บทที่ 1
ความเป็นไปของโลกเราเปรียบประดุจกระแสน้ำ…มีขึ้นย่อมมีลง
แคว้นต้าเฉิน รัชศกหยวนคังปีที่สิบเจ็ด แคว้นเป่ยฉีบุกโจมตีเมืองตงจิงกะทันหัน ฮ่องเต้สวรรคต ปราศจากพระโอรส บ้านเมืองใกล้ล่มสลายเต็มที เคราะห์ดีที่จอมโจรเหยียนหลินลุกขึ้นสวมเกราะนิลเหินร่างประดุจลอยลงมาจากฟ้า เข้าหยุดยั้งทัพทหารม้าของฝ่ายศัตรู แคว้นต้าเฉินจึงได้มีโอกาสพักหายใจ
เชื้อพระวงศ์และขุนนางสนับสนุนผิงอ๋องขึ้นครองบัลลังก์ หลังระหกระเหินไปหลายที่สุดท้ายได้สร้างวังหลวงขึ้นมาใหม่ที่เมืองหลินอัน
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบกว่าปี
เจียงหนาน* เดือนสามฝนตกพรำๆ ดอกท้อ ดอกหลี่ดอกซิ่งร่วงหล่นเกลื่อนพื้น
ซ่งชิงกะพริบตา ฝืนระงับสีหน้าตื่นตะลึง
เมื่อสักครู่นี้เองเธอยังเป็นซ่งชิงราชินีจอเงินอยู่ในงานประกาศรางวัลงานหนึ่ง เพิ่งจะรับถ้วยรางวัลราชินีจอเงินมา ยังไม่ทันได้กล่าวสุนทรพจน์อันน่าเบื่อก็ถูกโคมไฟขนาดใหญ่เหนือศีรษะร่วงลงมาทับอย่างจัง
เธอคิดว่าเธอน่าจะเป็นราชินีจอเงินเพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ถูกโคมไฟทับตายออกอากาศสด ถ้ามีการจารึกชีวประวัติผู้ตายบนนั้นจะต้องเขียนคำว่า ‘ซวยเกินบรรยาย’ ไว้อย่างแน่นอน
ทว่าแค่กะพริบตาอีกครั้งเธอกลับพบว่าตนเองกลายมาเป็นหญิงสาวนามว่า ‘เฉินวั่งซู’ ที่กำลังนั่งอยู่บนรถม้าที่มุ่งหน้าไปยังชานเมืองร่วมกับหลี่ซื่อผู้เป็นมารดา
“วันนี้อุตส่าห์ได้ออกมาพักผ่อนหย่อนใจทั้งที ช่วงนี้ปลากุ้ย กำลังอ้วนท้วน พวกเราตกมาสักสองสามตัว แล้วเอากลับจวนไปให้แม่ครัวแล่ให้เจ้ากินสดๆ ดีหรือไม่…แม่รู้ว่าเจ้าไม่ชอบใจที่ฝ่าบาทตัดสินพระทัยยกเจ้าให้แต่งงานกับองค์ชายเจ็ด แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ไหนเลยจะยังแก้ไขได้”
หลี่ซื่อกล่าวพลางโอบซ่งชิงเข้ามาในอ้อมกอด “บุตรสาวข้า เจ้าฉลาดเป็นที่สุด การแต่งงานครั้งนี้ไม่มีผลประโยชน์ใดให้แสวงหา ในบรรดาองค์ชายทั้งหลายองค์ชายเจ็ดหาได้ทรงโดดเด่นไม่ แต่พระทัยดีมีพระเมตตา ส่วนตระกูลฝ่ายพระมารดาของเขาก็มิได้เด่นดัง พี่สาวเจ้าก็สิ้นบุญไปเนิ่นนานแล้ว หากเจ้าแต่งงานไปก็จะได้เป็นถึงพระชายาองค์ชายเจ็ด แม้ตระกูลเราจะมิได้ใหญ่โตดังเก่าก่อนแล้ว แต่บิดาและพี่ชายของเจ้าล้วนเป็นขุนนางในราชสำนัก อีกทั้งชื่อเสียงบารมีของท่านปู่ก็ยังมีอยู่”
ซ่งชิงพยักหน้าส่งๆ
ประสบเรื่องสะเทือนขวัญสองเรื่องติดกัน เธอไม่ได้ร้องแรกแหกกระเชอจนหน้าดำหน้าแดงเหมือนอย่างนักแสดงรุ่นพี่บางคนก็นับว่าวางตัวได้สมฐานะราชินีจอเงินแล้ว
สกุลเฉินเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ที่สูงศักดิ์และมีอำนาจมายาวนานนับร้อยปี นับตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษก็มีอัครมหาเสนาบดีมาแล้วสามคน เฉินเป่ยผู้เป็นปู่ของเฉินวั่งซูเคยดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองไคเฟิง ราชบัณฑิตแห่งหอหลงถูนามระบือเลื่องลืออยู่ยุคหนึ่ง
ยามที่แคว้นเป่ยฉีมารุกราน เฉินเป่ยรับพระราชโองการคุ้มกันชาวบ้านออกนอกเมือง และได้พลีชีพพร้อมกับบุตรชายอีกสองคน จงรักภักดีต่อบ้านเมืองตราบจนลมหายใจสุดท้าย
แม้จะได้รับชื่อเสียงในทางที่ดี แต่ที่สุดแล้วคนจากจร ชาร้อนกลายเป็นเย็นคนตายไหนเลยจะสู้คนเป็นได้ เมื่อเปลี่ยนแผ่นดินก็เท่ากับเปลี่ยนขุนนาง บ้านใหญ่สกุลเฉินปรากฏแววเสื่อมถอย มิได้มีเกียรติเช่นเมื่อก่อนแล้ว
จวบจนช่วงปีใหม่มิรู้สิ่งใดดลใจฮ่องเต้ถึงได้เลือกเฉินวั่งซูเป็นพระชายาองค์ชายเจ็ด บ้านใหญ่สกุลเฉินถึงมีคนจดจำขึ้นมาได้อีกครั้ง
เพียงไม่นานรถม้าก็หยุดลง ครั้นซ่งชิงลงจากรถม้าตามหลี่ซื่อก็ต้องตกใจ
เมื่อก่อนตอนถ่ายหนังถ่ายละครใช่ว่าจะไม่มีป่าท้อให้เห็น เพียงแต่นั่นเป็นแค่ฉากที่ใช้ดอกไม้ปลอมมาปัก หรือไม่ก็เป็นกิ่งไม้ท่อนไม้แห้งๆ ไม่กี่กิ่งแล้วค่อยไปตัดต่อเพิ่มภาพเอาทีหลัง
วันนี้ได้มาเห็นเองกับตา ท้องฟ้าครึ่งแถบล้วนเป็นสีชมพู พอลมพัดมาดอกไม้ก็ร่วงกลาดเกลื่อน ไม่ว่าจะหยุดสายตาตรงจุดใดก็ได้ภาพคู่ยวนยาง ป่าล้วงหินรูปหัวใจเจ็ดก้อนออกมาสาบานครองคู่กันชั่วชีวิตทั้งสิ้น ช่างดูเป็นทัศนียภาพที่งดงามและหวานชื่นรื่นรมย์ไปหมดทุกหนแห่ง
“เอ่อ…” ขณะที่ซ่งชิงกำลังถูกทัศนียภาพอันงดงามทำให้งงงวย กลับพบว่าหลี่ซื่อที่อยู่ข้างกายได้โจนทะยานไปอยู่ใต้ต้นท้อต้นหนึ่งราวกับม้าป่าหลุดบังเหียน ก่อนจะโถมเข้าเกาะลำต้น
ท่าทางเช่นนั้น…
ซ่งชิงลนลานเล็กน้อย ถ้าเธอจำไม่ผิด หลี่ซื่อผู้เป็นมารดาของร่างนี้ของเธอก็เป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่เช่นกัน
แล้วนี่อะไร คิดจะชกเจิ้นกวนซี ถอนโคนต้นหลิว อย่างนั้นหรือ
ภาพนี้ออกจะไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง!
ยังดีที่หลี่ซื่อดูคล้ายจะคิดอะไรได้ นางทำหน้าบึ้งแล้วฉุดซ่งชิงเข้าไปหา สองแม่ลูกหลบอยู่หลังต้นท้อด้วยกัน
ซ่งชิงไม่เข้าใจสาเหตุจึงลดเสียงเอ่ยเตือนว่า “ต้นท้อมีขนาดไม่ใหญ่ มิใช่หินก้อนยักษ์”
ไก่ฟ้าไม่ห่วงหาง อย่างน้อยก็ยังห่วงหัว ต้นท้อนี้จะช่วยบังอะไรได้บ้าง คนหันมาหน่อยเดียวก็เห็นหมดแล้ว เห็นชัดถึงขนาดที่ว่าบนหน้ามีรอยย่นกี่รอย
หลี่ซื่อยกมือขึ้นชี้ด้วยท่าทางเดือดดาล ซ่งชิงมองตามไปก็รู้สึกเพียงว่าในหัวปวดเหมือนจะระเบิด
ให้ตายเถอะสวรรค์ สองเรื่องสะเทือนใจในหนึ่งวันยังไม่พอ ยังส่งเรื่องที่สามมาอีก!
หากบนป้ายหลุมศพของซ่งชิงสลักคำว่า ‘ซวยเกินบรรยาย’ เช่นนั้นบนป้ายหลุมศพของเฉินวั่งซูก็จะต้องสลักคำว่า ‘ซวยเกินพรรณนา’
ผ่านไปครู่ใหญ่ซ่งชิงก็ถอนหายใจยาวอย่างสุดจะกลั้น
เธอนึกว่าการที่ตนเองมาเกิดใหม่ในร่างผู้อื่นเป็นเรื่องมหัศจรรย์พันลึกแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าจะถึงกับทะลุเข้ามาในนิยายที่มีชื่อว่า ‘ตำนานหลิ่วอิง’
ตำนานนี้เล่าถึงบุตรสาวขุนนางตำแหน่งเล็กๆ นามว่าหลิ่วอิงที่ได้เป็นอนุขององค์ชายเจ็ดผู้เป็นสหายวัยเยาว์ จากนั้นค่อยๆ ก้าวขึ้นมาอยู่เหนือผู้คน ตอนจบของเรื่องหลิ่วอิงใช้ปัญญาและความงามช่วยองค์ชายเจ็ดสังหารกบฏเหยียนเจวี๋ย
หลังองค์ชายเจ็ดได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็ให้ความโปรดปรานหลิ่วอิงเพียงผู้เดียว ฮองเฮาเฉินวั่งซูที่เกิดริษยาคอยใส่ร้ายหลิ่วอิงทุกวิถีทางก็คือตัวร้ายแสนอำมหิตตัวที่สองในนิยาย ท้ายที่สุดก็เป็นเหมือนนิยายที่ซ้ำซากจำเจทุกเรื่อง เฉินฮองเฮาไม่ได้ตายดี หลิ่วอิงเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ชั่วชีวิต สุดท้ายก็ได้อยู่จนเป็นถึงไทเฮา
‘ติ๊ง!’
‘โฮสต์ ได้อ่านเนื้อหานิยายโดยคร่าวจบแล้ว
เป้าหมาย : ทำความปรารถนาของเฉินฮองเฮาให้เป็นจริง ทำให้องค์ชายเจ็ดเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
รางวัล : โฮสต์สามารถกลับโลกเดิมและความปรารถนาจะเป็นจริงหนึ่งเรื่อง’
ซ่งชิงฟังเสียงอิเล็กทรอนิกส์ในโสต ดวงตาพลันสว่างวาบขึ้นมาทันที
แม้เธออยู่ที่นี่จะมีชีวิตมั่งคั่ง มีเกียรติ และอยู่ดีกินดีเช่นกัน แต่สมัยโบราณเป็นที่ที่ดีเสียที่ใด อยู่บ้านต้องพึ่งพาบิดาและพี่ชาย ออกจากบ้านต้องพึ่งพาสามี แต่พึ่งพาอะไรก็มิสู้พึ่งพาตนเอง!
ตัวซ่งชิงมีฝีมือการแสดงอยู่แถวหน้า ได้รับความนิยมและโด่งดังมากในวงการบันเทิง พอได้เป็นราชินีจอเงินอะไรก็ง่ายไปหมด ต้องการสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น เหลือก็แค่คว้าตัวหนุ่มหล่อสักคนมาปรนนิบัติพัดวี ถ้าสามารถกลับไปได้ ใครมันจะไปอยากอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีแม้แต่ชักโครก ซ้ำยังต้องใช้ผู้ชายร่วมกัน!
ซ่งชิงมีความหวังแล้วก็มีท่าทางกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด
‘แต่ฉันถูกโคมไฟทับแบนแต๊ดแต๋ไปแล้ว กลับไปไม่ต้องไปนอนกินดินอยู่ในโลง?’
เสียงจากระบบปราศจากระลอกคลื่นรบกวน ‘กลับไปในชั่วพริบตาก่อนถูกโคมไฟหล่นใส่ คุณมีโอกาสหลบพ้น’
ซ่งชิงโล่งใจได้เปลาะหนึ่ง ความรักสวยรักงามของเธอเป็นที่รับรู้กันทั่ว เธอซ่งชิงต่อให้ตายแล้วก็ยังต้องเป็นผีสาวที่สวยที่สุด เธอไม่อยากกลายเป็นผลแตงที่ถูกทับเละ
‘ความปรารถนาอะไรก็ได้? เช่นสั่งให้คู่ปรับของฉันคุกเข่าเรียกฉันว่าแม่?’
ระบบชะงักไปชั่วครู่ มนุษย์ล้วนแต่ต้องการภูเขาเงินภูเขาทองและอำนาจบารมี มีใครที่ไหนต้องการเหมือนหญิงสาวคนนี้บ้าง…
‘ได้’
ซ่งชิงดีใจจนยกยิ้มที่มุมปาก ไม่รู้ว่าระบบจะมองเห็นหรือไม่
‘อย่าว่าฉันอย่างนั้นอย่างนี้เลย แต่พวกคุณไปคุ้ยตำนานหลิ่วอิงเรื่องนี้ออกมาจากสมัยดึกดำบรรพ์ใช่ไหม พล็อตซ้ำซากสุดๆ แต่ยังไงตอนนี้ฉันก็ว่างจากการถ่ายหนัง จะกล้ำกลืนฝืนใจลองแสดงเรื่องนี้ดูหน่อยก็แล้วกัน มีฉันซ่งชิงอยู่ ใครหน้าไหนก็อย่าหวังจะมาเป็นตัวเอก’
นับตั้งแต่วันนี้ไปตัวเอกจะชื่อว่าเฉินวั่งซูเท่านั้น
ทำให้พระเอกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป? นี่ยังไม่ชัดอีกหรือ ก็คือต้องทำให้พระเอกตามง้อขอนางคืนดีอย่างไรเล่า!
เฉินวั่งซูคนก่อนไม่เข้าใจ แต่เฉินวั่งซูคนนี้เข้าใจในชั่วขณะเดียว
ชายโฉดหญิงชั่วที่ยืนทำหน้าเอียงอาย แผ่กลิ่นเหม็นเปรี้ยว* อยู่ในป่าท้อนั่นไม่ใช่องค์ชายเจ็ดกับหลิ่วอิงหรือไร
องค์ชายเจ็ดมีท่าทางสง่าผ่าเผย ดูมีความเที่ยงธรรมและใจบุญสุนทาน ถึงจะไม่มีเค้าโครงเรื่องที่ระบบแนะแนว ซ่งชิงก็มองออกได้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้เป็นแค่องค์ชายธรรมดาๆ เหมือนที่หลี่ซื่อพูดเมื่อครู่ก่อนอย่างเด็ดขาด
ส่วนหลิ่วอิงผู้นั้น…นางหันหลังให้ทางด้านนี้ภาพจึงย้อนแสง แต่ลำพังดูจากรูปร่างที่เล็กอ้อนแอ้นกลับดูเหมือนเป็นแม่นางจากแดนใต้ คิดว่ายามเอ่ยปากพูดจะต้องไพเราะนุ่มนวลชวนให้คนชื่นชอบ
เนื้อเรื่องตรงนี้ก็คือ ‘หลิ่วอิงใช้แผนการพิสูจน์ตัวตนในป่าท้อ องค์ชายเจ็ดผลาญเงินต้อนรับสหายวัยเยาว์ในงานเลี้ยงวสันต์’
บทที่ 2
“นางแพศยาหน้าไม่อาย! กลางวันแสกๆ ยังไม่อายผู้คน เช่นนั้นก็จะให้นางได้สมใจ ทำให้คนทั้งเมืองได้รู้จักใบหน้านี้เสียเลย องค์ชายเจ็ดทรงกระทำเรื่องน่าอัปยศก่อน ต่อให้ต้องถูกถอดตราตั้ง แม่ก็ต้องช่วยถอนหมั้นให้เจ้าให้ได้!”
เมื่อครู่นี้เฉินวั่งซูได้เรียบเรียงความคิด ในใจมีแผนการแล้ว
แต่แล้วก็ได้ยินหลี่ซื่อที่ด้านข้างเปล่งเสียงบริภาษอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ต้นท้อนั้นนางถอนไม่ไหว แต่วันนี้มาตกปลาก็ต้องนำคันเบ็ดมาด้วยมิใช่หรือ
หลี่ซื่อผละมือจากต้นท้อ ก่อนยกมือหยิบคันเบ็ดหมายจะพุ่งตัวไป เฉินวั่งซูสายตาว่องไว คว้าแขนนางไว้ทันที
“ท่านแม่!” พอเรียกคำนี้ออกจากปากครั้งแรกได้ก็ราบรื่นขึ้นมากแล้ว
เฉินวั่งซู…นางเคยแสดงหนังมามากปานนั้น เปลี่ยนมารดามาเป็นสิบคน หลี่ซื่อผู้นี้มีท่าทางสุภาพอ่อนโยน ใบหน้ากลมเกลี้ยง เรียวคิ้วดวงตาเป็นเส้นโค้ง ดูเป็นคนอารมณ์ดีและน่าอยู่ใกล้
มีเพียงยามนี้ที่เป็นเรื่องของบุตรสาวถึงได้ร้อนใจจนมีสภาพเช่นนี้
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ให้ใจอ่อน กล่าวด้วยความจริงใจเพิ่มขึ้นหลายส่วน “ท่านแม่อย่าวู่วามจนทำให้พวกเขาสมปรารถนา ข้ายังไม่ทันแต่งงานไปก็ร้อนรนทนไม่ไหวไปยุ่งเรื่องขององค์ชายเจ็ดเสียแล้ว ผู้อื่นจะมองอย่างไรเล่าเจ้าคะ”
หลี่ซื่อเองก็ร้อนใจจนเลอะเลือน พอถูกเฉินวั่งซูพูดเช่นนี้ทั้งตัวคนก็ประหนึ่งถูกน้ำเย็นราดใส่ครึ่งหนึ่ง ทำให้ใจเย็นลงหลายส่วน
“ผู้อื่นคงมิพ้นจะพูดว่าบุตรสาวของสกุลเฉินเรา พูดว่าข้าเฉินวั่งซูจิตใจคับแคบ ขี้อิจฉาริษยา อีกประการหนึ่งคนตรงนั้นมาดีหรือมาร้ายพวกเราก็ยังไม่รู้ ชาติตระกูลเป็นอย่างไรยิ่งไม่กระจ่างแม้แต่น้อย หากมาจากตระกูลใหญ่โตก็เท่ากับมีคู่แข่งตัวฉกาจเพิ่มมาคนหนึ่ง หากมาจากตระกูลเล็กๆ เดิมทีก็เหยียบเข้าประตูใหญ่จวนอ๋องไม่ได้อยู่แล้ว เอะอะไปกลับจะยิ่งทำให้นางได้สมปรารถนาแทน…ท่านแม่ลองคิดดูก่อน ที่แห่งนี้พวกเรามาเป็นครั้งแรก ผู้ใดเป็นคนบอกท่านเจ้าคะ”
หลี่ซื่อหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะเก็บคันเบ็ดลง
เฉินวั่งซูมองสองคนที่อยู่ไม่ไกลพลางลอบเหลือกตา
ข้าไม่ไปเปิดโปงพวกเจ้าหรอก จะทำให้ชายโฉดหญิงชั่วอย่างพวกเจ้าได้อกแตกตาย!
เนื้อเรื่องในนิยายคือเฉินวั่งซูที่อายุน้อยด้อยประสบการณ์ได้เปิดโปงคนทั้งสอง หลิ่วอิงจึงได้นั่งเกี้ยวเล็กเข้ามาเป็นอนุในจวนอ๋องและได้ตั้งครรภ์ก่อนเฉินวั่งซูจะได้แต่งเข้าไป
ถึงจะต้องเกลือกกลั้วกับบุรุษเส็งเคร็งเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ แต่ก็ต้องทำให้พวกมันกลัดกลุ้มใจ ไม่สมปรารถนา ให้พวกเราได้ชมดูหาความบันเทิงเริงใจเสียก่อนมิใช่หรือ
เฉินวั่งซูกระตุกมุมปาก แล้วจึงรีบจูงมือหลี่ซื่อเดินออกจากป่า
ทางด้านหลิ่วอิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่ด้านหลังก็กอดแขนองค์ชายเจ็ดแน่นขึ้นเล็กน้อย
ไม่ถูกต้อง! เฉินวั่งซูผู้นั้นทำตัวเกะกะระรานจนเป็นนิสัยแล้ว ไฉนจึงอดกลั้นได้ปานนี้ นางเดินจากไปได้อย่างไรกัน!
ทว่านางก็หากังวลไม่ ชนชั้นสูงที่มาท่องเที่ยวที่นี่ในวันนี้มิได้มีเฉินวั่งซูเพียงคนเดียว ขอเพียง…
บ่าวไพร่ของสกุลเฉินล้วนรออยู่ในบริเวณร่มรื่นนอกป่า ครั้นมองเห็นเจ้านายทั้งสองคนเดินออกมาแล้วก็ลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ ใครๆ ก็รู้กันทั่วว่าที่วันนี้นายหญิงใหญ่มาตกปลาหาใช่เพื่อปลากุ้ยอะไรเสียที่ใด แต่เพื่อมาสนทนากับคุณหนูรองเป็นการส่วนตัวต่างหาก
“เมื่อวันก่อนฝนมาก น้ำในแม่น้ำเพิ่มสูง น้ำขุ่นคลั่ก คิดว่าคงตกไม่ได้ปลา พาข้ากับท่านแม่ไปส่งที่หอกวนไห่ก็แล้วกัน” เฉินวั่งซูกล่าวพลางประคองหลี่ซื่อขึ้นรถม้า จากนั้นก็กวักมือเรียกเฉินเจามากระซิบข้างหูเขาหลายคำ
เฉินเจาผู้นี้คือบ่าวชายที่คอยวิ่งทำธุระให้นางโดยเฉพาะ เป็นบ่าวในจวนของคนสกุลเฉินมาทุกรุ่น มีความจงรักภักดีเป็นอันมาก
หลังพวกนางจากไปได้ไม่นานก็มีอีกครอบครัวมาถึง คนขับรถม้าคันนั้นรีบหยุดม้าแล้วกระโดดลงมา “นายหญิงใหญ่ มีต้นไม้แก่ล้มอยู่กลางทาง ขวางทางไปต่อ ดูจากรากนั้นเน่าหมดแล้ว เกรงว่าเป็นเพราะวันก่อนฝนตกมาก ทำให้รากบวมจนผุพัง จะให้ย้ายออกไปหรือไม่ขอรับ”
สตรีบนรถม้าเลิกม่านขึ้นดู เห็นเพียงหนุ่มน้อยสวมงอบแบกคันเบ็ดผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน “ไปถามดู”
คนขับรถม้าเข้าใจความหมายจึงก้าวเดินไปทันที
หนุ่มน้อยผู้นั้นส่ายศีรษะ ถกแขนเสื้อขึ้นเกา เห็นเพียงบนนั้นมีตุ่มสีแดงอยู่หลายตุ่ม แค่เห็นก็รู้ว่าเกิดจากยุงกัด
เขาคล้ายไม่ตระหนักว่าทำเช่นนี้ออกจะไม่งาม กดเสียงต่ำพูดด้วยท่าทางปลิ้นปล้อนว่า “หึๆ ในป่านั้นมีคณิกาชั้นสูง หึๆๆ! งดงามเหลือเกิน ข้านั่งอยู่ใต้ต้นท้อตั้งนาน ถูกยุงกัดไปทั้งตัว แต่ก็คุ้มกันแล้ว!”
สตรีบนรถม้าได้ยินใบหน้าก็ราวกับฉาบด้วยน้ำแข็ง รีบปล่อยม่านลงทันควัน ก่อนเร่งให้คนขับรถม้าพาออกไปจากที่นี่
ผู้ที่มาท่องเที่ยวกว่าครึ่งเป็นสตรี ในจำนวนนี้มีหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนอยู่ไม่น้อย จะมาถูกหญิงงามเมืองทำให้ระคายสายตาได้อย่างไร!
เฉินวั่งซูสั่งงานเฉินเจาแล้วก็อยากให้ท้ายทอยของตนมีตางอกอยู่ใจจะขาด จะได้มองเห็นเรื่องบันเทิงในป่าท้อนั่น
นางไม่เชื่อหรอกว่านอกจากมดแมลงแล้ว หลิ่วอิงผู้นั้นยังจะรอจนมีคนเป็นๆ ไปพบได้อีกแม้แต่ครึ่งคน
เฉินวั่งซูมาเยือนหอกวนไห่บ่อยครั้ง นางชอบกินสัตว์น้ำ ปลากุ้ยของหอกวนไห่นี้รสเลิศไม่เป็นรองใคร นางจึงนับว่าเป็นแขกประจำในช่วงนี้ของทุกปี
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านนำทางนางขึ้นไปยังห้องส่วนตัวบนหอเล็กอย่างคุ้นลู่คุ้นทาง
เฉินวั่งซูสั่งอาหารที่มีความทรงจำว่าหลี่ซื่อชอบกินเสร็จก็กอดแขนของหลี่ซื่อไว้ เอาหน้าซุกไซ้คลอเคลียกับไหล่อีกฝ่าย
“ท่านแม่ไม่ต้องหงุดหงิดใจไป ไยต้องไปมีน้ำโหกับคนชั้นต่ำ แม้พวกเราจะไม่ได้ตกปลากัน แต่ก็นับว่าได้ออกจากจวนมาพักผ่อนหย่อนใจมิใช่หรือเจ้าคะ หากท่านแม่อยากตกปลา คราวหน้าพวกเราก็ไปที่หมู่บ้านกันเถิด ก่อนหน้านี้พี่สะใภ้ยังเปรยอยู่ว่ารอดอกบัวบานแล้วจะชวนข้าไปขุดรากบัว ถึงเวลานั้นพวกเราก็ไปตกปลาให้หนำใจกันเลย”
ในเรือนมีสาวใช้อยู่จำนวนมาก แม้จะล้วนเป็นคนสนิทที่ไว้ใจได้ของหลี่ซื่อ แต่เรื่องที่บังเอิญได้เห็นในวันนี้จะอย่างไรก็ไม่อาจพูดต่อหน้าผู้อื่นได้
หลี่ซื่อเห็นว่าท้ายที่สุดแล้วยังต้องให้เฉินวั่งซูออดอ้อนกล่อมให้ตนเองเบิกบานจึงถอนหายใจ เผยรอยยิ้มออกมาในที่สุด นางลูบศีรษะเฉินวั่งซูก่อนกล่าวยิ้มๆ “อากาศร้อนแล้ว ให้แม่ดื่มชาดีๆ เถิด”
“ท่านแม่ร้อนแล้ว ข้าเปิดหน้าต่างระบายอากาศให้ท่านนะเจ้าคะ ห้องส่วนตัวนี้ข้ามานั่งบ่อย เปิดหน้าต่างแล้วจะมองเห็นทิวทัศน์ทะเลสาบและวัดวาอารามได้ งดงามยิ่งนัก”
เฉินวั่งซูกล่าวพลางเดินไปข้างหน้าต่าง เปิดบานหน้าต่าง ก่อนจะใช้ไม้ค้ำหน้าต่างค้ำไว้
ทว่าจะอย่างไรนางก็ไม่ใช่เฉินวั่งซูตัวจริง คุ้นเคยกับของพวกนี้เสียที่ใด พอมือเล็กเกิดสั่นไม้ค้ำนั้นก็ร่วงลงถูกศีรษะคนด้านล่างอย่างจัง
ผู้ที่ถูกไม้หล่นใส่สวมชุดตัวยาวสีแดงเพลิง อยู่ดีๆ ก็ถูกของหล่นใส่ศีรษะเขาจึงแหงนหน้าขึ้นมาด้วยอารามมึนงง
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็สูดหายใจแรง ทำอย่างไรดี! ข้าเรียกปีศาจจิ้งจอกออกมาแล้ว!
ถึงแม้ขณะนางอยู่ในวงการบันเทิงจะเคยเห็นคนหล่อทั้งหนุ่มทั้งแก่มานักต่อนัก แต่ก็ไม่เคยเห็นใครดูดีปานนี้มาก่อน
หากกล่าวว่าองค์ชายเจ็ดดูมีท่าทางเที่ยงธรรม เช่นนั้นคนตรงหน้านี้ก็ดูท่าทางชั่วร้าย
ในใจของเฉินวั่งซูยามนี้มีเพียงความคิดเดียว วันนี้พานจินเหลียนจะต้องฉุดซีเหมินชิ่ง* ให้ได้!
นางคิดพลางหน้าแดงน้อยๆ กระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนจะเอ่ย “คุณชาย ข้าเสียมารยาทแล้ว”
คุณชายที่อยู่ด้านล่างผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าหน้าตาดีเกินไป ดูท่าในหนึ่งวันคงจะถูกผู้ที่ชื่นชมในความงามทำของหล่นใส่จากที่สูงไม่น้อยจึงได้คร้านที่จะสนใจ เขานวดศีรษะเล็กน้อยและเก็บท่อนไม้ท่อนนั้นโยนทิ้ง ก่อนย่างเท้าเดินจากไป
“คุณหนู นั่นมิใช่คุณชายเหยียนแห่งจวนฮู่กั๋วกง หรือเจ้าคะ คุณชายเหยียนมีชื่อเสียงขจรขจายในทางไม่ดี หากพวกเราไปทำอะไรให้ทางนั้นไม่พอใจเข้า เกรงว่าคงได้ถูกด่าประณามเป็นแน่” ผู้ที่พูดคือมู่จิ่นหัวหน้าสาวใช้ของเฉินวั่งซู
คุณชายเหยียน? นั่นมิใช่เหยียนเจวี๋ยตัวร้ายตัวเป้งในนิยายหรือไร
เฉินวั่งซูคึกคักสดชื่นขึ้นมาแล้ว ‘ระบบ เป้าหมายภารกิจของฉันคืออะไรนะ’
‘ทำความปรารถนาของเฉินฮองเฮาให้เป็นจริง ทำให้องค์ชายเจ็ดเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป!’
‘ดูท่าก่อนหน้านี้ฉันจะตีโจทย์ไปผิดทางแล้ว นี่คือต้องการให้ฉันเป็นพระชายาองค์ชายเจ็ดแล้วโค่นล้มหลิ่วอิง ทำให้องค์ชายเจ็ดหลงรักแต่ไม่สมหวัง ต้องตามง้อภรรยา กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่เสียที่ไหน…
นี่ชัดเจนว่าต้องการให้ฉันแต่งงานกับยอดคนงาม…ไม่ใช่สิ แต่งงานกับยอดตัวร้ายเหยียนเจวี๋ย แล้วร่วมมือกับเขาชิงแผ่นดินจากองค์ชายเจ็ด เล่นงานจนองค์ชายเจ็ดต้องคุกเข่าร้องเรียกบิดา น้ำตาไหลรินเป็นสายเลือด เจ็บแค้นใจไปชั่วชีวิตต่างหาก!’
ระบบชะงักงัน
‘โฮสต์ คุณวิกลจริตไปแล้ว!’
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.