X
    Categories: ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวันทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ตัวร้ายต้องสวมบทบาทอยู่ทุกวัน เล่ม 1 บทที่ 9-10

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 9

ระบบเงียบไปเป็นนานถึงค่อยถามขึ้นว่า ‘คุณรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้จะมีปลามา แล้วรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะทำตามที่คุณต้องการ’

โฮสต์คนนี้ของมันไม่ใช่ราชินีจอเงิน แต่เป็นร่างทรงเก๊มากกว่า!

ชาติก่อนก็ไม่เคยเห็นนางนับนิ้วจับยามสามตา* แล้วได้โชคหล่นทับ อีกทั้งยิ่งไม่ได้มีอภินิหารขนาดไปถ่ายหนังที่ใด ที่นั่นก็มีฝนตกด้วยเสียหน่อย

เฉินวั่งซูยิ้มอย่างได้ใจ ‘โอกาสหน้าที่จะได้เจอหลิ่วอิงคือที่งานเลี้ยงวสันต์ ถ้าฝ่ายนั้นอยากเจอฉันก็ต้องเป็นที่นั่น ถ้าฉันอยากเอาตัวออกมาให้พ้นก็จำเป็นต้องวางแผนล่วงหน้า ฝ่ายนั้นต้องการเดินทางสว่างก็จำเป็นต้องหยั่งเชิงความตื้นลึกของฉันแต่เนิ่นๆ จะได้ออกกระบวนท่าถูก

งานเลี้ยงวสันต์จะจัดในอีกสองวัน ฉันอุตส่าห์ได้ออกจากบ้านทั้งที ไม่มาเวลานี้จะมาเวลาไหน คุณหนูอย่างฉันแสนจะสูงส่ง ฝ่ายนั้นอาจเอื้อมไม่ถึง นี่ก็ไม่ใช่ทำให้องค์ชายเจ็ดหน้าเป็นตุ่มระคายสายตาคนแล้วหรือไง ทีนี้ก็ได้แต่ฟังคนแอบซุบซิบนินทาแล้ว

เอาใจเขามาใส่ใจเรา หลิ่วอิงคนนั้นเป็นถึงนางเอกนิยายเรื่องตำนานหลิ่วอิง จะต้องเป็นคนฉลาดที่แพ้ฉันอยู่แค่นิดเดียวอย่างแน่นอน’

ระบบหัวเราะเหอะๆ คำพูดประโยคสุดท้ายนี้ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดจริงๆ

‘ส่วนเกามู่เฉิง ฉันก็แค่เมตตาให้คำชี้แนะแก่สาวน้อยหลงทางคนหนึ่งเท่านั้นเอง! ถ้านางสมหวังก็ควรหล่อรูปทองเคารพให้ฉันแล้วกราบไหว้ทุกวันถึงจะนับว่าจริงใจ…นี่ ระบบ ระบบ…ทำไมคุณไม่พูดอะไรแล้วล่ะ’

เฉินวั่งซูส่ายศีรษะ ระบบนี่แย่จริงๆ ไม่ใช่สัญญาณหลุดก็ระบบค้าง

 

เฉินวั่งซูดึงตัวเฉินเถียนที่กำลังมึนงงให้ลุกขึ้นเดินออกจากห้องส่วนตัวอย่างสุขุมเยือกเย็น สุดท้ายยังมองโต้วอี้อวิ๋นที่อยู่ในห้องตรงข้ามแวบหนึ่ง เห็นเขาหันหลังให้ประตู ชมงานกวีด้วยท่าทางเรียบร้อยเคร่งขรึมพร้อมด้วยหูแดงระเรื่อ

พอนางจากไปแล้วประตูห้องส่วนตัวที่อยู่ติดกันก็พลันถูกเปิดออก

ชายหนุ่มในชุดแพรตัวยาวสีแดงเพลิงเดินออกมา บนระเบียงมีลม พัดปอยผมที่เปียกชื้นและแถบรัดผมสีแดงของเขาให้ปลิวขึ้น

ผู้นี้มิใช่เหยียนเจวี๋ยแล้วจะเป็นผู้ใด

เหยียนเจวี๋ยมองชายกระโปรงของเฉินวั่งซูตรงมุมทางเลี้ยวพลางลูบริมฝีปาก “ไปกันเถอะ พวกบัณฑิตส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจหนวกหูไม่ต่างจากเป็ดในบ่อ ทำข้าปวดหัว”

จินฉานผู้เป็นบ่าวชายได้ยินก็รีบถามว่า “ผมของท่านยังไม่แห้งเลย ออกไปตากลมจะดีหรือขอรับ”

เหยียนเจวี๋ยแค่นเสียงทีหนึ่งอย่างไม่แยแสสนใจ กระชากดอกไม้ในกระถางบนระเบียงออกมากิ่งหนึ่งแล้วเหวี่ยงไปมาในมือ ก่อนสาวเท้ายาวเดินลงชั้นล่างตามคนที่เพิ่งจะออกไปจากห้องข้างๆ อย่างว่องไว

“พี่หญิงรอง พวกเราเรียกคนจากร้านผ้าให้นำผ้ามาส่งให้เลือกวันอื่นจะดีกว่า วันนี้กลับจวนกันก่อน เกรงว่าท่านย่าคงรอจนร้อนใจแล้ว” เฉินเถียนขึ้นรถม้าพลางพูดอย่างระมัดระวัง

เฉินวั่งซูยิ้มพร้อมพยักหน้า เลื่อนสายตากลับไปมองก็เห็นเหยียนเจวี๋ยเอนตัวกึ่งพิงประตูร้านน้ำชามองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เส้นผมและขนตาล้วนยังชื้นละอองน้ำ ประหนึ่งว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จอย่างไรอย่างนั้น

อยู่ไกลปานนี้เฉินวั่งซูยังรู้สึกว่าตนเองได้กลิ่นหอมของน้ำดอกไม้ ช่างงามล้ำเลิศที่สุดในปฐพีจริงๆ

หากมิใช่ยังไม่ถึงเวลาเฉินวั่งซูก็อยากจะเอื้อมมือปลาหมึกไปคว้าตัวคนผู้นี้มา…แค่กๆ นางแค่คิดก็อดจะถ่มน้ำลายใส่ตนเองไม่ได้แล้ว แม้แต่เดรัจฉานยังมีความคิดสู้นางไม่ได้จริงๆ!

ในหัวเฉินวั่งซูนั้นแสดงท่าทีคุกคามไปถึงไหนต่อไหน ทว่ากลับไม่แสดงออกมาทางสีหน้าเลยแม้แต่น้อย ทำประหนึ่งว่ามองไม่เห็นเหยียนเจวี๋ย นางช่วยดันตัวเฉินเถียนเล็กน้อย “ก็ได้ มีเวลาอีกมาก ยังไม่ต้องรีบร้อน”

เฉินวั่งซูพูดพลางแสร้งทำเป็นเยือกเย็น ขึ้นรถม้าโดยมีมู่จิ่นประคอง

รถม้าเพิ่งจะออกตัวได้ไม่กี่ก้าวท่าทางอ่อนหวานนุ่มนวลของเฉินวั่งซูก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย นางไม่ได้อยากจะว่าหรอกนะ แต่รถม้านี้สะเทือนแรงเกินไปแล้วจริงๆ หากนั่งมันอ้อมเมืองหลินอันนางก็ห่วงยิ่งว่าตนเองคงจะได้สมองกระทบกระเทือนเป็นแน่

มิน่าสตรีชั้นสูงถึงมีไม่กี่คนที่อวบอิ่ม โคลงเคลงทุกวันเนื้อจะยังเก็บไว้ตรงที่ใดได้

เมื่อวานนางเพิ่งทะลุเข้ามาในนิยายเรื่องนี้ ในหัวมีเรื่องให้คิดเยอะ ยังไม่ทันได้ใส่ใจ บัดนี้ผ่อนคลายลงบ้างแล้วก็ถึงกับรู้สึกผิดที่ผิดทางไปหมดทุกอย่าง

กว่าจะได้ลงจากรถม้าเฉินวั่งซูต้องสะกดกลั้นความอยากสะบัดแขนสะบัดขาเอาไว้ แล้วเดินไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเป็นเพื่อนเฉินเถียน

ครั้นเข้ามาในเรือนก็รู้สึกว่าสายตาร้อนแรงกลุ่มหนึ่งพุ่งมาหา

เฉินวั่งซูอดไม่ได้ที่จะถอยหลังก้าวหนึ่งไปยืนอยู่หลังเฉินเถียน เป็นไปตามคาด นับแต่โบราณจวบจนปัจจุบันไม่มีใครไม่ชอบซุบซิบนินทา

พวกนางยังไม่ทันกล่าวสิ่งใด ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็กวักมือเรียกแล้ว “เร็วเข้า เถียนเอ๋อร์เจ้ารีบเล่ามา โต้วอี้อวิ๋นผู้นั้นใช้ได้หรือไม่”

เฉินเถียนเหมือนเป็นก้อนแป้งที่ตกลงในตลับชาดมิมีผิด ผิวพรรณนางแดงไปทั้งตัวแล้ว กระอักกระอ่วนจนนิ้วเท้าแทบจะจิกพื้นเป็นรู “ก็…ก็…ก็พอ…พอใช้ได้เจ้าค่ะ…”

คนในห้องได้ยินต่างก็หัวเราะร่าขึ้นมาอย่างเข้าอกเข้าใจ

เฉินวั่งซูกระตุกมุมปาก ก่อนหาที่นั่งลงตรงปลายสุดอย่างเงียบเชียบประหนึ่งล่องหน

นางได้เสียสละใหญ่หลวงเพื่อเหยียนเจวี๋ย รอได้ถอนหมั้น นางก็นึกภาพได้เลยว่าแสงเลเซอร์ทะลุทะลวงในดวงตาของคนกลุ่มนี้จะต้องเล็งมาที่นางเป็นคนถัดไป ช่างชวนให้คนขนหัวลุกเสียนี่กระไร

นับจากที่นั่งตำแหน่งหลักไล่ลงมา ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกลางคือฮูหยินผู้เฒ่าเฉินที่ท่าทางดูเคร่งครัดยิ่งกว่าเมื่อวาน แต่กลับกำลังมองเฉินเถียนอย่างเปี่ยมด้วยความรักใคร่เมตตา

หลี่ซื่อมารดาของเฉินวั่งซูนั่งยิ้มกริ่มอยู่ทางซ้ายมือของนาง สตรีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหลี่ซื่อสวมเสื้อตัวแคบแขนเล็ก บนหน้าผากมีหยาดเหงื่อ มองปราดเดียวก็เห็นเฉินวั่งซูที่คิดจะหลบหาความสงบ

“เอาล่ะๆ เห็นเถียนเอ๋อร์เขินอายแล้ว วั่งซูเจ้ามาเล่าทีว่าบุรุษแซ่โต้วผู้นั้นเป็นอย่างไรกันแน่ หากใช้ไม่ได้ก็ให้เถียนเอ๋อร์ไปพบหลานชายของข้า แม้จะเป็นทหาร แต่ก็เคยร่ำเรียนตำรามาบ้าง”

สตรีนางนี้คืออาสะใภ้สามของเฉินวั่งซู แซ่เฉียน นามฝูหรง

จะว่าไปฮูหยินผู้เฒ่าเฉินให้กำเนิดบุตรชายสี่คน แต่ละคนล้วนมีวิชาความรู้ดี แต่หากกล่าวถึงผู้มีความรู้ทั้งบุ๋นบู๊ก็มีเพียงเฉินชิงซินบุตรชายคนที่สามเพียงผู้เดียว ขณะเมืองหลวงประสบภัยในคราโน้นเฉินชิงซินอยู่ระหว่างทำภารกิจที่อื่นและได้ขาดการติดต่อไปนับแต่นั้น พริบตาเดียวก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว

เฉียนฝูหรงอยู่กับบุตรชายผู้เดียวนามเฉินฉางอวิ๋น มิได้แต่งงานใหม่ สำหรับในบรรดาสะใภ้ของสกุลเฉินมีนางผู้เดียวที่มาจากตระกูลแม่ทัพ

เฉินวั่งซูกระแอมกระไอให้คอโล่ง “อาสะใภ้สามตีคลี* คราวหน้าต้องอย่าลืมเรียกข้าด้วยนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นข้าจะจำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นเช่นกัน”

เฉียนฝูหรงหัวเราะร่วน “ข้าน่ะอยากจะเรียกเจ้าด้วย แต่เกรงว่าแม่ของเจ้าคงได้ทุบข้าตาย”

คนในห้องต่างหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง

“โต้วจิ้นซื่อผู้นั้นหน้าตาเข้าที พอเห็นอาเถียนก็หูแดง ขณะพวกข้าจากมา เขายังแสร้งทำเป็นชมงานกวี ข้าเห็นมือเขาสั่นเสียจนร่อนแป้งผัดหน้าให้อาเถียนได้แล้ว…”

คราวนี้ไม่เพียงเฉียนฝูหรง แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินก็ยังหัวเราะขึ้นมา “นางเด็กผู้นี้…นางเด็กผู้นี้นี่นะ…เถียนเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ทุบนางเลย มีย่าปกป้องเจ้าอยู่”

เฉินวั่งซูรีบแสร้งทำเป็นกลัว จับตัวสตรีที่นั่งอยู่ถัดจากหลี่ซื่อไว้ “พี่สะใภ้ช่วยข้าด้วย!”

พี่สะใภ้ผู้นี้ของนางมีนามว่าเหยาจือเหวิน เพิ่งจะแต่งเข้ามาในจวนได้ไม่นานนัก เห็นเฉินวั่งซูโผเข้าหาก็รีบโอบนางไว้ ก่อนจะหัวเราะจนหน้าแดง

หลี่ซื่อเห็นพวกนางหยอกล้อกันเสียสนุกสนานก็ตบหลังนางเบาๆ “พอแล้วๆ อยู่ข้างนอกก็ดูสุขุมดี ไฉนอยู่ในจวนกลับทำตัวเหมือนเด็กอมมือไปได้”

เฉินวั่งซูแลบลิ้น “มีท่านย่า ท่านแม่ อาสะใภ้สาม และก็พี่สะใภ้อยู่ ข้ามิใช่เป็นเด็กอมมือหรือไร”

หลี่ซื่อคิดว่าอีกไม่นานนางก็ต้องแต่งงานกับองค์ชายเจ็ดแล้ว เบ้าตาจึงแดงเรื่อ แต่ปากกลับกล่าวว่า “ไม่รู้จักอาย เทียบเชิญงานเลี้ยงวสันต์แม่ให้เจ้าไปแล้ว จดหมายจากทางสกุลโต้วก็ส่งมาแล้ว บอกว่าพอใจเถียนเอ๋อร์มาก สองวันนี้ข้าจะต้องจัดการเรื่องนี้ งานเลี้ยงวสันต์นั่นให้อาสะใภ้สามของเจ้าไปเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน แม่สั่งให้คนตัดชุดใหม่ให้เจ้าและสั่งให้ไป๋ฉือนำกลับไปให้แล้ว”

บทที่ 10

“เร็วปานนี้เชียว? สกุลโต้วจะใจร้อนเกินไปหน่อยแล้ว อาเถียนของเราเพิ่งจะได้พบหน้าเขาหนเดียวเอง”

เฉินวั่งซูถอนหายใจเล็กน้อย เมื่อวานนางเพิ่งจะได้ยินชื่อโต้วอี้อวิ๋น แต่แค่กะพริบตาก็จะหมั้นหมายกันแล้ว

หลี่ซื่อมองเฉินวั่งซูอย่างตำหนิปราดหนึ่ง “เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าคิดว่าเป็นการเล่นขายของ แค่ชี้เลือกเขามาส่งๆ หรือไร คุณชายโต้วผู้นี้ท่านย่าเจ้าดูมาเป็นปีแล้ว ไม่ว่าอุปนิสัยหรือชาติตระกูลล้วนผ่านการเลือกเฟ้นมาอย่างดี”

“วันนี้ให้เถียนเอ๋อร์ออกจากจวนไป ก็เพื่อจะดูว่าเด็กสองคนถูกตาต้องใจกันหรือไม่”

เฉินวั่งซูแลบลิ้น ผู้ที่ดูคนแค่หน้าตามีแค่นางคนเดียวจริงๆ

หลี่ซื่อพูดพลางมองเฉินวั่งซูแล้วก็อดจะเศร้าใจขึ้นมาอีกไม่ได้

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินรักและเอ็นดูเฉินเถียนมากจริงๆ

แม้บิดามารดาของเฉินเถียนจะสิ้นใจไปแล้วทั้งคู่ แต่น้าชายของนางก็เป็นขุนนางในเมืองหลินอัน มิได้นับว่าไร้ที่พึ่งพิง ปีก่อนน้าชายสกุลจางเคยมาสู่ขอเฉินเถียนให้บุตรชายคนเดียวของเขา การเกี่ยวดองเป็นญาติอีกชั้นนี้เดิมทีก็เป็นเรื่องดี ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉินกลับปฏิเสธไป

บอกว่าภรรยาของน้าชายหรือน้าสะใภ้สกุลจางผู้นั้นเป็นคนร้ายกาจ เฉินเถียนร่างกายอ่อนแอ สกุลจางมีผู้สืบทอดเพียงคนเดียวก็เลยอยากรีบมีทายาทสืบสกุลต่อโดยเร็ววัน ยามเป็นหลานสาวมีค่าให้รักใคร่เอ็นดู แต่ครั้นเป็นสะใภ้ก็เป็นคนละเรื่องกันแล้ว

แม้จะหันมาเลือกสกุลโต้ว สกุลจางก็ยังคงเป็นที่พึ่งได้ คนสกุลเดิมร้ายกาจย่อมจะมิใช่ข้อเสีย แต่เป็นข้อดีแล้ว

นางเองก็ได้คิดคำนวณให้เฉินวั่งซูอย่างรอบคอบแล้วเช่นกัน ทว่าฮ่องเต้ที่น่าแทงเป็นพันแผลกลับ…

เฉินวั่งซูถูกสายตาแฝงแววคับแค้นใจของอีกฝ่ายมองจนขนลุกซู่ นางรู้สึกได้เลยทีเดียวว่าถ้าหลี่ซื่อฝึกวิชามีดบินของเสี่ยวหลี่ ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษสกุลหลี่ ป่านนี้นางอาจจะลงมือเชือดฮ่องเต้ไปแล้ว!

“ท่านแม่ เช่นนั้นลูกขอตัวไปลองชุดก่อนนะเจ้าคะ หากไม่พอดีตัว แก้ไขเร็วหน่อยก็ยังพอทัน” นางพูดพลางรีบพามู่จิ่นถอยออกไป ครั้นแล้วก็พรูลมหายใจออกมายาวๆ

 

ในจวนพากันยุ่งวุ่นวายเพราะเรื่องของเฉินเถียน

เฉินวั่งซูหมกตัวอยู่ในหอเล็กของตนเอง รื้อค้นความทรงจำก่อนหน้านี้ของเฉินวั่งซูซ้ำไปซ้ำมา ทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้รอบหนึ่ง จากนั้นพอว่างก็ไปที่งานเลี้ยงวสันต์

“มารดาเจ้าชอบสีสันเรียบๆ สะอาดตาเองก็ช่างเถอะ ไฉนจึงยัดเยียดเสื้อผ้าสีบัวขาบนี้มาให้เจ้าด้วย หากรู้ก่อน ข้าจะหยิบผ้าแพรสีชมพูดอกไห่ถัง ที่ข้าเพิ่งได้มาใหม่ผืนนั้นมาตัดชุดให้เจ้าแล้ว คนบนโลกล้วนสอพลอผู้สูงกว่า เหยียบย่ำผู้ต่ำกว่า ถ้าท่านปู่ของเจ้ายังอยู่พวกเราย่อมมีฐานะสูงส่งบริสุทธิ์ บัดนี้ถึงจะไม่มีท่านปู่ของเจ้าแล้วก็ห้ามปล่อยให้ผู้อื่นมาหาว่าเจ้าซอมซ่อได้”

อาสะใภ้สามเฉียนฝูหรงมีรูปโฉมงามพริ้งเพริศ แตกต่างจากชาวต้าเฉินส่วนใหญ่ที่ชมชอบความหรูหราอันเรียบสะอาดตาไม่ฉูดฉาด นางมักจะแต่งกายด้วยสีสันสวยสดงดงามเป็นนิจ สามีของนางหายตัวไปในสมัยบ้านเมืองมีสงคราม เป็นไปได้สูงว่าชีวิตจะหาไม่ไปแล้ว

นางเป็นม่าย ถูกคนหยามหยันไม่น้อย แต่ไม่ว่าฝีปากนั้นจะคมเพียงไร ตาของเฉียนฝูหรงก็ไม่เคยกะพริบแม้แต่ครั้งเดียว ยังคงปฏิบัติตัวเป็นปกติของตนเองเช่นเดิม

ก่อนหน้านี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินได้เตือนนางทั้งในที่ลับทั้งในที่แจ้งหลายคำ แต่หลายปีมานี้นางก็ไม่เคยแต่งงานใหม่และไม่เคยไปพัวพันกับบุรุษอื่นแม้แต่น้อยนิด นานวันเข้าจึงปล่อยไปตามใจนาง

เฉินวั่งซูหยิบปิ่นระย้าทองอันหนึ่งในกล่องเครื่องประดับมาปักบนศีรษะ ก่อนเช็ดคันฉ่องทองแดงอย่างเอาเป็นเอาตาย

เดิมทีนางอยากจะสำแดงทักษะชั้นยอดในการแปลงโฉมของราชินีจอเงิน กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกคันฉ่องผุๆ บานหนึ่งทำให้ล้มเหลว…

คันฉ่องเช่นนี้จะไปส่องเห็นอะไรได้ ซีซือ กับจงอู๋เยี่ยน มาส่องด้วยกันยังแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร!

“งานเลี้ยงวสันต์นี้จัดขึ้นเพื่อให้คุณชายเหยียนเลือกฮูหยิน หลานสาวของท่านมีโฉมงามออกปานนี้ หากไปแย่งความสนใจของผู้อื่น ทำให้สตรีนางอื่นอับอายจนกระโดดลงทะเลสาบขึ้นมาคงได้ถูกคนไล่ออกมาเป็นแน่แท้”

เฉียนฝูหรงได้ยินก็หัวเราะลั่น “เจ้านับว่าคิดตกได้เสียที พักก่อนเห็นเจ้าเอาแต่ถอนหายใจทุกวี่วัน ข้าล่ะอยากจะทุบเรียกสติเจ้านัก เจ้าทุกข์ใจจนตรอมตรม นอกจากคนในสกุลเฉินนี้ที่สงสารเจ้า ผู้อื่นมีแต่จะหัวเราะเยาะเจ้า อาสะใภ้สามเป็นคนไม่ละเอียดอ่อน พูดจาไม่เป็น เอาเป็นว่าหมายความทำนองนั้น ไปกันเถอะ ไหนๆ ก็ได้อานิสงส์ใบบุญขององค์ชายเจ็ดมาแล้ว พวกเราก็ไปเปิดหูเปิดตากันหน่อยว่าจวนฮู่กั๋วกงนี้เป็นภูเขาเงินภูเขาทองหรือเป็นถ้ำเสือรังหมาป่า*** อะไรกันแน่”

เฉินวั่งซูพยักหน้า ในใจกลับนึกรำพึง

ดูจากไม่กี่วันที่อยู่ด้วยกันมานี้ แม้คนสกุลเฉินจะให้ความสำคัญกับศักดิ์ศรีหน้าตาและขนมธรรมเนียมประเพณี แต่ความรักใคร่เอ็นดูที่มีต่อเฉินวั่งซูก็เป็นของจริงแท้แน่นอน ทุกคนจึงต่างไม่พอใจกับเรื่องการแต่งงานนี้เช่นกัน เฉินวั่งซูอยากขอถอนหมั้น ฮูหยินผู้เฒ่าเฉินเองก็มิใช่คนหัวโบราณ

ทว่าในนิยายพอเกิดเรื่องในป่าท้อแล้วคนสกุลเฉินล่วงรู้ว่าองค์ชายเจ็ดฝากฝังสิ่งใดมิได้ ไฉนกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ หลิ่วอิงเข้าจวนนำไปแล้ว เฉินวั่งซูก็ยังคงต้องแต่งงานตามเข้าไปเช่นเดิม

แน่นอนว่าเป็นไปได้เช่นกันที่ในเรื่องจะมีเหตุการณ์ช่วงนี้ แต่ระบบขยะไม่ได้แสดงชีวิตอันน่าสงสารของตัวร้ายอันดับสองให้เห็นเท่านั้นเอง

จวนฮู่กั๋วกงอยู่ห่างจากวังหลวงเพียงก้าวเดียว

ตรอกทั้งเส้นมีประตูแดงเปิดอยู่บานเดียว มีเพียงครอบครัวเดียวอาศัยอยู่

ที่หน้าประตูนั้นมีรูปปั้นเทพสงครามสูงสามช่วงตัวคนตั้งอยู่ เรียกได้ว่าน่าเกรงขามถึงขีดสุด

เฉินวั่งซูแหงนหน้าพินิจดูอย่างละเอียด เทพสงครามนั้นมีรูปร่างกำยำล่ำสัน หลังหนาเอวคอด ตัวราวกับลิงยักษ์ หน้าราวกับจางเฟย คาดว่าถูกตำนานเล่าขานผิดเพี้ยนไปจนมารดาบังเกิดเกล้ายังจำไม่ได้

มิเช่นนั้นดูจากใบหน้างามดุจภูตพรายของเหยียนเจวี๋ย ฮู่กั๋วกงก็น่าจะรูปงามไม่หยอก

คนมากันไม่น้อย รถม้าต้องรออยู่ครู่หนึ่งกว่าจะมาถึงหน้าประตูได้ เฉินวั่งซูกับเฉียนฝูหรงลงจากรถม้าแล้วก็มีบ่าวหญิงสูงวัยมานำทาง และมีบ่าวชายมาพาคนขับรถม้านำรถม้าไปจอด

เนื่องจากเป็นงานเลี้ยงวสันต์ที่ฮูหยินของฮู่กั๋วกงจัดขึ้น ผู้มาส่วนใหญ่จึงล้วนเป็นสตรี มีบุรุษเพียงไม่กี่คน มิใช่เชื้อพระวงศ์ก็เป็นผู้ที่มาดูตัวเป็นเพื่อนพี่สาวน้องสาวของตน

“องค์ชายเจ็ดทรงสนิทสนมกับคุณชายของพวกเรา จึงเสด็จมาถึงแต่เนิ่นๆ แล้ว คุณหนูรองเฉินเดินระวังด้วยนะเจ้าคะ จวนใหญ่เกินไป จะสร้างระเบียงให้ทั่วก็สิ้นเปลืองเกินเหตุ จึงได้ใช้การปูแผ่นศิลาเขียว* ไว้ทุกระยะก้าวเว้นก้าว ผู้มาที่นี่หนแรกโดยมากจะเดินไม่ชิน”

เฉินวั่งซูสีหน้าไม่เปลี่ยน มองบ่าวหญิงสูงวัยผู้นำทางอย่างเหยียดหยามแวบหนึ่ง

หน้าใหญ่เสียจริง อวดอยู่ได้! ทางง่อยๆ พรรค์นี้ในสวนสาธารณะที่ไหนไม่มีบ้าง เด็กน้อยเอามาใช้เล่นตั้งเตออกกำลังกายยังรังเกียจว่าน่าเกลียดเลย ภาคภูมิใจอะไรปานนั้น!

“อืม ไม่ชินอยู่บ้างจริงๆ ข้าอยู่จวนนั่งแต่เกี้ยว”

เฉินวั่งซูตอบกลับไปเนิบๆ บ่าวหญิงสูงวัยผู้นำทางก็ไม่ปริปากแล้ว

นางต้องการเล่นบทกุลสตรี มิได้คิดจะเล่นบทเป็นกระโถนท้องพระโรง

เฉินวั่งซูมองไปรอบๆ เห็นสตรีจากตระกูลอื่นล้วนเดินเท้าเหมือนกันจึงหยุดแผลงฤทธิ์

เห็นทีจวนฮู่กั๋วกงนี้คงมิได้เจาะจงเพ่งเล็งนาง เพียงแต่มีนิสัยแย่เช่นนี้อยู่แล้ว มิน่าเหยียนเจวี๋ยตัวร้ายถึงได้ตายไว แค่การโอ้อวดทางปูแผ่นศิลาเขียวนี้ก็ไม่รู้ว่าล่วงเกินคนอย่างจับต้องไม่ได้ไปมากน้อยเพียงใดแล้ว

จวนฮู่กั๋วกงใหญ่มากจริงๆ นางใช้เวลาเดินครู่ใหญ่กว่าจะมาถึงสวนดอกไม้

ฮู่กั๋วกงฮูหยินสวมกระโปรงยาวสีม่วงปักดิ้นเงิน ดูมีอายุราวสามสี่สิบปี รูปโฉมธรรมดา แต่ยังนับว่าดูเป็นมิตร นางกำลังจับมือเฉินสี่ผิง ไม่รู้คุยเรื่องใดกันอยู่ ที่ด้านข้างนางมีคนรายล้อมอยู่วงใหญ่

เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ยกมุมปาก ดีมาก คนคุ้นเคยทั้งที่ควรเจอและไม่ควรเจอล้วนมากันถ้วนหน้าแล้ว

องค์ชายเจ็ดทอดสายตามองเห็นเฉินวั่งซูก็พยักหน้าเล็กน้อย ส่วนเกามู่เฉิงนั้นเบือนหน้าหนี แสร้งทำเป็นไม่เห็นนาง

เฉินวั่งซูยิ้มตอบกลับไปเสร็จแล้วก็มองไปยังเหยียนเจวี๋ย

นางเห็นเพียงเขายืนพิงอยู่ที่มุมหนึ่งของศาลา ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มอยู่ตรงนั้น จับจี้หยกพกในมือเล่น เกิดเสียงดังเป๊าะ เหมือนมิได้ออกแรงเท่าไร แต่จี้หยกนั้นก็หักเป็นสองท่อนแล้ว

เหยียนเจวี๋ยมองซ้ายมองขวา ก่อนโยนจี้หยกกลับเข้าในแขนเสื้อด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น

เฉินวั่งซูดีใจขึ้นมาในทันที เหยียนเจวี๋ยผู้นี้ตีบทคนงามไร้สมองแตกกระจุย

นี่เห็นได้ว่าวันหน้านางต้องหาเงินให้เก่งเข้าไว้ มิเช่นนั้นคงเลี้ยงปีศาจน้อยจอมล้างผลาญไม่ไหว

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: