X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 7 บทที่ 161

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 161

เบื้องนอกชุลมุนวุ่นวาย เฉิงเซ่าซางอยู่ในตำหนักหย่งอันกลับยังผ่อนคลายได้ดุจเดิม ตำหนักในอันลึกล้ำนี้ไม่ต่างจากกำแพงป้องกันอันแข็งแกร่งหนึ่งชั้น สกัดคำลือเบื้องนอกทั้งที่หวังดีหวังร้ายออกไปจนสิ้น ไจ๋เอ่ายังไม่ยอมให้อภัยฮั่วปู้อี๋จนถึงบัดนี้ จึงเสริมความแข็งแรงให้กับประตูหลายแห่งของตำหนักหย่งอันรอบหนึ่งอย่างแสนแข็งขัน เฉิงเซ่าซางบอกอีกฝ่ายด้วยความหวังดี…หากฮั่วปู้อี๋หมายจะบุกเข้ามาจริงๆ ต่อให้ไจ๋เอ่าตั้งค่ายกลดาวเหนือ ใช้ร่วมกับฝ่ามือหรูไหล ก็ป่วยการเปล่า

ไจ๋เอ่ารอคอยสองสามวันในอาการตื่นตัว น่าเสียดายฮั่วปู้อี๋ยุ่งกับงานของทางการ จนแล้วจนรอดยังคงไม่มีเวลาว่างมาถีบทำลายประตู กลับเป็นผู้ว่าการเหลียงอู๋จี้ที่เข้าเมืองหลวงมารายงานตามหน้าที่ ทั้งถือโอกาสนี้มาทูลฮ่องเต้ถึงการรังวัดที่ดินในมณฑลใต้ปกครองของเขาซึ่งคืบหน้าไปอย่างน่ายินดี

เยวี่ยฮองเฮาได้ยินว่าชวีหลิงจวินติดตามมาด้วย ก็ให้ปีติยิ่งยวด

จะว่าไปก็น่าสะท้อนใจ วัยเยาว์มารดาบังเกิดเกล้าของชวีหลิงจวินมีไมตรีคบหากับเยวี่ยฮองเฮาดียิ่ง ต่อมาด่วนจากไปในวัยสาว เมื่อแรกเยวี่ยฮองเฮาจึงให้การดูแลและเรียกตัวชวีหลิงจวินเข้าวังบ่อยครั้ง ในความเห็นของเฉิงเซ่าซาง หากมิใช่อายุไม่เหมาะสม เยวี่ยฮองเฮาอาจอยากได้ชวีหลิงจวินมาเป็นลูกสะใภ้เสียด้วยซ้ำ

จู่ๆ รัชทายาทก็จามไปหนึ่งที

ต่อมาเยวี่ยฮองเฮายังเคยพิจารณาจะให้ชวีหลิงจวินแต่งกับท่านอ๋องน้อยทายาทพี่ชายที่ด่วนล่วงลับไปของท่านลุงฮ่องเต้ ใครจะรู้ชวีหลิงจวินกลับพึงใจในตัวตงไห่อ๋อง ชักนำให้เกิดเรื่องน่าเสียดายหลายเรื่องในเวลาต่อมา

เฉิงเซ่าซางเคยได้ยินฮั่วปู้อี๋เล่าให้ฟัง…ปีที่ชวีหลิงจวินต้องสงสัยว่าฆ่าสามี เยวี่ยฮองเฮาเคยไปโวยวายกับท่านลุงฮ่องเต้มารอบหนึ่ง พูดอย่างเผ็ดร้อนตรงไปตรงมาว่าเหลียงซั่งเป็นขยะที่ไร้ค่า ต่อให้ชวีหลิงจวินพลั้งมือฆ่าตายไป ฮ่องเต้ก็ห้ามเอาผิด ยังดีที่จากนั้นไม่ถึงสองวันก็ไขความจริงในคดีฆ่าสามีได้ ไม่เปิดโอกาสให้เยวี่ยฮองเฮาเพิ่มความรุนแรงในการทะเลาะ จึงทำให้หนวดเคราของท่านลุงฮ่องเต้ได้งอกงามต่อไป

บัดนี้เรื่องราวผ่านพ้น สถานการณ์เปลี่ยนผัน ชวีหลิงจวินมีที่พักพิงใจจนได้ เยวี่ยฮองเฮาจึงให้จัดงานเพื่อจะเลี้ยงต้อนรับชวีหลิงจวิน

เหล่านี้เฉิงเซ่าซางทำเสมือนได้ฟังเรื่องซุบซิบ ไม่นึกว่าเยวี่ยฮองเฮาจะส่งคนมาเชิญนางไปร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย นางคลุกคลีอยู่ในรั้ววังมาหลายปีเพียงนี้ ย่อมรู้ดีว่ากับท่านลุงฮ่องเต้จะปฏิเสธเป็นครั้งคราวก็ไม่เป็นไร ทว่ากับเยวี่ยฮองเฮาแล้ว เมื่อใดที่อีกฝ่ายอ้าปาก จงเชื่อฟังอย่างว่าง่ายจะเป็นการดีที่สุด

ในวันจัดเลี้ยงเฉิงเซ่าซางคำนวณเวลาให้ไปถึงตำหนักฉางชิวก่อนเริ่มงานพอดิบพอดี ครั้นย่างเท้าเข้าตำหนักหลักก็พบว่าองค์หญิงสามกับองค์หญิงห้ากำลังเปิดศึกดุเดือด โต้คารมอย่างออกรส รอบข้างมีเชื้อพระวงศ์กับสตรีชั้นสูงหลายโต๊ะนั่งยิ้มชมเรื่องสนุกกันอยู่

องค์หญิงห้าถลึงตา สุ้มเสียงแหลมบาดหู “…ยังบอกว่าไม่เจตนาเพิกเฉย? เสด็จแม่ข้าให้กำเนิดบุตรสาวรวมทั้งสิ้นเพียงสองคน ก็คือข้ากับพี่หญิงใหญ่ เหตุใดงานเลี้ยงในวันนี้พี่หญิงใหญ่จึงไม่อยู่เล่า”

องค์หญิงสามยืดช่วงเอวที่กลมอิ่ม ปอกส้มไปอย่างเนิบช้า “เรื่องนี้เจ้าต้องไปถามเสด็จพ่อแล้ว เป็นเสด็จพ่อที่ไม่ทรงเรียกพี่หญิงใหญ่เข้าวัง เจ้าจะทวงถามเสด็จแม่ข้าให้ได้อะไร นี่ไม่ใช่พฤติกรรมเลือกบีบลูกพลับนิ่มหรอกหรือ…อ้อ จริงสิ ตอนที่เสด็จพ่อทรงอบรมพี่หญิงใหญ่ เจ้าก็อยู่ในเหตุการณ์นี่ ตอนนี้ยังจะถามเพื่ออะไรอีก เพิ่งอายุเท่าไรเชียวก็ขี้หลงขี้ลืมเยี่ยงนี้แล้ว เจ้าต้องบำรุงสมองเสียบ้างนะ…”

หลายปีมานี้ไม่รู้เพราะเหตุใด ความปากร้ายของเยวี่ยฮองเฮาคล้ายตื่นขึ้นในร่างขององค์หญิงสามแล้ว วาจาที่เปล่งออกมาจึงทั้งเผ็ดร้อนทั้งเจ้าเล่ห์ องค์หญิงห้าโกรธจนตัวสั่นดังคาด องค์หญิงรองดันตัวองค์หญิงสามหนึ่งทีก่อนเอ่ยปรามเสียงเบา “เจ้าเองก็พูดน้อยๆ ลงหน่อย ระหว่างพี่น้องไยต้องใช้ลมปากเอาชนะคะคานกัน”

องค์หญิงสามตอบปนยิ้มหวาน “นี่ไม่ใช่ข้าเริ่มก่อนเสียหน่อย วันนี้น้องหญิงห้าอารมณ์ไม่ดี ประเดี๋ยวมองว่าลำดับที่นั่งไม่ให้เกียรติ ประเดี๋ยวมองว่าช่อดอกไม้กับจานสำรับขัดตา ข้าที่เป็นพี่สาวก็ต้องแจกแจงกับนางสิ”

องค์หญิงรองถอนหายใจ นางพลันคะนึงหาองค์หญิงสามคนเก่าที่ถูกนางเอ็ดจนเงยหน้าไม่ขึ้นนั้นอยู่บ้าง

องค์หญิงห้าเยาะหยัน “อย่ามาพูดให้น่าฟังเลย หากฮองเฮามีใจจะขอร้องแทนพี่หญิงใหญ่ เสด็จพ่อย่อมรับปากนานแล้ว! เมื่อก่อนที่พี่หญิงสามถูกเสด็จพ่อลงโทษ เสด็จแม่ข้าขอความเมตตาให้โดยตลอด ตอนนี้ฮองเฮากลับจงใจไม่ขอร้องแทนพี่หญิงใหญ่ เห็นชัดว่าเป็นเพราะในใจริษยาคิดแค้น แล้งน้ำใจกับบุตรธิดาที่ตนไม่ได้ให้กำเนิด!”

เซวียนโหวฮูหยินโบกมือที่สั่นเทา “องค์หญิงห้า เรื่องนี้มิอาจกล่าวส่งเดช ฝ่าบาทกับฮองเฮาทรงมีน้ำพระทัยกว้างต่อพวกเราเป็นที่สุด ปีที่แล้วในวันครบรอบท่านยายขององค์หญิง ฝ่าบาทยังเสด็จไปเซ่นไหว้ถึงสกุลเซวียนด้วยพระองค์เอง!”

องค์หญิงสี่ช่วยประคองเซวียนโหวฮูหยินผู้เป็นมารดาสามี ก่อนเอ่ยเสียงเรียบเย็น “ท่านแม่ไม่ต้องไปสนใจนาง น้องหญิงห้าชอบพูดเหลวไหลมาแต่ไหนแต่ไร! เสด็จพ่อทรงริบเมืองศักดินาของนาง ทว่าพระราชทานทรัพย์สินเงินทองแก่สกุลเซวียนมากมาย ถ้าเอ่ยคำว่า ‘ในใจริษยาคิดแค้น’ ล่ะก็ ข้าว่านางต่างหากที่ในใจริษยาคิดแค้น”

องค์หญิงห้าพลันเดือดดาล ตวาดใส่เซวียนโหวฮูหยิน “เสด็จพ่อทรงปลดเสด็จแม่กับพี่ชายใหญ่ ไม่คำนึงถึงความผูกพันนานปีของสามีภรรยาเลยสักนิด น้าสะใภ้ยังอุตส่าห์สำนึกบุญคุณอยู่ทุกคำ มิน่าเล่า คนข้างนอกถึงพูดกันว่าท่านน้ากับน้าสะใภ้ไม่มีศักดิ์ศรี!”

“น้องหญิงห้า!” องค์หญิงรองแม้อารมณ์เย็นก็ยังหน้าบึ้งทันตา ลุกขึ้นเอ่ยด้วยโทสะ “เจ้ากล้าพูดหาความเสด็จพ่อ ไม่มีเจ้าเหนือหัว ไม่มีบิดาอยู่ในสายตาเลย เรียกว่าทรยศเนรคุณชัดๆ! ข้าว่าเจ้าไม่พอใจที่ใช้ชีวิตสุขสบายไปสินะ!”

องค์หญิงห้าเชิดคอแข็ง ยืนปักหลักไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย…เฉิงเซ่าซางเห็นเช่นนี้ก็ย่องเข้าโถงจัดเลี้ยงมาแบบตัวแนบติดผนัง หาตำแหน่งโต๊ะแล้วนั่งลงเงียบๆ

องค์หญิงสามปลอบโยนเสียงนุ่มให้องค์หญิงรองนั่งลง “โถๆ พี่หญิงรองคนดีของน้อง ท่านจะโมโหอะไรกับนางเล่า เสียสุขภาพตนเองเปล่าๆ ปกติองค์ชายองค์หญิงกระทำผิด ไม่ใช่ถูกลดบรรดาศักดิ์ก็คือถูกริบเมืองศักดินา อย่างมากถูกโบยหรือถูกอบรมอีกหนึ่งยกแล้วห้ามเข้าวังมาอีก ทว่าน้องหญิงห้าเป็นสตรี เสด็จพ่อจะทรงโบยนางหรือลดบรรดาศักดิ์นางได้อย่างไรกัน…นางไม่มีบรรดาศักดิ์อ๋องให้ลดเสียหน่อย”

องค์หญิงรองนั่งลงในอาการกระฟัดกระเฟียด

องค์หญิงสามกล่าวต่อ “เมื่อก่อนเสด็จพ่อรับสั่งห้ามข้าเข้าวังเป็นแรมเดือนแรมปีได้ ริบเมืองศักดินาของข้าจนหมดเกลี้ยงได้ ทว่าเห็นแก่ไหวอันอ๋องไทเฮา ไม่ว่าอย่างไรเสด็จพ่อก็ทรงทำเช่นนี้กับน้องหญิงห้าไม่ได้หรอก! โดยเฉพาะตอนนี้พี่หญิงใหญ่เพิ่งถูกลงโทษไป ยิ่งไม่อาจลงโทษน้องหญิงห้าแล้ว! ดังนั้นตอนนี้พี่หญิงรองเข้าใจแล้วสินะ ผู้อื่นเขามีที่พึ่งจึงได้ไร้ความกลัวเกรง ป้าสะใภ้ใหญ่ ที่ข้าพูดมาถูกต้องหรือไม่เล่า”

ฮูหยินของเยวี่ยโหวใหญ่เอ่ยสนับสนุนเสียงเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง “ที่องค์หญิงสามพูดมาไม่ผิดสักนิดเดียว พักนี้เยวี่ยโหวเล็กกับภรรยาถูกยั่วโมโหจนล้มป่วยอีกหนแล้ว อยู่ดีๆ คนของกรมอาญาก็มาถึงบ้านขอให้ส่งมอบผู้ต้องคดี เป็นความอัปยศของวงศ์ตระกูลโดยแท้!”

“นี่มันเรื่องอันใดกัน” ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อที่อยู่ด้านข้างยิ้มถาม

ฮูหยินของเยวี่ยโหวใหญ่ทะนงในฐานะ หุบปากไม่ตอบคำ องค์หญิงสามจึงยิ้มละไมรับช่วงแทน “เป็นเพราะบ่าวเลี้ยงม้าที่น้องหญิงห้าชุบเลี้ยงไว้ไปก่อคดีฆ่าคนที่ข้างนอก จึงถูกฟ้องร้องน่ะสิ!”

“ต่อมาเป็นเช่นไรเล่า” ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อซักไซ้

“เสนาบดีกรมอาญาจี้จุนเป็นคนแบบใด เมื่อก่อนบ่าวของเสด็จป้าใหญ่ฆ่าคนตาย ถูกต่งเซวียน* เอาผิดตามกฎหมาย เสด็จพ่อก็ไม่ได้ทรงตำหนิสักประโยค ใต้เท้าจี้ย่อมจะไม่น้อยหน้าเขา เช่นนี้เองพักก่อนบ่าวเลี้ยงม้าผู้นั้นจึงถูกตัดศีรษะประจานเป็นที่เรียบร้อย…พวกท่านไม่ได้เห็น เป็นบุรุษรูปงามล้ำเลิศผู้หนึ่งเชียวล่ะ ตอนที่เปลื้องเสื้อเพื่อทำการประหาร จุๆ เรือนกายนั้นน่ะ…งามกำยำแน่นกระชับยิ่ง…”

ผู้คนซึ่งนั่งอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกคนแจ้งใจดี จึงพากันมองไปทางองค์หญิงห้าพลางเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ ซึ่งแฝงนัยลุ่มลึก มีเพียงฮูหยินของเยวี่ยโหวรองที่วันนี้พาบุตรสาวคนเล็กมาด้วย ทางหนึ่งจึงอุดหูบุตรสาวไว้ อีกทางหนึ่งต่อว่าหลานสาวอย่างยิ้มแย้ม “องค์หญิงสาม ท่านพูดจาไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย ตรงนี้ยังมีแม่นางน้อยอยู่ด้วยนะ!”

เฉิงเซ่าซางถูๆ ใบหู เดี๋ยวนี้องค์หญิงสามพอพูดจาไม่ลงรอยก็พูดหยาบโลนเสียอย่างนั้น เฉิงเซ่าซางเองก็รับไม่ค่อยจะไหวเช่นกัน

“ได้ๆๆ เช่นนั้นข้าจะพูดให้พิถีพิถันหน่อย น้องหญิงห้า พี่หญิงสามจะเตือนเจ้าสักประโยค เจ้าอย่าได้เสียใจกับบ่าวเลี้ยงม้าผู้นั้นไปนัก ข้าได้ยินว่าเขาอยู่ข้างนอกกดขี่บุรุษข่มเหงสตรี ฆ่าคนฮุบทรัพย์สิน ซ้ำยังรับอนุไว้สองนาง เห็นชัดว่าไม่ได้วางเจ้าไว้ในหัวใจเลย” องค์หญิงสามฉีกหมูแผ่นที่มีสีแดงเข้มและอวลกลิ่นหอมปะทะจมูกมาใส่เข้าปากอย่างไม่รีบไม่ร้อน

“พวกเจ้า…” องค์หญิงห้าโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ “พวกเจ้ามันกลุ่มคนถ่อยที่เก่งแต่แอบอิงผู้มีอำนาจ เห็นสกุลเยวี่ยมีอำนาจมากก็กระวีกระวาดไปประจบสอพลอ ข้ามีหรือจะกลัว อย่างมากก็แลกหนึ่งชีวิต หรือติดตามเสด็จแม่ถูกกักบริเวณในตำหนักหย่งอัน ต่อให้น้ำฝนท่วมฟ้าก็ราดดับความคั่งแค้นของพวกเราแม่ลูกไม่ได้!”

วาจาเอ่ยมาถึงขั้นนี้ ผู้อื่นล้วนไม่เหมาะจะสอดปากอีก องค์หญิงสามหยิบหมูแผ่นชิ้นสุดท้ายขึ้นจากจานก่อนเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ “อย่าได้เอาคำพูดนี้มาขู่ขวัญผู้อื่นเลย ไหวอันอ๋องไทเฮาคั่งแค้นหรือไม่ ให้เจ้าชี้ขาดได้หรือ เซ่าซาง เจ้าว่าตอนนี้ไหวอันอ๋องไทเฮาคั่งแค้นหรือไม่เล่า”

สายตาของคนทั้งหมดพร้อมใจกันมองมาทางเฉิงเซ่าซางซึ่งนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง แววตาขององค์หญิงห้าแผ่ไอหนาวออกมาทันใด “เจ้า…เจ้าก็มาด้วย?!”

เฉิงเซ่าซางในปัจจุบันผ่านศึกมาโชกโชน จึงตอบโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี “ฮองเฮาทรงเรียกตัวหม่อมฉันมาร่วมงานเลี้ยงเพคะ”

จบคำนางคลี่ยิ้มอ่อนหวานให้สตรีชั้นสูงทุกท่านในที่นี้ “ทูลองค์หญิง เรียนพระชายากับฮูหยินทุกท่าน ข้อแรกไหวอันอ๋องไทเฮาทรงมิได้ถูกกักบริเวณในตำหนักหย่งอันแต่อย่างใด ทรงอยากเข้าตำหนักก็เข้าตำหนัก อยากออกนอกตำหนักก็ออกนอกตำหนัก ห้าปีมานี้เว้นแต่ช่วงที่ประชวร หม่อมฉันกับไหวอันอ๋องไทเฮาจะไปเที่ยวเล่นที่อุทยานนอกวังกันหลายครั้งต่อปี วสันต์ไปชมความงอกงาม เหมันต์ไปชมหิมะ คิมหันต์แผดเผายิ่งเหมาะแก่การหลบร้อน”

ผู้คนในโถงฟังนางบรรยายได้น่าสนใจ ก็พากันหัวเราะครืน

“ข้อที่สอง ในพระทัยของไหวอันอ๋องไทเฮามิได้คั่งแค้น ทรงเตรียมจะใช้ชีวิตสักหนึ่งถึงสองร้อยปี ยามนี้จึงวุ่นกับการบำรุงพระวรกายแทบไม่ทันด้วยซ้ำ ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาคั่งแค้นนี่คั่งแค้นนั่นกันเล่า” หลายปีที่ผ่านมาเฉิงเซ่าซางเผชิญกับเจตนาร้ายมานักต่อนัก จึงรับมือได้อย่างเยือกเย็นนานแล้ว

คนทั้งหมดล้วนรู้ว่าสุขภาพของไหวอันอ๋องไทเฮานับวันยิ่งไม่สู้ดี ได้ยินเฉิงเซ่าซางตอบได้เข้าทีดีพร้อม ต่างก็คลี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ

องค์หญิงห้ายังคงเอ่ยเสียงแหลม “ปากดีจริงนะ เจ้าถือสิทธิ์อะไรมาพูดจาแทนเสด็จแม่ข้า! เจ้ามันก็แค่คนถ่อยสอพลอชาติกำเนิดต่ำเตี้ย พูดกล่อมจนเสด็จแม่ข้าโปรดปราน แล้วทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์* ก็เท่านั้น!”

“องค์หญิงห้า ต่อให้หม่อมฉันมีชาติกำเนิดต่ำต้อยสักเพียงใด ก็เป็นผู้ที่ปรนนิบัติเสด็จแม่ของท่าน และเป็นผู้ดูแลตำหนักหย่งอันที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง” เฉิงเซ่าซางมีสีหน้าเป็นปกติ “หม่อมฉันมีขั้นยศจากราชสำนัก มีความไว้วางพระทัยจากไหวอันอ๋องไทเฮา หม่อมฉันมิต้องเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์แต่อย่างใด” แววตาของนางเรียบเฉย ทุกคำทุกประโยคมีพลังหนักแน่น

เหล่าสตรีคิดในใจ…ช่างเป็นหญิงสาวที่เก่งฉกาจนัก

คำพูดขององค์หญิงห้าล้วนถูกตอกกลับมา จึงโต้กลับอย่างฉุนเฉียว “ความประพฤติเจ้าต่ำทราม ไม่คู่ควรจะปรนนิบัติเสด็จแม่ข้า!”

“หม่อมฉันมีความประพฤติต่ำทรามตรงที่ใดเพคะ” เฉิงเซ่าซางถาม

“เจ้ากลับกลอกรวนเร มากรักหลายใจ ก่อเรื่องจนถูกวิจารณ์ไปทั้งเมือง เสื่อมเสียเกียรติภูมิของเสด็จแม่ข้า หากเจ้ายังรู้จักยางอายก็ควรจะรีบๆ ไสหัวออกจากวังไปเสีย!” ในที่สุดองค์หญิงห้าก็คว้ากุมจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ จึงเร่งตีแผ่ต่อยอด

เฉิงเซ่าซางยิ้มบางๆ “ก่อนอื่นขอเอ่ยถึง ‘กลับกลอกรวนเร’ หม่อมฉันถอนหมั้นหนแรก…เพราะต้องการส่งเสริมคำสั่งเสียของแม่ทัพเหอผู้ภักดีเสียสละทั้งตระกูล ถอนหมั้นหนที่สอง…เพราะการกระทำอันอุกอาจของฮั่วโหว หม่อมฉันไม่อาจจะกล้อมแกล้มเห็นพ้องได้ องค์หญิงห้า หรือว่าความหมายของท่านคือสตรีไม่พึงแต่งงานใหม่ หากแม้แต่การแต่งงานใหม่ก็ยังเป็นเรื่องปกติ เช่นนั้นหม่อมฉันเปลี่ยนคู่หมั้น จะมีอันใดให้ติเตียนเล่า”

พูดสักประโยคที่ไม่น่าฟัง ฮูหยินของเยวี่ยโหวรองเป็นหญิงม่ายแต่งงานใหม่ ชายาของหรู่หยางอ๋องซื่อจื่อเองก็เคยหมั้นหมาย ต่อมาถอนหมั้นด้วยเหตุผลบางประการจึงค่อยแต่งเข้าจวนหรู่หยางอ๋อง เพียงแต่กรณีของพวกนางล้วนดำเนินไปเงียบๆ ไม่ได้สร้างความแตกตื่นแก่ผู้คน ผิดกับกรณีของเฉิงเซ่าซางที่บานปลาย ช่างดวงตกเสียไม่มี

“มาต่อที่ ‘มากรักหลายใจ’ หม่อมฉันแม้เคยหมั้นหมายสามครา ทว่ารักษาจารีตสำรวมตนมาโดยตลอด ไม่เคยกระทำเลยเถิดแม้เพียงนิด องค์หญิงห้า…ทรงว่าอย่างไรเพคะ” เฉิงเซ่าซางมองถากถางไปทางองค์หญิงห้า ความหมายในดวงตาเผยชัดแจ้ง หญิงมักมากที่เลี้ยงชายบำเรอตั้งแต่ก่อนแต่งงานเยี่ยงเจ้า มีคุณสมบัติอันใดมาต่อว่าผู้อื่น

ฮูหยินของเยวี่ยโหวใหญ่ให้การสนับสนุนเต็มที่ด้วยการเปล่งเสียงหัวเราะเยาะหนึ่งหน

องค์หญิงห้าเสียหน้าจนหัวเสีย จึงตะคอกเสียงแหลม “เจ้ามันหญิงชั้นต่ำ…”

“ข้าว่าสิ่งที่เซ่าซางพูดมาล้วนไม่ผิด” องค์หญิงสามเอ่ยตัดบท “นางไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ส่วนเหตุใดข้างนอกจึงบานปลายครึกโครม น้องหญิงห้าควรจะไปถามบุรุษที่ข้างนอก ปรี่มาหาสตรีเยี่ยงนี้นับเป็นผู้กล้าอันใดกัน”

องค์หญิงห้าโกรธจัดจนหัวเราะออกมา “ดีๆ พวกเจ้ารวมหัวกันหยามข้า แดกดันข้า ดูเรื่องตลกของข้า! ได้ๆ หาว่ากิริยาวาจาข้าไม่สำรวม ข้าก็จะทำเรื่องบางอย่างออกมาให้พวกเจ้าได้ดู…”

“เจ้าจะทำอะไรเล่า” เสียงอันเฉยชาและคุ้นหูของสตรีผู้หนึ่งพลันดังมา คนทั้งหมดก็ลุกจากที่นั่งมาหมอบคำนับเต็มพิธีการในทันที

องค์หญิงห้าชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะรีบหมุนตัวมาหมอบคำนับเช่นกัน…นางไม่ได้บ้าบิ่นจริงๆ เสียหน่อย หลายปีมานี้ถูกเยวี่ยฮองเฮาสั่งสอนและเล่นงานไปหลายครา หากมิใช่หนนี้บ่าวเลี้ยงม้าคนโปรดตายอนาถ อาการเลือดขึ้นหน้าก็คงไม่กำเริบขึ้นมาอีก

สิ้นเสียงประกาศของขันทีว่า ‘ฮองเฮาเสด็จ’ ชวีหลิงจวินก็พยุงเยวี่ยฮองเฮาเดินเนิบนาบมาถึง

เยวี่ยฮองเฮายืนตรงกึ่งกลางเบื้องบน มองลงมาทางองค์หญิงห้าด้วยท่าทางอันเย็นชาน่ายำเกรง “ข้าว่าเจ้าสุขสบายนานเกินไปแล้ว อาการเก่าจึงได้กำเริบ ไม่รู้จักความเป็นความตาย!”

“ไม่ๆ ฮองเฮาเพคะ เป็นพวกนางต่างหากที่ยั่วยุ…” องค์หญิงห้ารีบปัดความผิด

“คำพูดเมื่อครู่ข้าได้ยินแค่นิดๆ หน่อยๆ เจ้าไม่ต้องรีบร้อนบ่ายเบี่ยงก็ได้” เยวี่ยฮองเฮาจับจ้องนางอย่างเยียบเย็น “เสด็จพ่อเจ้ารักในชื่อเสียง แต่ข้าไม่กลัวจะถูกผู้อื่นหาว่าใจจืดหรอกนะ ขืนเจ้ายังกล้าอาศัยที่ฝ่าบาททรงให้เกียรติไหวอันอ๋องไทเฮาจึงเที่ยวพูดจาเหลวไหล สามหาวไร้ความกริ่งเกรง ข้ารับรองว่าจะทำให้เจ้าเป็นไม่ได้แม้แต่องค์หญิง!”

องค์หญิงห้าจรดหน้าผากแนบพื้น หลั่งเหงื่อเย็นไม่ขาดสาย

เฉิงเซ่าซางเหลือบมองด้วยหางตา ในใจลอบด่าว่า ไร้ศักดิ์ศรี หากองค์หญิงห้าฝืนยืนหยัดจนถึงที่สุดจริงๆ ข้ายังจะนับถือว่าอีกฝ่ายเป็นผู้กล้า ตอนนี้เห็นที…ก็แค่พวกตาขาวที่แข็งนอกอ่อนใน

เยวี่ยฮองเฮากล่าว “ชวีหลิงจวินขมสิ้นหวานตาม วันนี้ทุกคนยินดีมาต้อนรับนาง หากเจ้าทำใจให้ยินดีไม่ได้ก็อย่าฝืนอยู่ที่นี่อีกเลย กลับไปคิดทบทวนให้หนักๆ จะดีกว่า”

องค์หญิงห้าแค้นใจจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็ไม่กล้าเหิมเกริมกับเยวี่ยฮองเฮา จึงก้มหน้าจากไปพร้อมความอับอายระคนโกรธเกรี้ยว

เฉิงเซ่าซางเป็นเช่นคนถ่อยที่เห็นผู้อื่นเคราะห์ร้ายแล้วรู้สึกสาแก่ใจยิ่ง ขณะลุกขึ้นกลับที่นั่ง นางเห็นเยวี่ยฮองเฮามองปราดมา สายตาคลับคล้ายหยุดบนร่างนางครู่หนึ่ง

หัวใจนางให้ผวาวูบ…มีอะไรอย่างนั้นหรือ

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: