บทที่ 130
เฉินวั่งซูกุมหน้าผาก เป็นจริงตามคาด…เหยียนเจวี๋ยทำเรื่องอ้อมไปตั้งไกลก็เพื่อรอสิ่งนี้!
ที่กล่าวว่า ‘กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนใหม่’ พูดปากเปล่าไปย่อมไม่มีประโยชน์ เหยียนเจวี๋ยต้องการยืนหยัดในแคว้นต้าเฉินให้ได้ เช่นนั้นการเป็นขุนนางก็เป็นเส้นทางที่ต้องเดิน
ทว่าตลอดมาฮ่องเต้เพียงให้ความโปรดปรานตามใจแต่ผิวเผิน ไม่เคยมอบหมายงานใดให้เหยียนเจวี๋ย แม้แต่คราวนี้ในราชสำนักมีคนเสนอให้แต่งตั้งบรรดาศักดิ์และมอบหมายงานแก่องค์ชายทั้งหลายเป็นการฝึกประสบการณ์ องค์ชายแปดจะได้ไม่เอาแต่ชนไก่แข่งสุนัขในเมืองจนหาความสงบไม่ได้อยู่ทุกวี่วัน…ก็เป็นเช่นนี้นี่ล่ะ ฮ่องเต้ที่ปากพร่ำบอกว่าเหยียนเจวี๋ยเป็นเสมือนบุตรชายแท้ๆ ของเขา แต่ยังคงไม่ได้นับเหยียนเจวี๋ยเข้าไปอยู่ในแผนด้วยอยู่ดี
มิเช่นนั้นหัวหน้าทหารยามที่ยืนอยู่หน้าประตูวังจะเอ่ยปากเตือนเขาด้วยความหวังดีว่าให้พยายามอาศัยอานิสงส์จากลมหนุนหอบนี้ด้วยได้อย่างไร
ยังไม่พูดถึงว่าจะอาศัยได้หรือไม่ ต่อให้อาศัยได้ นั่นก็คงเป็นเหมือนซุนอู้คงรับตำแหน่งปี้หม่าเวิน มอบตำแหน่งลอยๆ ที่ไม่สลักสำคัญให้เขาได้ใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ อย่างมีหน้ามีตา
หรืออย่างแย่ที่สุดอาจจะถูกบอกว่า ‘เจ้าเลิศเลอเกินไป รับตำแหน่งใหญ่แล้วก็ต้องถูกคนแทงข้างหลังไปชั่วชีวิต ว่าไปแล้วก็เป็นแค่สุสานบรรพบุรุษผุดควันเขียว เป็นผู้ได้รับความเมตตาจากบรรพบุรุษเพียงเท่านั้นเอง’
เหยียนเจวี๋ยรักษาชีวิตรอดในแคว้นต้าเฉิน เช่นนั้นยันต์คุ้มกายแรกก็คือตำแหน่งจิ้นซื่อ
นับตั้งแต่สถาปนาแคว้นต้าเฉินขึ้นมาก็แทบไม่เคยฆ่าจิ้นซื่อเลย หากเขาเป็นอาจ…
สามปีสอบหนึ่งหน ปีนี้เฉินฉางเยี่ยนพี่ชายของเฉินวั่งซูเพิ่งจะสอบไป หากเหยียนเจวี๋ยต้องการสอบก็ยังต้องรอก่อน แต่ถ้าเปิดสอบเคอจวี่รอบพิเศษ เช่นนั้นก็ต่างออกไปแล้ว…
บัญชีนี้เฉินวั่งซูเชื่อว่า ‘ท่านประธานบริษัทเหยียนเจวี๋ย’ คิดได้ชัดเจนทุกบรรทัด แม้แต่ผมเส้นเดียวก็ไม่ยอมขาดทุน
แต่เกรงว่าเขาคงจะลืมความน่ากลัวของการถูกท่านพ่อตาจัดการไปแล้ว?
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็ลอบมองเหยียนเจวี๋ยแวบหนึ่ง เขาเม้มปาก ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางประหนึ่งว่าเรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาก็มิปาน
พอรู้สึกได้ถึงสายตาของเฉินวั่งซูเหยียนเจวี๋ยก็หันหน้ามายิ้มให้นาง
ครั้นคำเสนอแนะของคนผู้นั้นถูกกล่าวออกมา ในตำหนักใหญ่ก็มีเสียงคล้อยตามดังเซ็งแซ่
ฮ่องเต้มององค์ชายสามผ่านๆ ปราดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะดังลั่น “การรับผู้มีความสามารถมาทำงานเป็นเรื่องน่ายินดีของแว่นแคว้น เราอนุญาต!”
เขากล่าวแล้วมองมหาบัณฑิตแซ่โต้วผู้หนึ่ง “มหาบัณฑิตโต้วเข้มงวดที่สุด ได้ยินข่าวว่าปกติลูกศิษย์สิบคนมีเก้าคนถูกท่านดุจนร้องไห้ เนื่องจากบนระเบียนเขียนผิดหลายคำ อีกทั้งเขียนได้ไม่ลื่นไหล ทว่าศิษย์เก้าคนนี้ของเขาดันล้วนเป็นเสาหลักของราชสำนักทุกคน เรื่องการสอบพิเศษในปีนี้ก็มอบให้มหาบัณฑิตโต้วแล้ว จะต้องเลือกดาวเหวินชางออกมาให้เราอย่างเข้มงวดกวดขันให้ได้!”
มหาบัณฑิตโต้วก้าวออกมาประสานมือคำนับ “พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ฝ่าบาท เรื่องเวลาการจัดสอบพิเศษนี้ยังต้องหารือกันอีก บัดนี้ล่วงเข้าเดือนเก้าแล้ว กว่าข่าวจะแพร่ออกไป บัณฑิตเหล่านั้นต่อให้เร่งเดินทางมาสอบยังเมืองหลินอันก็เกรงว่าจะต้องใช้เวลาไม่น้อย”
ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างลวกๆ “ท่านร่างระเบียบการมาแล้วกัน”
มหาบัณฑิตโต้วอ้าปาก คล้ายว่าอยากกล่าวอะไร แต่สุดท้ายก็ส่ายศีรษะเบาๆ แล้วถอยหลังกลับไป
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็มองมหาบัณฑิตโต้วอีกปราดหนึ่ง นางจดจำไว้ในใจแล้ว
ฮ่องเต้รู้สึกปลาบปลื้มยินดีอย่างเห็นได้ชัด “ขุนนางรักทั้งหลาย วันนี้สวรรค์ประทานโชคดีมาให้ทั้งที วันพรุ่งนี้เราจะจัดงานเลี้ยงในวัง ร่วมเฉลิมฉลองงานใหญ่ด้วยกันกับขุนนางรักทั้งหลาย”
ในตำหนักใหญ่มีเสียงอวยพรดังกึกก้อง
เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยสบตากัน ในใจมีแต่ความเหยียดหยาม ฮ่องเต้กระหายเพียงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มิผิดจากที่คาด เขาให้ความสำคัญกับนิมิตมงคลในครั้งนี้เสียปานนี้ ต่อจากนี้ก็แทบจะคาดการณ์ถึงสภาพนิมิตมงคลผุดเป็นดอกเห็ดในที่ต่างๆ ได้เลย
ครั้นคนทั้งสองเดินออกจากประตูวังและขึ้นรถม้าแล้วก็เริ่มพูดคุยกัน
เฉินวั่งซูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา “ละครฉากนี้ของท่านไม่เลวเลย คืนนี้ข้าจะพาท่านไปชมละครฉากใหญ่อีกฉาก”
เหยียนเจวี๋ยเห็นนางอารมณ์ดีก็หยิบห่อกระดาษเล็กๆ ห่อหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ “ลูกพลับตากแห้งฝีมือมามาชรานางหนึ่ง หวานมาก เจ้าลองชิมดู ละครของเจ้าไม่มีที่ไม่สนุกอยู่แล้ว”
ในใจเฉินวั่งซูสะดุดกึก นางจ้องมองเหยียนเจวี๋ยอย่างจริงจังตั้งใจ เหยียนเจวี๋ยกลับไม่ระย่อ ดูเหมือนพูดไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง
เขาว่าแล้วก็หยิบลูกพลับตากแห้งชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน
เฉินวั่งซูแววตาวูบไหว ใช้ปลายเท้าสะกิดรองเท้าหุ้มแข้งของเหยียนเจวี๋ย “หากเปิดการสอบเคอจวี่รอบพิเศษท่านมั่นใจหรือไม่”
เหยียนเจวี๋ยแย้มยิ้ม “ตอนดึกที่ยอดดวงใจหลับสนิทแล้ว ข้าลุกขึ้นมาอ่านหนังสือตลอดเชียวนะ ข้านำบทความที่เขียนไปให้พี่ภรรยาดูแล้ว เขาบอกว่าแม้จะยังขาดอะไรไปบ้าง แต่ก็ใช่จะไม่มีโอกาสเจอโชคหล่นทับ”
เฉินวั่งซูมีท่าทางเหมือนบอกว่าคิดไว้มิผิด “ใช่หรือไม่เล่า การที่พอร้องก็ทำคนตะลึง* นี้ดีก็จริงอยู่ แต่ถ้าเกิดไม่ได้ร้องกลับจะไม่ค่อยดีแล้ว หากท่านยังเตรียมตัวไม่พร้อมก็ไม่ต้องร้อนใจ พวกเราไปเผ่ามู่ซี ตามรอยแผนที่นั่นไปสืบเรื่องให้แน่ชัดกันก่อนก็ได้ ช่วงนี้ทางด้านฮู่กั๋วกงฮูหยินรวมถึงในวังล้วนปลีกตัวไม่ได้ คนที่มาลอบสังหารและเล่นงานพวกเราต่างน้อยลงแล้ว ชาติกำเนิดของมารดาท่านเกรงว่าคงจะมีความลับใหญ่หลวงแอบซ่อนอยู่ รู้เขารู้เราถึงจะรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ข้ากลับรู้สึกว่าพวกเราสามารถวางเรื่องอื่นไว้ก่อนได้ อาศัยเรื่องนี้ขององค์ชายสามทำให้ในเมืองวุ่นวาย จากนั้นก็รีบไปเผ่ามู่ซีแล้วรีบกลับมา”
เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า “เผ่ามู่ซีต้องไป สอบเคอจวี่ก็ต้องสอบ หากเป็นการสอบเคอจวี่รอบฤดูใบไม้ผลิปกติข้าต้องสอบไม่ผ่านเป็นแน่ แต่ว่าการสอบเคอจวี่รอบพิเศษนั้นไม่เหมือนกัน จัดขึ้นด่วนเกินไป มีคนมากมายที่ถึงจะได้รับข่าวก็ยังเร่งรุดมาเมืองหลินอันไม่ทัน การสอบเคอจวี่มีเพียงหนเดียว ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากได้อันดับสูงกันทั้งนั้น บรรดาคนที่เพิ่งสอบตกไปในปีนี้ เพื่อความปลอดภัยก็ไม่แน่ว่าจะมาเข้าร่วม ด้วยกลัวว่าหากได้อันดับรั้งท้ายจะก้าวหน้าได้ยาก แต่ข้าไม่เหมือนกัน ผู้อื่นต้องสอบได้จ้วงหยวนถึงจะสบาย คนไม่เอาไหนอย่างข้าขอเพียงสามารถสอบได้จิ้นซื่อก็เป็นน่าตื่นตะลึงของคนทั้งหลายแล้ว อีกอย่างมหาบัณฑิตโต้วผู้คุมสอบใหญ่ผู้นั้นให้ความสำคัญกับบทวิจารณ์การปกครองที่สุด จุดนี้ข้าค่อนข้างถนัด ติดแค่ลายมือน่าเกลียดไปบ้างเท่านั้น”
เดิมทีเฉินวั่งซูอยากจะเหยียดหยามเหยียนเจวี๋ยสักยก แต่เห็นเขาดูถูกตนเองก็ไม่พอใจขึ้นมา “ท่านเป็นตัวไม่เอาไหนเสียที่ใดกัน ท่านฉลาดมากชัดๆ ในสองสามเดือนมานี้ก้าวหน้าไวจะตายไป”
เหยียนเจวี๋ยได้ยินแล้วก็หัวเราะด้วยอารามดีใจ “ที่แท้ในใจของยอดดวงใจก็เห็นข้าเป็นคนฉลาด ยอดดวงใจชอบกินแบบใดที่สุด”
เฉินวั่งซูหน้าแดง มองลูกพลับตากแห้งในมือตนเองเล็กน้อย กินบ้ากินบออะไรเล่า!
นางบอกว่าตนเองชอบกินคนงามได้หรือไม่ เมื่อก่อนคนผู้นี้เอาแต่แสร้งทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์ ทั้งๆ ที่มีคำเกี้ยวพานหญิงสาวอยู่เป็นกระบุง ยังดีที่นางเป็นพวกมีประสบการณ์โชกโชนแล้ว ฟังแล้วหน้าจึงไม่แดงเด็ดขาด
“เช่นนั้นข้าก็จะรอท่านหาตราตั้งมาให้ข้าแล้ว” เฉินวั่งซูพูดแล้วก็นึกเรื่องที่ได้พบฉินเจ่าเอ๋อร์ในวันนี้ขึ้นได้ จึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ท่านรู้หรือไม่ วันนี้ข้าได้เห็นฉินเจ่าเอ๋อร์กับองค์ชายแปดดูตัวกันที่หอกวนไห่ องค์ชายแปดกันแสงจนชุดเปียกปอนเลย”
เหยียนเจวี๋ยงงงันไป ก่อนจะมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย “นี่เหลวไหลสิ้นดี! คนพวกนั้นไม่รู้หรือไรว่าพระมารดาของพี่สี่ได้ไปขอให้ฝ่าบาทสู่ขอฉินเจ่าเอ๋อร์ให้เขานานแล้ว พระราชโองการก็ร่างเรียบร้อยแล้ว รอแค่หาฤกษ์ดีประกาศแก่คนทั้งหลายเท่านั้นเอง มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าวันนั้นที่พี่สี่กลับมาเมืองหลวง ในวังจัดงานเลี้ยงเหตุใดนอกจากเจ้าแล้วถึงได้เชิญบุตรสาวขุนนางใหญ่มาหลายคนกันล่ะ บิดาของฉินเจ่าเอ๋อร์เองก็รู้เรื่องนานแล้วเช่นกัน”
บทที่ 131
เฉินวั่งซูประหลาดใจค่อนข้างมาก น้ำเต้าเถานี้เป็นเถาที่ใจกลางเน่าดำอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นแต่ละผลจะล้วนเป็นเจ้าหนูน้ำเต้าใจดำกันทั้งหมดได้อย่างไร
ชาวแคว้นต้าเฉินนี้ล้วนแต่เป็นพวกสองหน้า มีสันดานเป็นคนคดโกงโดยแท้!
ผู้ที่ชอบทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ไร้เดียงสาอย่างองค์ชายแปดผู้นั้นก็ถึงกับทำเรื่องไร้ยางอายอย่างคิดแย่งชิงตัวพี่สะใภ้ออกมาได้เช่นกัน
คราวนี้นางมองพลาดไปแล้วจริงๆ นางหลงนึกว่าองค์ชายแปดเป็นพวกใช้การไม่ได้ สกุลเกาถึงได้เลือกจะช่วยองค์ชายสามอย่างปราศจากความลังเล บัดนี้ดูจนจบแล้วกลับหาได้เป็นเช่นนั้นเสียทั้งหมดไม่ ผู้อื่นเพียงแต่เสียเปรียบที่เกิดทีหลังเท่านั้นเอง
เฉินวั่งซูคิดแล้วก็แววตาวูบไหว กล่าวอย่างค่อนข้างแฝงความหมายลึกซึ้ง “มิน่าช่วงนี้บิดาของฉินเจ่าเอ๋อร์ถึงได้ทำตัวสนิทสนมกับนางผิดปกติ อยากจะเป็นบิดายอดกตัญญูใจแทบขาด ทั้งยังนำเรื่องลับในราชสำนักมาวิเคราะห์แล้วเล่าให้นางฟังอีกต่างหาก ผู้ที่เดินไปมาต่อหน้าฮ่องเต้ได้แทบจะไม่มีใครที่โง่งมจริงๆ ก็นี่มีผลประโยชน์ให้หมายมาดได้มิใช่หรือ”
เฉินวั่งซูชักจะแจ้งใจแล้ว มิน่าขณะอยู่ในวังฉินเจ่าเอ๋อร์กล่าววาจาหาเรื่องมารดาเลี้ยง นางผู้นั้นก็ก้มหน้าก้มตาไม่ยอกย้อนกลับมาแม้แต่คำเดียว ที่แท้นางรู้อยู่ก่อนแล้วว่าฉินเจ่าเอ๋อร์จะได้เลื่อนฐานะขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
“หากเป็นเพียงพระชายาองค์ชายแต่อย่างเดียวไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องมากเพียงนั้น เห็นทีสกุลฉินและองค์ชายสี่จะมีความมุ่งหมายใหญ่ยิ่ง”
เหยียนเจวี๋ยแย้มยิ้ม “พี่สี่เป็นคนจริงใจตรงไปตรงมา มีความสามารถของผู้นำทัพอยู่จริงๆ เป็นไม้ดีในหมู่องค์ชาย”
เฉินวั่งซูนิ่งงันไป ไม้ดีบ้าบออะไร ก็แค่ดีกว่าพวกคุณภาพเลวเท่านั้นเอง
ทว่าเฉินวั่งซูคิดดูอีกที หากองค์ชายสี่ได้เป็นฮ่องเต้ก็ดีเลย มีคนประคองนิมิตมงคลมาถวาย คนผู้นี้คงจะเท้าสะเอวถลึงตา ‘ของอะไร เอาหัวไช้เท้ามาแทนโสม กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำเสียกระมัง! มังกรเขียว? มังกรเขียวอะไร นี่เจ้าเห็นเรามีประกายทองแผ่ออกมาทั่วร่างแล้วขัดหูขัดตา อยากจะเพิ่มสีเขียวให้เราให้ได้หรือไร’
ลำพังแค่จินตนาการเช่นนี้เฉินวั่งซูก็หัวเราะออกมาแล้ว
เหยียนเจวี๋ยเห็นนางไม่มีท่าทีไม่ชอบใจก็โล่งอก ยื่นมือมาขยี้ศีรษะเฉินวั่งซูเบาๆ
เฉินวั่งซูกลับมิได้หลบ นับตั้งแต่นางแต่งงานกับเหยียนเจวี๋ยแล้วค้นพบว่าเขาติดนิสัยนี้ นางก็ไม่ได้ใช้น้ำมันทาผมอีก
เขาจะได้ไม่ลูบผมภรรยาแล้วมือลื่นเวลาจับกระบี่!
คนทั้งสองกลับถึงจวนแล้ว เหยียนเจวี๋ยก็ก้าวเท้าไปยังห้องหนังสือเพื่อลับหอกยามจวนออกศึก เฉินวั่งซูหาว อุ้มแมวไฉ่อวิ๋นไปนั่งบนเก้าอี้โยก แสงแดดฤดูสารทส่องลงบนตัว ให้ความรู้สึกอบอุ่น
“เฮ้อ…”
ไป๋ฉือนั่งบนม้านั่งกลมตัวเล็กที่อยู่ด้านข้าง แกะเกาลัดให้เฉินวั่งซู “คุณหนูถอนหายใจด้วยเหตุใดเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูลูบขนบนหลังไฉ่อวิ๋น “เงียบเหงาเกินไปแล้ว อุตส่าห์มีมารดาเลี้ยงทั้งที กลับขี้ขลาดตาขาว ทำร้ายข้าครั้งหนึ่งแล้วข้าไม่ได้ตกใจ นางกลับหลบเวลาเห็นข้าเสียแล้ว ก่อนที่ข้าจะแต่งเข้ามาเหยียนเจวี๋ยถูกลอบสังหารแทบไม่เว้นแต่ละวัน ปัจจุบันข้าเข้าจวนฮู่กั๋วกงมาได้สามเดือนกว่าแล้วกลับไม่ได้เห็นแม้แต่ปลายผมของผู้ลอบสังหาร หน้าไม้เล็กนั่นจะขึ้นสนิมอยู่แล้ว แล้วไหนจะเฉินสี่หลิงกับเกามู่เฉิงอีก ข้าอุตส่าห์ล่วงเกินพระชายาองค์ชายทั้งสองไปแล้ว ถึงกับไม่รู้จักจัดงานชมบุปผาวางแผนให้ร้ายข้าสักหน่อย เป็นต้นว่าผลักข้าตกน้ำ! ใส่ความว่าข้ามีความสัมพันธ์ลับๆ กับผู้อื่น!…เฮ้อ…เงียบเหงาเกินไปแล้ว”
ไป๋ฉือมุมปากกระตุก คุณหนู หากท่านไปพูดเช่นนี้บนถนนอีกรอบ มีหวังได้ถูกตีเป็นแน่
“ไม่มีใครทำร้ายคุณหนู ไม่ดีหรือเจ้าคะ”
เฉินวั่งซูชูกำปั้นด้วยท่าทางหดหู่ “ก็มิใช่ว่าไม่ดี เพียงแต่ข้าหมดหนทางจะได้ระบายอารมณ์แล้ว!”
เป็นสตรีเจ้าบทบาทที่เรียกลมเรียกฝนได้จนเคยชินแล้ว จู่ๆ ไม่มีใครถามถึงเฉินวั่งซูก็พูดได้เพียงว่าทรมานใจเหลือเกิน! นี่เป็นการเอาง้าวมาตัดเค้กเลยทีเดียว…ไม่มีที่ให้นางได้สำแดงความรู้ความสามารถโดยสิ้นเชิง
ไป๋ฉือหมดคำจะโต้ตอบ
นางพูดได้หรือไม่ว่าเฉินวั่งซูมิเสียแรงที่เป็นบุตรสาวของนายหญิงใหญ่ อยู่ว่างๆ หนึ่งวันทำเอาครั่นเนื้อครั่นตัว
เนื่องจากเรื่องนิมิตมงคลวันนี้ในเมืองหลินอันจึงครึกครื้นเป็นพิเศษ สามารถเทียบกับเทศกาลซั่งหยวนได้เลย ตามตรอกเล็กถนนใหญ่ ตามร้านน้ำชาเพิงร้านค้ามีบรรดาสตรีชั้นสูงในเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรางดงามเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างกะทันหัน
หากเข้าไปใกล้หน่อยยังสามารถได้ยินพวกนางคุยกันถึงเรื่องมังกรเทพและงานเลี้ยงในวัง
ท่าเรือมีแสงไฟสว่างโร่ คึกคักจนไม่ต่างจากย่านการค้า
เฉินวั่งซูนั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ กินส้มไปคำหนึ่ง เปรี้ยวจนฟันแทบหลุด นางหรี่ตาแล้วมองไปรอบๆ ตอนแรกนางคิดว่าการค้าเกลือเถื่อนนี้ที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องไม่มีหน้ามีตา ท่าเรือน่าจะมีคนไม่พลุกพล่าน กระทำการกันลับๆ ล่อๆ กันจึงจะถูก
แต่คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าที่นี่จะเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์เปลือยอกกำลังขนกระสอบ
ส้มเปรี้ยวไม่มีที่ให้ทิ้ง…
เฉินวั่งซูกำลังกลุ้มใจอยู่ก็มองเห็นมือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นมือมา
เหยียนเจวี๋ยรับส้มไปจากมือเฉินวั่งซูอย่างแผ่วเบา ใช้มือฉีก เพียงพริบตาเดียวก็กินหมดเกลี้ยง
‘ท่านตั้งครรภ์หรือ’ เฉินวั่งซูพูดไม่ออกเสียง
เหยียนเจวี๋ยอึ้งงันไป ก่อนส่ายหน้า “ชอบกินเปรี้ยว”
เฉินวั่งซูหัวเราะเสียงต่ำ ล้วงถั่วปากอ้าเม็ดหนึ่งออกมาจากในถุงของว่างที่ตนเองเตรียมมา ‘แน่จริงท่านลองนี่’
เหยียนเจวี๋ยยกมือปิดปาก ฟันทั้งปากเขาถูกความเปรี้ยวทำให้เหมือนไม่ใช่ของตนเองแล้ว ยังจะมาแทะถั่วปากอ้าอะไรอีก ตอนนี้แม้แต่เต้าหู้เขาก็กัดไม่ไหวแล้ว โปรดอย่าซ้ำเติม!
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ส่งถั่วปากอ้าเข้าปากตนเองอย่างสำราญใจ ก่อนจะล้วงลูกอมเม็ดหนึ่งในแขนเสื้อมายัดใส่ปากเหยียนเจวี๋ย
มาแล้วๆ เฉินวั่งซูเริ่มจะตื่นเต้นแล้ว นางกับเหยียนเจวี๋ยนั่งก็เรียบร้อย กินก็เรียบร้อยแล้ว ภาพยนตร์ยังไม่ฉายจะนับเป็นการเดตอะไร
เห็นเพียงจู่ๆ ก็มีคนแต่งกายเรียบร้อยกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวท่ามกลางคนเปลือยอกกลุ่มนั้น
คนที่เป็นผู้นำสวมเสื้อตัวสั้นคู่กางเกง ถือดาบร้อยห่วงเล่มใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนดูดุร้าย ผู้อื่นเห็นแล้วล้วนค้อมตัวร้องเรียกอย่างเคารพนบนอบ “เถ้าแก่โจว!”
เถ้าแก่โจวผู้นั้นโบกมือด้วยท่าทางรำคาญ ยกสองมือเท้าสะเอว ร้องโหวกเหวกว่า “ขนเร็วๆ หน่อย นี่เป็นข้าวชั้นดี หากหกไปแม้แต่เม็ดเดียวพวกเจ้าเดือดร้อนแน่ ข้าจะรีบออกเรือคืนนี้ พวกเจ้าทำงานกันให้ว่องไวหน่อย”
เขาพูดพลางหันตัวไปมองดูรอบๆ ครั้นเห็นแผงขายบะหมี่ที่อยู่ไม่ไกลก็พยักหน้าน้อยๆ แล้วเริ่มมองไปยังทางเดินใหญ่ด้วยท่าทางกระวนกระวายทันที
เฉินวั่งซูลูบคาง สบตากับเหยียนเจวี๋ย เรื่องนี้น่าสนุกแล้ว แทบจะเหนือกว่าที่นางจินตนาการเสียอีก
เถ้าแก่โจวหยิบของที่เหมือนรากต้นหญ้ารากหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ นำมาจ่อจมูกดม จากนั้นก็ใส่ของสิ่งนั้นกลับที่เดิมด้วยท่าทางระมัดระวังยิ่ง จากนั้นถึงได้เดินมาทางต้นไม้ใหญ่ที่เฉินวั่งซูนั่งอยู่ต้นนี้
ต้นไม้นี้ค่อนข้างมีอายุ สูงใหญ่บดบังท้องฟ้า ครึ่งหนึ่งอยู่บนฝั่ง อีกครึ่งยื่นไปในน้ำ ราวเป็นคนละโลกกับบรรยากาศสว่างไสวทางด้านนั้นเลยทีเดียว นี่ที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชมภาพยนตร์ที่เฉินวั่งซูตั้งใจเลือกมาโดยเฉพาะ
มองเห็นศีรษะที่ล้านอยู่บ้างของเถ้าแก่โจวแล้ว เฉินวั่งซูก็ยัดเปลือกถั่วปากอ้าลงถุงทันควัน ถ้าเกิดเผลอทำขยะนี้หล่นใส่ศีรษะคนที่มีผมมาก อีกฝ่ายอาจจะไม่รู้สึกตัว แต่สำหรับเถ้าแก่โจวนั่นมิใช่หล่นลงบนผม แต่หล่นลงบนหนังศีรษะโดยตรง เว้นแต่เขาจะตายแล้ว มิเช่นนั้นจะต้องพบเห็นพวกนางอย่างแน่นอน
“ทางด้านนี้มีคนมากปานนี้ เรียกข้ามาทำอะไร ยอมให้เพียงครั้งนี้ครั้งเดียว ห้ามมีครั้งต่อไปอีก”
เถ้าแก่โจวยืนอยู่ใต้ต้นไม้ได้ไม่ถึงครู่หนึ่งเรือเล็กลำหนึ่งก็เทียบฝั่งอย่างเงียบเชียบ แอบซ่อนอยู่ในบริเวณที่ต้นไม้ใหญ่นี้ยื่นไปในน้ำ เห็นได้ชัดว่าพวกเขานัดแนะเวลากันก่อนแล้ว เรือเล็กนั้นจึงมารออยู่บริเวณใกล้ๆ นานมากแล้ว
บทที่ 132
ครั้นเฉินวั่งซูได้ยินเสียงที่คุ้นหูก็รีบมองไปทางแผงขายบะหมี่ เป็นไปตามคาด คนที่กินบะหมี่อยู่ที่นั่นก่อนหน้านี้ได้สลายตัวไปเกลี้ยงในพริบตาเดียว
ละครฉากนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
นางวางอุบายล่อให้เกาฮูหยินมาเปิดโปงการค้าเกลือเถื่อนของเถ้าแก่โจว ถัดจากนั้นก็กำจุดอ่อนของจวนองค์ชายสามไว้ ส่วนเกาฮูหยินก็ซื้อตัวเถ้าแก่โจวได้ในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งวันโดยไม่มีใครระแคะระคาย
ทั้งยังวางแผนซ้อนแผน ล่อให้เฉินสี่หลิงมาเพื่อจะจับให้ได้คาหนังคาเขาตรงๆ
เฉินวั่งซูรู้สึกว่านี่ต้องเป็นเพราะเกาฮูหยินจับชู้จนเชี่ยวชาญแล้วอย่างแน่นอน!
“ท่านช่างขี้ลืมโดยแท้! ท่านมาเพื่ออะไร ตนเองมิใช่ทราบอยู่แก่ใจหรือไร”
เฉินวั่งซูฟังจนเพลิน เหยียนเจวี๋ยกลับเขย่าแขนเสื้อนาง ก่อนชี้ไปยังเรือที่กำลังลำเลียงของอยู่ลำนั้น
เฉินวั่งซูตาสว่างวาบ “ท่านจะพาข้าไปดูตรงนั้น? ไปได้หรือ”
เหยียนเจวี๋ยพยักหน้า กลั้นหายใจ เลาะตามลำต้นของต้นไม้ขนาดมหึมา อาศัยการบดบังจากเงาไม้พาเฉินวั่งซูไปอยู่บนเรืออย่างรวดเร็วปานเหาะ
เรือใหญ่เช่นนี้มีทั้งหมดห้าลำ ด้านบนแขวนธงการค้าสกุลโจว
เรือลำที่เฉินวั่งซูกับเหยียนเจวี๋ยขึ้นมานี้บรรทุกกระสอบจนเต็มแล้ว ลูกเรือจึงล้วนไปช่วยหามกระสอบขึ้นเรือลำอื่น
เหยียนเจวี๋ยมองไปรอบๆ ก่อนชักมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากในรองเท้า เลือกจุดที่ลับตาคนแล้วกรีดเบาๆ พอเขาใช้มีดสั้นงัดขึ้น เกลือสีขาวแสบตาที่ด้านในก็ปรากฏออกมา
แตกต่างจากเกลือเนื้อหยาบหรือสินแร่ที่เฉินวั่งซูคิดไว้ เกลือนี้ยังใช้กระดาษน้ำมันห่อไว้ด้วยชั้นหนึ่ง แทบจะนำมากินตรงๆ ได้แล้ว
เฉินวั่งซูขมวดคิ้ว ชี้กระสอบเกลืออย่างตาแหลม
เหยียนเจวี๋ยจับมีดสั้นงัด ถึงกับได้สร้อยทองเส้นใหญ่ออกมาเส้นหนึ่ง สร้อยทองนี้มีขนาดเท่าหัวแม่มือ บนนั้นยังมีจี้หยกเลี่ยมทองสีเขียวมรกตห้อยอยู่ด้วยชิ้นหนึ่ง
นี่เป็นของดี! แม้จะกลิ่นตุๆ ไปบ้างก็ตาม!
เฉินวั่งซูไม่พูดพร่ำทำเพลง เก็บใส่ถุงของว่างของตนเองทันที จากนั้นก็ล้วงมีดสั้นสำหรับใช้ปอกผลผิงกั่ว ที่ตนเองซ่อนไว้ในถุงตั้งแต่แรกแล้วออกมากรีดกระสอบใหม่ ยื่นมือไปล้วงได้กากระเบื้องเคลือบใบน้อยออกมา
เฉินวั่งซูไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เก็บกากระเบื้องเคลือบใบน้อยลงในถุงเช่นกัน ก่อนจะหยิบมีดสั้นเขี่ยในกระสอบเกลือใบเดียวกันอีกครั้ง ได้หนังสือเล่มหนึ่งออกมานางก็ยัดใส่ถุงของตนอย่างไม่เต็มใจ
นี่มันอะไรกัน! เหตุใดเหยียนเจวี๋ยเปิดได้สร้อยทอง พอถึงตาข้ากลับกลายเป็นกาผุๆ กับหนังสือเก่าๆ ไปได้
ดวงจะต่างกันราวฟ้ากับดินไปหน่อยแล้ว
นางกำลังคิด เหยียนเจวี๋ยก็ล้วงได้กวนอินหยกอีกองค์หนึ่ง เขายัดมันใส่มือเฉินวั่งซู
เฉินวั่งซูดีใจเป็นล้นพ้น หยิบมีดสั้นยังคิดจะกรีดอีก กลับถูกเหยียนเจวี๋ยรั้งไว้
เขาชี้ไปที่ริมฝั่ง มองเห็นทางด้านนั้นครึกครื้นขึ้นมาแล้ว
เกาฮูหยินที่แต่งตัวราวกับแบล็กวิโดว์ นำเกามู่เฉิงที่ดูเหมือนต้นคริสต์มาสพาคนกลุ่มหนึ่งเดินไปถึงใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นด้วยท่าทางดุดัน แล้วเริ่มต่อปากต่อคำกันขึ้นมา
เฉินวั่งซูพยักหน้า เก็บมีดสั้นกลับไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
สถานที่นี้ดีตั้งเพียงไร เหมือนกับเปิดกล่องสุ่มอย่างไรอย่างนั้น…กล่องสุ่มที่เป็นเรือห้าลำเต็มๆ…อยากจะไล่กรีดมันทุกกระสอบแล้วหอบไปให้หมดเสียจริงๆ ครั้นคิดถึงว่าเถ้าแก่โจวผู้นี้ไม่รู้เดินเรือไปกลับเมืองหลินอันนี้กี่เที่ยวแล้วก็ยิ่งเจ็บใจ
หากรู้ก่อนนางยังจะเก็บตัวเป็นเพื่อนเหยียนเจวี๋ยไปด้วยเหตุใด นางสมควรมารออยู่ที่นี่เพื่อเปิดกล่องสุ่ม!
เหยียนเจวี๋ยมองนางด้วยสายตาขบขันปราดหนึ่ง ก่อนโอบเอวเฉินวั่งซูไว้แล้วหงายตัวไปด้านหลังเบาๆ
เฉินวั่งซูตกใจจนสะดุ้งโหยง รีบกำถุงของว่างของตนเองไว้แน่นแล้วหลับตาทันที
“ลืมตาเถอะ! ทางด้านนั้นเลิกกัดกันแล้ว อย่างไรก็คงไม่เอะอะไปกว่านี้แล้ว พวกเราควรกลับได้แล้ว วันพรุ่งยังต้องเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง หากเจ้าใต้ตาดำคงถูกคิดว่ามีเตียงสูงหมอนนุ่ม แต่กลับไม่ได้หลับได้นอนทั้งคืน”
เฉินวั่งซูลืมตา พบว่าพวกตนมาอยู่บนเรือเล็กลำหนึ่งแล้ว ลุงหลินสวมงอบ ถ่อเรือ ท่าทางเหมือนกับวิญญาณก็มิปาน
พอเฉินวั่งซูเท้าถึงพื้นใจก็เต้นสม่ำเสมอขึ้นมาก กลับมาสุขุมเยือกเย็นเฉกเช่นที่ผ่านมา “อ้อ อย่างนั้นหรือ คราวก่อนฉินเจ่าเอ๋อร์ยังพูดกับข้าด้วยว่าท่านใช้การไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่านางจะบอกองค์ชายสี่หรือไม่ เฮ้อ…เมืองหลินอันนี่เล็กเกินไปแล้วจริงๆ…คนเรานี่นะ ล้วนแต่ก้มหน้าไม่เจอ เงยหน้าก็ต้องเจอ”
เหยียนเจวี๋ยไอโขลกๆ หลายที หวิดจะถูกน้ำลายตนเองทำให้สำลักตาย
หน้าเขาแดงเถือก หลุบตาลง ท่าทางเหมือนเป็นเดือนโรงเรียนมัธยมอุตริอ่านหนังสือที่ไม่ควรอ่านแล้วถูกครูจับได้คาหนังคาเขา
เฉินวั่งซูเห็นแล้วก็ใจละลาย “ท่านใช้การได้ ท่านเก่งที่สุด!”
เหยียนเจวี๋ยหน้าแดงยิ่งกว่าเดิมแล้ว เขามองลุงหลินอย่างเงียบๆ แวบหนึ่ง ก่อนลดเสียงลง “รอยอดดวงใจมีใจให้ข้า ยอมรับข้าเมื่อไร ข้าจะบอกยอดดวงใจว่าข้าใช้การได้หรือใช้การไม่ได้”
เฉินวั่งซูงงงันไปชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหลุบตาลง นางมองคนได้แม่นยำมาแต่ไหนแต่ไร
ขณะเหยียนเจวี๋ยพูดคำนี้ท่าทางจริงจังยิ่ง จริงจังจนเหมือนว่านำเอาวันเวลาอันนานแสนนานมาให้สัญญาก็มิปาน
ทั้งๆ ที่เป็นแค่คนที่เพิ่งได้รู้จักเพียงไม่กี่เดือน…
เฉินวั่งซูกำมือ ทันใดนั้นเหยียนเจวี๋ยก็ดันลูกกุญแจดอกหนึ่งมาให้ “เจ้ามิใช่ชอบล่าสมบัติหรือไร นี่เป็นกุญแจห้องเก็บของ ข้างในมีแต่สินเดิมของมารดาข้า ข้าเองก็ไม่ได้ดูอย่างละเอียด รอถึงจวนแล้วเจ้าก็ไปหาชิ้นที่ตนเองชอบแล้วกัน มิใช่ข้าคุยโว ในนั้นไม่มีกาผุๆ กับหนังสือเก่าๆ ไร้ค่าไร้ราคาอยู่แน่นอน”
เฉินวั่งซูพลันรู้สึกอุ่นวาบในใจ และจมูกนางไม่ได้มีเลือดกำเดาไหลแต่อย่างใด
“หนังสือเก่าแล้วอย่างไร สิ่งที่สกุลเฉินของพวกข้ามีมากที่สุดก็คือหนังสือเก่า อย่าเห็นแค่ว่าเหลืองแล้ว ดีไม่ดีอาจจะเป็นตำราโบราณที่ท่านไม่รู้จักก็เป็นได้! หากนำออกไปขาย เจอกับผู้ที่รู้คุณค่าก็มิได้ด้อยไปกว่าสร้อยทองนั้นของท่านเลย”
เฉินวั่งซูว่าแล้วก็หยิบของสี่อย่างนั้นออกมาจากในถุงผ้า
สร้อยทองรวมถึงกวนอินหยกที่เหยียนเจวี๋ยล้วงมาได้แค่เห็นก็รู้ว่ามูลค่าไม่ธรรมดา ทว่าหาได้มีจุดใดพิเศษไม่ เฉินวั่งซูมองได้ไม่นานก็เบนสายตาไปยังกานั้น
“เป็นสีฟ้าเหมือนท้องฟ้าหลังฝน ด้านบนมีภาพวาดอยู่ด้วย ดูท่าทางน่าจะมาจากเยวี่ยโจว” เฉินวั่งซูพูดแล้วก็ชี้ตราประทับสีแดงที่ใต้กานั้น “ส่วนหนังสือเล่มนี้ปกหนังสือชำรุดแล้ว ดูเหมือนจะเป็นบันทึกล้างมลทินของต้าอ๋องสาม…ตรงนี้มีตราประทับ แต่เป็นหนังสือสะสมของใครกันแน่นั้นข้ากลับไม่รู้ ได้ยินว่าขณะสถาปนาแคว้นหนังสือนี่แพร่หลายเป็นวงกว้าง แต่ต่อมามีคนฆ่าคนโดยเลียนแบบตัวอย่างคดีในนั้น ราชสำนักจึงให้คนชำระพวกมัน อนุญาตให้เพียงเหล่าผู้ที่เป็นนักชันสูตรและผู้พิพากษาศึกษาเท่านั้น นี่เป็นหนังสือต้องห้ามในหมู่ราษฎร ขณะราชสำนักอพยพลงใต้ไม่รู้ว่าทำของหายไปมากน้อยเพียงไร บทละครเหมือนเช่นนี้เกรงว่าจะไม่มีวางขายแล้ว”
เฉินวั่งซูมองหน้าหนังสือสีเหลืองนี้แล้วก็ไม่กล้าจับพลิกหน้าอยู่บ้าง นางถึงขนาดกลัวว่าถ้าตนเองหายใจแรงหน่อย หน้าหนังสือนี้ก็จะป่นเป็นชิ้นๆ เถ้าแก่โจวผู้นั้นก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยจริงๆ ยัดหนังสือนี้ใส่ในเกลือตรงๆ โดยไม่แม้แต่จะเอากระดาษน้ำมันมาห่อ
“ส่วนว่าของสะสมนี้เป็นของผู้ใด รอข้ากลับไปเปิดดูคู่มือภาพก็จะได้รู้แล้ว”
เหยียนเจวี๋ยเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ “คู่มือภาพ? คู่มือภาพอะไรหรือ”
“อ้อ ไม่มีอะไร ก็แค่สินเดิมที่บิดามารดาข้ามอบให้ ในนั้นเป็นบันทึกวิจารณ์งานศิลป์ของพวกเขา มีพวกภาพแจกันภาพโถต่างๆ อยู่จำนวนหนึ่ง มีไว้ช่วยไม่ให้เวลาออกจากจวนไปเห็นอะไรแล้วพอถูกถามก็ตอบไม่ได้สักอย่างจนเป็นการขายหน้าสกุลเฉินของข้า”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.