X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 87

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 87

หลิงปู้อี๋เห็นคู่หมั้นไม่กระปรี้กระเปร่า จึงส่งนางถึงจวนแล้วปลีกตัวกลับจวนตนเอง ก่อนจากเห็นเด็กสาวคอตกเงื่องหงอย จึงกำชับเสียงนุ่มนวลให้นางพักผ่อนอีกวัน เขาจะเข้าวังไปลาหยุดแทนนางเอง ใครจะรู้เขาเพิ่งคล้อยหลังจากไป เฉิงเซ่าซางก็พลันวิ่งฉิวไปโถงเก้าอาชาด้วยท่วงท่าดุจกระต่ายเผ่น ที่แท้นางเพียงแต่ไม่มีอารมณ์คึกคักต่อคู่แม่ลูกผู้สูญเสีย ทว่าอารมณ์อยากซุบซิบกับบิดามารดาของตนนั้นพุ่งกระฉูดเป็นประวัติการณ์

“หลิง เอ่อไม่สิ ฮั่วฮูหยิน คือว่า…ฟั่นเฟือนแล้ว?” ตลอดสองวันนี้ท่านพ่อเฉิงอยู่บ้านบำรุงผิวไหม้แดด ครั้นฟังคำบอกเล่านี้จบ เนื้อตาขาวของเขาถึงกับดูขาวยิ่งกว่าเดิม “เรื่องนี้คงจะมีคนรู้อยู่แค่ไม่กี่คนกระมัง”

เซียวฮูหยินผงกศีรษะกล่าว “อืม อย่างน้อยแม่ก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน อย่างว่านะ ไม่ใช่เรื่องเชิดหน้าชูตาอันใดเสียหน่อย คนที่หยิ่งทะนงเช่นจื่อเซิ่งกลับมีมารดาฟั่นเฟือนผู้หนึ่ง พูดออกไปแล้วดูน่าฟังหรือ เพียงแต่…ตอนนี้แม่กลับเข้าใจบางอย่างเสียที”

“ท่านแม่เข้าใจอันใดหรือเจ้าคะ” เฉิงเซ่าซางถาม หัวหน้าเซียวมักมีความคิดเห็นที่ไม่สามัญ นางแสนจะเลื่อมใสเสมอมา

“สกุลฮั่วทั้งตระกูลพลีชีพเพื่อแคว้น เมื่อแรกเรื่องฮั่วฮูหยินจะหย่าร้าง ฝ่าบาทกลับทรงมิได้ช่วยจนถึงที่สุด”

สองพ่อลูกหัวหน้าเผ่าแอฟริกาพร้อมใจกันแสดงท่าน้อมรอฟัง เซียวฮูหยินจึงขยายความต่อ “ตั้งแต่แรกที่สืบเรื่องในอดีตของฮั่วกับหลิงสองสกุล แม่ก็รู้สึกแล้วว่าแปลกๆ ต่อให้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าหน้าใหญ่สักเพียงใด ถึงอย่างไรเจ้าเหนือหัวกับขุนนางก็แตกต่าง ไม่ว่านางราวีเก่งสักเพียงใด ภายใต้ไฟโทสะของฝ่าบาทนางยังจะต่อต้านได้แน่หรือ กระนั้นฝ่าบาททรงยังคงปล่อยให้ฮั่วฮูหยินกับหลิงโหวหย่าขาดกัน

ตอนนี้แม่ถึงได้เข้าใจ ฝ่าบาททรงเป็นคนตรง ไม่แน่ว่าจะโปรดพฤติกรรมของหลิงโหวกับฉุนอวี๋ซื่อ แต่ก็รู้สึกว่าแตงที่ฝืนปลิดย่อมไม่หวาน* ต่อให้หลิงโหวจำยอมด้วยพระราชอำนาจ เลิกรากับฉุนอวี๋ซื่อแล้วต้อนรับฮั่วฮูหยินกลับมา นั่นจะมีคุณค่าความหมายใด อีกอย่างหากฮั่วฮูหยินยังคงเป็นฮูหยินของหลิงโหว เช่นนั้นผลประโยชน์ที่มอบให้เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณสกุลฮั่วทั้งตระกูล คงมิแคล้วพลอยให้คนแซ่หลิงได้แบ่งไปบางส่วน ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงมีพระดำริว่า…ปล่อยให้ฮั่วฮูหยินหย่าขาดไปเสีย นางค่อยแต่งงานใหม่กับสามีที่สัตย์ซื่อรักมั่นและมีคุณความชอบโดดเด่น…อย่างเช่นชุยโหว ภายหน้ามิเพียงฮั่วฮูหยินมีที่พึ่ง จื่อเซิ่งก็จะได้มีพ่อเลี้ยงที่ห่วงใยเขาด้วยใจจริง ใครจะรู้ว่า…”

“ใครจะรู้ว่าฮั่วฮูหยินหย่าร้างไม่ทันไรก็ฟั่นเฟือนเสียแล้ว?” เฉิงเซ่าซางพึมพำ โธ่ๆ หนนี้ฮ่องเต้ทรงคำนวณพลาดไปแท้ๆ

เซียวฮูหยินถอนใจกล่าว “ถูกต้อง ใครจะรู้ว่าฮั่วฮูหยินทุ่มเทความรู้สึกให้หลิงโหวลึกล้ำจนถึงกับฟั่นเฟือนไป เฮ้อ นี่มิอาจโทษฝ่าบาท หย่าร้างมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ก็แค่แต่งงานใหม่ มีอันใดผ่านไปไม่ได้เล่า ผู้ใดจะคาดคิดว่านางฟั่นเฟือนเสียแล้ว”

ปากท่านพ่อเฉิงขยุกขยิก อยากพูดเหลือเกินเกี่ยวกับความเห็นที่ว่า ‘หย่าร้างมิใช่เรื่องใหญ่โต’ แต่สุดท้ายยังคงข่มกลั้นไว้ ทำเพียงอุทานเสียงรัวว่าน่าสงสาร สะท้อนใจกับสภาพปัจจุบันอันชวนหดหู่ของน้องสาวขุนนางผู้ภักดี

“เหนียวเหนี่ยว เจ้าจงจำไว้ บัดนี้ผู้ที่ควรรู้เรื่องนี้ล้วนล่วงรู้แล้ว ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้ ฝ่าบาททรงไม่ปรารถนาให้พวกเขารับรู้แต่อย่างใด ฉะนั้นเจ้าอยู่ข้างนอกอย่าได้พูดส่งเดช จะได้ไม่ทำให้ฮ่องเต้ ฮองเฮา กับจื่อเซิ่งขุ่นเคือง” เซียวฮูหยินกำชับทิ้งท้ายจากใจ

เฉิงเซ่าซางขานรับอย่างจริงจัง ความตระหนักเท่านี้นางยังคงรู้จักอยู่ มิได้ไม่รู้ความถึงเพียงนั้น

ก่อนอื่นเห็นชัดว่าหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ารู้เรื่องนี้ แต่ยายแก่ของเขานักบ่อนทำลายนั่นอาจไม่รู้ ถึงได้ทะเล่อทะล่ารุกถอยอย่างไม่รู้จักขอบเขตเยี่ยงนั้น ฮ่องเต้กับฮองเฮาย่อมรู้เรื่อง เช่นนั้นตามแนวปฏิบัติของฮ่องเต้ชาวดาวคันชั่งแล้ว เยวี่ยเฟยก็จะต้องล่วงรู้เช่นกัน บิดาของหลิงปู้อี๋ก็น่าจะรู้ด้วย หาไม่จะกลัวเกรงฮ่องเต้มากถึงเพียงนั้นหรือ ส่วนคนที่เหลือ เฉิงเซ่าซางคงต้องมองฟ้าทำนายเอาแล้ว

 

วันรุ่งขึ้นได้นอนจนกระทั่งรู้สึกตัวตื่นเอง เดิมทีเฉิงเซ่าซางอยากนั่งแหมะอย่างเกียจคร้านอีกหนึ่งวัน จัดระเบียบความคิด ทำการทบทวนข้อบกพร่องของผู้อื่นและตนเองสักหน่อย ไม่คาดว่าเรื่องที่ได้หยุดเพิ่มอีกวันจะถูกพี่รองเฉิงซ่งรู้เข้า เขาแจ้งวั่นชีชีอย่างว่องไวระดับฟ้าร้องยังไม่ทันป้องหู จากนั้นวั่นชีชีก็มาคว้าตัวนางอย่างว่องไวระดับฟ้าร้องยังไม่ทันป้องหูเช่นกัน

นางเล่นสนุกที่จวนสกุลวั่นตลอดช่วงสาย ทั้งมวยปล้ำทั้งขี่ม้า แน่นอนว่าหนีไม่พ้นเล่นพนันไปสองตา เฉิงเซ่าซางพ่ายอนาถ กระทั่งหวิดจะเสียเสื้อผ้าไปด้วยซ้ำ สุดท้ายอาหารกลางวันกรอกสุราพี่สาวร่วมสาบานจนเมามาย เฉิงเซ่าซางค่อยโงนเงนกลับจวนได้ ขณะนั่งอยู่บนรถม้ารับลมฤดูสารทให้สร่างเมาอยู่นั้น ถึงกับบังเอิญเห็นโหลวเหยาบนท้องถนน

เฉิงเซ่าซางสติแจ่มใสทันใด สองตาเบิกกลมปานกระพรวน ยืดคอชะเง้อมองไปยังมุมถนนด้านนั้น เห็นโหลวเหยาก้มหน้าก้มตาขี่อยู่บนหลังม้าอย่างอ้างว้าง หนุ่มน้อยสดใสมุทะลุคนเดิมนั้น บัดนี้กลับมีสภาพซูบผอมกลัดกลุ้ม ชั่วพริบตาเดียวเขากับผู้ติดตามก็ลับหายไปจากสายตา เฉิงเซ่าซางนั่งกลับเข้าไปในตัวรถอย่างทึ่มทื่อ เนิ่นนานไร้ถ้อยคำ

ดังคำว่าค้าขายไม่ลุล่วง มิตรภาพยังคงอยู่ แต่งงานไม่สำเร็จ น้ำใจยังคงอยู่ ต่อให้น้ำใจไม่คงอยู่แล้ว ของขวัญที่เมื่อแรกโหลวเหยากำนัลมาก็ยังสวมใส่บนร่างฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงอยู่เลย ด้วยเหตุนี้เฉิงเซ่าซางจึงเป็นห่วงความเป็นไปในปัจจุบันของอดีตคู่หมั้นขึ้นมาอย่างชอบด้วยเหตุผลยิ่ง

ภายหลังกลับถึงเรือนของตนและชำระล้างกลิ่นสุราทั่วร่างแล้ว เฉิงเซ่าซางฟุบกับกรอบหน้าต่าง เพียรขบคิด…ควรสืบข่าวความเป็นไปล่าสุดของโหลวเหยาอย่างไรดีหนอ

ให้นางเดินดุ่มๆ ไปถามที่สกุลโหลวย่อมเป็นไปไม่ได้ คนสกุลโหลวได้ตกใจตายกันพอดี ซ้ำหลิงปู้อี๋ยังจะกินนางทั้งเป็นด้วย ทว่าจะไปถามมารดาตรงๆ ก็ขัดกับหลักความเป็นจริง หัวหน้าเซียวกลัวที่สุดว่าบุตรสาวกับโหลวเหยาจะตัดบัวเหลือใย แทบอยากปิดตายข่าวคราวของสกุลโหลวให้ได้ทุกช่องทาง ส่วนพี่ชายสามคนของตน มีถึงสองคนครึ่งจัดเป็นพวกไส้ศึกคาบข่าว หากอยู่ในโลกใบเก่า พอกระดิ่งจบคาบเรียนดังขึ้น นางให้พวกเขาไปสืบข้อมูล รับรองว่ากลับเข้าเรียนไม่ถึงสิบนาที หัวหน้าเซียวเป็นต้องพาครูประจำชั้นบุกมาถึงแน่…เช่นนั้นควรทำอย่างไรดีนะ

เมื่อถึงตอนนี้ชั่วขณะนี้ เฉิงเซ่าซางค่อยค้นพบว่าคนในมือที่ตนจะใช้สอยได้มีน้อยกว่าหยดน้ำหมึกแห่งความรู้ในท้องของตนเสียอีก

ความจริงตลอดมานางเป็นเด็กสาวที่มีใจแน่วแน่ต่องานการของตนอย่างยิ่ง เป็นอันธพาลหญิงก็เป็นอย่างรอบคอบแข็งขัน เรียนหนังสือก็เรียนอย่างอุตสาหะทุ่มเท ครั้นได้มาเกิดใหม่ในชนชั้นผู้ขูดรีด หายห่วงเรื่องความเป็นอยู่เช่นนี้ เดิมทีนางก็อยากกระทำสิ่งต่างๆ ให้เต็มที่สักตั้ง ไม่กล้าพูดว่ามั่งคั่งทัดเทียมแว่นแคว้นหนึ่ง แต่อย่างน้อยๆ ในขอบเขตความคุ้มครองของท่านพ่อเฉิง การสร้างตัวยืนบนลำแข้งตนเองย่อมจะไม่ใช่ปัญหา

ใครจะรู้มาถึงที่นี่ตั้งครึ่งปีกว่า แม้แต่สุสานบรรพชนสกุลเฉิงอยู่ที่ใดนางก็ยังไม่รู้กระจ่าง ซ้ำประสบดวงดอกท้อครั้งแล้วครั้งเล่า จวบจนบัดนี้นอกจากกำหนดแต่งงานหนึ่งราย คู่หมั้นสองคน รวมถึงเป็นข่าวกับชายหนุ่มสามหน นางถึงกับไม่มีงานการใดสำเร็จเลย!

คิดมาถึงตรงนี้ เฉิงเซ่าซางก็กลอกตาวูบ ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นในใจ…เมื่อแรกคนปากดีนั่นบอกว่าติดค้างข้าหนึ่งหนไม่ใช่หรือ ตอนนี้ข้าติดตามหลิงปู้อี๋ ขึ้นสามารถเด็ดจันทร์บนยอดฟ้า ลงสามารถงมก้นสมุทรเปิดร้านหม้อไฟ* ความจริงไม่มีสิ่งใดให้เรียกใช้หยวนเซิ่นแล้ว คราวนี้ให้เจ้าคนนั้นตอบแทนตามคำสัญญาไปเสีย ไม่เหลือสิ่งติดค้างกัน ก็นับเป็นเรื่องมงคล จะได้อยู่เย็นเป็นสุข

เฉิงเซ่าซางเรียกเหลียนฝางมาทันที ยื่นหน้าไปข้างหูอีกฝ่ายแล้วกำชับเช่นนี้รอบหนึ่ง บัดนี้นางมิเพียงเอื้อมคว้าได้เขยเนื้อทอง ยังได้เข้าออกรั้ววังทุกวัน สถานะในบ้านจึงทวีคุณค่า มีบารมีเพิ่มพูนนานแล้ว บ่าวไพร่ไม่มีผู้ใดไม่เคารพนบนอบ บางคราวาจาของนางยังมีน้ำหนักกว่าเฉิงยางผู้คุมงานเรือนด้วยซ้ำ อีกอย่าง เดิมทีเหลียนฝางก็รับใช้คุณหนูของตนสุดจิตสุดใจอยู่แล้ว จึงขานรับโดยไม่มีอิดออด หันหน้าจากไปไม่มีรอช้า

หลังจัดการเรื่องนี้เสร็จ เฉิงเซ่าซางบิดขี้เกียจเต็มที่หนึ่งทีดุจตุ่นตัวกลมเตรียมตัวจะนอนกลางวันให้เต็มอิ่มหนึ่งงีบ ไม่คาดตอนนี้เซียวฮูหยินกลับส่งคนมาเรียกนางไปยังโถงเก้าอาชา ความว่าหลิงโหวฮูหยินมาเยือน

แขนของเฉิงเซ่าซางที่เพิ่งเหยียดออกไปได้ครึ่งทางชะงักค้างกลางอากาศ

อันที่จริงก่อนหน้านี้ฉุนอวี๋ซื่อฮูหยินของหลิงโหวเคยมาจวนสกุลเฉิงหลายหนแล้ว เพียงแต่เฉิงเซ่าซางกับท่านพ่อเฉิงไม่อยู่ ล้วนเป็นเซียวฮูหยินออกหน้าต้อนรับ ฝีมือของหัวหน้าเซียวเฉิงเซ่าซางย่อมรู้ดี ถนัดที่สุดเรื่องขุดหลุมพรางด้วยถ้อยคำอันเปี่ยมเหตุผลมีพลัง แม้ไม่อาจพูดให้ดอกไม้พลาสติกกลายเป็นเซียงสุ่ยไป่เหอ* แต่หลอกล่อว่าเป็นพลาสติกพีวีซีเกรดสูงนั้นไม่มีปัญหา เดี๋ยวนี้ภรรยาของคุณชายรองโหลวยังมองหัวหน้าเซียวเป็นครูผู้แนะแนวทางชีวิตไปแล้ว

หลังจากแต่งตัวให้เข้าที เฉิงเซ่าซางก็รุดไปถึงโถงเก้าอาชา แลเห็นฝั่งตรงข้ามของเซียวฮูหยินมีหญิงงามวัยกลางคนในอาภรณ์งามสง่านั่งตัวตรงอยู่ผู้หนึ่ง ด้านหลังของอีกฝ่ายยังมีสาวใช้หน้าแฉล้มวัยสิบห้าสิบหกปีสองนางนั่งคุกเข่าอยู่

ภายใต้การเอ่ยนำของเซียวฮูหยิน เฉิงเซ่าซางแสดงคารวะต่อฉุนอวี๋ซื่อด้วยพิธีการอันครบถ้วน ยามเงยศีรษะขึ้นอีกครา นางเผชิญหน้ากับฉุนอวี๋ซื่อตรงๆ พอดี พิจารณาดูรูปโฉมแล้ว รู้สึกว่าฉุนอวี๋ซื่อไม่ถึงขั้นพิลาสล้ำ แต่ก็มีความชดช้อยละมุนละไมอยู่ในตัว โดยเฉพาะยามที่หน้าผากงามได้รูปนั้นก้มต่ำเอ่ยเสียงนุ่มเบา ดูเหมือนยังอ่อนหวานบอบบางกว่าเฉิงเซ่าซางเสียอีก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหัวหน้าเซียวผู้องอาจ

เฉิงเซ่าซางอดไม่ได้ต้องแอบหัวเราะ ในชีวิตของเซียวฮูหยินชังน้ำหน้าสตรีที่มีรูปโฉมหวานใสแต่เปลือกเยี่ยงนี้เป็นที่สุด…มิผิด รวมถึงบุตรสาวของนางเองด้วย ช่วงที่ผ่านมาเซียวฮูหยินฝืนข่มตัวตนเพื่อรับมือฉุนอวี๋ซื่อ คาดว่าแอ่งรองรับภายในท้องคงจะใกล้ทะลักล้นออกมาอยู่แล้ว

“ก่อนหน้านี้เคยมาหลายครา ได้ยินมารดาเจ้าบอกว่าเจ้าอยู่ในวังทั้งวัน วันนี้ค่อยได้พบตัวจริงเสียที” ฉุนอวี๋ซื่อมีสุ้มเสียงอันทุ้มเบาไพเราะ พูดจาเฉยๆ ก็ยังคล้ายเสียงนกน้อยขับขาน “เจ้ามีรูปโฉมดีจริงเชียว ข้าเห็นแล้วยังนึกชอบ ไม่แปลกที่จื่อเซิ่งใจร้อนจะแต่งเจ้าเช่นนี้”

“ไม่นับว่าใจร้อนกระมัง ใต้เท้าหลิงอายุยี่สิบเอ็ดแล้วนะเจ้าคะ” เฉิงเซ่าซางหลุบขนตาลง ลูบแขนเสื้ออย่างไม่รีบไม่ร้อน “ได้ยินว่าปีนี้บุตรชายคนโตของฮูหยินเพิ่งอายุสิบห้า ยังเริ่มหารือเรื่องแต่งงานแล้วเลย”

รอยยิ้มน้อยๆ ของฉุนอวี๋ซื่อพลันแข็งค้าง คาดไม่ถึงว่าถ้อยคำทั่วไปประโยคเดียวนี้จะกวักเรียกคำตอบซึ่งไม่ต่างจากคมเข็มทิ่มแทง

เฉิงเซ่าซางเอียงหน้ามองไปทางมารดาบังเกิดเกล้า เซียวฮูหยินเองก็มองมาโดยไม่แสดงสีหน้า ชั่วสั้นๆ ที่สายตาสบประสาน สองคนก็รับรู้ความคิดในใจของกันและกันแล้ว แม่ลูกคู่นี้แม้มีความผูกพันธรรมดา ทว่าต่างประเมินคุณค่าสติปัญญาของกันและกันสูงยิ่ง

ก่อนหน้าจะรู้ว่าฮั่วจวินหวาฟั่นเฟือน เซียวฮูหยินยังรับหน้าฉุนอวี๋ซื่ออย่างไม่ร้อนไม่เย็นพอเป็นพิธี ยิ้มสนทนาประปรายเพื่อประคองบรรยากาศได้ ทว่าตอนนี้…รูปการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว

“หึๆ ก็ใช่” ฉุนอวี๋ซื่อคืนสู่ท่าทีปกติอย่างรวดเร็ว จัดแต่งสาบเสื้อพลางก้มหน้าหัวเราะ “เซ่าซางจวินเป็นว่าที่ภรรยาของจื่อเซิ่ง ว่าที่ลูกสะใภ้ของพี่จวินหวา ย่อมจะมี…มุมมองบางอย่างต่อข้า แต่ว่านะเซ่าซางจวิน ถึงอย่างไรข้าก็อาวุโสกว่าเจ้ามาก มิสู้ฟังข้าสักประโยค อดีตล่วงผ่านไปแล้ว เรื่องที่ผ่านไปแล้วย่อมไม่อาจเปลี่ยนแก้กลับมาใหม่ พวกเราจะต้องมองไปข้างหน้า ดังคำว่าออกศึกพ่อลูกรบ ท่านโหวของข้ากับจื่อเซิ่งจะอย่างไรก็เป็นพ่อลูกแท้ๆ จะเอาแต่นิ่งเฉยเย็นชาดั่งน้ำแข็งเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน ต่อให้เซ่าซางจวินไม่ยินดีจะแยแสข้า ก็มิอาจไม่ยอมรับท่านโหวของข้ากระมัง จื่อเซิ่งติดขัดที่พี่จวินหวา ทำให้ไม่สะดวกใจจะอ่อนข้อ ก็ต้องให้พวกเราเหล่าสตรีย่างก้าวนี้นำไปก่อนมิใช่หรอกหรือ…”

“หลิงโหวฮูหยิน” เฉิงเซ่าซางรำคาญจะฟังสตรีนางนี้พูดพร่ำ จึงคลี่ยิ้มเอ่ยตัดบท “ผู้เยาว์มีประโยคหนึ่ง ไม่รู้ควรถามหรือไม่”

“เซ่าซางจวินเชิญถามมาได้”

“หลิงโหวฮูหยินเป็นม่ายไปอาศัยอยู่ที่สกุลหลิงตั้งแต่เมื่อใด ก่อนที่ฮั่วฮูหยินจะแต่งเข้าไป หรือว่าหลังจากนั้น”

ฉุนอวี๋ซื่อสีหน้าชักไม่ชวนมอง เอ่ยตอบเสียงแผ่ว “ดวงข้าอาภัพ นับแต่อดีตสามีล่วงลับ ข้าก็ไม่มีที่ไป โดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ได้แต่ขอพักพิงในบ้านน้าหญิง โชคดีที่พี่จวินหวาให้การดูแล” เท่ากับยอมรับว่าไปอยู่อาศัยหลังจากฮั่วจวินหวาแต่งเข้าไปแล้ว

เฉิงเซ่าซางไม่อำพรางนัยลุ่มลึกบนใบหน้าแม้แต่น้อย

เซียวฮูหยินพลันกล่าว “ครั้งก่อนๆ ที่หลิงโหวฮูหยินมาเยือน เคยเล่าว่าตอนนั้นอยู่ร่วมกับฮั่วฮูหยินอย่างปรองดองยิ่ง สนิทชิดเชื้อดุจพี่น้อง คอยติดตามปรนนิบัติไม่ห่าง ไม่มีอย่างใดไม่ขานรับ”

เฉิงเซ่าซางผลิยิ้มหวาน แสดงความเลื่อมใสต่อฝีมืออันสูงส่งในการสรรหาคำของมารดา…นี่ก็คือฉากที่สตรีหน้าหวานใสใจมากเล่ห์ตบตาคุณหนูใหญ่ฮั่วผู้ลำพองถือดีสินะ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีหลิงโหวเป็นลูกคู่อยู่ด้านข้าง ประเดี๋ยวยกยอว่าภรรยาผ่าเผยใจกว้าง เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ประเดี๋ยวสรรเสริญว่าภรรยาจิตใจดีงาม เวทนาผู้อ่อนแอ เช่นนี้ฉุนอวี๋ซื่อยังจะยึดกุมฮั่วจวินหวาไม่อยู่หมัดได้หรือ หึๆ

สิ่งที่เซียวฮูหยินไม่ได้เล่าออกมา คือหนก่อนๆ ที่ฉุนอวี๋ซื่อมาเยือน ขณะเอ่ยถึง ‘มิตรภาพ’ ในอดีตกับฮั่วจวินหวา เรียกได้ว่าน้ำตาคลอหน่วย ทำตัวดูน่าสงสารเสียจนเซียวฮูหยินหวิดจะคลื่นไส้ตายอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องข่มทนไว้อย่างยากลำบาก

นางเองก็มาจากตระกูลใหญ่ในท้องถิ่น มิได้ถือสากับเรื่องสามีรับอนุนางบำเรอ เพียงแต่เงื่อนไขแรกคือนางบำเรอเหล่านั้นจะเป็นได้แค่ ‘ของเล่น’ การปกครองเรือนดุจปกครองแคว้น คำสั่งจะเป็นอื่นมิได้ หนึ่งภูเขามีแม่เสือได้เพียงหนึ่งตัว ทว่าฉุนอวี๋ซื่อใช่อนุนางบำเรอธรรมดาหรือ

เซียวฮูหยินกับชิงชงมิเพียงผูกพันดุจพี่น้องอยู่ร่วมยามทุกข์ยาก ยังสื่อใจถึงกัน ต่างรู้ถึงมุมมองชีวิตคู่กับครอบครัวของอีกฝ่าย ดังนั้นชิงชงจึงไม่เคยมีความคิดเลยเถิดกับเฉิงสื่อแม้เพียงน้อยนิด อย่างฉุนอวี๋ซื่อที่ฉวยโอกาสเข้าโถงขึ้นห้องขณะยังไม่พบศพฮั่วจวินหวา ยังอุตส่าห์มีหน้าเอ่ยคำว่า ‘พี่น้อง’ ช่างเป็นวาจาน่าขันสิ้นดี!

“ความผูกพันของข้ากับพี่จวินหวาในอดีตแน่นแฟ้นยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ ในครอบครัวอื่นด้วยซ้ำ ตอนที่ข้ารู้ว่าพี่จวินหวากับจื่อเซิ่งยังอยู่บนโลกใบนี้ ข้าจุดตะเกียงร้อยดวงในอารามซานชิงตามที่ได้บนบานศาลกล่าวไว้ ใครจะรู้เล่า…ใครจะรู้…”

ฉุนอวี๋ซื่อร่ำไห้เบาๆ อย่างโศกเศร้า “ชายชาตรีมีสามภรรยาสี่อนุเป็นเรื่องปกติ ตอนที่จื่อเซิ่งยังไม่เกิด ท่านพี่หลิงอี้ก็เคยรับอนุ แม้ว่าไม่นานนางจะเสียชีวิตไป แต่เมื่อแรกพี่จวินหวาก็พยักหน้าแล้ว ดังนั้นข้าจึงสมัครใจจะล้างมือปรุงอาหาร ยกย่องปรนนิบัติท่านพี่กับพี่จวินหวา ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดพี่จวินหวาจึงยืนกรานไม่ยอมรับข้า ทั้งจะเอาชีวิตข้าให้จงได้!”

ถ้อยคำเหล่านี้แจ้งเรื่องราวให้รู้มิใช่น้อย หากเป็นผู้เที่ยงธรรมทั่วไป คงบังเกิดความไม่ชอบใจในตัวฮั่วจวินหวาขึ้นมานิดๆ แล้ว ทว่าพูดให้เฉิงเซ่าซางฟังล้วนป่วยการเปล่า เพราะนางเป็นพวกเข้าข้างญาติไม่เข้าข้างเหตุผลน่ะสิ!

“ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเหตุใดนางไม่ยอมรับท่าน” เฉิงเซ่าซางมองฟ้าพลางงึมงำ “อาจเพราะฮั่วฮูหยินคุ้นชินกับการเป็นบุตรีคนเดียวกระมัง หรือไม่นางก็ชอบนอนเตียงใหญ่มากกว่า จึงไม่ยินดีให้ท่านขึ้นไปเบียดเสียดกับนาง”

เซียวฮูหยินอยากจะหัวเราะ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะ จึงข่มกลั้นไว้อย่างยากเย็น

ฉุนอวี๋ซื่อทึ่มทื่อไปเล็กน้อย

นางอยากโต้แย้ง ถึงเป็นอนุก็ไม่แน่ว่าจะ ‘ปรนนิบัติ’ สามีพร้อมๆ กับภรรยาเอก ทว่าวาจาเยี่ยงนี้จะให้นางพูดออกจากปากได้อย่างไรกัน กระนั้นนางก็เป็นผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา เห็นว่าสถานการณ์วันนี้ไม่ถูกต้อง เฉิงเซ่าซางไม่เล่นตามกฎปกติโดยสิ้นเชิง จึงตัดสินใจจะเร่งเผด็จศึก หันไปเอ่ยกับเซียวฮูหยินว่า “ในจวนข้ายังมีธุระหยุมหยิมอยู่จำนวนหนึ่ง ต้องขอตัวกลับก่อน”

นางเอ่ยพลางรับกล่องไม้เคลือบเงาใบหนึ่งจากมือเด็กสาวที่อยู่ทางซ้ายมือ “นี่เป็นโฉนดที่นาเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่นอกเมือง ถือว่าข้ากับท่านโหวเพิ่มสินเจ้าสาวให้เซ่าซางจวินแล้วกัน ยังมีสาวใช้สองคนนี้ ข้าซื้อมาจากแดนใต้ในราคาหนึ่งแสนเฉียน ขับร้องร่ายรำทำครัวล้วนได้ทั้งสิ้น ภายหน้ารับใช้เซ่าซางจวินกับจื่อเซิ่ง…”

“ฮูหยิน ท่านช่างมีอารมณ์ขัน” เฉิงเซ่าซางเอ่ยขัดจังหวะพร้อมคลี่ยิ้มจนตาหยี “จนบัดนี้กระทั่งห้องนอนของใต้เท้าหลิงข้ายังไม่เคยได้แตะ ท่านมาถึงก็กำนัลสาวใช้โฉมงามสองคนให้ข้า แบ่งที่ทางบนเตียงของว่าที่สามีข้าไป หรือยังต้องให้ข้าขอบคุณท่าน? นี่ก็คือ…หลักการที่ว่า ‘พบเจอใคร แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง’ หรือไรกัน” นางชื่นชอบเวลาพูดไม่ลงรอยแล้วพูดสองแง่สองง่ามเช่นนี้นี่ล่ะ

“เซ่าซาง!” เซียวฮูหยินมุ่นคิ้วปราม “พูดจาดีๆ ไม่เป็นหรือ!”

ใบหน้าฉุนอวี๋ซื่อฉาบด้วยความโกรธเกรี้ยวดังคาด “เจ้า…เจ้าเป็นแม่นางน้อย ในปากมีแต่คำสกปรกหูเยี่ยงนี้ได้อย่างไรกัน”

“ฮูหยินรู้สึกว่าวาจานี้สกปรกหู?” เฉิงเซ่าซางปั้นสีหน้าเลื่อมใสจนเกินจริง “ฮูหยินช่างสะอาดบริสุทธิ์ดุจหยกน้ำแข็ง พฤติการณ์สูงส่งโดยแท้!” ตามด้วยเสียงเยาะหยันอันเย็นชา “ใต้หล้านี้มีบางคนกระทำเรื่องสกปรกโสมมได้ แต่กลับห้ามผู้อื่นเอ่ยความสกปรกโสมมเหล่านี้ออกมา ฮูหยินรู้สึกว่าคนพรรค์นี้นับเป็นอันใด ฮึ จอมปลอมเสียไม่มี!”

“นี่พวกเจ้ากำลังไล่แขก?” ฉุนอวี๋ซื่อยืนขึ้นพรวด ใบหน้าฉุนเฉียวเยียบเย็น

เห็นบุตรสาวกำลังจะพูดเลื่อนเปื้อนเลยเถิดอีก เซียวฮูหยินจึงรีบชิงตัดหน้ากล่าวอย่างภูมิฐาน “หลิงโหวฮูหยินรู้หรือไม่ อันใดคือนกสองหัว”

ฉุนอวี๋ซื่ออึ้งงัน

เซียวฮูหยินเงยหน้ามองสตรีชั้นสูงที่อยู่เบื้องหน้าสายตานี้ตรงๆ “เรื่องบางอย่างไม่อาจวางเดิมพันทั้งสองข้าง จื่อเซิ่งคือว่าที่เขยของบ้านข้า บ้านข้าย่อมต้องยืนอยู่ข้างเดียวกับเขา ฮูหยิน แทนที่ท่านจะวนอ้อมมาบ้านข้า มิสู้ตรงไปหาจื่อเซิ่งเสียเลย หากเขายอมให้ ‘อดีตล่วงผ่านไปแล้ว’ เช่นนั้นพวกข้าย่อมจะยกย่องท่านเป็นแขกผู้ทรงเกียรติ กระตือรือร้นต้อนรับขับสู้ หาไม่…พวกข้าจะไม่กระทำสิ่งที่ขัดต่อเจตนาของจื่อเซิ่ง”

แววตาของเซียวฮูหยินเย็นยะเยือก ทุกอักษรประดุจดาบ ฉุนอวี๋ซื่อถึงกับไร้วาจาจะตอบโต้ไปชั่วขณะ

เฉิงเซ่าซางปรบมือเอ่ยปนยิ้มกริ่ม “ท่านแม่กล่าวได้ดีจริงเชียว วาจาลึกซึ้งเหตุผลลุ่มลึก ดั่งอสนีก้องหู สายฟ้าผ่าร่าง…”

“พูดไม่เป็นก็จงอย่าพูด!” เซียวฮูหยินหันขวับไปถลึงตาใส่บุตรสาวที่ใช้สำนวนผิดๆ

เฉิงเซ่าซางได้แต่หุบปากหน้าเจื่อน

ฉุนอวี๋ซื่อหัวเราะหยัน “ลำพังถ้อยคำของบุตรสาวท่านในวันนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าผู้อื่นฟังแล้วจะไม่สะทกสะท้าน”

“เช่นนั้นท่านก็…” เฉิงเซ่าซางกำลังจะหัวเราะตอกกลับ ทว่าถูกสายตากรุ่นรังสีพิฆาตของเซียวฮูหยินข่มขวัญก่อน

“บุตรสาวข้าพูดอันใดไปหรือ นางมิได้พูดอันใดเลยนี่” เซียวฮูหยินเฉไฉ ชนิดหน้าไม่เปลี่ยนสีใจไม่เต้นแรง “หากฮูหยินออกไปป่าวร้องอันใด บ้านข้าจะไม่รับโดยเด็ดขาด ใต้เท้าของข้าแม้เข้าร่วมกับฝ่าบาทช้ากว่าหลิงโหว ทว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ก็พอจะมีหน้ามีตาอยู่บ้าง แม้แต่ฝ่าบาทกับฮองเฮายังมักตรัสชมว่าพักนี้เซ่าซางยิ่งนานวันยิ่งเข้าที พระราชทานรางวัลให้เป็นประจำ ไม่รู้ว่าคนข้างนอกยังจะเชื่อคำของฮูหยินกันหรือไม่!”

“ดีๆๆ” ฉุนอวี๋ซื่อแค่นหัวเราะติดๆ กัน “วันนี้นับว่าข้าได้รู้จักพวกเจ้าแล้ว! พวกเรากลับ!” นางเอ่ยพลางสะบัดแขนเสื้อ ออกเดินโดยไม่รอบ่าวมาส่งแขก สาวใช้สองนางที่ตกใจจนอึ้งงันพากันตะลีตะลานตามไป

รอจนคนจากไปไกลแล้ว เซียวฮูหยินค่อยมองไปทางบุตรสาว “เจ้ายั่วโทสะฉุนอวี๋ซื่อไม่หยุดหย่อน ที่แท้คิดจะทำอันใด ต่อให้ไม่อยากสวมหน้ากากกับนาง ก็ไม่เห็นจะต้องฉีกหน้าเป็นอริ”

เฉิงเซ่าซางกลับมองซ้ายขวาแล้วว่าเรื่องอื่น “โอ๊ะ ร้อยปากว่ายังคงไม่เท่าหนึ่งตาเห็น ท่านแม่สำแดงเดชออกมา ช่างน่าเกรงขามจริงๆ หวังเพียงว่าฉุนอวี๋ซื่อผู้นี้จะงัดเอาความกล้าที่เคยช่วงชิงบุรุษกับฮั่วฮูหยินในอดีตออกมา ไม่ถึงกับถูกท่านแม่สยบขวัญทีเดียวก็ตัวลีบกลับไป หากนางเอาพฤติกรรมชั่วร้ายของลูกในวันนี้ไปโพนทะนาข้างนอกให้ทั่วได้ ไม่แน่นะเจ้าคะ ลูกอาจเหนื่อยครั้งเดียวได้สบายตลอดไปแล้ว”

เซียวฮูหยินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงไม่แสดงความเห็นใดๆ

แผนการของเฉิงเซ่าซางดียิ่ง เพียงแต่อีกหลายปีให้หลังมานึกดูแล้ว แผนการซึ่งดูคล้ายจริงจังเป็นการเป็นงานยิ่งยวดเหล่านี้ สุดท้ายกลับมักวิ่งตะบึงไปอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งชวนให้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

 

* แตงที่ฝืนปลิดย่อมไม่หวาน หมายถึงดันทุรังทำทั้งที่เงื่อนไขไม่สุกงอม มักไม่ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ เฉกเช่นฝืนปลิดแตงที่ยังไม่สุก ย่อมเด็ดจากขั้วได้ยาก

* งมก้นสมุทร (ไห่ตี่เลา) เป็นชื่อร้านหม้อไฟที่โด่งดังของจีน มีที่มาจากศัพท์เฉพาะในวงไพ่นกกระจอก เรียกอีกชื่อว่างมจันทร์ก้นสมุทร (ไห่ตี่เลาเยวี่ย) หมายถึงการจั่วไพ่ตัวสุดท้ายมาแล้วชนะพอดี ตอนที่เจ้าของร้านหม้อไฟไห่ตี่เลาคิดชื่อร้าน ประจวบกับภรรยาของเขาจั่วได้ไพ่แบบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากและถือว่าโชคดีมาก

* เซียงสุ่ยไป่เหอ คือดอกลิลลี่พันธุ์ Casa Blanca เป็นราชินีแห่งดอกลิลลี่ กลีบดอกมีสีขาวบริสุทธิ์ ผิดกับลิลลี่พันธุ์อื่นที่มักพบแต้มด่าง

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: