บทที่ 11
ความคิดในหัวเฉินวั่งซูแล่นเร็วรี่ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่กลับมิได้เผยออกมาทางสีหน้า เดินตามอาสะใภ้สามเฉียนฝูหรงไปหาฮู่กั๋วกงฮูหยินผู้นั้นอย่างสง่าผ่าเผย
มาร่วมงานเลี้ยงวสันต์ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปทักทายเจ้าภาพก่อน
“เคยได้ยินชื่อเสียงอันดีงามของคุณหนูรองเฉินมานานแล้ว วันนี้ได้พบ มีรูปโฉมกิริยามารยาทเหมาะสมอย่างที่คิดไว้จริงๆ มิรู้เหมือนกันว่าเจวี๋ยเอ๋อร์ของข้าจะมีบุญวาสนาเช่นเดียวกับองค์ชายเจ็ดหรือไม่” ฮู่กั๋วกงฮูหยินเอ่ย
สกุลเฉินเป็นตระกูลบัณฑิตเก่าแก่ สกุลเหยียนเป็นตระกูลแม่ทัพที่เพิ่งเฟื่องฟู เมื่อก่อนอยู่กันคนละโลก แม้แต่ชมบุปผายังไม่ชอบไปที่เดียวกันด้วยเกรงว่าเห็นกันแล้วจะเหม็นน้ำหน้า
ฉะนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เฉินวั่งซูได้พบฮู่กั๋วกงฮูหยินจริงๆ
เฉินวั่งซูหน้าแดงน้อยๆ คารวะฮู่กั๋วกงฮูหยิน “ฮูหยินชมเกินไปแล้ว คุณชายเหยียนเป็นผู้ทรงความรู้ความสามารถ ฮูหยินจะต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮู่กั๋วกงฮูหยินปิดปากหัวเราะขึ้นมาทันที “มาเยือนจวนข้าแล้วก็ทำตัวให้เหมือนอยู่บ้าน ไม่ต้องระวังตัวจนเกินไป ไปหาคนรู้จัก ดื่มชาชมบุปผาด้วยกันตามสบาย หากมีสิ่งใดติดขัดก็มาบอกข้าได้เต็มที่”
เฉินวั่งซูยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ เสร็จแล้วจึงไปหาที่ที่ไม่สะดุดตานั่งลงด้วยกันกับเฉียนฝูหรง
นางหมั้นหมายแล้ว วันนี้แค่มาเป็นตัวประกอบให้งาน ทั้งยังเป็นว่าที่พระชายาองค์ชายเจ็ด ขอเพียงฮู่กั๋วกงฮูหยินมิได้โง่เขลาก็จะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างเป็นมิตร ไม่มีความจำเป็นต้องเล่นอุบายขัดขานาง
เฉียนฝูหรงนั่งลงแล้วก็คว้าเมล็ดแตงขึ้นมากำหนึ่งก่อนลดเสียงกล่าวทันที “วันหน้าเจ้าแต่งงานออกไปแล้วก็ต้องไปมาหาสู่กับพวกเขาบ่อยครั้ง อาสะใภ้สามจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก ฮู่กั๋วกงฮูหยินนี้มีแซ่ว่าอู๋ นามว่าหงซวง นางเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุของอู๋เจียงหัวหน้าตุลาการแห่งศาลต้าหลี่ คิดไม่ถึงว่าจะมีวาสนาขนาดได้เป็นฮูหยินของกั๋วกง นึกถึงตอนกระโน้น นางเคยถูกโจรภูเขาลักพาตัวไปด้วย”
เฉินวั่งซูประหลาดใจจนเกือบจะส่งเมล็ดแตงเข้าจมูกแทนปาก แม่สามีในอนาคตผู้นี้ของนางมีชีวิตประหลาดอัศจรรย์ปานนี้ นี่นางเป็นนางเอกหรือไร!
เฉียนฝูหรงโยนเมล็ดแตงทิ้ง คว้าเมล็ดเหอเถา มาเมล็ดหนึ่ง ใช้มือเปล่าแกะเปลือกกิน “เจ้าคิดถูกแล้ว ก็ถูกฮู่กั๋วกงเหยียนหลินในเวลานั้นลักพาตัวไปนั่นล่ะ ปัจจุบันไม่มีใครกล้าเอ่ยถึง แต่ตอนนั้นเป็นข่าวครึกโครมทีเดียว”
นางพูดพลางบุ้ยปากไปทางหนุ่มน้อยในเสื้อตัวยาวสีน้ำเงินไพลิน เด็กผู้นั้นดูมีอายุราวสิบสามสิบสี่ปี ใบหน้ากลมๆ ยังมีแก้มยุ้ยอยู่บ้าง ดูละม้ายคล้ายกับฮู่กั๋วกงฮูหยินอยู่ถึงแปดส่วน
“อู๋ซื่อมีบุตรชายสองคน คนหนึ่งติดตามฮู่กั๋วกงไปต้านทัพศัตรูที่ด่านชายแดน นามว่าเหยียนจิ่น ส่วนอีกคนก็คือหนุ่มน้อยผู้นี้ นามว่าเหยียนอวี้ เล่าเรียนอยู่ในสำนักศึกษาเดียวกับน้องชายเจ้า”
นี่คือน้องสามีที่แม่สามีให้กำเนิดในภายหลัง วันหน้าไม่แน่ว่าอาจจะต้องกำจัดทั้งหมด ต้องจำไว้ให้แม่นก่อน เพราะหากตัวร้ายฆ่าผิดคนก็ไม่น่าเกรงขามแล้ว
เฉียนฝูหรงชี้คนที่นางรู้จักให้เฉินวั่งซูดูอีกหลายคน…พูดจนคอแห้งถึงค่อยกล่าวว่า “เห็นคนที่พูดมากตรงนั้นหรือยัง นั่นคือฮูหยินรองตุลาการถังแห่งศาลต้าหลี่”
เฉินวั่งซูคึกคักขึ้นมาแล้ว มีฮูหยินรองตุลาการถังอยู่ เช่นนั้นก็ควรมีหลิ่วอิงผู้เป็นนางเอกอยู่ด้วยจึงจะถูก นางคิดพลางมองไปตามสายตาของเฉียนฝูหรง เป็นไปตามคาด มองเห็นที่ด้านข้างฮูหยินรองตุลาการถังมีหญิงสาวที่แต่งกายเหมือนต้นหอมสีเขียวนางหนึ่งยืนอยู่จริงๆ
วันนั้นที่ป่าท้อนางมองเห็นเพียงแผ่นหลังของหลิ่วอิงซึ่งดูเล็กอ้อนแอ้นยิ่งยวดเหมือนเป็นหญิงสาวผู้อ่อนหวานจากทางใต้ จึงได้คิดเปรียบนางเป็นดอกไม้ขาว อันงดงามหยาดเยิ้ม
ทว่าคราวนี้ได้เห็นหน้ากลับชวนให้คนคาดไม่ถึง
หลิ่วอิงไม่เพียงหน้าตาไม่งามหยาดเยิ้ม กลับยังมีความองอาจผึ่งผาย ดูไปแล้วเหมือนเป็นคนวัยหนุ่มสาวที่แยกไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายผู้หนึ่ง
ทว่าใบหน้านั้นดูดีอย่างมาก สันจมูกเล็กแต่โด่ง ปากแดงโดยมิต้องแต้มชาด ดวงตาสองข้างทั้งโตทั้งเป็นประกายประหนึ่งมีดวงดาราบรรจุอยู่เต็ม
ขณะเฉินวั่งซูคิดถึงคำพรรณนาเหล่านี้ก็อดจะตัวสั่นสะท้านไม่ได้ นี่ต้องเป็นศัพท์สำนวนในนิยายรักเกรดซีที่ระบบกรอกเข้าสมองนางอย่างไม่ต้องสงสัย
จะอย่างไรในยุคสมัยนี้คนเป็นนางเอกในดวงตาต้องมีดวงดาวซ่อนอยู่กันทั้งนั้น
ไม่เหมือนกับนาง นางรู้สึกว่าในดวงตาตนเองมีดวงอาทิตย์อยู่
เฉินวั่งซูใจลอยไปประเดี๋ยวเดียว หลิ่วอิงที่ก่อนหน้านี้ยังยืนอยู่ข้างกายฮูหยินรองตุลาการถังก็หายตัวไปแล้ว ในระหว่างนั้นมีเหล่าสตรีเข้ามาอีกจำนวนมาก แต่ละนางแต่งองค์ทรงเครื่องงามพริ้งเพราราวกับเป็นนกยูงหาคู่
เฉินวั่งซูมองเหยียนเจวี๋ย เขายังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จับจี้หยกพกอันหนึ่งเล่น เสมือนว่าเรื่องที่บีบแตกไปอันหนึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็มิปาน
พอเห็นเฉินวั่งซูมองมาเหยียนเจวี๋ยกลับยกมุมปากแย้มยิ้มบนใบหน้า
เฉินวั่งซูรีบเก็บสายตากลับมา ในใจท่องคาถาชำระใจอย่างรวดเร็ว อายุสั้นลงแน่ๆ! โชคดีที่นางร่างกายแข็งแรง มิเช่นนั้นมีหวังถูกปีศาจจิ้งจอกตัวผู้ตัวนี้กระชากวิญญาณไปแล้ว!
ไม่เพียงแค่นาง พอเหยียนเจวี๋ยยิ้มเช่นนี้บริเวณโดยรอบก็มีหญิงสาวจำนวนไม่น้อยพากันกระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมา บรรยากาศจึงเริ่มเดือดพล่านในทันใด
“คุณหนูรอง ชุดของคุณหนูของบ่าวเปื้อนแล้วเจ้าค่ะ” ผู้ที่พูดเฉินวั่งซูรู้จัก นางก็คือหงไถสาวใช้ข้างกายเฉินสี่ผิง “สภาพเหตุการณ์ในวันนี้ท่านเองก็ได้เห็นแล้ว คุณหนูของบ่าวเกรงว่าคงถูกคนลอบกลั่นแกล้งเข้าแล้ว จึงใคร่ขอให้คุณหนูไปช่วยสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูยังไม่ทันได้ตอบอันใด เฉียนฝูหรงก็เอ่ยปากขึ้นก่อนแล้ว “บ่าวทั้งสาวทั้งชรามีเป็นโขยงยังอุตส่าห์เกิดเรื่องอะไรได้อีกหรือ ซ้ำยังเจาะจงมาเรียกวั่งซูไปอีก พี่สาวร่วมอุทรของนางเองมิใช่อยู่ที่นี่เช่นกันหรือไร”
หงไถชักจะร้อนใจ “พระชายาองค์ชายสามกำลังเล่นซวงลู่** อยู่กับฮูหยินท่านอื่น…พวกท่านล้วนเป็นญาติพี่น้องครอบครัวเดียวกัน…”
เฉินวั่งซูยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “อาสะใภ้สามนั่งรอก่อนนะเจ้าคะ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็มา กินเมล็ดแตงแล้วมือเหนียวอยู่พอดีเชียว ว่าจะไปล้างเสียหน่อย”
ล้อเล่นกันรึ ที่นางเปลืองสมองไปก่อนหน้านี้ก็มิใช่เพื่อรอละครโรงใหญ่ในวันนี้หรือไร
บัดนี้ละครสนุกเริ่มโหมโรงแล้ว นางที่เป็นตัวเอกจะไม่ขึ้นเวทีไปดูให้ชัดกับตาได้อย่างไรเล่า!
หงไถโล่งใจ “คุณหนูของบ่าวรอท่านอยู่ที่ใต้ต้นซิ่งทางนั้นเจ้าค่ะ ชุดเปื้อนแล้ว นางจึงอายที่จะเดินมา”
เฉินวั่งซูพยักหน้า ก่อนพามู่จิ่นเดินไปตามทางเล็กที่มุ่งหน้าไปยังใต้ต้นซิ่ง
เดินได้ครู่ใหญ่ก็ยังไม่เห็นเงาคน ทว่าผู้คนรอบข้างกลับบางตาลงแล้ว
หงไถเห็นเฉินวั่งซูไม่ถามไม่ไถ่แม้แต่คำเดียวก็พูดขึ้นอย่างอดไม่ไหว “บางทีคุณหนูของบ่าวอาจจะรอไม่ไหวแล้ว จึงล่วงหน้าไปเปลี่ยนชุดที่เรือนด้านข้างก่อน ที่หอเหวินเซียง ทางด้านหน้านั้นเองเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูเหยียดมุมปากอย่างหมดคำจะกล่าว สมองของหงไถผู้นี้เหมือนไร้รอยหยัก ทักษะการแสดงแค่นี้ต้องเป็นคนทึ่มทื่อเพียงใดถึงจะรู้สึกว่านางมิได้มีเจตนาร้าย
ทว่าตนเองเป็นนักแสดงฝีมือดีผู้หนึ่ง นึกถึงคนที่เคยเล่นประกบกันในสมัยก่อน ปากนับแค่หนึ่งถึงเจ็ดนางยังสามารถแสดงบทร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาได้อย่างเหลือเชื่อ แค่นี้นับเป็นอะไรกัน
“คุณหนูเจ้าคะ ข้าคือหงไถ คุณหนูรองมาแล้วเจ้าค่ะ”
หอเหวินเซียงแห่งนี้เป็นเรือนเล็กเรือนหนึ่ง อยู่ใกล้กับทะเลสาบยิ่ง ดูท่าทางน่าจะเป็นสถานที่หลบร้อนในฤดูร้อน ในลานเรือนปลูกต้นไผ่ไว้จำนวนมาก งอกงามเขียวชอุ่ม ยามลมโชยมาก็เกิดเสียงดังซ่าๆ
เฉินวั่งซูเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ เดินเข้าไปในป่าไผ่สองสามก้าว “ตายจริง มู่จิ่น เจ้าดูสิ ตรงนี้มีหน่อไม้ด้วย”
นางพูดพลางชายตามอง หงไถคนโง่งมผู้นั้นทำท่าโล่งใจแล้วเผ่นจากไปมิผิดจากที่คาด
มู่จิ่นที่ยืนอยู่ข้างกายนางเกาศีรษะ “คุณหนู จะให้บ่าวไปจับตัวนางกลับมาหรือไม่เจ้าคะ บ่าววิ่งเร็วยิ่ง”
บทที่ 12
เฉินวั่งซูรู้สึกว่าตนเองอัดอั้นตันใจอยู่บ้าง
หงเหนียงสาวใช้ในเรื่องบันทึกหอตะวันตก* นั่นที่สามารถเป็นแม่สื่อจับชายงามมาส่งให้พบกับคุณหนูได้เป็นคนเฉียบแหลมช่างเอาใจใส่ตั้งเท่าใด
แต่วกกลับมาดูสาวใช้จอมเซ่อผู้นี้ของนางสิ ไม่เห็นหรือว่านางเปลืองแรงไปมหาศาลกว่าจะสร้างโอกาสปลีกตัวอย่างราบรื่นให้หงไถผู้นั้นได้
หน่อไม้ไม่กี่หน่อมีอะไรน่าดูกัน เก็บกลับไปผัดกับเนื้อไม่ได้ อีกทั้งยังไม่ได้มีใบหน้าอันงดงามของเหยียนเจวี๋ยอยู่บนนั้นอีก
หงไถไม่ไป ความเหนื่อยยากของคนเหล่านั้นที่ล่อนางมาชมละครจะไม่เสียเปล่าไปสิ้นหรือไร
เฉินวั่งซูคิดพลางลุกขึ้นยืน ก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งมาเช็ดดินที่เปื้อนมือตอนที่สัมผัสหน่อไม้
มู่จิ่นเห็นแล้วก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ “คุณหนูมีผ้าเช็ดหน้าสีแดงสดปานนี้ตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ ไม่เข้ากับชุดสีบัวขาบนี้เลย”
เฉินวั่งซูปัดมือ ก่อนจะยัดผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นใส่ในแขนเสื้ออย่างส่งๆ “อ้อ เมื่อครู่มือข้าสกปรก หงไถจึงนำมาให้ข้าใช้เช็ดมือ ข้าเองก็ไม่ได้คิดว่าตัวนางจะสมชื่อถึงขั้นนี้ แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าก็ต้องใช้สีแดงตามชื่อ**”
มู่จิ่นส่ายศีรษะ นางไม่เข้าใจ ตนเองยังสาว สายตาก็ยังไม่ฝ้าฟางเสียหน่อย แต่ไฉนจึงไม่เห็นเลยว่าหงไถส่งผ้าเช็ดหน้าให้คุณหนูของตนเช็ดมือตั้งแต่เมื่อไร
เพราะถูกขัดจังหวะเช่นนี้หงไถจึงหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
มู่จิ่นเห็นเฉินวั่งซูเดินไปทางประตูห้องหลักของหอเหวินเซียงแล้ว จึงโยนความข้องใจในสมองทิ้งไปแล้วกุลีกุจอตามไป ขณะเตรียมจะชิงไปเคาะประตูก็มองเห็นคุณหนูของตนเจาะกระดาษกรุหน้าต่างเป็นรูอย่างชำนิชำนาญ
จากนั้นก็เอาตัวแนบประตูพลางลอบมองผ่านรูนั้น
มู่จิ่นหันกายขวับมองไปข้างหลัง เคราะห์ดีที่ที่นี่มีคนน้อย ไม่มีใครผ่านมา มิเช่นนั้นเรื่องที่คุณหนูของนางมีพฤติการณ์ไม่งามเพียงนี้คงถูกเปิดโปงหมดสิ้น
นางคิดพลางโล่งอก พอหันหน้ากลับมากลับมองเห็นเฉินวั่งซูหัวเราะมีเลศนัย ล้วงท่อพ่นควันยาสลบออกมาจากในแขนเสื้อ ท่าทางนั้นเหมือนเป็นตัวร้ายตัวฉกาจบนเวทีการแสดงเลยทีเดียว
มู่จิ่นปิดปากโดยพลันด้วยกลัวตนเองจะส่งเสียงร้องออกมา
ครั้นสติเริ่มเข้าที่ก็ก้าวปานกระโดดไปแย่งท่อพ่นควันยาสลบมาจากมือของเฉินวั่งซู ก่อนจุดไฟด้วยอาการมือสั่น จากนั้นก็สอดเข้าไปในรูที่เจาะไว้เรียบร้อย ครั้นไฟเผาได้พอสมควรแล้วก็รีบเก็บกลับมา ซ่อน ‘หลักฐานความผิด’ ที่เหลือเข้าในแขนเสื้อด้วยอาการสั่นระริก
เฉินวั่งซูดีใจที่ไม่ต้องลงมือเอง นางกอดอกเงี่ยหูฟัง เพียงไม่นานที่ด้านในก็ไม่มีเสียงการเคลื่อนไหวแล้ว ทั้งลานเรือนได้ยินเพียงเสียงแมลงเป็นครั้งคราว
เฉินวั่งซูมองลอดรูนั้นเข้าไปแล้วก็ส่งเสียงยินดีออกมาทันควัน
นางรู้อยู่แล้วว่าหลิ่วอิงผู้นั้นล้มเหลวจากแผนการในป่าท้อก็จะต้องสำแดงฤทธิ์ครั้งที่สองอีกแน่นอน นี่คือเจตนาจะพลอดรักให้นางดูอย่างไรเล่า
แต่น่าเสียดายที่คนซึ่งพึงใจกันก่อนหน้านี้บัดนี้ได้นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียงในสภาพเหมือนหมูตายแล้ว
เฉินวั่งซูยืดตัวยืนตรง พอผลักเบาๆ ประตูก็เปิดออก
จริงดังคาด ประตูที่เจตนารอคนมาเปิดจะปิดสนิทได้อย่างไรเล่า
นางคิดพลางเดินเข้าไป มู่จิ่นที่ตามเข้าประตูมามองเห็นคนข้างในก็ร้องด้วยความตกใจในทันที “คุณหนู นี่มิใช่องค์ชายเจ็ดหรอกหรือเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูทำท่าตบมืออย่างไม่แยแส ก่อนชี้หลิ่วอิงที่ฟุบอยู่บนกายองค์ชายเจ็ด “อย่าเพิ่งถามอะไร เจ้าแรงเยอะ อุ้มนางขึ้นมาแล้วยัดเข้าใต้เตียงเสีย”
มู่จิ่นพลันสะกดกลั้นโทสะในใจไว้ แล้วจับยัดตัวหลิ่วอิงเข้าไปอย่างไม่ทะนุถนอมตามคำสั่งของเฉินวั่งซู
เฉินวั่งซูมองดูพลางโคลงศีรษะ ก่อนย่อตัวลงดึงมือของหลิ่วอิงให้โผล่ออกมาเล็กน้อยเพื่อที่คนจะมาเหยียบได้สะดวก
“เช่นนี้ค่อยดีหน่อย ไปกันเถอะ”
นางพูดพลางเดินออกนอกห้อง มู่จิ่นรีบตามไปและปิดประตูไว้ให้เรียบร้อย
ลมพัดป่าไผ่เกิดเสียงเสียดสีเบาๆ
มู่จิ่นอดจะประหม่าขึ้นมาไม่ได้ แม้จะไม่กระจ่างว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ แต่นางรู้ว่าวันนี้คุณหนูของนางเจอเรื่องเดือดร้อนแล้วแน่นอน หรือควรกล่าวว่านางจะก่อเรื่องใหญ่แล้วดี…
มู่จิ่นกำมือพลางมองที่พื้นก่อนหน้านี้ปราดหนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีร่องรอยควันยาสลบเหลือทิ้งไว้ถึงค่อยโล่งใจ
“มามารู้หรือไม่ว่าขนมน้ำตาลขาวในจวนทำอย่างไร ไฉนเวลากินจึงนุ่มกว่าของที่อื่นมาก ท่านย่าของข้าชอบกิน แต่นางฟันไม่ดี…ข้าอยากเรียนตำรับนี้ไว้เผื่อจะได้แสดงความกตัญญูต่อท่านย่าสักเล็กน้อย แต่หากมามาลำบากใจ ข้าไปถามฮูหยินก่อนก็ได้”
บ่าวหญิงสูงวัยผู้นั้นได้ยินก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มหวาน “คุณหนูรองเฉินเกรงใจเกินไปแล้ว คุณหนูชอบขนมนี้ ฮูหยินของบ่าวมีแต่จะดีใจแทบไม่ทัน มิต้องไปถามหรอกเจ้าค่ะ นี่ไม่นับเป็นความลับอะไร คนในครัวล้วนรู้กันทั้งสิ้น เพียงแค่ใส่นมแพะลงไปหน่อย…ตระกูลของคุณหนูมาจากทางเหนือ ย่อมต้องทราบวิธีขจัดกลิ่นคาว บ่าวขอไม่รำขวานหน้าบ้านหลู่ปันแล้ว ขอแค่เติมนมแพะเวลากินเนื้อก็จะละเอียดและอ่อนนุ่มแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูเอ่ยถามปริมาณต่ออย่างละเอียด ทว่าหางตากลับเหลือบมองไปที่ทางแยกตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้หงไถก็บอกว่าเฉินสี่ผิงจะรอนางอยู่ตรงนี้ นี่เป็นทางที่ต้องผ่านเพื่อไปยังหอเหวินเซียงอันเป็น ‘เวทีแสดง’
ครั้นพอเห็นเงาร่างที่คาดไว้รีบร้อนเดินผ่านไปแล้ว เฉินวั่งซูถึงได้ยกมุมปาก กล่าวขอบใจบ่าวหญิงสูงวัยนางนั้น “ขอบใจมามามาก ของเล็กๆ น้อยๆ นี้มิมีค่าอะไร ขอมามาอย่าได้ปฏิเสธ”
นางพูดพลางล้วงแท่งเงินเล็กๆ แท่งหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ เห็นได้ชัดว่าเป็นของที่เหลือมาจากตอนปีใหม่ บนนั้นยังมีอักษรคำว่า ‘เฉิน’ สลักไว้ตัวเล็กๆ อีกด้วย
บ่าวหญิงสูงวัยผู้นั้นได้รับโชคโดยคาดไม่ถึงก็ดีใจจนปิดปากไม่ลง รีบประสานมือคารวะ จวบจนพาเฉินวั่งซูไปส่งถึงที่นั่งข้างเฉียนฝูหรงแล้วก็ยังคงยิ้มแฉ่งเห็นฟันเรียงซี่
“ไฉนเจ้าจึงไปนานนัก ข้าเห็นเด็กจากบ้านรองผู้นั้นกลับมาดื่มชานานแล้ว”
เฉียนฝูหรงกล่าวพลางหยิบลำไยแห้งลูกหนึ่งมายื่นให้เฉินวั่งซู
เฉินวั่งซูบิเปลือกส่งเนื้อเข้าปากอย่างไม่เกรงใจ ก่อนมองไปยังเฉินสี่ผิงตามสายตาเฉียนฝูหรง นางผุดลุกผุดนั่งรออยู่ตรงนั้น ครั้นเห็นเฉินวั่งซูก็ตกใจจนตัวสั่น รีบร้อนเบนสายตาหนี
เฉียนฝูหรงขมวดคิ้ว “เจ้ามิได้ถูกเอาเปรียบกระมัง หากถูกเอาเปรียบ คอยดูอาสะใภ้จะฟาดกะโหลกนางให้แตกเชียว”
เฉินวั่งซูรู้สึกอบอุ่นในใจมาก นางยกชาขึ้นดื่มตัดรสหวานเลี่ยนของลำไยแห้ง “อาสะใภ้สามกล่าวอะไรกันเจ้าคะ ข้าเคยถูกเอาเปรียบด้วยหรือ ข้าแค่มัวสอบถามตำรับขนมน้ำตาลขาวอยู่ตรงโน้น ท่านย่าชอบกินของหวาน ขนมกินมากก็ไม่ย่อย ข้าเห็นว่าขนมของจวนนี้ทำได้ดี จึงได้ถามมากหน่อย”
เฉียนฝูหรงเพิ่งจะวางใจลงได้ก็มองเห็นบ่าวหญิงสูงวัยผู้หนึ่งของฮู่กั๋วกงฮูหยินเดินมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เฉินฮูหยิน คุณหนูรองเฉิน ฮูหยินของบ่าวได้ภาพอักษรมาใหม่ เห็นว่าเป็นสมบัติล้ำค่าฝีมือยอดปรมาจารย์นักเขียนอักษร จึงใคร่ขอให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านช่วยไปให้คำวิจารณ์ดูสักหน่อยเจ้าค่ะ”
เฉียนฝูหรงยังไม่ทันตอบคำใด เฉินวั่งซูก็ยิ้มพลางลุกขึ้นยืนแล้ว “มามานำทางเถิด ไม่ว่าเป็นเรื่องใดก็จงอย่าเขียนไว้บนหน้าให้ผู้อื่นระแคะระคาย ท่าทางเช่นนี้ของมามาไม่เหมือนมาเชิญพวกข้าไปชมภาพอักษรเลย”
บ่าวหญิงสูงวัยผู้นั้นชะงักงันไปเล็กน้อย ก่อนเหยียดยิ้มออกมา “คุณหนูรองเฉินฉลาดปราดเปรื่องยิ่ง เชิญตามบ่าวมาก่อนเจ้าค่ะ”
เฉินวั่งซูทอดสายตามองไป มีคนสองสามคนเดินผ่านทางแยกนั้นไปแล้ว
ฮู่กั๋วกงฮูหยินกำลังสนทนากับพระชายาองค์ชายสาม ส่วนที่ด้านหลังนั้นมีฮูหยินติดตามอยู่หลายท่าน ในสวนเอะอะอึกทึก หญิงสาวไม่น้อยกำลังเล่นโยนศรเล่นซวงลู่กันอยู่ และยังมีบางส่วนแย่งกันไปล่องเรือ หรือไม่ก็ขับร้องเพลงบรรเลงดนตรีไปตามประสา หมายใจจะใช้โอกาสนี้ทำตัวให้เข้าตาของใครสักคน
ดูเหมือนหามีใครค้นพบความผิดปกติทางด้านนี้ไม่
เฉินวั่งซูหลุบตาลง หึ ล้วนเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทกันทั้งนั้น
สิ่งที่นางมิได้สังเกตเห็นคือเหยียนเจวี๋ยที่ยืนอยู่ใต้ต้นซิ่งต้นหนึ่ง ในมือถือกาสุรา กำลังมองนางอย่างสนอกสนใจ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.