X
    Categories: everYทดลองอ่านผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1 บทที่ 5-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน ผมมันไอดอลตัวท็อปของยมโลก เล่ม 1 

ผู้เขียน : 裴笛 (Pei Di)

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 超糊的我竟是冥界顶流 [ 娱乐圈 ]

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การบูลลี่

การกล่าวถึงเลือด งู และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 5

 

ฟู่จยาเจ๋อสวมมาสก์แล้วเดินลงจากตึก ส่วนชิงเหิงก็ยืนรออยู่หน้าทางเข้าตึก

“ทำธุระเสร็จแล้วเหรอ” ชิงเหิงยิ้มน่าเอ็นดู

ฟู่จยาเจ๋อขมวดคิ้ว “ฉันบอกว่าไม่ต้องเข้ามาในตึกไม่ใช่เหรอ”

ชิงเหิงกัดริมฝีปาก “ก็ผม…ได้ยินคนพูดบ่อยๆ ว่ารุ่นพี่ฉยงเหรินเขาเก่งขนาดไหน ผมก็เลยอยากมาเห็นตัวจริงบ้างนี่ครับ”

“โอ๋ๆ ตาแดงทำไม ฉันไม่ได้จะว่านายสักหน่อย” ฟู่จยาเจ๋อลูบหัวเขา “ฉันจำได้ว่านายดูโหงวเฮ้งเก่ง นายเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า คนในบริษัทบอกกันว่าที่ฉยงเหรินไม่ดังเป็นเพราะเรื่องเชิงอภิปรัชญา ฮวงจุ้ยของเขากับบริษัทขัดแย้งกันถึงได้ออกมาเป็นสภาพนี้”

“ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ ดูได้แค่คร่าวๆ ชะตาชีวิตเขาดีมาก แต่อาจเป็นเพราะดาวโคจรไม่ดี ถ้าเขายอมไปทำงานอื่นไม่นานก็คงรวยครับ” ชิงเหิงเงยหน้ามองฟู่จยาเจ๋อพร้อมพูด “พี่ครับ ผมว่าพี่ลองเกลี้ยกล่อมให้เขาเปลี่ยนงานดีกว่านะ”

“ไม่ได้!”

ฟู่จยาเจ๋อปฏิเสธทันทีโดยไม่แม้แต่จะคิด ชิงเหิงก็ห่อเหี่ยวทันทีอย่างไม่อาจควบคุม

“ชิงเหิง ในเมื่อนายเข้าใจเรื่องพวกนี้ งั้นช่วยคิดหาวิธีเปลี่ยนดวงชะตาเขาได้ไหม” ฟู่จยาเจ๋อสูงกว่าเขามาก อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาจับไหล่บางๆ ของเขา “ฉยงเหรินสำคัญกับฉันมาก ขอแค่เปลี่ยนดวงชะตาให้เขาได้ ฉันจะตอบแทนนายแน่นอน”

แววตาชิงเหิงวาบไหว เอ่ยเสียงแผ่วเบา “พี่ พี่ชอบเขาเหรอครับ”

ฟู่จยาเจ๋อบีบมือแน่นทันใดจนชิงเหิงเริ่มเจ็บ เขามองเห็นความกระวนกระวายบนใบหน้าหล่อเหลาของฟู่จยาเจ๋อ เบ้าตาของเขาเริ่มแดงด้วยความน้อยใจ

“จะเป็นไปได้ยังไง ฉันชอบแค่นายอยู่แล้ว แต่ว่าเขาเคยช่วยเหลือฉัน ฉันก็อยากช่วยเขาบ้าง มันก็เท่านั้น”

ตอนง้อเขา ฟู่จยาเจ๋อดูจิตใจล่องลอย สายตาของฝ่ายนั้นราวกับมองทะลุผ่านตัวชิงเหิงไปยังใครบางคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้กับพวกเขา

ชิงเหิงนึกถึงใบหน้าสวยจนน่าตะลึงของฉยงเหริน หัวใจก็ปวดแปลบยุบยิบไปหมด “ผมยังไม่เก่งพอจะแก้ดวงชะตาให้ใครได้ ขอโทษด้วยครับพี่”

เขาโกหก

เขาเกิดในตระกูลลัทธิเต๋าเก่าแก่ วิชาอาคมต่างๆ ก็ใช้ได้อย่างช่ำชอง แต่อยากจะให้คนที่อับโชคได้รับสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง สร้างสิ่งที่ไม่มีให้มีได้ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก

แต่หากอยากให้ดวงโด่งดังของฉยงเหรินเสื่อมถอยลงยิ่งกว่านี้ก็มีสารพัดวิธีให้เลือก แต่ว่า…โหงวเฮ้งของฉยงเหรินดูแปลกๆ ใบหน้าของเขาดูไม่น่าจะมีชะตากรรมแบบนี้เลย

แม้ความชิงชังบนใบหน้าชิงเหิงจะปรากฏขึ้นมาเพียงแวบเดียว แต่ทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของฟู่จยาเจ๋ออย่างชัดเจน ทว่าเขายังไม่พอใจ ด้วยท่าทีของชิงเหิงเขารู้สึกว่าตนเองยังสุมไฟไม่พอ

ด้วยเหตุนี้เขาจึงปรับเสียงให้อ่อนโยนลงอีก “ไม่เป็นไร ฉันคิดว่านายเก่งเกินไปเอง คนมีพรสวรรค์อย่างฉยงเหรินหาได้น้อยก็จริง แต่ฉันก็ไม่ควรคาดหวังกับนายสูงขนาดนั้น ฉันคงทำให้นายกดดันสินะ ขอโทษ”

คำพูดนี้ได้ผลไม่น้อย ความหึงหวงชิงชังแทบจะพวยพุ่งออกมาจากดวงตาใสๆ นั้น ต่อให้กดไว้ก็กดไม่อยู่ ใบหน้าเล็กแสนประณีตเริ่มบิดเบี้ยวเล็กน้อย

ฟู่จยาเจ๋อพอใจแล้ว เขารวบเด็กหนุ่มผอมบางเข้าสู่อ้อมกอด

“ฉันไม่ได้ชอบฉยงเหรินจริงๆ ฉันรักแค่นายนะ”

เขาใช้น้ำเสียงล่องลอยให้เหมือนพยายามฝืนสะกดจิตตัวเอง ทว่าใบหน้ากลับยิ้มอย่างลำพองใจ

 

ผู้จัดการมองหน้าจอก็รู้สึกอึ้งกิมกี่

“เขากำลังปั่นหัวให้เด็กนั่นเกลียดนาย?”

ฉยงเหริน “อือฮึ”

ผู้จัดการนิ่งช็อกอยู่นานจนดึงสติกลับมาไม่ได้ “เขาเป็นบ้าหรือเปล่า เขาต้องการอะไร…เขาเคยขัดขานายหรือเปล่า”

ฉยงเหรินไหวไหล่

เขาแป้กแบบที่ไม่เคยเจอที่ไหนมาก่อน และมักจะพลาดโอกาสต่างๆ ไปแบบพิสดารพันลึก

จะเข้าร่วมรายการแข่งขันเซอร์ไววัล เซิร์ฟเวอร์ก็พังจนสมัครไม่ได้ ได้สัญญาถ่ายละครมา พวกนักแสดงหลักก็ต่อแถวพากันเป็นข่าวเสียหาย สุดท้ายก็ต้องพับโปรเจ็กต์ถ่ายทำ

จะไปถ่ายรายการวาไรตี้ ไฟลต์บินที่ซื้อไว้ล่วงหน้าดิบดีก็ถูกยกเลิก แถมยังหาซื้อตั๋วใหม่ไม่ได้ วุ่นวายอยู่ที่สนามบินสองวัน พอมาสายอย่างไม่น่าให้อภัยก็ถูกถอดออกจากรายการ

พอมีเรื่องซวยมากขึ้น เขาก็แยกไม่ออกแล้วว่าความแป้กของเขามันทำพิษ หรือเป็นเพราะมีคนจงใจขัดแข้งขัดขาเขาอยู่กันแน่

“นายรู้ได้ไงว่าเขาหน้าไหว้หลังหลอก”

“บังเอิญ”

มีวันหนึ่งฟู่จยาเจ๋อมาหาเขา พอออกไปได้ไม่ถึงครึ่งนาที จู่ๆ อินเตอร์คอมก็ทำงาน บนหน้าจอปรากฏร่างของฟู่จยาเจ๋อ เขากำลังกอดจูบกับไอดอลตัวเล็กๆ ที่หน้าบันได

มันเป็นเรื่องส่วนตัวของชาวบ้าน ฉยงเหรินไม่อยากจะสนใจ เพียงแค่รู้สึกแปลกๆ เพราะตอนนั้นฟู่จยาเจ๋อดังแล้ว ทำไมถึงมาพลอดรักจู๋จี๋กับคนอื่นใต้คอนโดฯ ไม่กลัวออกข่าวหน้าหนึ่งหรือไง

วันต่อมาเขาก็เจอฟู่จยาเจ๋อที่บริษัท แต่ฟู่จยาเจ๋อกลับแสดงออกอ้อมๆ ว่าอีกฝ่ายชอบตน

ฉยงเหรินได้กลิ่นของมหาสมุทรทันที

ถ้าเขาไม่ใช่ราชาแห่งท้องทะเลที่จับปลาทั้งมหาสมุทร ก็ต้องเป็นไอ้สวะเจ้าชู้ที่สมควรโยนลงถังขยะ

ฉยงเหรินพบว่าฟู่จยาเจ๋อชอบแสดงออกต่อแฟนหนุ่มของตัวเองว่าฉยงเหรินเป็นแสงจันทร์ขาว* ในใจตน และคล้ายจะเอ็นจอยกับบรรยากาศเวลาแฟนหนุ่มรู้สึกหึงหวงเพราะเขา พอคิดได้แบบนี้ฉยงเหรินก็รู้สึกขยะแขยงฟู่จยาเจ๋อสุดๆ

แต่จากหน้าจออินเตอร์คอมที่สว่างขึ้นมาเป็นประจำ เขาก็ค้นพบเรื่องที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่านั้น เป้าหมายของฟู่จยาเจ๋อดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่ทำให้แฟนหนุ่มหึงหวง แต่ยังยุยงให้เกลียดชังเขาด้วย

ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

ฉยงเหรินพยายามเตือนเจ้าเด็กโง่ที่กำลังมีความรักพวกนั้น แต่ก็ถูกเข้าใจว่าตนหวังจะงาบแฟนของพวกเขาไปกิน เขาคร้านจะพูดแล้ว อยากโดนหลอกก็โดนไปคนเดียวเถอะ ยังไงเขาก็ไม่เกี่ยวอะไรอยู่แล้ว

ผู้จัดการคิดไม่ตก “ช่างไอ้เรื่องที่เขาเป็นพวกปลอมเปลือกเถอะ ทำไมเขาต้องปั่นหัวแฟนตัวเองให้เกลียดนายด้วยล่ะ”

ฉยงเหริน “ก็เพราะผมไม่รู้สาเหตุนี่แหละถึงได้ไม่ฉีกหน้าเขา พี่ไม่คิดว่าผมแป้กได้แปลกประหลาดมากเหรอ”

ผู้จัดการ “มีใครเห็นแล้วจะไม่รู้สึกแปลกบ้าง ขนาดฉันที่ตอนแรกศรัทธาวัตถุนิยมอย่างแรงยังต้องมากราบไหว้ขอพรเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะเพราะนายเลย”

ฉยงเหริน “มีเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่เคยบอกพี่ พี่จำได้หรือเปล่า เมื่อก่อนผมมีแอ็กเคานต์ในเว็บ libilibi อยู่แอ็กนึง เอาไว้ลงคลิปเต้น แต่พอเดบิวต์แล้ว บริษัทก็สั่งผมเป็นพิเศษว่าห้ามใช้แอ็กเคานต์ส่วนตัวอีก ผมก็เลยไม่ได้อัพคลิปลงแอ็กนั้นเลย

คลิปในแอ็กนั้นผมใส่หมวกแก๊ปกับมาสก์ตลอด ยังไงก็มองไม่เห็นหน้า เลยคิดว่าไม่น่ามีใครดูออก จนตอนนี้ก็เลยไม่ได้ลบแอ็กนั้นทิ้ง”

หลังจากเดบิวต์ ฉยงเหรินก็ค่อยๆ ลืมเรื่องแอ็กเคานต์นั้นไป

กระทั่งครึ่งเดือนก่อน อยู่ๆ เขาก็นึกครึ้มล็อกอินเข้าไปในแอ็กนั้น แล้วก็ได้พบว่าสถานะแอ็กเคานต์นั้นประหลาดสุดๆ ก่อนเขาจะเดบิวต์ ทุกคลิปของเขาแต่ละคลิปมียอดวิวสามแสนขึ้นทั้งนั้น

แต่หลังจากเขาเดบิวต์ ยอดวิวของเขาก็หยุดนิ่ง แม้แต่ยอดแชร์ คอมเมนต์ และไลค์ก็เหมือนถูกยึดไปพร้อมกับปุ่มฟังก์ชันพวกนั้นด้วย สามปีมานี้ ยอดสถิติที่เพิ่มขึ้นมาในทุกคลิปที่เขาลงล้วนได้รับการสนับสนุนจากบัญชีผู้ใช้รายเดียวกัน

ฉยงเหรินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร แล้วก็ไม่กล้าติดต่อเขาง่ายๆ ด้วย

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับแอ็กเคานต์นี้ ราวกับว่าตั้งแต่ที่ฉยงเหรินเดบิวต์ เขาคนนี้ก็กลายเป็นวิญญาณบนอินเตอร์เน็ตไปแล้ว เขามองไม่เห็นคนอื่น คนอื่นก็มองไม่เห็นเขา

แอ็กเคานต์เวยป๋อที่ยอดแฟนคลับ 9998 และยอดคอมเมนต์เป็น 0 ในทุกๆ วันก็คล้ายจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน

ผู้จัดการคิดตามฉยงเหรินทันแล้ว “นายสงสัยว่าฟู่จยาเจ๋อใช่วิธีอะไรบางอย่างกีดขวางเส้นทางการเป็นดาวของนาย”

ฉยงเหรินพยักหน้า “คนที่ไม่อยากให้ผมมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกนี้ก็คือฟู่จยาเจ๋อ และการกระทำของเขาก็ยังไม่ชอบมาพากลขนาดนี้อีก จะให้ผมไม่สงสัยเขาก็คงไม่ได้

ครั้งนี้ผมได้งานมาแล้ว ถึงจะไม่ใช่งานในโลกมนุษย์ แต่ผมก็คิดว่ามันจะเป็นจุดเปลี่ยนของผม สิ่งที่พวกเขาใช้ขัดขวางผมอาจจะกำลังหมดฤทธิ์”

ผู้จัดการครุ่นคิดใคร่ครวญ ก่อนจะรู้สึกว่าความคิดของฉยงเหรินสมเหตุสมผลมาก แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเงยหน้าขึ้นมาฉับพลัน “เดี๋ยวนะ!”

ฉยงเหริน “?”

ผู้จัดการ “ทำไมจู่ๆ หน้าจออินเตอร์คอมก็เด้งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แล้วยังเด้งขึ้นมาถูกเวลาตลอดอีก”

เขารู้สึกสะพรึงกลัวจนต้องกอดร่างอวบอ้วนของตัวเองไว้

“คงไม่ใช่ว่าแฟนคลับของนาย…”

ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งกลัว “แฟนๆ ในโลกหลังความตายของนายจะอยู่ในห้องนี้ด้วยหรือเปล่า สิงอยู่ในอินเตอร์คอมเหรอ”

ตุ๊กตากระต่ายปุกปุยบนเก้าอี้เครียดจนเผลอขยับ

ผู้จัดการ “เมื่อกี้มีอะไรขยับหรือเปล่า”

ฉยงเหริน “ไม่มี”

ผู้จัดการยืนกราน “มันต้องมีสิ”

เขาเห็นกระต่ายขนปุยบนเก้าอี้ สีของกระต่ายน้อยตัวนั้นคือสีลาเวนเดอร์อ่อนๆ ฝีมือตัดเย็บสุดแสนประณีต หน้าตาก็น่ารักมาก แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นราคาที่ฉยงเหรินจับต้องไม่ได้

ผู้จัดการขมวดคิ้ว “นายไปได้กระต่ายตัวนี้มาจากไหน”

ฉยงเหริน “เก็บได้ครับ”

ผู้จัดการ “ทำไมถึงได้เก็บของแบบนี้มา นายไม่กลัวว่าจะมีใครเย็บนิ้วเท้านิ้วมือหรือฟันไว้ในท้องมันบ้างเหรอ ฉันจะเอาไปทิ้ง”

ผู้จัดการเอื้อมมือออกไปคว้า กระต่ายขนปุยก็กระโดดหลบลงพื้นอย่างคล่องแคล่วแล้วสาวเท้าวิ่ง

ขาสั้นนุ่มฟูของมันวิ่งแล้วล้มลง ฉยงเหรินเก็บมันขึ้นมาวางไว้บนเก้าอี้ ก่อนจะลูบหัวน้องกระต่ายไปหนึ่งที

ฉยงเหริน “ไม่ต้องกลัวนะ มันก็แค่ตุ๊กตากระต่ายยัดนุ่นที่ซ่อมอินเตอร์คอมเป็นตัวนึงเท่านั้นเองครับ”

กระต่ายน้อยคลอเคลียกับมือของฉยงเหรินอย่างน่าเอ็นดู

 

พญายมราชยืนอยู่หน้าบานกระจก กำลังขะมักเขม้นผูกเนกไทให้ตัวเอง

เขาเปลี่ยนจากชุดกุ่นฝูของจักรพรรดิมาสวมชุดสูทสีเทาเข้าชุด สีผมและดวงตาเปลี่ยนเป็นสีดำ

พญายมผูกเนกไทให้ตัวเองเสร็จก็ถามเลขาฯ ฝ่ายบริหารที่ยืนอยู่ข้างๆ “ตอนนี้ฉันเหมือนคนหรือยัง”

หลังจากเลขาฯ หนานตรวจสอบอย่างละเอียด เธอก็ส่ายหน้า “ดูดีจนเหมือนไม่ใช่คนเลยค่ะ”

พญายมครุ่นคิด “หรือก็คือ…ปัญหาอยู่ที่หน้าตาสินะ งั้นฉันเพิ่มแผลบนหน้าสักหน่อยแล้วกัน”

เลขาฯ หนาน “เมื่อกี้ดิฉันเลียขาท่านอยู่ต่างหากค่ะ ท่านแต่งตัวแบบนี้ดูดีมาก ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรแล้ว”

พญายม “การประจบสอพลอไม่ใช่นิสัยที่ดี”

เลขาฯ หนาน “ดิฉันจะจำคำสั่งสอนของท่านไว้”

เลขาฯ หนาน “คำถามบทสัมภาษณ์ของ ‘รวมเรื่องเครื่องทรมาน’ ถูกส่งมาสองเดือนแล้ว ผู้อ่านจำนวนนับไม่ถ้วนอยากสัมผัสกับจิตใจที่อ่อนโยนของท่านผ่านคอลัมน์พิเศษของท่านค่ะ

ทั้งหมดมีแค่คำถามเดียว จะไม่รบกวนเวลาท่านเกินไปแน่นอนค่ะ”

พญายมกลัดกระดุมข้อมือ “ถามมาสิ”

เลขาฯ หนาน “ปกติเวลาว่างท่านชอบทำอะไร”

พญายม “ดูคลิปเต้น”

เลขาฯ หนาน “ไม่นึกว่าท่านจะมีงานอดิเรกแบบนี้ด้วย…ท่านมีนักเต้นที่ชื่นชอบไหม”

พญายม “Poor People ชื่อเล่น PP เขาเป็นนักเต้นที่ฉันชอบที่สุด ดูเขาเต้นแล้วรู้สึกสงบใจ”

เลขาฯ หนาน “ท่านฉยงเหรินก็เต้นเก่งมากเหมือนกัน หากท่านอยากชมดิฉันมีคลิปเก็บไว้ครบทุกคลิป รวมถึงงานแสดงในตำหนักที่สามด้วย ดิฉันมีคลิปจากกล้องทั้งสิบตัวเลยแหละ”

พญายมได้ยินชื่อฉยงเหรินมือก็ชะงัก เอี้ยวตัวไปถาม “ถามจบแล้วใช่ไหม”

เลขาฯ หนานพยักหน้าเบาๆ “ถามจบแล้วค่ะ ขอให้ทุกอย่างในโลกคนเป็นราบรื่นค่ะ”

พญายมผงกหัว ก้าวขึ้นไปเหยียบรถที่มีมังกรลากสี่ตัว

รถเทียมมังกรลอยข้ามแม่น้ำวั่งชวนและทุ่งดอกพลับพลึงแดงที่เหี่ยวเฉาไม่เหลือเค้าเดิม

เพื่อรับมือกับปริมาณคนตายที่มีผลสืบเนื่องมาจากจำนวนประชากรในยุคปัจจุบันล้นโลก เรือข้ามแม่น้ำวั่งชวนจึงถูกเปลี่ยนเป็นเรือบรรทุกขนาดใหญ่ ผู้นำวิญญาณตอนนี้เหมือนเป็นไกด์เสียมากกว่า เขาถือโทรโข่ง สวมเสื้อชูชีพ ถ่ายทอดข้อควรระวังให้เหล่าวิญญาณซ้ำไปซ้ำมา

วิญญาณตนหนึ่งยื่นท่อนบนออกมา เอ่ยอึ้งๆ “นั่นดอกพลับพลึงแดงเรอะ ไหงหร็อมแหร็มแบบนั้นล่ะ อย่างกับผมร่วงเป็นหย่อมๆ แน่ะ หมดราศีเหลือเกิน”

พญายมหลุบตาลงเงียบๆ

 

* แสงจันทร์ขาว เป็นการเปรียบเปรยถึงคนที่ปรารถนาแต่ไม่อาจครอบครอง

บทที่ 6

 

ลู่เยี่ยนเป็นนักจิตวิทยาที่ค่อนข้างมีชื่อในเมืองหลงเฉิง เขาปกปิดข้อมูลการรักษาได้ดี บุคลากรและพยาบาลต่างปิดปากแน่นอย่างกับผีซิว* ที่กินเข้าอย่างเดียวไม่มีถ่ายออก สิบส่วนของคนไข้ที่มาใช้บริการเป็นคนที่อยู่ในวงการบันเทิงไปแล้วเก้าส่วน

วันนี้คนไข้คนแรกคือเด็กหนุ่มหน้าตาสะสวยอย่างยิ่งคนหนึ่ง อยากรักษาอาการกลัวผี

หมอลู่คุยกับเขาไปสามสิบนาที ให้ทำแบบประเมินง่ายๆ เล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เขาอยากแนะนำคนไข้ให้ไปวินิจฉัยที่อื่น

เขาประณามตัวเองอย่างรุนแรงทันที

เขาจะไปคิดแค้นเคืองใจที่คนไข้สามารถยืนจ้องหน้ากับผีแม่ชีที่หน้าเหมือนแมนสันได้ และคิดว่าตุ๊กตานรกอย่างแอนนาเบลไม่มีอะไรผิดแปลก แต่กลับร้องจ๊ากๆ เพราะกลัวผีสาวอย่างเนี่ยเสี่ยวเชี่ยนในเรื่องโปเยโปโลเยที่หวังจู่เสียนแสดงได้ยังไง

แบบนั้นมันดูไม่มืออาชีพเอาซะเลย

หวังจู่เสียนคือเทพธิดาของเขา คนไข้ก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขา เขาต้องตักน้ำใส่ถ้วยให้เท่ากัน*

คนไข้กลัวแค่ผีในแบบที่เป็นวิญญาณจริงๆ ดังนั้นจึงไม่กลัวผีที่รูปลักษณ์ภายนอกน่าเกลียดอย่างผีแม่ชีหรือแอนนาเบล หากแบ่งตามประเภทภูตผีปีศาจแล้ว ผีแม่ชีกับแอนนาเบลต่างก็อยู่ในหมวดหมู่ปีศาจเสียมากกว่า

เขาแทบไม่มีปฏิกิริยาต่อ Jump Scare ในหนังผีเลย แล้วก็ไม่กลัวความมืดด้วย ถึงจะกลัวผี แต่ก็คิดว่าผีนั้นเป็นมิตร แถมยังรู้สึกว่าผีชื่นชอบในตัวเขาอีกด้วย

อาการนี้มันต่างจากคนกลัวผีทั่วๆ ไปคนละโยชน์เลย

ถ้าคนไข้ไม่ได้จงใจกุเรื่องอาการขึ้นมาให้เขาเสียเวลาเล่น งั้นเขาก็คิดว่าจำเป็นต้องแนะนำให้คนไข้ย้ายไปแผนกจิตเวชแทน

คนไข้ดูเหมือนจะอ่านความคิดเขาออก

“คุณหมอครับ ผมเคยทำแบบประเมินอาการทางจิตโดยย่อมาแล้ว คะแนนของผมยังห่างจากกลุ่มผู้ป่วยในระดับหนึ่ง ผมไม่มีปัญหาทางจิตครับ”

หมอลู่ “…”

คนปกติที่ไหนจะไปทำแบบประเมินอาการทางจิตบ้างล่ะ

เส้นคะแนนของกลุ่มผู้ป่วยคือ 35 คะแนน ยิ่งคะแนนสูงก็ยิ่งส่อให้เห็นว่าอาการป่วยอาจจะหนัก คะแนนของคนปกติมีช่องว่างห่างจากกลุ่มผู้ป่วยที่แน่นอนคือ 35 คะแนน แต่ระหว่าง 100 คะแนนกับ 35 คะแนนก็เป็นช่องว่างด้วยเหมือนกัน…

หมอลู่หยั่งเชิง “แล้วคุณนึกยังไงถึงไปทำแบบประเมินนี่ล่ะ”

คนไข้ “อ้อ มีวันหนึ่งตอนผมกลับบ้าน ผมเห็นตุ๊กตากระต่ายขนปุยน่ารักมากๆ ตัวนึงตกอยู่ข้างถนน ผมก็เลยเก็บกลับบ้านมาด้วย จากนั้นวันหนึ่งผมก็พบว่ากระต่ายขนปุยตัวนั้น…”

หมอลู่ “กระต่ายนั่น…ขยับได้?”

คนไข้ “ฮ่าๆๆๆ ตุ๊กตากระต่ายจะไปขยับได้ยังไงล่ะหมอ คุณหมอเป็นคนตลกจริงๆ สรุปแล้ววันนั้นผมก็เลยไปทำแบบประเมิน แล้วก็ไม่ได้ป่วย คุณวางใจได้”

หมอลู่ “…” ได้ยินอะไรแบบนี้แล้วใครมันจะวางใจลงได้ครับ

ก่อนคนไข้จะกลับ เขาก็ถามหมอลู่ว่าแถวนี้มีบ้านผีสิงบ้างไหม

ในเมื่อกลัวผี แล้วทำไมถึงต้องไปบ้านผีสิงด้วยล่ะ

อาการหนักจริงๆ ด้วย

เพื่อนสนิทของหมอลู่ค่อนข้างประสบความสำเร็จในการรักษาโรคจิตเภท เขาเขียนชื่อและโรงพยาบาลที่เพื่อนสนิทของตนทำงานอยู่ให้คนไข้พร้อมเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ถ้าคุณรู้สึกกลัวที่จะไปแผนกจิตเวช ตอนบ่ายผมสามารถไปหาเขาเป็นเพื่อนคุณได้นะครับ”

คนไข้มองเขาเงียบๆ หลายวินาที ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ปริปาก เขาอาจจะซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออกล่ะสินะ ยังไงหมอที่ใส่ใจและมีความรับผิดชอบอย่างเขาก็หาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว

ครั้นไปส่งคนไข้ที่ชื่อฉยงเหรินออกไป คนไข้รายต่อไปก็มารออยู่หน้าห้องแล้ว

คนไข้คนที่สองรูปร่างสูงโปร่ง ผมสีดำถูกรวบไว้หลังใบหู ผิวขาว หล่อเหลาโดดเด่น

สายตาของผู้ป่วยทั้งสองสอดประสานกันกลางทาง หยุดมองกันสองสามวินาทีเหมือนต่างคนต่างตกใจในใบหน้าของอีกฝ่าย

ภาพที่พวกเขาสบตากันช่างเปล่งประกายเหลือเกิน ทำเอาหมอลู่นึกถึงสำนวนหนึ่งขึ้นได้…ทอแสงพราวส่งเสริมกัน*

อยากจะล้วงมือถือออกมาถ่ายสักแปดรูปสิบรูปชะมัดเลย

เขาเดินนำคนไข้คนที่สองของวันเข้าห้องให้คำปรึกษา

คนไข้คนนี้ชื่อเยี่ยนหมัวหลัวเสอ ไม่รู้ว่าคนดังคนไหนแนะนำที่นี่ให้เขา

ชื่อไม่เหมือนใครขนาดนี้ คงจะเป็นชนกลุ่มน้อยสินะ

ลู่เยี่ยน “ความต้องการหลักของคุณคือรักษาโรคนอนไม่หลับ?”

ชายผู้หล่อเหลาพยักหน้าเงียบๆ

ลู่เยี่ยน “ขออนุญาตถามนะครับ คุณนอนไม่หลับมานานแค่ไหนแล้ว เคยทานยาอะไรมาบ้าง”

ชายหนุ่มขบคิด “สองปีเก้าเดือน เคยกินยานอนหลับแต่ก็ไม่ได้ผล”

ลู่เยี่ยน “สามารถบอกรายละเอียดที่แน่ชัดได้ไหมครับว่าคุณเริ่มนอนไม่หลับยังไง”

“แน่นอน”

ชายหนุ่มครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเล่าเรื่องที่ประสบมาให้ฟังไม่หยุดปาก

“ผมมีเลขาฯ คนหนึ่ง ตอนทำงานเธอมักจะเผลอร้องเพลงออกมา แล้วร้องอยู่แค่เพลงเดียว ร้องห่วยสุดๆ”

ชายหนุ่มกดนวดขมับอย่างอดไม่ได้ “ตั้งแต่ได้ยินเธอร้องเพลงนั้น ผมก็นอนไม่หลับอีกเลย แค่หลับตาลง ทำนองทาดาดาก็จะวนอยู่ในหัว”

ลู่เยี่ยน “งั้นทำไมคุณถึงไม่บอกให้เธอหยุดร้องเพลงล่ะ”

“เธอทำงานหนัก การร้องเพลงช่วยให้เธอรักษาสติตื่นตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ เธอจะได้ไม่ทำโอทีจนสมองเบลอ เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน ผมไม่สามารถห้ามไม่ให้เธอร้องเพลงได้”

หมอลู่ช็อกอย่างแรง

นายทุนนี่ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ ตัวเองยอมไม่นอนสองปีเก้าเดือน เพื่อบีบคั้นสมรรถภาพของพนักงานออกมาให้หมดโดยไม่ย่อท้อ

ไร้ยางอาย!

หลังหมอลู่รู้สึกเห็นใจเลขาฯ ที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเรียบร้อยแล้วก็นึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขามองไปที่กระหม่อมของชายหนุ่ม ผมหนาดกดำมันขลับจนน่าอิจฉา

นี่เขาล้อฉันเล่นอยู่เหรอ

ถ้าไม่ได้นอนมาสองปีเก้าเดือน ไม่ใช่แค่ปัญหาผมร่วงหรอก ป่านนี้ตัวเขาคงไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว

“อาการมีแต่เพลงเดิมวนเวียนในสมองเป็นอาการอย่างหนึ่งของภาวะย้ำคิดย้ำทำ ผมแนะนำให้คุณไปที่แผนกจิตเวชครับ ถ้าอยากรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำก็จำเป็นต้องพึ่งยาถึงเจ็ดส่วน อีกสามส่วนต้องพึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ผมสามารถช่วยคุณได้แค่สามส่วนนี้”

ครั้นชายหนุ่มได้ยิน สีหน้าบนใบหน้าก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่เสี้ยวเดียว เขามองหมอลู่ด้วยนัยน์ตาดำสนิท “ยาใช้กับผมไม่ได้ผล มีวิธีอื่นอีกไหมครับ”

เมื่อถูกดวงตาดำดุจห้วงน้ำลึกของชายหนุ่มจ้องมอง หมอลู่ก็ขนลุกซู่ในใจชอบกล เม็ดเหงื่อเย็นซึมชุ่มแผ่นหลังอย่างไร้สุ้มเสียง

ทั้งที่อีกฝ่ายรักษาอากัปกิริยาสง่างามอ่อนโยนอยู่ตลอดแท้ๆ แต่เขาก็อดรู้สึกกลัวไม่ได้อยู่ดี

เขาพูดแนะนำตัวสั่นงันงก “เรื่องนี้…ไม่งั้นก็…คุณเคยลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการนอนหรือยังครับ เลือกนอนในสภาพแวดล้อมที่ตัวเองรู้สึกสบายใจ สามารถเปิดเสียงสภาพแวดล้อมที่คุณรู้สึกผ่อนคลายก็ได้ อย่างเช่นพวกเสียงฝน เสียงคลื่น หรือพวกเสียง White Noise* ไม่แน่อาจจะได้ผลครับ”

ชายหนุ่ม “อา อย่างงั้นเหรอ”

เขาหลุบตาลงครุ่นคิด ลุกขึ้นก่อนถาม “ขอบคุณคำแนะนำจากคุณหมอมากๆ ขอถามหน่อยได้ไหมครับว่าแถวนี้มีบ้านผีสิงอยู่บ้างหรือเปล่า”

“คุณอยากไปเล่นเหรอครับ”

พญายมราช “ไม่ครับ ไปนอน เสียงเอฟเฟ็กต์ของบ้านผีสิงกับเสียงร้องของคนเล่นทำให้จิตใจผมผ่อนคลายได้มากเลย”

หมอลู่ “…?”

 

“โปรโมชั่นลดกระหน่ำก่อนสวนสนุกปิดทำการ ตั๋วเข้าบ้านผีสิงลดเหลือสามสิบหยวนเท่านั้น สุดหล่อ ซื้อสักใบเถอะนะ”

ฉยงเหรินมองพิจารณาโปสเตอร์สีซีดที่แปะอยู่บนเคาน์เตอร์ กดปีกหมวกแก๊ปลงต่ำ เงยหน้าขึ้นกล่าว “ขอหนึ่งใบครับ”

ใบหน้ายิ้มรับแขกของคนขายตั๋วพลันแดงแจ๋ หยิบหนังสือข้อจำกัดความรับผิดชอบใบหนึ่งให้เขา “เซ็นตรงนี้แล้วกรุณารออีกสักครู่นะครับ บ้านผีสิงของพวกเรามีกฎว่าต้องเข้าอย่างน้อยครั้งละสองคนครับ”

เขาเซ็นชื่อเสร็จ คนขายตั๋วก็เอากำไลข้อมือมาให้เขา

“ถ้าคุณกลัวมากๆ ก็กดปุ่มสีแดงบนกำไลนี้นะครับ เมื่อได้รับสัญญาณเราจะเข้าไปรับคุณออกมาทันที”

ฉยงเหรินปรับสายปรับขนาดกำไลไว้แน่นเพื่อให้มั่นใจว่ามันจะไม่หลุดหาย

บนสมุดฝากข้อความที่เอาไว้ให้ลูกค้าของบ้านผีสิงเขียนมีคนกล่าวไว้ว่าพนักงานที่นี่แสดงเป็นผีได้สมจริงไม่เป็นสองรองใคร เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อย่างกับผีจริงๆ

ตรงกับความต้องการฝึกความกล้าของฉยงเหรินอย่างสมบูรณ์แบบ

มองออกเลยว่าบ้านผีสิงแห่งนี้ขายไม่ค่อยออกจริงๆ ฉยงเหรินรออยู่ครึ่งชั่วโมงเต็มๆ กว่าจะมีลูกค้ารายที่สองมา

ยังคงเป็นคนคุ้นหน้าคนเดิม พวกเขาสองคนเพิ่งได้เจอกันที่คลินิกของหมอลู่

ผู้ชายที่แม้แต่คนไม่อ่อนไหวต่อหน้าตาอย่างฉยงเหรินยังต้องรู้สึกตะลึง

ฉยงเหรินผงกหัวให้เขา “เจอกันอีกแล้ว บังเอิญมากครับ”

“สวัสดี” เพื่อนผู้ป่วยผงกหัวให้เขาเช่นกัน

เพื่อนผู้ป่วยสวมชุดสูทสีเทาทั้งตัว ผูกเนกไทได้อย่างสุดเนี้ยบ คัฟลิงก์ เข็มกลัดติดสูทมีพร้อมสรรพ ใบหน้าสงบสุขุมองอาจแบบที่ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่อาจทำให้เขาหลุดแสดงสีหน้าได้

คนแบบนี้มาปรากฏกายอยู่ที่บ้านผีสิงก็อย่างกับถูกส่งตรงมาจากงานเลี้ยงมื้อค่ำ ไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบนี้เลยสักนิด

คนขายตั๋วจู่ๆ ก็สั่นงกๆ เหมือนไปเหยียบสายไฟที่กระแสไฟฟ้ารั่ว

“ยินดีต้อน…ท่านมาที่นี่ได้อย่างระระไรๆๆๆ~”

เพื่อนผู้ป่วยเหลือบมองพนักงานขาย “สถานทูตประจำแดนหยาง*?”

คนขายตั๋วพยักหน้า

“ที่แท้พวกเธอก็เป็นเจ้าของบ้านผีสิงที่นี่” เพื่อนผู้ป่วยกล่าว “ฉันเอาตั๋วหนึ่งใบ สแกนอาลีเพย์** จ่ายได้ไหม”

คนขายตั๋วยังคงตัวสั่นงันงก “พวกเราจะบังอาจเก็บเงินจากท่านได้ยังไงครับ”

เพื่อนผู้ป่วยมุ่นคิ้ว หันหน้ามาถามฉยงเหริน “สวัสดี ไม่ทราบว่าตั๋วนี่ราคาเท่าไหร่เหรอครับ”

ฉยงเหริน “สามสิบครับ”

เพื่อนผู้ป่วยเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็สแกนคิวอาร์โค้ดจ่ายเงินทันที ก่อนจะถาม “ทางเข้าอยู่ไหน”

คนขายตั๋วชี้นิ้วอ่อนเปลี้ยไปทางซ้าย

เพื่อนผู้ป่วยเปิดประตูบานนั้นออกแล้วเดินเข้าไป ฉยงเหรินรีบก้าวตามตูด เขาอยากจับกลุ่มไปกับเพื่อนผู้ป่วยคนนี้ เพราะหากเป็นลมขึ้นมาก็ยังมีเพื่อนผู้ป่วยคอยเรียกพนักงานแทนเขาได้

ภายในบ้านผีสิงมืดสลัว ฉยงเหรินเพิ่งเดินเข้าไปก็มองอะไรไม่ชัดทั้งนั้น จึงหยุดยืนรอปรับสายตาให้ชินก่อน

เขาหันไปคิดเรื่องอื่น เพื่อนผู้ป่วยคนนี้ทั้งสูง หล่อ มีมารยาท แถมยังมีเงินด้วย ผู้ชายแบบนี้น่าจะเป็นที่นิยมของสาวๆ มาก ทำไมคนขายตั๋วถึงได้กลัวขนาดนั้นล่ะ

แล้วสถานทูตประจำแดนหยางคืออะไร เขาเคยได้ยินแต่สถานทูตประจำกรุงปักกิ่ง

เมื่อสายตาเขาค่อยๆ ชินกับความมืด ตรงหน้าคือประตูนิรภัยที่ไม่ได้ล็อกไว้ ส่วนเพื่อนผู้ป่วยหายไปแล้ว

เสียงเพลงอึมครึมชวนสะพรึงสะท้อนอยู่ในบ้านผีสิง เสียงนั้นดังคลอเบาๆ เหมือนเปิดแต่ก็เหมือนไม่ได้เปิด ซึ่งกลายเป็นว่าทำให้น่ากลัวยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งมักจะมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ ราวกับมีคนตามหลังเขาอยู่

เสียงเอฟเฟ็กต์โคตรเหมือนอยู่ในโลกคนตาย

ด้านหลังประตูนิรภัยคือห้องรับแขกเล็กๆ ฉยงเหรินเปิดไฟฉายจากมือถือสอดส่องไปรอบๆ

บนโต๊ะในห้องรับแขกมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่ พาดหัวข่าวด้วยฟอนต์ UC ตัวเบ้อเร่อเหมือนกลัวลูกค้ามองไม่เห็น

 

สลด! ติ่งสาวกระโดดตึกดับกลางดึก สาเหตุคือ?’

 

เนื้อหาในรายงานข่าวพูดถึงสาวน้อยที่ชื่อว่าโจวหรง ระหว่างกำลังคลั่งไคล้ศิลปินท่านหนึ่งก็ถูกเซเลปของด้อมหลอกมีเพศสัมพันธ์ กลางดึกคืนหนึ่งได้กระโดดลงจากตึกชั้นสิบเก้า เสียชีวิตร่างแหลกเละ มีรูปของโจวหรงอยู่บนหนังสือพิมพ์ สาวน้อยถูกคาดโมเสก ใบหน้าด้านซ้ายมีรอยเลือด

ฉยงเหรินอ่านข่าวจบก็วางกลับไปที่เดิม เมื่อกระดาษหนังสือพิมพ์ตกลงบนโต๊ะก็เกิดเสียงดังฟึ่บเบาๆ

“เฮ้อ…”

เสียงถอนหายใจดังแว่ว แสงไฟในห้องรับแขกสว่างแล้วกะพริบถี่ๆ ในฉับพลัน

ฉยงเหรินเงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ทันที สาวน้อยเดรสขาวปรากฏกายอยู่ตรงข้ามโต๊ะ รอยเลือดเปรอะใบหน้าด้านซ้ายของเธอ ร่างกายกึ่งโปร่งแสง

มองยังไงก็วิญญาณของโจวหรงชัดๆ

ฉยงเหรินสมองขาวโพลน สาวเท้าเผ่นแน่บทันที

เขารูปร่างปราดเปรียว เคลื่อนไหวเหมือนกระต่ายคลั่ง พุ่งออกจากห้องรับแขกไปอย่างไวว่อง

เด็กสาวลอยสตันอยู่ที่เดิมหลายวินาที แล้วจู่ๆ ก็ดีใจสุดขีด

“กรี๊ดดด ลูกสาวฉันนี่!!”

เธอล้วงโทรศัพท์ออกมาส่งแชตไปในกลุ่ม

 

ฉยงเหรินมาเล่นบ้านผีสิงของพวกเราแล้ว ปล่อยแขกคนอื่นไปก่อน ออกมากรี๊ดน้องเป็นเพื่อนเจ๊เดี๋ยวนี้!’

‘ฉิบ ได้ยินว่าเขากลัวผีนี่ เธออย่าหลอกผัวฉันจนเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับเขาล่ะ’

‘จะไปเดี๋ยวนี้’

 

ฉยงเหรินวิ่งไม่รู้ทางไปชนนู่นชนนี่โครมครามในบ้านผีสิง เขาลืมไปแล้วว่าขอความช่วยเหลือจากสายรัดข้อมือได้

เขาได้ยินเสียงกระซิบกระซาบ แล้วยังพูดถึงชื่อของเขาด้วย

อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นสูงปรี๊ดอย่างกับเหยียบคันเร่ง แสงสลัวบนทางเดินติดๆ ดับๆ เสียงฝีเท้าเขาดังสะท้อนคล้อยไปกับเสียงดังจี่ๆ ของกระแสไฟ เสริมบรรยากาศให้น่ากลัวขั้นสุด

เขาวิ่งไปเรื่อยๆ ก็พลันรู้สึกทะแม่งๆ บ้านผีสิงใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ วิ่งมาตั้งหลายนาทีแล้วทำไมยังไม่เจอทางออกอีก หรือเขาเผลอวิ่งกลับทางเดิมงั้นเหรอ

 

‘ชู่ว เงียบๆ กันนะ คุยกันทางวีแชต

‘บอกแล้วไงว่าอย่าแกล้งเขา ทำไมยังไม่ถอนกำแพงผีบังตาอีก’

‘ฉันก็อยากถอน แต่ไม่รู้ทำไมพลังถึงถูกจำกัด ทำไงดีล่ะ ฮือออ ลูกแม่ดูกลัวมากเลยอะ ปวดใจจะตายอยู่แล้ว’

‘งั้นให้ฉันออกหน้าพาเขาออกไปไหม’

‘ขวานยังเสียบอยู่บนหัวเธออยู่เลย มีแต่จะทำให้ผัวฉันกลัวยิ่งกว่าเดิมย่ะ’

‘ได้ยินว่าท่านพญายมจะมานอนที่บ้านผีสิงของเรา หัวหน้าสาขาออกไปซื้อที่นอนแล้ว ในหมู่พวกเราก็มีแค่เขาที่เหมือนคนเป็น ทำไงดีล่ะ’

 

ฉยงเหรินวิ่งเร็วอย่างกับลมกรดพัดฟ้าวผ่านคนที่นอนอยู่บนพื้นไป

เขาเพียงปราดมองด้วยหางตาระหว่างวิ่งด้วยความเร็วจี๋ก็มองออกได้ว่าคนที่นอนอยู่นั้นสัดส่วนร่างกายโดดเด่น รูปร่างสูง ขายาวชะลูด

หุ่นที่ดูดีขนาดนี้ไม่ได้เจอได้บ่อยๆ ฉยงเหรินหวั่นใจ เพื่อนผู้ป่วยของเขาคนนั้นคงไม่ได้เป็นลมล้มพับไปใช่ไหม

ทำไงดี กลับไปช่วยดีไหม

ถ้าถอยกลับจะไปจ๊ะเอ๋กับผีสาวตนนั้นหรือเปล่า

ไม่ได้ เห็นคนลำบากแล้วจะไม่ช่วยไม่ได้

ฉยงเหรินกัดฟัน ลูบน้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความกลัว หักเลี้ยวสุดตัววิ่งกลับไป

เขาอาศัยแสงสลัวมองคนบนพื้น ซึ่งคนนั้นก็คือเพื่อนผู้ป่วยจริงๆ ด้วย ฉยงเหรินก้มลงอุ้มเขาขึ้นมาแล้ววิ่งไปข้างหน้าต่อ

พญายมที่กว่าจะกลั่นความง่วงออกมาได้สักนิดหนึ่ง “?”

เกิดอะไรขึ้น

เขาอุตส่าห์เกือบจะรู้สึกง่วงได้สักนิดอยู่แล้วเชียว ทำไมจู่ๆ ก็โดนลักพาตัวไปซะแล้วล่ะ

สาวน้อยเดรสขาวที่ตามหลังฉยงเหรินเงียบๆ หลุดสบถ รีบไปหลบมุมทันที นิ้วมือพิมพ์ตัวอักษรรัวเร็ว

 

ซวยแล้วๆๆๆ ท่านพญายมมา! ทุกตนพรางตัว!’

‘ประกาศ! ต้าหวังถูกลูกสาวฉันอุ้มไปแล้ว ป.ล. อุ้มท่าเจ้าหญิง’

‘เห็นภาพเลย’

‘อย่าพูดอย่างนั้นดิ ได้กลิ่นแบบนั้นเลยอะ’

‘แบบนั้นแบบไหน พญายมจอมเผด็จการกับภรรยาแฟนคลับพันล้านของเขา?’

 

เยี่ยนหมัวหลัวเสอเป็นเจ้าแห่งยมโลก เขาเคยเจอคนเป็นและวิญญาณมานับครั้งไม่ถ้วน

แต่กลับเพิ่งเคยตกอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก

เขา

พญายม

ถูกคนอุ้มอยู่ในอ้อมแขน ด้วยท่าเจ้าหญิง

เขาอยากให้ฉยงเหรินปล่อยเขาลง แต่คำพูดยังไม่ทันหลุดจากปากก็ต้องถูกกระแทกกลับลงคอ

กระแทกเข้ากับสิ่งที่เนียนนุ่ม มีความยืดหยุ่น

กระแทกจนท่านเยี่ยนหมัวหลัวเสอแข็งค้างไปทั้งตัว ราวกับถูกแช่แข็งอยู่ในมหานรกหานปิงมาแปดร้อยปี

ฉยงเหรินวิ่งไปหน้าประตู เพราะอุ้มคนไว้อยู่จึงเปิดประตูได้ไม่สะดวก ได้แต่เบี่ยงตัวใช้หัวไหล่ดัน

เพราะท่านี้จึงทำให้ใบหน้าของเยี่ยนหมัวหลัวเสอซุกอยู่กับกายของฉยงเหริน ใต้จมูกอบอวลด้วยกลิ่นหอมที่แผ่ซ่านออกมาจากเสื้อผ้าเนื้อนุ่ม

ชั่วพริบตาคล้ายกับประสาทสัมผัสทุกส่วนล้วนถูกกลิ่นอายบนตัวฉยงเหรินห่อหุ้ม

หอมกรุ่นทั้งยังเย็นสดชื่น

หอมเจียนจะขาดใจ

ริมฝีปากเขาเผอิญเฉียดผ่านอะไรบางอย่าง ตุ่มไตเล็กๆ ครูดอยู่ข้างแก้มเขา

แววตาสงบดุจห้วงน้ำลึกของพญายมราชเบิกโพลง

 

* ผีซิว คือสัตว์สิริมงคลของชาวจีน เชื่อว่าสามารถปกป้องและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้

* ตักน้ำใส่ถ้วยให้เท่ากัน หมายถึงปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ไม่เอนเอียง

* ทอแสงพราวส่งเสริมกัน หมายถึงร่วมมือส่งเสริมกันและกันจนขับให้แสงสว่างยิ่งขึ้น

* White Noise หรือเสียงสีขาว คือเสียงรบกวนคงที่ที่ออกมาอย่างสม่ำเสมอในช่วงความถี่ปกติของมนุษย์

* แดนหยาง คือโลกมนุษย์ ตรงข้ามกับแดนหยิน ซึ่งคือยมโลก

** อาลีเพย์ คือแอพพลิเคชั่นที่บริการรับชำระเงินออนไลน์ซึ่งเป็นที่นิยมมากในประเทศจีน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: