีวิตข้าเกลียดคำว่า ‘เข้าใจแล้วให้อภัย’ นี่ที่สุด ก็เพราะคำนี้ จึงมีบางคนทำร้ายทำลายผู้อื่นโดยไร้ซึ่งความกริ่งเกรง อย่างไรเสียหลังจบเหตุแล้วยอมรับผิดเอ่ยขออภัย ย่อมจะมีสักคนบอกว่า ‘ช่างเถิดๆ’ ฮึ ใต้หล้านี้มีเรื่องบางอย่างทำไปแล้วก็คือทำไปแล้ว ทำร้ายไปแล้วก็คือทำร้ายไปแล้ว ถือสิทธิ์อันใดผู้อื่นต้องเข้าอกเข้าใจแล้วให้อภัยด้วยเล่า!” อย่างเช่นนาง…จะไม่ยอมเข้าใจแล้วให้อภัยฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกับเก่อซื่อเป็นอันขาด
…ท่านพ่อเฉิงกับเซียวฮูหยินยังกล่าวได้ว่าทำเพื่อสร้างอนาคตให้วงศ์ตระกูลกับบุตรธิดา ลาภยศกับความมั่นคงปลอดภัยที่ต่อสู้ได้มาเหล่านี้ นางก็นับว่าได้เสพรับแล้ว ต่างจากฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เพียงเพื่อจะควบคุมบุตรชายกับสะใภ้ ถึงกับไปทำร้ายเด็กน้อยที่ไร้ความผิดผู้หนึ่ง ต่อให้วันหน้าอีกฝ่ายตายไป นางก็จะไม่ให้อภัยอยู่ดี ไม่ใช่ผู้สูงวัยทุกคนหรอกนะที่คู่ควรจะเคารพ!
หยวนเซิ่นเงียบงันไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงรีบร้อนจะให้ข้าถอนหมั้นเล่า สกุลลั่วไม่ใช่วงศ์ตระกูลธรรมดาเสียหน่อย ได้รับความอัปยศมากเพียงนี้ มีหรือจะละเว้นฮั่วปู้อี๋ไปง่ายๆ เรื่องราวจะเรียบง่ายเช่นนี้ได้อย่างไร”
เฉิงเซ่าซางไม่ตอบ กลับย้อนถามว่า “ท่านรู้นิสัยความเคยชินยามที่ฮั่วปู้อี๋ลงมือหรือไม่ ปีที่ตงไห่อ๋องขอลงจากตำแหน่งรัชทายาท ข้าเคยไปช่วยเก็บข้าวของที่ตำหนักบูรพา พลิกเจอหนังสือที่ตงไห่อ๋องขอคุณความชอบให้ฮั่วปู้อี๋กับจดหมายที่ฮั่วปู้อี๋เขียนถึงตงไห่อ๋องในช่วงหลายปีก่อน”
หยวนเซิ่นมองนางด้วยความฉงน
“มีอยู่เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นเขาอายุราวสิบหกสิบเจ็ดได้ ฝ่าบาทรับสั่งให้เขากับจางเย่าแยกกันไปปราบค่ายโจรสองแห่งที่มณฑลอวี้โจว ค่ายโจรสองแห่งนั้นค่ายหนึ่งอยู่ที่เมืองเหลียง อีกค่ายอยู่ที่เมืองหลู่ ว่ากันตามจริง ค่ายโจรที่เมืองเหลียงมีขุมกำลังอ่อนด้อยกว่า ดังนั้นแต่แรกเริ่มฝ่าบาทจึงทรงให้ฮั่วปู้อี๋ไปเมืองเหลียง ทว่าจางเย่าเป็นเดือดเป็นแค้น เที่ยวพูดกับผู้อื่นว่าหนนี้ตนน่ะเป็นแค่ตัวเสริมความเด่นให้บุตรบุญธรรมของฮ่องเต้ ฮั่วปู้อี๋จึงเป็นฝ่ายขอแลกเมืองกับจางเย่าเอง”
หยวนเซิ่นกล่าว “จางเย่าผู้นี้ใจแคบจริงๆ คิดเล็กคิดน้อยกระทั่งกับหนุ่มน้อยที่ยังไม่ถึงวัยครอบเกี้ยว มิน่าเล่า ต่อให้วรยุทธ์ไม่ธรรมดา ฝ่าบาทก็ทรงไม่เห็นคนผู้นี้เข้าตา”
“ตงไห่อ๋องเป็นห่วงฮั่วปู้อี๋ ฮั่วปู้อี๋จึงเขียนปลอบโยนมาในจดหมาย บอกว่าโจรที่เมืองเหลียงกลุ่มนั้นแม้มีคนน้อย ทว่ามาจากวงศ์ตระกูลเดียวกัน ต่างเป็นญาติสนิทที่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ผิดกับโจรที่เมืองหลู่ ซึ่งแม้มีคนมาก ทว่าไม่ต่างจากฝูงอีกาไร้ระเบียบที่มาชุมนุมกันจากทั่วสารทิศ รวมตัวด้วยผลประโยชน์ ย่อมแตกสลายเมื่อผลประโยชน์สิ้น”
หยวนเซิ่นสังเกตพบรายละเอียด “จดหมายนั้นเขียนขึ้นเมื่อไร”
“กำลังพลสองสายเพิ่งออกจากเมืองหลวงไปไม่ไกล”
“ก็หมายความว่า…ตั้งแต่ที่ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้พวกเขาไปปราบโจร ฮั่วปู้อี๋ก็สืบสถานการณ์ของค่ายโจรสองแห่งนั้นชัดแจ้งแล้ว”
“ถูกต้อง”
หยวนเซิ่นลูบแขนเสื้อ ขบคิดไม่พูดจา
เฉิงเซ่าซางกล่าวต่อ “ต่อมาเหตุการณ์เป็นดังที่ฮั่วปู้อี๋คาดคะเน จางเย่าบุกอยู่นานไม่สำเร็จ ซ้ำกำลังพลที่นำไปก็เจ็บตายสาหัส ส่วนฮั่วปู้อี๋หลังจากใช้ยุทธวิธีแยกสลายกองกำลังของพวกโจรไปรอบหนึ่งก็ยึดค่ายได้อย่างง่ายดาย…หึๆ ในจำนวนศีรษะของหัวหน้าโจรหลายคน ล้วนถูกคนกันเองตัดเพื่อทำคุณไถ่โทษ”
หยวนเซิ่นขมวดคิ้ว “นี่เป็นความบังเอิญแท้ๆ หากจางเย่าไม่ใช่คนใจแคบ หากกำลังพลสองสายไม่ได้สลับเมืองกัน ก็ยังไม่รู้ว่าบทสรุปจะออกมาเป็นเช่นไร”
“ไม่ต้องใจร้อน แค่สองปีให้หลังสิ่งที่ท่านคาดหวังก็เกิดขึ้นแล้ว” เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างโมโห “ตอนนั้นฝ่าบาทเพิ่งยึดเมืองหล่งซีได้ พระองค์หมายจะไล่ล่าข้าศึกที่แตกทัพไปหลายสาย ไม่รู้เพราะมีคนเห็นฮั่วปู้อี๋ขัดตาใช่หรือไม่ ถึงกับให้เขาไปไล่ล่าสายที่นำโดยน้องชายแท้ๆ ของจอมทัพข้าศึก น่าสะท้อนใจนัก ตอนนั้นฮั่วปู้อี๋เพิ่งผ่านศึกใหญ่ดุเดือดมาหนึ่งสมรภูมิ ในสังกัดของเขาคนล้าม้าเปลี้ย เจ็บตายไปมิใช่เบา ต่างจากกำลังพลของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งหากมิใช่นักรบเดนตายที่ชุบเลี้ยงมาหลายปีก็คือทหารที่เป็นเครือญาติร่วมบรรพชนเดียวกัน”
หยวนเซิ่นนึกขึ้นได้แล้ว สีหน้าของเขาไม่เผยความรู้สึก “เรื่องนี้ข้ารู้ พอฮั่วปู้อี๋ไล่ทันข้าศึกที่แตกทัพก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รบแลกชีวิตจนถึงที่สุด สุดท้ายเขาหิ้วศีรษะผู้เป็นหัวหน้ากลับค่ายไปรายงานภารกิจจนได้ แต่ก็ต้องรักษาอาการบาดเจ็บในบ้านชุยโหวเกือบครึ่งปีจึงจะหายดี”
ตอนนั้นฮ่องเต้ปวดใจแทบแย่ ยามประเมินผลงาน เหตุที่พระองค์จงใจลดบำเหน็จรางวัลของบางคนลง น่าจะเพื่อระบายโทสะให้บุตรบุญธรรมนั่นเอง แต่ก็เพราะศึกแลกชีวิตแบบแข็งปะทะแข็งสมรภูมินี้ เหล่าขุนนางราชสำนักจึงได้มองฮั่วปู้อี๋ซึ่งขณะนั้นยังไม่ถึงวัยครอบเกี้ยวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ต่างพากันพูดว่า ‘แม่ทัพฮั่วชงมีผู้สืบทอดแล้ว’ เอ่ยข้ามหลิงอี้ไปโดยสิ้นเชิง
เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะ “ตอนนี้ท่านเข้าใจแล้วสินะ ที่จู่ๆ เขากล้าตัดสัมพันธ์กับสกุลลั่ว หากมิใช่มีแผนการรองรับอยู่แล้ว ทำให้สกุลลั่วไม่กล้าแตกหักกับเขา ก็คือเขาคิดจะทุ่มสุดตัวแบบไม่คำนึงถึงสิ่งใดและไม่หวั่นเกรงที่จะผูกแค้นกับสกุลลั่วด้วย”
“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่” หยวนเซิ่นกังขา
เฉิงเซ่าซางตอบ “ด้วยเหตุผลเดียวกัน ที่จู่ๆ เขากล้าบอกให้ข้าถอนหมั้นกับท่าน หากมิใช่คิดกระบวนท่าถัดไปไว้ดิบดีแล้ว ก็คือเขาคิดจะทุ่มสุดตัว คุณชายใหญ่หยวน ท่านคิดจะรับมืออย่างไรเล่า”
หยวนเซิ่นโกรธกรุ่น “หรือว่าข้ายังจะกลัวเขา!”
“หากเป็นแบบแรกยังพอทำเนา พวกท่านสกุลหยวนก็ไม่ใช่พวกกินผักหญ้า อีกอย่างเหลี่ยมเล่ห์ของท่านก็ใช่ว่าน้อยกว่าฮั่วปู้อี๋ กลัวแต่ว่าจะเป็นแบบหลังน่ะสิ หน้าตาเขาล้วนไม่ต้องการแล้ว ถึงตอนนั้นบานปลายจนเหมือนมรสุมกระหน่ำเมือง ผู้คนพากันซุบซิบนินทาท่าน ท่านจะทำเยี่ยงไร” เกรงว่าคงไม่มีบุรุษที่ยินดีจะเป็นตัวเอกของข่าวชู้สาว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพระรองที่ต้องสงสัยว่าถูกเมฆเขียว* ปกคลุมศีรษะ
ไม่ผิดจากที่คาด หยวนเซิ่นตาค้างไปเสียแล้ว
ครั้นมาถึงประตูวัง เฉิงเซ่าซางก็ตบไหล่หยวนเซิ่น “ท่านตรองให้ดีๆ เถิด ฮั่วปู้อี๋คลุ้มคลั่งขึ้นมายังจะกัดคนด้วย ท่านคงกัดกลับไปไม่ได้กระมัง ไม่ต้องกังวลแทนข้านะ แม้ข้าเคยเพลี่ยงพล้ำในกำมือเขาไม่ใช่น้อย แต่เขาก็ไม่ได้ลงเอยไปดีกว่ากัน”
หยวนเซิ่นนึกว่า ‘กัดคน’ ที่เฉิงเซ่าซางเอ่ยนั้นกำลังพูดเปรียบเปรย แท้จริงที่นางพูดมาเป็นวาจาจริงทั้งนั้น
สองคนแยกกันที่หน้าประตูวัง หยวนเซิ่นมีเรื่องยุ่งเหยิงเต็มสมอง กระทั่งทางไปสำนักราชเลขาธิการยังเกือบจะเดินผิด
เซวียนไทเฮายังคงนอนป่วยไม่อาจลุกจากเตียง ตัวคนสะลึมสะลือ ถึงขั้นเฉิงเซ่าซางกลับมาตำหนักหย่งอันแล้วก็ยังไม่รู้เลย ในใจหญิงสาวให้หมองเศร้านัก รอจนป้อนยาเสร็จ เซวียนไทเฮาที่ได้สติรางๆ ก็ถามถึงการสู้คดีของฮั่วปู้อี๋ เฉิงเซ่าซางจึงระดม ‘ยิง’ ฮั่วปู้อี๋ไปหนึ่งยกอย่างไม่หายแค้น เย้าให้เซวียนไทเฮาหัวเราะเบาๆ ไม่หยุด
ผ่านไปอีกหลายวัน นามบุตรีคนเล็กของเฉิงสื่อก็เป็นที่โจษขานของผู้ใหญ่ผู้น้อยทั่วเมืองหลวงอีกครา
เริ่มจากนายกองฉางสุ่ยลั่วจู้ประกาศต่อหน้าผู้คนว่าจะรับเขยให้บุตรสาวที่เป็นม่ายกลับมาบ้าน นี่ทำเอาบรรดาผู้มียศศักดิ์ในเมืองหลวงตกใจจนตัวโยน คนที่มีหูตาฉับไวหน่อยต่างรู้แต่แรกว่ารัชทายาทมีใจจะให้ลั่วจี้ทงแต่งเป็นภรรยาของฮั่วปู้อี๋ และต่างรู้กันว่าสกุลลั่วแสนจะปลื้มปริ่มอยากให้เรื่องนี้ลุล่วง บัดนี้เหตุการณ์พลิกมาเป็นเยี่ยงนี้ เห็นชัดว่าหากไม่ใช่สกุลลั่วพลันเสียสติ ก็ต้องเป็นฮั่วปู้อี๋ที่เปลี่ยนท่าที
ไม่ต้องหารือกันล่วงหน้า คนทั้งหมดพร้อมใจกันมองขวับไปยังสกุลเฉิง หนนี้ท่านพ่อเฉิงผู้น่าสงสารหลบเลี่ยงแค่สกุลลั่วไม่เพียงพอแล้ว เขาจึงได้แต่ลาป่วยซ่อนตัวเสียเลย
ที่พิสดารยิ่งกว่าคือดูจากตัวอย่างเก่าเมื่อครั้งที่หยวนเซิ่นถอนหมั้นสกุลไช่ ฮั่วปู้อี๋ก็ควรจะรู้สึกผิดต่อสกุลลั่วบ้างกระมัง ทว่าดูจากการกระทำของสกุลลั่วแล้ว คล้ายว่ามิใช่เช่นนี้เลย แรกสุดลั่วจู้ให้บุตรสาวเก็บตัวรักษาอาการป่วย ปฏิเสธคำเชิญร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์ทั้งปวง จากนั้นปากประกาศว่าจะรับเขย แต่กลับบอกปัดการสู่ขอของญาติมิตรไปจนสิ้น ท่าทางราวจะตบแต่งบุตรสาวไปไกลถึงชายแดนอย่างนั้นล่ะ…ดูจากจุดนี้คล้ายเป็นสกุลลั่วกลัวเกรงฮั่วปู้อี๋เสียมากกว่า ช่างแปลกแท้ แปลกจริงหนอ
ขณะเดียวกันฮั่วปู้อี๋ก็นำรถคันใหญ่คันเล็กบรรจุของล้ำค่าหายาก อาทิ กระดูกเสือ ดีหมี เขากวางอ่อน โสมป่า เสื้อขนเตียว กับเหยี่ยวล่าสัตว์ รวมถึงสิ่งของที่มากับขบวนสินค้าจากแดนโม่เป่ยอันไกลโพ้น ได้แก่ ทองคำ อัญมณี งาช้าง เครื่องหอม ยอดอาชา กับสุนัขล่าเนื้อ มุ่งหน้าไปยังจวนสกุลเฉิงอย่างเอิกเกริก
นึกถึงสภาพของบุตรสาวที่ตอนนั้นตรอมใจจนป่วยหนัก เฉิงสื่อก็ฉุนกึกอยากจะฟาดคน ฮั่วปู้อี๋คุกเข่าลงตรงหน้าให้เขาทุบตีด่าทอได้ตามแต่ใจ ยังคงเป็นเซียวฮูหยินที่ยุดสามีไว้อย่างแน่นหนา…แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังไม่เคยทุบตีฮั่วปู้อี๋เลย ท่านจะลงมือไม่ได้เชียวนะ!
สามคนยืนกรานท่าทีของตนเองอยู่เป็นนาน สุดท้ายต่างเอ่ยคำพูดคนละสองสามประโยค
คำพูดของเซียวฮูหยินสูงส่งทีเดียว “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอขมาพวกเรา พวกเราแม้เป็นบิดามารดาของเหนียวเหนี่ยว ทว่าแต่เล็กไม่เคยได้ห่วงใยสอนสั่งนาง บัดนี้สำนึกเสียใจก็สายไปแล้ว ภายหน้าเหนียวเหนี่ยวปรารถนาจะเดินเส้นทางเช่นไร ปรารถนาจะออกเรือนกับบุรุษแบบใด พวกเราล้วนให้นางเป็นผู้ชี้ขาดเอง…สิ่งของเหล่านี้เจ้านำกลับไปเสียเถิด”
ฮั่วปู้อี๋ย่อมไม่ยินยอม เขากล่าวเพียงว่า “มิใช่ข้าหมายจะให้ท่านทั้งสองพูดขอความเห็นใจแทนข้า หากแต่เพราะภัยที่ข้าก่อขึ้นในตอนนั้นเกือบลามมาถึงผู้ใหญ่ผู้น้อยในจวนสกุลเฉิงด้วย คิดถึงเรื่องนี้คราใด ใจข้าก็ยากจะสงบลงได้”
เฉิงสื่อกำหมัดเอ่ยเสียงหนัก “เมื่อห้าปีก่อนเหนียวเหนี่ยวป่วยเกือบตาย เจ้าอย่าได้นึกว่าระหว่างทางที่ถูกเนรเทศมีแต่ตนเองที่ทนทุกข์ หารู้ไม่ว่าเหนียวเหนี่ยวเกือบยื้อชีวิตไม่ได้ตั้งกี่หน หากเจ้าไม่เชื่อ ไปดูเรือนยาวที่ท้ายจวนได้เลย ในนั้นยังวางโลงศพที่ทำให้เหนียวเหนี่ยวไปได้ครึ่งทางแล้ว”
ฮั่วปู้อี๋เงยหน้าขวับ สุดท้ายอำลาไปอย่างสงบเงียบขรึม
รอจนตัวคนจากไป เซียวฮูหยินค่อยถามสามี “เหตุใดท่านต้องบอกฮั่วปู้อี๋เรื่องที่เหนียวเหนี่ยวป่วยหนักเล่า ข้านึกว่าตลอดมาท่านเห็นด้วยที่จะรับหยวนซั่นเจี้ยนเป็นเขยเสียอีก” พูดเช่นนี้คนแซ่ฮั่วก็ยิ่งไม่ปล่อยมือน่ะสิ
เฉิงสื่อถอนใจกล่าว “หากเป็นหยวนซั่นเจี้ยนกระทำเรื่องที่ผิดต่อเหนียวเหนี่ยว เจ้าว่าเหนียวเหนี่ยวจะล้มป่วยสาหัสเยี่ยงนั้นหรือไม่” รักลึกล้ำเท่าใด แค้นย่อมลึกล้ำเท่ากัน บาดแผลจึงจะสาหัสถึงเพียงนั้น เขาอาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมหวังว่าวันหน้าบุตรสาวจะไม่ต้องเสียใจภายหลัง
ภายในลานเรือน เฉิงซุ่นพ่อบ้านเก่าแก่ของสกุลเฉิงกำลังถูกของกำนัลที่กองสูงดุจภูเขาทำให้ตาลาย ในจำนวนนั้นมีเขากวางอันใหญ่ยักษ์ที่ทำให้ผู้พบเห็นต้องตาค้างลิ้นพัน แง่งแขนงอันสลับซับซ้อนขนาดล่ำสันของมันมีมากถึงยี่สิบกว่าแง่ง แผ่กว้างเกือบหนึ่งจั้งทีเดียว ประตูใหญ่โดยทั่วไปไม่อาจขนผ่านเข้ามาได้ เฉิงซุ่นจึงได้แต่สั่งรื้อบานประตูข้างประตูใหญ่ออกทั้งสองข้าง ค่อยขนย้ายเขากวางที่มีค่าควรเมืองนี้เข้ามาได้เสียที
หลังจากตรวจนับของกำนัลจนมือเมื่อย ปากแห้ง ใกล้จะหายใจหายคอไม่ทันแล้วด้วยซ้ำ เฉิงซุ่นก็แสดงความเห็นกับฝูอี่บุตรชายของสหายเก่าอย่างพออกพอใจว่า “ไฉนนายท่านไม่ให้กำเนิดคุณหนูอีกหลายๆ คนนะ หาไม่จวนของพวกเราจะมีหน้ามีตาถึงขั้นใด”
ฝูอี่ลอบคิด…มีบุตรสาวแค่คนเดียวยังชุลมุนจนสับสนวุ่นวาย ขืนให้กำเนิดอีกหลายๆ คน ประตูใหญ่จวนสกุลเฉิงไม่รู้ต้องรื้ออีกกี่รอบ
เฉิงเซ่ากงเห็นคนในจวนงานยุ่งจนมือเป็นระวิง จึงเรียกตี้อู่เฉิงมาช่วยกันลำเลียง ตี้อู่เฉิงถลึงตาถาม “ถือสิทธิ์อันใดมาเรียกข้าขนของ”
“เพราะว่าท่านน่าจะลิงโลดอย่างมากน่ะสิ” เฉิงเซ่ากงยิ้มระรื่น “คู่หมั้นของบุตรชายผู้ว่าการหยวนที่ท่านเคียดแค้นเข้ากระดูกกำลังจะถูกผู้อื่นฉกชิงไปแล้ว!”
ตี้อู่เฉิงทึ่มทื่อไปทันตา
หลังเหตุครึกโครมหนนี้ ชาวเมืองหลวงตั้งแต่ผู้มียศศักดิ์ขุนนางสำคัญ เรื่อยลงมาถึงพ่อค้าหาบเร่ ต่างก็คึกคักตื่นเต้นจนแทบทนไม่ไหว พร้อมใจกันสาดสายตาเล็งไปยังฮั่ว หยวน และเฉิงสามสกุล ไม่ว่าจะบนหอสุรา ในร้านอาหาร หรือแม้แต่หลังเลิกประชุมขุนนาง ผู้คนล้วนถกเรื่องนี้กันเซ็งแซ่
เล่ากันว่าปันโหวผู้เฒ่าเคยทอดถอนใจ “ไม่รู้ในช่วงชีวิตของข้า จะได้เห็นบุตรชายของฮั่วชงแต่งงานหรือไม่”
เล่ากันว่าเสนาบดีกรมอาญาจี้จุนเรียกคืนหนังสือขอเกษียณกลับมาเงียบๆ เหตุผลคือต้องการจะเห็นฮั่วปู้อี๋แต่งงานก่อนค่อยขอออกจากราชการ
เล่ากันว่าหยวนเซิ่นเสี่ยงตายถอนหมั้นกับสกุลไช่ก็เพื่อแม่นางสี่สกุลเฉิง บัดนี้เป็นเช่นนี้ใช่กรรมตามสนองหรือไม่นะ
เล่ากันว่าหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าดื่มสุราแล้ว ‘พลั้งปาก’ พรรณนาเหตุการณ์ความรักอันสนิทชิดใกล้เมื่อครั้งที่ฮั่วปู้อี๋กับเฉิงเซ่าซางเคยออกท่องเที่ยวด้วยกันอย่างละเอียดลออ ทันทีที่เริ่มคุยจ้อ กลุ่มผู้กินแตงก็หลั่งไหลเข้าสมทบ ต่างบอกต่อๆ กันโขมงโฉงเฉงถึงท่าทางสนิทสนมที่พวกตนเคยเห็นขณะหนุ่มสาวแซ่ฮั่วกับเฉิงสองคนอยู่ด้วยกันในอดีต…
ชั่วเวลานั้นกิ่งใบของต้นไม้โบราณที่ปกคลุมแน่นขนัดเหนือผืนฟ้าของจวนสกุลหยวน ดูคล้ายเป็นสีมรกตเขียวขจียิ่งกว่าเดิมแล้ว*
ทว่าประเด็นที่ชาวเมืองหลวงสนใจมากที่สุด ยังคงอยู่ที่เรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างไรกันแน่
คนนี้พูดว่าแม่นางสี่เฉิงจะฟังความเห็นของคนทางบ้าน ละทิ้งหยวนซั่นเจี้ยนไปเลือกฮั่วปู้อี๋…
คนนั้นพูดว่าช้าเร็วแม่นางสี่เฉิงต้องโผกอดฮั่วปู้อี๋แล้วร่ำไห้อย่างสุดจะหักห้ามใจตนเอง…
ยังมีบางคนพูดว่าแม่นางสี่เฉิงเป็นตายไม่ยอมถอนหมั้น จากนั้นฮั่วปู้อี๋ใช้กำลังแย่งชิง หนุ่มสาวแซ่หยวนกับเฉิงจึงต้องเป็นนกยวนยางที่อาภัพคู่หนึ่ง…
ยิ่งมีบางคนพูดว่าฮั่วปู้อี๋ใจโหดฝีมือเหี้ยม ต้องคิดหาโอกาสกำจัดศัตรูหัวใจทิ้งแน่…
แน่นอนย่อมจะมีคนโต้แย้ง บอกว่าฮั่วปู้อี๋ยังนับเป็นคนผ่าเผย น่าจะต่อสู้ช่วงชิงคนงามอย่างเปิดเผยมากกว่า…โอยๆ มารดาเอ๋ย แค่คิดก็น่าตื่นเต้นเร้าใจแล้ว!
รัชทายาทเองก็ถูกคำเล่าลือกรอกมาเต็มหู จึงถอนหายใจเอ่ย “จื่อเซิ่ง เจ้าว่าเหตุใดผู้คนจึงว่างงานกันเยี่ยงนี้นะ เสด็จพ่อเพิ่งรับสั่งประหารเจ้าเมืองที่รังวัดที่ดินไม่ตรงตามความจริงไปตั้งสิบกว่าคนแท้ๆ ไม่ยักเห็นผู้คนวิจารณ์ถึงเลย กลับมัวจับจ้องแต่เรื่องของเจ้า”
ฮั่วปู้อี๋เงียบไปชั่วครู่ “ข้าก็คาดไม่ถึงเช่นกัน”
เขาอุตส่าห์เลือกช่วงเวลานี้สลัดสกุลลั่วแล้วไปเยือนจวนสกุลเฉิง เดิมนึกว่าความสนใจของผู้คนล้วนอยู่ที่เรื่องรังวัดที่ดิน ใครจะรู้เขาประเมินน้ำใจอันร้อนแรงของชาวเมืองหลวงที่มีต่อเรื่องซุบซิบต่ำไป ยามนี้รูปการณ์จึงพลิกผัน ด้านหน้ามีข่าวชู้สาวของเขาสกัดอยู่ ฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังมีพระบัญชาให้รังวัดที่ดินอย่างเข้มงวด กลับไม่มีสักคนพูดร่ำไรอีก
ฮ่องเต้แสดงความเห็นว่าบุตรบุญธรรมยอดเยี่ยมยิ่ง พระองค์พึงพอใจเป็นอย่างมาก
ข่าวชู้สาวขยายรวดเร็วดุจก้อนแป้งที่ขึ้นฟู แม้แต่ไช่อวิ่นที่ว่างงานอยู่กับบ้านยังนึกสงสารศิษย์ที่เคยเป็นอดีตว่าที่หลานเขยของเขาผู้นี้อยู่บ้าง เขาอดพูดออกไปไม่ได้ “ซั่นเจี้ยนหนอ เมื่อแรกเจ้าจะถอนหมั้นไปไย หากไม่เป็นเช่นนั้น ตอนนี้เจ้ากับหลานสาวข้าก็ให้กำเนิดบุตรธิดาไปแล้ว”
หยวนเซิ่นตอบสนองด้วยการนิ่งเงียบ
ครั้นกลับถึงจวน หยวนเซิ่นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปพบบิดา ไม่นึกว่าจะเห็นเหลียงซื่อผู้เป็นมารดาอยู่ที่นั่นด้วย เขาจึงพลันตะลึงงันไปวูบหนึ่ง
“…เรื่องทั้งหมดเป็นเช่นนี้ขอรับ ขอท่านพ่อท่านแม่โปรดเชื่อ เซ่าซางไม่ได้กระทำเรื่องนอกลู่นอกทางใดๆ ทั้งสิ้น เป็นพฤติกรรมเหิมเกริมของฮั่วปู้อี๋แต่ผู้เดียว หนนี้ทำให้ทางบ้านถูกผู้คนครหานินทา เป็นความผิดของลูกเอง” หยวนเซิ่นหมอบคำนับขออภัย
หยวนเพ่ยย่อมได้ยินข่าวชู้สาวที่เบื้องนอกโจษกันเกรียวกราวแล้ว กระนั้นกลับคลี่ยิ้มอย่างแสนใจกว้าง “อันนวลนางสะคราญพร้อม ควรครองคู่วิญญูชน พี่ปองน้องมิเป็นผล กายพลิกวนสุดข่มตา นับแต่โบราณ บุรุษสตรีชอบพอกันก็เป็นเรื่องอันสุนทรีย์ประการหนึ่ง ข้างนอกจะโจษกันบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร” เขาพูดพลางกระแอมเบาๆ สองที
“ท่านพ่อ…” หยวนเซิ่นประหลาดใจ
เหลียงซื่อยิ้มกล่าว “ในอดีตท่านพ่อเจ้าท่องยุทธภพกลับมาบ้าน บอกบิดามารดาว่าเขาอยากจะแต่งงานกับตี้อู่เหออี๋ ทำเอาในบ้านอลหม่านกันไปหมด ไม่เพียงท่านปู่เจ้าตีเขาอย่างหนักไปไม่รู้กี่ยก ท่านย่าเจ้าเองก็ตะโกนร่ำไห้ว่าไม่ขอมีชีวิตอยู่แล้ว ช่วงนั้นคนทั้งเมืองล้วนชมดูเรื่องขบขันของสกุลหยวน สตรีในบ้านสกุลหยวนออกไปงานสังสรรค์ข้างนอกมักถูกผู้อื่นถามเย้าว่า ‘คุณชายเพ่ยของบ้านเจ้ายอมยุติแล้วหรือยัง’ หึๆ ตอนนั้นก็ผ่านกันมาแล้วไม่ใช่หรือไร”
นางรับเสื้อนอกที่สาวใช้ยื่นส่งมา แล้วคลุมให้หยวนเพ่ยอย่างนุ่มนวล หยวนเซิ่นเห็นบิดามารดามีอิริยาบถอันใกล้ชิดก็ให้รู้สึกว่าทั้งร่างไม่เป็นตัวของตนเอง เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “นี่…จะเหมือนกันได้อย่างไรขอรับ นี่คือ ‘ความแค้นชิงภรรยา’ เชียวนะ ขืนแสดงท่าทีอ่อนแอ สกุลหยวนไม่ถูกผู้อื่นเอาไปพูดสนุกปากหรอกหรือ!”
“ซั่นเจี้ยน เจ้ามานี่สิ” หยวนเพ่ยกวักมืออย่างอ่อนโยน หยวนเซิ่นก็ไปนั่งคุกเข่าข้างกายบิดาตามที่เรียก
หยวนเพ่ยตบบ่าอันผึ่งผายของบุตรชายเบาๆ เอ่ยด้วยถ้อยคำอันอบอุ่น “แต่เล็กมาเจ้าเคร่งครัดกวดขันตนเอง อ่านตำราฝึกวิชาล้วนไม่ต้องให้ผู้ใหญ่เร่งรัด ไม่ว่าจะเข้าสำนักศึกษากราบอาจารย์หรือเข้าราชสำนักเป็นขุนนาง ล้วนเชิดชูเกียรติภูมิให้แก่สกุลหยวนได้ พริบตาเวลาหลายปีก็ล่วงผ่าน เจ้าเติบใหญ่จนรับหน้าที่ด้านหนึ่งด้านใดได้โดยลำพังแล้ว ทว่าพ่อกลับรู้สึกเสียดายที่ไม่เคยได้พูดคุยกับเจ้าอย่างเต็มที่เลย
เจ้าถอนหมั้นสตรีสกุลไช่ สู่ขอสตรีสกุลเฉิง นี่น่าจะเป็นการกระทำที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลได้ผลเสียหนแรกในชีวิตนับแต่ที่เจ้ารู้ความ” สีหน้าของหยวนเพ่ยเปี่ยมด้วยความรักความเมตตา ราวกำลังมองบุตรชายที่เพิ่งสูงเท่าสามศีรษะตอนที่ตนจากบ้านไปออกศึก หนูน้อยจ้ำม่ำที่น่าเอ็นดูปานหิมะหยก พ่นฟองน้ำลายจากปากเล็กนุ่ม ทั้งยังขยุ้มขากางเกงของผู้เป็นบิดาไว้ไม่ยอมปล่อย
“พ่อหวังว่าเจ้าจะตรองให้แน่ชัด บัดนี้ที่เจ้าไม่ยอมคลายมือจากสตรีสกุลเฉิง ที่แท้เป็นเพราะรักชอบนางจริงๆ หมายมั่นจะแต่งกับนางให้จงได้ หรือว่าเป็นเพราะศักดิ์ศรี ถือทิฐิไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ หากเป็นอย่างหลัง เจ้ามิสู้ใจกว้างสักหน่อย นับแต่นี้เลิกแล้วกันไป ส่งเสริมความรักของผู้อื่น ก็ไม่เสียทีที่เป็นชายชาตรีผู้องอาจผ่าเผยที่แท้จริง ฮั่วโหวระลึกถึงบุญคุณของเจ้า วันหน้าก็จะช่วยสกุลหยวนของพวกเราสุดกำลังแน่ ทว่าหากเป็นอย่างแรก…ลูกพ่อ เจ้าตรองชัดแจ้งแล้วหรือ”
แววตาของบิดาเจนโลกเปี่ยมสติปัญญา ดุจถูกแสงยิงถึงก้นบึ้งของหัวใจ หยวนเซิ่นพลันสับสนอย่างช่วยไม่ได้…
ความจริงแรกพบเฉิงเซ่าซางในงานโคมไฟ เขาไม่ได้รู้สึกอันใดนัก ต่อมาพบกันอีกหลายคราก็แค่เพียงรู้สึกว่านางคมคายน่าสนใจ ต่อให้พยศแยกเขี้ยวกางกรงเล็บก็ยังชวนให้คนชมชอบ เขาจึงคิดว่าแต่งนางกลับมาก็ไม่เลว
ใครจะรู้ทุกครั้งเขาล้วนช้าไปหนึ่งก้าว นานวันเข้าจึงกลายเป็นความยึดมั่นถือมั่น แต่ในเมื่อมีฮั่วปู้อี๋สกัดอยู่เบื้องหน้า เขาก็เฟ้นหายอดหญิงอื่นไปอย่างรู้ฐานะตนเอง จวบจน…จวบจนเมื่อห้าปีก่อน…
เบื้องหน้าสายตาของเขาพลันปรากฏภาพค่ำคืนใต้เดือนดาวที่ชวนให้หนาวใจ เมื่อเขาได้ข่าวรุดเข้าวังไปก็เห็นนางออกมาจากตรอกตำหนักพอดี สุดท้ายนางพูดว่ามีแต่นางที่เป็นตัวโง่งม นางเหนื่อยล้าแล้ว
นางในตอนนั้นร่างแบบบาง ยึดจับกำแพงพลางขยับฝีเท้าอย่างเชื่องช้า ทึ่มทื่อดุจท่อนไม้ ภาพนั้นโหดร้ายราวปลาที่ถูกขอดเกล็ดทั้งเป็น พลังชีวิตอันสดใสในวันวานล้วนถูกลอกออกจนสิ้น คงเหลือแต่สภาพอ่อนระโหยโรยแรงภายหลังถูกความคับแค้นเจ็บช้ำไร้ที่สิ้นสุดกดทับจนสองไหล่ลู่ตกลง
ยามที่นางเงยหน้าเอ่ยวาจาเหล่านั้น ดวงตาแห้งผากซึ่งหลั่งน้ำตาจนสิ้นแล้ว แลดูทั้งโตทั้งดำขลับยิ่งกว่าที่เคยเป็น แววตาถากถางที่สาดยิงมาถึงกับเผาลวกหัวใจของเขาในพริบตา…หยวนเซิ่นรู้สึกสะเทือนใจจนหายใจติดขัด นั่นใกล้เคียงกับความรู้สึกสงสารระคนเลื่อมใส เป็นอารมณ์หวั่นไหวที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในช่วงชีวิตยี่สิบสองปีอันมีแบบแผนของเขา
เพียงแต่…ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับความรู้สึกชนิดนี้เช่นไรดี
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.