X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 4 บทที่ 88

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 88

แต่ไรมาแม่สามีกับลูกสะใภ้ก็มีความสัมพันธ์ซับซ้อน นับประสาอะไรกับแม่เลี้ยงของสามีอย่างฉุนอวี๋ซื่อเล่า เดิมทีเฉิงเซ่าซางยังกังวลว่าวันหน้าจะอยู่ร่วมกันเช่นไร แต่เมื่อวานหลังจากได้พบฮั่วจวินหวา นางก็เปลี่ยนความคิดแล้ว นางมิเพียงไม่คิดจะปรนนิบัติฉุนอวี๋ซื่ออีก ยังคิดจะหลุดพ้นจากอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์ด้วย…

 

ขั้นแรกเริ่มจากยั่วโทสะฉุนอวี๋ซื่อ ยิ่งหยาบคายยิ่งดี จากนั้นฉุนอวี๋ซื่อก็จะไปฟ้องหลิงโหว หรือถึงขั้นไปโพนทะนาข้างนอก

ขั้นที่สองพิเคราะห์ว่าผู้ดำเนินแผนมีรูปลักษณ์เป็นดอกบัวขาวที่บอบบางชวนถนอม ย่อมสามารถร่ำไห้ร้องทุกข์ไปทั่วว่าฉุนอวี๋ซื่อปั้นน้ำเป็นตัวกลั่นแกล้งตน

ขั้นที่สามปลุกปั่นตามจำเป็น สามารถกุเรื่องว่าแม่เลี้ยงมีเจตนาร้ายเคลือบแฝงต่อบุตรชายคนโตสายเลือดภรรยาคนแรก เพื่อให้ผู้คนได้สำแดงจินตนาการกันต่อ

ผลลัพธ์แรกขั้นต่ำสุดคือหลิงปู้อี๋แม้รู้อยู่เต็มอกก็ยังมีความสุขยิ่งที่จะหนุนหลังผู้ดำเนินแผน ขั้นสูงสุดคือฮ่องเต้เดือดดาลหนัก ชำระทั้งแค้นเก่าแค้นใหม่กับฉุนอวี๋ซื่อพร้อมๆ กัน

ผลลัพธ์ที่สองฉวยจังหวะยุติ การอยู่ร่วมกันฉันแม่สามีกับลูกสะใภ้ ที่กำลังจะมาถึง ต่อไปทุกคนเป็นเช่นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

***

ผู้อำนวยการสร้าง : เฉิงเซ่าซาง

ผู้ดำเนินแผนหลัก : เฉิงเซ่าซาง

ผู้ช่วยดำเนินแผน : หัวหน้าเซียว หลิงปู้อี๋

ผู้สนับสนุนหลังฉาก : หลิงปู้อี๋ ฮ่องเต้ ฮองเฮา ฯลฯ

กลุ่มผู้กินแตงกับเหล่าหน้าม้า : ท่านพ่อเฉิงกับคณะญาติมิตร สามารถพิจารณาจัดบทตามระดับทักษะของแต่ละบุคคล

รายละเอียดทั้งหมดดังข้างต้นนี้

 

ทว่ากลอุบายไม่ใช่การคำนวณ ไม่มีทางจะเหมาะเจาะไปทุกอย่างเหมือนใส่สูตรคำนวณไว้ ไม่ทันรอให้เฉิงเซ่าซางคิดออกว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไร ก็ได้เจอฮ่องเต้ที่เพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จในตำหนักฉางชิวก่อน

ขณะนี้ฮองเฮากำลังจัดแต่งฉลองพระองค์กับสายคาดหยกให้ฮ่องเต้ ครั้นเห็นแม่นางน้อยที่ก้มหน้าสงบเสงี่ยมดุจนกกระทา ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วกล่าวทันใด “ไฉนเราไม่พบเห็นเจ้าตั้งหลายวัน ทีแรกฮองเฮาบอกว่าทุกสิบวันให้หยุดได้หนึ่งวันมิใช่หรือ นี่หยุดไปตั้งกี่วันแล้ว อืม เราจำได้ว่าวันหยุดของเจ้าคือ…เมื่อสี่วันก่อนกระมัง”

เฉิงเซ่าซางลอบทอดถอนใจ ไม่รู้ฮ่องเต้เป็นอย่างไร คงเทศนาข้าจนติดอกติดใจไปแล้ว ผ่านทางมาเป็นต้องเทศนาประจำวันหนึ่งยก ไม่ผ่านทางวกอ้อมมาก็ต้องเทศนาของวันก่อนหนึ่งยก หรือว่าข้าดูไม่เข้าทีถึงเพียงนั้น?

“ทูลฝ่าบาท ที่ตรัสมาถูกต้องตรงเผงเลยเพคะ วานซืนของวานซืนหม่อมฉันพักผ่อนอยู่ที่บ้าน”

“แล้วถัดมาเล่า” เมื่อได้ยินคำว่า ‘วานซืนของวานซืน’ ฮ่องเต้ก็เพียรข่มมุมปากไว้ไม่ให้โค้งขึ้น

เฉิงเซ่าซางตอบ “เมื่อวานของวานซืน…บ้านหม่อมฉันจัดงานฉลองหมั้นเพื่อใต้เท้าหลิงมิใช่หรอกหรือ ท่านพ่อเชิญญาติสนิทมิตรสหายมามากมายเลยเชียว” ท่านลุงหน้าเหม็น หลายวันก่อนตัวท่านเองยังมอบสุรามาตั้งเยอะแยะ ท่านลืมแล้วหรือ!

“เหตุใดงานฉลองหมั้นไม่จัดวันเดียวกับวันหยุดของเจ้าเล่า” ฮ่องเต้เน้นเสียง จงใจปั้นคิ้วตาดุดัน ส่งผลให้ฮองเฮาออกแรงรัดสายคาดเอวของพระองค์หนึ่งที

“เพราะ…เพราะว่า…งานฉลองหมั้น ตะ…ต้อง…ต้องเตรียมการเพคะ” แน่นอนว่าเพื่อจะพักเพิ่มอีกหนึ่งวันน่ะสิ ต่างเป็นคนในยุทธภพเดียวกัน ท่านลุงฮ่องเต้จำเป็นต้องเคร่งครัดเพียงนี้ด้วยหรือ

“งานฉลองหมั้นนั้นเจ้าเป็นคนจัด?” ฮ่องเต้เดินหน้ากลั่นแกล้งต่อ

“มะ…ไม่ใช่เพคะ คือว่า…หม่อมฉันช่วยเป็นลูกมือเล็กๆ น้อยๆ ที่สำคัญคือดูให้มาก เรียนให้มาก เพื่อเพิ่มพูนความรู้”

ฮ่องเต้หลุบคิ้วหรี่ตา สีหน้าขึงขัง “คราวก่อนโหลวกับเฉิงสองสกุลหมั้นหมาย เจ้าไม่ได้ดูไม่ได้เรียนเลยหรือ ไฉนมาหนนี้ยังไม่อาจจัดงานด้วยตนเองอีก”

มือฮองเฮาออกแรงกระตุกดึงสายคาดหยก รัดเสียจนอาหารเช้าของฮ่องเต้เกือบจะขย้อนออกมา

ใบหน้าเฉิงเซ่าซางเขียวคล้ำแล้ว “เอ่อ…มะ…หม่อมฉัน…คือว่าการเรียนรู้ไร้ที่สิ้นสุด ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งค้นพบว่าแท้จริงแล้วหม่อมฉันยังไม่รู้ความ ดังนั้นจึงต้องหมั่นดูหมั่นเรียนอีกหลายๆ ครั้ง แหะๆ…”

ฮ่องเต้สูญเสียบิดามารดาไปแต่เล็ก กระนั้นอุปนิสัยยังคงสดใสร่าเริงอยู่ น่าเสียดายภายหลังเข้าร่วมช่วงชิงแผ่นดิน ตลอดทางเต็มไปด้วยอุปสรรคภยันตรายกับภูเขาศพทะเลโลหิต เมื่อขึ้นครองราชย์ยิ่งต้องเป็นแบบอย่างของผู้คนทั่วหล้า มีเพียงยามอยู่ต่อหน้าสหายเก่าแก่ส่วนน้อยไม่กี่คนที่ยังพอจะพูดเล่นกันได้บ้าง มาคิดๆ ดู หลายปีมากแล้วที่พระองค์ไม่ได้หยอกใครสนุกๆ เช่นนี้

เดิมพระองค์อยากจะพูดว่า ‘หากเจ้าหมั้นอีกหลายๆ หน ไม่ยิ่งมีความรู้ลึกล้ำขึ้นหรือ’ ทว่าแลเห็นสายตาไม่เห็นพ้องของฮองเฮามองมา พระองค์จึงได้แต่เปลี่ยนคำพูด “เอาเถิด เช่นนั้นหลังจัดงานฉลองหมั้นเสร็จเล่า เหตุใดเจ้ายังไม่เข้าวังอีก”

เฉิงเซ่าซางโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง รีบตอบทันที “เมื่อวานซืน…ใต้เท้าหลิงพาหม่อมฉันไปเยี่ยมคารวะฮั่วฮูหยินเพคะ”

รอยยิ้มในดวงตาของฮ่องเต้สะดุดวูบ มือของฮองเฮาชะงักกึก ผ่านไปครู่หนึ่งฮ่องเต้กับฮองเฮาค่อยกลับเป็นปกติ

ฮ่องเต้กล่าว “พักนี้ฮั่วฮูหยินเป็นเช่นไรบ้าง”

เฉิงเซ่าซางเอ่ย “ฮูหยินซูบผอมอยู่บ้าง เพียงแต่ดูสีหน้าไม่เลวทีเดียว อ้อ ชุยโหวก็อยู่ด้วยเพคะ”

ฮ่องเต้มิได้พูดจา สีหน้าหม่นหมองนิดๆ

เฉิงเซ่าซางเห็นเช่นนั้นจึงรีบดับชนวนระเบิดลูกสุดท้าย “เฮ้อ ออกจากเรือนดอกซิ่งมาแล้ว หม่อมฉันเองก็หดหู่ใจยิ่ง นึกถึงสุขทุกข์กับความจนใจของคนเรา เนิ่นนานหม่อมฉันก็มิอาจปล่อยวางได้ ใต้เท้าหลิงจึงขอลาหยุดกับฮองเฮาให้หม่อมฉันอีกหนึ่งวัน เพื่อให้หม่อมฉัน…เอ่อ…ได้สงบอารมณ์ ผ่อนคลายๆ…”

ฮ่องเต้กลับมาแย้มยิ้มอีกครา “สงบอารมณ์อันใดของเจ้ากัน เป็นแค่เด็กน้อยจะไปรู้จักสุขทุกข์กับความจนใจอันใดของคนเราได้ แสร้งวางท่าวางทางก็เพื่อจะแอบเกียจคร้านเท่านั้น นึกว่าผู้อื่นไม่รู้หรือ!”

เฉิงเซ่าซางกำลังจะเอ่ยถึงเรื่องฉุนอวี๋ซื่อ ทว่าเฉาเฉิงผู้ดูแลตำหนักฉางชิวพลันมาเชิญฮ่องเต้ไป ความว่าใต้เท้าหลายท่านในสำนักราชเลขาธิการมาถึงแล้ว ฮ่องเต้จึงผงกศีรษะรับ สั่งให้เด็กสาวตั้งใจเล่าเรียน ชดเชยช่วงเวลาหลายวันก่อน ค่อยออกจากตำหนักไป

เฉิงเซ่าซางรีบบอกฮองเฮาแทน “ฮองเฮาเพคะ เมื่อวานหลิงโหวฮูหยินมาที่บ้านหม่อมฉัน! นึกถึงสภาพของฮั่วฮูหยินในปัจจุบันแล้ว เพียงเห็นหลิงโหวฮูหยิน หม่อมฉันก็ฉุนกึก จึงได้พูดบางถ้อยคำไปด้วยอารมณ์โกรธ”

ฮองเฮาแม้อ่อนโยน ทว่ามิได้โง่เขลา ฟังจบก็มองพิจารณาเด็กสาวขึ้นลงรอบหนึ่งแล้วอมยิ้มกล่าว “เจ้าล่วงเกินหลิงโหวฮูหยินเข้าแล้ว อยากจะให้ฝ่าบาทกับข้าช่วยหนุนหลังเจ้า?”

“ฮองเฮาเพคะ อย่าตรัสคำว่าล่วงเกินไม่ล่วงเกินอันใดนั่นสิ อย่างหม่อมฉัน นั่นเรียกว่าผดุงความถูกต้อง!” เฉิงเซ่าซางจับประคองแขนฮองเฮา พาเดินมุ่งสู่โถงชั้นในอย่างประจบประแจง “หรือว่าฮองเฮาโปรดปรานหลิงโหวฮูหยิน?”

ฮองเฮาค้อนใส่เฉิงเซ่าซางหนึ่งวง “ชอบไม่ชอบเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เจ้าน่ะควรจะควบคุมปากของตนเองไว้ให้ดี คว้าได้โอกาสทีไรเป็นต้องพูดจาเหลวไหล ยั่วเย้าเกเร อยู่ในตำหนักข้ายังไม่เป็นไร ออกไปแล้วดูซิผู้อื่นจะด่าว่าเจ้าหรือไม่”

“ก็มีแต่อยู่ข้างๆ ฮองเฮา หม่อมฉันจึงได้พูด ทรงดูสิเพคะ หม่อมฉันออกไปแล้วมีพูดเช่นนั้นเมื่อไรกัน”

“อยู่กับข้าก็ห้ามพูดเหลวไหล!”

“แล้วเมื่อไรหม่อมฉันจึงจะพูดตามที่อยากพูดได้เล่าเพคะ ที่บ้านหรือ แต่ตอนนี้ช่วงเวลาที่หม่อมฉันอยู่ในวังยาวนานกว่าที่บ้านตั้งเยอะ อึดอัดแย่เลย”

“ยามที่ข้าบอกเจ้าว่าเปล่งวาจาได้ จึงจะอนุญาตให้พูด!”

“ก็ได้เพคะ”

เนื่องจากขาดเรียนไปสี่วัน ตลอดช่วงสายของวันนี้เฉิงเซ่าซางจึงขยันหมั่นเพียรเป็นพิเศษ ไม่รู้ผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ขณะรู้สึกว่าท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ ไจ๋เอ่าเพิ่งเดินมาจะสั่งคนตั้งสำรับ ขันทีที่อยู่นอกโถงตำหนักกลับมารายงาน ความว่าชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าพาหลิงโหวฮูหยินมาถึงแล้ว

ฮองเฮาชะงักไปเล็กน้อยก่อนเอ่ย “ให้เข้ามา”

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ายังคงมีทีท่ายกตนข่มท่าน ซ้ำวันนี้ยังสวมเครื่องแต่งกายของชายาอ๋องมาเต็มยศ พาดผ้าคลุมไหล่ ห้อยหยกประดับ กุ๊นผ้าดิ้นหลากสี ฉุนอวี๋ซื่อที่เดินตามหลังนางมาต้อยๆ ก็แต่งกายภูมิฐานเช่นเดียวกัน เพียงแต่สองตาบวมแดง คาดว่าเกิดจากร่ำไห้อยู่เป็นนาน

เฉิงเซ่าซางกวาดมองรอบหนึ่ง แล้วแอบร้องชิหนึ่งที

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าค้อมกายเล็กน้อย ถือว่าได้ทำความเคารพฮองเฮาแล้ว ดังนั้นเฉิงเซ่าซางซึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายฮองเฮาจึงเอาอย่างบ้าง ลำคอโน้มลงให้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเพียงน้อยนิดชนิดใกล้เคียงกับเส้นตรง ส่วนฉุนอวี๋ซื่อยังนับว่ารู้กาลเทศะ ถวายคำนับเต็มพิธีการแต่โดยดี

“ไม่รู้ว่าวันนี้อาสะใภ้มาด้วยเรื่องใด” ฮองเฮามีสีหน้าสุภาพเรียบเฉย

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา ตอบพลางชี้มือไปยังข้างกายฮองเฮา “ข้าผู้เฒ่ามาวันนี้ก็เพราะเด็กต่ำช้านี่!”

“อาสะใภ้ระวังถ้อยคำด้วย!” ฮองเฮากล่าวเสียงเย็น “เซ่าซางอยู่ข้างกายข้ามาหลายเดือน ตลอดมาล้วนสุภาพนอบน้อม ใจกว้างเอื้อเฟื้อ ไม่เคยมีสิ่งใดไม่เหมาะสม วันนี้อาสะใภ้มาถึงก็เกรี้ยวกราด ไม่แคล้วทำเกินไป”

เฉิงเซ่าซางยิ่งก้มหน้าลงต่ำ แต่ไรมานางถูกผู้อื่นประณามจนคุ้นชิน ยากนักจะได้รับคำชมเชยแบบ ‘หนักหน่วง’ เช่นนี้ จึงหน้าแดงอยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าตบหน้าขาแรงๆ “ถ้อยคำของข้าผู้เฒ่าเป็นความจริงทุกประโยค เมื่อวานหลิงโหวฮูหยินเจตนาดีไปเยี่ยมเยียนถึงจวนสกุลเฉิงเพื่อกำนัลที่นากับสาวใช้ มิเพียงไม่ได้ยินวาจาชวนฟังแม้ครึ่งประโยค ยังถูกเด็กต่ำช้านี่ลบหลู่! ฮองเฮา หากวันนี้ไม่ทรงลงโทษเด็กต่ำช้านี่ ก็ขออภัยที่ข้าผู้เฒ่าไม่อาจยอมรับนับถือ!”

เสียงของหญิงชราดังกึกก้อง สะท้านจนตำหนักแทบสั่นไหว ฉุนอวี๋ซื่อที่อยู่ด้านหลังสะอึกสะอื้นสองสามทีอย่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

เฉิงเซ่าซางเหยียดหยามอยู่ในใจ คิดว่าเจ้ายอมรับนับถือหรือไม่เกี่ยวอันใดกับข้าด้วย ต่อให้เจ้าลมหายใจขาดห้วงก็ไม่ข้องเกี่ยวกับข้า

ฮองเฮาชำเลืองมองเฉิงเซ่าซางปราดหนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าเชื่อมั่นในตัวเซ่าซางเสมอมา คิดว่านางไม่ถึงกับทำเช่นนี้แน่…”

“ฮองเฮา! ข้าผู้เฒ่ากล้าสาบานต่อฟ้า!” ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าแผดสุดเสียงจนน้ำลายกระเซ็น

ผู้คนยุคนี้เชื่อเรื่องผีสางเทวดาอย่างยิ่ง ท่าทีของฮองเฮาอ่อนลงทันตา พลิกความคิดเอ่ยว่า “เรื่องในครอบครัวเช่นนี้ ยังคงเชิญเยวี่ยเฟยมาร่วมพิจารณาจะดีกว่า”

“ฮองเฮา!” ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าจงใจเอ่ยเน้นทีละคำ “ทรงเป็นถึงประมุขของหกตำหนักใน เรื่องเล็กๆ แค่ลงโทษผู้เยาว์ ยังต้องไถ่ถามชายาตำหนักในผู้หนึ่งเชียวหรือ!”

ไจ๋เอ่าทนไม่ไหว จึงเอ่ยปากแย้ง “ฮองเฮาทรงอยากเชิญผู้ใดก็จะเชิญผู้นั้น ชายาอ๋องผู้หนึ่งไม่แคล้วเหยียดมือเข้ามายาวเกินไปกระมัง”

“หญิงแก่ชั้นต่ำกำเริบนัก!” ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าตวาดลั่น ท่าทีดุร้ายไม่ธรรมดา “ผู้สูงศักดิ์พูดคุยกัน ถึงคราวให้บ่าวเยี่ยงเจ้าสอดปากตั้งแต่เมื่อไร ฮองเฮาทรงปล่อยปละเช่นนี้นี่เอง บ่าวพรรค์นี้สมควรจะตบปากให้หนักๆ!”

ท่าทีดุดันเปี่ยมอำนาจของหญิงชราช่างน่าตระหนก กระนั้นในใจเฉิงเซ่าซางกลับยังลอบให้กำลังใจ หวังว่าอีกฝ่ายจะเดินหน้ารนหาเรื่องตายต่อไป

ใบหน้าฮองเฮาดุจฉาบเกล็ดน้ำค้าง มีเพียงลมหายใจซึ่งถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย แสดงออกถึงโทสะในใจนาง นางพลันเอ่ยขึ้นว่า “เซ่าซาง ต่อหน้าพระชายากับหลิงโหวฮูหยินนี้ เจ้ามีถ้อยคำใดล้วน ‘เปล่งวาจา’ ได้อย่างเต็มที่”

ครั้นประโยคนี้กล่าวออกมา ดวงตาของเฉิงเซ่าซางก็ลุกวาว

ฉุนอวี๋ซื่อหน้าเปลี่ยนสี นางเคยรับการชี้แนะวิชาตามรังควานของเฉิงเซ่าซางมาก่อน ผิดกับชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าที่ยังคงตะเบ็งเสียง “ฮองเฮา ข้าผู้เฒ่าอุตส่าห์พาเจ้าทุกข์มาแล้ว ทรงรีบๆ ลงโทษเด็กนี่เป็นใช้ได้ ยังจะให้เด็กคนหนึ่งมาต่อปากต่อคำกับข้าผู้เฒ่าหรือไร!”

“โอ๊ะ ชายาผู้เฒ่าวางก้ามใหญ่โตจริงเชียว! ผู้ที่รู้ย่อมเข้าใจได้ว่าท่านถูกโทสะจู่โจมหัวใจจนใช้คำไม่เลือก แต่ผู้ที่ไม่รู้อาจนึกว่าท่านต่างหากที่เป็นประมุขแห่งใต้หล้า ผู้นำของหกตำหนักใน” เฉิงเซ่าซางเดินเนิบนาบขึ้นหน้าไปสองสามก้าว ก่อนนั่งคุกเข่าเบื้องหน้าทางขวาของฮองเฮา

“นางเด็กต่ำช้าพูดอะไรของเจ้า!” ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าชี้หน้าเฉิงเซ่าซางพลางด่ากราด

เฉิงเซ่าซางเอ่ย “ฮองเฮาดำริจะเชิญเยวี่ยเฟยมา ท่านไม่ยินยอม ฮองเฮาทรงหมายไถ่ถามเพิ่มสองประโยค ท่านก็จะให้ฮองเฮาทรงลงโทษข้าทันที โอ้ ท่านเก่งกาจกว่าฝ่าบาทมากทีเดียว ฝ่าบาททรงมีปรึกษามีหารือกับฮองเฮาเสมอ มีท่าทีน่าเกรงขามเช่นท่านเสียเมื่อไร บ่ายวันนี้จะมีบัณฑิตหญิงสูงวัยผู้รอบรู้ท่านหนึ่งมาชี้แนะธรรมเนียมมารยาทให้ข้าต่อ ไว้ข้าจะสอบถามนางดูสักหน่อย ไม่รู้ว่ากิริยาเยี่ยงชายาผู้เฒ่านี้ถูกธรรมเนียมมารยาทหรือไม่!”

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าหน้าแดงซ่านทันตา

“อ้อ ข้าลืมพูดไป บัณฑิตหญิงสูงวัยท่านนี้มีญาติผู้น้องทำงานในสังกัดของหัวหน้าผู้ตรวจการด้วยนะเจ้าคะ” เฉิงเซ่าซางจับจ้องหนังหน้าชราสีแดงดุจตับหมูนั้น ในใจให้สาสมอย่างยิ่ง

เรื่องวันนี้พูดให้เล็กเป็นเพียงเรื่องในราชวงศ์ แต่หากแพร่ไปถึงราชสำนัก ย่อมดึงดูดผู้คนซึ่งไม่ต่างจากฝูงหนอนแมลงวันที่สูดได้กลิ่นคาวเลือดในทันที ต่อให้ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าถือดีว่าศักดิ์สูงอาวุโส ก็ไม่ปรารถนาจะตีถูกระฆังใบนี้จนเกิดเสียงดังไปทั่ว

“ล้วนเป็นเพราะหม่อมฉันไม่ดีเอง” ฉุนอวี๋ซื่อที่บิดผ้าเช็ดหน้าสะอื้นไห้มาโดยตลอดพลันเอ่ยปาก “พระชายาผู้เฒ่าหมายเป็นปากเป็นเสียงแทนหม่อมฉัน ด้วยอารามฉุนเฉียวจึงได้เอ่ยคำไม่กลั่นกรอง ขอฮองเฮาโปรดอภัยด้วยเถิดเพคะ!” นางกล่าวพลางโขกศีรษะติดๆ กัน ไม่ทันไรหน้าผากก็บวมแดง

ฮองเฮาเบือนหน้าหนี ได้แต่เอ่ยว่า “อภัยโทษให้เจ้า”

แววตาฉาบพิษของชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากวาดไปทางเฉิงเซ่าซาง “น้ำคำร้ายกาจนักนะ มากเล่ห์เพทุบาย ลิ้นยาวปากคมจริงเสียด้วย หลิงโหวฮูหยินถูกเจ้าลบหลู่ไปหนหนึ่งแล้ว เจ้ารู้ผิดหรือไม่!”

“รู้ผิดอันใดหรือเจ้าคะ ข้าไม่เคยกล่าวถ้อยคำลบหลู่หลิงโหวฮูหยินมาก่อน” เฉิงเซ่าซางท้วง

“ข้าผู้เฒ่ากล้าสาบาน…”

“ท่านสาบานมีประโยชน์อันใดเล่า ท่านไม่อยู่ในเหตุการณ์เสียหน่อย ไม่ได้เห็นไม่ได้ยิน เพียงอาศัยวาจาข้างเดียวของหลิงโหวฮูหยิน ไม่แน่นะ ท่านเองก็อาจถูกตบตาเช่นกัน” คำหักล้างระดับนี้ เฉิงเซ่าซางกล่าวได้โดยไม่ต้องผ่านสมองด้วยซ้ำ

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าอับจนถ้อยคำไปชั่วขณะ ฉุนอวี๋ซื่อจึงรีบโผขึ้นหน้ามากล่าวกับฮองเฮา “หม่อมฉันก็กล้าสาบานเพคะ ขอสาบานด้วยชีวิตของหม่อมฉันเอง วันนั้นเฉิงเซ่าซางพูดลบหลู่หม่อมฉันสารพัด ถ้อยคำสกปรกโสมมจริงแท้แน่นอน”

“คำสาบานของท่านเชื่อไม่ได้เด็ดขาด” เฉิงเซ่าซางเสียงเบาพลิ้ว “ผู้ที่มีความประพฤติเยี่ยงท่าน ย่อมไม่วางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ในใจ”

ลมเฮือกหนึ่งติดคาอยู่ในลำคอของฉุนอวี๋ซื่อ นางไม่อยากให้ถกประเด็นความประพฤติของตนต่อ จึงได้แต่ร้องบอกฮองเฮาเสียงดัง “ตอนนั้นหม่อมฉันพาสาวใช้ไปด้วยสองคน พวกนางเป็นพยานได้เพคะ!”

เฉิงเซ่าซางผลิยิ้ม “ตายจริงฮูหยิน ท่านทำดีเสียบ้างเถิด สาวใช้สองคนนั้นเป็นท่านจ่ายเงินซื้อหามา มิใช่ท่านว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามนั้นหรือ หากเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็สามารถเรียกบ่าวในจวนสกุลเฉิงมายืนยันว่าวันนั้นท่านมีเจตนาไม่ซื่อ หมายให้ข้าใส่สิ่งปนเปื้อนบางอย่างลงในอาหารของใต้เท้าหลิง ทำให้เขาจากไปโดยไร้ผู้สืบทอด ภายหน้าทรัพย์สินมหาศาลของเขาย่อมตกเป็นของบุตรชายท่านทั้งหมดมิใช่หรือไร อย่าว่าแต่สาวใช้สองคนเลย ต่อให้ยี่สิบคนข้าก็หามาเป็นพยานให้ท่านดูได้…ว่าอย่างไรเล่า”

วาจาเล่นลิ้นเลื่อนเปื้อนไปเรื่อยเยี่ยงนี้พอพูดออกมา อย่าว่าแต่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ามึนงงอยู่บ้าง ฉุนอวี๋ซื่อที่โกรธจนลมจุกอกแทบจะทะลักล้นก็ยังทำได้เพียงชี้มือไปทางเฉิงเซ่าซาง “จะ…เจ้า…เจ้าเด็กปลิ้นปล้อน!”

ไม่ง่ายเลยกว่าฉุนอวี๋ซื่อจะหายใจหายคอคล่องขึ้น นางรีบคุกเข่าหลั่งน้ำตาร้องทุกข์ทันที “ฮองเฮาเพคะ คำกล่าวยัดเยียดข้อหาของแม่นางเฉิง หม่อมฉันมิกล้ารับเป็นอันขาด วาจาเหล่านี้มิเพียงไม่อาจพูด แม้แต่คิดหม่อมฉันก็ไม่เคยคิด หากวาจาเหล่านี้แพร่ออกไปแม้เพียงนิด หม่อมฉันคงยากจะหยัดยืนเบื้องหน้าผู้คนอีก! ขอฮองเฮาทรงวินิจฉัย หากมิอาจคืนความบริสุทธิ์แก่หม่อมฉัน หม่อมฉันขอยอมตายเสียดีกว่าเพคะ!”

ฮองเฮามีสีหน้าลำบากใจ ขณะจะอ้าปากเอ่ยวาจาไกล่เกลี่ย เฉิงเซ่าซางก็รีบชิงกล่าวกับชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่า “พระชายาโปรดวินิจฉัย หากข้าเองก็กล้าสาบานว่าหลิงโหวฮูหยินมีใจคิดร้ายต่อใต้เท้าหลิงจริง ท่านจะผดุงความยุติธรรม ลงโทษหลิงโหวฮูหยินสถานหนักเช่นกันหรือไม่”

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าอดไม่ได้ที่จะกระถดถอยเล็กน้อย เรื่องในอดีตนางถามใจตนเองแล้ว ไม่กล้าพูดเช่นกันว่าฉุนอวี๋ซื่อไร้ความเห็นแก่ตัวแม้สักนิด ดังนั้นคำรับรองนี้นางไม่กล้าเปล่งออกมาจริงๆ จึงได้แต่เอ่ยเฉไฉ “เจ้ายังจะสาบานอันใด เมื่อครู่หลิงโหวฮูหยินก็สาบานแล้ว ไฉนเจ้าไม่ยอมรับ!” นางพักหายใจชั่วครู่ ก่อนผ่อนน้ำเสียงให้นุ่มนวล “เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อย บังเอิญพูดผิดก็เป็นไปได้ ผู้อาวุโสมีหรือจะถือสาหาความกับเจ้า แค่รับผิดแต่โดยดี เรื่องนี้ก็ให้ผ่านพ้นไป ดีหรือไม่เล่า”

เฉิงเซ่าซางยิ้มเยาะ คิดในใจว่า เจ้ากล่อมเด็กสามขวบอยู่สินะ เมื่อใดที่ข้ารับผิด บทลงโทษถัดจากนั้นไม่ถูกพวกเจ้าช่วยกันป่วนหรือ

นางกล่าว “พระชายา วาจานี้ผิดแล้ว ข้าอยู่ในโอวาท หมั้นหมายตามบัญชาของผู้ใหญ่ มิกล้าเปรียบกับหลิงโหวฮูหยินที่จัดแจงเรื่องแต่งงานเองหรอก ยิ่งไปกว่านั้นนางกินของสกุลฮั่ว ดื่มของสกุลฮั่ว พักพิงอยู่ข้างกายฮั่วฮูหยินมาหลายปี ทว่าเพียงสะบัดหน้ากลับฉวยจังหวะที่ฮั่วฮูหยินยังไม่รู้เป็นตายร้ายดี แทนที่ตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ลงคอ ดังนั้นน่ะ คำสาบานของข้าเชื่อถือได้ ผิดกับคำสาบานของนางที่ไม่น่าเชื่อถือ! พระชายาผู้เฒ่า ท่านใช่แก่ตัวแล้วเลอะเลือนหรือไม่ เรื่องแค่นี้จึงยังคิดไม่กระจ่าง หรือว่า…”

เด็กสาวพลันเปลี่ยนน้ำเสียง ยักคิ้วหลิ่วตากล่าว “หรือว่าเมื่อแรกพระชายาผู้เฒ่าเองก็เป็นแบบ…เดียวกับหลิงโหวฮูหยิน?”

“อย่ามาเหลวไหล!”

“ห้ามมุทะลุ!”

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากับฮองเฮาเปล่งเสียงโดยพร้อมเพรียง

ฝ่ายแรกสีหน้าแดงอมม่วง แทบจะปรี่ไปตบตีเฉิงเซ่าซางอยู่รอมร่อ ฝ่ายหลังหว่างคิ้วย่นเข้าหากัน ทั้งอยากหัวเราะทั้งทอดถอนใจไม่คลาย

ฉุนอวี๋ซื่อร่างอ่อนระทวยทรุดนั่งไปด้านหลัง ในใจมีแต่ความคั่งแค้น อีกแล้ว เอาอีกแล้ว ข้านึกแล้วเชียว ขอเพียงปล่อยให้เด็กนี่อ้าปาก ไม่ว่าเรื่องใดก็จะกลายเป็นอาวุธมาโจมตีอดีตของข้าทั้งสิ้น เพียงแต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ ข้าก็มิอาจไม่แก้ต่างให้ตนเองบ้าง

“เรื่องในอดีต…ข้าแม้มีความผิด ทว่าพี่จวินหวาก็บีบคั้นกันเกินไป ก่อนหน้านี้นางเคยรับอนุให้ท่านโหวแท้ๆ เหตุใดไม่ยอมรับข้าเล่า” นางหลั่งน้ำตาทุกถ้อยคำ

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ารีบมาช่วยสนับสนุน “นั่นสิๆ แค่อนุเล็กๆ คนเดียว ฮั่วจวินหวายังยอมรับไม่ได้ ขี้ริษยาใจเหี้ยมถึงเพียงใด”

ต่อหน้าฮองเฮา เฉิงเซ่าซางไม่กล้าพูดถึงตั่งเตียงอันใดหรอก จึงกล่าวเพียงว่า “ฮั่วฮูหยินคิดเช่นไรนั้นข้าไม่รู้ ทว่าอุปนิสัยของฮั่วฮูหยินเป็นเช่นนี้ ทุกท่านใช่ว่าเพิ่งรู้เป็นวันแรก ในเมื่อตอนนั้นถูกบีบคั้นถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดหลิงโหวฮูหยินไม่ถอยเล่า อย่างไรเสียผู้อื่นผูกพันเป็นสามีภรรยามาเกือบสิบปี ส่วนหลิงโหวฮูหยินนั้น ต่อให้ทันทีที่ฮั่วฮูหยินแม่ลูกหายสาบสูญไป ท่านกับหลิงโหวก็…เอิ่ม แบบว่า…แบบว่า…บังเกิดจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน นับอย่างเต็มที่ก็ราวหนึ่งปีเท่านั้น ที่นี่ไม่รั้งท่าน ย่อมมีที่อื่นรั้งท่านไว้ จะอย่างไรก็เป็นอนุ อยู่ที่ใดไม่อาจเป็นได้เล่า ถูกต้องกระมัง หรือว่า…ความจริงฮูหยินกับหลิงโหวก็ผูกสัมพันธ์กันมาหลายปีแล้ว?” ประโยคสุดท้ายเฉิงเซ่าซางเกือบจะหัวเราะออกมา

ฉุนอวี๋ซื่อสีหน้าเผือดขาวลงทุกที ทั่วร่างสั่นเทิ้ม

ในช่วงชีวิตหลายสิบปีนางก็เคยถูกกลั่นแกล้ง เพียงแต่ยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้เช่นเฉิงเซ่าซาง นี่เป็นเพราะคนที่หน้าไม่อายล้วนฐานะไม่สูงเท่านาง ไม่กล้ามาหาเรื่อง ส่วนคนที่ฐานะสูงกว่านางล้วนไม่ถึงขั้นฉีกหน้ากัน

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าตะลึงค้าง นี่มันสตรีเหลี่ยมจัดจากที่ใด เป็นเด็กสาวปากตลาดไร้ยางอายชัดๆ!

ฉุนอวี๋ซื่อสีหน้าซีดเผือด เอ่ยกับฮองเฮาอย่างนอบน้อม “ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันแม้ชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่ก็มิอาจยอมให้เฉิงเซ่าซางมาหมิ่นเกียรติให้ร้ายกันเช่นนี้ หากฮองเฮาไม่ตรัสอันใดสักอย่าง หม่อมฉันก็ได้แต่ตายยุติเรื่องราวแล้ว”

“เฮ้อ ฮูหยินช่างห้าวหาญ ไม่ยอมถูกหยามหมิ่น ชวนให้ผู้เยาว์ชื่นชมเลื่อมใสโดยแท้ หากเมื่อสิบกว่าปีก่อนท่านยอมไปตายดู ฮั่วฮูหยินก็คงไม่โกรธแค้นจนหย่าร้าง หลายเรื่องในวันนี้ก็คงจะไม่เหมือนเดิมแล้ว” เฉิงเซ่าซางสอดแทรกเบาๆ อีกครา เพลิงโทสะในดวงตาฉุนอวี๋ซื่อลุกโพลง แค้นใจจนแทบอยากปรี่ไปเค้นคอเด็กปากเน่านี่ให้ตายไปตรงหน้า

“เช่นนี้เถิด” เฉิงเซ่าซางกุมกำปั้นทุบใส่ฝ่ามือ ท่าทางแบบเพิ่งฉุกคิดได้ “เราสองมิสู้ลั่นคำสาบานพร้อมกัน หากฮูหยินไม่กล้าตาย ก็ถือเสียว่าข้ามิได้พูดอันใด แต่หากฮูหยินไปตายจริงๆ เช่นนั้นขอให้…”

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ากับฉุนอวี๋ซื่อแม้ไม่มีความคิดจะร่วมเดิมพันนี้ กระนั้นชั่วขณะนี้หัวใจทั้งดวงกลับกระดอนขึ้น

“…ขอให้ใต้เท้าหลิงอดรับอนุนางบำเรอไปทั้งชีวิต!” เฉิงเซ่าซางพูดจบในอึดใจเดียว “เป็นอย่างไร คำสาบานนี้โหดเหี้ยมพอแล้วกระมัง” นางยิ่งพูดยิ่งเริงรื่น

ฮองเฮารีบเอียงหน้ากระแอมค่อยๆ ส่วนไจ๋เอ่าหลุดเสียงคิกออกมาโดยตรง ส่งผลให้สำลักน้ำลายต้องไอโขลกๆ

ใบหน้าขาวซีดของฉุนอวี๋ซื่อถูกยั่วโทสะจนกลับมาแดงอีกครา เล็บจิกจนผิวฝ่ามือแทบฉีกขาด

อย่างไรเสียชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าก็อายุมากแล้ว หายใจติดขัดจังหวะเดียวถึงกับหงายล้มไปตรงๆ ฉุนอวี๋ซื่อตะลีตะลานไปรับไว้

ตอนนี้เองนอกโถงตำหนักพลันแว่วเสียงหัวเราะหลายช่วง คนทั้งหมดเหลียวขวับไปมอง เห็นเยวี่ยเฟยย่างฝีก้าวเล็กอ่อนช้อยเข้ามาในโถงอย่างแช่มชื่น ตามมาด้วยฮ่องเต้ที่เอาสองมือไพล่หลัง ยามที่คนทั้งสองเดินเข้ามา มุมปากเยวี่ยเฟยยังคงอมยิ้ม นางมองเฉิงเซ่าซางเล็กน้อยก่อนเอ่ยหนึ่งประโยค “ที่แท้ว่าที่ภรรยาของจื่อเซิ่งเป็นเช่นนี้นี่เอง” ผิดกับฮ่องเต้ที่เหลือกตาใส่เฉิงเซ่าซางอย่างหัวเสีย

ผู้ที่ตามหลังเข้ามาอีกคือหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าที่เป็นตาเฒ่ารุ่มร่ามในเครื่องแต่งกายอันเป็นทางการ มือเขาคว้าตัวบุรุษวัยกลางคนในชุดขุนนางสีแดงชาดผู้หนึ่ง ฉุดกระชากพาอีกฝ่ายเข้ามาในโถงด้วย เฉาเฉิงผู้ดูแลตำหนักฉางชิวติดตามอยู่ด้านข้าง โน้มน้าวเสียงรัวให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าปล่อยมือ

คนที่อยู่หลังสุดถึงกับเป็นหลิงปู้อี๋ เขาก้าวเนิบนาบเข้ามา มองเฉิงเซ่าซางด้วยแววตาที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่พูดไม่จา

เฉิงเซ่าซางท่าทีเหี่ยวเฉาลงทันตา นางผลุบไปอยู่ด้านหลังฮองเฮา แล้วนั่งคุกเข่าเรียบร้อย สีหน้าทั้งซื่อตรงทั้งสงบเสงี่ยม

ฉุนอวี๋ซื่อหัวไวไม่หยอก เห็นกลุ่มคนพรวนยาวนี้เข้ามาในโถงก็สัมผัสได้ทันทีว่ารูปการณ์ชักไม่สู้ดี เรื่องในวันนี้น่ากลัวว่าไม่อาจลงเอยด้วยดีแล้ว จึงไม่กล้าทวงความเป็นธรรมอันใดต่อ คุกเข่าเข้าด้านข้างอย่างตกประหม่า เปิดทางให้ฮ่องเต้กับเยวี่ยเฟยผ่านไป

มีแต่ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าที่ยังโวยวายอย่างไม่รู้จักความเป็นความตาย “ฝ่าบาท เมื่อครู่ทรงได้ยินแล้วกระมัง เด็กต่ำช้านี่มีวาจาเหลวไหลเต็มปาก น่าอัปยศอดสู ต้องทรงลงโทษให้หนัก…”

“อาสะใภ้!” เยวี่ยเฟยไม่แม้แต่จะนั่งลง มาถึงก็เปิดฉากทันที “งานเลี้ยงในวังคราวก่อนข้าพูดไว้ว่าอย่างไร ท่านจะปฏิบัติเช่นไรกับฉุนอวี๋ซื่อข้าไม่อาจยุ่มย่าม หากท่านรู้สึกว่าหน้าใหญ่พอ จะไปดำเนินการเองก็ย่อมได้ แต่หากท่านคิดจะมาชี้มือวาดเท้าในวัง กลับไม่สามารถ!”

เผชิญหน้ากับเยวี่ยเฟย บารมีของชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าพลันลดฮวบลงหลายส่วน นางต้องผ่อนน้ำเสียงลงอย่างห้ามไม่อยู่ “ข้าเคยชี้มือวาดเท้าเมื่อไรกัน อย่างไรเสียเฉิงเซ่าซางก็เป็นผู้เยาว์ หรือข้าที่เป็นผู้ใหญ่แม้แต่จะถามสักประโยคยังไม่ได้! ร้องขอให้ผู้ใหญ่รักเอ็นดู ไม่ใช่หน้าที่อันพึงกระทำของผู้เยาว์หรือไรเล่า!”

เยวี่ยเฟยหัวเราะหึๆ อย่างไม่จริงใจ “อาสะใภ้ไม่ยักถือสาที่ตนเองพูดวางโต เซ่าซางใช่เป็นเพราะได้ท่านเอ็นดู จื่อเซิ่งจึงไปสู่ขอหรือ หนี่ว์อิ๋งต่างหากที่ท่านเอ็นดูนัก ทว่าจื่อเซิ่งไม่ชมชอบ แล้วนางได้แต่งไปหรือไร”

“ห้ามยกหนี่ว์อิ๋งมาเป็นประเด็นนะ!” ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าเดือดดาลหันไปตะคอกใส่สามีต่อ “ท่านเป็นคนตายใช่หรือไม่ เห็นหลานสาวถูกนางว่าร้าย ยังไม่เปล่งเสียงสักแอะ!”

“หุบปากนะยายแก่ ไม่ถึงคราวที่เจ้าจะมาอบรมข้า! หากไม่ใช่เจ้ายุยงหนี่ว์อิ๋งทั้งวี่วัน ข้าเลือกเขยดีๆ ให้นางแต่งงานใหม่ไปแต่แรกแล้ว!” พลังเสียงของหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าดังไม่ธรรมดาเช่นกัน

ฮองเฮานวดคลึงกกหูซึ่งถูกสะเทือนจนชา ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ท่านอา ท่านกับอวี๋โหวนั่งลงก่อนเถิด มีถ้อยคำใดค่อยพูดค่อยจากัน จื่อเซิ่งอย่ามัวนิ่งอยู่ พยุงท่านอ๋องผู้เฒ่านั่งลงสิ”

หลิงปู้อี๋ทำตามคำสั่ง พยุงให้ท่านอ๋องผู้เฒ่ากับอวี๋โหวนั่งลงแล้ว ค่อยขยับฝีเท้าไปนั่งเคียงข้างเฉิงเซ่าซางโดยมิต้องให้ใครบอก

เฉิงเซ่าซางเอียงหน้ามาอย่างระมัดระวัง ใช้รูปปากบอกเขาว่า ‘ขออภัยด้วย ข้าน่าจะก่อเรื่องอีกแล้ว’

หลิงปู้อี๋บีบใบหูนิ่มเล็กของนางหนึ่งทีอย่างฉับไว ก่อนใช้รูปปากตอบกลับ ‘เจ้าไม่ก่อเรื่องสิแปลก’ เขาขบคิดเล็กน้อยแล้วพูดเสริม ‘วางใจได้ มีข้าอยู่’

เฉิงเซ่าซางวางใจลง ขณะคิดจะเอ่ยวาจาซุกซนสักสองประโยค ฮองเฮาพลันเหลียวมาขึงตาใส่คนละหนึ่งที หนุ่มสาวสองคนจึงได้แต่เงียบเสียง

“…ฮั่วจวินหวาเป็นคนเยี่ยงไร เมื่อแรกเจ้าชิงชังนางอย่างกับอะไรดี เหตุใดวันนี้กลับพูดจาแทนนาง! มิใช่เพราะเจตนาจะงัดข้อกับข้าผู้เฒ่าหรือ!” ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ามองจนทั่วรอบหนึ่ง พบว่าแนวร่วมที่เป็นไปได้ถึงกับมีเยวี่ยเฟยผู้เดียว

“อาสะใภ้ แต่เล็กมาข้ามีอุปนิสัยเช่นไรท่านก็รู้อยู่” เยวี่ยเฟยหน้าขรึม “ความบาดหมางระหว่างฮั่วจวินหวากับข้านั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าแต่ไรมานางไม่เคยผิดต่อสกุลหลิง ยิ่งมิได้ผิดต่อหลิงปู้อี๋บุตรชายนาง!

นางมีน้ำใจไมตรีต่อหลิงอี้อย่างลึกล้ำ ช่วยพยุงสกุลหลิงในทุกรายละเอียด ทว่าหลิงอี้เล่า ภรรยากับบุตรชายไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไม่ถึงหนึ่งปีเลย ก็มีความสัมพันธ์ไม่ชัดแจ้งกับฉุนอวี๋ซื่อแล้ว เขาสู้หน้าสกุลฮั่วได้หรือ ส่วนหลิงปู้อี๋ ในตอนนั้นสงครามโกลาหล ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร สองคนแม่ลูกระหกระเหิน ฮั่วจวินหวาเอาเสื้อคลุมขนสัตว์ห่อบนร่างบุตรชาย อดมื้อกินมื้อเพื่อให้บุตรชายได้กินอิ่ม ถึงสู้ทนฟันฝ่ามาจนได้ เวลานั้นหลิงอี้อยู่ที่ใด อ้อ เขากำลังเตรียมตัวแต่งภรรยาคนใหม่อยู่สินะ!”

นางจงใจเอ่ยเยาะ “ตอนที่ฮั่วจวินหวาสืบเสาะกลับมาถึง นางก็ผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก กระทั่งข้ายังจำนางไม่ได้ด้วยซ้ำ ต่อให้นางมีพฤติกรรมย่ำแย่ แต่ก็เป็นมารดาที่ดีคนหนึ่ง นางมิได้ผิดต่อบุตรชาย เช่นนั้นหลิงปู้อี๋ก็ไม่อาจผิดต่อนางด้วยการไปประจบเอาใจอันใดฉุนอวี๋ซื่อ! แม้แต่หลิงอี้ออกปากก็ไม่ได้! วันนี้ข้าขอลั่นวาจาไว้ตรงนี้ ประเดี๋ยวข้าจะทูลขอพระบัญชาจากฝ่าบาทและฮองเฮา นับแต่นี้ไปหากฉุนอวี๋ซื่อไม่ถูกเรียกตัว ห้ามเข้าวังมาเป็นอันขาด!”

ฉุนอวี๋ซื่อได้แต่ก้มหน้าฟัง อับอายสุดประมาณ แทบจะประคองกายนั่งคุกเข่าไม่อยู่ ชั่วขณะนี้นางแสนแค้นตนเองที่ไม่อาจข่มใจให้เยือกเย็น มาหาเรื่องเฉิงเซ่าซางในวันนี้ ผลสุดท้ายจึงกลายเป็นรนหาความขื่นขมใส่ตัว

ใบหน้าชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าประเดี๋ยวเขียวปั้ดประเดี๋ยวแดงจัด สายตากวาดมองคนทั้งหมดรอบหนึ่ง “ดี ดีนัก วันนี้พวกเจ้าจงใจมาเพื่อจะตบหน้าข้านี่เอง!”

ไม่ทันขาดคำ นางพลันดึงปิ่นหลายอันบนศีรษะออก กระทืบเท้าสะบัดร่างแรงๆ สองสามหนจนเรือนผมที่บำรุงมาดีเยี่ยมสยายออกจนสิ้น จากนั้นออกฤทธิ์ออกเดชใส่ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท! ต่อให้ฉุนอวี๋ซื่อไม่ดีสักเพียงใดก็มีบุญคุณช่วยชีวิตข้าผู้เฒ่า วันนี้ทุกคนลบหลู่นาง เท่ากับลบหลู่อาสะใภ้ของพระองค์! หากวันนี้ทรงไม่ให้คำชี้แจงต่อข้าผู้เฒ่าสักข้อ ข้าผู้เฒ่าจะเอาศีรษะพุ่งชนให้ตายคาตำหนักฉางชิวนี่ ดูซิผู้คนทั่วหล้าจะพูดกันอย่างไร!”

“เจ้าจะหาที่ตาย?” หรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ายกมือทาบอก ตื่นเต้นระคนยินดีอย่างห้ามไม่อยู่

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่ารีบกลับคำ ตะโกนลั่นว่า “ก่อนตาย ข้าจะไปป่าวประกาศร้องทุกข์ข้างนอก ให้ผู้คนได้เห็นว่าฝ่าบาททรงปฏิบัติเยี่ยงไรกับอาสะใภ้ที่ให้การคุ้มครองพระองค์กับพี่น้องหลายคนจนเติบใหญ่ ดูซิว่าเกียรติภูมิอันดีงามของพระองค์ยังจะรักษาไว้ได้หรือไม่!”

ฮ่องเต้มีสีหน้าขุ่นเคือง ส่วนหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าตรงไปตะเบ็งเสียงพลางขยุ้มสาบเสื้อของอวี๋โหว หรือก็คือบุรุษวัยกลางคนในชุดขุนนางสีแดงชาดผู้นั้น “เจ้าดูสิ เจ้าดู นางเป็นหญิงบ้าเยี่ยงนี้นี่ล่ะ ทันทีที่ไม่ได้ดั่งใจก็อาละวาดจะเป็นจะตาย เมื่อแรกที่ข้าจะปลดชายา เป็นเจ้าพูดว่าภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากไม่อาจทอดทิ้ง ซ้ำออกความคิดแผลงๆ ให้ข้า บอกว่า ‘แยกกันอยู่ ไม่ต้องปลดชายา’ ให้ข้าไปนอกเมืองเป็นผู้บำเพ็ญพรตอันใดนั่น กระทั่งคัมภีร์เต้าเต๋อจิงข้ายังอ่านไม่กระจ่าง ยังจะไปบำเพ็ญพรตอันใดได้ มีชีวิตขมขื่นแท้ๆ! ได้ๆ ข้าไม่ปลดชายาแล้ว ตอนนี้ข้าจะหย่าขาดเลยได้หรือไม่ ข้าต้องการจะหย่า!”

อวี๋โหวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจติดๆ กัน

“ท่านกล้า?!” ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าโถมปราดไปขยุ้มแขนเสื้อสามี ทั้งทุบทั้งตีพลางร่ำไห้ก่นด่า “ข้าให้กำเนิดเลี้ยงดูบุตรธิดา ดูแลงานเรือนเพื่อท่าน ไม่มีคุณความดีก็มีความเหนื่อยยาก! ข้ายังมีบุตรชายสองคนออกรบเพื่อฝ่าบาทจนตัวตาย พวกท่านถึงกับกล้าทำกับข้าเยี่ยงนี้!”

หรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าออกแรงแงะมือภรรยาออกห่าง ก่อนด่ากลับไปบ้าง “ออกรบไหนเลยไม่มีคนตาย นั่นก็เป็นบุตรชายข้าเช่นกัน หรือว่าข้าไม่ปวดใจ สกุลอวี๋ของเขาไม่มีใครตายหรือไร มีแต่เจ้าเท่านั้นล่ะเที่ยวพร่ำพูดไปทั่วเช้าจรดค่ำ พาลไร้เหตุผลสิ้นดี!”

จบคำเขาก็หันไปโอดครวญกับอวี๋โหวต่อ “แม้แต่นักโทษก็ยังมีกำหนดเวลาจองจำ ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทรัพย์สินกับบุตรธิดาข้าแบ่งกับยายแก่นี่คนละครึ่งยังไม่ได้หรือ ทรัพย์สินให้นางทั้งหมดเลยก็ได้นะ ข้าสุดจะทนนางแล้ว! สักวันคนทั้งครอบครัวจะต้องถูกนางทำร้ายถึงตาย…”

ท่านอ๋องผู้เฒ่าแม้เอ่ยเกินจริงไปบ้าง ทว่าความนัยในวาจาทุกคนล้วนรับรู้แล้ว

อวี๋โหวกล่าวปนยิ้มเจื่อน “ใช่ว่าผู้เยาว์เจตนาจะทำให้ท่านอ๋องลำบาก แต่บัดนี้ฝ่าบาททรงสนับสนุนปรัชญาข่งจื่อ หากท่านอ๋องเป็นผู้ฉีกข้อปฏิบัตินี้ หย่าขาดภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก ก็คาดเดาไม่ได้ว่าบัณฑิตเหล่านั้นจะวิจารณ์กันเช่นไร” ร้ายแรงหน่อยอาจมีปัญหาพาดพิงถึงท่าทีที่ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อผู้มีคุณความชอบด้วย

ตอนนี้เองเยวี่ยเฟยพลันเอ่ยปากว่า “ท่านอาชอบความครึกครื้นเป็นที่สุด จะบำเพ็ญวิถีพรตที่ชวนหงุดหงิดนั่นไปไย ตามความเห็นข้านะ ควรให้อาสะใภ้ไปกล่อมเกลาจิตใจที่อารามซานไฉแห่งนั้นจึงจะถูก”

อวี๋โหวปรบมือยิ้มกล่าว “เยวี่ยเฟยตรัสถูกต้องยิ่ง นี่ช่างเป็นวิธีการอันดีพร้อม” ความจริงเขาเองก็มีความคิดเช่นนี้ เพียงแต่คนเป็นขุนนางไม่เหมาะจะอ้าปากเท่านั้นเอง

วาจากล่าวมาถึงขั้นนี้แล้ว ผู้คนจึงพร้อมใจกันใช้สายตาขอให้ฮ่องเต้มีรับสั่ง

ฮ่องเต้เอ่ยเนิบๆ “ชายาผู้เฒ่าแก่ตัวจนเลอะเลือน มักมีกิริยาคุ้มดีคุ้มร้าย เป็นเหตุให้เสียมารยาทเบื้องพระพักตร์ จงส่งตัวนางไปอารามซานไฉพักฟื้นให้เต็มที่เถิด เฉาเฉิง เจ้าจัดสรรกำลังคนในวังจำนวนหนึ่งไปที่อารามซานไฉ ดูแลอาสะใภ้ของเราให้ดีๆ อย่าให้คนนอกไปรบกวนนางได้”

ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าทรุดฮวบกับพื้นอย่างสิ้นแรง อารมณ์ตกตะลึงพรึงเพริดล้นใจ คล้ายยังไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น

ฉุนอวี๋ซื่อยิ่งประหวั่นพรั่นพรึงหาใดเปรียบ ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้สักนิด

เฉิงเซ่าซางมองดูสตรีทั้งสอง แล้วพลันยื่นหน้าไปถึงข้างหูหลิงปู้อี๋ “ฝ่าบาททรงอยากจัดการชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าทิ้งนานแล้ว?” ฮ่องเต้วางแผนไว้นานเท่าไรแล้วนี่ นางแค่คิดจะตัดขาดกับแม่เลี้ยงของสามีล่วงหน้า เปรียบกันแล้ว ฮ่องเต้มีปณิธานกว้างไกลกว่านางมากเลย

ดวงตาของหลิงปู้อี๋ดุจบึงน้ำลึก มองนางครู่หนึ่ง ก่อนคลี่ยิ้มตอบเบาๆ “หลังจากงานเลี้ยงในวังวันนั้น”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: